The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิจัยในชั้นเรียน เรื่อง การพัฒนาทักษะการย่ำเท้าตามจังหวะ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนอนุบาลวัดอ่างทอง

นางสาววชิราภรณ์ สิงห์เถื่อน ปริญญาตรีปี 4 รหัสนักศึกษา 3034621001
ฝึกปฏิบัติงานในสถานศึกษา : โรงเรียนอนุบาลวัดอ่างทอง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by wachirapornkhawpod, 2023-02-13 08:28:17

วิจัยในชั้นเรียน

วิจัยในชั้นเรียน เรื่อง การพัฒนาทักษะการย่ำเท้าตามจังหวะ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนอนุบาลวัดอ่างทอง

นางสาววชิราภรณ์ สิงห์เถื่อน ปริญญาตรีปี 4 รหัสนักศึกษา 3034621001
ฝึกปฏิบัติงานในสถานศึกษา : โรงเรียนอนุบาลวัดอ่างทอง

เรื่อง การพัฒนาทักษะการย่ำเท้าตามจังหวะ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนอนุบาลวัดอ่างทอง นางสาววชิราภรณ์ สิงห์เถื่อน นักศึกษาฝึกปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา โรงเรียนอนุบาลวัดอ่างทอง งานวิจัยเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรศึกษาศาสตร์บัณฑิต (4ปี) สาขานาฏศิลป์ศึกษา ภาควิชานาฏศิลป์ศึกษา คณะศิลปศึกษา ห้องเรียนเครือข่ายวิทยาลัยนาฏศิลปอ่างทอง สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ พุทธศักราช 2565


ก บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาทักษะการย่ำเท้าโดยใช้นวัตกรรมแบบฝึกพัฒนาทักษะการย่ำ เท้า และศึกษาผลการพัฒนาทักษะการย่ำเท้าของนักเรียน ดำเนินการวิจัยโดยระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ ประชากรกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนอนุบาลวัดอ่างทอง จำนวน 7 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ 1) แบบสังเกตพฤติกรรมแบบมีส่วนร่วม และ 2) แบบทดสอบทักษะการย่ำเท้า วิเคราะห์ข้อมูลความแตกต่างของคะแนนก่อน – หลังเรียนด้วยวิธี Wilcoxon Signed ranks test ผลการวิจัย พบว่า 1. นักเรียนมีความเข้าใจในเข้าใจในจังหวะทำนองเพลงมากขึ้น มีพัฒนาการการย่ำเท้าที่ ตรงจังหวะและทำนองเพลงที่ดีขึ้น 2. ผลรวมของคะแนนหลังเรียนมีความแตกต่างจากคะแนนก่อนเรียนที่0>2 มีความแตกต่างอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 คำสำคัญ แบบฝึกทักษะการย่ำเท้า, การย่ำเท้า


ข กิตติกรรมประกาศ งานวิจัยฉบับนี้สำเร็จลุล่วงได้ด้วยความกรุณาจาก นายสมพงษ์ เมืองวัฒนะ ผู้อำนวยการโรงเรียน อนุบาลอ่างทอง ที่ให้การอนุมัติในการดำเนินการวิจัย ตลอดจนได้รับความกรุณาจาก รองศาสตราจารย์ดร. สุขสันติ แวงวรรณ นายณัฐพันธุ์ ยนต์วิสูตร (อารจารย์นิเทศก์) และนางสาวพัสสมน วงษ์ทองดีพสุ (ครูพี่เลี้ยง) ที่ให้ความกรุณาเป็นที่ปรึกษาในการดำเนินการวิจัย ให้คำแนะนำและแนวคิดหลายประการ ทำให้ งานวิจัยฉบับนี้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ผู้วิจัยขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงมา ณ โอกาสนี้ ขอขอบพระคุณ ณัฐนิรันดร์ ปอศิริที่กรุณาให้ความอนุเคราะห์ในการเก็บรวบรวมข้อมูล และให้คำแนะนำหลายประการ ขอขอบพระคุณบิดา มารดาและครอบครัวอันเป็นที่รักยิ่งผู้มีพระคุณทุกท่านที่ให้การสนับสนุน เป็น กำลังใจ ให้ความช่วยเหลือเป็นอย่างดีเสมอมา ขอขอบคุณนักเรียน โรงเรียนอนุบาลวัดอ่างทอง ที่สมัครใจให้ความร่วมมือในการเข้าร่วมการวิจัยครั้ง นี้ตลอดจนขอขอบคุณเจ้าของบทความ วารสาร หนังสือ งานวิจัยที่เกี่ยวข้องที่ผู้วิจัยใช้ศึกษาค้นคว้า ในการดำเนินงานวิจัยฉบับนี้ทำให้การวิจัยสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี วชิราภรณ์ สิงห์เถื่อน


ค สารบัญ เนื้อหา หน้า บทคัดย่อ...........................................................................................................................................ก กิตติกรรมประกาศ.............................................................................................................................ข สารบัญ .............................................................................................................................................ค บทที่ 1 บทนำ...................................................................................................................................1 1.1 ที่มาและความสำคัญของปัญหา...........................................................................................1 1.2 คำถามการวิจัย....................................................................................................................2 1.3 วัตถุประสงค์........................................................................................................................2 1.4 วิธีการดำเนินวิจัย.................................................................................................................2 1.5 นิยามศัพท์เฉพาะ.................................................................................................................3 1.6 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ...................................................................................................3 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ............................................................................................4 2.1 พัฒนาการในเด็กวัยประถมศึกษาตอนต้น (6 - 8 ปี).............................................................4 2.2 วิชาดนตรีนาฏศิลป์..............................................................................................................5 2.3 การเคลื่อนไหวและจังหวะ...................................................................................................5 2.4 เพลงมาร์ช............................................................................................................................9 2.5 ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง...............................................................................................................10 2.6 กรอบแนวคิด.....................................................................................................................11 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย...............................................................................................................12 3.1 ประชากรและกลุ่มเป้าหมาย..............................................................................................13 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย.....................................................................................................13 3.3 การเก็บรวบรวมข้อมูล.......................................................................................................13 3.4 การวิเคราะห์ข้อมูล............................................................................................................14


ง สารบัญ (ต่อ) เนื้อหา หน้า 3.5 สถิติที่ใช้ในการวิจัย............................................................................................................14 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล.........................................................................................................16 4.1 สัญลักษณ์ที่ใช้ในการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล..........................................................16 4.2 ลำดับขั้นตอนในการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล...........................................................16 4.3 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล........................................................................................................17 บทที่ 5 สรุป อภิปรายผลและข้อเนอแนะ.........................................................................................22 5.1 สรุปผลการวิจัย..................................................................................................................22 5.2 อภิปรายผล........................................................................................................................22 5.3 ข้อเสนอแนะ......................................................................................................................23 ภาคผนวก.........................................................................................................................................ฉ ประวัติผู้วิจัย....................................................................................................................................ฌ


จ สารบัญตาราง ตาราง หน้า ตารางที่ 3.1 Wilcoxon Signed ranks test...................................................................................................15 ตารางที่ 4.1 แบบบันทึกพฤติกรรมรายบุคคลก่อนการใช้แบบฝึกทักษะการย่ำเท้า.........................................17 ตารางที่ 4.2 แบบบันทึกพฤติกรรมรายบุคคลหลังการใช้แบบฝึกทักษะการย่ำเท้า.........................................19 ตารางที่ 4.3 ผลการวิเคราะห์ความแตกต่างของค่าเฉลี่ยคะแนนก่อนเรียน-หลังเรียนของกลุ่มเป้าหมายด้วยวิธี ทดสอบแบบสองทิศทาง ด้วยวิธี Wilcoxon Signed ranks test.....................................................................21


1 บทที่ 1 บทนำ 1.1 ที่มาและความสำคัญของปัญหา นาฏศิลป์ เป็นสิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นด้วยความประณีตงดงาม ให้ความบันเทิงโน้มน้าวอารมณ์และ ความรู้สึกของผู้ชมให้คล้อยตามซึ่งนาฏศิลป์แสดงถึงความเป็นเอกลักษณ์บ้านเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรือง นาฏศิลป์ไทยแสดงถึงความเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ แสดงให้เห็นถึงอารยธรรมความเป็นไทยความ เจริญรุ่งเรืองทางด้านศิลปวัฒนธรรม ซึ่งเกิดมาจากสาเหตุแนวคิดต่างๆ เช่น ความรู้สึกระทบกระเทือนตาม อารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์แห่งความสุขหรืออารมณ์ของความทุกข์ ซึ่งจะสะท้อนออกมาเป็นท่าทางธรรมชาติ และประดิษฐ์มาเป็นลีลาการฟ้อนรำ หรือเกิดจากลัทธิความเชื่อในการนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์เทพเจ้า โดยการบูชา ด้วยการขับร้องฟ้อนรำให้เกิดความพึงพอใจ ก่อนจะนำมาปรับปรุงให้เป็นแบบแผนและเอกลักษณ์ของไทย ซึ่งได้มีการแสดงกันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน (จินตนา สายทองคำ2558 น.9) การเรียนการสอนวิชานาฏศิลป์ไทยส่งเสริมให้เด็กมีความกล้าแสดงออก มีบุคลิกที่สง่างาม มีความมั่นใจในตนเอง ฝึกไหวพริบการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ช่วยพัฒนาอารมณ์ทำให้นักเรียนเกิดความ สนุกสนานผ่อนคลายความเครียด และที่สำคัญการเรียนการสอนนาฏศิลป์ยังเป็นการฝึกการเคลื่อนไหวร่างกาย ของเด็ก ให้เด็กได้ออกกำลังกาย และพัฒนากล้ามเนื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ หลักสูตรแกนกลางการเรียนการสอนกลุ่มสาระศิลปะ รายวิชาดนตรีนาฏศิลป์ได้ระบุในตัวชี้วัด ศ 3.1 ป.2/1 เคลื่อนไหวขณะอยู่กับที่และเคลื่อนที่, ศ 3.1 ป.2/2 แสดงการเคลื่อนไหวที่สะท้อนอารมณ์ของ ตนเองอย่างอิสระ และมีเนื้อหาสาระการเรียนรู้แกนกลางระบุว่า การเคลื่อนไหวอย่างมีรูปแบบ ได้แก่ การนั่ง การยืน และการเดิน (สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษาสำนักงานคณะกรรมการการศึกษา ขั้นพื้นฐานกระทรวงศึกษาธิการ, 2559, น.6) เพลงมาร์ช เป็นเพลงที่ใช้สำหรับการเดินแถวในการทหาร เพื่อกำหนดจังหวะให้เกิดความพร้อมเพรียง กัน ซึ่งจังหวะของเพลงมาร์ชมีอยู่ 2 แบบ ได้แก่ 1) Quick March หรือ Quick Steps เป็นจังหวะการเดินแบบเร็ว ประมาณ 116 ถึง 120 ก้าวต่อนาที เป็นทำนองเพลงที่คึกคัก เร้าใจ มีจังหวะหนักแน่นมั่นคง มีการเดินหลักอยู่ 2 แบบคือ การก้าวตาม จังหวะแบบปกติการก้าวแบบ Short March คือการก้าวตามจังหวะ แต่มีช่วงก้าวที่สั้น หรือการก้าวแบบส้นต่อ ส้น 2) Slow หรือ Processional March ใช้จังหวะการเดินแบบช้า ๆ ประมาณ 72 ก้าวต่อนาที เป็นท่วงทำนองเพลงที่ขึงขัง สง่างาม องอาจ หรืออาจเศร้าสลด การเดินแบบ Slow March นั้นจะแตกต่าง จาก Quick March โดยที่การเดินแบบ Slow March จะย่างเท้าก้าวละ 2 จังหวะ โดยจังหวะที่หนึ่งจะเตะเท้า ออกไปข้างหน้า ปลายเท้าชี้ตรงฝ่าเท้าขนานกับพื้น จังหวะที่สองจึงวางเท้าลง (มนัสพงศ์ ภูบาลชื่น, 2565)


2 โดยในการจัดการเรียนการสอนรายวิชาดนตรีนาฏศิลป์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โครงการ English Program โรงเรียนอนุบาลวัดอ่างทอง ในชั่วโมงที่ผู้วิจัยสอนเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวร่างกายต่าง ๆ พบว่า มีนักเรียนจำนวน 7 คน มักย่ำเท้าไม่ตรงจังหวะเพลงและดนตรีที่ผู้วิจัยให้ปฏิบัติเนื่องจากนักเรียนไม่มีความ เข้าใจจังหวะของเพลงต่าง ๆ ผู้วิจัยในฐานะครูผู้สอนมีความต้องการที่จะแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยการวางแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยการนําจังหวะเพลงมาร์ชมาสร้างเป็นแบบฝึกพัฒนาทักษะ การย่ำเท้าในการจัดการเรียนการสอน เนื่องจากเพลงมาร์ชเป็นเพลงที่สามารถหาฟังได้ง่าย มีจังหวะที่ ฟังง่าย ไม่ซับซ้อน และนักเรียนมีความคุ้นเคยมากที่สุด ผู้วิจัยจึงได้นำเพลงมาร์ชมาพัฒนาทักษะการย่ำเท้าของ นักเรียน หากนักเรียนสามารถย่ำเท้าตามจังหวะเพลงมาร์ชได้อย่างถูกต้อง นักเรียนก็จะสามารถฝึกปฏิบัติ การย่ำเท้าตามจังหวะที่หลากหลายแบบนาฏศิลป์ไทยในรายวิชาดนตรีนาฏศิลป์ได้เช่นกัน 1.2 คำถามการวิจัย 1.2.1 ทำอย่างไรให้นักเรียนสามารถย่ำเท้าได้ตรงตามจังหวะเพลงและดนตรีต่าง ๆ 1.2.2 ผลคะแนนทักษะการย่ำเท้าก่อนและหลังเรียนแตกต่างกันอย่างไร 1.3 วัตถุประสงค์ 1.3.1 เพื่อพัฒนาทักษะการย่ำเท้าโดยใช้นวัตกรรมแบบฝึกพัฒนาทักษะการย่ำเท้า 1.3.2 เพื่อศึกษาผลการพัฒนาทักษะการย่ำเท้า 1.4 วิธีการดำเนินวิจัย 1.4.1 ขอบเขตด้านประชากรและกลุ่มเป้าหมาย ผู้วิจัยได้กำหนดประชากรและกลุ่มเป้าหมายแบบเจาะจงเพื่อพัฒนาทักษะการย่ำเท้า และ ศึกษาผลการใช้นวัตกรรมแบบฝึกพัฒนาทักษะการย่ำเท้า ดังนี้ ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โครงการ English Program โรงเรียนอนุบาลวัดอ่างทอง จังหวัดอ่างทอง ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โครงการ English Program โรงเรียนอนุบาลวัดอ่างทอง จังหวัดอ่างทอง ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 7 คน ซึ่งได้มาจากการสังเกตนักเรียนที่ย่ำเท้าไม่ตรงจังหวะเพลงและดนตรี 1.4.2 ขอบเขตด้านตัวแปร ตัวแปรต้น นวัตกรรมแบบฝึกพัฒนาทักษะการย่ำเท้า ตัวแปรตาม ทักษะการย่ำเท้าตามจังหวะเพลงและดนตรี


3 1.4.3 ขอบเขตด้านระยะเวลา ระยะเวลาที่ใช้ในการดำเนินการวิจัย คือ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 ตลอดปีการศึกษา 1.5 นิยามศัพท์เฉพาะ เพื่อให้เกิดความเข้าใจในความหมายของคำศัพท์ที่ปรากฏในงานวิจัย เรื่องการแก้ปัญหานักเรียน ย่ำ เท้าไม่ตรงจังหวะ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โครงการ English Program โรงเรียนอนุบาลวัด อ่างทอง ผู้วิจัยได้อธิบายนิยามศัพท์เฉพาะสำหรับงานวิจัยฉบับนี้ไว้ ดังนี้ 1.5.1 การย่ำเท้าแบบนาฏศิลป์หมายถึง การเหยียบเท้าลงพื้นและยกเท้าขึ้นแบบเบา ๆ สลับกันตาม จังหวะเพลงและดนตรี 1.5.2 แบบฝึกทักษะการย่ำเท้า หมายถึง การนำเสียงจังหวะเพลงมาร์ชมาช่วยในการฝึกทักษะการย่ำ เท้าของนักเรียน มีลักษณะเป็นวีดีโอแบบฝึกปฏิบัติประกอบไปด้วย 2 ขั้นตอน คือ 1) วีดีโอการฝึกปรบมือตามเสียงจังหวะเพลงมาร์ช 2) วีดีโอการฝึกย่ำเท้าซ้ายขวาตามเสียงจังหวะเพลงมาร์ช 1.6 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1.6.1 ได้นวัตกรรมการพัฒนาทักษะการย่ำเท้า 1.6.2 นักเรียนสามารถย่ำเท้าได้ตรงจังหวะเพลงและดนตรี 1.6.3 ได้ผลการใช้แนวทางในการจัดการเรียนการสอนรายวิชาดนตรีนาฏศิลป์


4 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิจัยครั้งนี้เป็นการพัฒนาทักษะการย่ำเท้าให้ตรงจังหวะ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 2 โครงการ English Program โรงเรียนอนุบาลวัดอ่างทอง โดยผู้วิจัยได้ทำการศึกษาค้นคว้าทฤษฎี เอกสารงานวิจัยและหลักการที่เกี่ยวข้อง โดยนำเสนอตามหัวข้อ ดังนี้ 2.1 พัฒนาการในเด็กวัยประถมศึกษาตอนต้น (6 - 8 ปี) 2.2 วิชาดนตรีนาฏศิลป์ 2.2.1 กิจกรรมดนตรีสำหรับนักเรียนช่วงชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 – 2 2.2.2 หลักสูตรแกนกลางการเรียนการสอนกลุ่มสาระศิลปะ รายวิชาดนตรีนาฏศิลป์ 2.3 การเคลื่อนไหวและจังหวะ 2.3.1 ความหมายของการเคลื่อนไหวและจังหวะ 2.3.2 ประโยชน์และความสำคัญของการเคลื่อนไหวและจังหวะ 2.3.3 ประเภทของการเคลื่อนไหว 2.3.4 การเคลื่อนไหวประกอบเพลง 2.4 เพลงมาร์ช 2.4.1 ความหมายของเพลงมาร์ช 2.4.2 จังหวะเพลงมาร์ช 2.5 ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง 2.5.1 ทฤษฎีการเรียนรู้ของธอร์นไดค์ 2.6 กรอบแนวคิด 2.1 พัฒนาการในเด็กวัยประถมศึกษาตอนต้น (6 - 8 ปี) เพียเจท์ ได้กล่าวว่า เด็กวัย 2 – 7 ปี สามารถใช้ภาษาบอกชื่อสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัว และเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันได้ เด็กในวัยนี้สามารถที่เรียนรู้สัญลักษณ์ และของเล่นสมมติได้ โดยใช้สัญลักษณ์ต่าง ๆ แทนของจริง เด็กยังไม่สามารถเปรียบเทียบสิ่งของมากและน้อย ยาวและสั้นได้ แต่จะยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง และสามารถที่จะเข้าใจความคิดของคนอื่นได้ (สุรางค์ โคว้ตระกูล, 2533, น.38) อิริคสัน ได้กล่าวว่า เด็กที่อยู่ในช่วงอายุ 6 – 12 ปี จะเริ่มเกี่ยวข้องกับสังคมมากขึ้น จะขยันเรียน ขยันอ่านหนังสือประเภทต่าง ๆ ชอบพูดคุย โอ้อวดความเด่น และความสามารถของตนเองเพื่อให้ เพื่อนยอมรับ ถ้าเด็กทำไม่ได้จะผิดหวังและรู้สึกเป็นปมด้อย (เพชรสุดา เพชรใส, ม.ป.ป., น. 16)


5 วัลนิกา ได้กล่าวว่า เด็กประถมศึกษา (อายุ 6 – 12 ปี) เรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติ มีความสนใจระยะสั้น ชอบทำกิจกรรมหลาย ๆ อย่าง เรียนรู้จากการเล่น ชอบแสดงตนหรือแสดงความสามารถ ชอบได้รับคำชมเชย (วัลนิกา ฉลากบาง, 2535, น. 54 - 55) จากที่กล่าวมาข้างต้นสามารถสรุปได้ว่า พัฒนาการเด็กในช่วงวัยอายุ 6 – 8 ปี จะสามารถ เรียนรู้สัญลักษณ์ที่ง่าย ๆ ได้ เด็กจะชอบเข้าสังคม ทำงานเป็นกลุ่ม ทำกิจกรรมที่หลากหลายชอบการ เคลื่อนไหวร่างกาย และกล้าแสดงออก 2.2 วิชาดนตรีนาฏศิลป์ 2.2.1 กิจกรรมดนตรีสำหรับนักเรียนช่วงชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 – 2 สุกรี เจริญสุข ได้กล่าวว่า จำเป็นต้องปูพื้นฐานในด้านทักษะจังหวะเบื้องต้นแก่ผู้เรียนใน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 – 2 เพื่อให้ผู้เรียนเกิดความคิดและความเข้าใจว่าจังหวะเป็นพื้นฐานสำคัญของ การดนตรีและการร้องรำ และเมื่อได้ประสบการณ์แล้ว ก็ใช้เป็นแนวทางการเคลื่อนไหวในกิจกรรมอื่นได้อย่าง ถูกต้อง หลักสูตรประถมศึกษา พ.ศ. 2521 ฉบับปรับปรุง 2533 ได้กล่าวว่า การสอนดนตรี และนาฏศิลป์ในแต่ละครั้งนั้น จะต้องนำกิจกรรมที่มีอยู่ 3 กิจกรรม คือ กิจกรรมเน้นจังหวะ กิจกรรมเน้นการ ฟัง และกิจกรรมเน้นการร้องเพลง ก่อนที่เด็กจะร้องเพลงก็ต้องฟังเพลงก่อน ในระหว่างฟังเพลง ก็ให้เด็กเคาะจังหวะประกอบ เพื่อให้เกิดความเข้าใจจังหวะอันเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยกำหนดการการร้องเพลง ให้ช้า เร็ว ตามทำนองจังหวะ แล้วจึงร้องและทำจังหวะไปพร้อม ๆ กัน (วารสารพัฒนศิลป์, 2562, น.13 - 14) 2.2.2 หลักสูตรแกนกลางการเรียนการสอนกลุ่มสาระศิลปะ รายวิชาดนตรีนาฏศิลป์ หลักสูตรแกนกลางการเรียนการสอนกลุ่มสาระศิลปะ รายวิชาดนตรีนาฏศิลป์ ได้ระบุในตัวชี้วัด ศ 3.1 ป.2/1 เคลื่อนไหวขณะอยู่กับที่และเคลื่อนที่, ศ 3.1 ป.2/2 แสดงการเคลื่อนไหวที่ สะท้อนอารมณ์ของตนเองอย่างอิสระ และมีเนื้อหาสาระการเรียนรู้แกนกลางระบุว่า การเคลื่อนไหวอย่างมี รูปแบบ ได้แก่ การนั่ง การยืน และการเดิน (สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษาสำนักงานคณะกรรมการ การศึกษาขั้นพื้นฐานกระทรวงศึกษาธิการ, 2559, น.6) 2.3 การเคลื่อนไหวและจังหวะ 2.3.1 ความหมายของการเคลื่อนไหวและจังหวะ


6 หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2546 ได้กล่าวว่า กิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ เป็นกิจกรรมที่จัดให้เด็กได้เคลื่อนไหวส่วนต่าง ๆ ของร่างกายอย่างอิสระตามจังหวะ โดยใช้เสียงเพลง คำคล้องจอง จังหวะ และดนตรีที่ใช้ประกอบ ได้แก่ เสียงตบมือ เสียงเพลง เสียงเคาะไม้ เคาะเหล็ก รำมะนา กลอง ฯลฯ มาประกอบในการเคลื่อนไหว เพื่อส่งเสริมให้เด็กเกิดจินตนาการความคิดสร้างสรรค์ และส่งเสริม พัฒนาทางด้านร่างกาย (หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย, 2546) ซึ่งสอดคล้องกับจุฑามาศ วงศ์สุวรรณ กล่าวว่า การเคลื่อนไหวและจังหวะ หมายถึง กระบวนการและความสามารถในการควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย และจิตใจ โดยใช้ร่างกายเป็นสื่อกลางในการแสดงออกทางความคิดริเริ่มสร้างสรรค์นี้และจะแสดงออกทาง อารมณ์การสื่อความหมายสอดคล้องกับ ขวัญแก้ว ดำรงค์ศิริได้กล่าววถึงในจุฑามาศ วงศ์สุวรรณ การ เคลื่อนไหวและจังหวะ เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้เด็กพัฒนาทักษะร่างกายและจิตใจด้วยปฏิกิริยาตอบสนองต่อ เสียงดนตรีเสียงเพลง และจังหวะช้าหรือเร็ว โดยการแสดงท่าทางหรือการเคลื่อนไหวส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ได้อย่างอิสระ สอดคล้องกับ ธูปทอง ศรีทวม ที่กล่าวถึงในจุฑามาศ วงศ์สุวรรณ การเคลื่อนไหวเป็นการ เคลื่อนไหวที่ผสมผสานกันอย่างกลมกลืนต่อเสียงเพลงและดนตรี โดยใช้ร่างกายเป็นสื่อกลางในการแสดงออก ของเด็กในช่วงที่มีการเคลื่อนไหว (จุฑามาศ วงศ์สุวรรณ, 2548, น.18 - 19) จากที่กล่าวมาข้างต้นสามารถสรุปได้ว่า การเคลื่อนไหวและจังหวะ หมายถึง กิจกรรมที่จัดให้ เด็กได้เคลื่อนไหวส่วนต่าง ๆ ของร่างกายอย่างอิสระตามจังหวะ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ช่วยให้เด็กพัฒนาทักษะ ร่างกายและจิตใจด้วยปฏิกิริยาตอบสนองต่อเสียงดนตรีเสียงเพลงโดยใช้ร่างกายเป็นสื่อกลางในการแสดงออก ของเด็กในช่วงที่มีการเคลื่อนไหว 2.3.2 ประโยชน์และความสำคัญของการเคลื่อนไหวและจังหวะ การเคลื่อนไหวและจังหวะมีความสำคัญและจำเป็นอย่างมากสำหรับมนุษย์ โดยเฉพาะใน สภาพสังคมปัจจุบันที่เต็มไปด้วยการต่อสู้และการแข่งขัน ทำให้มนุษย์มีความเครียดมากขึ้น การผ่อนคลายด้วยการเคลื่อนไหวหรือการร้องเพลงจะทำให้มนุษย์สามารถผ่อนคลายความตึงเครียดได้ ทั้งทางร่างกายและจิตใจ การเคลื่อนไหวและจังหวะจึงมีความจำเป็นสำหรับมนุษย์ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงสิ้น อายุขัย (หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย, 2546) สอดคล้องกับ สุทิวา ลมวิชัย ได้กล่าวว่า ประโยชน์ของกิจกรรม เคลื่อนไหวและจังหวะ มีดังนี้ 1. พัฒนาอวัยวะทุกส่วนของร่างกายให้ได้เคลื่อนไหวอย่างสัมพันธ์กัน 2. ให้เด็กได้ผ่อนคลายความตึงเครียด 3. ให้เด็กได้รับประสบการณ์ ความสนุกสนาน รื่นเริง โดยผ่านกิจกรรมการเคลื่อนไหวที่ หลากหลาย 4. สนองความต้องการตามธรรมชาติ ความสนใจและความพอใจของเด็ก


7 5. ให้เด็กเกิดความซาบซึ้งและมีสุนทรียภาพในการเคลื่อนไหวอย่างเสรีตามจังหวะ รวมทั้งเกิด ทักษะ ในการฟังดนตรีหรือจังหวะต่างๆ 6. พัฒนาทักษะด้านสังคม การปรับตัว และความร่วมมือในกลุ่ม 7. ให้เด็กมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และให้เด็กได้มีโอกาสแสดงออกอย่างสร้างสรรค์ 8. พัฒนาภาษา ฝึกฟังคำสั่งข้อตกลง และปฏิบัติตามได้ 9. ฝึกการเป็นผู้นำผู้ตามที่ดี(สุทิวา ลมวิชัย, 2555) สอดคล้องกับ ภรณี คุรุรัตนะ ได้กล่าวว่า การส่งเสริมให้เด็กมีอิสระในการเคลื่อนไหวที่เหมาะสมกับพัฒนาการ และวัยของเด็ก จะช่วยให้เด็กได้แสดงออกถึงความรู้สึกและอารมณ์อย่างเปิดเผยและเป็นธรรมชาติ ซึ่งเป็นการ ส่งเสริมให้เด็กมีจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ (ภรณี คุรุรัตนะ, 2526, น.24) จากที่กล่าวมาข้างต้นสามารถสรุปได้ว่า การเคลื่อนไหวและจังหวะเป็นสิ่งสำคัญสำหรับมนุษย์ทุกช่วง วัย เนื่องจากการเคลื่อนไหวประกอบจังหวะสามารถพัฒนาอวัยวะทุกส่วนของร่างกายให้สามารถเคลื่อนไหวได้ อย่างสัมพันธ์กัน สามารถทำให้ผ่อนคลายความเครียด และช่วยพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ ให้มนุษย์สามารถ แสดงออกได้อย่างเปิดเผย 2.3.3 ประเภทของการเคลื่อนไหว Putruksa ได้กล่าวว่า รูปแบบการเคลื่อนไหวพื้นฐาน ได้แก่ การเคลื่อนไหวตามธรรมชาติของ เด็กมี 2 ประเภท 1) เคลื่อนไหวอยู่กับที่ ได้แก่ ตบมือ ผงกศีรษะ ขยิบตา ชันเขา เคาะเท้า เคลื่อนไหว แขนมือและนิ้ว เท้าและปลายเท้า 2) การเคลื่อนไหวเคลื่อนที่ ได้แก่ คลาน คืบ เดิน วิ่ง กระโดด ควบม้า ก้าวกระโดด (Putruksa Pattanasiri, 2556) สอดคล้องกับ พิชิต ภูติจันทร์ กล่าวถึงใน ภัทราวุธ โพพันทะราช การเคลื่อนไหวเบื้องต้นในการเรียนกิจกรรมเข้าจังหวะ นับว่ามีความสำคัญมากเพราะเป็นการนำการ เคลื่อนไหวตามธรรมชาติของมนุษย์มาประกอบให้เข้ากับจังหวะของดนตรี การเคลื่อนไหวเบื้องต้นแบ่ง ออกเป็น 3 ประเภท คือ การเคลื่อนไหวแบบอยู่กับที่ การเคลื่อนไหวแบบเคลื่อนที่ และการเคลื่อนไหวพร้อม กับอุปกรณ์หรือวัตถุ 1) การเคลื่อนไหวอยู่กับที่ (Non locomotor Movement) เป็นการเคลื่อนไหว ร่างกายเมื่ออยู่ ณ จุดใดจุดหนึ่งและไม่เคลื่อน ไหวออกจากจุดนั้นเลย ได้แก่ การก้มตัว การเหยียดตัว การบิดตัว การหมุนตัว การโยกตัว การแกว่ง หรือการหมุนเหวี่ยง การเอียง การดัน การดึง การสั่น


8 2) การเคลื่อนไหวแบบเคลื่อนที่ (Locomotor Movement) เป็นการเคลื่อนไหว จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง ได้แก่ การเดิน การวิ่ง การก้าวกระโดด การกระโดดเขย่ง การวิ่งเขย่ง การวิ่งสลับเท้า การลื่นไถล การควบม้า การก้าวชิด 3) การเคลื่อนไหวพร้อมกับอุปกรณ์หรือวัตถุ (Movement with Equipment & Material) การเคลื่อนไหวพร้อมกับอุปกรณ์หรือวัตถุ ท าให้เด็กได้มีการเคลื่อนไหวโดยใช้อุปกรณ์หรือวัตถุ อย่างหนึ่งอย่างใดประกอบ การใช้อุปกรณ์ประกอบนี้ช่วยท าให้เด็กได้มีการพัฒนาในด้านการทำงาน ประสานกันระหว่างประสาทมือกับประสาทตา ประสาทเท้ากับตา และประสาทมือ เท้า และตาให้ดีขึ้น ตามปกติเด็กจะมีความสนุกสนานกับการเคลื่อนไหวประกอบอุปกรณ์นี้มาก ดังนั้นจึงควรจัดอุปกรณ์หรือวัตถุ อื่นๆที่สามารถให้เด็กได้ใช้ประกอบในการเล่นหรือการเคลื่อนไหวนี้ให้มากที่สุดอุปกรณ์ที่จัดหาได้ง่าย เช่น ลูกบอล ถุงถั่ว ห่วงยางขนาดใหญ่ ริบบิ้นผ้าสีต่างๆ หนังสือพิมพ์ ลูกโป่ง อุปกรณ์เหล่านี้จะช่วยให้เด็กมี ประสบการณ์ในการเคลื่อนไหวได้อย่างดีและกว้างขวาง (ภัทราวุธ โพพันทะราช, 2565, น.19) สุรางศรีเมธานนท์ กล่าวถึงใน จุฑามาศ วงศ์สุวรรณ การเคลื่อนไหว และจังหวะจําแนกออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้ การเคลื่อนไหวอยู่กับที่ (Nonlocotor movement) หมายถึง การเคลื่อนไหวส่วน ต่าง ๆ ของร่างกายเมื่ออยู่ ณ จุดใดจุดหนึ่งไม่เคลื่อนไหวออกจากจุดนั้นเลย ได้แก่ การก้มตัว การยืนเหยียดตัว การบิดตัว การหมุนตัว การหมุนตัว การแกว่งหรือการหมุนเหวี่ยง การเอียง การดัน การดึง การสั่น การตี การเคลื่อนไหวที่เคลื่อนที่ (locomotors movement) หมายถึง การเคลื่อนไหวจากที่ หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง ได้แก่ การเดิน การวิ่ง การก้าวกระโดด การกระโดดเขย่ง การวิ่งโหย่ง การวิ่งสลับเท้า การ ลื่นไถล การควบม้า ก้าวชิด (จุฑามาศ วงศ์สุวรรณ, 2548, น.21 - 22) จากที่กล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่า การเคลื่อนไหวขั้นพื้นฐานส่วนใหญ่มักแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 1) การเคลื่อนไหวอยู่กับที่ (Nonlocotor movement) หมายถึง การเคลื่อนไหว ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเมื่ออยู่ ณ จุดใดจุดหนึ่งไม่เคลื่อนไหวออกจากจุดนั้นเลย ได้แก่ การก้มตัว การยืน เหยียดตัว การบิดตัว การหมุนตัว การหมุนตัว การแกว่งหรือการหมุนเหวี่ยง การเอียง การดัน การดึง การสั่น การตี 2) การเคลื่อนไหวที่เคลื่อนที่ (locomotors movement) หมายถึง การเคลื่อนไหวจากที่ หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง ได้แก่ การเดิน การวิ่ง การก้าวกระโดด การกระโดดเขย่ง การวิ่งโหย่ง การวิ่งสลับเท้า การ ลื่นไถล การควบม้า ก้าวชิด


9 2.3.4 การเคลื่อนไหวประกอบเพลง สิริมาศ ได้กล่าวว่า กิจกรรมการเคลื่อนไหวประกอบเพลงเป็นกิจกรรมที่ช่วย ปูพื้นฐานที่ดี และช่วยส่งเสริมให้เด็กมีความสามารถในด้านจังหวะ ความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ เพลงที่ มีท่าทางประกอบและการเล่นประกอบเพลงช่วยให้เด็กมีความสนใจและจดจ่ออยู่กับกิจกรรมที่ทำ (Concentration) เด็กจะรู้จักบังคับการเคลื่อนไหวของร่างกายในส่วนต่างๆ เช่น นิ้วมือ ข้อมือให้เกิดขึ้น พร้อมๆกันตามจังหวะ (สิริมาศ น้ำยาง, 2563 น.8) สามารถสรุปได้ว่า การเคลื่อนไหวประกอบจังหวะและเพลง เป็นการเคลื่อนไหวที่ช่วยส่งเสริม ให้เด็กเกิดจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ มีสมาธิจดจ่ออยู่กับกิจกรรม และสามารถฝึกควบคุมการเคลื่อนไหว ร่างกายของตนเองได้ 2.4 เพลงมาร์ช 2.4.1 ความสำคัญและความหมายของเพลงมาร์ช Dr. Stephen Rhodes ได้กล่าวว่า เพลงมาร์ช (March) นั้นหมายถึงเพลงที่แต่งขึ้นสำหรับใช้ ในการเดินแถว เช่น กองทหาร เพื่อเป็นการกำหนดจังหวะให้ผู้เดินแถวนั้นก้าวเท้าออกเดินได้อย่างพร้อมเพียง เป็นจังหวะเดียวกัน (เทอดพงศ์ วรรณวงค์, 2564, น.253) สอดคล้องกับ ธีรพงศ์ เสรีสำราญ กล่าวว่า เพลงมาร์ช (March Music) เป็นประเภทหนึ่งของบทเพลงที่เรียกว่า Martial Music หรือ Military Music อันเป็นเพลงที่แต่งขึ้นเพื่อใช้ในการทหาร และมักจะบรรเลงโดยทหารอาชีพที่เรียกว่า “นักดนตรีภาคสนาม (field musicians)” (ธีรพงศ์ เสรีสำราญ, 2564) จากที่กล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่า เพลงมาร์ช เป็นเพลงที่ใช้สำหรับการเดินแถวในการทหาร เพื่อกำหนดจังหวะให้เกิดความพร้อมเพรียงกัน 2.4.2 จังหวะเพลงมาร์ช มนัสพงศ์ ภูบาลชื่น ได้กล่าวว่า เพลงมาร์ชมีอยู่ 2 แบบ ได้แก่ Quick March หรือ Quick Steps เป็นจังหวะการเดินแบบเร็ว ประมาณ 116 ถึง 120 ก้าวต่อนาที เป็นทำนองเพลงที่คึกคัก เร้าใจ มีจังหวะหนักแน่นมั่นคง มีการเดินหลักอยู่ 2 แบบคือ การก้าวตามจังหวะแบบปกติการก้าวแบบ Short March คือการก้าวตามจังหวะ แต่มีช่วงก้าวที่สั้น หรือการ ก้าวแบบส้นต่อส้น Slow หรือ Processional March ใช้จังหวะการเดินแบบช้า ๆ ประมาณ 72 ก้าว ต่อนาที เป็นท่วงทำนองเพลงที่ขึงขัง สง่างาม องอาจ หรืออาจเศร้าสลด โดยแบบ Slow จะแบ่งได้ 2 ชนิด ใช้ในโอกาสที่ต่างกันด้วย คือ Festival March มีทำนองที่สง่าเกรียงไกรและร่าเริง ใช้บรรเลงนำขบวน


10 แห่ในงานพิธีที่สำคัญ เช่น งานสมรส งานฉลองชัยชนะ Funeral March มีทำนองที่เศร้าสลด ใช้บรรเลงเดินนำ ขบวนแห่ศพ การเดินแบบ Slow March นั้นจะแตกต่างจาก Quick March โดยที่การเดินแบบ Slow March จะย่างเท้าก้าวละ 2 จังหวะ โดยจังหวะที่หนึ่งจะเตะเท้าออกไปข้างหน้า ปลายเท้าชี้ตรง ฝ่าเท้าขนานกับพื้น จังหวะที่สองจึงวางเท้าลง (มนัสพงศ์ ภูบาลชื่น, 2565) ธีรพงศ์ เสรีสำราญ กล่าวว่า เพลงมาร์ชสามารถเขียนได้ในทุกสัดส่วนจังหวะ (time signature) แต่ที่นิยมกันมากที่สุดคือ สัดส่วนแบบ 4/4 และ 2/2 หรือ 6/8 แต่ถึงอย่างนั้นเพลงมาร์ชยุคใหม่ มักจะเขียนในสัดส่วนแบบ 1/2 หรือ 2/4 โดยมี เทมโป (tempo) หรือความเร็วในการเล่นเครื่องดนตรี อยู่ที่ราว ๆ 120 บีทต่อนาที (bpm) เพื่อให้เข้ากับจังหวะการเดินของทหาร แต่ถ้าเป็นพวก funeral march หรือมาร์ชที่ใช้บรรเลงในการเดินนำขบวนแห่ศพจะมีเทมโปที่ช้าลงเป็นราว ๆ 60 bpm โดยจุดเด่นของเพลง มาร์ชนั้นจะสังเกตได้ง่าย ๆ จากการเน้นที่จังหวะแรกของห้องเพลงเพื่อให้ง่ายต่อการกำกับจังหวะการเดินแถว ของทหารนั่นเอง (ธีรพงศ์ เสรีสำราญ, 2564) จากที่กล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่า เพลงมาร์ชในปัจจุบันมักเขียนในสัดส่วนแบบ 1/2 หรือ 2/4 โดยมีเทมโป (tempo) หรือความเร็วในการเล่นเครื่องดนตรี อยู่ที่ราว ๆ 120 บีทต่อนาที (bpm) ประมาณ 116 ถึง 120 ก้าวต่อนาที 2.5 ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง 2.5.1 ทฤษฎีการเรียนรู้ของธอร์นไดค์(Thorndike’s Law of Leaning) ธอร์นไดค์ได้กล่าวว่า การเรียนรู้สำคัญด้วยกฎ 3 ประการ ได้แก่ 1) กฎแห่งความพร้อม (Law of Readiness) การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีความพร้อม ทั้งทางกายและใจเกี่ยวกับร่างกาย (Physical) เพื่อเป็นการเตรียมการใช้กล้ามเนื้อ และระบบประสาทให้ สัมพันธ์กัน (Co - Ordination) และเพื่อเป็นการฝึกทักษะเกี่ยวกับจิตใจ (Mental) เป็นความพร้อมทางด้าน สมองหรือสติปัญญา และควรคำนึงถึงความพร้อมในวัยต่าง ๆ ด้วยว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร เมื่อเด็ก มีความพร้อมทั้งทางร่างกายและจิตใจจะส่งผลให้เกิดการเรียนรู้ที่ดี 2) กฎแห่งการฝึกหัด (Law of Exercise) เด็กจะเรียนรู้จากการกระทำซ้ำ ๆ กันหลาย ๆ ครั้ง นั่นเอง เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวและจังหวะเด็กจะเกิดทักษะในแบบต่าง ๆ ซึ่งทำให้ระบบประสาทและกลาม เนื้อทำงานสัมพันธ์กันดี 3) กฎแห่งผล (Law of Effects) เด็กจะเรียนรู้ได้ดีขึ้น ถ้าผลของการกระทำนั้นเป็นไปใน ทางบวกหรือทางที่ดีซึ่งจะทำให้เด็กเกิดความสนใจเกิดทักษะ ทำให้เด็กมีความสนุกสนานและความพอใจ (จุฑามาศ วงศ์สุวรรณ, 2548, น.30)


11 2.6 กรอบแนวคิด ตัวแปรต้น นักเรียนย่ำเท้าไม่ตรงจังหวะเพลง ตัวแปรตาม และดนตรีต่าง ๆ นวัตกรรมแบบฝึกพัฒนาทักษะ การย่ำเท้า ทักษะการย่ำเท้าตามจังหวะเพลงและ ดนตรี


12 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) โดยทำการศึกษาสภาพทักษะ การย่ำเท้าของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โครงการ English Program โรงเรียนอนุบาลวัดอ่างทอง เพื่อวิเคราะห์สภาพปัญหาและพฤติกรรมการย่ำเท้าของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โครงการ English Program โรงเรียนอนุบาลวัดอ่างทอง ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายจำนวน 7 คน ซึ่งได้รับการจัดการเรียนการสอน ตามปกติในภาคเรียนที่ 2/2565 จะได้รับการจัดกระทำ (Treat) โดยใช้รูปแบบแบบฝึกพัฒนาทักษะการย่ำเท้า ในภาคเรียนที่ 2/2565 หลังจากนั้นจึงทำการทดสอบหลังเรียน และวิเคราะห์ความแตกต่างของทักษะการย่ำ เท้าระหว่างก่อนใช้นวัตกรรมแบบฝึกพัฒนาทักษะการย่ำเท้า และหลังใช้นวัตกรรมแบบฝึกพัฒนาทักษะการย่ำ เท้าโดยมีขั้นตอนการดำเนินการวิจัย ดังนี้ 1. ผู้วิจัยชี้แจงวัตถุประสงค์ อธิบายขั้นตอนของการวิจัยให้กลุ่มเป้าหมายได้รับทราบด้วยตนเอง ในชั่วโมงเรียน ภาคเรียนที่ 2/2565 และขอความร่วมมือในการเก็บข้อมูลโดยการทำแบบทดสอบ กับกลุ่มเป้าหมาย พร้อมทั้งสังเกตพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย 2. ดำเนินการทำการวิจัยกับกลุ่มเป้าหมาย โดยการทำการวัดทักษะการย่ำเท้าของกลุ่มเป้าหมาย ด้วยแบบทดสอบทักษะการย่ำเท้าที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น พร้อมสังเกตพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย หลังจากนั้นทำ การเก็บรวบรวมผลการทดสอบและการสังเกตพฤติกรรม ตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วน และนำไปวิเคราะห์ ข้อมูล 3. ทำการวิเคราะห์ข้อมูลผลการทำแบบทดสอบ และการสังเกตพฤติกรรมทักษะการย่ำเท้าของ กลุ่มเป้าหมาย 4. ผู้วิจัยทำการวิเคราะห์ความแตกต่างของค่าเฉลี่ยคะแนนก่อน – หลังการใช้นวัตกรรมแบบฝึก พัฒนาทักษะการย่ำเท้ากับกลุ่มเป้าหมาย เพื่อศึกษาและพัฒนาแบบฝึกพัฒนาทักษะการย่ำเท้าของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 2 โครงการ English Program 5. ผู้วิจัยทำการวิเคราะห์เปรียบเทียบผลคะแนนทักษะการย่ำเท้าหลังเรียนของกลุ่มเป้าหมาย โดยกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ทำการทดสอบแบบสองทิศทาง เพื่อศึกษาผลการใช้นวัตกรรม แบบฝึกพัฒนาทักษะการย่ำเท้า 6. สรุปผลและเขียนรายงานการวิจัย


13 3.1 ประชากรและกลุ่มเป้าหมาย ผู้วิจัยได้กำหนดประชากรและกลุ่มเป้าหมายแบบเจาะจงเพื่อพัฒนาทักษะการย่ำเท้า และศึกษาผลการใช้ นวัตกรรมแบบฝึกพัฒนาทักษะการย่ำเท้า ดังนี้ 3.1.1 ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โครงการ English Program โรงเรียนอนุบาลวัดอ่างทอง จังหวัดอ่างทอง ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 3.1.2 กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โครงการ English Program โรงเรียนอนุบาลวัดอ่างทอง จังหวัดอ่างทอง ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 7 คน ซึ่งได้รับการจัดการเรียนการสอนในรายวิชาดนตรีนาฏศิลป์ด้วยการใช้แบบฝึกพัฒนาทักษะการย่ำเท้า 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือการวิจัยที่ใช้ในการวิจัย มีดังนี้ 3.2.1 แบบสังเกตแบบมีส่วนร่วม ผู้วิจัยได้ทำการสังเกตพฤติกรรมการย่ำเท้าตามจังหวะและทำนองเพลง ต่าง ๆ ของกลุ่มเป้าหมายโดยการสังเกตพฤติกรรมแบบมีส่วนร่วม ซึ่งผู้วิจัยเป็นผู้จัดการเรียนการสอน และจัดกิจกรรมในชั้นเรียนในรายวิชาดนตรีนาฏศิลป์ เพื่อหาสาเหตุและแก้ปัญหาการย่ำเท้าไม่ตรงจังหวะ ซึ่งมีประเด็นการสังเกต ดังนี้ 1) วิธีการเดินของนักเรียน 2) การย่ำเท้าเข้ากับจังหวะและทำนองเพลงของนักเรียน 3) จังหวะการปรบมือตามเพลงของนักเรียน 3.2.2 แบบทดสอบทักษะการย่ำเท้าของกลุ่มเป้าหมาย มีลักษณะเป็นการทดสอบแบบภาคปฏิบัติ โดย ผู้วิจัยทำการทดสอบกลุ่มเป้าหมายก่อน – หลังการใช้นวัตกรรมแบบฝึกพัฒนาทักษะการย่ำเท้า 3.3 การเก็บรวบรวมข้อมูล การเก็บรวบรวมข้อมูลผู้วิจัยดำเนินการ ดังนี้ 3.3.1 ผู้วิจัยดำเนินการขออนุญาตผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลวัดอ่างทอง เพื่อขออนุญาต ดำเนินการวิจัยและเก็บรวบรวมข้อมูลกับนักเรียน 3.3.2 ผู้วิจัยชี้แจงวัตถุประสงค์ อธิบายขั้นตอนของการวิจัยให้กลุ่มเป้าหมายได้ทราบด้วยตนเอง และขอความร่วมมือในการเก็บข้อมูลและทำแบบทดสอบกับกลุ่มเป้าหมายด้วยความสมัครใจ


14 3.3.3 ผู้วิจัยดำเนินการวิจัยตามขั้นตอนการดำเนินการวิจัย ทำการเก็บรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูล 3.4 การวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยครั้งนี้มีวิธีการดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ 3.4.1 วิเคราะห์ความแตกต่างของคะแนนก่อน – หลังด้วยวิธี Wilcoxon Signed ranks test สำหรับการ ทดสอบความแตกต่างของทักษะการย่ำเท้า กรณีที่กลุ่มตัวอย่างมีขนาดเล็ก และมีการแจกแจงไม่เป็นปกติ โดย กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ทำการทดสอบแบบสองทิศทาง 3.5 สถิติที่ใช้ในการวิจัย สถิติที่ใช้ในการวิจัย มีดังนี้ 3.5.1 การทดสอบแบบสองทิศทาง โดยใช้การทดสอบเครื่องหมายลำดับที่ของวิลคอกซอน Wilcoxon Signed ranks test 1) กำหนดสมมติฐาน H0 : ครั้งที่ 1 = ครั้งที่ 2 (คะแนนทั้งสองครั้งไม่แตกต่างกัน) H1 : ครั้งที่ 1 ≠ ครั้งที่ 2 (คะแนนทั้งสองครั้งแตกต่างกัน) 2) จับคู่คะแนนการวัดครั้งที่ 1 และ 2 ของแต่ละหน่วย และนำมาหาผลต่าง (d) ระหว่างคู่คะแนนนั้น ( = - ) เช่น คะแนนก่อนเรียน (Y) 10 คะแนน - คะแนนหลังเรียน (X) 15 คะแนน = 5(d) เป็นต้น 3) ทำการหาผลต่างของทุกคู่คะแนนแล้วนำมาเรียงลำดับ โดยผลต่างน้อยที่สุดเป็น ลำดับที่ 1 (ไม่คิดเครื่องหมาย + - ) เรียงลำดับไปจนถึงลำดับสุดท้าย ในกรณีที่มีค่าผลต่างเท่ากันต้องทำการ เฉลี่ยค่าอันดับให้เท่ากัน 4) เมื่อทำการเรียงลำดับที่แล้วจึงใส่เครื่องหมาย + หรือ - ตามค่า d ที่คำนวณได้ในแต่ ละคู่หน้าอันดับที่นั้น ๆ แล้วทำการคำนวณหาผลรวมของอันดับที่ (T) ในแต่ละเครื่องหมาย + หรือ – ค่าสถิติที่ ใช้ในการทดสอบได้แก่ + เป็นผลรวมของอันดับที่ของผลต่าง (d) ที่มีเครื่องหมายเป็นบวก − เป็นผลรวมของอันดับที่ของผลต่าง (d) ที่มีเครื่องหมายเป็นลบ โดยที่ + + −= (+1) 2


15 5) เลือก T ที่มีค่าน้อยที่สุดจาก + และ − ไปเปรียบเทียบกับตาราง Wilcoxon Signed ranks test ดังนี้ ตารางที่ 3.1 Wilcoxon Signed ranks test


16 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาทักษะการย่ำเท้าโดยใช้นวัตกรรมแบบฝึกพัฒนาทักษะการย่ำ เท้า และศึกษาผลการพัฒนาทักษะการย่ำเท้าของนักเรียน ซึ่งผู้วิจัยนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ 4.1 สัญลักษณ์ที่ใช้ในการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล 4.2 ลำดับขั้นตอนในการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล 4.3 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 4.1 สัญลักษณ์ที่ใช้ในการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อความเข้าใจที่ตรงกันในการสื่อความหมาย ผู้วิจัยได้กำหนดความหมายของสัญลักษณ์ในการเสนอ ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ N แทน จำนวนข้อมูล (คน) p แทน ค่าความน่าจะเป็น (ค่าที่คำนวณได้ตามสถิติ) X แทน คะแนนหลังเรียน Y แทน คะแนนก่อนเรียน d แทน ผลต่างระหว่างคู่คะแนนหลังเรียนลบกับคะแนนก่อนเรียน T แทน ผลรวมอันดับที่ Sig. แทน นัยสำคัญทางสถิต 4.2 ลำดับขั้นตอนในการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ตอนที่ 1 ผลการพัฒนาทักษะการย่ำเท้าโดยใช้นวัตกรรมแบบฝึกพัฒนาทักษะการย่ำเท้าของนักเรียน ที่สามารถทำได้ด้วยตนเอง ของกลุ่มเป้าหมายภายหลังการเรียนแบบปกติ ตอนที่ 2 ผลการศึกษาผลการพัฒนาทักษะการย่ำเท้าของนักเรียนของนักเรียน 2.1 ผลการวิเคราะห์ความแตกต่างของค่าเฉลี่ยคะแนนก่อนเรียน-หลังเรียนของ กลุ่มเป้าหมายด้วยวิธีทดสอบแบบสองทิศทาง ด้วยวิธี Wilcoxon Signed ranks test


17 4.3 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ตอนที่ 1 ผลการพัฒนาทักษะการย่ำเท้าโดยใช้นวัตกรรมแบบฝึกพัฒนาทักษะการย่ำเท้าของ นักเรียนที่สามารถทำได้ด้วยตนเอง ของกลุ่มเป้าหมายภายหลังการเรียนแบบปกติ ผลการพัฒนาทักษะการย่ำเท้าโดยใช้นวัตกรรมแบบฝึกพัฒนาทักษะการย่ำเท้าของนักเรียนที่ สามารถทำได้ด้วยตนเอง ของกลุ่มเป้าหมายภายหลังการเรียนแบบปกติปรากฏดังนี้ ผลการทดลองและสังเกตก่อนการใช้นวัตกรรมแบบฝึกทักษะการย่ำเท้าในประเด็น “วิธีการเดินของนักเรียน/จังหวะการปรบมือตามทำนองเพลงของนักเรียน/การย่ำเท้าเข้ากับจังหวะและทำนอง เพลงของนักเรียน” พบว่า มีนักเรียนจำนวน 2 คน ที่ชอบเดินเขย่งเปิดส้นเท้า เวลาย่ำเท้าจึงวางเท้า ช้ากว่าเพื่อนในบางจังหวะ และนักเรียนส่วนใหญ่ไม่สามารถย่ำเท้าและปรบมือได้ตรงกับจังหวะเพลงและดนตรี ต่าง ๆได้เนื่องจากนักเรียนไม่เข้าใจจังหวะเพลง ไม่เคยได้ยินหรือฝึกย่ำเท้าและปรบมือเพลงดังกล่าวมาก่อน สามารถสรุปออกมาเป็นตารางได้ ดังนี้ ตารางที่ 4.1 แบบบันทึกพฤติกรรมรายบุคคลก่อนการใช้แบบฝึกทักษะการย่ำเท้า คนที่ พฤติกรรม/ระดับคะแนน ความเข้าใจ จังหวะและ ทำนองเพลง จังหวะการ ปรบมือตาม ทำนองเพลง ของนักเรียน การย่ำเท้าเข้า กับจังหวะและ ทำนองเพลง ของนักเรียน วิธีการเดิน ของนักเรียน รวมคะแนน 3 2 1 3 2 1 3 2 1 1 0 1 4 2 6 3 4 4 3 5 6 6 4 7 3


18 เกณฑ์การให้คะแนนพฤติกรรมที่ 1 – 3 คะแนน ระดับ 3 หมายถึง มีพฤติกรรมในระดับ ดี ระดับ 2 หมายถึง มีพฤติกรรมในระดับ ปานกลาง ระดับ 1 หมายถึง มีพฤติกรรมในระดับ ปรับปรุง เกณฑ์การให้คะแนนพฤติกรรมที่ 4 คะแนน ระดับ 1 หมายถึง มีพฤติกรรม ปกติ ระดับ 0 หมายถึง มีพฤติกรรม ไม่ปกติ เกณฑ์การประเมิน คะแนนเต็ม 10 คะแนน ระดับ 8 - 10 มีพฤติกรรมในระดับ ดี ระดับ 5 - 7 หมายถึง มีพฤติกรรมในระดับ ปานกลาง ระดับ 1 - 4 หมายถึง มีพฤติกรรมในระดับ ปรับปรุง จากตารางที่ 4.1 แบบบันทึกพฤติกรรมรายบุคคลก่อนการใช้แบบฝึกทักษะการย่ำเท้า พบว่า มีนักเรียน 2 คนที่มีคะแนนพฤติกรรมที่ 4 ไม่ปกติ และมีคะแนนการประเมินอยู่ในระดับปรับปรุงจำนวน 5 คน และในระดับปานกลางจำนวน 2 คน


19 ตารางที่ 4.2 แบบบันทึกพฤติกรรมรายบุคคลหลังการใช้แบบฝึกทักษะการย่ำเท้า คนที่ พฤติกรรม/ระดับคะแนน ความเข้าใจ จังหวะและ ทำนองเพลง จังหวะการ ปรบมือ ตาม ทำนอง เพลงของ นักเรียน การย่ำเท้าเข้า กับจังหวะและ ทำนองเพลงของ นักเรียน วิธีการเดิน ของนักเรียน รวมคะแนน 3 2 1 3 2 1 3 2 1 1 0 1 8 2 9 3 7 4 7 5 8 6 9 7 7 เกณฑ์การให้คะแนนพฤติกรรมที่ 1 – 3 คะแนน ระดับ 3 หมายถึง มีพฤติกรรมในระดับ ดี ระดับ 2 หมายถึง มีพฤติกรรมในระดับ ปานกลาง ระดับ 1 หมายถึง มีพฤติกรรมในระดับ ปรับปรุง เกณฑ์การให้คะแนนพฤติกรรมที่ 4 คะแนน ระดับ 1 หมายถึง มีพฤติกรรม ปกติ ระดับ 0 หมายถึง มีพฤติกรรม ไม่ปกติ เกณฑ์การประเมิน คะแนนเต็ม 10 คะแนน ระดับ 8 - 10 มีพฤติกรรมในระดับ ดี ระดับ 5 - 7 หมายถึง มีพฤติกรรมในระดับ ปานกลาง ระดับ 1 - 4 หมายถึง มีพฤติกรรมในระดับ ปรับปรุง


20 จากตารางที่ 4.1 แบบบันทึกพฤติกรรมรายบุคคลหลังการใช้แบบฝึกทักษะการย่ำเท้า พบว่า มีนักเรียน 1 คนที่มีคะแนนพฤติกรรมที่ 4 ไม่ปกติเนื่องจากบางเวลานักเรียนยังเบลอเดินเขย่งเท้า และมีนักเรียนคะแนนการประเมินอยู่ในระดับปานกลางจำนวน 3 คน นักเรียนคะแนนการประเมินอยู่ในระดับ ดีจำนวน 4 คน จากที่กล่าวมาพบว่า นักเรียนทุกคนมีคะแนนที่ดีขึ้นแตกต่างจากก่อนการใช้แบบฝึกพัฒนา ทักษะการย่ำเท้า ผลการพัฒนาทักษะการย่ำเท้าโดยใช้นวัตกรรมแบบฝึกพัฒนาทักษะการย่ำเท้าของ นักเรียนที่สามารถทำได้ด้วยตนเอง ของกลุ่มเป้าหมายภายหลังการเรียนแบบปกติพบว่า นักเรียน มีความเข้าใจในเข้าใจในจังหวะทำนองเพลงมากขึ้น มีพัฒนาการการย่ำเท้าที่ตรงจังหวะและทำนองเพลงที่ดีขึ้น สำหรับแนวทางในการพัฒนาการทักษะการย่ำเท้าของนักเรียน พบว่า มีนักเรียน จำนวน 2 คน ที่มีความจำเป็นต้องปรับบุคลิกการเดินใหม่ โดยให้ฝึกเดินอย่างเต็มเท้า ไม่เปิด ส้นเท้าหรือเขย่งเท้าขณะเดิน และพบว่านักเรียนมีความต้องการที่จะฝึกปฏิบัติไปพร้อม ๆ กับการเรียนการ สอนในลักษณะการฝึกปฏิบัติกับเพื่อนในชั้นเรียนร่วมกับการเรียนในชั่วโมงเรียน โดยมีครูผู้สอน คอยให้คำแนะนำจึงจะทำให้มีความเข้าใจในจังหวะทำนองเพลงและสามารถย่ำเท้าได้ตรงกับจังหวะ และทำนองเพลงต่าง ๆ ตอนที่ 2 ผลการศึกษาผลการพัฒนาทักษะการย่ำเท้าของนักเรียนของนักเรียน 2.1 ผลการวิเคราะห์ความแตกต่างของค่าเฉลี่ยคะแนนก่อนเรียน-หลังเรียนขอกลุ่มเป้าหมาย ด้วยวิธีทดสอบแบบสองทิศทาง ด้วยวิธี Wilcoxon Signed ranks test


21 ตารางที่ 4.3 ผลการวิเคราะห์ความแตกต่างของค่าเฉลี่ยคะแนนก่อนเรียน-หลังเรียนของกลุ่มเป้าหมายด้วยวิธี ทดสอบแบบสองทิศทาง ด้วยวิธี Wilcoxon Signed ranks test คนที่ หลังเรียน (X) ก่อนเรียน (Y) d ลำดับ เครื่องหมาย 1 8 4 4 5 + 2 9 6 3 2.5 + 3 7 4 3 2.5 + 4 7 3 4 5 + 5 8 6 2 1 + 6 9 4 5 7 + 7 7 3 4 5 + ผลรวมลำดับที่ T + 28 ผลรวมลำดับที่ T - 0 จากตารางที่ 4.3 พบว่า ผลรวมลำดับที่ (T) ในแต่ละเครื่องหมายของกลุ่มเป้าหมาย แตกต่าง จากคะแนนก่อนเรียน 0>2 จึงสรุปได้ว่ามีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05


22 บทที่ 5 สรุป อภิปรายผลและข้อเนอแนะ จากผลการดำเนินการวิจัย ผู้วิจัยได้ทำการสรุป อภิปรายผลและเสนอแนะ ตามลำดับหัวข้อ ดังนี้ 5.1 สรุปผลการวิจัย 5.2 อภิปรายผล 5.3 ข้อเสนอแนะ 5.1 สรุปผลการวิจัย จากผลการวิเคราะห์ข้อมูลในการวิจัย ผู้วิจัยได้ทำการสรุปผลการวิจัย ดังนี้ 5.1.1 ผลการพัฒนาทักษะการย่ำเท้าโดยใช้นวัตกรรมแบบฝึกพัฒนาทักษะการย่ำเท้าของนักเรียนที่ สามารถทำได้ด้วยตนเอง ของกลุ่มเป้าหมายภายหลังการเรียนแบบปกติพบว่า นักเรียนมีความเข้าใจในเข้าใจ ในจังหวะทำนองเพลงมากขึ้น มีพัฒนาการการย่ำเท้าที่ตรงจังหวะและทำนองเพลงที่ดีขึ้น สำหรับแนวทางในการพัฒนาการทักษะการย่ำเท้าของนักเรียน พบว่า มีนักเรียนจำนวน 2 คน ที่มีความจำเป็นต้องปรับบุคลิกการเดินใหม่ โดยให้ฝึกเดินอย่างเต็มเท้า ไม่เปิดส้นเท้าหรือเขย่งเท้าขณะเดิน และพบว่านักเรียนมีความต้องการที่จะฝึกปฏิบัติไปพร้อม ๆ กับการเรียนการสอนในลักษณะการฝึกปฏิบัติกับ เพื่อนในชั้นเรียนร่วมกับการเรียนในชั่วโมงเรียน โดยมีครูผู้สอนคอยให้คำแนะนำจึงจะทำให้มีความเข้าใจใน จังหวะทำนองเพลงและสามารถย่ำเท้าได้ตรงกับจังหวะและทำนองเพลงต่าง ๆ 5.1.2 ผลการวิเคราะห์ความแตกต่างของค่าเฉลี่ยคะแนนก่อนเรียน-หลังเรียนของกลุ่มเป้าหมายด้วย วิธีทดสอบแบบสองทิศทาง ด้วยวิธี Wilcoxon Signed ranks test พบว่า ผลรวมลำดับที่ (T) ในแต่ละ เครื่องหมายของกลุ่มเป้าหมาย แตกต่างจากคะแนนก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 5.2 อภิปรายผล จากการวิจัย เรื่องการพัฒนาทักษะการย่ำเท้าตามจังหวะ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนอนุบาลวัดอ่างทอง ผลการวิจัย พบว่า ก่อนการใช้นวัตกรรมแบบฝึกพัฒนาทักษะการย่ำเท้า นักเรียน จำนวน 5 คน มีวิธีการเดินปกติ แต่ไม่มีความเข้าใจในเข้าใจในจังหวะและทำนองเพลง จึงทำให้ไม่สามารถย่ำ เท้าได้ตรงกับจังหวะทำนองเพลง และมีนักเรียนจำนวน 2 คน จำเป็นต้องปรับตั้งแต่บุคลิกการเดิน เนื่องจาก นักเรียนมีพฤติกรรมการเดินเปิดส้นเท้าหรือเขย่งเท้า หลังจากนั้นจึงสามารถใช้นวัตกรรมแบบฝึกพัฒนาทักษะ


23 การย่ำเท้ากับนักเรียนได้ ซึ่งแบบฝึกพัฒนาทักษะการย่ำเท้า มีลักษณะเป็นวีดีโอแบบฝึกปฏิบัติ ซึ่งประกอบไป ด้วย 2 ขั้นตอน ดังนี้ 1) วีดีโอการฝึกปรบมือตามเสียงจังหวะเพลงมาร์ช โดยในวีดีโอประกอบไปด้วยเสียงจังหวะ เพลงมาร์ช และภาพเคลื่อนไหวการแรบมือตามจังหวะเพลงมาร์ช 2) วีดีโอการฝึกย่ำเท้าซ้ายขวาตามเสียงจังหวะเพลงมาร์ช โดยในวีดีโอประกอบไปด้วยเสียง จังหวะเพลงมาร์ช และภาพเคลื่อนไหวรูปเท้าเปลี่ยนสีตามจังหวะเพลงมาร์ช เช่น ย่ำเท้าซ้าย สัญลักษณ์รูปเท้า ซ้ายเป็นสีแดง ย่ำเท้าขวา สัญลักษณ์รูปเท้าขวาเป็นสีแดง หลังจากทำการใช้แบบฝึกพัฒนาทักษะการย่ำเท้า พบว่า นักเรียนมีความเข้าใจจังหวะและ ทำนองเพลง มีทักษะการย่ำเท้าที่ดีขึ้นแตกต่างจากก่อนใช้แบบฝึกทักษะการย่ำเท้า นอกจากนี้นักเรียนยังมี ความต้องการที่จะฝึกปฏิบัติไปพร้อม ๆ กับการเรียนการสอนในลักษณะการฝึกปฏิบัติกับเพื่อนในชั้นเรียน ร่วมกับการเรียนในชั่วโมงเรียน โดยมีครูผู้สอนคอยให้คำแนะนำจึงจะทำให้มีความเข้าใจในจังหวะทำนองเพลง และสามารถย่ำเท้าได้ตรงกับจังหวะและทำนองเพลงต่าง ๆ และมีผลการวิเคราะห์ความแตกต่างของค่าเฉลี่ย คะแนนก่อนเรียน - หลังเรียนของกลุ่มเป้าหมายด้วยวิธีทดสอบแบบสองทิศทาง ด้วยวิธี Wilcoxon Signed ranks test พบว่า ผลรวมลำดับที่ (T) ในแต่ละเครื่องหมายของกลุ่มเป้าหมาย แตกต่างจากคะแนนก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 5.3 ข้อเสนอแนะ จากผลการวิจัยในครั้งนี้ ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะเพิ่มเติม ดังนี้ 5.3.1 ควรมีการนำผลวิจัยครั้งนี้ไปศึกษาและพัฒนาการเรียนการสอนของรายวิชาดนตรีนาฏศิลป์ไทย 5.3.2 ควรมีการทำวิจัยในเรื่องอื่น ๆ ของรายวิชาดนตรีนาฏศิลป์ไทย เช่น การฝึกขั้นพื้นฐานนาฏศิลป์ ไทย 5.3.3 ควรใช้สถิติเพิ่มเติมในการวัดและประเมินผลร่วมด้วย เพื่อเพิ่มแม่นยำและประสิทธิภาพในการ ทำการวิจัย


ภาคผนวก


ประวัติผู้วิจัย ชื่อ – นามสกุล นางสาววชิราภรณ์ สิงห์เถื่อน วัน เดือน ปีเกิด 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2543 ตำแหน่ง นักศึกษาฝึกปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา สถานที่อยู่ปัจจุบัน 7 หมู่ 6 ตำบลตลาดน้อย อำเภอบ้านหมอ จังหวัดสระบุรี 18130 ประวัติการศึกษา มัธยมศึกษาปีที่ 1 – 6 วิทยาลัยนาฏศิลปอ่างทอง ปริญญาตรี วิทยาลัยนาฏศิลปอ่างทอง


Click to View FlipBook Version