ประวัติศาสตร์ คืออะไร
ความหมายและความสําคัญของประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์ หมายถึง เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในอดีต และสิ่งที่มนุษย์ได้กระทํา หรือสร้าง แนวความคิดไว้ทั้งหมด รวมถึงเหตุการณ์ที่เกิดจากเจตจํานงของมนุษย์ ตลอดจนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ หรือธรรมชาติที่มีผลต่อมนุษยชาติ
ประวัติศาสตร์ ได้แก่ เหตุการณ์ในอดีตที่นักประวัติศาสตร์ได้สืบสวนค้นคว้าแสวงหาหลักฐานมา รวบรวมและเรียบเรียงขึ้น เนื่องจากเรื่องราวของมนุษย์ในอดีตมีขอบเขตกว้างขวาง และมีความสําคัญแตกต่าง มากน้อยลดหลั่นกันไป นักวิทยาศาสตร์จึงหยิบยกขึ้นมาศึกษาเฉพาะแต่สิ่งที่ตนเห็นว่ามีความหมายและมี ความสําคัญ
คําว่า “ประวัติศาสตร์” เกิดจากการสมาสคําภาษาบาลี “ประวัติ” (ปวตฺติ) ซึ่งหมายถึง เรื่องราว ความเป็นไป และคําภาษาสันสกฤต “ศาสตร์” (ศาสฺตฺร) ซ่ึงแปลว่า ความรู้
“ประวัติศาสตร์” ถูกบัญญัติขึ้นโดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อเทียบเคียงกับคําว่า “History” และเพื่อให้มีความหมายครอบคลุมมากกว่าคําว่า “พงศาวดาร” (Chronicle) ที่ใช้กันมาแต่เดิม คําว่าhistoryมีที่มาจากคําว่าhistoriaในภาษากรีกซึ่งมีความหมายว่าการไต่สวนค้นคว้าหรือวิจัย เดิมเป็น ชื่อหนังสือที่เฮโรโตตุส (Herodotus , 484-420 ปีก่อนค.ศ.)
“ประวัติศาสตร”์ เป็นคําที่มีความหมายหลากหลายแต่ความหมายที่สําคัญที่ใช้โดยทั่วไปคือ 1.เหตุการณ์ในอดีตทั้งหมดของมนุษย์หรืออดีตทงั้หมดของมนุษย์ตั้งแต่มีมนุษย์เกิดขึ้นมาในโลก
จนถึงวินาทีที่พึ่งผ่านมา และ 2.หมายถึงเรื่องราวของบางเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมาในอดีตทเี่รารู้หรือเข้าใจนั่นคือสิ่งที่นัก
ประวัติศาสตร์สร้างขึ้นมาเกี่ยวกับอดีตที่ผ่านพ้นไป
นักปรัชญาประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงให้คําอธิบายถึงคําว่า “ประวัติศาสตร์” ไว้ เช่น
อี.เอส.คาร์ (E. H. Carr)
อธิบายว่าประวัติศาสตร์นั้นก็คือกระบวนการอันต่อเนื่องของการปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักประวัติศาสตร์ กับข้อมูลของเขา ประวัติศาสตร์คือบทสนทนาอันไม่มีที่สิ้นสุดระหว่างปัจจุบันกับอดีต (What is history?, is that it is a continuous process of interaction between the present and the past.)
ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์
กล่าวถึง ลักษณะสําคัญของคําว่า ประวัติศาสตร์ว่า “ประวัติศาสตร์เป็นการศึกษาความเป็นมาของ มนุษย์ในอดีต ตั้งแต่เมื่อเริ่มมี การจดบันทึกกันด้วยลายลักษณ์อักษร เรื่องราวที่บันทึกในประวัติศาสตร์นั้น ต้องเป็นเหตุการณ์อันสําคัญที่เกิดขึ้นในอดีตเท่านั้น เพราะในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ๆ นั้น มีเหตุการณ์เกิดขึ้น มากมาย นักประวัติศาสตร์ไม่จําเป็นต้องสนใจทั้งหมด แต่เหตุการณ์อันสําคัญนั้น จะต้องเกี่ยวข้องกับมนุษย์ หรือสังคมของมนุษย์เป็นส่วนใหญ่”
ประวัติศาสตร์มีความสําคัญอย่างไร
วิชาประวัติศาสตร์มีความสําคัญมาก และมีความสําคัญมาเป็นเวลานานแล้ว ผู้ได้รับการยกย่องให้ เป็นบิดาวิชาประวัติศาสตร์ของโลกตะวันตก คือ เฮโรโตตุส (Herodotus ประมาณ 484-420 ปีก่อน ค.ศ.) เป็นชาวกรีก ส่วนผู้ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาวิชาประวัติศาสตร์ของโลกตะวันออกคือ ซือหม่า (Sima Qian ประมาณ 145-85 ปีก่อน ค.ศ. ) เป็นชาวจีน
เฮโรโตตุส (Herodotus) บิดาวิชาประวัติศาสตร์ของโลกตะวันตก (ประมาณ 484 – 420 ปีก่อน ค.ศ.)
นักประวัติศาสตร์ชาวกรีกเป็นผู้บันทึกสงครามระหว่างกรีกกับเปอร์เซีย ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็น วรรณกรรมรูปแบบใหม่ เพราะมกี ารเรียงลําดับเรื่อง มีการตั้งประเด็นปัญหา ซึ่งก่อให้เกิดการเรียนรู้เกี่ยวกับ พฤติกรรมมนุษย์ และคําว่า Historic ที่ เขาใช้ในงานเขียนซึ่งก่อนหน้ามีความหมายว่า วิจัย เพียงอย่างเดียว ได้กลายเป็นคําใหม่คือ คําว่า “ประวัติศาสตร์”
ซือหม่า เซียน (Sima Qian) บิดาวิชาประวัติศาสตร์โลกตะวันออก (ประมาณ 145 – 85 ปีก่อน ค.ศ.)
นักประวัติศาสตร์ชาวจีน สมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตก ตรงกับรัชสมัยฮั่อู่ตี้ เป็นผู้ประพันธ์หนังสือ “สื่อจี้” ซึ่งแปลว่า “บันทึกของนักประวัติศาสตร์ โดยได้บันทึกสภาพการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ ในระยะเวลา 3,000 ปี ตั้งแต่บรรพกาลถึงราชวงศ์ฮั่นตะวันตก นับเป็นหนังสือประวัติศาสตร์รวมหลายยุคสมัย เล่มแรกของจีน
สมเด็จกรมพระยาดํารงราชานุภาพ บิดาประวัติศาสตร์ไทย (พ.ศ.2405 – 2486)
ทรงเป็นราชโอรสองค์ที่ 57 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาชุ่ม ทรงประกอบพระกรณียกิจต่างๆมากมาย ซึ่งล้วนเป็นประโยชน์แก่บ้านเมือง และทรงเป็นบุคคลแรกๆที่ให้ ความสนใจประวัติศาสตร์ไทยโดยได้ทรงพยายามค้นหาหลักฐานทางประวัติศาสตร์ต่างๆ เพื่อแต่งตําราเผยแพร่ ซึ่งเป็นประโยชน์แก่การศึกษาประวัติศาสตร์ไทยมาก
ความสําคัญของประวัติศาสตร์ สามารถสรุปได้ดังนี้
1. ประวัติศาสตร์ช่วยให้มนุษย์รู้จักตัวเอง ทําให้รู้บางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับขอบเขตของตน ขณะเดียวกันก็รู้เกี่ยงกับขอบเขตของคนอื่น กล่าวคือช่วยให้มนุษย์รู้จักและเข้าใจตัวเองมากขึ้น รวมทั้งเข้าใจ สังคมของมนุษย์โดยส่วนรวม
2. ประวัติศาสตร์ช่วยให้เกิดความเข้าใจในมรดก วัฒนธรรมของมนุษยชาติ ความรู้ ความคิดอ่าน กว้างขวาง ทันเหตุการณ์ ทันสมัย ทันคน และสามารถเข้าใจคุณค่าสิ่งต่างๆ ในสมัยของตนได้
3. ประวัติศาสตร์ช่วยเสริมสร้างให้เกิดความระมัดระวัง ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ฝึกฝนความอดทน ความสุขุมรอบคอบ ความสามารถในการวินิจฉัย และมีความละเอียดเพียงพอที่จะเข้าใจปัญหาสลับซับซ้อน
4. ประวัติศาสตร์เป็นเหตุการณ์ในอดีตที่มนุษย์สามารถนํามาเป็นบทเรียน ให้แก่ปัจจุบัน โดยบทเรียน ประวัติศาสตร์ อาจใช้เป็นประสบการณ์พื้นฐานการตัดสินใจ เหตุการณ์ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน หรือ อนาคต และประยุกต์ใช้ในกระบวนการแก้ไขปัญหา และวิกฤตการณ์ต่างๆ ให้เป็นไปตามหลักจริยธรรม คุณธรรม ทั้งนี้เพื่อสันติสุขและพัฒนาการของสังคมมนุษย์เอง
5. ประวัติศาสตร์สอนให้คนรู้จักคิดเป็น ไม่หลงเชื่อสิ่งใดง่าย ๆ โดยมิได้ไตร่ตรองพิจารณาให้ ถี่ถ้วน เสียก่อน
6. ประวัติศาสตร์ของชาติย่อมทําให้เกิดความภาคภูมิใจในบรรพบุรุษ ในตระกูล และในความ เป็น ชาติประเทศ ซึ่งก่อให้เกิดความรักชาติและช่วยกันรักษาชาติบ้านเมืองให้คงอยู่ ทั้งก้าวไปสู่ความเจริญ
วิธีการทางประวัติศาสตร์
หมายถึง ขั้นตอน หรือวิธีการที่นักประวัติศาสตร์หรือผู้ศึกษาทางด้านประวัติศาสตร์ใช้เพื่อ การศึกษา ค้นคว้าและเรียบเรียงเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์จากหลักฐานต่างๆเพื่อให้ได้ข้อมูลที่มีความ ถูกต้องและชัดเจนมากที่สุด
วิธีการทางประวัติศาสตร์มีความสําคัญ คือ สามารถใช้ในการสืบค้นเรื่องราวต่าง ๆที่สนใจได้ เช่น การ หาความรู้เกี่ยวกับโรงเรียน วัด ชุมชน จังหวัด หรือภูมิภาคของตน ซึ่งเป็นเรื่องราวใกล้ตัวและเราสามารถหา หลักฐานได้จากแหล่งข้อมูลที่มีอยู่ในพื้นที่ เช่น วัด พิพิธภัณฑ์ สถานที่สําคัญในท้องถิ่น เป็นต้น
การใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์
ถ้านักเรียนสนใจอยากทราบว่าภูมิภาคของตนมีประวัติความเป็นมาอย่างไร มีเรื่องราวใดที่น่าสนใจน่า รู้บ้าง นักเรียนสามารถใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์ศึกษาค้นคว้าได้ตาม
ขั้นตอน 5ขั้น ดังนี้
1. การกําหนดหัวเรื่องที่ศึกษา
2. การรวบรวมหลักฐาน
3. การประเมินคุณค่าของหลักฐาน
4. การวิเคราะห์ สังเคราะห์ และจัดหมวดหมู่ข้อมูล 5. การเรียบเรียงหรือการนําเสนอ
1. การกําหนดหัวเรื่องที่ศึกษา
เป็นขั้นตอนแรกของวิธีการทางประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นเรื่องที่นักประวัติศาสตร์หรือผู้สนใจทาง ประวัติศาสตร์มีความสนใจ อยากรู้ สงสัย จึงตั้งประเด็นหรือหัวข้อที่ต้องการศึกษาขึ้นมา
ตัวอย่าง ประเด็นการศึกษาเกี่ยวกับภูมิภาคอาจเป็นเรื่องทอี่ ยู่ใกล้ตัว และขยายขอบเขตการศึกษา ออกไปเป็นระดับอําเภอ ระดับจังหวัด และระดับภูมิภาค เช่น
ประวัติวัดสําคัญในชุมชน / อําเภอ / จังหวัด / ภูมิภาค สถานที่สําคัญในท้องถิ่น / จังหวัด / ภูมิภาค บุคคลสําคัญในท้องถิ่น / จังหวัด / ภูมิภาค
2. การรวบรวมหลักฐาน
ขั้นรวบรวมหลักฐานต่างๆทั้งหลักฐานชั้นต้นและหลักฐานชั้นรอง คือเอกสารหรือหนังสือเกี่ยวกับ เรื่องที่อยากรู้หรือสนใจ ในการรวบรวมหลักฐาน ควรเริ่มด้วยการศึกษาหลักฐานชั้นรองโดยตรงก่อน เพื่อให้ เข้าใจและมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่ต้องการศึกษา และรวบรวมความคิดของผู้ที่ศึกษาเรื่องดังกล่าวมาก่อน แล้ว จึงไปค้นคว้าจากหลักฐานชั้นต้น ซึ่งจะทําให้ได้รายละเอียดมากขึ้นและอาจมีแนวคิดเพิ่มเติมขึ้นจากผู้ศึกษาไว้ แต่เดิม
3. การประเมินคุณคา่ ของหลักฐาน
เป็นการประเมินความถูกต้องและความสําคัญของหลักฐาน เพระาหลักฐานบางอย่างอาจเป็นของ ปลอม หรือเลียนแบบของเก่า หรือเขียนโดยบุคคลที่ไม่ได้รู้เห็นเหตุการณ์โดยตรง แล้วมาบันทึกไว้เสมือนได้รู้ เห็นเอง หรือแม้จะรู้เห็นเหตุการณ์โดยตรง แต่อาจมีความลําเอียงเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ไม่วางตัวเป็นกลาง
การวิเคราะห์หลักฐานแบ่งเป็น 2 วิธี ดังนี้
1. การประเมินภายนอก เป็นการประเมินหลักฐานจากสภาพที่ปรากฏภายนอกว่าเป็นของ แท้ ถูกต้องตามยุคสมัยหรือไม่ เช่น กระดาษที่บันทึกเป็นของเก่าจริงหรือไม่ สมัยนั้นมีกระดาษแบบน้ใี ช้ หรือยัง วัสดุที่ใช้เขียนเป็นของร่วมสมัยหรือไม่
2. การประเมินภายใน เป็นการประเมินหลักฐานว่าถูกต้องทั้งหมดหรือไม่ เช่น การกล่าวถึงตัว บุคคล สถานที่ เหตุการณ์ว่าถูกต้อง มีจริงในยุคสมัยของหลักฐานนั้นหรือไม่ หรือแม้แต่สํานวนภาษาว่าใน สมัยนั้นใช้กันหรือยัง
4. การวิเคราะห์ สังเคราะห์ และจัดหมวดหมู่ข้อมูล
เป็นขั้นตอนต่อจากที่ได้รวบรวมหลักฐาน และวิเคราะห์ความน่าเชื่อถือนั้นๆแล้ว ข้อมูล คือเรื่องราว ต่างๆทางประวัติศาสตร์ที่ปรากฏในหลักฐานที่รวบรวมและวิเคราะห์แล้วจากหลักฐานที่เชื่อถือได้ จากนั้นจึง นําข้อมูลมาวิเคราะห์ คือแยกประเภทโดยเรียงเหตุการณ์ตามลําดับเวลาก่อนหลังเพราะความสําคัญของ ข้อมูล แล้วทําการสังเคราะห์ คือจัดเหตุการณ์ เรื่องเดียวกัน และเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันไว้ด้วยกัน และศึกษา ความต่อเนื่อง การเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ ตลอดจนปัจจัยต่างๆ ที่มีความสําคัญต่อเหตุการณ์
5. การเรียบเรียงหรือการนําเสนอ
เป็นการเรียบเรียงข้อมูลที่ได้ค้นคว้า วิเคราะห์ และสังเคราะห์มาแล้ว เพื่อนําเสนอข้อมูลในลักษณะที่ เป็นการตอบหรืออธิบายความอยากรู้ ข้อสงสัย ตลอดจนความรู้ใหม่ ความคิดใหม่ที่ได้จากการศึกษาค้นคว้า นั้น ในรูปแบบการเขียนรายงานอย่างมีเหตุผล
เวลาและยุคสมัยทางประวัติศาสตร์สากล
การนับเวลาและเทียบศักราชในประวัติศาสตรส์ ากล
เมื่อมนุษย์มีการดําเนินชีวิตและทํากิจกรรมต่อเนื่องที่ใช้ระยะเวลายาวนาน ดังนั้น มนุษย์จึงต้อง กําหนดช่วงเวลาซึ่งเป็นที่ยอมรับและสามารถใช้ร่วมกันได้ในสังคมหนึ่งๆ เพื่อให้เกิดความเข้าใจในเหตุการณ์ ตรงกัน มนุษย์จึงได้กําหนดศักราชขึ้นเพ่ือใช้นับเวลาทุกๆ 1 ปี โดยเกณฑ์การกําหนดศักราชนี้จะแตกต่างกันไป ตามแนวคิดและความเชื่อในแต่ละสังคม เช่น บางสังคมใช้เหตุการณ์สําคัญที่เกี่ยวข้องกับกษัตริย์ การสร้าง เมืองหรืออาณาจักร บางสังคมใช้เหตุการณ์สําคัญทางศาสนา เป็นต้น ศักราชที่ใช้ในการศึกษาประวัติศาสตร์ สากลท่ีสําคัญ ได้แก่ คริสต์ศักราชและฮิจเราะห์ศักราช
คริสต์ศักราช (ค.ศ.)
คริสต์ศักราชเป็นศักราชสากลท่ีใช้อยู่ท่ัวโลกในปัจจุบันนี้ คริสต์ศักราชท่ี 1 เริ่มต้นเม่ือวันที่ 1 มกราคม ปี 754 แห่งศักราชโรมัน การเริ่มต้นคํานวณคริสต์ศักราชเริ่มขึ้นเมื่อ ค.ศ. 525 เมื่อสมเด็จพระสันตะปาปา นักบุญจอห์นที่ 1 (St. Paul I) ทรงมอบหมายให้นักบวชชื่อไดโอนีซุส เอ็กซิกุอุส (Dionysius Exiguus) คํานวณ วันอีสเตอร์สําหรับใช้ระหว่าง ค.ศ. 527-626
ผลการคํานวณพบว่าพระเยซูคริสต์ประสูติเม่ือวันที่ 25 ธันวาคม ปี 753 แห่งศักราชโรมัน ต่อเนื่อง จากตามธรรมเนียมถือเอาวันท่ี 1 มกราคม เป็นวันเร่ิมต้นปีใหม่ ดังน้ันจึงเห็นว่าวันที่ 1 มกราคม ปี 754 แห่ง ศักราชโรมัน เป็นจุดเริ่มต้นของปีแรกสําหรับยุคใหม่ของมนุษยชาติ เรียกว่า“ปีแห่งพระเป็นเจ้า” (ANNO DOMINI ซึ่งย่อว่า A.D.) ทําให้ในเวลาต่อมามีการเรียกช่วงเวลาก่อนการประสูติของพระเยซูคริสต์ว่า ก่อน คริสต์ศักราช (Before Christ ซึ่งย่อว่า B.C.) ดังนั้น ตามการคํานวณของไดโอนีซุส เอ็กซิกุอุส ปี 754 แห่ง ศักราชโรมัน จึงถือว่าเป็น ค.ศ. 1 (A.D. 1) และปี 753 แห่งศักราชโรมัน จึงเป็น 1 ปีก่อนคริสต์ศักราช (1 B.C.)
ฮิจเราะห์ศักราช
ฮิจเราะห์ศักราชเป็นศักราชของศาสนาอิสลาม โดยใช้ปีที่ท่านนบีมุฮัมมัด ศาสดาของศาสนาอิสลาม กระทําฮิจเราะห์ (Hijarah แปลว่า การอพยพโยกย้าย) คือ อพยพออกจากเมืองเมกกะไปยังเมืองเมดินา เป็น
ฮ.ศ.1 ซึ่งตรงกับวันที่ 16 กรกฎาคม ค.ศ. 622 หรือ พ.ศ. 1165 แต่การเทียบฮิจเราะห์ศักราชเป็นพุทธศักราช ไม่สามารถใช้จํานวนคงที่เทียบได้ เนื่องจากฮิจเราะห์ศักราชยึดถือวัน เดือน ปี ทางจันทรคติอย่างเคร่งครัด จึง เดินตามปีสุริยคติไม่ทัน ทําให้คลาดเคลื่อนไม่ตรงกัน โดยทุกๆ 32 ปีครึ่งจะเพิ่มขึ้นจาก ปี สุริยคติไป 1 ปีตลอด การเทียบฮิจเราะห์ศักราชกับพุทธศักราชในปัจจุบัน ให้บวกฮิจเราะห์ศักราชด้วย 1122
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์สากล
ยุคหรือสมัยเป็นคําที่ใช้บอกช่วงเวลาของเหตุการณ์ เพื่อกําหนดขอบเขตของเวลาที่มีความหมายและ เป็นที่เข้าใจร่วมกันได้ง่ายขึ้นและสื่อสารกันได้อย่างถูกต้องตรงกัน นักวิชาการทางด้านโบราณคดีและ ประวัติศาสตร์นิยมกําหนดพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติออกเป็น 2 ยุค คือ สมัยก่อน ประวัติศาสตร์กับสมัยประวัติศาสตร์ โดยแต่ละสมัยยังมีการแบ่งออกเป็นสมัยย่อยอีก
สมัยก่อนประวัติศาสตร์ (Pre-historical Period)
สมัยก่อนประวัติศาสตร์ คือ ช่วงเวลาที่มนุษย์ยังไม่มีตัวอักษรจดบันทึกเรื่องราวของสังคม นัก โบราณคดีเป็นผู้ศึกษาเรื่องราวของสมัยก่อนประวัติศาสตร์เป็นหลักโดยศึกษาจากซากพิมพ์ดึกดําบรรพ์หรือ พิมพ์หิน โบราณสถาน โบราณวัตถุ โครงกระดูก สิ่งของเครื่องใช้ ภาพวาดตามผนังหรือบนสิ่งของต่างๆ เป็นต้น โดยสมัยก่อนประวัติศาสตร์มีการแบ่งเป็นยุคย่อยคือยุคหินกับยุคโลหะทั้งนี้ยุคหินยังมีการแบ่งออกเปน็ยุค หินเก่า ยุคหินกลาง และ ยุคหินใหม่ ส่วนยุคโลหะก็มีการแบ่งเป็นยุคสําริดกับยุคเหล็ก เป็นยุคที่มนุษย์เริ่มรู้จัก นําหินมาปรับใช้เป็นเครื่องมือเครื่องใช้หรืออุปกรณ์และอาวุธ นักโบราณคดีกําหนดให้ยุคหินของมนุษย์ สมัยก่อนประวัติศาสตร์ (สากล) อยู่ระหว่าง 2.5 ล้านปี ถึงประมาณ 4,000 ปีมาแล้ว แต่เนื่องจากสิ่งที่เหลือ เป็นหลักฐานอยู่จนถึงปัจจุบันมีเพียงชนิดเดียวคือหิน ดังนั้นเราจึงเรียกยุคนี้ว่า ยุคหิน ทั้งนี้ยุคหินตาม พัฒนาการเทคโนโลยีการทําเครื่องมือเครื่องใช้ยังแบ่งออกเป็น 3 ยุคย่อย คือ ยุคหินเก่า ยุคหินกลาง และยุค หินใหม่ ดังนี้
1. ยุคหิน (Stone Age)
1.1 ยุคหินเก่า (Paleolithic Period หรือ Stone Age) อยู่ระหว่าง 2,500,000 -10,000 ปีมาแล้ว มนุษย์ในยุคนี้อาศัยอยู่ในถ้ําหรือเพิงผา ยังไม่มีความคิดสร้างที่อยู่อาศัยโดยใช้วัสดุธรรมชาติหรือตั้งรกรากถาวร ดํารงชีวิตด้วยการล่าสัตว์ หาปลา และเก็บหาผลไม้ในป่า เมื่ออาหารตามธรรมชาติหมดก็อพยพไปหาแหล่ง อาหารที่อื่นต่อไป มนุษย์ยุคหินเก่ารู้จักประดิษฐ์เครื่องมืออย่างหยาบๆ เครื่องมือที่ใช้ทั่วไป คือ เครื่องมือหิน กะเทาะ ที่มีลักษณะหยาบ ใหญ่ หนา กะเทาะเพียงด้านเดียวหรือสองด้าน ไม่มีการฝนให้เรียบ มนุษย์ยุคหิน เก่ารู้จักนําหนังสัตว์มาทําเป็นเครื่องนุ่งห่ม รู้จักใช้ไฟเพื่อให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย ให้แสงสว่าง ให้ความ ปลอดภัย และหุงหาอาหาร มีการฝังศพ ทําพิธีกรรมเกี่ยวกับการตาย และมีการนําเครื่องมือเครื่องใช้และอาวุธ ต่างๆ ของผู้ตายฝังไว้ในหลุมด้วย นอกจากนี้มนุษย์ยุคหินเก่ายังรู้จักสร้างสรรค์งานศิลปะ ซึ่งพบภาพวาดตาม ผนังถ้ําที่ใช้สีฝุ่นสีต่างๆ ได้แก่ สีดํา น้ําตาล ส้ม แดงอ่อน และเหลือง ภาพที่วาดส่วนใหญ่เป็นภาพสัตว์ เช่น วัว กระทิง ม้าป่า กวางแดง เป็นต้น ภาพวาดที่มีชื่อเสียงของมนุษย์ยุคหินเก่าอยู่ที่ถ้ําลาสโก ประเทศฝรั่งเศส หลักฐานเครื่องมือหินที่นักโบราณคดีพบตามที่ต่างๆ เช่น ทวีปยุโรป เอเชีย ออสเตรเลีย และทวีป อเมริกา ทํา ให้มีการตั้งชื่อมนุษย์ยุคนี้ตามสถานที่ที่พบหลักฐาน เช่น มนุษย์ชวา พบที่เกาะชวา ประเทศอินโดนีเซีย มนุษย์ ปักกิ่ง พบที่ถ้ําใกล้กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน มนุษย์นีแอนเดอร์ธัล พบที่หุบเขาแอนเดอร์ ประเทศเยอรมนี มนุษย์ โครมันยองพบที่ถ้ําโครมันยอง ประเทศฝรั่งเศส มนุษย์โครมันยองเป็นมนุษย์ยุคหินเก่ารุ่นสุดท้าย (อายุระหว่าง 30,000-17,000 ปีมาแล้ว) ที่ค้นพบและมีลักษณะเหมือนมนุษย์ปัจจุบัน
1.2 ยุคหินกลาง (Mesolithic Period หรือ Middle Stone Age) อยู่ระหว่าง 10,000-6,000 ปี มาแล้ว มนุษย์ยุคนี้รู้จักทําเครื่องมือหินที่มีความประณีตมากขึ้นด้วยการกระเทาะ ผิวด้านใดด้านหนึ่งหรือทั้ง สองด้านออกให้เกิดความคม ทําให้เครืองมือหินในยุคนี้มีรูปทรงที่เหมาะแก่การใช้งานมากขึ้นกว่าเดิม เครื่องมือยุคหินกลางที่พบมีทั้งเครื่องมือสับ ตัด ขุด และทุบ หลักฐานเครื่องมือหินของมนุษย์ในยุคหินกลางพบ ในทวีปยุโรปและทวีปเอเชีย โดยพบครั้งแรกในเวียดนามเรียกว่าวัฒนธรรมฮัวบิเนียน จัดเป็นวัฒนธรรมยุคหิน กลางของประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งประเทศไทยด้วย
1.3 ยุคหินใหม่ (Neolithic Period หรือ New Stone Age) อยู่ระหว่าง 6,000 -4,000 ปีมาแล้ว มนุษย์ยุคนี้มีความเจริญทางวัตถุมากกว่ายุคหินกลาง รู้จักควบคุมธรรมชาติมากขึ้น รู้จักพัฒนาการทําเครื่องมือ หินอย่างประณีตโดยมีการขัดฝนหินทั้งชิ้นให้เป็นรูปร่างลักษณะต่างๆ เพื่อให้เครื่องมือมีประสิทธิภาพในการใช้ สอยมากขึ้นกว่าเครื่องมือรุ่นก่อนหน้านี้ เช่น มีดหินที่สามารถตัดเฉือนได้แบบมีดโลหะ มีการต่อด้ามยาวเพื่อใช้ แผ่นหินลับคมเป็นเสียมขุดดิน หรือต่อด้ามไม้สําหรับจับเป็นขวานหิน สามารถปั้นหม้อดินและใช้ไฟเผา สามารถทอผ้าจากเส้นใยพืชและทอเป็นเชือกทําเป็นแหหรืออวนจับปลา ลักษณะสําคัญอีกประการหนึ่งที่ จําแนกมนุษย์ยุคหินใหม่ออกจากมนุษย์ยุคหินกลางก็คือการที่มนุษย์ยุคนี้รู้จักการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ใน ระดับที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่น มีการปลูกข้าวและพืชอื่นๆ เช่น ถั่ว ฟัก บวบ และเลี้ยงสัตว์หลายชนิดมากขึ้น เช่น แพะ แกะ และ วัว ซึ่งก็คงทั้งไว้ใช้งานและเป็นอาหาร วัฒนธรรมยุคหินใหม่พบอยู่ทั่วโลก แต่หลักฐานสําคัญที่ มีลักษณะโดดเด่น คือ การสร้างอนุสาวรีย์หิน (Megalithic) ที่มีชื่อเสียง คือ สโตนเฮนจ์ (Stonehenge) ใน ประเทศอังกฤษ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นเพื่อใช้คํานวณเวลาทางดาราศาสตร์ เพื่อพิธีกรรม เพื่อบวงสรวงดวง อาทิตย์ และเพื่อผลผลิตทางการเพาะปลูก
2. ยุคโลหะ (Metal Age)
เริ่มเมื่อประมาณ 4,000 ปีมาแล้ว มนุษย์ยุคนี้มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดอัน
แสดงถึงการพัฒนาความสามารถทางความคิด ด้วยการมีควาสามารถ นําโลหะมาทําเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ นั่นเอง ในระยะแรกของยุคโลหะจะพบว่าพวกเขารู้จักหลอมทองแดงและดีบุกซึ่งเป็นโลหะที่ใช้อุณหภูมิไม่สูง นักในการหลอม ต่อมาจึงพัฒนาความรู้และเทคโนโลยีขึ้นมาจนสามารถหลอมเหล็กได้ ซึ่งการหลอมเหล็กต้อง ใช้อุณหภูมิสูง นักโบราณคดีจึงแบ่งยุคโลหะออกเป็น 2 ยุคตามความแตกต่างของระดับเทคโนโลยีและวสั ดทุ ี่ นํามาใช้ทําเครื่องมือเครื่องใช้ ดังนี้
2.1 ยุคสําริด (Bronze Age) การเริ่มต้นของยุคสําริดในแต่ละภูมิภาคจะต่างกันไป แต่ส่วนใหญ่จะเริ่ม ระหว่างประมาณ 4,000 ปีมาแล้ว ในช่วงเวลานี้มนุษย์รู้จักนําทองแดงผสมกับดีบุกหลอมรวมกันกลายเป็น โลหะผสมที่เราเรียกว่า สําริด มาใช้ทําเป็นเครื่องมือเครื่องใช้และอาวุธที่มีคุณภาพดีกว่าที่ทําจากหินขัดมาก การดํารงชีวิตของมนุษย์ยุคนี้ก็เปลี่ยนไปจากการเป็นชุมชนเกษตรกรรมเล็กๆ กลายเป็นชุมชนขนาดใหญ่ที่เรา เรียกว่าชุมชนเมือง มีการจัดแบ่งความสัมพันธ์ของคนในสังคมตามความสัมพันธ์และความสามารถ ซึ่ง พัฒนาการนี้ทําให้สังคมมีความมั่นคงและมีการสั่งสมอารยธรรมได้อย่างรวดเร็วกว่าที่ผ่านมา แหล่งอารยธรรม สําคัญที่มีพัฒนาการจากสังคมสมัยหินใหม่สู่สมัยสําริด เช่น แหล่งอารยธรรมเมโสโปเตเมียในภูมิภาคเอเชีย- ตะวันตก แหล่งอารยธรรมลุ่มแม่น้ําไนล์ในประเทศอียิปต์ แหล่งอารยธรรมลุ่มแม่น้ําสินธุในประเทศอินเดีย และแหล่งอารยธรรมลุ่มแม่น้ําฮวงเหอในประเทศจีน เป็นต้น
2.2 ยุคเหล็ก (Iron Age) เริ่มเมื่อประมาณ 3,200 ปีมาแล้ว เป็นช่วงของการพัฒนาการทางเทคโนโลยี ที่ต่อเนื่องจากยุคสําริด หลังจากที่มนุษย์สามารถนําทองแดงมาผสมกับดีบุกและหลอมเป็นโลหะผสมได้แล้ว มนุษย์ก็คิดค้นหาวิธีนําเหล็กซึ่งเป็นโลหะที่มีความแข็งและทนทานกว่าสําริดมาทําเป็นเครื่องมือเครื่องใช้และ อาวุธ ด้วยการใช้อุณหภูมิในการหลอมที่สูงกว่าการหลอมสําริด แล้วจึงตีโลหะเหล็กในขณะที่ยังร้อนอยู่ให้เป็น
รูปทรงที่ต้องการ เนื่องจากเหล็กใช้ทําเครื่องมือเครื่องใช้มีความเหมาะสมกับงานการเกษตรที่ต้องใช้ความ แข็งแรงมากกว่าสําริด และมีความทนทานกว่าด้วย จึงทําให้มนุษย์ยุคเหล็กสามารถทําการเกษตรได้ผลผลิต เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้เหล็กยังใช้ทําอาวุธที่มีความแข็งแกร่งและทนทานกว่าสําริด จึงทําให้สังคมมนุษย์ยุคนี้ที่ พัฒนาเข้าสู่ยุคเหล็กและเข้าสู่ความเป็นรัฐได้ด้วยการมีกองทัพที่มีประสิทธิภาพกว่า สามารถปกป้องเขตแดน ของตนเองได้ดีกว่า ทําให้สังคมเมืองของตนมีความมั่นคงปลอดภัย และในที่สุดก็สามารถขยายอิทธิพลไปยัง ดินแดนอื่นๆ ได้ในเวลาต่อมา
สมัยประวัติศาสตร์ (Historical Period)
สมัยประวัติศาสตร์ คือ ช่วงเวลาที่มีหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรบอกเล่าเรื่องราวของสังคมนั้นๆ อักษรนั้นอาจเป็นตัวอักษรของชนชาติอื่นก็ได้แต่นํามาใช้บันทึกคําพูดเป็นเรื่องราวของสังคมตน โดยสมัย ประวัติศาสตร์มีการแบ่งเป็นสมัยย่อย คือ สมัยโบราณ สมัยกลาง สมัยใหม่ และสมัยปัจตามเหตุผลการจําแนก ยุคสมัยดังนี้ นักเรียนจึงต้องเข้าใจว่าสมัยก่อนประวัติศาสตร์และสมัยประวัติศาสตร์ของสังคมแต่ละสังคม (หรือ ประเทศ) จะเริ่มต้นไม่ตรงกัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไข การมีตัวอักษรบันทึกเรื่องราวของแต่ละสังคม นอกจากนั้นการ แบ่งและกําหนดสมัยย่อยในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ก็ยังมีความแตกต่างกัน เนื่องจากแต่ละภูมิภาคต่างก็มี พัฒนาการแตกต่างกันไป
สังคมมนุษย์ที่มีตัวอักษรใช้เป็นสังคมที่มีการจัดระบบซับซ้อนขึ้นจากการที่มนุษย์มีการสะสมความรู้ และมีพัฒนาการทางความคิดที่ซับซ้อนขึ้นนั่นเอง เนื่องจากแต่ละสังคมมีพัฒนาการทางความรู้ความคิดและ เทคโนโลยีที่ต่างกัน สมัยประวัติศาสตร์ของแต่ละประเทศจึงเร่ิมต่างกัน เช่นเดียวกับการที่สังคมแต่ละสังคมมี พัฒนาการผ่านสมัยก่อนประวัติศาสตร์มาต่างกันนั่นเอง เนื่องจากบทเรียนนี้เป็นเรื่องของประวัติศาสตร์สากล ซึ่งหมายถึงประวัติศาสตร์โลกตะวันตกนั่นเอง การกําหนดยุคสมัยทางประวัติ ศาสตร์สากลจึงใช้เกณฑ์ที่นัก ประวัติศาสตร์ตะวันตกนิยมใช้ ซึ่งก็แบ่งเป็นสมัยโบราณ สมัยกลาง สมัยใหม่ และสมัยปัจจุบัน
1. ประวัติศาสตร์สมัยโบราณ (3,500 ปีก่อนคริสต์ศักราช – ค.ศ.476) เริ่มเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก บริเวณดินแดนเมโสโปเตเมียแถบลุ่มแม่น้ําไทกริส-ยูเฟรทีสและดินแดนอียิปต์แถบลุ่ม แม่น้ําไนล์ ที่ชาวเมโสโป เตเมียและชาวอียิปต์รู้จักประดิษฐ์ตัวอักษรได้เมื่อ 3,500 ปีก่อนคริสต์-ศักราช จากนั้นอิทธิพลของความเจริญ ของสองอารยธรรมก็ได้แพร่หลายไปยังทางใต้ของยุโรปสู่เกาะครีต ต่อมาชาวกรีกได้รับเอาความเจริญจาก เกาะครีตและความเจริญของอียิปต์มาสร้างสมเป็นอารยกธรรมกรีกขึ้น และเมื่อชาวโรมันในแหลมอิตาลียึด ครองกรีกได้ ชาวโรมันก็นําอารยธรรมกรีกกลับไปยังโรมและสร้างสมอารยธรรมโรมันขึ้น ต่อมาเมื่อชาวโรมัน สถาปนาจักรวรรดิโรมันพร้อมกับขยายอาณาเขตของตนไปอย่างกว้างขวาง อารยธรรมโรมันจึงแพร่ขยาย ออกไป จนกระทั่งจักรวรรดิโรมันล่มสลายลงเมื่อพวกอนารยชนเผ่าเยอรมันเข้ายึดกรุงโรมได้ใน ค.ศ. 476 ประวัติศาสตร์สมัยโบราณของชาติตะวันตกจึงสิ้นสุดลง
2. ประวัติศาสตร์สมัยกลาง (ค.ศ. 476-ค.ศ. 1453) เริ่มตั้งแต่การสิ้นสุดของจักรวรรดิโรมันตะวันตก ใน ค.ศ. 476 เมื่อถูกพวกอนารยชนเยอรมันเผ่าวิสิกอธ (Visigoth) โจมตี ซึ่งเหตุการณ์นี้ถือเป็นจุดสิ้นสุดของ จักรวรรดิโรมันตะวันตก เมื่อจักรวรรดิโรมันตะวันตกล่มสลายลง สภาพทั่วไปของกรุงโรมเต็มไปด้วยความ
วุ่นวาย การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมอ่อนแอ ประชาชนอดอยาก ขาดที่พึ่ง มีปัญหาเรื่องโจรผู้ร้าย เนื่องจาก ช่วงเวลานี้ยุโรปตะวันตกไม่มีจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ปกครองดังเช่นจักรวรรดิโรมัน นอกจากนี้ยังถูกพวกอนารยชน เผ่าต่างๆ เข้ามารุกราน ส่งผลให้อารยธรรมกรีกและโรมันอันเจริญรุ่งเรืองในยุโรปตะวันตกได้หยุดชะงักลง นัก ประวัติศาสตร์สมัยก่อนจึงเรียกช่วงสมัยนี้อีกชื่อหนึ่งว่า ยุคมืด (Dark Ages) หลังจากนั้นศูนย์กลางของอํานาจ ยุโรปได้ย้ายไปอยู่ที่เมืองไบแซนติอุม (Byzantium) ซึ่งอยู่ในประเทศตุรกีปัจจุบัน โดยจักรพรรดิคอนสแตนติน (Constantion) เป็นผู้สถาปนาจักรวรรดิแห่งใหม่ที่มีความเจริญรุ่งเรืองซึ่งต่อมาเป็นที่รู้จักกันในชื่อ คอนสแตน ติโนเปิล (Constantinople) ตามชื่อของจักรพรรดิคอนสแตนติน ประวัติศาสตร์สมัยกลางนี้เป็นช่วงเวลาที่มี การเปลี่ยนแปลงอารยธรรมตะวันตกจากอารยธรรมโรมันไปสู่อารยธรรมคริสต์ศาสนา เป็นสมัยที่ตะวันตก ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากคริสต์ศาสนา ทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และศิลปวัฒนธรรม นอกจากนี้ สังคมสมัยกลางยังมีลักษณะเป็นสังคมในระบบฟิวดัล (Feudalism) หรือสังคมระบบศักดินาสวามิภักดิ์ ที่ขุน นางมีอํานาจครอบครองพื้นที่ โดยประชาชนส่วนใหญ่มีฐานะเป็นข้าติดที่ดิน (sert) และดํารงชีวิตอยู่ในเขตแม เนอร์ (Manor) ของขุนนาง ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษของสังคมสมัยกลาง นอกจากนี้ในสมัยกลางนี้ได้เกิดเหตุการณ์ สําคัญ คือ สงครามครูเสด ซึ่งเป็นสงครามความขัดแย้งระหว่างคริสต์ศาสนากับศาสนาอิสลาม ที่กินเวลาเกือบ 200 ปี เป็นผลให้เกิดการค้นหาเส้นทางการค้าทางทะเลและวิทยาการด้านอื่นๆ ตามมา สมัยกลางสิ้นสุดใน ค.ศ. 1453 เมื่อพวกออตโตมันเตอร์กสามารถยึดกรุงคอนสแตนติโนเปิลของจักรวรรดิโรมันตะวันตกได้
3. ประวัติศาสตร์สมัยใหม่ (ค.ศ. 1453-1945) ประวัติศาสตร์ตะวันตกสมัยใหม่ถือว่าเริ่มต้นใน ค.ศ. 1453 เป็นปีที่ชนเผ่าเติร์กโจมตีและสามารถยึดกรุงคอนสแตนติโนเปิลได้ เป็นผลให้ศูนย์กลางความ เจริญรุ่งเรืองกลับมาอยู่ในยุโรปตะวันตกอีกครั้ง ในระหว่างนี้ในยุโรปตะวันตกเองกําลังมีความเจริญก้าวหน้า ทางด้านความคิดและศิลปวิทยาการต่างๆจากพัฒนาการของการฟื้นฟูศิลปวิทยาการที่ดําเนินมา ยุโรปจึง กลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง ในครั้งนี้ได้มีการสํารวจและขยายดินแดนออกไปกว้างไกลจนเกิดเป็นยุคล่าอาณานิคม ซึ่งต่อมานําไปสู่ความขัดแย้งระหว่างประเทศ กลายเป็นสงครามใหญ่ที่เรียกกันว่าสงครามโลกถึงสองครั้ง ภายในเวลาห่างกันเพียง 20 ปี ในช่วงเวลาเกือบห้าร้อยปีของประวัติศาสตร์สมัยใหม่มีเหตุการณ์สําคัญเกิดขึ้น มากมาย ที่โดดเด่นและมีผลกระทบยาวไกลต่อเนื่องมาจนถึงโลกปัจจุบัน ได้แก่ การสํารวจทางทะเล การปฏิวัติ ทางวิทยาศาสตร์ การปฏิวัติอุตสาหกรรม การกําเนิดแนวคิดทางการเมืองใหม่ (เสรีนิยม ชาตินิยม และ ประชาธิปไตย) การขยายดินแดนหรือการล่าอาณานิคม (จักรวรรดินิยม) และสงครามโลกสองครั้ง
4. ประวัติศาสตร์สมัยปัจจุบัน (ค.ศ. 1945-ปัจจุบัน) หรือเรียกกันว่า ประวัติศาสตร์ร่วมสมัย เริ่ม ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ซึ่งมีผลกระทบอย่างรุนแรงทั่วโลกและก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้ง ทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมืองการปกครองของสังคมโลกในปัจจุบัน โดยช่วงประวัติศาสตร์สมัยปัจจุบันมี เหตุการณ์ ดังนี้
4.1 สมัยสงครามเย็น (ค.ศ. 1945-1991) เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงได้เกิดการขัดแย้งทางด้าน อุดมการณ์ทางการเมืองของสองอภิมหาอํานาจ คือ สหรัฐอเมริกาผู้นําค่ายประชาธิปไตยและสหภาพโซเวียต ผู้นําค่ายคอมมิวนิสต์ เพื่อแข่งขันเกี่ยวกับลัทธิความเชื่อทางการเมืองและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ โดยไม่ได้ ทําสงครามเหมือนสงครามโลกที่ผ่านมา แต่ใช้วิธีการโฆษณาชวนเชื่อเป็นหลักในการหาพันธมิตรและประเทศ
ใต้อิทธิพล ประเทศเล็กๆ จึงจําเป็นต้องเข้าข้างและรับการสนับสนุนจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง สงครามเย็นสิ้นสุดลง เมื่อผู้นําประเทศสหภาพโซเวียตได้ปรับนโยบายการเมืองทั้งภายในและภายนอกประเทศที่เน้นการร่วมมือกับ นานาประเทศในการแก้ปัญหาต่างๆ และปฏิรูปประเทศให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ต่อมาเมื่อประเทศยุโรป ตะวันออกซึ่งเป็นพันธมิตรของสหภาพโซเวียตได้แยกตัวออกจากสหภาพโซเวียต ส่งผลให้พรรคคอมมิวนิสต์ใน ประเทศยุโรปตะวันออกสิ้นสุดอํานาจลง ต่อมาใน ค.ศ. 1989 สหรัฐอเมริกากับสหภาพโซเวียตตกลงลงนาม ร่วมกันที่เกาะมอลตา ประกาศการสิ้นสุดภาวะสงครามเย็น บรรยากาศสันติภาพจึงแพร่กระจายไปทั่วภูมิภาค ต่างๆ ของโลก ใน ค.ศ. 1990 กําแพงเบอร์ลินซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของสงครามเย็นก็ถูกทําลายลง และปีต่อมา เยอรมนีตะวันตกและเยอรมนี ตะวันออกก็รวมตัวเป็นประเทศเดียวกัน และในปลาย ค.ศ. 1991 สหภาพโซ เวียตก็ล่มสลาย สงครามเย็นจึงสิ้นสุดอย่างเป็นทางการ
4.2 สมัยโลกาภิวัตน์ ตั้งแต่ช่วงครั้งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 20 เป็นช่วงเวลาที่โลกมีความ เจริญก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทั้งวิทยาการแขนงต่างๆ ทําให้สภาพความเป็นอยู่ของ มนุษย์โดยทั่วไปเจริญขึ้น มนุษย์สามารถเดินทางไปสํารวจอวกาศและดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ รู้จักประดิษฐ์คิดค้น เครื่องมือที่ทําให้สะดวกสบาย ความเจริญทางด้านการแพทย์ทําให้มนุษย์มีชีวิตยืนยาวและมีคุณภาพ การ คมนาคมขนส่งข้ามทวีปเป็นไปอย่างรวดเร็ว หรือการสื่อสารข้อมูลแพร่หลายที่สื่อภาพและเสียงโดยผ่านทาง ดาวเทียม อินเทอร์เน็ต โทรศัพท์มือถืออย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่กี่วินาที อย่างไรก็ตาม ความก้าวหน้า ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่พัฒนาไปอย่างไม่หยุดยั้งได้ส่งผลต่อมนุษย์และเกิดปัญหาใหม่ๆ ตามมา อย่างรวดเร็ว การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของจํานวนประชากร การใช้พลังงานนิวเคลียร์ การเกิดสภาวะที่อุณหภูมิ ของโลกร้อนขึ้นจนมีผลทําให้น้ําแข็งขั้วโลกและยอดเขาสูงละลายที่เรียกว่า ภาวะเรือนกระจก เป็นต้น ดังนั้นใน ยุคโลกาภิวัตน์นอกจากจะทําให้ชีวิตมนุษย์สุขสบายขึ้น แต่ก็ส่งผลให้เกิดปัญหาใหม่ๆ ตามมาด้วยเช่นกัน
วิวัฒนาการของมนุษย์
การศึกษาความเป็นมาของมนุษยชาติโดยทั่วไป แบ่งออกเป็น 2 ยุค อย่างคร่าวๆ คือ ยุคก่อน ประวัติศาสตร์และยุคประวัติศาสตร์
ยุคก่อนประวัติศาสตร์เริ่มเมื่อประมาณสี่ล้านปีที่ผ่านมา เมื่อบรรพบุรุษรุ่นแรกสุดของมนุษย์เริ่ม ปรากฏตัวขึ้นจนกระทั่งถึงช่วงเวลาประมาณ 3,000 ปีก่อนคริสต์กาล เรื่องราวของมนุษย์ยุคนี้เขียนขึ้นจาก หลักฐานทางด้านวัตถุคือ เครื่องมือเครื่องใช้ อาวุธ และสิ่งประดิษฐ์อื่นๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้น รวมทั้งซากโครง กระดูกของมนุษย์เองด้วย
ยุคประวัติศาสตร์เริ่มขึ้นเมื่อมนุษย์ประดิษฐ์ภาษาเขียนขึ้นใช้ บันทึกประเภทตัวเขียนที่มนุษย์ทําขึ้นไว้ ช่วยเสริมเรื่องราวของมนุษย์ที่เรียนรู้ได้จากซากวัสดุต่างๆ ให้กระจ่างและชัดเจนยิ่งขึ้น การเขียนซึ่งกําหนดให้ เป็นจุดเริ่มต้นของยุคประวัติศาสตร์ เป็นผลผลิตสําคัญของมนุษย์ในยุคเริ่มต้นอารยธรรม ยุคอารยธรรม และ ยุคประวัติศาสตร์ จึงมักพิจารณาให้เป็นยุคเดียวกันและใช้ชื่อแทนกันได้
ยุคก่อนอารยธรรมหรือก่อนประวัติศษสตร์ อาจแบ่งออกได้เป็น 2 ยุคอย่างคร่าวๆ คือ ยุคหินเก่า (Paleolithic หรือ Old Stone Age) และยุคหินใหม่ (Neolithic หรือ New Stone Age) ยุคหินเก่าสิ้นสุดลง
เมื่อประมาณ 10,000 ปีก่อคริสตกาล ยุคหินใหม่กินเวลานับแต่ 10,000 ปีก่อนคริสต์กาลจนกระทั่งถึงช่วงเวลา 4,000 – 3,000 ปีก่อนคริสตกาล
ยุคหินเก่า
สารัตถะของยุคหินเก่า เป็นเรื่องราวของวิวัฒนาการทางสรีระของมนุษย์รุ่นต่างๆ จากสภาพเริ่มแรก ซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงวานรจนกระทั่งกลายสภาพมาเป็นมนุษย์ซึ่งมีรูปร่างหน้าตาเช่นปัจจุบัน การศึกษา เกี่ยวกับวิวัฒนการทางสรีระของมนุษย์ส่วนใหญ่อิงอยู่กับทฤษฎีวิวัฒนาการของชาลส์ ดาร์วิน ทฤษฎีนี้กล่าวว่า สิ่งมีชีวิตชาติพันธุ์ต่างๆ มีสัญชาติญาณที่จะรู้วิธีใช้เครืองมือในกาย คือ อวัยวะต่างๆ เพื่อให้มีชีวิตอยู่รอดได้ใน สภาพแวดล้อมของธรรมชาติ สัญชาติญาณแห่งการอยู่รอดนี้เป็นพลังผลักดันให้ลักษณะทางกายภาพของ ร่างกายและอวัยวะเปลี่ยนแปลงเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมภายนอกที่เปลี่ยนแปลงไปด้วย การ เปลี่ยนแปลงคุณลักษณะทางกายภาพนี้เกิดขึ้นทีละน้อย ในลักษณะวิวัฒนาการ และภายในหลายชั่วอายุคน สิ่งมีชีวิตชาติพันธุ์ใดไม่สามารถปรับตัวให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม ก็ไม่อาจอยู่รอดได้ และอาจถึงกับต้อง สูญพันธุ์ไป
การปรับตัวของชาติพันธุ์มนุษย์ที่สําคัญ (ซึ่งก็คือวานรจําพวกหนึ่ง) กระทําโดยการยืนตัวตรงบนขาทั้ง สองข้างและใช้ประโยชน์จากการทํางานของมือเป็นส่วนใหญ่ กระบวนการดังกล่าวนี้ นักวิชาการเชื่อว่ามีส่วน สัมพันธ์ต่อพัฒนาการของมันสมอง กล่าวคือการเคลื่อนไหวของร่างกายในท่าตั้งตรงและการเคลื่อนไหวของมือ มีส่วนช่วยให้มันสมองเจริญเติบโตขึ้น และในทางกลับกันการเจริญเติบโตของสมองทําให้มนุษย์ใช้ประโยชน์ จากการเคลื่อนไหวร่างกายในท่าตั้งตรง และการเคลื่อนไหวของมือได้ดียิ่งขึ้น มนุษย์ได้ใช้มือและการทํางาน ของสมองเหล่านี้ (เช่น การสร้างเครื่องมือ) เปลี่ยนสภาพแวดล้อมเพื่อให้เมาะแก่การใช้ชีวิตของตนด้วย
นอกจากนี้แล้ว มนุษย์ยังได้สร้างสั่งสมวัฒนธรรม หรือแบบแผนการดําเนินชีวิตบางประการเพื่อให้ ชีวิตดํารงอยู่ได้ วัฒนธรรมของมนุษย์ในระยะเริ่มแรกนี้ได้แก่ การร่วมมือ เรียนรู้ และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน การประดิษฐ์เครื่องมือเข้าช่วยการทํางานของอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกาย และการประดิษฐ์ภาษาพูดเพื่อเป็น สื่อในการเรียนรู้และร่วมมือซึ่งกันและกันดังกล่าว
การส้รางวัฒนธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องมือ เป็นคุณลักษณะเฉพาะที่สําคัญยิ่งของมนุษย์ ที่เราไม่ อาจพบในสัตว์โลกชนิดอื่นๆ ลิงชิมแปนซี หรือนกอินทรีอาจใช้กิ่งไม้หรือก้อนหินเป็นเครื่องมือในการแสวงหา อาหาร แต่สัตว์เหล่านี้มิได้ ‘สร้าง’ หรือประดิษฐ์เครื่องมือในแง่ของการดัดแปลงวัสดุบางอย่างให้เหมาะแก่ สรีระ (เช่น การจับถือ) และออกแบบเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย (การใช้งาน) อย่างที่ตนต้องการได้ นักวิชาการผู้ ศึกษามนุษย์ในระยะแรกจึงมักเรียกขานมนุษย์ในเชิงที่แตกต่างจากสัตว์อื่นว่า ‘ผู้สร้างเครื่องมือ’ (Tool – Making Animal)
ภาษาพูดก็เป็นสิ่งประดิษฐ์ทางวัฒนธรรมอีกประการหนึ่งที่มนุษย์กระทําขึ้นเพื่อช่วยดํารงความอยู่รอด ของตน นักวิชาการเชื่อว่า การประกดิษฐ์ภาษาพูดกระทําขึ้นพร้อมๆ กับการสร้างเครื่องมือ ภาษาพูดนี้ช่วยให้ การร่วมมือกันเพื่อสร้างเครื่องมือ ตลอดจนการสั่งสมวัฒนธรรมในมวลหมู่มนุษย์สะดวกขึ้นและเป็นไปได้
เพราะมนุษย์ไม่อาจเรียนรู้ ร่วมมือกัน หรือถ่ายทอดประสบการณ์ให้แก่กันและกันได้ หากปราศจากการสื่อสาร ด้วยการพูด ภาษาพูดจึงนับเป็นผลงานสร้างสรรค์ทางวัฒนธรรมที่สําคัญยิ่งของมนุษย์ในยุคหินเก่า
นอกจากการวัฒนธรรมทางวัตถุและทางการการสื่อสารดังกล่าวแล้ว มนุษย์ยังสร้างวัฒนธรรมทางจิต วิญญาณ เพื่อเป็นพลังเกื้อหนุนการดํารงชีวิตของพวกเขาด้วย วัฒนธรรมทางจิตวิญญาณดังว่านี้ หมายถึงความ เชื่อทางศาสนาหรือพิธีกรรมบางอย่าง เราคงเข้าใจได้ว่า ในท่ามกลางสภาพแวดล้อมของโลกในยุคหิน มนุษย์ ซึ่งมีวิวัฒนาการในขั้นต้นย่อมไม่เข้าใจสิ่งแวดล้อมหรือปรากฏการณ์ธรรมชาติต่างๆ อย่างเป็นวิทยาศาสตร์เยี่ยง ที่มนุษย์เราปัจจุบันรู้หรือเข้าใจ ดังนั้นสภาพแวดล้อมหรือปรากฏการณ์ธรรมชาติในสายตาหรือความคิดของชน ในยุคนี้คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือวิญญาณที่น่าเกรงขามที่อยู่นอกเหนือความเข้าใจของเขา เมื่อใช้ชีวิตอยู่ในท่ามกลาง สิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือความน่าเกรงขามเหล่านี้ พวกเขาจึงต้องสร้างเครื่องมือทางจิตวิญญาณบางอย่าง เพื่อบรรเทา ความกลัวในจิตใจของตน เครื่องมือทางจิตวิญญาณนี้ อาจเปรียบได้กับเครื่องมือทางวัตถุและการสื่อสารที่พวก เขาประดิษฐ์ขึ้นเพื่อให้ชีวิตดํารงอยู่ได้ในทํานองเดียวกัน
วิวัฒนาการทางสรีระของมนุษย์ยุคหินเก่าและการสร้างวัฒนธรรมด้านต่างๆ ดังกล่าวมาข้างต้นมีดังนี้
1. ออสเตรโลพิธีซีนส์
นักวิชาการปัจจุบันเห็นพ้องต้องกันโดยทั่วไปว่า ออสเตรโลพิธีซีนส์เป็นบรรพบุรุษเริ่มแรกสุดของ มนุษย์ปัจจุบัน ปรากฏตัวครั้งแรกเมื่อสี่ล้านปีมาแล้วในบริเวณแอฟริกาใต้และตะวันออก
พิจารณาจากซากโครงกระดูก นักวิชาการเห็นว่า ออสเตรโลพิธีซีนส์น่าจะเป็นชาติพันธุ์มนุษย์ในช่วง ตอนของการวิวัฒนาการทางสรีระที่กลายสภาพจากวานร (Apeman) มาสู่มนุษย์ (Homo) ออสเตรโลพิธีซีนส์ เริ่มยืนอยู่บนขาสองข้าง (ซึ่งยังไม่ใคร่ตรงดีนัก) และเริ่มใช้มือ (หรือขาหน้าทั้งสองแต่เดิม) แสวงหาอาหารและ รวมทั้งแสวงหาวัสดุอื่นๆ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งหิน) เข้าช่วยการทํางานของมือ ใบหน้าของออสเตรโลพิธีซีนส์ยังมี ลักษณะดั้งเดิมคล้ายวานรอยู่มาก ฟัน และกระดูกขากรรไกรใหญ่และยื่น แต่ก็ผ่านการพัฒนามาแล้ว คือมี ขนาดที่เหมาะไม่ใหญ่เกินไป เพราะมนุษย์พวกนี้ไม่จําเป็นต้องใช้ฟันและขากรรไกรที่ใหญ่สําหรับฉีกหรือเคี้ยว เนื้อสัตว์อื่นๆ เป็นอาหาร (เช่น ชิมแปนซี หรือกอริลลา) หากแต่ใช้มือหรือเครื่องมือเข้าช่วยหรือกระทําแทน
ในด้านการใช้ชีวิต มีหลักฐานชี้ให้เห็นว่า ออสเตรโลพิธีซีนส์ ใช้ชีวิตในแบบอย่างของมนุษย์บ้างแล้ว กล่าวคือ นักวิชาการได้พบซากเครื่องมือของมนุษย์ซินแจนโทปัส ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของออสเตรโลพิธีซีนส์ เครื่องมือของมนุษย์พวกนี้เป็นเพียงก้อนหินที่กะเทาะออกมาอย่างหยาบๆ พิจารณาดูแล้วอาจแยกไม่ออก ว่า เป็นเครื่องมือที่มนุษย์พวกนี้กระทําขึ้น หรือเป็นก้อนหินตามธรรมชาติ นอกจากต้องให้ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ พิจารณา นักวิชาการยังได้พบสถานที่ (ซึ่งอยู่ในอาณาบริเวณที่พบโครงกระดูกของมนุษย์พวกนี้) และร่องรอย ต่างๆ ทําให้สันนิษฐาณได้ว่า คงเป็นสถานที่ที่ได้ปรับแต่งให้เป็นที่พักพิงชั่วคราว กล่าวคือเป็นสถานที่ที่กลุ่มนัก ล่าซินแจนโทปัส นําสัตว์ที่ล่ามาได้แบ่งปันให้สมาชิกในกลุ่มที่ไม่ได้ร่วมอยู่ในกิจกรรมการล่านั้น
2. โฮโม อีเร็คตัส
มนุษย์โฮโม อีเร็คตัสเป็นอีกช่วงหนึ่งของระบบวิวัฒนาการทางสรีระจากวานรเข้าสู่มนุษย์ต่อจาก ออสเตรโลพิธีซีนส์ ช่วงเวลาของมนุษย์จําพวกนี้สันนิษฐานว่าคงตกอยู่ประมาณเมื่อ 1,000,000 – 500,000 ปี ล่วงมาแล้ว ซากของมนุษย์พวกนี้พบในเกือบทุกแห่งของโลกเก่า คือ แอฟริกา เอเชีย และยุโรป การศึกษาซาก
โครงกระดูกของโฮโม อีเร็คตัส ได้พบว่า มนุษย์พวกนี้มีคุณลักษณะทางกายภาพใกล้เคียงโฮโม เซเปียนส์ หรือ มนุษย์ปัจจุบันมาก จนทําให้นักวิชาการสันนิษฐานว่า โฮโม เซเปียนส์ อาจวิวัฒนาการขึ้นโดยตรงจากโฮโม อีเร็คตัว ก็เป็นได้
ตัวแทนของซากมนุษย์โฮโม อีเร็คตัสที่สําคัญคือมนุษย์ชวา ซึ่งค้นพบในที่ต่างๆ ของเกาะชวา และ มนุษย์ปักกิ่ง ซึ่งค้นพบบริเวณถ้ําเจาเกาเทียนใกล้กรุงปักกิ่ง มนุษย์ชวาและมนุษย์ปักกิ่งมีคุณลักษณะทางสรีระ ต่างกัน ทําให้นักวิชาการก่อนหน้านี้จัดไว้เป็นคนละพวกกัน แต่ปัจจุบันเห็นกันว่า ความแตกต่างดังกล่าวเป็น เพราะมนุษย์ชวานั้นอยู่ในขั้นของการวิวัฒนาการที่ต่ํากว่ามนุษย์ปักกิ่ง อย่างไรก็ดีทั้งสองพวกนี้อาจจัดให้ รวมอยู่ในกลุ่มโฮโมอีเร็คตัส ร่วมกันได้
ซากมนุษย์โฮโม อีเร็คตัสที่พบในแอฟริกา (โอลเดอะไว ประเทศแทนซาเนีย) และยุโรป (คือมนุษย์ไฮเด ลเบิร์กในประเทศเยอรมนีและในฮังการี) แตกต่างจากที่พบในทวีปเอเชีย กล่าวคือ โฮโม อี เร็คตัส ในทวีปทั้ง สองนี้ โดยเฉพาะในทวีปยุโรป มีความเป็นสมัยใหม่หรือใกล้เคียงมนุษย์ปัจจุบันมากกว่า ชี้ให้เห็นขั้นตอนของ การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพในระบบวิวัฒนาการช่วงสืบต่อจากมนุษย์ในเอเชีย อย่างไรก็ดี ข้อสันนิษฐาน เกี่ยวกับมนุษย์พวกนี้ รวมทั้งการจัดหมวดหมู่ ยังมีข้อถกเถียงไม่เป็นที่ยุติ ความรู้หรือข้อสุปเกี่ยวกับโฮโม อี เร็คตัส ส่วมมากได้จากมนุษย์ปักกิ่งซึ่งมีหลักฐานมาก (ประมาณ 40 ซาก) เพียงพอแก่การตีความและวาง ข้อสรุปบางประการได้
โฮไม อีเร็คตัส โดยทั่วไปมีคุณลักษณะแตกต่างจากมนุษย์โฮโม เซเปียนส์ ไม่มากนัก แต่ใบหน้ายังคง ลักษณะวานรอยู่ คุณลักษณะเด่นของมนุษย์พวกนี้ ซึ่งใช้เป็นเครื่องยืนยันความก้าวหน้าของระบบวิวัฒนาการ ของมนุษย์โดยทั่วไปด้วยก็คือปริมาตรมันสมอง มนุษย์โฮโม อีเร็คตัสมีปริมาตรมันสมองระหว่าง 950 -1050 ซี ซี ขณะที่ออสเตรโลพิธีซีนส์มีเพียง 750 ซีซี เท่านั้น ปริมาตรมันสมองที่เพิ่มมากขึ้นเช่นนี้ มีส่วนสัมพันธ์กับ ความก้าวหน้าของการประดิษฐ์เครื่องมือและความเป็นอยู่ของมนุษย์พวกนี้ จากการศึกษาเครื่องมือหินของ มนุษย์ปักกิ่ง เห็นได้ว่า มิได้เป็นเพียงหินที่นํามากะเทาะให้ได้ขนาด แต่เชื่อว่าคงได้ใช้เศษหินหรือเครื่องมือหิน บางอย่างเข้าช่วยตัดให้ได้รูปร่างและขนาดที่ต้องการ นักวิชาการจึงลงความเห็นว่าพวกโฮโม อีเร็คตัสนี้ น่าจะ ได้ชื่อว่าเป็นมนุษย์พวกแรกที่สร้างเครื่องมือขึ้นใช้อย่างแท้จริง
เครื่องมือหินที่พบในยุคของพวกโฮโม อีเร็คตัส ที่สําคัญคือขวานมือ มีรูปร่างคล้ายผลแพร์ ความยาว ประมาณ 6-8 นิ้ว กว้าง 4-5 นิ้ว หนา 1 นิ้ว เครื่องมือนี้พบในแอฟริกา ยูเรเชีย เรื่อยมาจนถึงอินเดีย ส่วนใน เอเชียตะวันออกไกลและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้พบน้อยมาก โฮโม อีเร็คตัส คงรู้จักวิธีจุดไฟ ขึ้นใช้แล้ว นักวิชาการได้พบกระดูกไหม้ไฟและแอ่งดินไหม้บริเวณใกล้เคียงกับที่พบซากมนุษย์ปักกิ่ง เข้าใจว่าคือเตาของ มนุษย์พวกนี้ ตาในลักษณะนี้ยังพบในบริเวณที่เชื่อว่าเป็นหลักแหล่งของโฮโม อีเร็คตัส ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส และในทวีปแอฟริกา นักวิชาการจึงเชื่อว่าโฮโม อีเร็คตัสคงใช้ไฟทั่วไปอย่างกว้างขวางเพื่อหุงหาอาหาร ป้องกัน อันตรายจากสัตว์อื่น และให้ความอบอุ่น การรู้จักใช้ไฟให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย สันนิษฐานว่าอาจเป็นปัจจัย หนึ่งที่ทําให้มนุษย์กระจายตัวอย่างกว้างขวาง ในสภาพที่มนุษย์มิได้มีเครื่องนุ่งห่มอย่างปัจจุบัน การใช้ชีวิตอยู่ โดยปราศจากไฟในบริเวณที่ห่างจากเขตศูนย์ศูตร ย่อมไม่อาจเป็นได้
สิ่งที่นับเป็นความเจริญที่สําคัญของมนุษย์ยุคนี้อีกประการหนึ่งคือภาษาพูด นักวิชาการสันนิษฐานว่า มนุษย์พวกนี้คงจะเริ่มพัฒนาภาษาพูด ภาษาพูดของคนเหล่านี้คือการเปล่งเสียงที่มีความหมายเป็นที่เข้าใจใน หมู่พวกเดียวกันเอง ภาษาพูดคงจะพัฒนาขึ้นอย่างสมบูรณ์ในเวลาของมนุษย์ยุคปัจจุบันเมื่อยุคหินเก่าสิ้นสุดลง ในด้านความเป็นอยู่ นักวิชาการเชขื่อว่า การรวมกลุ่มของมนุษย์โฮโม อีเร็คตัส คงพัฒนาจากการรวมกลุ่มใน ลักษณะฝูงสัตว์เข้าสู่ระบบครอบครัวหรือเครือญาติ และมีการแบ่งงานกันทําตามสถานะทางเพศและวัย กล่าวคือ ผู้ชายทําหน้าที่ล่าสัตว์ ตกปลาและประดิษฐ์เครื่องมือ ส่วนผู้หญิงจะเก็บหาอาหารชนิดที่มิต้องใช้กําลัง และเลี้ยงดูสมาชิกที่ยังเยาว์วัย เป็นต้น ถิ่นที่อยู่ของมนุษย์เหล่านี้คือถ้ํา หรือเพิงซึ่งปลูกแบบชั่วคราวในบริเวณ ใกล้แม่น้ําละธาร ในจํานวนซากโครงกระดูก 40 ซากของมนุษย์ปักกิ่ง นักวิชาการได้พบซากโครงกระดูกของ ผู้สูงอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป ทําให้การสันนิษฐานว่า มนุษย์พวกนี้คงมีธรรมเนียมการดูแลผู้สูงวัย ผู้สูงวัยนี้ เข้าใจได้ว่า คือผู้มีประสบการณ์ซึ่งผู้เยาว์วัยในกลุ่มพึ่งพาในด้านคําปรึกษาเกี่ยวกับความคิดเห็น ประสบการณ์ และความรู้ต่างๆ เกี่ยวกับการหาอาหาร ล่าสัตว์ หรือการใช้ชีวิตด้านอื่นๆ
3. มนุษย์โฮโม เซเปียนส์
มนุษย์โฮโม เซเปียนส์ เป็นมนุษย์สมัยใหม่ซึ่งเจริญขึ้นในช่วงเวลาถัดจากยุคมนุษย์โฮโม อีเร็คตัส ตัวแทนของมนุษย์โฮโม เซเปียนส์ที่สําคัญคือ นีแอนเดอร์ทัล อย่างไรก็ดี นักวิชาการปัจจุบันไม่เชื่อว่ามนุษย์นี แอนเดอร์ทัลจะเป็นบรรพบุรุษโดยตรงของมนุษย์ปัจจุบัน นีแอนเดอร์ทัลมีชีวิตอยู่เมื่อประมาณ 140,000 ปี มาแล้ว คําว่านีแอนเดอร์ทัลเป็นชื่อหุบผาแห่งหนึ่งในประเทศเยอรมนี ซึ่งเป็นแหล่งที่พบซากมนุษย์ชาติพันธุ์นี้ เป็นครั้งแรก
มนุษย์นีแอนเดอร์ทัลกระจายตัวอยู่ในพื้นที่ยุโรปเป็นส่วนใหญ่ โครงสร้างด้านรูปร่างทั่วไปไม่ได้ แตกต่างจากมนุษย์โฮโม อีเร็คตัสมากนัก ใบหน้ายังคงเค้าโครงวานรอยู่ คือสันกระดูกคิ้วโปน กระดูกขากรรไกร ใหญ่ คางเล็กจนเกือบจะไม่มี ปริมาตรมันสมองของมนุษย์พวกนี้เท่าเทียมกับมนุษย์ปัจจุบัน หรืออาจจะ มากกว่า (ประมาณ 1,400 ซีซี) เทคนิคในการสร้างเครื่องมือของมนุษย์ยุคนี้ก้าวหน้าขึ้น กล่าวคือ ในการ กะเทาะหินเพื่อสร้างเครื่องมือ ได้มรการพยายามกําหนดให้เศษหินที่กะเทาะออกมามีรูปร่างหรือขนาดที่จะใช้ ประโยชน์ได้ตามที่ต้องการ วิธีนี้นับว่าเป็นการพยายามใช้ประโยชน์จากหินสองต่อ คือตัวหินที่นําออกมาเป็น เครื่องมือ กับเศษหินหรือสะเก็ดหินที่ได้จากการทําเครื่องมือนั้น เทคนิคดังกล่าวนี้ สะท้อนให้เห็นความ เจริญก้าวหน้าทางสมองของมนุษย์ ซึ่งสามารถจินตนาการ กะการ เพื่อให้ได้ผลตามที่ต้องการได้ มนุษย์นีแอน เดอร์ทัลเป็นมนุษย์พวกแรก (เท่าที่เราอยู่ในปัจจุบัน) ที่ให้ความสําคัญเกี่ยวกับการฝังศพผู้ตาย ศพผู้ตายจะฝัง ลงในหลุมที่ปูด้วยกิ่งสนและดอกไม้สีฉูดฉาด แขนขาผู้ตายถูกจับขัดกันเข้าไว้ สันนิษฐานว่าคงเพื่อประหยัด แรงงานในการขุดหลุม
4. มนุษย์โฮโม เซเปียนส์ เซเปียนส์
ระบบวิวัฒนาการและการเลือกสรรทางธรรมชาติก้าวหน้าขึ้นจุดสูงสุด เมื่อมนุษย์โฮโม เซเปียนส์ เซ เปียนส์ หรือมนุษย์ปัจจุบันปรากฏตัวขึ้น ระบบวิวัฒนาการก้าวขึ้นถึงจุดสูงสุดหมายความว่า นับแต่นี้ไป โครงสร้างของยีนส์ซึ่งกําหนดรูปร่าง หน้าตา ตลอดจนมันสมองของมนุษย์จะไม่เปลี่ยนแปลง เพื่อให้สามารถ ดํารงชาติพันธุ์อยู่ในสภาพแวดล้อมของโลกอีกต่อไป สิ่งที่มนุษย์กระทําจากนี้ไปคือการเปลี่ยนแปลง
สภาพแวดล้อมของโลก สร้างเครื่องมือและสถาบันทางวัฒนธรรมต่างๆ เพื่อการดํารงชีวิตเป็นส่วนใหญ่ ผลการ กระทําดังกล่าวช่วยให้มนุษย์กลายเป็นสัตว์ที่ครองโลกในที่สุด
กําเนิดของมนุษย์ปัจจุบัน หรือมักเรียกกันว่ามนุษย์ฉลาดนี้ ไม่อาจกําหนดเวลาที่แน่นอนได้ ประมาณ การจากอายุของซากวัสดุ เครื่องมือ และโครงกระดูก สันนิษฐานได้ว่า มนุษย์พวกนี้คงปรากฏตัวเมื่อราว 30,000 ปีที่ผ่านมา มนุษย์พวกนี้กระจายตัวอยู่ทั่วไปในทวีปยุโรป เอเชีย และแอฟริกา ซากมนุษย์สมัยใหม่ที่ เก่าแก่ที่สุด คือ มนุษย์โครมันยอง (ตั้งตามชื่อสถานที่พบ คือถ้าโครมันยอง ในประเทศฝรั่งเศส) มนุษย์โครมัน ยองมีรูปร่างสูงตรงได้สัดส่วน และมีเค้าหน้าตามแบบฉบับของมนุษย์ยุคปัจจุบันทั่วไป มันสมองของมนุษย์พวก นี้มีปริมาตรโดยเฉลี่ยสูงกว่ามนุษย์ปัจจุบันคือประมาณ 1,590 ซีซี นักวิชาการในด้านนี้เชื่อว่า มนุษย์โครมัน ยองคงใช้ชีวิตร่วมสมัยเดียวกับมนุษย์นีแอนเดอร์ทัล การขยายตัวของมนุษย์โครมันยองเป็นเหตุหนึ่งที่ทําให้ มนุษย์นีแอนเดอร์ทัล ซึ่งอยู่ในระดับวิวัฒนาการที่ต่ํากว่าสูญพันธุ์ไป
ในยุคของมนุษย์ปัจจุบันนซึ่งอยู่ตอนปลายของยุคหินเก่า ได้พบหลักฐานประเภทเครื่องมือของมนุษย์ พวกนี้หลายชนิด เช่น หอก ธนู ฉมวก สายเบ็ดตกปลา เครื่องมือเหล่านี้สังเกตเห็นได้ว่า ประดิษฐ์ให้มีคุณภาพ ในเชิงศิลปะด้วย มิใช่มุ่งเพื่อประโยชน์ใช้สอยประการเดียวเช่นแต่ก่อน มนุษย์ยุคนี้ยังสร้างงานศิลปะอื่นๆ คือ ภาพวาดตามผนังถ้ํา รูปสลักสตรี ผลงานเหล่านี้เข้าใจได้ว่าสร้างขึ้นเพื่อการทําพิธีกรรมบางอย่าง พิธีกรรม เหล่านี้เกี่ยวข้องกับการล่าสัตว์และเก็บหาอาหารกระทําขึ้นเพื่อให้เกิดลางดี เช่นมีชัยในการต่อสู้และการล่า สัตว์เพื่อเป็นอาหาร พิธีกรรมเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความคิดและความเชื่อเกี่ยวกับจิตวิญญาณ (หรือศาสนา) ที่ ซับซ้อนขึ้น พิธีฝังศพผู้ตายก็ซับซ้อนขึ้น ผู้ตายจะได้รับการตกแต่งด้วยเสื้อผ้าอย่างดี พร้อมด้วยเครื่องประดับ ผู้ มีชีวิตจะโปรยศพด้วยฝุ่นสีแดง เข้าใจว่าเป็นการคุ้มครองผู้ตาย ในบางแห่งยังสร้างเพิงสี่เหลี่ยมด้วยใบไม้ เพื่อ เป็นหลังคากั้นอีกชั้นหนึ่ง การสร้างหลุมศพในลักษณะนี้เป็นรากฐานของการสร้างอนุสรณสถานของผู้ตายใน รูปแบบงานสถาปัตยกรรมที่ซับซ้อนและสวยงาม เช่น พีระมิดของอียิปต์ และทัชมาฮาลของอินเดีย เป็นต้น อนึ่งในการตกแต่งหลุมศพบางแห่ง จะรวมไว้ด้วยสิ่งของและเครื่องใช้ไม้สอยของผู้ตาย เข้าใจว่าคนเหล่านี้คงจะ มีความเชื่อเรื่องความเป็นอมตะของวิญญาณอยู่บ้างแล้ว
มนุษย์สมัยใหม่ยังใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในการล่าสัตว์และพักพิงอยู่ตามถ้ําเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ดีมนุษย์ที่ อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มิได้มีถ้ําตามธรรมชาติ เช่น รัสเซีย ไซบีเรีย และเชโกสโลวะเกีย ยังได้สร้างเพิงหรือกระท่อง แบบง่ายๆ ขึ้นเป็นที่อาศัยอยู่ นอกจากนี้ยังเชื่อว่ามนุษย์สมัยใหม่บางกลุ่มคงได้เริ่มฝึกหัดสุนัขเป็นสัตว์เลี้ยงเพื่อ ช่วยงานในการล่าสัตว์ของตนด้วย วิถีเช่นนี้คงเป็นรากฐานของการใช้ชีวิตอย่างเป็นหลักแหล่งในยุคหินใหม่ ต่อไป
ข้อสรุปที่เราอาจกล่าวได้เกี่ยวกับยุคหินเก่าคือ มนุษย์ยุคนี้เป็นผู้สร้างรากฐานวัฒนธรรมการดํารงชีวิต ให้แก่มนุษย์ปัจจุบัน มนุษย์ยุคนี้ไม่ได้สร้างบ้านเรือนอยู่อย่างเป็นหลักแหล่ง หากแต่อาศัยอยู่ตามถ้ําหรือเพิง ธรรมชาติ เวลาส่วนใหญ่ใช้ในการแสวงหาอาหาร สภาพการดํารงชีวิตอยู่เช่นนี้ดูไม่ได้แตกต่างจากสัตว์โลกอื่นๆ อย่างไรก็ดีการสร้างเครื่องมือ การมีภาษาพูด และการสร้างแบบแผนของการร่วมมือกัน การเรียนรู้ และใช้ชีวิต อยู่ร่วมกัน ก็เป็นเครื่องแสดงคุณลักษณะเฉพาะของมนุษย์ที่ช่วยแยกความแตกต่างของมนุษย์จากสัตว์โลกอื่นๆ ได้อย่างชัดเจน กับทั้งยังเป็นสิ่งอํานวยให้ชาติพันธุ์มนุษย์อยู่รอดมาได้จนทุกวันนี้
ยุคหินใหม่
ยุคหินใหม่เป็นยุคที่มนุษย์เปลี่ยนวิถีชีวิตจาก’ นักล่า ’มาเป็น ’ชาวนา’ กล่าวคือ นับตั้งแต่ราว 10,000 ปีก่อนคริสกาลเป็นต้นมา มนุษย์เริ่มละทิ้งชีวิตแบบเร่ร่อนเก็บอาหารไปวันๆ และหันมาใช้ชีวิตอยู่อย่างเป็น หลักแหล่ง เพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ การใช้ชีวิตในแนวทางใหม่ของยุคนี้จะเป็นรากฐานการสร้างสังคมอารย ธรรมในช่วงต่อมาด้วย การที่มนุษย์ละเลิกการใช้ชีวิตแบบเร่ร่อนและหันมาเพาะปลูกดังกล่าว เชื่อกันว่าเกิด จากความจําเป็นที่มนุษย์ต้องเพาะปลูกมากกว่าที่มนุษย์เพิ่งจะค้นพบวิธีการเพาะปลูก กล่าวคือนักวิชาการส่วน ใหญ่เชื่อว่า มนุษย์คงจะรู้ถึงกําเนิดและความเจริญเติบโตของพืชมาเป็นเวลานานแล้ว แต่มนุษย์ไม่ได้คิด เพาะปลูกเพราะยังไม่มีความจําเป็น พื้นผิวโลกในยุคหินเก่าโดยทั่วไปยังอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร ที่ขึ้นอยู่ตามธรรมชาติ เพียงพอแก่จํานวนประชากรขณะนั้นดํารงอยู่ได้
ความสมดุลระหว่างปริมาณอาหารและจํานวนประชากรมนุษย์เริ่มเปลี่ยนแปลงนับแต่ 10,000 ปีก่อน คริสต์กาลเป็นต้นมา ในช่วงนี้น้ําแข็งที่ปกคลุมพื้นผิวโลกเป็นส่วนใหญ่เริ่มละลาย เนื่องจากอากาศอบอ่นุ ขึ้น มนุษย์มีพื้นที่ที่อาศัยอยู่มากขึ้น อุณหภูมิที่สูงขึ้นยังช่วยให้เกิดพืชพันธุ์ต่างๆ และสัตว์นานาชีวิตซึ่งจะเป็น อาหารแก่มนุษย์มากขึ้นด้วย อย่างไรก็ดีประชากรมนุษย์เพิ่มขึ้นเร็วเกินกว่าธรรมชาติและผลิตอาหารได้ทัน ทั้ง ในช่วงเวลาต่อมาอากาศก็แห้งแล้งลงด้วยมนุษย์จึงไม่อาจเลี้ยงชีวิตด้วยการเก็บของป่าและล่าสัตว์ เช่น ยุคหิน เก่าได้อีกต่อไปด้วยเหตุนี้มนุษย์จึงต้องตั้งถิ่นฐาน ทํากสิกรรมและเลี้ยงสัตว์เพื่อการดํารงชีวิตของตน บริเวณที่ มนุษย์ตั้งถิ่นฐานและทํากสิกรรมในระยะแรก มักไม่ไกลจากแหล่งน้ําซึ่งเป็นปัจจัยที่จําเป็นของการเพาะปลูกใน ยุคนี้ บริเวณที่เชื่อว่ามนุษย์เริ่มเพาะปลูกในยุคแรกๆ นี้คือ บริเวณเมืองเจริโก้ในปาเลสไตน์และที่อื่นๆ ใน บริเวณหุบผาแห่งลุ่มแม่น้ําไทกริสยูเฟรติสตอนบน หลังจากนั้นการใช้ชีวิตโดยการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ก็ ขยายออกไปยังชุมชนมนุษย์อื่นๆ ในที่ต่างๆ
การเปลี่ยนแปลงในยุคหินใหม่นี้มักเรียกว่าเป็นการปฏิวัติหรือการปฏวัติในยุคหินใหม่ (Neolithic Revolution) เพราะเป็นการเปลี่ยนแปลงทัศนคติของมนุษย์ต่อโลกธรรมชาติในขั้นพื้นฐาน และเป็นผลใหว้ ิถี การดําเนินชีวิตของชาติพันธุ์ มนุษย์เปลี่ยนแปลงไปอีกแนวทางหนึ่งโดยสิ้นเชิง ในยุคหินเก่า มนุษย์พอใจในสิ่ง ที่ตนแสวงหาได้จากธรรมชาติ แต่ในยุคหินใหม่ มนุษย์เป็นผู้ผลิตและสร้างสรรค์ขึ้นใหม่เพิ่มเติมจากที่ธรรมชาติ หยิบยื่นให้ โดยการควบคุมและดัดแปลงธรรมชาติและสภาพแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมมนุษย์ใน ลักษณะนี้กล่าวได้ว่าเป็นสุดยอดของการสั่งสมทางวัฒนธรรม ซึ่งมีรากฐานมาตั้งแต่ยุคหินเก่าแล้ว
การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของมนุษย์แบบปฏิวัติดังกล่าวนี้ ส่งผลให้ประชากรมนุษย์เพิ่มจํานวนขึ้นอย่าง รวดเร็ว จนทําให้มนุษย์ซึ่งแต่ก่อนเป็นสิ่งมีชีวิตชาติพันธุ์ที่ ‘หายาก’ (คือมีจํานวนน้อย) ในท่ามกลางสิ่งมีชีวิต ชาติพันธุ์อื่นบนผิวโลกจํานวนมากมาย กลับมีปริมาณมากเสียยิ่งกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นใด การปฏิวัติในยุคหินใหม่นี้ จึงนับเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงความสมดุลทางธรรมชาติระหว่างสิ่งมีชีวิตทั้งประเภทพืชและสัตว์ (ซึ่ง หมายรวมถึงมนุษย์ด้วย) ที่ดําเนินไปในอัตราที่เร่งขึ้นทุกทีตราบจนกระทั่งทุกวันนี้
คําว่าการปฏิวัติในยุคหินไม่ยังมีความเหมาะสม เมื่อพิจารณาในแง่ของเวลา กล่าวคือ ช่วงเวลาที่มนุษย์ เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตจากยุคหินเก่าไปสู่ยุคหินใหม่ใช้เวลาเพียงประมาณไม่เกิน 15,000 ปี (คือช่วงเวลาที่น้ําแข็ง ละลายหรือช่วงสิ้นสุดยุคน้ําแข็ง ช่วงเวลานี้นับว่าสั้นมาก เมื่อเทียบกับระยะเวลาอันยาวนานนับล้านๆ ปี ของ
การใช้ชีวิตแบบยุคหินเก่า ดังนั้นนักวิชาการส่วนใหญ่จึงมักยอมรับที่จะเรียกช่วงเวลาที่เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต ซึ่ง จะมีปลกระบต่อพัฒนาการของชาติพันธุ์มนุษย์และสภาพแวดล้อมโลกจนทุกวันนี้ว่า การปฏิวัติยุคหินใหม่
สภาพการดํารงชีวิตของมนุษย์ในยุคหินใหม่นี้ ยังแตกต่างจากยุคหินเก่าที่ผ่านมาอย่างเห็นได้ชัดดังนี้ คือ เครื่องมือเครื่องใช้มีมากขึ้นตามความจําเป็นของการใช้ชีวิตอย่างเป็นหลักแหล่ง เครื่องมือเครื่องใช้เหล่านี้ ประดิษฐ์ขึ้นเพื่อประโยชน์และความสะดวกในการใช้สอย แต่ก็มีจุดประสงค์เพื่อให้สวยงามด้วย มนุษย์ยังคงใช้ หินเป็นวัสดุในการทําเครื่องมือเป็นส่วนใหญ่ แต่เครื่องมือหินยุคนี้ได้รับการขัดถูให้เกลี้ยงเกลา ไม่ขรุขระดังเช่น ของยุคหินเก่า นอกจากนี้มนุษย์ยุคนี้ยังประดิษฐ์ภาชนะดินเผา เพื่อใช้บรรจุสิ่งของและใช้เป็นภาชนะในการหุง หาและรับประทานอาหาร รวมทั้งประดิษฐ์ตะกร้าเพื่อใช้บรรจุผลผลิตที่ได้จากการเก็บเกี่ยวในไร่นาด้วย การ ทอผ้าจากพืชประเภทเส้นใยต่างๆ เช่น ป่านและฝ้าย รวมทั้งจากขนสัตว์ก็เกิดขึ้นในยุคนี้ด้วย
ในปลายยุคหินใหม่ ได้มีการประดิษฐ์ภาชนะที่ทําจากโลหะคือทองและทองแดงบ้างแล้ว ภาชนะ เหล่านี้ใช้ประดับหลุมศพของผู้ซึ่งครั้งหนึ่งคงจะเป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครองภาชนะเหล่านี้มาก่อน เครื่องใช้ หรือภาชนะประเภทนี้ดูจะใช้เป็นสัญลักษณ์ของการมีฐานะร่ํารวยหรือตําแหน่งในสังคมมากกว่าเพื่อประโยชน์ ใช้สอย แสดงความแตกต่างอย่างชัดเจนจากหลุมศพของคนธรรมดาที่ยากจนซึ่งไม่มีการประดับประดามากเท่า ทั้งภาชนะและเครื่องใช้ที่บรรจุไว้ก็ไม่สวยงามและฝีมือในการผลิตก็ไม่ประณีตเท่ากับที่พบในหลุมศพของผู้ ร่ํารวย สภาพเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าการแบ่งแยกหรือความแตกต่างทางชนชั้นคงแสดงตนอย่างชัดเจนแล้ว สภาพเช่นนี้เราไม่พบในยุคหินเก่าหรือต้นยุคหินใหม่
การนับถือบูชาของคนในยุคนี้ เข้าใจว่าคงจะนับถือเทพเจ้าซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของธรรมชาติ ซึ่งจะดล บันดาลให้เกิดฝนและความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดินเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์คงเป็นที่นับถือในฐานะผู้ให้ พลังงานและการเติบโตของต้นพืชมนุษย์ยุคนี้คงจะได้ประกอบพิธีกรรมต่างๆ เพื่อเทพเจ้าเหล่านี้ มีการเซ่น สังเวยเทพเจ้าด้วยข้าวของ ชีวิตสัตว์และมนุษย์เพื่อให้เทพเจ้าพึงพอใจ และประทานความอุดมสมบูรณ์พูนสุข ให้ อนึ่งการนับถือบูชาบรรพบุรุษคงจะเป็นความเชื่อทางศาสนาที่สําคัญของยุคนี้ด้วย
ชีวิตทางวัฒนธรรมของยุคหินใหม่ดังที่บรรยายมานี้ย่อมไม่อาจดําเนินไปด้วยดี หารปราศจากการ ร่วมมือกัน การร่วมมือกันนี้จําเป็นต้องกระทําอย่างมีระบบหรือแบบแผนยิ่งกว่ายุคหินเก่าที่ผ่านมา มนุษย์ในยุค หินเก่าส่วนใหญ่คือนักล่า พวกเขาสามารถใช้ชีวิตได้อย่างเสรีเช่นเดียวกับสัตว์ซึ่งเป็นเหยื่อของการตามล่าของ มนุษย์ การใช้ชีวิตร่วมกันกระทําในกลุ่มเล็กๆ กิจกรรมที่ต้องอาศัยนการวางแผน (คือการล่าสัตว์) เป็นเรื่องที่ไม่ ซับซ้อนเกินไปสามารถร่วมมือกันได้โดยไม่จําเป็นต้องมีการบังคับหรือวางกฎเกณฑ์ แต่ในยุคหินใหม่ซึ่งเป็นยุค ของการตั้งหลักแหล่ง วิถีวัฒนธรรมรูปแบบต่างๆ ที่ซับซ้อนขึ้น ย่อมต้องการการร่วมมือค่อนข้างเป็นระบบ เรา คงคาดได้ว่ากิจกรรมในยุดหินใหม่ เช่น การถางป่าเพื่อปรับพื้นที่เพาะปลูก ซึ่งเป็นงานหนักต้องการแรงงานของ คนเป็นจํานวนมาก ย่อมต้องมีการวางแผนงานอย่างดี มิฉะนั้นแล้วการทํางานอาจไม่เป็นผล งานประดิษฐ์ คิดค้นของยุคนี้ คือ ภาชนะดินเผา การทอผ้า การสานตะกร้า หรือโดยเฉพาะอย่างยิ่งการทําภาชนะโลหะใน ตอนปลายๆ ยุค อาจต้องใช้ประสบการณ์ ความคิดเห็นหรือการริเริ่มของคนทั้งหมู่บ้าน หรือคนจากหมู่บ้านอื่น ที่อยู่ไกลออกไปการทําระบบชลประทานเบื้องต้น คือการทําทงาระบายน้ําจากแม่น้ําเข้าสู่นา น่าจะเป็ นงาน ของคนทั้งชุมชน กิจกรรมดังกล่าวมานี้ต้องอาศัยความร่วมมืออย่างเป็นระบบทั้งสิ้น
ผู้ที่ทําหน้าที่จัดระบบความร่วมมือกันในระยะแรกนั้น เข้าใจว่าคงเป็นกลุ่มบุคคลที่ประกอบด้วย หัวหน้าครอบครัวที่อาศัยอยู่ในชุมชนนั้น คณะหัวหน้าครอบครัวจะเลือกบุคคลในคณะคนหนึ่งเป็นหัวหน้ากลุ่ม ทําหน้าที่เป็นประธานในการประชุมเพื่อวางระเบียบ กฎเกณฑ์ ให้คนในชุมชนร่วมมือกันปฏิบัติในยุคที่ยังมิได้มี ระบบกฎหมายและศาลยุติธรรมเช่นยุคหินใหม่นี้ การบริหารกฎเกณฑ์ให้มีผลบังคับใช้ และบทลงโทษผู้มิได้ ปฏิบัติตามกฎ คงใช้ความเชื่อทางศาสนา ได้แก่อํานาจลึกลับและศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้า หรือวิญญาณของบรรพ บุรุษเป็นมาตรการที่สําคัญ การต้องปฏิบัติตามกฎอาจทําให้มนุษย์รู้สึกว่า ตนไม่มีเสรีภาพเท่ากับสมัยใช้ชวี ิต แบบนักล่า อย่างไรก็ดีมนุษย์ก็ได้สิ่งทดแทนจากการเสียเสรีภาพคือการมีชีวิตที่สุขสบายขึ้น อันตรายจาก ธรรมชาติจากสัตว์และมนุษย์ด้วยกันเองน้อยลง เพราะชุมชนวางมาตรการป้องกันให้มนุษย์สามารถใช้เวลาและ พลังของตนในทางสร้างสรรค์ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และระบบการผลิตให้มีประสิทธิภาพยิ่งๆ ขึ้นไป ดังนั้นมนุษย์จึงย่อมมีแนวโน้มที่จะยอมรับการใช้ชีวิตในชุมชนที่มีกฎเกณฑ์เช่นนี้มากกว่า อย่างไรก็ดีใน ช่วงเวลาเดียวกันนี้ เชื่อว่ายังคงมีมนุษย์บางพวกในบางท้องที่ พอใจต่อการใช้ชีวิตที่ไม่เป็นหลักแหล่ง คือเร่ร่อน เก็บหาอาหารตามที่ต่างๆ ในแบบดั้งเดิมก่อนหน้านี้ต่อไป
การเปลี่ยนแปลงในสังคมที่เกิดขึ้นในช่วงต่อมา คือการแบ่งงานกันทําในช่วงต้นยุคหินใหม่ การแบ่ง งานกันทําคงไม่กระทําเกินไปกว่าการแบ่งตามเพศ เช่นในยุคหินเก่าก่อนหน้านี้ กล่าวคือผู้ชายซึ่งเป็นหัวหน้า ครอบครัวอาจทํางานหนักที่ต้องใช้กําลังในไรนา ผู้หญิงนอกจากจะช่วยแบ่งเบาภาระบางอย่างในไร่นายังต้อง ทํางานประดิษฐ์อื่นๆ เช่น ทอผ้าและทําเครื่องปั้นดินเผา เป็นต้น ต่อมาการแบ่งงานกันทําคงจะได้ขยายไปใน ระดับชุมชนและระหว่างชุมชน กล่าวคือ เมื่อครอบครัวและชุมชนทั้งมวลสามารถสร้างผลผลิตส่วนเกิน คือ ผลผลิตอาหารที่ได้มากเกินกว่าจะบริโภคได้หมด บางบุคคลหรือบางครอบครัวก็จะละเลิกการเพาะปลูกเพื่อใช้ เป็นอาหารแล้วหันไปทํางานอื่นที่ตนถนัด เช่น ทอผ้า หรือทําเครื่องปั้นดินเผา แล้วนําผลผลิตที่ตนสร้างขึ้น เหล่านี้ไปแลกกับอาหาร หรือสิ่งของอื่นที่จําเป็นแก่การดํารงชีวิต ซึ่งผลิตขึ้นโดยครอบครัวหรือชุมชนเพื่อนบ้าน ที่อยู่ถัดไป ระบบการแบ่งงานกันทํานี้เป็นรากฐานและโอกาสให้บุคคลเกิดความเชี่ยวชาญสามารถปรับปรุง คุณภาพของผลงาน ตลอดจนคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ ได้ ย่อมทําให้ชุมชนเกิดการตื่นตัว การค้าขาย แลกเปลี่ยนสินค้ามีมากขึ้นเศรษฐกิจในชุมชนโดยรวมก้าวหน้าขึ้นการเปลี่ยนแปลงทางสังคมย่อมบังเกดิขึ้น ตามมา ในสภาวะเช่นนี้ชุมชนจําเป็นต้องปรับปรุงระบบสถาบันทางสังคมตลอดจนการเมือง เพื่อรองรับความ เจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจอย่างทันท่วงที การพยายามปรับปรุงระบบสถาบันในสังคมเพื่อรองรับความ เจริญเติบโตของสังคมดังกล่าว จะเป็นพื้นฐานสําคัญของการก้าวไปสู่สังคมอารยธรรมในที่สุด