The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

คู่มือการอบรมหลักสูตรการดูแลผู้สูงอายุ



คู่มือ
แนวทางการอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุ
หลักสูตร 420 ชั่วโมง


คู่มือ
ISBN จัดพิมพ์โดย
พิมพ์ครั้งที่ 2 จํานวนพิมพ์ พิมพ์ที่
คู่มือแนวทางการอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุระยะยาว
แนวทางการอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุ หลักสูตร 420 ชั่วโมง
978-616-11-1566-1
สํานักอนามัยผู้สูงอายุ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข
88/22 ถนนติวานนท์ ตําบลตลาดขวัญ อําเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี 11000 โทร. 0-2590-4000
ตุลาคม 2557
1,000 เล่ม
สํานักงานกิจการโรงพิมพ์ องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก
II
สํานักส่งเสริมสุขภาพ


คํานํา
ปรากฎการณ์ใหม่ในศตวรรษที่ 21 ของประเทศไทย คือการก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ จากข้อมูลพบว่า ขนาดหรือจํานวนของประชากรรวม และประชากรสูงอายุเพิ่มข้ึน มีการคาดการณ์ว่า อีก 20 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะเป็นสังคมสูงวัยระดับสุดยอด ซึ่งหมายถึง มีสัดส่วนประชากรผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป คิดเป็น ร้อยละ 20 ขึ้นไป หรืออาจกล่าวได้ว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า (พ.ศ. 2564) ประเทศจะกลายเป็น “สังคมสูงวัย อย่างสมบูรณ์ : Aged Society” และ จากนั้นอีกเพียง 10 ปี ประเทศไทยจะกลายเป็น “สังคมสูงวัยระดับ สุดยอด (Super-Aged Society) จากสภาพปัญหาและสถานการณ์ของผู้สูงอายุ ท่ีมีการเปลี่ยนแปลงอย่าง รวดเร็วมาก ส่งผลกระทบทางด้านสุขภาพ เศรษฐกิจ สังคม โดยรวม การส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค ในผู้สูงอายุที่ยังมีสุขภาพดีให้มีสุขภาพแข็งแรง เพ่ือยืดเวลาที่จะเกิดการเจ็บป่วยเร้ือรังออกไปและในผู้สูงอายุ ที่เจ็บป่วยให้หายหรือทุเลา จากการเกิดความพิการหรือทุพพลภาพ การยืดเวลาของการเข้าสู่ภาวะทุพพลภาพ ออกไป รวมถึงการเตรียมการเพื่อรองรับสภาพปัญหาดังกล่าว จึงมีความสําคัญย่ิง
กรมอนามัย โดยสํานักอนามัยผู้สูงอายุ และคณะทํางานพัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุ จึงได้ดําเนินการจัดทําคู่มือแนวทางการอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุระยะยาวขึ้น เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนา ศักยภาพบุคลากร ให้เป็นผู้มีความรู้ ความเข้าใจ สามารถถ่ายทอดองค์ความรู้ เทคโนโลยี ด้านการดูแลสุขภาพ ผู้สูงอายุระยะยาวแก่บุคลากร และภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ผู้สูงอายุได้รับการดูแลที่มีคุณภาพ สมศักดิ์ศรี และมีคุณภาพชีวิตท่ีดี
สํานักอนามัยผู้สูงอายุ กรมอนามัย หวังเป็นอย่างย่ิงว่า “คู่มือแนวทางการอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุ ระยะยาว” ฉบับนี้ จะเป็นประโยชน์สําหรับการอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุระยะยาว และหากมีข้อเสนอแนะให้ คู่มือมีความสมบูรณ์มากย่ิงขึ้น กรุณาส่งข้อเสนอแนะมาท่ีกลุ่มอนามัยผู้สูงอายุ สํานักส่งเสริมสุขภาพ กรมอนามัย เพ่ือการปรับปรุงต่อไป
สํานักอนามัยผู้สูงอายุ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ตุลาคม 2557
คู่มือแนวทางการอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุระยะยาว
III
สํานักส่งเสริมสุขภาพ


สารบัญ
แผนการสอนที่ 1 แผนการสอนที่ 2 แผนการสอนที่ 3 แผนการสอนที่ 4 แผนการสอนที่ 5 แผนการสอนที่ 6 แผนการสอนที่ 7 แผนการสอนที่ 8
แผนการสอนที่ 9
แผนการสอนที่ 10 แผนการสอนที่ 11 แผนการสอนที่ 12 แผนการสอนที่ 13 แผนการสอนท่ี 14 แผนการสอนที่ 15 แผนการสอนที่ 16 แผนการสอนท่ี 17 แผนการสอนที่ 18 ภาคผนวก
หน้า
ความจําเป็นของการดูแลผู้สูงอายุ 1 แนวคิดเกี่ยวกับผู้สูงอายุ 9 โรคที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ 19 ภาวะวิกฤติกับการปฐมพยาบาลเบ้ืองต้น 33 การช่วยเหลือผู้สูงอายุเบื้องต้น 41 การดูแลช่วยเหลือผู้สูงอายุที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้เน่ืองจากความชราภาพ 54 การใช้ยาในวัยสูงอายุ 65 การส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุ 74 • อาหารและโภชนาการสําหรับผู้สูงอายุ 74 • การออกกําลังกายท่ีเหมาะสมกับผู้สูงอายุ 87 • การดูแลสุขภาพช่องปาก 124 สุขภาพจิตกับผู้สูงอายุ / การดูแลตนเองเพื่อคลายเครียด 145 • ธรรมชาติและความเปลี่ยนแปลงทางจิตใจของวัยสูงอายุ 145 • โรคจิตเวชในผู้สูงอายุ 149 • การสื่อสารทางบวกกับผู้สูงอายุ 150 • โรคอัลไซเมอร์ 151 • ความเครียดของผู้ดูแลและการผ่อนคลายความเครียด 164 • การเตรียมตัวก่อนวาระสุดท้ายของชีวิต 172 การจัดสภาพแวดล้อมท่ีเหมาะสม 179 ภูมิปัญญาชาวบ้านกับการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ 187 สิทธิผู้สูงอายุตามรัฐธรรมนูญ / กฎหมายแรงงานที่ควรรู้ 191 บทบาทและจริยธรรมของผู้ดูแลผู้สูงอายุ 195 การจัดกิจกรรมนันทนาการเพ่ือผู้สูงอายุ 202 เสริมทักษะด้านภาษาอังกฤษ 211 เสริมทักษะด้านคอมพิวเตอร์ 225 การฝึกปฏิบัติงาน 250 การวัดผลและการประเมินผล 251
255 คําสั่งแต่งตั้งคณะทํางานพัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุ 256
คู่มือแนวทางการอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุระยะยาว
IV
สํานักส่งเสริมสุขภาพ


วัตถุประสงค์การเรียนรู้
• วัตถุประสงค์ทั่วไป
เรื่อง ความจําเป็นของการดูแลผู้สูงอายุ
เพ่ือให้ผู้เข้ารับการอบรม มีความรู้ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรผู้สูงอายุ สถานะสุขภาพของ ผู้สูงอายุ และตระหนักถึงความจําเป็นในการดูแลผู้สูงอายุ
• วัตถุประสงค์เฉพาะ เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมสามารถ
1. บอกถึงสถานการณ์ผู้สูงอายุของประเทศไทยในปัจจุบัน
2. อธิบายถึงโครงสร้างทางประชากรของประเทศไทยได้
3. อธิบายเกี่ยวกับสถานะสุขภาพผู้สูงอายุและเหตุผลความจําเป็นในการดูแลผู้สูงอายุได้
เป้าหมาย
ผู้เข้ารับการอบรม มีความรู้ ความเข้าใจ เก่ียวกับการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์โครงสร้างทางประชากร ของประเทศไทย สถานการณ์ผู้สูงอายุ สถานะสุขภาพของผู้สูงอายุ และเหตุผลความจําเป็นในการดูแลผู้สูงอายุ ซ่ึงเป็นความรู้พื้นฐานในการดูแลผู้สูงอายุอีกทั้งสร้างความตระหนักให้กับผู้เข้ารับการอบรมในการเตรียมตัวเป็น ผู้สูงอายุท่ีดีต่อไป
เนื้อหาวิชา
1. 2. 3.
ระยะเวลา
รูปแบบ /
สถานการณ์ผู้สูงอายุในปัจจุบัน โครงสร้างประชากรของประเทศไทย สถานะสุขภาพผู้สูงอายุและความจําเป็นในการดูแลผู้สูงอายุ
ทฤษฎี 4 ช่ัวโมง
วิธีการสอน
- การบรรยาย
- ถาม – ตอบ คําถามกลุ่มใหญ่
คู่มือแนวทางการอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุระยะยาว
แผนการสอนที่ 1
1
สํานักส่งเสริมสุขภาพ


ขั้นตอนการดําเนินกิจกรรม
1. วิทยากรนําเข้าสู่บทเรียนด้วยคําถามถึงสถานการณ์ผู้สูงอายุในปัจจุบัน ไฟล์นําเสนอตัวอย่าง ผู้สูงอายุที่เป็นข่าวทางสื่อมวลชน และอธิบายให้ผู้เข้ารับการอบรมเข้าใจถึงสถานการณ์ผู้สูงอายุในปัจจุบัน การ เปล่ียนแปลงโครงสร้างของประชากรที่ส่งผลต่อผู้สูงอายุ
2. แบ่งกลุ่มผู้เข้ารับการอบรมเป็นกลุ่มตามความเหมาะสมของผู้เข้ารับการอบรม อภิปราย และ นําเสนอเรื่อง “สถานะสุขภาพผู้สูงอายุ”และ “มีความจําเป็นในการดูแลผู้สูงอายุอย่างไร”
3. ร่วมกันสรุปผลจากความคิดเห็นของสมาชิกกลุ่มและเสนอแนะความคิดเห็นของสมาชิกกลุ่ม 4. วิทยากรสรุปพร้อมให้ข้อเสนอแนะ
สื่อประกอบการเรียนการสอน / อุปกรณ์
1. หนังสือคู่มือแนวทางการอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุระยะยาว
2. สื่อการอบรม:ไฟล์นําเสนอโปสเตอร์แผ่นพับข่าวจากหนังสือพิมพ์ 3. กราฟโครงสร้างประชากรอดีตปัจจุบันและอนาคต
4. สถิติสถานะสุขภาพผู้สูงอายุและอ่ืนๆ
คําแนะนําสําหรับวิทยากร
1. ควรจัดเตรียมข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุที่นําเสนอผ่านสื่อมวลชนแขนงต่างๆ เพื่อให้ ผู้เรียนสนใจ และจูงใจเข้าสู่บทเรียน และร่วมแสดงความคิดเห็น
2. กิจกรรมการเรียนรู้ควรเน้นผู้เข้ารับการอบรมมีส่วนร่วมมากที่สุด
การประเมินผล
1. สังเกตการมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นในกลุ่ม 2. สังเกตการมีส่วนร่วมในการทํากิจกรรมกลุ่ม 3. ประเมินจากการถามตอบ
คู่มือแนวทางการอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุระยะยาว
2
สํานักส่งเสริมสุขภาพ


ใบความรู้ที่ 1.1
เร่ือง สถานการณ์ผู้สูงอายุในปัจจุบัน
จากความสําเร็จความก้าวหน้าด้านการแพทย์และสาธารณสุขของประเทศไทย ทําให้ลดอัตราการเพ่ิม ประชากรได้อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้จํานวนและสัดส่วนของประชากรผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว กล่าวคือ สัดส่วนประชากรผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีสูงขึ้น จนกลายเป็นประเทศของสังคมผู้สูงวัย คือมี ประชากรสูงอายุมากกว่าร้อยละ 10 อย่างไรก็ตามสังคมไทยได้เร่ิมเตรียมการล่วงหน้ามาบ้างแล้ว เช่น แผน พัฒนาประเทศ แผนผู้สูงอายุแห่งชาติ และ แผนอื่นๆ ให้ความสําคัญและมีเรื่องของการพัฒนาเพ่ือผู้สูงอายุอยู่ ด้วยเสมอมา
ประชากรผู้สูงอายุเพิ่มจากร้อยละ 10.7 ในปี 2550 หรือ 7.0 ล้านคน เป็นร้อยละ 11.7 หรือ 7.5 ล้านคน ในปี 2553 และร้อยละ 20.0 หรือ 14.5 ล้านคนในปี 2568 (สํานักงานสถิติแห่งชาติ, 2551) นับว่าอัตรา การก้าวสู่ “สังคมผู้สูงอายุ” เร็วมาก ซ่ึงหมายความว่าประเทศไทยมีเวลาสั้นมากที่จะเตรียมการเพื่อรองรับสังคม ผู้สูงอายุทั้งในด้านสุขภาพ สังคม เศรษฐกิจ องค์การสหประชาชาติ ให้นิยามว่าประเทศใดมีประชากรอายุ 60 ปี ข้ึนไปเป็นสัดส่วน ร้อยละ 10 หรือ อายุ 65 ปีข้ึนไปเกินร้อยละ 7 ของจํานวนประชากรท้ังหมดของประเทศ ถือว่าประเทศนั้นได้ก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุและจะเป็นสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์เมื่อสัดส่วนประชากรอายุ 60 ปี ขึ้นไปเพิ่มเป็นร้อยละ 20 หรืออายุ 65 ปีข้ึนไปเพิ่มเป็นร้อยละ 14 “การเปลี่ยนแปลงทางสังคมไทย” (ออนไลน์ เข้าถึงได้จาก : http://www.agingthai.org/page/1042) เม่ือแบ่งผู้สูงอายุออกเป็น 3 กลุ่มตามช่วงวัยพบว่า มากกว่าครึ่งหน่ึง (ร้อยละ 57.8) เป็นผู้สูงอายุวัยต้น (60-69 ปี) ร้อยละ 31.7 เป็นผู้สูงอายุวัยกลาง (อายุ 70-79 ปี) และร้อยละ 9.5 เป็นผู้สูงอายุวัยปลาย (อายุ 80 ปี ขึ้นไป) ซ่ึงต้องพ่ึงพาสูง (สํานักงานสถิติแห่งชาติ, 2551)
เอกสารอ้างอิง และแหล่งค้นคว้าเพ่ิมเติม
1. ออนไลน์เข้าถึงได้จาก:http://www.agingthai.org/page/1042
2. สํานักงานสถิติแห่งชาติ. รายงานการสํารวจประชากรสูงอายุในประเทศไทย พ.ศ. 2550. กรุงเทพฯ : ธนาเพลส, 2551.
คู่มือแนวทางการอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุระยะยาว
3
สํานักส่งเสริมสุขภาพ


ใบความรู้ท่ี 1.2
เรื่อง โครงสร้างประชากรของประเทศไทย
การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร
โครงสร้างอายุประชากรของประเทศไทยในช่วง 60 ปี (พ.ศ. 2513–2573) ซึ่งเป็น ปิรามิดที่เพิ่งเร่ิม โครงการวางแผนครอบครัว มีฐานกว้างมากเนื่องมาจากสัดส่วนของประชากรวัยเด็ก (อายุ 0-14 ปี) สูง โดยที่ ประชากรวัยแรงงานซึ่งอยู่ส่วนกลางของปิรามิด ก็มีจํานวนมากเช่นกัน ในขณะที่ส่วนบนของปิรามิด จะแคบ เนื่องมาจากประชากรวัยสูงอายุยังมีสัดส่วนต่ํา
อีก 20 ปี ต่อมา (ปี พ.ศ. 2553) พบว่าปิรามิดมีฐานแคบลงเนื่องมาจากสัดส่วนของประชากรวัยเด็ก ลดลงโดยท่ีประชากรวัยแรงงานซึ่งอยู่ส่วนกลางของปิรามิดมีจํานวนมากกว่าวัยเด็ก เนื่องจากประชากรวัยเด็กใน ช่วง 20 ปีท่ีผ่านมาเติบโตเป็นประชากรวัยแรงงาน ในขณะที่บางส่วนของปิรามิดจะค่อยๆขยายกว้างขึ้นเน่ืองมา จากประชากรวัยสูงอายุมีสัดส่วนเพิ่มข้ึนเล็กน้อย
อีก 20 ปี ต่อมา (ปี พ.ศ. 2553) พบว่า ปิรามิดมีฐานแคบลงไปอีก เนื่องมาจากสัดส่วนของประชากร วัยเด็กลดลงไปเร่ือยๆ เน่ืองจากอัตราการเกิดลดลงมาอีก ในขณะที่ส่วนบนของปิรามิดขยายกว้างข้ึนเรื่อยๆ ประชากรวัยแรงงานซ่ึงอยู่ส่วนกลางของปิรามิดได้เคลื่อนตัวไปสู่ปิรามิดท่ีสูงขึ้น ในขณะเดียวกันประชากรวัย สูงอายุก็มีสัดส่วนท่ีสูงขึ้นด้วย เน่ืองมาจากคนที่เกิดหลังสงครามโลกคร้ังท่ี 2 (ยุค baby boom) ได้เคลื่อนเข้าสู่ วัยสูงอายุ ประกอบกับประชากรมีอายุยืนยาวขึ้น
ในอนาคตอีก 20 ปี (ปี พ.ศ. 2573) ปิรามิดประชากรจะมีฐานแคบลงไปอีก โดยสัดส่วนของประชากร วัยเด็กและวัยแรงงานลดลง อันเนื่องมาจากอัตราการเกิดท่ีลดลงอย่างต่อเนื่อง ในขณะท่ีส่วนบนของปิรามิด จะขยายกว้างมากขึ้นเร่ือยๆ โดยประชากรวัยสูงอายุจะมีสัดส่วนสูงขึ้นถึง 2 เท่าตัวเม่ือเทียบกับปี 2553 เนื่องมาจากคนที่เกิดหลังสงครามโลกครั้งท่ี 2 ได้มาถึงวัยสูงอายุ และประชากรมีอายุยืนยาวขึ้นอีกสังคมไทยจะ เป็นสังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบ (สถานการณ์ผู้สูงอายุไทย 2550, มูลนิธิ มสผส.)
ปิรามิดแสดงประชากรของประเทศไทย
คู่มือแนวทางการอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุระยะยาว
4
สํานักส่งเสริมสุขภาพ


ใบความรู้ที่ 1.3
เรื่อง สถานะสุขภาพผู้สูงอายุ และความจําเป็นในการดูแลผู้สูงอายุ
เมื่อมีอายุมากข้ึน การทํางานในระบบต่างๆ ของร่างกายค่อยๆ เสื่อมถอยลง ส่งผลทําให้มีระดับการ ช่วยเหลือตนเองลดลง และจากการพัฒนาเทคโนโลยีทางด้านการแพทย์ การพยาบาล และการสาธารณสุข ทําให้อัตราการตายด้วยโรคติดเชื้อเกือบหมดไป มีอัตราการรอดชีวิตเพ่ิมข้ึนและมีอายุยืนยาวข้ึน อย่างไรก็ตาม กลับพบว่าผู้รอดชีวิตเหล่าน้ันมักมีความพิการหลงเหลือ
นอกจากนี้ ผู้ที่เจ็บป่วยด้วยโรคไร้เชื้อ เช่นความดันโลหิตสูง เบาหวาน หรือไขมันในเลือดสูงกลับพบมี จํานวนเพิ่มมากขึ้น รักษาไม่หาย มีภาวะพึ่งพาต้องการการดูแลแบบต่อเนื่อง และการดูแลระยะยาว จากข้อมูล รายงานการสํารวจประชากรสูงอายุในประเทศไทย พ.ศ. 2550 ของสํานักงานสถิติแห่งชาติ พบว่าผู้สูงอายุ ประเมินภาวะสุขภาพทั่วๆไปโดยรวมของตนเองในระหว่าง 7 วันก่อนสัมภาษณ์ ร้อยละ 43.0 ของผู้สูงอายุ ประเมินว่าตนเองมีสุขภาพดี ร้อยละ 28.9 ประเมินว่าตนเองมีสุขภาพปานกลาง ร้อยละ 21.5 ประเมินว่าตนเอง มีสุขภาพไม่ดี ร้อยละ 2.8 ประเมินว่าตนเองมีสุขภาพไม่ดีมากๆ มีเพียงร้อยละ 3.8 ท่ีประเมินว่าตนเองมีสุขภาพ ดีมาก และในเร่ืองของการมองเห็น พบว่ามากกว่าครึ่งหนึ่ง (ร้อยละ 53.7) มองเห็นได้ชัดเจน 1 ใน 4 (ร้อยละ 25.4) ของผู้สูงอายุมองเห็นได้ชัดเจนเมื่อใส่แว่นหรือเลนส์ตา ร้อยละ 20.5 มองเห็นไม่ชัดเจน และร้อยละ 0.4 มองไม่เห็นเลย
ยิ่งอายุมากขึ้นฟันแท้ก็ยิ่งเหลือน้อยลง ประสิทธิภาพในการบดเคี้ยวอาหารข้ึนอยู่กับการดูแลสุขภาพ ในช่องปากของแต่ละคน เกือบครึ่งหน่ึง (ร้อยละ 48.6) ของผู้สูงอายุมีฟันแท้เหลืออยู่น้อยกว่า 20 ซี่ ซึ่งใน ทางการแพทย์ระบุว่าการมีฟันน้อยกว่า 20 ซี่ จะทําให้มีความยากลําบากในการบดเค้ียวอาหาร มีโอกาสสูงที่จะ เป็นโรคขาดสารอาหารและน้ําหนักตัวต่ํากว่าเกณฑ์มาตรฐาน
โรคเร้ือรังท่ีพบบ่อยในผู้สูงอายุ จํานวน 6 โรค ได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง ร้อยละ 31.7 โรคเบาหวาน ร้อยละ 13.3 โรคหัวใจร้อยละ 7.0 เป็นอัมพาต / อัมพฤกษ์ ร้อยละ 2.5 โรคหลอดเลือดในสมองตีบ ร้อยละ 1.6 และโรคมะเร็ง ร้อยละ 0.5 กลุ่มผู้สูงอายุวัยกลาง (70-79 ปี) มีสัดส่วนของการเป็น โรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน หัวใจ และหลอดเลือดในสมองตีบสูงกว่ากลุ่มผู้สูงอายุวัยต้น (60-69 ปี) และวัยปลาย (80 ปีข้ึนไป) ในขณะท่ีผู้สูงอายุวัยปลายพบอุบัติการณ์ของโรค อัมพาต / อัมพฤกษ์
การสํารวจในประเทศไทย พบว่าร้อยละ 69.3 ประชากรในกลุ่มอายุ 60-69 ปี เป็นโรคเรื้อรังและพบ เพิ่มขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น และเพิ่มเป็นร้อยละ 83.3 ในกลุ่มที่มีอายุ 90 ปีขึ้นไป พบว่ามีภาวะเจ็บป่วยด้วยโรค เรื้อรัง 6 โรคพร้อมกันถึงร้อยละ 70.8
ปัญหาสุขภาพสําคัญของผู้สูงอายุที่พบคือ ปวดข้อ และปวดหลังเร้ือรัง พบมีความชุกถึง 1 ใน 3 ของ ปัญหาสุขภาพอ่ืนๆ กลุ่มโรคไม่ติดต่อเร้ือรังท่ีพบบ่อยได้แก่โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหลอดลม อุดก้ันเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด
คู่มือแนวทางการอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุระยะยาว
5
สํานักส่งเสริมสุขภาพ


ตารางที่ 10 ร้อยละของผู้สูงอายุที่เป็นโรคเรื้อรัง จําแนกตามประเภทของโรคที่เป็น กลุ่มช่วงวัย และเพศ พ.ศ. 2550
โรคเรื้อรัง
รวม
กลุ่มช่วงวัย
เพศ
วัยต้น (60-69 ปี)
วัยกลาง (70-79 ปี)
วัยปลาย (80 ปีขึ้นไป)
ชาย
หญิง
ความดันโลหิตสูง
31.7
28.9
35.9
34.6
26.7
35.7
เบาหวาน
13.3
13.5
13.9
10.5
9.5
16.4
หัวใจ
7.0
5.7
9.0
8.4
5.0
8.6
อัมพาต/อัมพฤกษ์
2.5
1.8
3.1
4.8
2.7
2.3
หลอดเลือดในสมองตีบ
1.6
1.3
2.0
1.6
1.5
1.6
มะเร็ง
0.5
0.4
0.5
0.5
0.4
0.6
ความดันโลหิตสูง & เบาหวาน & หัวใจ
1.5
1.3
1.7
1.6
1.0
1.9
ความดันโลหิตสูง & หลอดเลือดในสมองตีบ
1.0
0.8
1.4
1.3
0.8
1.2
ความดันโลหิตสูง & หลอดเลือดในสมองตีบ & อัมพาต/อัมพฤกษ์
0.3
0.2
0.4
0.5
0.3
0.3
อุบัติการณ์ภาวะทุพพลภาพของผู้สูงอายุไทย พบ 1 ใน 4 ของผู้สูงอายุมีปัญหาสุขภาพที่เป็นเหตุ ให้ไม่สามารถทํากิจกรรมที่เคยทําได้ ทั้งนี้ร้อยละ 18.9 มีปัญหาเหล่านี้มานานกว่า 6 เดือน ซึ่งถือว่ามีปัญหา ทุพพลภาพระยะยาว อัตราความชุกเพิ่มข้ึนเม่ืออายุมากขึ้นและพบในผู้หญิงมากกว่าชาย ร้อยละ 7 ของผู้สูงอายุ ไทย ต้องพึ่งพาในการปฏิบัติกิจวัตรประจําวันและมีการพยากรณ์ว่า ปี พ.ศ. 2553, 2563 และ 2573 จะมีผู้สูงอายุ ที่อยู่ในภาวะพึ่งพา จํานวนถึง 499,837 คน, 741,766 คน และ 1,103,754 คน ตามลําดับและร้อยละ 85.2 มี สาเหตุการสูญเสียปีสุขภาวะเนื่องจากโรคไม่ติดต่อ
คู่มือแนวทางการอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุระยะยาว
6
สํานักส่งเสริมสุขภาพ


แม้ว่าการชราภาพเป็นสิ่งท่ีหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ภาวการณ์เจ็บป่วยเร้ือรังที่ก่อให้เกิดภาวะทุพพลภาพนั้น สามารถป้องกันหรือชะลอให้เกิดขึ้นช้าลงได้ด้วยทั้งมาตรการด้านการแพทย์ และสาธารณสุข ตลอดจนมาตรการ ด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ได้มีผู้เสนอทฤษฎีเกี่ยวกับผลของอัตราตายที่ลดลงอย่างต่อเนื่องจะมีผลให้ มีจํานวนผู้สูงอายุท่ีอยู่กับภาวะเจ็บป่วยเร้ือรังและพิการเพิ่มข้ึน (the expansion of morbidity (Gruenber, 1977 ) ) ส่วนทฤษฎีที่สองนั้นเช่ือว่าในทิศทางตรงกันข้ามคือ เชื่อว่าการเจ็บป่วยและความพิการในผู้สูงอายุนั้น สามารถป้องกันและชะลอได้ ดังนั้นอายุที่ยืนยาวมากข้ึนจะเป็นจํานวนปีที่มีสุขภาพดี (The Compression of mobility (Fries, 1980, Fries, 1989) ส่วนทฤษฎีที่สามนั้นเชื่อในเรื่องหลักของความสมดุล (The dynamic equilibrium (Manton 1982) ท้ังน้ีข้อมูลจากการศึกษาต่างๆ พบว่าเป็นไปไม่ได้ทั้งสามทิศทาง คือ แย่ลง ดีขึ้น และไม่เปล่ียนแปลงเม่ือเวลาเปลี่ยนไป
จากแนวคิดของทฤษฎีที่เช่ือว่า จํานวนปีที่ยืนยาวมากข้ึนนั้นสามารถทําให้เป็นปีท่ีมีสุขภาพดีปราศจาก ความพิการได้ และจะมีผลให้ภาวะเจ็บป่วยในกลุ่มผู้สูงอายุลดลงน้ัน จําเป็นต้องมีมาตรการด้านการป้องกันโรคท่ี มีประสิทธิผลต่อการลดการเจ็บป่วยมากกว่าลดการตาย โดยการเจ็บป่วยที่มีภาวะทุพพลภาพเรื้อรังน้ันมีความ สัมพันธ์กับผลสะสมของพฤติกรรมสุขภาพที่ไม่ดี และมลภาวะแวดล้อมซึ่งสามารถป้องกันและหลีกเลี่ยงได้ ดังนั้น ทฤษฎีดังกล่าวจะเป็นจริงได้จําเป็นต้องทําให้ วิถีชีวิต พฤติกรรมสุขภาพ และปัจจัยแวดล้อมที่มีผลต่อสุขภาพถูก สุขลักษณะมากขึ้น
เนื่องจากปัญหาของผู้สูงอายุส่วนใหญ่ เกิดจากภาวะเส่ือมถอยของร่างกาย การเจ็บป่วยเรื้อรังและมี ภาวะทุพพลภาพร่วมด้วย ภาวะดังกล่าวไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้เพียงด้านเดียวโดยเฉพาะในกลุ่มอายุ มากๆ เช่นเกินกว่า 70 ปี
ปัญหาสุขภาพของผู้สูงอายุแสดงให้เห็นชัดเจนว่ามุมมองสุขภาพเชิงการแพทย์ (biomedicine mode) น้ันแคบเกินไป และต้องการมุมมองสุขภาพที่กว้างขึ้น ในการอธิบายปัญหาสุขภาพของผู้สูงอายุ มุมมอง สุขภาพในปัจจุบันให้ความสําคัญกับเร่ือการเสื่อมถอยของอวัยวะน้อยลงโดยให้ความสําคัญกับปฏิสัมพันธ์ของ ร่างกายต่อสิ่งแวดล้อมในสังคมมากข้ึน ดังน้ันการเป็นโรคและการเส่ือมถอยของร่างกายในผู้สูงอายุนั้น อาจหลีก เลี้ยงไม่ได้ แต่ภาวะดังกล่าวไม่ได้เกิดจากอายุเพียงลําพัง แต่เกิดจากสภาพแวดล้อม พฤติกรรม และการดํารง ชีวิตท่ีผ่านมาของบุคคลน้ันๆ องค์การอนามัยโลกได้นิยามสุขภาพในมิติที่กว้างขึ้นว่า “ภาวะสมบูรณ์ทั้งด้านกาย สังคม และจิต” (State of complete physical, Social, and mental Well – being) (WHO, 1985) (“คู่มือ การดูแลผู้สูงอายุระยะยาว” กรมอนามัย, 2553) จากเหตุผลความจําเป็นดังกล่าวการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุจึงเป็น ประเด็นที่สําคัญ
เอกสารอ้างอิง และแหล่งค้นคว้าเพิ่มเติม
1. กรมอนามัย. การดูแลสุขภาพผู้สูงอายุระยะยาว. กรุงเทพฯ : ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่ง ประเทศไทย, 2553.
2. TheCompressionofmobility.Fries,1980,Fries,1989.
3. Stateofcompletephysical,Social,andmentalWell–being.(WHO,1985) 4. Thedynamicequilibrium(Manton1982)
คู่มือแนวทางการอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุระยะยาว
7
สํานักส่งเสริมสุขภาพ


ใบงานท่ี 1.1
คําชี้แจง
ให้ผู้เข้ารับการอบรม แบ่งกลุ่มตามความเหมาะสมของผู้เข้ารับการอบรม ไม่ควรเกิน 6-10 คน ร่วมกันอภิปรายเรื่อง “สถานะสุขภาพผู้สูงอายุ” และ “การดูแลผู้สูงอายุมีความจําเป็นอย่างไร” ในประเด็น
1. สถานะสุขภาพผู้สูงอายุไทยเป็นอย่างไรในปัจจุบัน
2. การเจ็บป่วยของผู้สูงอายุเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมสุขภาพเป็นอย่างไร 3. การดูแลผู้สูงอายุมีความจําเป็นอย่างไร
4. สมาชิกกลุ่มเลือกผู้แทนนําเสนอ
5. วิทยากรให้คําแนะนําอธิบายและสรุป
คู่มือแนวทางการอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุระยะยาว
8
สํานักส่งเสริมสุขภาพ


วัตถุประสงค์การเรียนรู้
• วัตถุประสงค์ทั่วไป
เรื่อง แนวคิดเก่ียวกับผู้สูงอายุ
เพ่ือให้ผู้เข้ารับการอบรม มีความรู้ ความเข้าใจในเร่ืองแนวคิดและทฤษฎีผู้สูงอายุกระบวนการชราและ การเปลี่ยนแปลงในวัยสูงอายุ
• วัตถุประสงค์เฉพาะ เม่ือส้ินสุดการอบรมแล้ว ผู้เข้ารับการอบรมสามารถ 1. อธิบายถึงแนวคิดและทฤษฎีผู้สูงอายุได้
2. อธิบายถึงกระบวนการชราและการเปล่ียนแปลงในวัยสูงอายุได้
เป้าหมาย
ผู้เข้ารับการอบรม มีความรู้ ความเข้าใจ ในเร่ืองแนวคิดและทฤษฎีผู้สูงอายุ กระบวนการชรา และการ เปลี่ยนแปลงในวัยสูงอายุ ซ่ึงเป็นพ้ืนฐานในการดูแลผู้สูงอายุ และสร้างความตระหนักในการดูแลผู้สูงอายุซึ่งมี ความแตกต่างจากกลุ่มวัยอ่ืนๆ
เน้ือหาวิชา
1. 2. 3.
ระยะเวลา
รูปแบบ /
แนวคิดเก่ียวกับการสูงอายุ ทฤษฎีการสูงอายุ:ทฤษฎีทางชีวภาพทฤษฎีทางจิตวิทยาทฤษฎีการสูงอายุทางสังคม กระบวนการชราการเปล่ียนแปลงในวัยสูงอายุ:ด้านร่างกายด้านจิตใจและด้านสังคม
ทฤษฎี 4 ช่ัวโมง
วิธีการสอน
- การบรรยาย
- ถาม – ตอบ คําถามกลุ่มใหญ่ - การแสดงบทบาทสมมติ
คู่มือแนวทางการอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุระยะยาว
แผนการสอนที่ 2
9
สํานักส่งเสริมสุขภาพ


ขั้นตอนการดําเนินกิจกรรม
1. วิทยากรนําเข้าสู่บทเรียนด้วยคําถามเก่ียวกับการเปล่ียนแปลงในวัยสูงอายุ ไฟล์นําเสนอแนวคิด เก่ียวกับการสูงอายุ ทฤษฎีการสูงอายุ การแบ่งประเภทผู้สูงอายุ กระบวนการชราและการเปล่ียนแปลงในวัย
สูงอายุ
2. แบ่งกลุ่มแสดงบทบาทสมมติเป็นผู้สูงอายุกลุ่มต่างๆ
3. แบ่งกลุ่มผู้เข้ารับการอบรมเป็น 3 กลุ่ม แสดงบทบาทสมมติเป็นผู้สูงอายุกลุ่มต่างๆ และเสนอ
แนวความคิดเห็นของสมาชิกกลุ่ม
4. วิทยากรสรุปพร้อมให้ข้อเสนอแนะ
สื่อประกอบการเรียนการสอน/อุปกรณ์
1. หนังสือคู่มือแนวทางการอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุระยะยาว
2. สื่อการอบรม:ไฟล์นําเสนอโปสเตอร์แผ่นพับ
3. สื่ออุปกรณ์อื่นๆเช่นแว่นตาเทปกาวไม้เท้าประกอบการแสดงบทบาทสมมติ
คําแนะนําสําหรับวิทยากร
1. วิทยากรควรจัดเตรียมอุปกรณ์ต่างๆสนับสนุนการแสดงบทบาทสมมติของผู้เข้ารับการฝึกอบรม เพ่ือจูงใจให้ผู้เข้ารับการอบรมสนใจและร่วมแสดงความคิดเห็น
2. วิทยากรควรเตรียมโจทย์ตัวอย่าง ผู้สูงอายุกลุ่มที่ 1 (ติดสังคม) : ผู้สูงอายุที่พ่ึงตนเองได้ ช่วยเหลือ ผู้อื่น ชุมชนและสังคมได้ ผู้สูงอายุกลุ่มท่ี 2 (ติดบ้าน) : ดูแลตนเองได้บ้าง ช่วยเหลือตนเองได้บ้าง ผู้สูงอายุ กลุ่มที่ 3 (ติดเตียง) กลุ่มที่พึ่งตนเองไม่ได้ พิการ หรือทุพพลภาพ
การประเมินผล
1. สังเกตการมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นในกลุ่ม 2. สังเกตการมีส่วนร่วมในการทํากิจกรรมกลุ่ม 3. ประเมินจากการถามตอบ
คู่มือแนวทางการอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุระยะยาว
10
สํานักส่งเสริมสุขภาพ


ใบความรู้ที่ 2.1
เรื่อง แนวคิดเก่ียวกับการสูงอายุ
ความคาดหมายการคงชีพของประชากรจากอายุ 60 ปี สูงขึ้น แม้แต่ในประเทศกําลังพัฒนา ประชากรไม่เพียงแต่อายุยืนขึ้น แต่ยังมีสุขภาพที่จะนําชีวิตไปสู่ความสําเร็จได้ แพทย์ทางชราภาพวิทยาจําแนก ผู้สูงอายุไว้ดังนี้ คือ อายุ 60-70 ปี เรียกว่าผู้สูงอายุวัยต้น (young old) และ อายุ 70 หรือ 75 ปีข้ึนไปเรียกว่า ผู้สูงอายุวัยสูงอายุ (old old)
ลักษณะทางเศรษฐกิจและสังคมของผู้สูงอายุเปลี่ยนแปลงไปจากที่เคยเป็นในอดีต คือมีจํานวนมาก ท่ีมีระดับการศึกษาสูงขึ้น มีสถานะทางเศรษฐกิจดีข้ึน โดยมีรายได้ (บํานาญ ดอกเบ้ียจากเงินสะสวม, ปันผลจาก การลงทุน ฯลฯ) เป็นของตนเอง ประสบการณ์การทํางานและวิถีชีวิตแตกต่างจากรุ่นของบิดามารดาตนเอง โครงสร้างทางครอบครัวก็เปลี่ยนแปลงไป บุตรจะไม่อยู่ภายใต้การดูแล แนะนํา หรือควบคุมของผู้สูงอายุ มักจะ ออกไปหางานทําท่ีเมืองอื่น หรือแยกครอบครัวไป ผู้สูงอายุยอมรับแนวคิดใหม่ท่ีเกษียณอายุ การทํางานหลัง 60 ปี ถอนตัวจากบทบาททางเศรษฐกิจ สังคมและจํากัดการใช้ชีวิตอยู่กับศาสนา ใช้เวลาว่างอย่างมีความสุข ให้เวลาผ่านไป ผู้สูงอายุจํานวนมากต้องการใช้ชีวิตเพ่ือความสําเร็จของครอบครัวและชุมชน (วิทยาลัย ประชากรศาสตร์ http://www.cps.chula.ac.th)
ผู้สูงอายุคือปูชนียบุคคล คือคลังสมอง คือภูมิปัญญาของแผ่นดิน ถึงแม้นว่าผู้สูงอายุจะมีปัญหาด้าน สุขภาพอนามัยและมีความต้องการ การดูแลเอาใจใส่จากครอบครัวและชุมชน แต่ถ้าผู้สูงอายุมีสุขภาพแข็งแรง และมีสุขภาพจิตดี ก็จะสามารถช่วยเหลือสังคมได้อย่างมีคุณค่า การส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี จึงเป็นประเด็นสําคัญ การพัฒนาสุขภาพผู้สูงอายุให้มีสุขภาพดี ต้องคํานึงถึงการให้บริการส่งเสริมสุขภาพแบบ องค์รวมอย่างเป็นระบบและบูรณาการ ทั้งด้านการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุระยะยาว (Long Term Care: LTC) และการส่งเสริมสุขภาพช่องปากผู้สูงอายุ สํานักส่งเสริมสุขภาพ กรมอนามัย จึงได้จัดทํา แนวทางการดูแล สุขภาพผู้สูงอายุระยะยาวและ แนวคิดการดูแลผู้สูงอายุระยะยาวดังนี้
คู่มือแนวทางการอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุระยะยาว
11
สํานักส่งเสริมสุขภาพ


เอกสารอ้างอิง และแหล่งค้นคว้าเพ่ิมเติม
1. กรมอนามัย. การดูแลสุขภาพผู้สูงอายุระยะยาว. กรุงเทพฯ : ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่ง ประเทศไทย, 2553.
2. วิทยาลัยประชากรศาสตร์http://www.cps.chula.ac.th
คู่มือแนวทางการอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุระยะยาว
12
สํานักส่งเสริมสุขภาพ


ใบความรู้ท่ี 2.2
เรื่อง ทฤษฎีการสูงอายุ
ความพยายามค้นหาคําตอบว่าทําไมคนถึงแก่ชรายังคงมีอยู่ แม้ว่าจะไม่มีใครเอาชนะความชราได้ ก็ตาม ผู้เช่ียวชาญในศาสตร์ทางชีวภาพ จิตวิทยา และสังคมศาสตร์ได้พยายามสรุปสาเหตุของความชราไว้ 2 ประการคือ 1. พันธุกรรม และ 2 ส่ิงแวดล้อม ซึ่งพิจารณาจากปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกของสิ่งมีชีวิต และพยายามศึกษามนุษย์ให้ครอบคลุมแบบองค์รวม นักทฤษฎีทั้ง 3 สาขาต่างยอมรับว่าความรู้จากศาสตร์ สาขาใดสาขาหนึ่ง ก็ยังไม่สามารถอธิบายกระบวนการแก่ชราได้อย่างสมบูรณ์ จึงเสนอแนวคิดเพื่อนํามาใช้ อธิบายกระบวนการชราของมนุษย์ให้ชัดเจนที่สุด ประกอบด้วยทฤษฎี 3 กลุ่ม ได้แก่
ทฤษฎีทางชีววิทยา (Biological Theory) ทฤษฎีทางจิตวิทยา (Psychological Theory) ทฤษฎีทางสังคม (Sociological Theory)
1. ทฤษฎีทางชีววิทยา (Biological Theory) อธิบายถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของร่างกาย มนุษย์ แบ่งเป็น 3 ระดับ ได้แก่ ทฤษฎีด้านพันธุกรรม ทฤษฎีอวัยวะ ทฤษฎีสรีรวิทยา
ทฤษฎีด้านพันธุกรรม ประกอบด้วย
- ทฤษฎีวิวัฒนาการ หรือ ทฤษฎีเซลล์ ร่วมอธิบายว่าสิ่งมีชีวิตต่างก็มีการเปลี่ยนแปลงและ พัฒนาการตลอดเวลา
- ทฤษฎีนาฬิกาชีวิต หรือ ทฤษฎีการถูกกําหนด อธิบายว่าอายุขัยของคนถูกกําหนดไว้แล้วโดย รหัสพันธุกรรม ถ้าบรรพบุรุษมีอายุยืน ลูกหลานก็จะมีอายุยืนยาวตามไปด้วย
- ทฤษฎีการกลายพันธ์ เกิดจากการได้รับรังสีทีละเล็กทีละน้อยเป็นประจํา จนเกิดการ เปล่ียนแปลง DNA และเกิดการเปลี่ยนแปลงของ Cell หรืออวัยวะในระบบต่างๆทําให้เกิดการแบ่งตัวผิดปกติ (Mutation) เกิดมีโรคภัยไข้เจ็บหรือเกิดมะเร็ง
- ทฤษฎีการสะสมความผิดพลาดของเซลล์ หรือทฤษฎีโมเลกุลอธิบายว่าความแก่เกิดจาก นิวเคลียสของ cell มีการถ่ายทอด DNA ที่ผิดปกติไปจากเดิมทําให้ Cell ใหม่ที่ได้แตกต่างไปจาก cell เดิม
ทฤษฎีอวัยวะ อธิบายว่าเมื่ออวัยวะมีการใช้งานย่อมมีการเสื่อมเกิดข้ึน เช่น
- ทฤษฎีความเสื่อมโทรม ความแก่เป็นกระบวนการเกิดขึ้นเองเมื่ออวัยวะมีการใช้งานมากย่อม เสื่อมได้ง่ายและเร็วขึ้น เม่ืออายุมากขึ้น
- ทฤษฎีระบบประสาทและต่อมไร้ท่อ เมื่อเข้าสู่วัยชราการทํางานของระบบสมองและประสาท จะลดลง ความจําจะเส่ือมลง
- ทฤษฎีสะสมของเสีย เม่ือส่ิงมีชีวิตอายุมากขึ้น ของเสียจะถูกสะสม ทําให้ cell เส่ือมและตาย เพิ่มขึ้นส่ิงท่ีพบได้แก่ Lipofuscin ซึ่งเป็นสารสีดําไม่ละลายน้ําเป็นสารประกอบจําพวก Lipoprotion
คู่มือแนวทางการอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุระยะยาว
13
สํานักส่งเสริมสุขภาพ


2. ทฤษฎีทางจิตวิทยา(PsychologicalTheory)
ทฤษฎีทางจิตวิทยาเชื่อว่า การเปล่ียนแปลงบุคลิกภาพ และพฤติกรรมของผู้สูงอายุเป็นการปรับตัว เก่ียวกับความนึกคิด ความรู้ ความเข้าใจ แรงจูงใจการเปล่ียนแปลงไปของอวัยวะรับสัมผัสทั้งหลายตลอดจน สังคมที่ผู้สูงอายุนั้นๆอยู่อาศัยได้แก่ ทฤษฎีบุคลิกภาพ กล่าวว่าผู้สูงอายุจะมีความสุขหรือความทุกข์น้ันขึ้นอยู่กับ ภูมิหลังและการพัฒนาจิตใจของบุคคลน้ัน ถ้าพัฒนาด้วยความมั่นคง อบอุ่นถ้อยทีถ้อยอาศัย เห็นใจผู้อื่น ทํางาน ร่วมกับผู้อื่นได้ ก็มักจะเป็นผู้สูงอายุท่ีมีความสุข อยู่ร่วมกับบุตรหลานได้อย่างมีความสุข แต่ในทางตรงข้ามถ้า ชีวิตที่ผ่านมาไม่สามารถทํางานร่วมมือกับใครได้ จิตใจคับแคบ ไม่รู้จักช่วยเหลือ เห็นใจผู้อื่นผู้สูงอายุผู้นั้นก็จะ ประสบปัญหาในบั้นปลายของชีวิต (Erikson, 1963 อ้างในเกษมและกุลยา ตันติผลาชีวะ, 2528)
3. ทฤษฎีทางสังคม(PsychologicalTheory)
ทฤษฎีทางสังคมเป็นทฤษฎีที่กล่าวถึงบทบาทสัมพันธภาพและการปรับตัวในสังคมของผู้สูงอายุ ซึ่งพยายามวิเคราะห์สาเหตุที่ทําให้ผู้สูงอายุต้องมีการเปลี่ยนแปลงสถานภาพทางสังคมไป และพยายามที่จะช่วย ให้ผู้สูงอายุมีการดํารงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
- ทฤษฎีกิจกรรมได้อธิบายถึงสถานภาพทางสังคมของผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ในทางบวก ระหว่างการปฏิบัติกิจกรรมกับความพึงพอใจในชีวิตของผู้สูงอายุกล่าวคือเม่ือบุคคลมีอายุมากขึ้น สถานภาพ และบทบาททางสังคมจะลดลงแต่บุคลยังมีความต้องการทางสังคมเหมือนบุคลในวัยกลางคน ซึ่งทฤษฎีนี้เชื่อว่า ผู้สูงอายุมีความต้องการที่จะเข้าร่วมกิจกรรมเพ่ือความสุขและการมีชีวิตท่ีดี
- ทฤษฎีการแยกตนเองหรือการถอยห่าง กล่าวถึงผู้สูงอายุเกี่ยวกับการถอยห่างออกจากสังคม ผู้สูงอายุและสังคมจะลดบทบาทซึ่งกัน และกันอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามความต้องการของร่างกายและไม่อาจ หลีกเล่ียงได้ เน่ืองจากยอมรับว่าตนเองมีความสามารถลดลงสุขภาพเส่ือมลงจึงถอยหนีจากสังคมเพ่ือลด ความเครียดและรักษาสังขารพอใจกับการไม่เกี่ยวข้องกับสังคมต่อไปเพ่ือถอนสภาพและบทบาทของตนให้แก่ ชนรุ่นหลัง กระบวนการถอยห่างมีลักษณะดังน้ี เป็นกระบวนการพัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป เป็นสิ่งท่ีมิอาจ หลีกเลี่ยงได้ เป็นกระบวนการเปล่ียนแปลงที่ผู้สูงอายุพึงพอใจ เป็นสากลของทุกสังคม และสิ่งที่เกิดข้ึนตาม ธรรมชาติเพื่อรักษาสมดุลของธรรมชาติ (http://pirun.ku.ac.th)
เอกสารอ้างอิง และแหล่งค้นคว้าเพิ่มเติม
http://pirun.ku.ac.th
คู่มือแนวทางการอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุระยะยาว
14
สํานักส่งเสริมสุขภาพ


ใบความรู้ที่ 2.3
เรื่อง กระบวนการชรา และการเปลี่ยนแปลงในวัยสูงอายุ : ด้านร่างกาย ด้านจิตใจ และด้านสังคม
กระบวนการชรา
กระบวนการชรา (Aging process) เป็นกระบวนการท่ีมีความซับซ้อน และมีความแตกต่างกันใน แต่ละคนซ่ึงจะเก่ียวข้องกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายในร่างกายตั้งแต่ระดับเซลล์ เนื้อเย่ือ จนถึงอวัยวะ โดย การเปลี่ยนแปลงน้ันเกิดจากอิทธิพลของปัจจัยภายใน ได้แก่ พันธุกรรม และปัจจัยภายนอก ได้แก่ ส่ิงแวดล้อม วิถีการดําเนินชีวิต ความเครียด เป็นต้น (Matteson, 1997) การเปล่ียนแปลงของร่างกายอันเนื่องมาจาก กระบวนการชราภาพนั้น ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติที่เราไม่อาจหลีกเลี้ยงหรือแก้ไขได้ อย่างไรก็ตาม มักเกิดความเข้าใจผิดบ่อยๆ โดยคิดว่าการเปลี่ยนของร่างกายตามกระบวนการชราภาพเป็นการเปลี่ยนแปลง ที่เกิดจากพยาธิสภาพของโรค ยกตัวอย่างเช่น ผู้สูงอายุมักเกิดรอยฟกช้ําได้ง่ายกับการกระแทรกกับส่ิงต่างๆ ซ่ึง เป็นผลจากการมีผิวหนังที่บางลงและเส้นเลือดเปาะ แตกง่าย อาการฟกช้ําทีเกิดข้ึนจะแตกต่างจากผู้ป่วยที่มี สภาวะเลือดออกง่ายจากเกร็ดเลือดต่ํา ดังนั้นในการดูแลผู้สูงอายุ จึงมีความจําเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ดูแลจะต้องมี ความรู้ เพื่อให้สามารถแยกการเปล่ียนแปลงที่เกิดจากกระบวนการชราภาพออกจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดพยาธิ สภาพของโรค (กระบวนการชราภาพ : http://phudkrong.exteen.com)
การเปล่ียนแปลงในวัยสูงอายุ
1. การเปลี่ยนแปลงด้านร่างกาย
ผิวหนัง บาง แห้ง เห่ียว ย่น มีอาการคัน มีจ้ําเลือด เซลล์สร้างสีผิวทํางานลดลง สีผิวจางลงแต่
อาจมีจุดด่างขาว สีดํา หรือสีน้ําตาลมากขึ้น เกิดเป็นการตกกระ
ต่อมเหงื่อ ลดน้อยลง การขับเหง่ือน้อยลง ทําให้ทนต่อการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิของอากาศ
ไม่ได้ดี เกิดความรู้สึกหนาว ร้อน ไม่คงที่
ผมและขน ร่วง เปลี่ยนเป็นสีขาว หรือหงอก ทําให้ผมบาง หัวล้าน ขนตามร่างกายหลุดง่าย ที่เห็น
ชัดคือ ขนรักแร้ ทั้งนี้ เน่ืองมาจากรุขุมขนทํางานน้อย
ตา สายตาจะเปล่ียนเป็นสายตายาว เลนส์หรือกระจกตาขุ่นเกิดต้อกระจกกล้ามเนื้อตาเส่ือม การ
ปรับสายตาช้า ความไวในการมองภาพลดลง ทําให้ ปวดเวียนศีรษะได้ง่าย มีน้ําตาลดลง ทําให้ตาแห้งระคายเคือง ต่อเยื่อบุตาได้ง่าย
หู ประสาทรับเสียงเสื่อมไปเกิดหูตึง แต่ได้ยินเสียงต่ําๆได้ชัดกว่าเสียงพูดธรรมดา หรือในระดับ
เสียงสูง
จมูก ประสาทรับกล่ินบกพร่องไป ทําให้การรับรู้กลิ่นลดลง
ล้ิน รับรู้รสน้อยลง รับรสหวานสูญเสียก่อนรับรสอื่นๆ
ฟัน ผุ หักแตกง่าย เคลือบฟันบางลง เหงือกหุ้มคอฟันร่นลงไป
คู่มือแนวทางการอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุระยะยาว
15
สํานักส่งเสริมสุขภาพ


ต่อมน้ําลาย ขับน้ําลายออกน้อย ทําให้ปากแห้ง
การเคลื่อนไหวของกระเพาะอาหาร น้ําย่อย กรดเกลือในกระเพาะอาหารลดน้อยลงอาหารอยู่ใน กระเพาะอาหารนานขึ้นทําให้ท้องอืดง่าย เบื่ออาหารด้วยภาวะขาดอาหาร และโลหิตจางได้
ตับและตับอ่อน หน้าที่การทํางานเสื่อมไป อาจเกิดโรคเบาหวาน
การเคล่ือนไหวของลําไส้เล็กและลําไส้ใหญ่ ลดลง ทําให้การขับถ่ายอุจจาระไม่ปกติ ท้องผูก เสมอ ประกอบกับไม่ค่อยได้ออกกําลังกาย
กระดูก ปริมาณแคลเซียมลดน้อยลง ทําให้กระดูกบาง เปราะ พรุน หักง่าย มีอาการเจ็บปวด
กระดูกบ่อย
ข้อเสื่อม น้ําไขข้อลดลง เกิดเจ็บปวด ข้อยึดติดเคลื่อนไหวลําบาก พบน้อยคือข้อเข่า ข้อสะโพก กล้ามเน้ือ เหี่ยว เล็กลง อ่อนกําลังลง ทําให้ทํางานออกแรงมากไม่ได้ เพลีย ล้าเร็ว และทรงตัวไม่ดี ปอด ความยืดหยุ่นของเนื้อปอดลดลงเป็นเหตุให้การขยายและยุบตัวไม่ดี ทําให้เหน่ือยง่าย
หัวใจ แรงบีบตัวน้อยลงทําให้การหดตัวลดลงปริมาณเลือดออกจากหัวใจลดลง และกล้ามเน้ือ
หัวใจไวต่อสิ่งเร้าลดลง
หลอดเลือด ผนังของหลอดเลือดมีลักษณะหนาและแข็งขึ้นเพราะมีไขมันมาเกาะเป็นสาเหตุของ
ความดันโลหิตสูง
การขับถ่ายปัสสาวะ ไต มีหน้าที่เสื่อมไป ขับของเสียได้น้อยลง แต่ขับน้ําออกมามาก จึงถ่าย
ปัสสาวะมากและบ่อยข้ึนในเวลากลางคืน
กระเพาะปัสสาวะ กล้ามเน้ือ หูรูด ที่ควบคุมการถ่ายปัสสาวะหย่อนไป ทําให้กลั้นปัสสาวะได้ไม่ดี
ในผู้สูงอายุชายต่อมลูกหมากจะโตขึ้น ทําให้ปัสสาวะลําบาก ต้องถ่ายบ่อยครั้ง
ระบบประสาทและสมอง เสื่อมไปตามธรรมชาติ ทําให้ความรู้สึกช้า คามจําถดถอย ความจําเรื่อง
ราวในอดีตดี ความจําปัจจุบันไม่ดี การเคลื่อนไหวช้า
ต่อมไร้ท่อ ผลิตฮอร์โมนต่างๆ ลดลง จึงทําให้หน้าที่ของฮอร์โมนเหล่านั้นลดลงไปด้วย ต่อมเพศ ทํางานลดลง สมรรถภาพทางเพศลดลง
2. การเปล่ียนแปลงทางจิตใจลักษณะการเปลี่ยนแปลงที่พบในผู้สูงอายุส่วนใหญ่ได้แก่
2.1 การรับรู้ ผู้สูงอายุมักยึดติดกับความคิดและเหตุผลของตัวเองจะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้ยาก
เพราะมีความไม่ม่ันใจในการปรับตัว
2.2 การแสดงออกทางอารมณ์ ลักษณะของความท้อแท้ ใจน้อย หงุดหงิดง่าย โกรธง่ายและซึมเศร้า
2.3 ความสนใจส่ิงแวดล้อมน้อยลง ผู้สูงอายุจะสนใจเฉพาะ เรื่องท่ีเกี่ยวข้องกับตนเองมากกว่า
เรื่องของผู้อ่ืน
2.4 การสร้างวิถีชีวิตของตนเอง เพื่อไม่ให้เป็นภาระกับผู้อื่น พึ่งตนเองได้ในระดับหนึ่ง
2.5 ยอมรับสภาพของการเข้าสู่วัยสูงอายุ จะใช้เวลาส่วนใหญ่ในการศึกษาปฏิบัติตามคําสอนใน
ศาสนา บางคนอยากอยู่ร่วมกับลูกหลาน บางคนชอบอยู่คนเดียว ฯลฯ
คู่มือแนวทางการอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุระยะยาว
16
สํานักส่งเสริมสุขภาพ


3. การเปลี่ยนแปลงทางสังคม
3.1 ภาระหน้าท่ีและบทบาททางสังคมจะลดน้อยลงทําให้ผู้สูงอายุห่างไปจากสังคม
3.2 คนส่วนใหญ่มักมองว่าผู้สูงอายุมีสมรรถภาพและความสามารถน้อยลง จึงไม่ให้ความสําคัญ หรือไม่ให้ความรับผิดชอบ
3.3 จากบทบาทท่ีเคยเป็นผู้นําครอบครัว จะกลายเป็นผู้อาศัยหรือผู้ตามในครอบครัว (คู่มือการ ส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุ. กรมอนามัย, 2547)
เอกสารอ้างอิง และแหล่งค้นคว้าเพ่ิมเติม
1. คู่มือการส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุ.กรมอนามัย,2547
2. กระบวนการชราภาพ:http://phudkrong.exteen.com
คู่มือแนวทางการอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุระยะยาว
17
สํานักส่งเสริมสุขภาพ


ใบงานท่ี 2.1
คําชี้แจง ให้ผู้เข้ารับการอบรมแบ่งเป็นกลุ่มแสดงบทบาทสมมุติเป็นผู้สูงอายุ ร่วมกัน
อภิปรายเรื่อง
1. กระบวนการชราเป็นอย่างไร
2. การเปล่ียนแปลงในวัยสูงอายุเป็นอย่างไร 3. ให้ผู้แทนกลุ่มนําเสนอ
4. วิทยากรให้คําแนะนําอธิบายและสรุป
ใบงานท่ี 2.2
คําชี้แจง ให้ผู้เข้ารับการอบรมแบ่งกลุ่ม แสดงบทบาทสมมุติและร่วมกันอภิปรายเรื่อง
1. ผู้สูงอายุกลุ่มที่1เป็นอย่างไรประเมินอย่างไร 2. ผู้สูงอายุกลุ่มท่ี2เป็นอย่างไรประเมินอย่างไร 3. ผู้สูงอายุกลุ่มที่3เป็นอย่างไรประเมินอย่างไร 4. ให้ผู้แทนกลุ่มนําเสนอ
5. วิทยากรให้คําแนะนําอธิบายและสรุป
คู่มือแนวทางการอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุระยะยาว
18
สํานักส่งเสริมสุขภาพ


วัตถุประสงค์การเรียนรู้
• วัตถุประสงค์ท่ัวไป
เรื่อง โรคท่ีพบบ่อยในผู้สูงอายุ
เพื่อให้ผู้เข้าอบรมมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคที่พบบ่อยในกลุ่มผู้สูงอายุ อาการ พฤติกรรมเส่ียง การป้องกันและการปฏิบัติตัวในการส่งเสริมสุขภาพ
• วัตถุประสงค์เฉพาะ
เมื่อส้ินสุดการอบรมแล้ว ผู้เข้าอบรมมีความรู้ ความเข้าใจเก่ียวกับโรคที่พบบ่อยในกลุ่มผู้สูงอายุ อาการ พฤติกรรมเสี่ยง การป้องกันและการปฏิบัติตัวในการส่งเสริมสุขภาพ สามารถนําความรู้ไปถ่ายทอดได้ อย่างถูกต้อง
เนื้อหาวิชา
โรคท่ีพบบ่อยในผู้สูงอายุ (ใบความรู้ที่ 3.1) 1. การเปล่ียนแปลงทางร่างกายและจิตใจ 2. ความดันโลหิตสูง
3. เบาหวาน
4. ข้อเข่าเสื่อม
5. ภาวะสมองเสื่อม
6. หลอดเลือดหัวใจตีบ 7. โรคมะเร็ง
8. โรคตา
ระยะเวลา ทฤษฎี 7 ช่ัวโมง
วิธีการสอน
- การบรรยาย
- การซักถาม
- การฝึกทําแบบประเมิน/แบบทดสอบและแปรผล
คู่มือแนวทางการอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุระยะยาว
แผนการสอนที่ 3
19
สํานักส่งเสริมสุขภาพ


ขั้นตอนการดําเนินกิจกรรม
1. วิทยากรนําเข้าสู่บทเรียนเรื่องการเปล่ียนแปลงทางร่างกายและจิตใจของผู้สูงอายุ ต่อด้วยความรู้ เรื่อง ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ข้อเข่าเสื่อม ภาวะสมองเสื่อม หลอดเลือดหัวใจตีบ โรคมะเร็ง และโรคตา
2. แบ่งกลุ่มผู้เข้าอบรมเป็น2-3กลุ่มเพื่ออภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
3. สรุปบทเรียนจากการเรียนรู้ภายในกลุ่มและนําเสนอในการอบรมเพ่ือเป็นการแลกเปล่ียนเรียนรู้
สื่อประกอบการการเรียน / อุปกรณ์
สไลด์นําเสนอ แผ่นพับ โปสเตอร์ ภาพพลิก และอุปกรณ์อื่นๆ
คําแนะนําสําหรับวิทยากร
องค์ความรู้และกิจกรรมควรเน้นการประยุกต์ข้อมูลทฤษฎีที่ทันสมัยเพ่ือนํามาสู่การวางแผนที่เหมาะสม ในเรื่องโรคท่ีพบบ่อยในผู้สูงอายุ
การประเมินผล
- การสังเกต
- การซักถาม
- การแปรผลจากแบบประเมิน/แบบทดสอบได้ถูกต้อง
คู่มือแนวทางการอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุระยะยาว
20
สํานักส่งเสริมสุขภาพ


ใบความรู้ที่ 3.1
เรื่อง โรคที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ
โรคเร้ือรัง....กับผู้สูงอายุ
โรคที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ ส่วนหนึ่ง การเจ็บป่วยจะสะสมตั้งแต่ในวัยหนุ่มสาวหรือวัยทํางาน แต่ไม่ได้ ดูแลอย่างต่อเนื่อง จึงทําให้อาการโรครุนแรงขึ้น ในวัยสูงอายุ หลายโรคเกิดจากการประพฤติปฏิบัติท่ีไม่เหมาะสม ทั้งการบริโภคอาหาร เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ ขาดการออกกําลังกายและขาดการควบคุมอารมณ์ที่ดี
1. ความดันโลหิตสูง
ความดันโลหิต เป็นแรงดันเลือดที่เกิดจากหัวใจสูบฉีดเลือดไปเล้ียงท่ัวร่างกาย ซึ่งวัดได้ 2 ค่า คือ ความดันโลหิตค่าบน คือ แรงดันโลหิตขณะท่ีหัวใจบีบตัว
ความดันโลหิตค่าล่าง คือ แรงดันโลหิตขณะที่หัวใจคลายตัว
ในคนปกติ ความดันโลหิต ไม่ควรเกิน 130/85 มิลลิเมตรปรอท (จากการประชุมร่วมขององค์การ
อนามัยโลก และ International Society of Hypertension ปี 1999) ส่วนความรุนแรงของความดันโลหิตที่สูงนั้น ให้พิจารณาจากค่าความดันตัวบนและความดันตัวล่าง
ทั้งสองค่า โดยถือระดับความดันโลหิตที่สูงกว่าเป็นเกณฑ์ เช่น ความดันโลหิต 150/110 มิลลิเมตรปรอท ความดันตัวบน 150 มิลลิเมตรปรอท จะอยู่ในระดับอ่อน แต่ความดันตัวล่าง 110 มิลลิเมตรปรอท จะอยู่ ในระดับรุนแรง ดังนั้น ผู้ป่วยรายน้ีก็ต้องจัดอยู่ในกลุ่มความดันโลหิตสูงระดับรุนแรง เป็นต้น
ตาราง แสดงความดันโลหิตสูงในระดับต่างๆ ซ่ึงแบ่งตามความรุนแรงในผู้ใหญ่ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป
ระดับความดันโลหิต
ความดันตัวบน (มม.ปรอท)
ความดันตัวล่าง (มม.ปรอท)
ระดับ 1 ความดันโลหิตสูงอย่างอ่อน
140-159
90-99
ระดับ 2 ความดันโลหิตสูงปานกลาง
160-179
100-109
ระดับ 3 ความดันโลหิตสูงรุนแรง
>180
>109
ความดันโลหิตสูงเฉพาะตัวบน
>140
<90
สาเหตุของโรคความดันโลหิตสูง
มากกว่าร้อยละ 90 ของผู้ป่วยความดันโลหิตสูงจะตรวจไม่พบสาเหตุ เชื่อว่าเกิดจาก 2 ปัจจัยใหญ่ คือ
1. กรรมพันธ์ุ ซึ่งเป็นปัจจัยท่ีแก้ไขไม่ได้ จากหลักฐานทางระบาดวิทยา พบว่าผู้ท่ีมีบิดาหรือมารดา เป็นความดันโลหิตสูง มีโอกาสเป็นความดันโลหิตสูงได้มากกว่าผู้ที่บิดามารดาไม่เป็น ย่ิงกว่านั้น ผู้ที่มีท้ังบิดาและ มารดาเป็นความดันโลหิตสูง จะมีความเส่ียงท่ีจะเป็นมากที่สุด ผู้สูงอายุก็มีโอกาสเป็นความดันโลหิตสูงเมื่ออายุ มากขึ้นๆ
คู่มือแนวทางการอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุระยะยาว
21
สํานักส่งเสริมสุขภาพ


2. สิ่งแวดล้อม ซ่ึงเป็นปัจจัยท่ีแก้ไขได้ เช่น ภาวะอ้วน เบาหวาน การรับประทานอาหารรสเค็ม การ ดื่มสุรา และการสูบบุหรี่ ภาวะเครียด เป็นต้น
ส่วนความดันโลหิตสูงท่ีมีสาเหตุพบได้น้อยกว่าร้อยละ 10 ผู้ป่วยในกลุ่มนี้แม้จะพบเป็นจํานวนน้อย แต่ก็มีความสําคัญ เพราะบางโรคอาจรักษาให้หายขาดได้ สาเหตุที่พบบ่อย คือ
• โรคไต
• หลอดเลือดแดงท่ีไปเล้ียงไตตีบ
• ยาบางชนิดเช่นยาคุมกําเนิด
• หลอดเลือดแดงใหญ่ที่ออกจากหัวใจตีบ • เนื้องอกของต่อมหมวกไต
อาการของโรคความดันโลหิตสูง
ความดันโลหิตสูงระดับอ่อน หรือปานกลาง มักจะไม่มีอาการอะไร แต่มีการทําลายอวัยวะต่างๆ ไป ทีละน้อยอย่างช้าๆ จนผู้ป่วยเกิดผลแทรกซ้อนในท่ีสุด เช่น หัวใจล้มเหลว หัวใจขาดเลือด ไตเสื่อมสมรรถภาพ หรืออัมพาต อัมพฤกษ์ ความดันโลหิตโลหิตสูงจึงมักได้รับการขนานนามว่า “ฆาตกรเงียบ”
ความดันโลหิตสูงอย่างรุนแรง ผู้ป่วยอาจเกิดอาการเหล่านี้ข้ึนได้ เช่น เลือดกําเดาออก ตามองไม่เห็น ข้างหนึ่งช่ัวคราว เหน่ือยง่าย เจ็บหน้าอก เวียนศีรษะ ปวดศีรษะตุบๆ เป็นต้น แต่อาการเหล่านี้ไม่จําเพาะ เพราะ อาจเกิดจากสาเหตุอ่ืนก็ได้ เช่น ไข้ เครียด ไมเกรน เป็นต้น
ดังน้ัน เม่ือเกิดอาการผิดปกติ จึงความปรึกษาแพทย์ เพราะถ้าพบความดันโลหิตสูงมากจะได้รักษาได้ ถูกต้อง และทันท่วงที ซ่ึงเมื่อความดันโลหิตลดลงมาเป็นปกติ อาการดังกล่าวก็จะหายไป
ผลแทรกซ้อนของโรคความดันโลหิตสูง
ภาวะความดันโลหิตสูงที่เป็นอยู่นาน และไม่ได้รับการรักษา จะทําให้เกิดการทําลายของอวัยวะสําคัญ ต่างๆ ในร่างกายได้ เช่น หัวใจ สมอง ไต หลอดเลือด และตา เป็นต้น เพราะความดันโลหิตที่สูงที่เป็นอยู่นาน จะทําให้ผนังหลอดเลือดแดงหนาตัวขึ้น และรูเล็กลง ทําให้เลือดท่ีไปเล้ียงอวัยวะต่างๆ ลดลง ส่งผลให้อวัยวะ เหล่านี้ทํางานได้ไม่เป็นปกติ และหากทําลายรุนแรงมากพอ อาจทําให้ถึงแก่กรรมได้ ระยะเวลาที่เป็นความดัน โลหิตสูง จนเกิดผลร้ายดังกล่าว จะขึ้นอยู่กับระดับความดันโลหิต เช่น ระดับอ่อน และปานกลาง จะใช้เวลานาน มากกว่า 10 ปี ระดับรุนแรงจะใช้เวลาส้ันกว่าน้ี ผลแทรกซ้อนของโรคความดันโลหิตสูงมีดังน้ี
1. หัวใจ
ความดันโลหิตสูง จะมีผลต่อหัวใจ 2 ทาง คือ ทําใหัหัวใจโต และหลอดเลือดหัวใจหนาตัว และ แข็งตัวข้ึน ทําให้เกิดการเจ็บหน้าอกจากหัวใจขาดเลือด หรือหัวใจล้มเหลว ทําให้มีอาการเหน่ือยหอบ นอนราบ ไม่ได้ หรือหัวใจเต้นผิดปกติ ทําให้มีอาการใจส่ัน
2. สมอง
ความดันโลหิตสูง เป็นสาเหตุของอัมพาต อัมพฤกษ์ ท่ีพบบ่อย ซึ่งมักจะเกิดจากหลอดเลือดเล็กๆ อุดตัน โดยเกล็ดเลือด ซึ่งพบบ่อย หรือ เกิดจากหลอดเลือดในสมองแตก ทําให้เลือดออกในสมอง
คู่มือแนวทางการอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุระยะยาว
22
สํานักส่งเสริมสุขภาพ


3. ไต
เป็นอวัยวะที่มีหลอดเลือดมากที่สุดในร่างกาย ทําหน้าที่กรองของเสียออกจากเลือด ความดัน โลหิตสูงก็มีผลต่อหลอดเลือดท่ีไต เช่นเดียวกับหลอดเลือดหัวใจ ทําให้เลือดไปเลี้ยงไตไม่พอ มีผลให้ไตเส่ือม สมรรถภาพ จนถึงข้ันไตวายเรื้อรัง ผู้ป่วยจะมีอาการเร่ิมแรกของภาวะไตวายเรื้อรัง คือ ปัสสาวะบ่อยตอน กลางคืน ขาบวมตอนสาย หากเป็นมากจะมีอาการอ่อนเพลีย ไม่ค่อยมีแรงจากภาวะซีด ซึ่งมักพบในผู้ป่วยไตวาย เร้ือรัง และคลื่นไส้ อาเจียน ซึมลง ในผู้ป่วยไตวายระยะสุดท้าย
4. ตา
ความดันโลหิตสูงจะมีผลต่อหลอดเลือดที่ตา เช่น เลือดออกท่ีจอตา หลอดเลือดเล็กๆ ที่จอตา อุดตัน หรือ ทําให้จอตาหลุดลอกออกได้ ผู้ป่วยอาจไม่มีอาการใดๆ หรือตามัว จนถึงตาบอดได้ เบาหวาน ซ่ึง มักพบร่วมกับความดันโลหิตสูง จะทําให้เกิดผลแทรกซ้อนทางตาได้เร็ว
5. หลอดเลือด
ความดันโลหิตสูง จะทําให้เกิดการเปล่ียนแปลงของหลอดเลือดทั่วร่างกาย ทําให้หลอดเลือด ตีบแคบ หรือโป่งพอง มีผลทําให้เลือดไปเล้ียงบริเวณแขนขา และอวัยวะภายในลดลง ผู้ป่วยเกิดไม่ได้ไกลเพราะ ปวดขาจากการขาดเลือด ต้องนั่งพักจึงจะหาย และเดือนต่อได้
จุดมุ่งหมายในการรักษาโรคความดันโลหิตสูง
ปัจจุบัน ความดันโลหิตสูง จัดเป็นหนึ่งในกลุ่มของโรคที่ทําให้เกิดผลแทรกซ้อนของโรคหัวใจและ หลอดเลือด ซึ่งรวมทั้งหลอดเลือดที่สมองและไตด้วย จุดมุ่งหมายของการรักษาภาวะความดันโลหิตสูง เพื่อลด อัตราทุพลภาพ และอัตราตาย ซึ่งจะเกิดจากภาวะแทรกซ้อนทางหัวใจ และหลอดเลือด
การดูแลเฉพาะแต่ความดันโลหิตสูงเท่านั้น จะทําให้ได้ผลไม่ดีเท่าที่ควร ดังนั้น แพทย์ต้องค้นภาวะ อื่นๆ ที่อาจพบในตัวผู้ป่วยด้วย เช่น เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ภาวะอ้วน ผนังหัวใจห้องซ้ายล่างหนา โรคเก๊าท์ เป็นต้น ซ่ึงแพทย์จะต้องดําเนินการควบคุมและรักษาคู่ไปกับการรักษาความดันโลหิต จึงจะได้ผลดี และมี ประสิทธิภาพเต็มที่
การรักษาโรคความดันโลหิตสูง
การรักษาผู้ป่วยความดันโลหิตสูง ประกอบด้วย
1. การรักษาโดยไม่ใช้ยา น่ันคือการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงวิถีการดําเนินชีวิต เพ่ือลดปัจจัยเส่ียงต่อ การเกิดโรคหัวใจ และหลอดเลือด ซ่ึงจะกล่าวรายละเอียดต่อไป
2. การรักษาด้วยยาซ่ึงมีหลายกลุ่มแพทย์สามารถเลือกใช้ให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย
ข้อแนะนําสําหรับผู้ป่วยความดันโลหิตสูง
ต่อไปนี้ เป็นขั้นตอนที่ท่านควรปฏิบัติเพื่อช่วยแพทย์ของท่านในการควบคุมความดันโลหิต
1. การควบคุมอาหาร
• การลดน้ําหนัก สามารถช่วยลดความดันโลหิตได้ และช่วยควบคุมระดับน้ําตาลในเลือด แม้ท่าน จะไม่จัดว่าอ้วน แต่การลดอาหารประเภทไขมันก็เป็นสิ่งที่ดี
คู่มือแนวทางการอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุระยะยาว
23
สํานักส่งเสริมสุขภาพ


• หลีกเลี่ยง หรือลดการใช้เนย ไขมัน และน้ํามัน ในการปรุงอาหาร
• หลีกเลี่ยงอาหารทอด ให้รับประทานอาหารประเภทอบ นึ่ง ต้ม แทน • รับประทานอาหารประเภทผัก ถั่ว ผลไม้ ให้มากข้ึน
• หลีกเลี่ยงการดื่มสุรา
• ดื่มน้ํา กาแฟที่ไม่มีคาเฟอีน นมพร่องไขมัน และน้ําผลไม้
2. รับประทานอาหารที่ไม่เค็มจัด
• การรับประทานเกลือมาก จะทําให้ความดันโลหิตสูง และไตทํางานหนัก การลดปริมาณเกลือ ในอาหาร ควรปรึกษาแพทย์ของท่านก่อน
• หลีกเลี่ยงอาหารประเภทของดองเค็ม เนื้อเค็ม ซุปกระป๋อง
• ใช้เครื่องเทศแทนเกลือ หรือผงชูรส
• รับประทานแต่อาหารว่างที่มีเคร่ืองหมาย “เกลือต่ํา” (low salt) หรือ “ปราศจากเกลือ”
(salt-free)
3. หลีกเล่ียงไม่ให้เกิดอารมณ์เครียด
• หากเป็นไปได้ พยายามเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมที่จะทําให้เครียด ท้ังที่ทํางาน และที่บ้าน
• พยายามตอบสนองอย่างมีสติ และนุ่มนวลต่อสภาวะเครียด ซึ่งท่านไม่สามารถเปล่ียนแปลง
หรือหลีกเลี่ยงได้
4. หยุดสูบบุหร่ี
การสูบบุหรี่ เป็นสาเหตุสําคัญของการเกิดมะเร็งในปอด อัมพาต โรคหัวใจขาดเลือด และความดัน
โลหิตสูงได้ บุหร่ี ทําให้เกิดการทําลาย และส่งเสริมการหดตัวของหลอดเลือด ทําให้เพิ่มอัตราเส่ียงต่อการเกิด
อัมพาต
การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก เป็นสาเหตุของความดันโลหิตสูง และไขมันในเลือดสูง ควรงด หรือด่ืมปริมาณน้อย เช่น ในวันหนึ่งๆ ไม่ควรดื่มสุราเกิน 60 ลบ.ซม เบียร์ไม่เกิน 720 ลบ.ซม. ไวน์ไม่เกิน 260 ลบ.ซม.
6. ออกกําลังกายแต่พอประมาณ
การเดินวันละ 20-30 นาที จะช่วยท่านลดน้ําหนักได้ ช่วยทําให้ระบบไหลเวียนของเลือดดีข้ึน และป้องกันโรคของหลอดเลือดได้ ก่อนเริ่มออกกําลังกายใดๆ ควรปรึกษาแพทย์ของท่านก่อน
7. รับประทานยาให้สม่ําเสมอตามแพทย์สั่ง
• แจ้งให้แพทย์ท่านทราบถึงยาต่างๆ ที่ท่านรับประทานอยู่ เช่น ยาคุมกําเนิด ยาแก้ปวด เป็นต้น • รับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
• หากมียาชนิดใดที่ทําให้ท่านรู้สึไม่สบาย ควรแจ้งให้แพทย์ของท่านทราบทันที เพราะว่าท่าน
อาจต้องการยาในขนาดที่ลดลง หรือเปลี่ยนยา
• รับประทานยาให้สม่ําเสมอ จนกว่าแพทย์ของท่านจะบอกให้หยุด
8. ตรวจวัดความดันโลหิตสม่ําเสมอ
ในกรณีท่านมีเคร่ืองวัดความดันโลหิตที่บ้าน ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อเรียนรู้วิธีวัดความดันโลหิตท่ี
5. งดหรือลดการดื่มแอลกอฮอล์
คู่มือแนวทางการอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุระยะยาว
24
สํานักส่งเสริมสุขภาพ


ถูกต้อง อาจทําการวัดความดันโลหิตสัปดาห์ละคร้ัง หรือเมื่อมีอาการเครียด ปวดศีรษะ ไม่จําเป็นต้องวัดความดัน โลหิตถี่เกินความจําเป็น และควรจดบันทึกวัน เวลา ค่าที่วัดได้ทุกครั้ง ซ่ึงจะเป็นประโยชน์ต่อแพทย์ของท่าน ในการควบคุมความดันโลหิต
2. เบาหวาน
เบาหวานเกิดจากร่างกายขาดฮอร์โมนอินซูลิน ทําให้เผาผลาญน้ําตาลในเลือดไม่ได้ระดับน้ําตาลใน เลือดสูงขึ้นและขับออกทางปัสสาวะ เมื่อระดับน้ําตาลในเลือดสูงนานๆ จะทําให้หลอดเลือดเส่ือมและเสียหาย
อาการเบาหวาน
ปัสสาวะบ่อย ดื่มน้ํามาก กินเก่ง หิวบ่อย น้ําหนักลด รวมทั้งมีอาการจากร่างกายขาดน้ํา เช่น อ่อนเพลีย วิงเวียน มึนงง ตามัว คอแห้ง และสมรรถภาพทางเพศเสื่อม
ข้อแนะนํา
1) ต้องรักษาต่อเนื่องยาวนานหรือตลอดชีวิตหารรักษาอย่างจริงจังจึงจะมีชีวิตปกติได้ ถ้ารักษา ไม่จริงจัง จะอันตรายจากภาวะแทรกซ้อนได้มาก
2) ผู้ป่วยที่กินยาหรือฉีดยารักษาเบาหวานอยู่ อาจเกิดภาวะน้ําตาลในเลือดต่ํามีอาการใจหวิว ใจส่ัน หน้ามืด ตาลาย เหงื่อออก ตัวเย็นเหมือนขณะหิวข้าว ถ้าน้ําตาลในเลือดต่ํามากๆ อาจเป็นลมหมดสติ หรือชักได้ ผู้ป่วยควรระวังดูอาการดังกล่าว และพกพาน้ําตาลหรือของหวานติดตัวประจํา ถ้าเร่ิมมีอาการดังกล่าว ให้ผู้ป่วย รีบกินน้ําตาลหรือของหวาน
3) อย่าซื้อยาชุดกินเอง
4) แนะนําให้ผู้ท่ีมีอายุมากกว่า 40 ปี และมีญาติพี่น้องเป็นเบาหวาน หรือ คนอ้วน ควรตรวจหา น้ําตาลในปัสสาวะหรือเลือดเป็นระยะ หากพบเป็นเบาหวาน ในระยะเริ่มแรกจะได้รักษาแต่เน่ินๆ
การปฏิบัติตัวของผู้ป่วยเบาหวาน
1) พบแพทย์และตรวจปัสสาวะและตรวจเลือดตามท่ีแพทย์นัด
2) กินยาลดน้ําตาลหรือฉีดอินซูลินและปฏิบัติตัวตามคําแนะนําแพทย์
3) ควรควบคุมอาหารการกินอย่างเคร่งครัด เช่น กินอาหารให้พอดี ไม่กินจุบจิบ งดเว้นอาหาร
หวานๆ อาหารประเภทแป้งและไขมัน โดยเฉพาะไขมันจากกะทิ
4) ออกกําลังกายสม่ําเสมออย่างน้อยสัปดาห์ละ3คร้ัง
5) พักผ่อนให้เพียงพอทําจิตใจให้ร่าเริงไม่เครียดไม่วิตกกังวล
6) งดสูบบุหรี่และเครื่องด่ืมแอลกอฮอล์
7) หมั่นดูแลรักษาความสะอาดเท้าไม่สวมรองเท้าที่คับเกินไปถ้ามีแผลท่ีเท้าต้องรีบรักษาทันที 8) มีลูกอมหรือน้ําตาลติดตัวไว้เสมอ
9) ควรมีบัตรหรือสัญลักษณ์ท่ีแสดงว่าเป็นผู้ป่วยเบาหวานติดตัวตลอด
คู่มือแนวทางการอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุระยะยาว
25
สํานักส่งเสริมสุขภาพ


3. ข้อเข่าเสื่อม
ผู้สูงอายุจะเริ่มมีการข้อเสื่อมขึ้นกับการใช้งานข้อและสภาพร่างกายถ้าน้ําหนักมากน้ําหนักจะกด กระแทกข้อ ข้อจะเส่ือมเร็ว ถ้าใช้งานข้อมากๆ เช่น เดินมาก ยืนมาก หรือเดินข้ึนลงบันไดมากๆ น่ังยองๆ มาก ข้อจะเสื่อมเร็ว
อาการ
ปวดข้อ ในระยะแรกจะปวดเมื่อเดินมาก ยืนมาก หรือเดินขึ้นลงบันไดมากๆ อาจมีเสียงดังกร๊อบแกร๊บ ในข้อ
ข้อแนะนํา
• ถ้าผู้ป่วยมีน้ําหนักตัวมากให้ลดน้ําหนักโดยการควบคุมอาหารและออกกําลังกาย
• ลดการใช้งานข้อเข่า เช่น หลีกเลี่ยงการนั่งยองๆ ควรใช้ส้วมน่ังราบ หลีกเลี่ยงการเดินขึ้นลงบันได มากๆ เพื่อป้องกันข้อเข่าเสื่อม
• บริหารกล้ามเนื้อบริเวณรอบๆข้อให้แข็งแรงเช่นบริหารกล้ามเน้ือหน้าขา2ข้างโดยการยกขาขึ้น และเกร็งไว้สักครู่ ควรทําบ่อยๆ เพ่ือป้องกัน หรือชะลอข้อเข่าเส่ือม
4. ภาวะสมองเสื่อม
ภาวะที่ความสามารถทางสติปัญญาลดลง คิดและจําไม่ได้ มักพบในผู้สูงอายุ ทําให้มีอาการหลงลืม การใช้ภาษาผิดปกติ พฤติกรรมและอารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย
อาการ
อาการเริ่มแรก จะลืมเร่ืองราวท่ีเกิดข้ึนใหม่ๆ ไม่นาน ในขณะที่ความจําเรื่องในอดีตจะยังดีอยู่ ผู้ป่วย อาจถามซ้ําเรื่องท่ีเพิ่งจะบอกไป หรือพูดซ้ําเรื่องที่เพ่ิงเล่าให้ฟัง อาการอ่ืนๆ เช่น วางของแล้วลืม ทําสิ่งที่เคยทํา ประจําไม่ได้ สับสนเรื่องวัน เวลา สถานที่ นึกคําพูดไม่ค่อยออกหรือใช้คําผิดๆ อารมณ์ พฤติกรรมและบุคลิกภาพ เปล่ียนแปลงจากเดิม การตัดสินใจแย่ลง ไม่มีความคิดริเร่ิมใหม่ๆ อาการต่างๆ เหล่าน้ีจะสะสมมากขึ้น จนมีผล ต่อการทํางานและกิจวัตรประจําวัน ซึ่งการท่ีพบการเปล่ียนแปลงได้เร็วหรือช้า ขึ้นกับระดับความสามารถเดิม การศึกษาและหน้าท่ีเดิมของผู้สูงอายุ รวมถึงการช่างสังเกตและเอาใจใส่ของญาติด้วย
ข้อแนะนํา
ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีป้องกันโรคนี้ อย่างไรก็ตาม การปฏิบัติตัวบางอย่าง จะช่วยให้สมองมีความจํา ที่ดีได้ ได้แก่
1) หลีกเลี่ยงยาหรือสารที่ทําอันตรายสมองเช่นด่ืมเหล้าจัดกินยาโดยไม่จําเป็น
2) ฝึกสมอง ได้แก่ ฝึกให้สมองได้คิดบ่อยๆ เช่น อ่านหนังสือ เขียนหนังสือ คิดเลข ดูเกมส์ตอบปัญหา ฝึกหัดการใช้อุปกรณ์ใหม่ๆ เป็นต้น
คู่มือแนวทางการอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุระยะยาว
26
สํานักส่งเสริมสุขภาพ


3) ออกกําลังกายสม่ําเสมอสัปดาห์ละ3–5คร้ังเช่นเดินเล่นรํามวยจีนเป็นต้น 4) พูดคุยพบปะผู้อ่ืนบ่อยๆเช่นไปวัดหรือร่วมกิจกรรมของชมรมผู้สูงอายุเป็นต้น 5) ตรวจสุขภาพประจําปี
6) ระมัดระวังอุบัติเหตุต่อสมองระวังหกล้มเป็นต้น
7) มีสติในสิ่งต่างๆที่กําลังทําและฝึกสมาธิตลอด 8) ไม่คิดมากไม่เครียดทํากิจกรรมคลายเครียด
5. หลอดเลือดหัวใจตีบ
อาการที่ควรรู้
เจ็บแน่นหน้าอก มีลักษณะจําเพาะ คือ เจ็บตื้อๆ แน่นๆ หรือหนักๆ เจ็บที่กลางอก ใต้กระดูกหน้าอก หรือทางซ้ายบริเวณหัวใจ อาจร้าวไปที่ข้อศอก หรือ แขน คอ กราม เจ็บนาน 3-5 นาที ถ้าเจ็บนานเกิน 30 นาที อาจเกิดกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันได้ ซึ่งมีอาการ
1. เหงื่อออกใจสั่นหน้ามืดคล้ายจะเป็นลม 2. เหนื่อยหายใจลําบาก
3. หัวใจวายหมดสติถึงแก่ชีวิต
ข้อแนะนํา
1) กินอาหารให้พอดีกับความต้องการของร่างกายให้ครบ 5 หมู่ อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงได้แก่ อาหาร ไขมันสูง เค็มจัด หวานจัด
2) ออกกําลังกายสม่ําเสมอจะช่วยให้หัวใจและหลอดเลือดทํางานได้ดี
3) ควบคุมเบาหวานความดันโลหิตสูงให้น้ําตาลในเลือดและความดันโลหิตปกติ 4) ทําจิตใจให้ร่าเริงแจ่มใสเสมอไม่เครียด
5) ตรวจสุขภาพประจําปี
6) ควบคุมไขมันในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
7) งดบุหรี่เหล้าและสารเสพติดทุกชนิด
8) ลดน้ําหนักถ้าอ้วนลงพุง
6. โรคมะเร็ง
โรคมะเร็งท่ีพบบ่อยในประเทศไทย ได้แก่ มะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านม มะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็ง ลําไส้ใหญ่และทวารหนัก มะเร็งช่องปาก มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งต่อมน้ําเหลือง และมะเร็งผิวหนัง
การป้องกันโรคมะเร็ง
• หยุดสูบบุหร่ี การสูบบุหร่ีเป็นปัจจัยเส่ียงที่สําคัญ สําหรับโรคมะเร็งหลายชนิด เช่น โรคมะเร็งปอด โรคมะเร็งช่องปาก โรคมะเร็งโพรงจมูก เป็นต้น
คู่มือแนวทางการอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุระยะยาว
27
สํานักส่งเสริมสุขภาพ


• รับประทานอาหารท่ีมีประโยชน์แก่ร่างกาย ควรรับประทานอาหารที่มีกากใยมาก รับประทานผัก และผลไม้เป็นประจํา จํากัดอาหารที่มีไขมันอ่ิมตัวสูงจากเน้ือสัตว์ ผลิตภัณฑ์จากนมและอาหารปรุงสําเร็จ นอกจากนั้นควรหลีกเล่ียงอาหารพวกป้ิง ย่าง รมควัน เนื่องจากมีสารก่อมะเร็งในปริมาณมาก
• ลดน้ําหนักในกรณีที่อ้วน เนื่องจากน้ําหนักตัวท่ีเกินเป็นปัจจัยเสี่ยง ต่อการเกิดโรคมะเร็งบางชนิด ได้แก่ มะเร็งเต้านม มะเร็งลําไส้ใหญ่และมะเร็งเย่ือบุมดลูก
• หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์เป็นปริมาณมาก เนื่องจากแอลกอฮอล์เป็นปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งตับ มะเร็งหลอดอาหาร และมะเร็งในช่องปาก
• หลีกเลี่ยงการอาบแดดหรือถูกแดดจัด เนื่องจากอาจทําให้เกิดมะเร็งผิวหนัง ควรหลีกเลี่ยงการถูก แดดช่วง 10.00–16.00 น. ใช้ครีมกันแดดที่มี SPF อย่างน้อย 15 สวมใส่เสื้อผ้าที่รัดกุม และสวมแว่นกันแดด
• ออกกําลังกายเป็นประจําทุกวัน เน่ืองจากการที่ไม่ออกกําลังกาย มีความสัมพันธ์กับการเกิดโรค มะเร็งลําไส้ใหญ่ และมะเร็งเต้านม อย่างน้อยควรออกกําลังกายแบบแอโรบิกอย่างน้อย 30 นาทีต่อครั้ง สัปดาห์ ละ 3 ครั้ง และพยายามเปลี่ยนกิจกกรมท่ีทําอยู่แล้ว เป็นการออกกําลังกาย เช่น เดินขึ้นบันได แทนการใช้ลิฟท์ จอดรถไกลกว่าท่ีจอดเดิม และใช้การเดินแทน เป็นต้น
• หลีกเลี่ยงจากรังสีและสารเคมีในที่ทํางานและที่บ้าน โดยคอยอ่านคําเตือนของเอกสาร ที่แนบ มากับผลิตภัณฑ์เสมอ
• ตรวจร่างกายเป็นประจําทุกปี และปฏิบัติตามคําแนะนํา ในการตรวจเพิ่มเติมของแพทย์ เช่น ตรวจ แป๊บสเมียร์ (Pap’s smear) ทุกปีเพ่ือหามะเร็งปากมดลูกในระยะแรก ฝึกการตรวจเต้านมด้วยตนเอง เป็น ประจําทุกเดือน และตรวจโดยแพทย์ทุก 1 ปี เป็นต้น
• หลีกเล่ียงจากการใช้ของมีคมร่วมกับผู้อื่น ไม่เที่ยวสําส่อน หรือถ้าไม่แน่ใจควรใช้ถุงยางอนามัย ตรวจเลือดว่ามีภูมิคุ้มกันต่อเช้ือไวรัสตับอักเสบบีหรือยัง ถ้ายังไม่มีควรฉีดวัคซีน เพ่ือป้องกันเชื้อไวรัสตับอักเสบบี เนื่องจากเป็นสาเหตุ ที่สําคัญของการเกิดโรคมะเร็งตับ ในรายท่ีเป็นพาหะไวรัสตับอักเสบบีหรือซี ควรติดตาม ตรวจกับแพทย์เป็นระยะทุก 6 เดือน
• ในกรณีที่ เคยรับประทานปลาดิบ อาศัยหรือเคยอาศัยอยู่ในภาคอีสาน หรือในชุมชนที่มีผู้ป่วย มะเร็งท่อน้ําดีตับ หรือมีประวัติมะเร็งท่อน้ําดีในครอบครัว ควรรับการตรวจอุจจาระเพื่อหาไข่พยาธิใบไม้ในตับ เน่ืองจากมีโอกาสเส่ียงต่อการเกิดโรคมะเร็งท่อน้ําดี
คอยสังเกตอาการผิดปกติของร่างกายและรีบไปพบแพทย์หากมีอาการผิดปกติดังต่อไปน้ี
• มีการเปลี่ยนแปลงในการย่อยอาหาร และการขับถ่ายอย่างเรื้อรัง เช่น ท้องผูกสลับท้องเสีย ปัสสาวะเป็นเลือด เป็นต้น
• มีเลือดออกผิดปกติเช่นทางช่องคลอดหรือเลือดกําเดาไหลบ่อยๆ • มีแผลเรื้อรังไม่หายใน3สัปดาห์
• มีก้อนที่เต้านมหรือตามตัวไฝโตขึ้นหรือเปล่ียนสี
• ไอเรื้อรังหรือเสียงแหบ
• น้ําหนักลดโดยไม่ตั้งใจ • หูอ้ือเร้ือรัง
คู่มือแนวทางการอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุระยะยาว
28
สํานักส่งเสริมสุขภาพ


7. โรคตาในผู้สูงอายุ
ในขณะที่คนเรามีอายุมากขึ้น กล้ามเน้ือที่ทําหน้าที่ยืดหดเลนส์ลูกตา จะอ่อนกําลังลงทําให้ลําบากใน การเพ่งดูส่ิงของ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัตถุเล็กๆ โดยสายตาจะยาวออก และคนที่มีประวัติสายตาส้ันเวลามอง สิ่งของใกล้ๆ กลับต้องถอดแว่นตาออก เม่ือสูงอายุ ความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้เป็นธรรมดาของร่างกายมากน้อย แตกต่างกันไปในแต่ละคน วิธีป้องกันไม่ให้สายตาเส่ือมเร็ว
1) ไม่อยู่ในที่มีแสงสว่างมากเช่นถ้าแสงแดดจ้าควรใส่แว่นกันแสง
2) รับประทานอาหารตามหลักโภชนาการการขาดวิตามินเอขาดโปรตีนทําให้ตาเส่ือมเร็ว
3) ระวังอย่าให้แสงแดดหรือแสงเช่ือมโลหะเข้าตาต้องใช้แว่นกันแสง
4) การดูทีวี ต้องน่ังระยะห่าง 5 เท่า ของขนาดจอโทรทัศน์ จึงจะไม่เกิดอันตราย เพราะภาพจะตกที่
จะรับภาพพอดีโดยไม่ต้องเพ่ง
5) ผู้สูงอายุควรใช้แว่นตาช่วยสําหรับอ่านหนังสือระยะใกล้ มิฉะน้ันจะมีอาการปวดตา และปวด
ศีรษะเพราะเพ่งสายตามาก
โรคตาที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ มีดังนี้
โรคต้อกระจก โรคตาที่เป็นกันมากที่สุดในผู้สูงอายุคือ ต้อกระจก เมื่ออายุมากข้ึน แก้วตาจะเปล่ียน จากสีใสๆ เป็นสีน้ําตาล หรือสีขาวขุ่นมาข้ึนเรื่อยๆ ทําให้แสงผ่านเข้าไปในตาไม่ได้มีผลทําให้ตามัวลงๆ
อาการ
1) ตามัวลงเรื่อยๆ โดยในระยะแรกๆ นั้นตาจะมัวเฉพาะเวลาออกแดด พอเข้าที่สลัวๆ จะมองเห็นได้ ดีกว่า พอเป็นมากขึ้นก็จะมัวท้ังในที่สว่างและสลัว จนในที่สุดจะมองเห็นแค่แสงไฟ และสามารถบอกได้แต่ ทิศทางของแสงที่ส่องเข้าตาเท่านั้น
2) เม่ือต้อแก่มากขึ้นรูม่านตาซึ่งเดิมมีสีดําสนิทจะค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีขาวขุ่นหรือสีน้ําตาลขุ่น
สาเหตุ
1) โดยทั่วไปเป็นการเปลี่ยนแปลงตามอายุที่เพิ่มข้ึน
2) เกิดจากพิษของยาบางส่วนเช่นการใช้ยาพวกสเตียรอยด์นานๆยาฆ่าปลวกบางชนิด 3) การขาดสารบางชนิดเช่นแคลเซียม
4) โรคบางโรคทําให้เกิดต้อกระจกเร็วข้ึนเช่นเบาหวานฯลฯ
คู่มือแนวทางการอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุระยะยาว
29
สํานักส่งเสริมสุขภาพ


5) อุบัติหตุมีการกระแทกหรือมีบาดแผลทะลุที่กระจกตาดํา
6) เป็นแต่กําเนิด อาจเกิดจากกรรมพันธุ์ หรือเกิดในเด็กที่มารดาเป็นหัดเยอรมันระหว่างตั้งครรภ์ 3 เดือนแรก
การรักษา
โรคต้อกระจกนี้สามารถรักษาได้โดยการลอกต้อกระจก ซึ่งทําให้เฉพาะในโรงพยาบาลเท่าน้ัน เมื่อลอก ต้อกระจกออกแล้วใส่แว่นผู้ป่วยจะกลับเห็นชัดได้โดยใช้ยาฉีดเฉพาะที่ไม่ต้องดมยาสลบ ทําเสร็จแล้วต้องนอน รักษาอยู่ในโรงพยาบาลระยะหนึ่ง
ข้อควรปฏิบัติ
ถ้าคิดว่าเป็นต้อกระจกในระยะแรก ควรได้รับการตรวจจากแพทย์ เพื่อให้แน่ใจว่า สายตาที่มัวลงนั้น เป็นเพราะต้อกระจกจริง ไม่ใช่เกิดจากโรคอื่น เช่น ต้อหินเรื้อรัง หรือโรคของจอประสาทตา ถ้าพบว่าต้อกระจก อยู่ในระยะที่สุกแล้ว คือ รูม่านตามีสีขุ่นขาว หรือสีน้ําตาลเข้มแล้วควรไปพบแพทย์ เพ่ือรับการลอกต้อกระจก ออกก่อนท่ีจะมีโรคแทรกซ้อน
ข้อเสียถ้าปล่อยไว้จนสุกเกินไป
1. ทําให้เกิดต้อหินซ่ึงมีอาการปวดตาและทําให้ตาบอดสนิทได้โดยไม่มีทางแก้ไข
2. ทําให้เป็นโรคม่านตาอักเสบแทรกข้ึนมาได้
3. ทําให้การผ่าตัดลอกต้อออกยากข้ึนมีโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนหลังผ่าตัดได้มากขึ้น
หมายเหตุ อันตรายที่เกิดจากการรักษาที่ไม่ถูกวิธี
ในปัจจุบัน มีหมอชาวบ้านรักษาต้อกระจก โดยใช้เข็มทิ่มแทงให้แก้วตาตกไปอยู่ในลูกตาส่วนหลัง ซึ่ง ผู้ป่วยอาจจะมองเห็นได้ทันที แต่จะตาบอดในเวลาต่อมาภายใน 6 เดือน หรือ 1 ปี นอกจากตาบอดแล้วจะมี อาการปวดร่วมด้วย จึงควรแนะนําประชาชนให้ทราบเพื่อจะไม่ได้หลงผิด ไปรักษาด้วยวิธีดังกล่าว
โรคต้อหิน คือโรคท่ีเกิดจากภาวะความดันในลูกตาสูงกว่าปกติ ภายในลูกตาของคนเรา จะมีการผลิต หรือสร้างน้ําใสชนิดหน่ึง ออกมาอยู่ในช่องหลังม่านตา แล้วไหลผ่านรูม่านตาออกมาอยู่ในช่องหน้าม่านตา ต่อจากนั้นน้ําในนี้ก็จะไหลผ่านรูตะแกรงเล็กๆ เข้าสู่เส้นเลือดดําของลูกตา จึงทําให้ความดันลูกตาคงที่อยู่ ตลอดเวลา ถ้ามีอะไรขัดขวางทางเดินของน้ําในลูกตา จะเกิดการคั่งของน้ําภายในลูกตาทําให้ความดันภายใน ลูกตาสูง เรียกว่า ต้อหิน ต้อหิน มี 2 ชนิด
1. ต้อหินแบบเฉียบพลัน เกิดจากการไหลเวียนของน้ําใสในลูกตาไม่สะดวกท่ีเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทําให้มีอาการตาแดง รูม่านตาขยาย ปวดตามาก คลื่นไส้ อาจมีอาการอาเจียนร่วมด้วย จะเห็นสีรุ้งรอบดวงไฟ สายตาจะมัวลงอย่างรวดเร็ว ถ้าไม่ได้รักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงที จะทําให้ตาบอดได้ภายใน 2-3 วัน
2. ต้อหินชนิดเรื้อรัง เกิดจากความเส่ือมของทางไหลผ่านของน้ําใสภายในลูกตาต้อหินชนิดน้ีไม่มี อาการเจ็บปวด เกิดขึ้นช้าๆ โดยไม่รู้ตัว สายตาจะค่อยๆ มัวลง จากขอบเขตของการมอง
คู่มือแนวทางการอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุระยะยาว
30
สํานักส่งเสริมสุขภาพ


การป้องกัน
ผู้ท่ีมีอายุเกิน 40 ปีขึ้นไป ควรได้รับการตรวจตาจากจักษุแพทย์ เพ่ือให้แน่ใจว่าความดันภายในลูกตา อยู่ในระดับปกติอย่างน้อยปีละหน่ึงครั้ง นอกจากน้ันควรถนอมดวงตาให้ดีที่สุด หลีกเล่ียงการกระทบกระเทือน ต่างๆ เมื่อมีอาการผิดปกติของตาควรพบจักษุแพทย์โดยเร็วที่สุด ไม่ควรหยอดตาด้วยยาสเตียรอยด์โดยแพทย์ มิได้สั่ง เพราะยาประเภทน้ีทําให้ความดันภายในลูกตาสูงกว่าปกติ
การรักษา
ต้อหินเป็นโรคท่ีร้ายแรงทําให้ตาบอดได้ในเวลาอันรวดเร็ว จึงควรพบจักษุแพทย์เพื่อทําการรักษาโดย เร็วที่สุด ถ้าเป็นมากจนประสาทตาเสียไปแล้ว สายตาจะไม่กลับคืนมา นอกจากการรักษาเบาหวานให้หายแล้ว (ในรายท่ีเป็นเบาหวานร่วมด้วย) จักษุแพทย์จะรักษาด้วยแสงเลเซอร์ เพื่อช่วยป้องกันให้โรคลุกลามมากขึ้น และ เพ่ือความแน่นอนและปลอดภัยของดวงตาควรปรึกษาจักษุแพทย์เมื่อมีอาการเหล่าน้ี
1) เห็นอะไรลอยไปลอยมาในลูกตาเกิดจากความเสื่อมของน้ําวุ้นในลูกตา
2) เห็นแสงแวบๆ ในลูกตา แสดงว่ามีอะไรไปกระตุ้นประสาทจอรับภาพ ทําให้เกิดแสงสว่างเป็นการ เตือนว่าประสาทตาหลุด
3) การท่ีมีน้ําตาไหลเป็นประจํา เกิดจากมีการระคายเคืองของเนื้อเยื่อหุ้มตา ความดันลูกตาสูง การเส่ือมของเยื่อหุ้มตา และการอุดตันของท่อทางเดินน้ําในตา
4) ตามัว อาจจะเกิดจากโรคเบาหวานซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทําให้ตาบอด โรคเบาหวาน ถ้าเกิดระยะ เวลาย่ิงนาน ย่ิงทําให้จอรับภาพถูกทําลายมาก จนในที่สุดตาจะบอดสนิท
การรักษา
1) ไม่มีการรักษาที่สามารถทําให้การมองเห็นกลับคืนมาเท่าคนปกติแต่สามารถชะลอไม่ให้โรคแย่ลงได้
2) ในปัจจุบัน โรคต้อหินส่วนใหญ่สามารถรักษาด้วยยา ลดความดันตาเพ่ือป้องกันการทําลายเส้น ประสาทตา โดยผู้ป่วยจะต้องมารับการรักษาอย่างสม่ําเสมอ
3) การรับประทานวิตามินเสริม C, E, Zinc, lutein, zeaxanthin ไม่ช่วยปัองกันในผู้ที่ไม่เป็นโรค แต่ช่วยชะลอโรคในผู้ที่เป็นโรคแล้ว
โรคสายตายาวในผู้สูงอายุ (presbyopia)
มักเกิดหลังอายุ 40 ปี เกิดจากเลนส์ตาที่แข็งข้ึน สูญเสียความสามารถในการปรับการมองใกล้ และ ไกลดังนั้นผู้ป่วยมักต้องถือหนังสือไกลขึ้นจึงจะอ่านได้ชัด โดยอาการจะเกิดขึ้นกับทุกคน ท้ังสายตาสั้น ยาว และ ปกติ โดยพบว่าผู้ที่มีสายตายาวอาจเกิดอาการเร็วกว่าปกติ วิธีรักษา ปรึกษาจักษุแพทย์เพ่ือตัดแว่น ตาสําหรับ อ่านหนังสือ
โรคตาแห้ง (dry eye)
มักเกิดในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เริ่มเม่ือวัยกลางคน สัมพันธ์กับภาวะเปลือกตาอักเสบ และโรคทางกาย บางชนิด เกิดจากการผลิตน้ําตาที่น้อยลง ผู้ป่วยจะมีอาการเคืองเหมือนมีฝุ่นผงในตา มักเป็นมากขึ้นเมื่ออยู่ในที่
คู่มือแนวทางการอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุระยะยาว
31
สํานักส่งเสริมสุขภาพ


แห้งหรือห้องแอร์ อาจมีข้ีตาเหนียว การมองเห็นไม่ชัดต้องกระพริบตาบ่อยๆ ในผู้ป่วยบางคนอาจเคืองตาแล้วมี น้ําตาไหลมากขึ้นได้ เมื่อมีอาการควรพบจักษุแพทย์
การรักษา
ในระยะเร่ิมแรกใช้น้ําตาเทียม เมื่ออาการเป็นมากขึ้นควรปรึกษาจักษุแพทย์ การดูแลตัวเอง หลีกเลี่ยง ลม ฝุ่น ถ้าอยู่ในห้องแอร์หรืออากาศแห้งอาจหาแก้วใส่น้ําอุ่นวางไว้เพื่อให้มีความชื้นในอากาศ รักษาโรคเปลือก ตาอักเสบ และโรคทางกายอื่นๆ
โรคจุดรับภาพเส่ือมในผู้สูงอายุ (AMD : Age Related Macular Degeneration)
เกิดจากการทําลายบริเวณจุดศูนย์กลางของการรับภาพ และสี โดยไม่ทราบสาเหตุการเสื่อมที่แน่นอน ปัจจัยเสี่ยง ที่สําคัญ คือ
• ผู้สูงอายุพบว่าอัตราการเกิดโรคในคนอายุ75ปีมีถึง30%เม่ือเทียบกับ2%ในคนอายุ50ปี • การสูบบุหร่ี
• การสัมผัสแสงอาทิตย์และแสงUVปริมาณมาก
• ความดันโลหิตสูงไขมันในเลือดสูงโรคหลอดเลือดหัวใจ
อาการของโรค
ได้แก่ ภาพมัว บิดเบี้ยว สีจางลง มีปัญหาในการอ่าน หรือจําหน้าคน เห็นจุดดําอยู่กลางภาพ การ รักษาโรค ไม่มีการรักษาท่ีหายขาด แต่การรักษาจะช่วยชะลอการเกิดโรคท่ีมากขึ้น ในระยะแรกอาจให้วิตามิน แต่การดําเนินโรคก็อาจเป็นมากข้ึนได้ โดยในระยะหลัง อาจร่วมกับการรักษาด้วยเลเซอร์ หรือฉีดยาเข้าในลูกตา
การปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันโรคตาในผู้สูงอายุ
1) ผู้สูงอายุจึงควรตรวจตาเป็นประจําทุกปี และเมื่อมีการมองเห็นภาพที่เปลี่ยนแปลงไปดังกล่าว ควรรีบมาพบจักษุแพทย์
2) หยุดสูบบุหรี่
3) สวมแว่นตากันแดด
4) รักษาโรคความดันโลหิตสูงไขมันในเลือด 5) รับประทานผักผลไม้อาหารครบ5หมู่
แหล่งข้อมูล :
- คู่มือปฏิบัติงานสําหรับ อสม.เพ่ือผู้สูงวัย สายใยรักครอบครัว ชุมชน, สํานักส่งเสริมสุขภาพ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข, พิมพ์ครั้งที่ 1 มิถุนายน 2552.
- ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย,www.rcopt.org/news-public-70.html รศ.นพ. พีระ บูรณะกิจเจริญ, ชมรมความดันโลหิตสูงแห่งประเทศไทย.
คู่มือแนวทางการอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุระยะยาว
32
สํานักส่งเสริมสุขภาพ


เร่ือง ภาวะวิกฤติกับการปฐมพยาบาลเบ้ืองต้น
วัตถุประสงค์การเรียนรู้
• วัตถุประสงค์ท่ัวไป
เพ่ือให้ผู้ดูแลผู้สูงอายุสามารถสังเกต และให้การดูแลปฐมพยาบาลเบื้องต้นแก่ผู้สูงอายุท่ีมีภาวะวิกฤติได้ • วัตถุประสงค์เฉพาะ เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรม
1. บอกวิธีการสังเกตอาการและการดูแลช่วยเหลือปฐมพยาบาลผู้สูงอายุที่หน้ามืด วิงเวียน เป็นลม
หมดสติ
2. สามารถแสดงการห้ามเลือดท่ีถูกวิธีได้
3. สามารถบอกวิธีการดูแลช่วยเหลือผู้สูงอายุที่หกล้มกระดูกหักข้อเท้าแพลงได้
4. สามารถบอกวิธีการเคล่ือนย้ายผู้ป่วยได้
5. สามารถบอกวิธีการสังเกตและให้การดูแลช่วยเหลือผู้สูงอายุที่มีปัญหาเส้นเลือดสมองได้
เป้าหมาย
เพ่ือให้ผู้สูงอายุได้รับการดูแลช่วยเหลือปฐมพยาบาลเบื้องต้นในภาวะวิกฤติได้อย่างถูกต้องและ ปลอดภัย
เนื้อหาวิชา
1. 2. 3. 4. 5.
ระยะเวลา
รูปแบบ /
หน้ามืดวิงเวียนเป็นลมหมดสติ การห้ามเลือด หกล้มกระดูกหักข้อเท้าแพลง การเคล่ือนย้ายผู้ป่วย เส้นเลือดสมองแตกตีบตัน
ภาคทฤษฎี 8 ช่ัวโมง
วิธีการสอน
- การบรรยาย - การซักถาม
คู่มือแนวทางการอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุระยะยาว
แผนการสอนที่ 4
33
สํานักส่งเสริมสุขภาพ


- การแสดงบทบาทสมมุติ
ขั้นตอนการดําเนินกิจกรรม
1. วิทยากรนําเข้าสู่บทเรียน ด้วยสไลด์ สื่อ วีดีทัศน์ หรือส่ือการเรียนการสอนอ่ืนๆ เพ่ือให้ผู้เรียน เกิดความสนใจ กระตุ้นเข้าสู่บทเรียน
2. วิทยากรบรรยายและเป็นการมีส่วนร่วมของผู้เรียน
3. แบ่งกลุ่มผู้เข้ารับการอบรมตามความเหมาะสม ในการแสดงบทบาทสมมุติ ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วม ในการแสดงและแสดงความคิดเห็น
4. ผู้เข้ารับการอบรมนําเสนอผลการประชุมกลุ่มหรือสิ่งที่ได้จากการแสดงบทบาทสมมุติ 5. วิทยากรสรุปผลเรียน
ส่ือประกอบการเรียน / อุปกรณ์
1. สื่ออิเล็กทรอนิกส์แผ่นพับโปสเตอร์ภาพพลิก
2. สื่อการเรียนการสอนในการแสดงบทบาทสมมุติ ได้แก่ ชุดปฐมพยาบาลเบ้ืองต้น เครื่องมือในการ ทําแผล ไม้ค้ํายัน เปลสําหรับเคล่ือนย้ายผู้ป่วย (เปลสนาม)
คําแนะนําสําหรับวิทยากร
วิทยากรควรเตรียมส่ืออุปกรณ์ต่างๆ ให้พร้อม เพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนสนใจ และเกิด การเรียนการสอน แบบมีส่วนร่วม โดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
การประเมินผล
1. จากการสังเกตในการเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆของผู้เรียน 2. การซัก–ถาม
คู่มือแนวทางการอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุระยะยาว
34
สํานักส่งเสริมสุขภาพ


ใบความรู้ที่ 4.1
เร่ือง การประเมินภาวะวิกฤติ การหมดสติ เป่าปากช่วยหายใจ และนวดหัวใจ การเป็นลม
การดูแลในภาวะวิกฤติเป็นการดูแลช่วยเหลือผู้ท่ีประสบภาวะคุกคามถึงชีวิต ทางด้านร่างกาย ผู้ดูแล ผู้สูงอายุมีบทบาทในการดูแลช่วยเหลือ ปฐมพยาบาลเบ้ืองต้นให้ผ่านพ้นภาวะวิกฤติของชีวิตนับว่าเป็นสิ่งท่ี ท้าทายอย่างยิ่ง ซ่ึงผู้ดูแลผู้สูงอายุต้องประเมินผู้สูงอายุในการดูแลช่วยเหลือเพื่อป้องกันปัญหาหรือแก้ไขปัญหา ที่อาจจะเกิดขึ้น หรือเกิดข้ึนแล้ว พร้อมทั้งทํานายปัญหาที่อาจะเกิดขึ้นได้ ภายใต้ความรู้พื้นฐาน ร่วมกับการ ประเมิน
แนวทางการประเมินภาวะวิกฤติ
1. ข้อมูลของผู้สูงอายุ เช่น ข้อมูลการเจ็บป่วยอดีตและปัจจุบัน การวินิจฉัยโรคของแพทย์ สัญญารับ และสถานทั่วไปของผู้สูงอายุ
2. ประเมินภาวะวิกฤติจากการสังเกต
ด้านการติดต่อส่ือสาร ได้แก่ การมองเห็น การได้ฝัน การรับรู้สัมผัส การพูด การเขียน ความ
สามารถ ในการแสดงท่าทาง
ด้านการกระตุ้น ได้แก่ อารมณ์และพฤติกรรมที่แสดงออก ตามปฏิกิริยาต่อแสงอย่างไร แขนขา
มีความรู้สึก ความสามารถในการเคลื่อนไหวอย่างไร
3. การหายใจ ได้แก่ การดูรูปร่างของทรวงอกเปล่ียนแปลงไปอย่างไร เสียงหายใจ อาการแสดงอ่ืนๆ
เช่น อาการเขียว น้ิวบุ๋ม การใช้กล้ามเนื้อและคอในการหายใจ
การปฐมพยาบาล หมายถึง การให้ความช่วยเหลือต่อผู้บาดเจ็บ หรือเจ็บป่วย ณ สถานที่เกิดเหตุ
โดยใช้อุปกรณ์เท่าที่หาได้ในขณะน้ัน ก่อนท่ีผู้บาดเจ็บจะได้รับการดูแลจากบุคลากรทางการแพทย์หรือก่อนนําตัว ส่งไปรักษาทางโรงพยาบาลต่อไป การปฐมพยาบาลที่ดี ผู้ช่วยเหลือควรได้รับการปฐมพยาบาลอย่างถูกต้อง รวดเร็ว นุ่มนวล และต้องคํานึงถึงสภาพจิตใจของผู้บาดเจ็บควรได้รับการปลอบปราโลม และให้กําลังใจ เพื่อ สร้างความมั่นใจและได้รับการดูแลช่วยเหลืออย่างปลอดภัย
การหมดสติ
การหมดสติ เป็นสิ่งสําคัญมาก สําหรับผู้ที่จะต้องปฐมพยาบาล เพราะการหมดสติจะเป็นอันตราย ต่อชีวิต ซึ่งแบ่งได้ 2 พวก คือ การหมดสติพร้อมกับมีอาการหายใจลําบาก หรืออาจหยุดหายใจ และหมดสติ แต่ยังมีการหายใจ เป็นพวกที่มีอาการชัก ได้แก่ ลมบ้าหมู เกิดจากโลหิตเป็นพิษ หรือโรค เช่น อิสทีเรีย พวกไม่มี อาการชัก ได้แก่ ช็อค เป็นลม เมาเหล้า เบาหวาน และเส้นโลหิตในสมองแตก
คู่มือแนวทางการอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุระยะยาว
35
สํานักส่งเสริมสุขภาพ


ลักษณะการหมดสติ มี 2 ลักษณะ คือ อาการซึม มึนงง เขย่าตัวอาจต่ืน งัวเงียแล้วหลับ พูดได้บ้าง แต่ฟังไม่ได้ศัพท์ และลักษณะอาการหมดความรู้สึกทุกอย่าง เป็นการหมดความรู้สึก แม้แต่เขย่าตัวก็ไม่ฟื้น
การปฐมพยาบาลผู้ป่วยหมดสติ ให้ดูว่าผู้ป่วยหายใจหรือไม่ ถ้าหยุดหายใจ ช่วยฟื้นคืนชีพโดยการนวด หัวใจ ถ้ามีเลือดออกจับให้นอนหงาย เอียงหน้าไปด้านใดด้านหนึ่ง เพ่ือเป็นการป้องกันไม่ให้ล้ินตกไปด้านหลัง ลําคอ ซึ่งอุดกั้นทางเดินหายใจ และป้องกันไม่ให้อาเจียนไหลเข้าสู่หลอดลม การจัดท่านอน ถ้าผู้ป่วยหน้าแดง ควรให้นอนศรีษะสูง ถ้าสีหน้าซีดให้นอนหงายเหยียดขาและแขน เพราะอาจมีกระดูกหักได้ หากต้องการ เคลื่อนย้ายต้องระมัดระวังไม่ให้ดื่มน้ํา หรือรับประทานยาใดๆ ตรวจดูบาดแผลโดยเฉพาะบริเวณศรีษะ หากมี อาการชักให้ใช้ผ้าม้วน ด้ามช้อนใส่เข้าไประหว่างฟัน เพื่อป้องกันไม่ให้กัดล้ินตนเอง ให้หาสาเหตุท่ีทําให้หมดสติ และประวัติการเกิดอุบัติเหตุ เพื่อแจ้งให้หมอท่ีทําการรักษาทราบ (1)
เป่าปากช่วยหายใจและนวดหัวใจ
ถ้าผู้สูงอายุหมดสติทันที คลําชีพจรที่คอไม่ได้และหายใจ ให้ทุบกลางหน้าอก 1-2 ครั้ง ถ้ายังไม่หายใจ และยังคลําชีพจรไม่ได้ ให้เป่าปากช่วยหายใจ และนวดหัวใจด้วย โดยวางสันมือลงบนกระดูกกลางอกเหนือลิ้นป่ี 2 นิ้ว โน้มตัวให้ตั้งฉากกับมือท้ังสองท่ีกดหน้าอกเพ่ือทอดน้ําหนักตัวลงบนแขน 2 ข้าง ได้สะดวก (นับจํานวนที่ กดทุกครั้ง หนึ่ง สอง สาม สี่ และห้า...) กดลงด้วยน้ําหนักที่ทําให้กระดูกหน้าอกยุบลงประมาณ 3-5 เซนติเมตร ด้วยอัตรา 80 ครั้ง/นาที เป่าลมเข้าปอดให้ถูกต้อง 2 ครั้ง สลับกับการกดหน้าอก 15 คร้ัง (กรณีผู้ช่วยชีวิต 1 คน) ในกรณีผู้ช่วยชีวิต 2 คน ผู้ช่วยชีวิตคนที่สองเป่าลมเข้าเข้าปอด 1 คร้ัง หลังจากการกดหน้าอกทุกๆ 5 คร้ัง โดย ไม่ต้องหยุดการกดหน้าอก แล้วรีบพาไปหาหมอ ขณะเดินทางต้องเป่าปาก และช่วยหายใจไปด้วย
เป่าปากช่วยหายใจ ถ้าหายใจไม่ออก หรือหยุดหายใจ
1. จัดท่าผู้ป่วยให้นอนหงาย
2. ใช้ของหนุนไหล่ให้สูงหรือใช้มือยกคอให้สูงขึ้นโดยให้ศีรษะตกหงายไปข้างหลัง
3. เปิดช่องปากออกเช็ดน้ํามูกน้ําลายและล้างเอาสิ่งอุดตันในปากออก
4. ผู้ช่วยหายใจหายใจเข้าเต็มปอดของตน
5. ประกอบปากลงไปบนปากของผู้ป่วยจนสนิท
6. บีบจมูกผู้ป่วยให้แน่น
7. เป่าลมเข้าไปในปากผู้ป่วยให้เต็มที่สังเกตดูท่ีหน้าอกจะขยายขึ้นตามจังหวะการเป่า 8. ผู้ช่วยหายใจจงทําซ้ําเริ่มตั้งแต่ข้อ4-8ใหม่ประมาณนาทีละ12ครั้ง
การเป็นลม
การเป็นลม เป็นอาการท่ีเกิดขึ้นเนื่องจากเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอช่ัวคราว ทําให้ผู้ป่วยเป็นลม หมดสติไปช่ัวครู่ มักมีอาการซึม เวียนศีรษะ และมีอาการตัวซีดเย็นเฉียบร่วมด้วย ความรู้สึกเช่นนี้อาจเกิดข้ึนโดย ไม่หมดสติก็ได้ การตกใจรุนแรง ภาวะน้ําตาลในเลือดต่ํา อาจทําให้ความดันโลหิตลดลง และรู้สึกจะเป็นลมได้ การเป็นลมอย่างเดียวโดยไม่มีอาการอ่ืนแทรกน้ัน เป็นเรื่องที่ไม่น่าวิตก แต่ถ้าเป็นลมบ่อยๆ หรือมีอาการอ่ืนๆ ร่วมด้วย จําเป็นอย่างยิ่งท่ีต้องปรึกษาแพทย์ ดังน้ันถ้าการเป็นลม หมดสติไปชั่วคราว เป็นสิ่งที่ไม่น่ากังวล แต่ถ้า
คู่มือแนวทางการอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุระยะยาว
36
สํานักส่งเสริมสุขภาพ


หมดสติไปนานแต่หายใจได้ดี และรู้สึกตัวภายใน 2-3 นาที หายใจไม่ดี ไม่สม่ําเสมอ หรือหายใจช้าผิดปกติ ต้อง นําส่งโรงพยาบาลทันที และระหว่างทางไปโรงพยาบาล ควรอยู่ในท่านอนกึ่งคว่ําเพื่อป้องกันไม่ให้ทางเดินหายใจ อุดตัน
เอกสารและสื่ออ้างอิง
ศศิษมา จันทรพงษ์ (2550) คู่มือการปฐมพยาบาลเบื้องต้น พิมพ์ครั้งท่ี 1 กรุงเทพ : ห้างหุ้นส่วน สามัญ สํานักพิมพ์ บุ๊คเพรส และบริษัท ดาวกมลสมัย จํากัด.
คู่มือแนวทางการอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุระยะยาว
37
สํานักส่งเสริมสุขภาพ


ใบความรู้ที่ 4.2
เร่ือง การห้ามเลือด
การตกเลือด (bleeding) หมายถึง การมีเลือดไหลออกจากเส้นเลือดหรือหลอดเลือดที่ฉีกขาด ถ้ามีเลือดออกมากเกินไปจะทําให้เกิดอาการช็อค และอาจถึงแก่ความตายได้ ถ้าไม่ได้รับการปฐมพยาบาลและ แก้ไม่ทันท่วงที การตกเลือดแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ
1. การตกเลือดภายนอก เราสามารถมองเห็นเลือดที่ออกมาได้ เช่น ท่ีบริเวณผิวหนัง โดยเฉพาะ บาดแผลที่ ศีรษะ และลําตัว
2. การตกเลือดภายใน หรือเลือดตกใน ไม่สามารถเห็นได้จากภายนอก เกิดจากบาดแผลในร่างกาย ได้แก่ อวัยวะภายในช่องท้อง เช่น ตับ ม้าม ฯ เลือดออกในสมองเป็นต้น จะมีอาการแสดงออกของการที่มีเลือด ตกในให้มาเห็นหรือเราสามารถทราบได้
อาการแสดงของการตกเลือด
1. มีอาการซีดลงไปมากขึ้นเร่ือยๆ สังเกตได้ท่ีผิวหนังทั่วๆ ไป เล็บ ริมฝีปาก ฝ่ามือ และท่ีสามารถ เห็นได้ชัดเจน คือ เปลือกตาด้านใน โดยเปิดเปลือกตาล่างดู จะเห็นว่ามีสีซีดชัดเจน
2. เวียนศีรษะหน้ามืดตาลายหูอื้อใจสั่นและอ่อนเพลีย
3. มีเหง่ือออกทั่วตัวมือเท้าเย็นซีดและหนาวส่ัน
4. หัวใจเต้นเร็วถ้าจับชีพจรดูจะพบว่าเต้นเร็วแต่เบากว่าปกติ
5. หายใจเร็วถ่ีตื่นและหอบ
6. กระหายน้ํากระสับกระส่าย
7. สลบ และหมดสติ ถ้ายังไม่สามารถห้ามเลือด หรือแก้ไขทดแทนเลือดที่สูญเสียไปได้ ผู้ป่วยจะ
ถึงแก่ความตายในท่ีสุด
หลักการปฐมพยาบาล
1. ให้นอนนิ่งๆ และให้ศีรษะอยู่ในแนวราบหรือต่ํา ยกปลายขาท้ังสองข้างให้สูง เพื่อให้เลือดไปเล้ียง สมองได้มากที่สุด
2. ทําการห้ามเลือดโดยเร็วที่สุดโดยวิธีใดวิธีหน่ึง
3. ถ้าไม่รู้สึกตัวให้ระวังเรื่องทางเดินหายใจอย่าให้อุดตันถ้าไม่หายใจให้ทําการผายปอดทันที 4. ให้การปฐมพยาบาลส่วนอื่นๆเท่าที่จําเป็นและต้องทําด้วยความรวดเร็ว
5. สังเกตอาการนับชีพจรและการหายใจอยู่ตลอดเวลา
6. นําตัวส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด
คู่มือแนวทางการอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุระยะยาว
38
สํานักส่งเสริมสุขภาพ


การปฐมพยาบาลการตกเลือด (ห้ามเลือด) ภายนอก
1. กดลงบนแผลหรือตําแหน่งท่ีมีเลือดออก โดยใช้นิ้วมือ หรือผ้าสะอาด ควรให้ผู้ป่วยนอนและยก ส่วนแขนหรือขาที่มีเลือดออกให้อยู่สูงเท่าหน้าอกหรือหัวใจเพราะจะทําให้เลือดไหลสู่บริเวณบาดแผลน้อยลง ทําให้เลือดหยุดได้ง่าย
2. กดเส้นเลือดใหญ่ที่มาสู่บริเวณบาดแผลน้ัน ใช้ในกรณีที่เลือดออกมากเพื่อไม่ให้เลือดไหลมาสู่แผล เลือดที่ออกมาก่อนจะได้มีโอกาสแข็งตัวของมันเอง ทําให้เป็นการห้ามเลือดไปในตัว
3. การขันชะเนาะ หรือเรียกว่า “การใช้ทูนิเกต์” เป็นการใช้เครื่องรีดเพื่อไม่ให้มีเลือดไหลไปสู่บริเวณ บาดแผลท่ีมีเลือดออกนั้น ใช้ได้ในกรณีการห้ามเลือดท่ีแขนและขาท่ีมีเลือดออกมาก และไม่สามารถทําการห้าม เลือดได้ดังสองวิธีที่ได้กล่าวมาแล้ว เช่น แผลแหวะหวะกว้างใหญ่ หรือมีกระดูกหักร่วมด้วย
เอกสารและสิ่งอ้างอิง
ธีรวัฒน์ กุลทมันน์ พิมพ์ครั้งที่ 3 (2542) การปฐมพยาบาลเน่ืองจากการบาดเจ็บจากการกีฬา บริษัทโรงพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช จํากัด กรุงเทพมหานคร 2542.
คู่มือแนวทางการอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุระยะยาว
39
สํานักส่งเสริมสุขภาพ


การหกล้ม
ใบความรู้ท่ี 4.3
เรื่อง หกล้ม กระดูกหัก ข้อเท้าแพลง
ความสําคัญของการป้องกันภาวการณ์หกล้มในผู้สูงอายุ
อัตราการหกล้มแตกต่างกันขึ้นกับลักษณะของชุมชน โดยอัตราการหกล้มจะต่ําสุดในผู้ที่มีอายุ 65 ปี ขึ้นไป ที่มีสุขภาพดีในชุมชน เฉล่ียแล้วผู้สูงอายุไทยจะหกล้มประมาณร้อยละ 20 สิ่งแวดล้อมที่ผู้สูงอายุหกล้ม ส่วนใหญ่มักเกิดในเวลากลางวัน เกิดภายนอกบริเวณสวน ร้อยละ 58 รองลงมาเป็นภายในบ้าน ร้อยละ 27 มักหกล้ม ขณะเดินลงบันไดมากกว่าการเดินขึ้นบันได ส่วนภาวะการหกล้มในบ้าน คนชรามักเกิดในสัปดาห์แรกที่เข้าไปอยู่
ผลกระทบต่อสุขภาพ
ในด้านผลแทรกซ้อนหลังหกล้ม พบว่าผู้สูงอายุที่อยู่ในชุมชนที่หกล้มประมาณร้อยละ 5-10 มีการ บาดเจ็บที่รุนแรง เช่น ภาวะกระดูกหัก การบาดเจ็บของสมอง หรือท่ีผิวหนังอย่างรุนแรง โดยที่ร้อยละ 3.5-6 ของภาวะหกล้ม ทําให้มีภาวะกระดูกหักในด้านผลระยะยาว สําหรับผู้ที่หกล้ม และมีกระดูกข้อสะโพกหัก จะมี อัตราการเสียชีวิต ถึงร้อยละ 20-30 เมื่อติดตามกลุ่มนี้เป็นระยะเวลา 1 ปี และมีถึงร้อยละ 25-75 ที่สูญเสีย ความสามารถในการดําเนินกิจวัตรประจําวัน ผลทางด้านจิตใจ เกิดภาวะซึมเศร้า ตลอดจนสูญเสียความม่ันใจ ในการเดิน ผู้สูงอายุที่มีประวัติหกล้มมาภายใน 6 เดือน จึงมีคุณภาพชีวิตที่ไม่ดี (ประเสริฐ อัสสันตชัย (2554) ปัญหา สุขภาพที่พบบ่อยในผู้สูงอายุและการป้องกัน, พิมพ์คร้ังที่ 2 บริษัท ยูเน่ียน ครีเอชั่น จํากัด กรุงเทพมหานคร 2554)
การป้องกันภาวะหกล้ม
1. ส่งเสริมสุขภาพและคงไว้ซ่ึงสุขภาพดี รวมทั้งดูแลแนะนําให้ผู้สูงอายุมีการปรับเปล่ียนพฤติกรรม และสิ่งแวดล้อมเพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นได้
2. ป้องกันภาวะหกล้มในผู้สูงอายุท่ีมีแนวโน้มจะหกล้มได้ง่าย โดยแนะนําให้ตรวจสุขภาพเพื่อ แพร่กระจายได้ ให้การดูแลรักษาทั้งปัจจัยเส่ียง และปัจจัยกระตุ้นต่อการหกล้ม
3. การป้องกันภาวะแทรกซ้อนและความพิการหลังภาวะหกล้ม เช่น ภาวะกระดูกหัก หรือภาวะท่ี กระทบต่อความสามารถในการดําเนินชีวิตประจําวัน ทั้งป้องกันภาวะการหกล้มซ้ําซ้อน
กระดูกหัก
ภาวะฉุกเฉินของกระดูกและข้อ หลังเกิดอุบัติเหตุต้องคํานึงถึงไม่ว่าจะมีการหักของกระดูกรูปยาว แต่ถ้ามีการบาดเจ็บที่ทําให้กระดูกเชิงกรานหัก ก็อาจมีอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ จากการบาดเจ็บ อวัยวะภายใน หรือเสียเลือดมาจากกระดูกหักเอง นอกจากนี้ทําให้เกิดการสูญเสียหน้าที่ถาวร เนื่องจากเส้นเลือด เส้นประสาท ท่ีอยู่ส่วนปลายถูกกด
เอกสารและสิ่งอ้างอิง
สุดาพรรณ ธัญจิรา, วนิดา ออประเสริฐศักด์ิ พิมพ์ครั้งท่ี 3 (2546) “การพยาบาลฉุกเฉินและ อุบัติภัยหมู่” สมช ที่ บริษัท สามเจริญพาณิชย์ (กรุงเทพ) จํากัด, กรุงเทพมหานคร
คู่มือแนวทางการอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุระยะยาว
40
สํานักส่งเสริมสุขภาพ


วัตถุประสงค์การเรียนรู้
• วัตถุประสงค์ทั่วไป
เร่ือง การช่วยเหลือผู้สูงอายุเบ้ืองต้น
เพ่ือให้ผู้เข้าอบรมมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการดูแลช่วยเหลือผู้สูงอายุเบ้ืองต้น
• วัตถุประสงค์เฉพาะ
เม่ือสิ้นสุดการอบรมแล้ว ผู้เข้าอบรมมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการดูแลช่วยเหลือผู้สูงอายุเบ้ืองต้น สามารถดูแลช่วยเหลือผู้สูงอายุได้อย่างถูกต้อง มีประสิทธิภาพ
เนื้อหาวิชา
การช่วยเหลือผู้สูงอายุเบื้องต้น
1. การประเมินความสามารถในการประกอบกิจวัตรประจําวัน (Barthel Activities of Daily Living: ADL) ซึ่งประยุกต์โดยกรมอนามัย : ใบความรู้ที่ 5.1
2. การตรวจร่างกายเบื้องต้น (การตรวจชีพจร ความดันโลหิต อุณหภูมิร่างกาย และการนับ หายใจ) : ใบความรู้ที่ 5.2
3. อาการเจ็บป่วยที่พบบ่อยในผู้สูงอายุและการปฐมพยาบาลเบ้ืองต้น:ใบความรู้ท่ี5.3 1) อาการหน้ามืด-วิงเวียน-เป็นลม
2) อาการลมชัก
3) อาการท้องร่วง/ท้องเสียอาหารเป็นพิษและโรคกระเพาะอาหาร
4) อาการเป็นลมหมดสติ
5) อาการบาดเจ็บมีบาดแผล
6) การดูแลผู้สูงอายุที่มีอาการปวดศีรษะ/เวียนหัวเป็นหวัดและภูมิแพ้
ระยะเวลา ทฤษฎี 10 ชั่วโมง ปฏิบัติ 14 ชั่วโมง
วิธีการสอน
- การบรรยาย
- การซักถาม
- การแสดงบทบาทสมมติ/การฝึกปฏิบัติ
คู่มือแนวทางการอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุระยะยาว
แผนการสอนที่ 5
41
สํานักส่งเสริมสุขภาพ


ขั้นตอนการดําเนินกิจกรรม
1. วิทยากรนําเข้าสู่บทเรียนเรื่องการประเมินความสามารถในการประกอบกิจวัตรประจําวัน (Barthel Activities of Daily Living : ADL) ซึ่งประยุกต์โดยกรมอนามัย การตรวจร่างกายเบื้องต้น และอาการ เจ็บป่วยที่พบบ่อยในผู้สูงอายุและการปฐมพยาบาลเบื้องต้น (ตามใบความรู้ท่ี 5.1, 5.2, 5.3)
2. แบ่งกลุ่มผู้เข้าอบรมเป็น 2-3 กลุ่ม เพื่อสาธิตโดยการแสดงบทบาทสมมติและฝึกปฏิบัติ ในเร่ือง การตรวจร่างกายเบื้องต้น แสดงบทบาทเป็นผู้สูงอายุที่เจ็บป่วยและการปฐมพยาบาลเบื้องต้น
3. สรุปกิจกรรมการฝึกปฏิบัติ บทเรียนจากการเรียนรู้ภายในกลุ่มและนําเสนอในการอบรมเพื่อ เป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
สื่อประกอบการการเรียน / อุปกรณ์
ไฟล์นําเสนอ แผ่นพับ โปสเตอร์ ภาพพลิก และอุปกรณ์อื่นๆ
คําแนะนําสําหรับวิทยากร (ถ้ามี)
องค์ความรู้และกิจกรรมควรเน้นการประยุกต์ข้อมูลทฤษฎีที่ทันสมัยเพื่อนํามาสู่การวางแผนที่เหมาะ สมในการช่วยเหลือผู้สูงอายุเบื้องต้น
การประเมินผล - ทดสอบความรู้
- การสังเกต การซักถาม
- ผลจากการทํากิจกรรมและฝึกปฏิบัติ
คู่มือแนวทางการอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุระยะยาว
42
สํานักส่งเสริมสุขภาพ


ใบความรู้ท่ี 5.1
เรื่อง การประเมินความสามารถในการประกอบกิจวัตรประจําวัน (Barthel Activities of Daily Living : ADL) ซ่ึงประยุกต์โดยกรมอนามัย
การดูแลสุขภาพผู้สูงอายุระยะยาว (Long Term Care)
นิยาม : เป็นกิจกรรมที่ผู้ดูแล อาจเป็นบุคลากรวิชาชีพทางด้านสุขภาพ สวัสดิการและอ่ืนๆ หรือ ประชาชนทั่วไป ท้ังครอบครัว เพื่อน และเพ่ือนบ้าน ด้วยการจัดการและการปฏิบัติต่อบุคคลท่ีไม่สามารถดูแล ตนเองได้ ให้สามารถประกอบกิจวัตรประจําวัน (Activity of daily living : ADL) และอยู่ในสังคมได้โดยมี คุณภาพชีวิตดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยคํานึงถึงความเป็นตัวของตัวเอง ความเป็นอิสระและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
การประเมิน Barthel Activities of Daily Living : ADL 10 ข้อ
1. Feeding(รับประทานอาหารเมื่อเตรียมสํารับไว้ให้เรียบร้อยต่อหน้า)
 0. ไม่สามารถตักอาหารเข้าปากได้ ต้องมีคนป้อนให้
 1. ตักอาหารเองได้แต่ต้องมีคนช่วย เช่น ช่วยใช้ช้อนตักเตรียมไว้ให้หรือตัดเป็นเล็กๆไว้ล่วงหน้า 2. ตักอาหารและช่วยตัวเองได้เป็นปกติ
2. Grooming(ล้างหน้าหวีผมแปรงฟันโกนหนวดในระยะเวลา24-28ชั่วโมงที่ผ่านมา)
0. ต้องการความช่วยเหลือ
 1. ทําเองได้ (รวมท้ังท่ีทําได้เองถ้าเตรียมอุปกรณ์ไว้ให้)
3. Transfer(ลุกนั่งจากที่นอนหรือจากเตียงไปยังเก้าอ้ี)
 0. ไม่สามารถนั่งได้ (นั่งแล้วจะล้มเสมอ) หรือต้องใช้คนสองคนช่วยกันยกขึ้น
 1. ต้องการความช่วยเหลืออย่างมากจึงจะนั่งได้ เช่น ต้องใช้คนที่แข็งแรงหรือมีทักษะ 1 คน หรือ
ใช้คนทั่วไป 2 คนพยุงหรือดันขึ้นมาจึงจะนั่งอยู่ได้
 2. ต้องการความช่วยเหลือบ้าง เช่น บอกให้ทําตาม หรือช่วยพยุงเล็กน้อย หรือต้องมีคนดูแลเพื่อ
ความปลอดภัย 3. ทําได้เอง
4. Toiletuse(ใช้ห้องน้ํา)
0. ช่วยตัวเองไม่ได้
 1. ทําเองได้บ้าง (อย่างน้อยทําความสะอาดตัวเองได้หลังจากเสร็จธุระ) แต่ต้องการความช่วยเหลือ
ในบางสิ่ง
 2. ช่วยตัวเองได้ดี (ข้ึนนั่งและลงจากโถส้วมเองได้ ทําความสะอาดได้เรียบร้อยหลังจากเสร็จธุระ
ถอดใส่เสื้อผ้าได้เรียบร้อย)
5. Mobility(การเคลื่อนท่ีภายในห้องหรือบ้าน)
0. เคล่ือนที่ไปไหนไม่ได้
 1. ต้องใช้รถเข็นช่วยตัวเองให้เคลื่อนที่ได้เอง (ไม่ต้องมีคนเข็นให้) และจะต้องเข้าออกมุมห้องหรือ
ประตูได้
คู่มือแนวทางการอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุระยะยาว
43
สํานักส่งเสริมสุขภาพ


 2. เดินหรือเคลื่อนที่โดยมีคนช่วย เช่น พยุง หรือบอกให้ทําตาม หรือต้องให้ความสนใจดูแลเพื่อ ความปลอดภัย
3. เดินหรือเคล่ือนท่ีได้เอง
6. Dressing(การสวมใส่เสื้อผ้า)
 0. ต้องมีคนสวมใส่ให้ ช่วยตัวเองแทบไม่ได้หรือได้น้อย
 1. ช่วยตัวเองได้ประมาณร้อยละ 50 ที่เหลือต้องมีคนช่วย
 2. ช่วยตัวเองได้ดี (รวมทั้งการติดกระดุม รูดซิบ หรือใช้เสื้อผ้าที่ดัดแปลงให้เหมาะสมก็ได้) 7. Stairs(การขึ้นลงบันได1ชั้น)
0. ไม่สามารถทําได้
1. ต้องการคนช่วย
 2. ขึ้นลงได้เอง (ถ้าต้องใช้เคร่ืองช่วยเดิน เช่น walker จะต้องเอาข้ึนลงได้ด้วย)
8. Bathing(การอาบน้ํา)
0. ต้องมีคนช่วยหรือทําให้
1. อาบน้ําเองได้
9. Bowels(การกลั้นการถ่ายอุจจาระในระยะ1สัปดาห์ที่ผ่านมา)
 0. กลั้นไม่ได้ หรือต้องการการสวนอุจจาระอยู่เสมอ
 1. กลั้นไม่ได้บางครั้ง (เป็นน้อยกว่า 1 ครั้งต่อสัปดาห์)
2. กล้ันได้เป็นปกติ
10. Bladder (การกลั้นปัสสาวะในระยะ 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา)
 0. กลั้นไม่ได้ หรือใส่สายสวนปัสสาวะแต่ไม่สามารถดูแลเองได้
 1. กลั้นไม่ได้บางครั้ง (เป็นน้อยกว่าวันละ 1 คร้ัง)
2. กลั้นได้เป็นปกติ
เกณฑ์การประเมิน Barthel Activities of Daily Living : ADL
การจําแนกกลุ่มผู้สูงอายุเพื่อให้เหมาะสมกับการดําเนินงานดูแลส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุระยะยาว ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายตามกลุ่มศักยภาพ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ได้ประยุกต์จากเกณฑ์การ ประเมินความสามารถในการประกอบกิจวัตรประจําวัน ดัชนีบาร์เธลเอดีแอล (Barthel ADL index) ซึ่งมี คะแนนเต็ม 20 คะแนน ดังนี้
ผู้สูงอายุกลุ่มที่ 1 ผู้สูงอายุท่ีพึ่งตนเองได้ ช่วยเหลือผู้อ่ืน ชุมชนและสังคมได้ (กลุ่มติดสังคม) มีผลรวม คะแนน ADL ต้ังแต่ 12 คะแนนขึ้นไป
ผู้สูงอายุกลุ่มท่ี 2 ผู้สูงอายุท่ีดูแลตนเองได้บ้าง ช่วยเหลือตนเองได้บ้าง (กลุ่มติดบ้าน) มีผลรวม คะแนน ADL อยู่ในช่วง 5 - 11 คะแนน
ผู้สูงอายุกลุ่มที่ 3 ผู้สูงอายุกลุ่มที่พึ่งตนเองไม่ได้ ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ พิการ หรือทุพพลภาพ (กลุ่มติดเตียง) มีผลรวมคะแนน ADL อยู่ในช่วง 0 - 4 คะแนน
คู่มือแนวทางการอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุระยะยาว
44
สํานักส่งเสริมสุขภาพ


ใบความรู้ที่ 5.2
เร่ือง การตรวจร่างกายเบื้องต้น
(การตรวจชีพจร ความดันโลหิต อุณหภูมิร่างกาย และการนับหายใจ)
การตรวจวัดชีพจร
ชีพจรเป็นแรงสะเทือนของกระแสเลือด ซึ่งเกิดจากการบีบตัวของหัวใจห้องล่างด้านซ้าย ทําให้ผนัง ของหลอดเลือดแดงขยายออกเป็นจังหวะ เป็นผลให้สามารถจับชีพจรได้ตลอดเวลา ในผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ อัตราการเต้นของชีพจร 60-100 (เฉล่ีย 80 ครั้ง/นาที)
ภาวะอัตราการเต้นของชีพจรผิดปกติ คือ ภาวะที่อัตราการเต้นของหัวใจมากกว่า 100 คร้ัง/นาที หรือ ภาวะท่ีอัตราการเต้นของหัวใจน้อยกว่า 60 ครั้ง/นาที
ตําแหน่งชีพจร
1) อยู่ข้อมือด้านในบริเวณกระดูกปลายแขนด้านนอกหรือด้านหัวแม่มือ เป็นตําแหน่งท่ีนิยมจับชีพจร มากที่สุด เพราะเป็นที่ที่จับได้ง่ายและไม่รบกวนผู้ป่วย
2) อยู่บริเวณขาหนีบ
3) อยู่บริเวณข้อพับเข่าอยู่ตรงกลางข้อพับเข่า,หาค่อนข้างยากแต่ถ้างอเข่าก็สามารถคลําได้ง่ายข้ึน
ข้อควรจําในการวัดชีพจร
1) ไม่ใช้น้ิวหัวแม่มือคลําชีพจร เพราะหลอดเลือดที่นิ้วหัวแม่มือเต้นแรงอาจทําให้สับสนกับชีพจรของ
ตนเอง
2) ไม่ควรวัดชีพจรหลังผู้ป่วยมีกิจกรรมควรให้พัก5-10นาที
3) อธิบายผู้ป่วยว่าไม่ควรพูดขณะวัดชีพจรเพราะจะรบกวนการได้ยินเสียงชีพจรและอาจทําให้สับสน
การวัดความดันโลหิต
1. ค่าความดันโลหิตปกติของผู้สูงอายุ โดยท่ัวไป ถือว่าค่าความดันตัวบนไม่เกิน 140 มิลลิเมตร ปรอท และค่าความดันตัวล่างไม่เกิน 90 มิลลิเมตรปรอท
2. ความดันโลหิตที่“อยู่ในเกณฑ์ปกติ”คือต่ํากว่า130/85มม.ปรอท
ความดันโลหิตสูงเล็กน้อย แต่ยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ คือ 130-139/85-89 มม.ปรอท ความดันโลหิตสูงเมื่อ ความดันโลหิตตัวบนมากกว่า (หรือเท่ากับ) 140 และตัวล่างมากกว่า (หรือ
เท่ากับ) 90 มม.ปรอท
3. ก่อนที่จะวินิจฉัยว่าผู้ป่วยมีความดันโลหิตสูง แพทย์จะต้องวัดซ้ําหลายๆ ครั้ง หลังจากให้ผู้ป่วย
พักแล้ว วัดซ้ําจนกว่าจะแน่ใจว่าสูงจริง และเทคนิคการวัดความดันโลหิตต้องกระทําให้ถูกต้องครบถ้วน
คู่มือแนวทางการอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุระยะยาว
45
สํานักส่งเสริมสุขภาพ


Click to View FlipBook Version