หลักศรัทธา 6 ประการ หรือ ความเชื่อในศาสนา ของอิสลาม (อีมาน) หลกัศรัทธาน้ีเป็นหลกัพ้ืนฐานของอิสลามที่เราอาจกล่าวไดว้า่เป็นหวัใจสา คญัที่จะนา ไปสู่เป้าหมาย สูงสุด คือ พระอัลเลาะห์ เพราะถา้ขาดศรัทธาแลว้การปฏิบตัิกไ็ม่เป็นไปตามแนวทางของพระอัลเลาะห์ เปรียบ เหมือนเรือที่ขาดหางเสือ มีแต่จะถูกกระแสน้า พดัพาไปอยา่งเปะปะไร้ทิศทาง หลักศรัทธา 6 ประการ มีดงัน้ีคือ 1. ศรัทธาต่อพระอลัเลาะห์/ อัลลอฮ์ (Allah) 2. ศรัทธาในบรรดาเทวทูต หรือ มลาอิกะฮ์ ของพระอัลเลาะห์ 3. ศรัทธาในบรรดาศาสนทูต /บรรดาศาสดาหรือนบี 4. ศรัทธาในบรรดาคัมภีร์ของพระอัลเลาะห์ 5. การศรัทธาในวนัสิ้นโลก(วนักียามะห์/อาคิเราะฮ์) และวันพิพากษาและศรัทธาในโลกหน้า 6. ศรัทธาในกฎสภาวะของโลก/กฎกา หนดสภาวการณ์/ศรัทธาในลิขิตของพระเจ้า 1. ศรัทธาต่อพระอัลเลาะห์ มุสลิมตอ้งศรัทธาพระอลัเลาะห์แต่เพียงพระองคเ์ดียว “ เตาฮีด(เอกภาพ) คือ ศรัทธาวา่ พระอัลเลาะห์ ทรงเป็นพระผเู้ป็นเจา้เพียงพระองคเ์ดียว ไม่มีพระเจา้อื่นใด นอกเหนือจากพระองค์ “ ศรัทธาในพระอัลเลาะห์ ความศรัทธาน้ีเป็นหลกัสา คญัที่สุดในศรัทธาท้งัหมด เพราะเป็นที่รวมแห่งศรัทธาท้งัหลายและทา ใหเ้กิด ศรัทธาในข้ออื่น ๆ ตามมา ความศรัทธาน้ีแสดงใหเ้ห็นถึงความเป็นเอกเทวนิยมของอิสลามอยา่งแทจ้ริงและ แสดงถึงความเชื่อมนั่ตลอดจนความจงรักภกัดีนอบนอ้มถ่อมตนอยา่งสิ้นเชิงต่อพระอัลเลาะห์ชาวมุสลิมจึง มกัจะกล่าววา่ “ ลาอิลาฮ์อิลลัลลอฮ์ ” ไม่มีพระเจา้อื่นใดนอกจากพระอัลเลาะห์ องคเ์ดียวเท่าน้นัซ่ึงศรัทธาเช่นน้ี แสดงให้เห็นศรัทธาในพระเจ้า ซ่ึงเรียกวา่ พระอัลเลาะห์ ซ่ึงมีลกัษณะความสมบูรณ์เช่น ทรงมีอยา่งแน่นอนไม่มี ขอ้สงสยัทรงมีมาก่อนสรรพสิ่งท้งัปวง เป็นพระผสู้ร้างโลกและเอกภพ ทรงใหก้า เนิดมวลมนุษยแ์ละทรง คุ้มครองโลก ทรงนิรันดรภาพ ทรงดา รงอยเู่องไม่อาศยัปัจจยัเงื่อนไขและที่พ่ึงใด ๆ พระอัลเลาะห์ น้นัมีองคเ์ดียว ทรงเอกานุภาพไม่มีสิ่งใดเป็นภาคีทรงผดิแปลกกบัสรรพสิ่งท้งัปวง ทรงสร้างไม่มีบุตร ทรงอานุภาพเหนือสรรพ สิ่งท้งัปวง ทรงชีวิตอนัอมตะ ทรงไดย้นิและทรงรอบรู้ในทุกสิ่ง ทรงมองเห็น ทรงบญัชา ทรงมุ่งหมาย และทรง รอบรู้ทรงมีน้า พระทยัเมตตาและมีความยตุิธรรม ไม่มีการเกิดและการดบั ไม่ข้ึนต่อสถานที่และเวลา พระองคม์ ี อยอู่ยา่งนิรันดร์อยา่งไม่มีขอ้จา กดัใดๆ พระองคจ์ะเสดจ็กลบัมาอีกคร้ังในวนัพิพากษาโลก ซึ่งวิญญาณทุกดวง จะตอ้งรอการตดัสินคร้ังสุดทา้ยน้ีผยู้อมรับนบัถือพระอัลเลาะห์จะตอ้งไม่ต้งัพระเจา้อื่นมาเทียบเคียงหรือตีเสมอ และจะตอ้งเชื่อวา่มีแต่พระอัลเลาะห์ เท่าน้นั ศรัทธาที่แทจ้ริงของมุสลิมต่ออลัลอฮน์ ้นัหมายถึงการถวายท้งักายและใจใหแ้ก่พระองค์ การปฏิบัติผิด ไปจากน้ีเช่น การยอมรับนบัถือพระเจา้องคอ์ื่นดว้ย หรือการนบัถือสิ่งอื่นใดเทียบเท่าพระองคถ์ือวา่เป็นบาป มหันต์ที่มิอาจยกโทษให้ได้มุสลิมที่ศรัทธาต่ออลัลอฮอ์ยา่งแทจ้ริงจะทา ใหเ้ขาละเวน้จากการทา ชวั่ทา แต่ความดี มีพลงัใจที่จะเผชิญกบัเหตุการณ์ต่างๆ ไม่วา่จะดีหรือร้าย การศรัทธาต่ออลัลอฮจ์ึงเป็นหวัใจของการเป็นมุสลิม 2. ศรัทธาในบรรดาเทวทูต หรือ มลาอิกะฮ์ ของพระอัลเลาะห์
ลักษณะ มลาอิกะห์ หรือ เทวทูตของพระเจ้า (เทวทูต) = บริวารหรือทาสรับใช้ ของพระอัลเลาะห์ เป็นสิ่งถูกสร้างอยา่งหน่ึงของพระอลัเลาะห์เพื่อการปฏิบตัิตามคา สงั่ใชข้องพระอลัเลาะห์ เป็นวิญญาณที่มองไม่เห็น แต่สามารถแปลงร่างเป็นมนุษยไ์ด้ ลกัษณะของมลาอิกะฮน์ ้นัเป็นนามธรรม ไม่มีตวัตน มลาอิกะห์น้นักา เนิดจากรัศมี จา แลงเป็นรูปร่างต่างๆ ได้ ไม่มีบิดา มารดา บุตร ภรรยา ปฏิบัติคุณธรรมล้วน มลาอิกะห์น้นั ไม่กินไม่ดื่ม ขบัถ่ายไม่มีกิเลสตณัหา ไม่ตอ้งการหลบันอน เป็ นธาตุฝ่ ายวิญญาณ ซ่ึงมนุษยธ์รรมดาไม่สามารถสมัผสัได้ มลาอิกะห์ไม่ฝ่าฝืนคา สงั่ใชข้องพระอลัเลาะห์เลย มลาอิกะห์ปฏิบตัิหนา้ที่ตามคา สงั่ของพระเจา้อยา่งเคร่งครัด ซ่ึงมีจา นวนมากมายมหาศาลเท่าที่มี ระบุชื่อและหนา้ที่เฉพาะกม็ีอยู่10 มลาอิกะห์ คือ 1. ยิบรออีล ทา หนา้ที่สื่อบญัญตัิของพระเจา้กบันบี 2. มีกาอีล ทา หนา้ที่นา โชคลาภจากพระเจา้สู่โลก 3. อิสรอพิล ทา หนา้ที่เป่าสงัขใ์นวนัสิ้นโลก 4. อิสรออิล ท าหน้าที่ถอดวิญญาณมนุษย์และสัตว์ 5.รอกีบ ทา หนา้ที่บนัทึกความดีและความชวั่ของมนุษย์ 6. อะติด ทา หนา้ที่บนัทึกความดีและความชวั่ของมนุษย์ 7. มุงกรั ท าหน้าที่สอบถามคนตายในกุบูร (หลุมฝังศพ) 8. นะกีร ท าหน้าที่สอบถามคนตายในกุบูร(หลุมฝังศพ) 9. ริดวาน ทา หนา้ที่กิจการของสวรรค์ 10. มาลิก ทา หนา้ที่ดูแลกิจการของขมุนรก หน้าที่ ปฏิบตัิหนา้ที่ตามคา สงั่พระเจา้อยา่งเคร่งครัด เป็นสื่อกลางระหวา่งพระเจา้กบัมนุษยท์ ี่พระเจา้เลือกใหร้ับโองการจากพระเจ้า เป็ นทาสหรือผู้รับใช้พระอัลเลาะห์ พระอลัเลาะห์ไดม้อบหมายหนา้ที่ต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือพระองค์ เป็นคนกลางทา หนา้ที่สื่อสารระหวา่งศาสดามะหะหมดักบัพระเจา้ บนัทึกความดีความชวั่ของมนุษย์ ถอดวิญญาณออกจากร่างเวลามนุษยต์าย สัมภาษณ์ผู้ตาย ณ หลุมฝังศพ การที่อิสลามยอมรับเช่นน้ีไม่ใช่เคารพสกัการะแบบเซ่นไหวเ้พื่อวงิวอนร้องขอแต่ยอมรับในฐานะที่ เป็นสื่อกลางระหวา่งพระอลัเลาะห์กบัศาสดาเท่าน้นั
ผทู้ี่จะเป็นมุสลิมอยา่งสมบูรณ์ไดต้อ้งศรัทธาวา่เทวทูตเหล่าน้ีมีจริงอนัจะเป็นผลดีแก่ผู้ ศรัทธาเองคือจะทา ใหเ้ขาทา แต่ความดีละเวน้ความชวั่เพราะแต่ละคนมีเทวทูตคอยบนัทึกผลความดี และความชวั่อยตู่ลอดเวลา 3. ศรัทธาในบรรดาศาสนทูต /บรรดาศาสดา หรือ นบี มุสลิมเชื่อวา่ศรัทธาโลกมนุษยใ์นแต่ละยคุที่ผา่นมานบัจากยคุแรกคืออาดมัน้นัตอ้งมีศาสดาหรือ ศาสนทูต เป็นผรู้ับบทบญัญตัิของพระเจา้มาประกาศเพื่อเผยแผโ่องการของพระเจา้ซ่ึงศาสนทูตน้นัมีจา นวน มากมายลกัษณะคา ประกาศของแต่ละศาสดายอ่มผดิแปลกไปตามยคุสมยัแต่สิ่งหน่ึงที่ทุกศาสดาประกาศออกมา เหมือนกนัคือความเชื่อในพระเจา้องคเ์ดียวกนัและหา้มกราบไหวบู้ชาวตัถุโดยสิ้นเชิง พระอัลเลาะห์ ได้คัดเลือกบุคคลเพื่อน าสาร(ค าสอน)ของ พระองคม์ายงัโลกเพอื่ตกัเตือนสงั่สอนให้ มนุษย์เป็ นคนดี ศาสดาองค์แรกคือ นบีอาดัม และองค์สุดท้ายคือ นบีฯ มุฮัมหมัด(Muhammad) (ศ็อลฯ ) บุคคลที่อลัลอฮท์รงคดัเลือกใหไ้ดร้ับโองการจากพระองคน์ ้นัอาจารยเ์สาวนีย์จิตต์หมวด ได้จ าแนกไว้มี 2 ประเภท คือ - นบีหมายถึงผทู้ี่ไดร้ับโองการมาเพื่อปฏิบตัิตามที่อลัลอฮท์รงใชแ้ละงดเวน้ สิ่งที่พระองคท์รงหา้ม โดยเฉพาะตนเองเท่าน้นั -รซู้ล/รอซูลเป็นนบีเช่นกนัแต่มีหนา้ที่มากกวา่คือ นา โองการที่ไดร้ับจากอลัลอฮไ์ปเผยแผแ่ก่ มนุษยชาติเช่น นบีมูซา (อลัยฮิสลาม) นบีอีซา (อลัยฯ) และนบีฯ มุฮัมมัด (ศ็อลฯ) จึงสรุปไดว้า่รซูล้ทุกคนเป็นนบีแต่นบีทุกคนไม่ไดเ้ป็นรซูล้บรรดานบีนบัต้งัแต่สร้างโลกมามี ประมาณ 124,000 ท่าน แต่ที่ถูกกล่าวชื่อในคมัภีร์อลักรุอานน้นั ปรากฏวา่หลายท่านมีชื่อในคมัภีร์ไบเบิลเก่าหรือ เตารอต ศาสดาหรือนบีแปลวา่ผปู้ระกาศหรือวา่แจง้ข่าว ศาสนทูตมีมากกวา่1คน รอซูล(ศาสนทูต)หมายถึงผรู้ับสารหรือคา สงั่ใชจ้ากพระอลัเลาะห์มาเผยแผแ่ก่คนทวั่ ไป หรือผู้ประกาศ ศาสนาที่ได้รับโองการมาจากพระเจ้า ลักษณะของรอซูล(ศาสนทูต) คือ เป็ นผู้มีคุณธรรม,ซื่อสัตย์,ฉลาดรอบรู้ เป็ นต้น มีจา นวนมากมายแต่มีเพียง 25 ท่านเท่าน้นัที่มุสลิมตอ้งทราบ ดงัมีชื่อปรากฏอยใู่นอลักรุอ่าน เช่น อดมั, นูอ์,อิบรอฮีม(อัมราฮัม), มูซา(โมเสส),อีซา(พระเยซู), มุฮัมหมัด เป็ นต้น นบีมุฮัมหมดัน้นัเป็นรอซูลท่านสุดทา้ยจะไม่มีรอซูลภายหลงัจากท่านอีก(นบีองค์ที่ส าคัญที่สุด) ศรัทธาในนบีมุสลิมมีความเชื่อวา่ โลกมนุษยใ์นแต่ละยคุที่ผา่นมานบัแต่ยคุแรกคืออาดมั(นบีคนแรก)น้นัจะตอ้ง มีนบีหรือศาสนทูต เป็ นผู้รับบทบัญญัติของพระเจ้ามาประกาศเพื่อปฏิบตัิจา นวนนบีที่เผยแพร่บทบญัญตัิของ พระเจ้ามีจ านวนมากมายลกัษณะคา ประกาศของแต่ละนบียอ่มผดิแปลกไปตามยคุตามสมยัแต่สิ่งหน่ึงที่ทุกนบี ประกาศออกมาเหมือนกนัคือความเชื่อในพระเจา้เดียวและหา้มกราบไหวบู้ชาวตัถุโดยสิ้นเชิง บรรดานบีที่รับบทบญัญตัิจากพระเจา้(พระอลัเลาะห์)มาเผยแพร่เท่าที่มีปรากฏในอลักรุอ่าน มีท้งัสิ้น 25 ท่านคือ 1.อาดัม 2. อิบรอฮิม(อัมราฮัม) 3. อิสฮากร์(อิสอัค/ไอเซค) 4.ยากูฟ 5. นัวฮ์ 6.ดาลูด( ดาวิด/ เดวิด) 7. สุไลมาน(โซโลมอน) 8.ไอยยูฐ 9.ยูซุบ 10. มูซา (โมเสส) 11.ฮารูฯ 12. ซาการียา 13. ยาห์ยา 14.อี ซา (พระเยซู) 15.อินยาส 16. อิสมาอีล 17.อลัยา่ซะอ์18. ยูนุส 19. ลูด 20. อิดรีส 21. ฮูด 22.ซู่ไอย์23. ซอ
และห์24. ซุลกิฟลี่25. นบีมูฮัมหมัด (ซ.ล.) นบีทุกท่านเป็นมนุษยธ์รรมดาจึงดา รงชีวิตแบบคนทวั่ ไป สาเหตุที่พระเจ้า(พระอัลเลาะห์)เลือกคน ธรรมดาข้ึนมาเป็นนบีเพราะความเป็นนบีหมายถึงการเป็นตวัอยา่งในการปฏิบตัิตามคา สอนของตนที่ไดร้ับมา จากพระเจ้า ทุกสิ่งที่นบีสอนผอู้ื่นท่านกจ็ะปฏิบตัิสิ่งน้นัดว้ยคา สอนที่สอนออกไป จึงเป็นกฎหมายที่ท่านตอ้ง ปฏิบัติตาม เพราะถือวา่สิ่งที่ท่านสอนกค็ือบทบญัญตัิที่พระเจา้(พระอลัเลาะห์)ประทานใหผ้า่นมาทางท่านนบีนงั่ เอง คุณสมบัติของศาสนทูตมี 4 ประการคือ 1. ศิดกุน คือ วาจาสัตย์ไม่พดูเทจ็ 2. อะมานะฮ์ คือ ไว้วางใจได้ ซื่อสัตย์สุจริต ไม่กระทา ความชวั่ฝ่าฝืนบทบญัญตัิของอลัลอฮ์ 3. ตับลิค คือ นา ศาสนามาเผยแผแ่ก่มนุษยโ์ดยทวั่ถึงไม่ปิดบงัแมแ้ต่นอ้ย 4. ฟะตอนะฮ์ คือ เฉลียวฉลาด บรรดาศาสดาทุกท่าน เป็นมนุษยธ์รรมดานี่เองจึงดา รงชีวิตแบบสามญัชนทวั่ ไป มีการกินอยหู่ลบันอน แต่งงานและประกอบอาชีพ สาเหตุที่พระเจา้เลือกคนธรรมดาข้ึนมาเป็นศาสดากเ็พราะความเป็นศาสดา หมายถึงการเป็นตวัอยา่งใน การปฏิบัติตามค าสอนของตัวเองที่ได้รับมาจากพระเจ้า หากศาสดาไม่ใช่คนสามญัชนธรรมดาแบบเดียวกบั ประชาชนทวั่ ไป คา สอนกจ็ะขาดการนา ไปปฏิบตัิซึ่ง ในที่สุดคา สอนกจ็ะหมดความหมายและแน่นอนกจ็ะไม่มีใครพร้อมที่จะนา ไปประพฤติปฏิบตัิในการดา เนินชีวิต อีกด้วย ทุกสิ่งทุกอยา่งที่ศาสดาสอนผอู้ื่น ท่านกป็ฏิบตัิเช่นน้นัดว้ยคา สอนที่ท่านสอนออกไปจึงเป็นกฎหมายที่ ท่านตอ้งปฏิบตัิตาม เพราะสิ่งที่ท่านสอนกค็ือ บทบญัญตัิที่พระเจา้ทรงดา รัสผา่นมาทางท่านนนั่เอง ศาสนาอิสลามจ าแนกพระศาสนทูตหรือผู้แทนของพระอัลเลาะห์หรือผู้รับโองการจากพระเจ้าให้น า บัญญัติของพระองค์มาสงั่สอน ช้ีแนะแก่มวลมนุษยด์ว้ยกนั ในแต่ละยคุแต่ละสมยัออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. ผไู้ดร้ับมอบหมายหนา้ที่ใหป้ฏิบตัิตนเป็นแบบอยา่งที่ดีตามบทบญัญตัิของพระเจา้เพียงอยา่งเดียวเท่าน้นั ศาสนทูตประเภทน้ีเรียกวา่"นบี" 2. ผไู้ดร้ับมอบหมายหนา้ที่ใหป้ฏิบตัิตนเป็นแบบอยา่งที่ดีตามบทบญัญตัิของพระเจา้ทา การเผยแผ่ บทบญัญตัิน้นัแก่มวลมนุษยช์าติทวั่ ไปดว้ยศาสนทูตประเภทน้ีเรียกวา่"ซูล" หรือ"เราะซูล" ส่วนองคพ์ระมุฮมัมดัชาวมุสลิมเชื่อกนัวา่พระองคเ์ป็นท้งันบีและเราะซูลเพราะพระองคเ์ป็นแบบอยา่งที่ ดีตามบทบญัญตัิของพระอลัเลาะห์และทรงเป็นผเู้ผยแผบ่ทบญัญตัิน้นัแก่มวลมนุษยชาติอีกดว้ย 4. ศรัทธาในบรรดาคัมภีร์ของพระอัลเลาะห์ ศัมภีร์ ที่ถือว่าพระอัลเลาะห์ประทานมาให้ และต้องศรัทธา คือ 1.ศรัทธาในคมัภีร์อลักรุอ่าน เป็นคมัภีร์สุดทา้ยที่พระเจา้(พระอลัเลาะห์)สงั่ตรงผา่นพระนบีมูฮมัหมดั หมัดลงมาให้มนุษย์โลก 2.คมัภีร์อื่นๆซ่ึงพระอลัเลาะห์มอบแก่นบีท่านอื่นๆดว้ยเช่น คมัภีร์เตารอตมอบแก่นบีมูซา(โมเสส), คมัภีร์อินญีล มอบแก่นบีอีซา(พระเยซู) เป็นตน้ (สรุป นอกจาก”คมัภีร์อลักรุอ่านที่พระอลัเลาะห์ไดม้อบแก่นบีมุฮมัมดัเพื่อเป็นธรรมนูญชีวิตของมุสลิมทุกคน” แลว้เรายงัมีคมัภีร์อื่น ๆที่มอบมาใหแ้ก่นบีคนอื่น ๆ ก่อนหนา้ของพระมะหะหมดั)
คมัภีร์ที่พระอลัเลาะห์บญัญตัิมาจะแบ่งไดเ้ป็นสองแบบคือเป็ นคัมภีร์ฉบบัสมบูรณ์(กิตาบ) เป็นคา แถลงการณ์ (ซุฮุบ) คัมภีร์ที่เป็ นฉบับสมบูรณ์มีดงัต่อไปน้ี 1. ซะบูร นบีดาวุด(ดาวิด) เป็นผรู้ับบทบญัญตัิและเผยแพร่ 2. เตารอด นบีมูซา(โมเสส) เป็นผรู้ับบทบญัญตัิและเผยแพร่ 3. อันยีล นบีอีซา(พระเยซู) เป็นผรู้ับบทบญัญตัิและเผยแพร่ 4. กุรอาน นบีมูฮัมหมัด เป็นผรู้ับบทบญัญตัิและเผยแพร่ มีบทบญัญตัิที่ไม่เป็นคมัภีร์ฉบบัสมบูรณ์แต่เป็นเพียงคา แถลงการณ์ซ่ึงเผยแพร่ออกมาตามวาระต่าง ๆ คือโดยนบีซีซ มี 60 ฉบับ โดยนบีอิบรอฮิม(อับราฮัม) มี 30 ฉบับ และโดยนบีอีซา(พระเยซู) จ านวน 10 ฉบับ คัมภีร์ฉบับสุดท้ายอันประมวลความสมบูรณ์คือคัมภีร์อัลกุรอาน ประกาศโดยท่าน นบีมูฮมัหมดั คัมภีร์ที่พระอัลเลาะห์มอบให้มี104 เล่ม เล่มสุดทา้ย+ สมบูรณ์ที่สุด คือคมัภีร์อลักรุอ่าน แต่มุสลิมตอ้ง ศรัทธาทุกเล่ม ศรัทธาในบรรดาคมัภีร์ต่าง ๆ ที่อลัลอหฺประทานลงมาในอดีต เช่น เตารอต(คัมภีร์ของศาสนายิว) อินญีล(คมัภีร์ใหม่-Bible) ซะบูรและอัลกุรอาน คมัภีร์ต่าง ๆพระอลัเลาะห์ไดป้ระทานให้โดยผา่นศาสดา/ศาสนาทูต อลักรุอานเป็นคมัภีร์ที่สมบูรณ์ที่สุดที่พระอลัเลาะห์ทรงประทานใหม้นุษยเ์พื่อปิดฉากคมัภีร์ท้งัหลาย คัมภีร์ที่ต้องศรัทธาตามหลักศรัทธา 6 ประการคือ = คัมภีร์ของศาสนายิว (เตารอต) + คัมภีร์ของศาสนา คริสต์(อินญีล) +คมัภีร์ของศาสนาอิสลาม(อลักรุอาน)(เป็นเล่มสุดทา้ย) คัมภีร์ที่พระอัลเลาะห์ประทานให้มามีประมาณ 104 เล่ม ที่ส าคัญที่สุดคือคัมภีร์อัลกุรอานเพราะเป็ น คมัภีร์ที่พระอลัเลาะห์ประทานมาโดยผา่นเทวทูตสู่นบีมุฮมัหมดั (ศอ็ลฯ) ดว้ยการดลใจในแต่ละคร้ังเป็น ระยะ ๆ คมัภีร์ประมวลเรื่องราวต่าง ๆ ไวม้ีบทบญัญตัิต่าง ๆ ประมาณ 6600 บทบญัญตัิแบ่งออกเป็นบทบญัญตัิ เกี่ยวกบัหลกัความเชื่อ พิธีการทางศาสนา ประวตัิศาสตร์เศรษฐกิจการปกครองการแพทย์การคา นวณ วิทยาศาสตร์กฎหมาย การทูต สังคม วัฒนธรรม บทขอพร และหลักศีลธรรม เป็ นต้น “ มุสลิมถือวา่ อัลกุรอานเป็ นธรรมนูญชีวิตของทุกคน “ การกระทา ท้งัหลายจะตอ้งสอดคลอ้งกบับทบญัญตัิของอลักรุอาน มุสลิมจะอ่านอัลกุ รอานเป็นประจา แมไ้ม่ไดเ้ขา้ใจความหมาย แต่ทุกคนถือเป็นหนา้ที่ตอ้งอ่าน เพื่อเตือนตัวเองให้ส านึก ถึงความสา คญัของอลักรุอานที่มีต่อการดา เนินชีวิต โดยจะอ่านใหจ้บท้งั6600 กวา่บทบญัญตัิอยา่งนอ้ย ปีละคร้ัง “กฎหมายหรือบทบญัญตัิอื่นใดไม่สามารถหกัลา้งได้” เน้ือความของอลักรุอานถือเป็นธรรมนูญสูงสุดของมุสลิม มุสลิมกฎหมายหรือบทบญัญตัิอื่นใดไม่ สามารถหักล้างได้มุสลิมเชื่อวา่นบีมูฮมัหมดัไม่ไดเ้ขียนกรุอานข้ึนเอง เพราะท่านอ่านหนงัสือไม่ออกและคน อาหรับในสมยัน้นั ไม่มีผใู้ดมีความรู้ในสาขาต่าง ๆ ที่กล่าวไว้ในอัลกุรอานจึงต้องมาจากการไขความ (วิวรณ์) ของพระเจ้า สรุป คมัภีร์ที่วา่น้ีหมายถึงคมัภีร์จา นวน 104 เล่มที่อลัเลาะฮไ์ดป้ระทานแก่เหล่าศาสนทูต ของพระองค์เพื่อ นา มาประกาศเผยแผแ่ก่ปวงประชาชาติใหเ้หินห่างจากความมืดมนไปสู่ทางอนัสวา่งไสวและเที่ยงตรง ซึ่งคัมภีร์ที่ สา คญัมีอยู่4 คัมภีร์ คือ
คัมภีร์โตราห์หรือเตารอต (Torah) ประทานแก่นบีมูซาหรือโมเสส (Moses) เป็ นภาษาฮีบรู คัมภีร์ซะบูร์ (Zaboor) ประทานแก่นบีดาวดูหรือดาวิด (David) เป็ นภาษาอียิปต์โบราณ คัมภีร์อินญีล (Injeel or Gospel) ประทานแก่นบีอีซาหรือเยซู(Jesus) เป็ นภาษาซีเรียโบราณ คัมภีร์อัล-กุรอาน (Al-Quran) ประทานแก่นบีมุฮมัมดั (Muhammad) เป็ นภาษาอาหรับ อัลกุรอาน เป็ น คมัภีร์ฉบบัสุดทา้ยที่สมบูรณ์ที่สุดและมุสลิมเชื่อวา่ท่านนบีมุฮมัมดัเป็นนบีคนสุดทา้ย คมัภีร์ต่างๆ ท้งัหมดน้ีสรุปคา สอนไดเ้ป็น 2 ประการ คือ 1. สอนถึงความสมัพนัธ์ระหวา่งมนุษยก์บัพระเจา้ 2. สอนถึงความสมัพนัธ์ระหวา่งมนุษยก์บัมนุษยด์ว้ยกนั 5. การศรัทธาในวันสิ้นโลก (กียามะห์/ อาคิเราะฮ์) และวันพิพากษาและศรัทธาในโลกหน้า ศรัทธาต่อวนัพิพากษาโลกเรียกวนัน้ีวา่วนักียามะห์(อาคิเราะฮ)์ ทุกชีวิตจะถูกนา มารวมกนัณ ที่แห่งหน่ึงเพื่อรับการตดัสินในทุกการงานที่เคยปฏิบตัิไวเ้มื่อยงัมีชีวิตอยู่ ในโลกน้ี ศรัทธาในวนัสิ้นสุดทา้ยคือหลงัจากสิ้นโลกแลว้มนุษยจ์ะฟ้ืนข้ึน เพื่อรับการตอบสนองความดีความชวั่ ที่ไดท้า ไปบนโลกน้ี พระอลัเลาะห์ทรงกา หนดใหเ้ป็นวนัแห่งการดบัสูญของทุกสิ่งและทุกชีวิตจะถูกนา มารวมกนัณ ที่แห่ง หน่ึงเพื่อรับการตดัสินในทุกการงานที่เคยปฏิบตัิไวเ้มื่อยงัมีชีวติอยใู่นโลกน้ี มุสลิมเชื่อวา่มีโลกหนา้จะเกิดหลงัการแตกดบัของโลกปัจจุบนัน้ี - มุสลิมเชื่อวา่ โลกมีวนัดบัสลาย ทุกคนต้องตาย วิญญาณ พระเจ้าตัดสิน - หากท าดีบนโลกโดยตลอด ข้ึนสวรรค์ หรือไปเกิดในที่ดีๆ - หากทา ชวั่บนโลกโดยตลอด ลงนรก หรือไปสู่ที่ทรมาน การที่โลกน้ีจะแตกดบั (วนัสิ้นโลก) ท่านนบีไดพ้ยากรณ์ไวห้ลายอยา่ง เช่น จะเกิดปัญหาหมอกควนัจะ เกิดสงครามมากมายจะเกิดการอา้งตวัเป็นนบีปลอม จะแข่งขนั ในการสร้างอาคารสูง ๆ จะแข่งขนัใน การสร้างมสัยดิจะมีการผดิประเวณีกนัแพร่หลายจะมีการดื่มสุราอยา่งแพร่หลายและผนู้า จะขาด คุณธรรม ชาวมุสลิมจึงไม่เผาศพ แต่นิยมฝังศพ เพื่อรอวันพิพากษาจากพระอัลเลาะห์ ไม่นิยมลงโทษตนเองโดยการเผาตวัตายเพราะวา่การเผาจะเกิดข้ึนคร้ังเดียวเท่าน้นั ในวนัพิพากษาโลก หรือวนักิยามะฮ์มนุษยไ์ม่มีสิทธิที่จะเผากนัเองนอกจากพระเจา้เท่าน้นัเพราะ“ การลงโทษมนุษย์ด้วย ไฟเป็นหนา้ที่ของพระเจา้มนุษยล์งโทษมนุษยด์ว้ยไฟไม่ได้เพราะวา่การลงโทษดว้ยไฟเป็นหนา้ที่ของ พระเจ้า(พระอัลเลาะห์) ” ศาสนาอิสลามเรียกโลกในปัจจุบนัวา่"โลกดุนยา" และอธิบายวา่ดุนยาเป็นโลกแห่งการทดลอง ไม่จี รังยงั่ยนืรอวนัแห่งความพินาศแตกสลายเรียกวา่ "วนักียามะฮฺ" ซ่ึงเป็นวนัพิพากษาหรือวนักา เนิดปรโลก โลก ใหม่ที่เกิดข้ึนในวนัดงักล่าวเป็นโลกอมตะ เรียกวา่"โลกอาคีรัต" มนุษยแ์ละสรรพสิ่งท้งัหลายที่เกิดข้ึนในโลกน้ี จะมีชีวิตเป็นนิรันดรในวนักียามะฮ์น้ีทุกชีวิตที่ตายไปแลว้จะกลบั ฟ้ืนคืนชีพอีกคร้ังหน่ึง เพื่อช าระผลกรรมที่ท า ไวส้มยัที่มีชีวิตอยู่มุสลิมผศู้รัทธาในวนัพิพากษาและสร้างสมความดีไวม้ากจะไดไ้ปสู่ปรโลกพบกบัชีวิตนิรันดร ศาสนาอิสลามยอมรับในวนัอวสานของโลกเช่นเดียวกบัศาสนายวิและศาสนาคริสต์ ในวนัน้ีอลัลอฮจ์ะ เสด็จมายังโลกเพื่อพิพากษาการกระท าของมนุษย์ ความศรัทธาเช่นน้ีจะช่วยใหม้นุษยต์้งัตนอยใู่นความไม่
ประมาท ระมดัระวงัความชวั่ ไม่ใหเ้กิดข้ึนและเพียรพยายามสร้างความดีใหเ้กิดข้ึนเรื่อย ๆ แม้นจะเหนื่อยยากปาน ใดต้องอดทนเพื่อโลกหน้าที่สมบูรณ์และดีกวา่ โลกน้ีโลกหน้าจึงเป็ นผลมาจากการกระท าในโลกปัจจุบัน ชีวิตที่ เกิดข้ึนในโลกหนา้หลงัจากที่ไดร้ับการพิพากษา แล้วจะเป็ นชีวิตนิรันดร์ ส่วนผทู้ี่กระทา ความชวั่สิ่งที่ตอบแทน คือ ไฟช าระและนรกภูมิ 6. ศรัทธาในกฎสภาวะของโลก/กฎก าหนดสภาวการณ์/ศรัทธาในลิขิตของพระเจ้า ศรัทธาในกฏสภาวะของพระเจา้มีท้งักฎตายตวัและไม่ตายตวั พระเจ้า(พระอัลเลาะห์) สร้างกฎไว้2 อยา่ง 1. กฎตายตวัหรือกฎคงที่เช่น กา หนดเพศพนัธุ์การข้ึน – ตกของพระอาทิตย์เช้ือชาติ ความร้อน –ความเย็น เป็ นต้น 2. กฎไม่ตามตวัหรือกฎเหตุ–ผล เช่น ท าดีได้ดี ทา ชวั่ ไดช้วั่ เป็ นต้น กฎธรรมชาติท้งัหลายน้นัลว้นมาจากพระอลัเลาะห์เป็นผกู้า หนด ชะตากรรมของมนุษยก์ถ็ูกลิขิตโดยพระอลัเลาะห์ สิ่งต่าง ๆ ซึ่งพระเจา้(พระอลัเลาะห์) ทรงกา หนดน้นั ยากที่มนุษย์จะเข้าใจได้เพราะปัญญาของมนุษย์มี ขอบเขตจา กดั ชีวิตแต่ละคนน้นัเป็นไปโดยอา นาจของพระเจา้มนุษยจ์ะตอ้งปฏิบตัิตามครรลองที่ถูกกา หนดไวแ้ลว้ การดิ้นรนขวนขวายอุตสาหวิริยะของมนุษยด์า เนินอยภู่ายใตข้อ้กา หนดดงักล่าว หนา้ที่ของมนุษยค์ือการหาเล้ียงตนเองจนสุดความสามารที่จะตอ้งทา การมอบความไวว้างใจต่อพระอลั เลาะห์ ซึ่งพระองคจ์ะเป็นแรงบนัดาลใจในการฝ่าฟันความทุกขย์ากโดยปราศจากซ่ึงความวิตกกงัวล หรือความผิดหวังใด ๆ การศรัทธาในกฎกา หนดสภาวะการณ์ทุกสิ่งทุกอยา่งที่เกิดข้ึนและดา เนินไปน้นัมาจากการกา หนด และ อยภู่ายใตก้ารควบคุมของพระเจา้(พระอลัเลาะห์)ในทางตรงกนัขา้มหากพระเจา้ไม่ประสงคใ์นสิ่งใด หรือยบัย้งัในสิ่งใด สิ่งน้นักจ็ะไม่มีวนัเกิดข้ึนเช่นกนั มุสลิมทุกคนจะตอ้งศรัทธาวา่กา หนดการต่างๆ ในโลกและชีวิตของบุคคลแต่ละคนเป็นไปโดยอา นาจ ของพระเจา้ท้งัสิ้น มนุษยต์อ้งปฏิบตัิตามครรลองที่ถูกกา หนดไวแ้ลว้การดิ้นรนขวนขวายและวิริยภาพของมนุษย์ ดา เนินไปจะอยภู่ายใตข้อ้กา หนดดงักล่าวน้ีท้งัสิ้น ความเชื่อในอา นาจการลิขิตของพระเจา้น้ีมิไดห้มายถึงการตดัทอนในดา้นสร้างสรรคข์องมนุษยแ์ต่อยา่ง ใด ซ่ึงจะทา ใหม้นุษยเ์กียจคร้านและไม่คิดจะทา หนา้ที่อะไรโดยทุกสิ่งเป็นกา หนดของพระเจ้า ความเชื่อขอ้น้ีนา มาประกอบในการดา เนินชีวิตของมนุษยไ์ดเ้ป็นอยา่งดีและสุขมุมีสติและไม่ประมาท ให้ มีสติต้งัมนั่วา่ทุกสิ่งทุกอยา่งดา เนินไปโดยการลิขิตของพระเจา้ซ่ึงมนุษยเ์องกด็ิ้นรนพยายามและมุ่งมนั่อยเู่สมอ มีความขยันขันแข็งและเริ่มบุกเบิกการงานความคิดทุกประการ ดว้ยจิตใจที่สา นึกอยเู่สมอวา่อยภู่ายใต้ ขอ้กา หนดของพระเจา้อยเู่ป็นนิตย์ดงัน้นัผลของการกระทา กิจการท้งัหลายไม่วา่จะสา เร็จหรือไม่สา เร็จกต็าม มนุษยก์จ็ะมีสติสมั ปชญัญะมนั่คงเสมอ หากประสบผลสา เร็จในการทา กิจการใดๆ กร็ะลึกวา่เป็นไปโดยกา หนดลิขิตของพระเจา้ตวัเองจะไดไ้ม่ ลา พองไม่หยงิ่จองหองไม่ถือวา่ตวัเองเป็นผวู้เิศษเหนือคนอื่นใด แต่ถา้หากประสบความลม้เหลวในการกระทา ก็ ระลึกเสียวา่เป็นไปโดยลิขิตของพระเจา้ตวัเองจะไดไ้ม่เสียใจไม่อกหกั ไม่โวยวาย ความเชื่อในลิขิตพระเจ้าจะปรับจิตใจของมวลมนุษยใ์หม้นั่คงในพระเจา้ดา เนินชีวิตอยดู่ว้ยความมนั่ใจ มี
เป้าหมายและมีกา ลงัใจตลอดไป คนใดที่เชื่อในลิขิตพระเจา้จะปรับปรุงตวัอยเู่สมอไม่ทา อะไรแบบเชา้ชามเยน็ชามเฉี่อยชาทา ตวัเรื่อยๆ เฉื่อยแฉะเหมือนเรือที่ไม่มีหางเสือเป็นความเชื่อที่มีเหตุผลอยา่งแทจ้ริงถา้มีเหตุบกพร่องจะรีบแกไ้ขทนัที ดงัน้นัศาสนาอิสลามจึงกล่าวถึงกฎสภาวการณ์ไวว้า่พระอลัเลาะห์เจา้ทรงลิขิตหรือเป็นผทู้รงกา หนดกฎ สภาวการณ์ (ความเป็ นไป)แห่งโลกและมวลมนุษยช์าติไวใ้น 2 ลกัษณะ ดงัน้ี 1. สภาวการณ์ที่คงที่ไดแ้ก่กฎแห่งธรรมชาติเช่น ดินฟ้าอากาศระบบการโคจรของดวงดาวและชาติพันธุ์ ของมนุษยท์ ้งัปวง 2. สภาวการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้คือ สภาวการณ์ที่ข้ึนอยกู่บัเหตุและผลที่มนุษยแ์ต่ละคนจะใชส้ติปัญญา ของตนเลือกปฏิบัติเช่น พระเจา้สร้างมนุษยใ์หม้ีสภาพของความเป็นคนเหมือนๆ กนัพร้อมท้งัทรงประทานแนว ปฏิบัติเพื่อความดีงามให้ทุกคน ส่วนผใู้ดมีสถานภาพอยา่งไรน้นั ในกาลต่อมาน้นัเป็นเรื่องของแต่ละบุคคลเป็น ผู้ท าเองก่อเอง เลือกทางเดินของตวัเอง สรุป ศรัทธาในกฎสภาวะของโลก/กฎกา หนดสภาวการณ์หรือศรัทธาในลิขิตของพระเจ้า น้นัคือความเชื่อ ที่วา่กฎธรรมชาติท้งัหลายน้นัลว้นมาจากพระอลัเลาะห์เป็นผกู้า หนด ชะตากรรมของมนุษยก์ถ็ูกลิขิตโดยพระอลั เลาะห์ ซึ่งยากที่มนุษย์จะเข้าใจได้ มนุษยจ์ึงไม่สามารถทราบวนัตายและไม่สามารถหลุดพน้จากความทุกขแ์ละ ความผิดหวัง มนุษย์มีหนา้ที่ที่จะตอ้งทา คือ การมอบความไม่วางใจต่อพระอลัเลาะห์เท่าน้นัการมอบความ ไวว้างใจน้ีหมายถึงการหาเล้ียงตนเองจนสุดความสามารถ โดยมีพระอัลเลาะห์เป็ นแรงบันดาลใจในการฝ่ าฟัน ความทุกขย์ากโดยปราศจากซ่ึงความวิตกกงัวลหรือความผดิหวงัใด ๆ ข้อแตกต่างระหว่างหลกัศรัทธาของนิกาย สุนนี่และชีอะห ์ หลักศรัทธาของนิกาย ซุนนี่/สุนนี่(Sunni) หลักศรัทธาของนิกาย ชีอะห์(Shi'a) ศรัทธาวา่ พระอัลเลาะห์ป็ นพระเจ้า เตาฮีด (เอกภาพ)คือศรัทธาวา่ พระอัลเลาะห์ทรงเป็ น พระผเู้ป็นเจา้เพียงพระองคเ์ดียวไม่มีพระเจา้อื่นใด นอกเหนือจากพระองค์ ศรัทธาในบรรดามะลาอิกะหฺ ทาสผู้รับใช้อัลลอหฺ อะดาละหฺ (ความยตุิธรรม)คือศรัทธาวา่ พระอัลเลาะห์ ทรงยตุิธรรมยงิ่ ศรัทธาในบรรดาศาสนทูตต่าง ๆ ที่อลัลอหฺไดท้รงส่ง มายงัหมู่มนุษย์หน่ึงในจา นวนน้นัคือนบีมุฮัมหมัด นุบูวะหฺ (ศาสดาพยากรณ์)คือศรัทธาวา่ พระอัลเลาะห์ ไดท้รงส่งศาสนทูตต่าง ๆ ที่อลัลอหฺไดท้รงส่งมายงัหมู่ มนุษย์หน่ึงในจา นวนน้นัคือนบีมุฮมัหมัด ศรัทธาในบรรดาคมัภีร์ต่าง ๆ ที่อลัลอหฺประทานลงมา ในอดีต เช่น เตารอต อินญีล ซะบูรและอัลกุรอาน อิมามะหฺ (การเป็ นผู้น า) ศรัทธาวา่ผนู้า สูงสุดในศาสนา จะตอ้งเป็นผทู้ี่ไดร้ับการแต่งต้งัจากศาสนทูตมุฮมัหมัด เท่าน้นัจะเลือกหรือแต่งต้งักนัเองไม่ได้ผนู้า เหล่าน้นัมี 12 คนคือ อะลีย์ บินอะบีฏอลิบและบุตรหลานของอะลีย์ และฟาฏิมะหฺอีก 11 คน ศรัทธาในวนัสิ้นสุดทา้ยคือหลงัจากสิ้นโลกแลว้ มะอาด (การกลับคืน) ศรัทธาในวนั ฟ้ืนคืนชีพ คือ
มนุษยจ์ะฟ้ืนข้ึน เพื่อรับการตอบสนองความดีความ ชวั่ที่ไดท้า ไปบนโลกน้ี หลงัจากสิ้นโลกแลว้มนุษยจ์ะฟ้ืนข้ึน เพื่อรับการ ตอบสนองความดีความชวั่ที่ไดท้า ไปบนโลกน้ี ศรัทธาในกฎสภาวะ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- มะลาอิกะหฺ ( Malak/ Malakh) ความเป็ นมาของมะลาอิกะหฺ โดยถูกสร้างมาจากรัศมี(นูร) มีจา นวนมากมายไม่มีใครรู้จา นวนไดน้อกจากอลัลอหฺมะลาอิกะหฺ ไม่มีเพศไม่บริโภคและไม่ดื่ม มาลาอิกะฮเ์ป็นบ่าวที่ปฏิบตัิตามคา สงั่ของอลัลอหฺไม่บิดพริ้วไม่ฝ่าฝืน คา สงั่ ไม่มีความคิดที่จะเลือกทา อะไรหรือ ทา สิ่งใดโดยลา พงัได้เพราะมะลาอิกะหฺมีหนา้ที่ปฏิบตัิตาม คา สงั่ของอลัลอหฺเพียงอยา่งเดียว มนุษยไ์มสามารถมองเห็นมะลาอิกะหฺไดใ้นสภาพเดิม เวน้แต่บรรดานบี เท่าน้นัเพราะมะลาอิกะหฺเป็นร่างที่ละเอียดอ่อนโดยกา เนิดจากรัศมีเช่นเดียวกนัน้นัมนษยไ์ม่สามารถ มองเห็นลมได้ท้งัๆ ที่ลมสามารถพดัใบไมไ้หวได้แต่มนษยส์ามารถมองเห็นมะลาอิกะหฺไดใ้นลกัษณะ จา แลงกล่าวคือเมื่อมะลาอิกะหฺไดจ้า แลงร่างใหเ้หมือนมนุษย์