ฐานข้อมูลภูมิปัญญาท้องถิ่น (Local Wisdom) ตำบลอรพิมพ์ อำเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมา
คำนำ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราชการ 2560 มาตรา 57 (1) รัฐต้องอนุรักษ์ ฟื้นฟูและ ส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่น ศิลปะ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมและจารีตประเพณีอันดีงามของท้องถิ่น และของชาติ จัดให้มีพื้นที่สาธารณะ สำหรับกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนใน ชุมชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ใช้สิทธิและมีส่วนร่วมในการดำเนินการด้วยภูมิปัญญาไทย มีความสำคัญอย่างยิ่งช่วยสร้างชาติให้เป็นปึกแผ่นมั่นคง สร้างความภาคภูมิใจและศักดิ์ศรีเกียรติภูมิ แก่คนไทย สามารถปรับประยุกต์หลักธรรมคำสอนทางศาสนาใช้กับชีวิตได้อย่างเหมาะสมสร้างความสมดุล ระหว่างคนกับสังคมและธรรมชาติได้อย่างยั่งยืน ช่วยเปลี่ยนแปลงปรับปรุงวิถีชีวิตของคนไทย ให้เหมาะสมได้ตามยุคตามสมัย กองการศึกษา เทศบาลตำบลอรพิมพ์ ได้เล็งเห็นความสำคัญของภูมิปัญญาท้องถิ่น ศาสนา จึงได้จัดท าโครงการสำรวจฐานข้อมูลภูมิปัญญาท้องถิ่น ข้อมูลทางด้านศาสนาหรือปราชญ์ชาวบ้าน เพื่อให้ข้อมูลภูมิปัญญาท้องถิ่น ข้อมูลทางศาสนา หรือปราชญ์ชาวบ้าน เทศบาลตำบลอรพิมพ์ อำเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมา เป็นปัจจุบัน และเพื่อ สืบสานและอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สำคัญและมีประโยชน์ไว้ไม่ให้สูญหายไปจากชุมชน และหวังเป็นอย่างยงว่า ฐานข้อมูลภูมิปัญญาท้องถิ่น ข้อมูลทางศาสนา หรือปราชญ์ชาวบ้าน เล่มนี้จะเป็นประโยชน์ต่อสาธารณชนในการศึกษา ภูมิปัญญาท้องถิ่นปราชญ์ชาวบ้าน หรือ ปราชญ์ท้องถิ่น ต่อไป กองการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม
สารบัญ เรื่อง หน้า ภูมิปัญญาท้องถิ่น 1 - ภูมิปัญญาด้านเกษตรกรรม 2 - ภูมิปัญญาด้านหัตกรรม 3 - ภูมิปัญญาด้านอุตสาหกรรม 10 - ภูมิปัญญาด้านการแพทย์แผนไทย 1๔ - ภูมิปัญญาด้านศิลปกรรม 1๖ - ภูมิปัญญาด้านความเชื่อ ศาสนา พิธีกรรม 1๘
-1- ภูมิปัญญาท้องถิ่น ประเภทของภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาท้องถิ่น หมายร่วมถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ชาวบ้าน คิดค้นขึ้น แล้วนำมาปรับปรุงแก้ไขพัฒนา เป็นทั้ง สติปัญญาและองค์ความรู้ทั้งหมดของชาวบ้าน ดังนั้น จึงมีความครอบคลุมเนื้อหาสาระและแนวทางดำเนินชีวิตใน วง กว้าง ภูมิปัญญาท้องถิ่นประกอบไปด้วยองค์ความรู้ใน หลายวิชา ดังที่ อาจารย์ประกอบ ใจมั่น (2547 ,หน้า ๙๕ - ๙๘ ) ได้ดำเนินการรวบรวมข้อมูลของท้องถิ่นและภูมิปัญญาท้องถิ่นใด้จำนวน 10 สาขา ดังนี้ ๑. สาขาเกษตรกรรม หมายถึง ความสามารถในการผสมผสานองค์ความรู้ ทักษะและเทคนิคด้านการเกษตร กับเทคโนโลยี โดยการพัฒนาบนพื้นฐานคุณค่าดั้งเดิม ซึ่งคนสามารถพึ่งพาตนเองในสภาวการณ์ต่าง ๆ ได้ เช่น การทำ การเกษตรแบบผสมผสาน การแก้ปัญหาการเกษตรด้านการตลาด การแก้ปัญหาด้านการผลิต (เช่น การแก้ไขโรคและ แมลง) และการรู้จักปรับใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับการเกษตร เป็นต้น ๒. สาขาอุตสาหกรรมและหัตถกรรม (ด้านการผลิตและการบริโภค) หมายถึง การรู้จักประยุกต์ใช้เทคโนโลยี สมัยใหม่ในการแปรรูปผลผลิต เพื่อชะลอการนำเข้าตลาด เพื่อแก้ปัญหาด้านการบริโภคอย่างปลอดภัย ประหยัด และ เป็นธรรมอันเป็นขบวนการให้ชุมชนท้องถิ่นสามารถพึ่งตนเองทางเศรษฐกิจ ตลอดทั้งการผลิตและการจำหน่ายผลผลิต ทางหัตถกรรม เช่น การรวบรวมกลุ่มของกลุ่มโรงงานยางพารา กลุ่มโรงสี ๓. สาขาการแพทย์ไทย หมายถึง ความสามารถในการจัดการป้องกันและ รักษาสุขภาพของคนในชุมชน โดย เน้นให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองทาง ด้านสุขภาพและอนามัยได้ ๔. สาขาการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หมายถึง ความสามารถเกี่ยวกับการจัดการ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทั้งอนุรักษ์ การพัฒนา และใช้ประโยชน์จากคุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติ และ สิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลและยั่งยืน ๕. สาขากองทุนและธุรกิจชุมชน วิสาหกิจชุมชน หมายถึง ความสามารถในด้านบริหารจัด การค้า การ สะสมและบริการกองทุนและธุรกิจในชุมชน ทั้งที่เป็นเงินตราและโภคทรัพย์เพื่อเสริมชีวิตความเป็นอยู่ ของ สมาชิกในชุมชน ๖. สาขาศิลปกรรม หมายถึง ความสามารถในการผลิตผลงานทางด้านศิลปะสาขาต่าง ๆเช่น จิตรกรรม ประติมากรรม วรรณกรรม ทัศนศิลป์ คีตศิลป์ เป็นต้น ๗. สาขาภาษาและวรรณกรรม หมายถึง ความสามารถผลิตผลงานเกี่ยวกับด้านภาษา ทั้งภาษาถิ่น ภาษา โบราณ ภาษาไทย และการใช้ภาษา ตลอดทั้งด้านวรรณกรรมทุกประเภท ๘. สาขาศาสนาและประเพณี หมายถึง ความสามารถประยุกต์ และปรับใช้หลักธรรมคำสอนทางศาสนา ความเชื่อและประเพณีดั้งเดิมที่มีคุณค่า ให้เหมาะสมต่อการประพฤติปฏิบัติให้บังเกิดผลดีต่อบุคคลและสิ่งแวดล้อม เช่น การถ่ายทอดหลักธรรมทางศาสนา การบวชป่าการประยุกต์ประเพณีบุญประทายข้าวเป็นต้น ๙. โภชนาการ หมายถึง การรู้จักประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการแปรรูปผลผลิตเพื่อชะลอการนำเข้า ตลาด เพื่อแก้ปัญหาด้านการโภชนาการอย่างปลอดภัย ประหยัดและเป็นธรรมอันเป็นขบวนการที่จะให้ชุมชนท้องถิ่น สามารถพึ่งตนเองทางเศรษฐกิจได้ เช่น การแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร ให้สามารถบริโภคได้โดยตรง
-2- แยกตามประเภทสาขาภูมิปัญญาท้องถิ่น ตำบลอรพิมพ์ อำเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมา การทำเกษตรผสมผสานหมุนเวียน ช่วยให้ชาวบ้านสามารถใช้ที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุดสามารถลดรายจ่ายใน การซื้อวัตถุดิบในการประกอบอาหาร มีความมั่นคงทางด้านรายได้อย่างต่อเนื่องจากการขายผลผลิตทางการเกษตร มี ความมั่นคง และมีอิสระในการใช้ชีวิต ลดการพึ่งพาจากภายนอก ใช้แรงงานในการทำเกษตรจากครัวเรือน อาศัย ช่วยกันทำคนละไม้คนละมือ นายพรม ปรึกมะเริง เป็นเกษตรกรใช้วิธีการแบบกสิกรรมมาใช้ในการดำเนินชีวิต (การเพาะปลูกพืช เช่น การทำนา การทำสวนผลไม้ การทำไร่ การปลูกพืชไม่ใช้ดิน เป็นต้น)มีความรู้ ในเรื่องพันธุ์ข้าวที่หลากหลายแตกต่างกันออกไป ภูมิปัญญาในการคัดเลือกพันธุ์ข้าวที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับการเพาะปลูกในแต่ละสภาพพื้นที่ ภูมิประเทศ ภูมิอากาศและปริมาณน้ำ อาทิ การใช้พันธุ์ข้าวที่มีลำต้นสูงมาปลูกในพื้นที่น้ำท่วม การใช้พันธุ์ข้าวที่ต้องการน้ำน้อยมา ปลูกในนาไร่ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังรู้จักผสมพันธุ์ข้าวให้ได้ข้าวพันธุ์ใหม่ๆ ที่มีคุณภาพดีขึ้น ทนทานต่อโรคและศัตรูพืช หรือให้ปริมาณผลผลิตสูงขึ้น ภูมิปัญญาเรื่องวิธีการปลูกข้าว ภูมิปัญญานี้ครอบคลุมตั้งแต่การเตรียมพื้นที่จนถึงการเก็บเกี่ยวข้าว ซึ่งมีขั้นตอน และวิธีการมากมาย เช่น รู้จักการไถในหลายๆ แบบตั้งแต่การไถดะ ไถรี ไถขวาง หรือไถกลบ วิธีการหว่านเมล็ดพืช สำหรับข้าวบางชนิดต้องทำแปลงตกกล้าก่อนแล้วจึงนำต้นกล้าไปปักดำ วิธีการรักษาดูแลเมื่อข้าวออกรวง รู้จักวิธี จัดการกับศัตรูพืชและโรคพืชชนิดต่างๆ ตลอดจนการจัดหาและผลิตเครื่องมือเครื่องใช้ที่เพิ่มประสิทธิภพในการทำนา อาทิ คันไถ เคียว เป็นต้น ภูมิปัญญาด ้ านเกษตรกรรม
-3- ภูมิปัญญาท้องถิ่นในงานฝีมือหรืองานช่างที่ทำด้วยมือ และอุปกรณ์อย่างง่าย โดยไม่ใช้เครื่องจักรเป็น องค์ประกอบหลักในการผลิต เช่น งานจักสาน, งานทอด้วยมือ, งานถักหรือปักด้วยมือ เป็นต้น อาศัยอยูบ้านเลขที่ 239 หมู่ 2 ตำบลอรพิมพ์ อำเภอครบุรี จังหวัด นครราชสีมา ท่านเป็นผู้มีความรู้ด้านการจักรสาน เช่น สานตะกร้า ด้วยไม้ ไผ่ อุปกรณ์หาปลาต่างๆ การจักสานเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชนที่สำคัญยิ่งต่อการดำรงชีวิต ตั้งแต่อดีตจนถึง ปัจจุบัน การจักสานเป็นตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นภูมิ ปัญญาอันเฉลียวฉลาดของคนในท้องถิ่น ที่ใช้ ภูมิปัญญาสามารถนำสิ่งที่มี อยู่ในชุมชนมาประยุกต์ทำเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งมี ประโยชน์ในการ ดำรงชีวิต การจักสานตะกร้า ไม้ไผ่ ได้สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ถ่ายทอดภูมิปัญญาจาก รุนสู่รุ่น เกิดจากความคิดในการนำเอาไม้ไผ่ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่มี อยู่ในหมูบ้าน นำมาแปรรูปเป็นตะกร้า วิธีการทำตะกร้า ๑. ตัดไม้ไผ่แก่มาผ่าซีกและผ่าแบ่งเป็นเสี้ยวเล็ก ๆ ขนาดประมาณ 1 ซม. และอีกส่วนหนึ่งผ่าประมาณ 1 นิ้ว เพื่อใช้ทำขอบปากตะกร้าและมือจับ ๒. นำแต่ละชิ้นที่ผ่าไว้ ลอกใช้แต่ส่วนเปลือก โดยใช้มีดคม ๆ เหลา หรือขูดเนื้อไม้ออกและเหลือแต่ส่วน เปลือกบาง ๆ และเหนียว ๓. เริ่มต้นสานตะกร้า โดยเริ่มที่ก้นก่อน โดยใช้ส่วนที่แข็งกว่าและ หนากว่าสานที่ก้น ความยาวของไม้ ตามขนาดของตะกร้า เส้นที่แข็งกว่าสาน ขึ้นตามแนวตั้ง ความห่างเท่าๆ กัน ส่วนเส้นไม้ไผ่ที่บาง นิ่ม สานตามขวางชั้น มาเรื่อย ๆ ให้แน่น มีลักษณะเป็นวงกลมแต่ปากตะกร้าจะกว้างกว่าก้นตะกร้า พอได้ ขนาดตามต้องการใช้ไม้ไผ่ขนาด 1 นิ้ว ทำให้เป็นวงกลมและวางไว้ที่ ขอบปากตะกร้า ใช้ไม่ไผ่ส่วนที่ ตั้งขึ้น พัน หรือ บิดลงไปด้านล่าง สานลงไป ประมาณ 1 นิ้ว จนแน่นไม่หลุด ตัดเศษที่เหลือทิ้ง ตกแต่ง ให้สวยงาม ๔. ใส่หูหรือที่หิ้ว ซึ่งทำจากไม้ไผ่และโค้งงอได้ใช้เชือกหรือหวายพัน ให้แน่น หรือใช้เชือกที่เป็นสีพันที่ มือจับจนมิด นำไปใช้งานหรือขายได้ ๕. หากต้องการเก็บไว้ใช้งานได้นาน ทาเล็กเกอร์เคลือบไม้ไผ่ทั้งด้าน ในและด้านนอก แล้วนำไปตาก แดดให้แห้ง ภูมิปัญญาด ้ านหัตกรรม นายหล่อ รุมกระโทก (งานจักสานด้วยไม้ไผ่
-๔- อาศัยอยู่บ้านเลขที่ ๗๗ หมู่ 2 ตำบลอรพิมพ์ อำเภอครบุรี จังหวัด นครราชสีมา ท่านเป็นผู้มีความรู้ด้านหัตถกรรม งานฝีมือหรืองานช่างที่ทำด้วยมือ เช่น ถักเปลด้วยผ้า เมื่อครั้งก่อนสมัยปู่ยาตายายได้ใช้ผ้าขาวม้าเป็นวัสดุในการผูกเปลให้ลูก นอนในบ้านและตามต้นไม้หรือขณะไปทำงานการเกษตรทำนาเพื่อเป็นการพักผ่อน เนื่องจากผ้าที่แขวนเปลไม่คงทนและไม่ถาวร อีกทั้งไม่มีอากาศถ่ายเทได้ไม่สะดวกจึง ทำให้เกิดภูมิปัญญาท้องถิ่นประกอบกับมีเศษผ้าที่ผ่านการคัดเลือกนำเฉพาะผ้าที่ ทนทานไม่ขาดง่ายจากหนุ่มสาววัยแรงงานที่ไปทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯได้นำเศษวัสดุผ้าที่สวยงามมายังในหมู่บ้าน ที่ไม่ สามารถนำมาใช้ได้อีกจึงเกิดนวัตกรรมการแปรรูปสินค้าวัสดุเศษผ้าที่เหมาะสม จนเกิดการแปรสภาพสินค้าเป็นเปลจาก เศษผ้าขึ้น 1. นำเศษผ้ามาแยกเป็นสี ๆ จากนั้นเศษผ้าที่แยกไว้เป็นสี ๆ แยกม้วนไว้เป็นแต่ละสี ๆ ตามความหนาของผ้า 3. เตรียมไม้ยาวประมาณ 1 เมตร มาตีตะปู โดยมีความกว้างของตะปู 2 ศอก ห่างกัน 30 ฟุต 4. น้ำเศษผ้าที่เตรียมไว้สำหรับทำหูเปลมาพันกับตะปูทั้งหมด 7 รอบ 5. นำเศษผ้ามาสานเป็นบ่วงไขว้กันลักษณะคล้ายเปียให้มีความยาว 10 นิ้ว จึงนำปลายทั้งสองข้าง ผูกเข้ากันให้เป็นห่วงวงรี จึงได้หูเปลจำนวน 14 หู โดยทำตอนที่ 5 อีก 1 รอบ จึงจะได้หูเปลสองข้าง 6. นำหูเปลที่เตรียมไว้ทำตามขั้นตอนที่ 5 มาสานขึ้นต้นด้วยเศษวัสดุที่เตรียมไว้ในขั้นตอนที่ 2 โดยเก็บหูไว้ 2 อันจะเหลือหู 12 อัน เริ่มถักหูแรกโดยขึ้นต้นสอดผ้าลักษณะเงื่อนพิรอด ถักต่อไปเรื่อย ๆ จนครบ 12 หู (ครบ 1 แถว) 7. นำเศษผ้าอีกหนึ่งสี ที่เตรียมไว้โดยผูกกับหูแรก แถวที่ 1 แล้วนำมาถักเป็นเงื่อนพิรอดกับแถวที่ 1 ถักไปเรื่อย ๆ จนครบ 12 ช่อง จะได้แถวที่ 2 8. ทำตามวิธีขั้นตอนที่ 6 และขั้นตอนที่ 7 สลับกันไปมาทั้งสองสีเรื่อย ๆ จนครบ 14 แถว 9. นำหูทีเหลืออีกข้างมาผูกกับต้นเสาเพื่อทำการต่อเปลที่ถักเสร็จแล้ว 14 แถว นำปลายวัสดุเศษผ้าจากแถวที่ 14 มาถักต่อหูที่ เตรียมไว้โดยถักสลับฟันปลากันไปมาเหมือนถักเปลตามขั้นตอนที 5 และขั้นตอนที่ 7 จนไปสุดแถว (แถวที่ 15) นายแปว อั้นกระโทก (ถักเปลด้วยผ้า)
-5- อาศัยอยู่บ้านเลขที่ ๗ หมู่ ๘ บ้านใหม่หนองเสือบอง ตำบลอรพิมพ์ อำเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมา ท่านเป็นผู้มีความรู้ ด้านการจักรสานและงานประดิษฐ์จากธรรมชาติ เช่น ทำไม้กวาดทางมะพร้าว -6- ไม้กวาดทางมะพร้าวเป็นอุปกรณ์สำหรับทำความ สะอาดในครัวเรือนมาเป็นเวลาช้านาน ในอดีตชุมชนต่างๆ ที่มี การปลูกต้นมะพร้าวก็จะนำส่วนต่างๆ ของต้นมะพร้าวไปใช้ ประโยชน์ในด้านต่างๆ เช่น ทางมะพร้าวที่แห้งแล้วก็สามารถ นำมาประดิษฐ์เป็นอุปกรณ์สำหรับทำความสะอาดบ้านเรือนได้ โดยนำมาทำเป็นไม้กวาดทางมะพร้าว ไม้กวาดทางมะพร้าวเหมาะสำหรับการใช้กวาดพื้นใน พื้นหยาบ พื้นซีเมนต์ พื้นหญ้า ตามถนนหนทาง หรือแม้กระทั่ง พื้นเปียก เนื่องจากเป็นอุปกรณ์ที่ใช้งานได้สะดวก จัดเก็บได้ง่าย มีความทนทาน หรือหากชำรุดเสียหายก็สามารถหาซื้อใหม่ได้ไม่ ยาก ราคาไม่แพง ไม้กวาดทางมะพร้าวจึงยังคงได้รับความนิยม อยู่จนถึงปัจจุบัน 1. นำก้านมะพร้าวที่เตรียมไว้ไปแช่น้ำประมาณ 5 นาที จากนั้นใช้เชือกฟางมัดก้านมะพร้าว ไว้เป็นกำๆ ละประมาณ 10 เส้น และให้หักปลายก้านมะพร้าวลงมัดให้แน่นอีกรอบ 2. มัดเป็นกำต่อกันไปเรื่อยๆ จนเป็นแผงให้ได้ความยาวประมาณ 30 เซนติเมตร แล้วมัด ปลายเชือกให้แน่น เพื่อเตรียมไปพันกับด้ามไม้กวาดที่เตรียมไว้ 3. นำปลายแผงก้านมะพร้าวด้านหนึ่งวางทาบไว้ที่ด้ามไม้กวาดแล้วใช้ตะปูตอกยึดไว้ให้แน่น เพื่อไม่ให้หลุดจากนั้นนำแผงก้านมะพร้าวพันไปรอบๆ ด้ามไม้กวาดโดยให้พันขึ้นไปด้านบน จนสุดปลายแผงแล้วมัดเชือกฟางไว้กับด้ามไม้กวาดให้แน่น พร้อมทั้งใช้ตะปูตอกแผง ก้านมะพร้าวให้ยึดติดกับด้ามไม้กวาดโดยรอบ เสร็จแล้วให้มัดรวบปลายก้านมะพร้าวไว 4. นำตะปูตอกที่ด้ามไม้กวาดหนึ่งจุดแล้วนำ เส้นพลาสติกมาผูกและสานขัดกันไปเรื่อยๆ รอบด้ามไม้กวาดจากนั้นนำก้านมะพร้าวอีกส่วนหนึ่งมาตัดปลายให้แหลม แล้วเสียบตาม ช่องเส้นพลาสติกโดยรอบเพื่อตกแต่งให้ไม้กวาดดูหนาขึ้น 5. นำเส้นพลาสติกมาสานขัดกับก้านไม้กวาดขึ้นลงให้รอบด้ามไม้กวาดเพื่อเพิ่มความแข็งแรง โดยจะใช้เส้นพลาสติกสลับสีกันเพื่อเพิ่มความสวยงาม สานจนสูงประมาณ 7 เซนติเมตร แล้ว ใช้ตะปูตอกปลายพลาสติกให้แน่น 6. ทำการปลดเชือกที่ปลายก้านไม้กวาดออกแล้วคลี่ก้านไม้กวาดให้แผ่แนบกับปลายด้ามไม้ กวาดตัวทีนำปลายเส้นพลาสติกสอดในรูเชือกที่ด้ามไม้กวาดแล้วมัดให้แน่น จากนั้นนำเส้น พลาสติกสานขัดกับก้านไม้กวาดทีละ 5 เส้น จนรอบด้ามไม้กวาดตัวทีเสร็จแล้วน าตะปูตอก เส้นพลาสติกกับด้ามตัวทีให้แน่นอีกครั้งหนึ่งเป็นอันเสร็จ นายบุญธรรม หุบกระโทก (ไม้กรวดทางมะพร้าว)
-6- อาศัยอยู่บ้านเลขที่ 155 ม.4 บ้านหนองเสือบอง ต.อรพิมพ์ อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา โทร 062-9982-339 บายศรี พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ ให้คำจำกัดความไว้ว่า หมายถึง เครื่องเชิญขวัญ หรือรับขวัญทำด้วยใบตอง รูปคล้ายกระทงเป็นชั้นๆ มีขนาดเล็กใหญ่สอบขึ้นไปตามลำดับ เป็น ๓ ชั้น ๕ ชั้น ๗ ชั้น หรือ ๙ ชั้น มีเสาปักตรงกลางเป็นแกนมีเครื่องสังเวยวางอยู่ในบายศรีและมีไข่ขวัญเสียบอยู่กลางยอดบายศรี รายละเอียดองค์ความรู้ / ภูมิปัญญา การเลือกใบตอง ใบตองที่นำมาใช้สำหรับทำบายศรี มักนิยมใช้ใบตองจากกล้วยตานีเนื่องจากเป็นใบตองที่มี ลักษณะเป็นเงา มันวาว เมื่อโดนน้ำจะยิ่งเกิดประกายสีเขียวเข้มสวยงามยิ่งขึ้น และที่สำคัญ ใบตองจากกล้วยตานี มีความ คงทน ไม่แตกง่าย ไม่เหี่ยวง่าย สามารถนำมาพับม้วนเป็นรูปลักษณะต่างๆได้ง่าย เมื่อได้ใบตองมาแล้ว จะต้องนำมาทำความสะอาดก่อน ด้วยการเช็ดฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกต่างๆ โดยการเช็ด จะต้องใช้ผ้าเช็ดตามรอยของเส้นใบไปในทางเดียว อย่าเช็ดกลับไปกลับมา หรืออย่าเช็ดขวางเส้นใบเป็นอันขาด เพราะจะทำ มีรอยแตก และช้ำ ทำให้ไม่สามารถนำใบตองมาใช้งานได้เต็มที่ เพื่อรอนำมาใช้งานในขั้นตอนต่อไปนี้ เป็นภูมิปัญญาที่สร้างสรรค์จาก ความเชื่อและภูมิปัญญา ที่เป็นมงคลเพื่อใช้ใน พิธีกรรม ใช้ในการบูชาสิ่งเคารพ และใช้ใน การสู่ขวัญ บายศรีมีหลายประเภทหลาย รูปแบบตัวบายศรีมีหลายชั้นและมีความหมาย ของการนับชั้นที่แตกต่างกันออกไป การ บายศรีสู่ขวัญเป็นวัฒนธรรมไทยที่สืบทอดกัน มานานโดยมีการสู่ขวัญ ๓ อย่างคือ สู่ขวัญคน สู่ขวัญสัตว์ และสู่ขวัญสิ่งของ การพับหรือฉีกใบตอง แบ่งเป็นสามประเภทคือ - ใบตองสำหรับทำกรวยแม่ ฉีกกว้างประมาณ 2 นิ้วฟุต - ใบตองสำหรับทำกรวยลูก ฉีกกว้างประมาณ 2 นิ้วฟุต - ใบตองสำหรับห่อ ฉีกกว้างประมาณ 1.5 นิ้วฟุต - โดยการพับกรวยแม่และกรวยลูกจะมีลักษณะวิธีการพับเหมือนกัน คือ การนำใบตองมาพับม้วนให้เป็นกรวยปลายแหลมแล้ว - ให้นำลวดเย็บกระดาษ มาเย็บใบตองไว้เพื่อป้องกันใบตองคลายตัว ออกจากกัน แล้วเก็บกรวยแต่ละประเภทไว้จนครบจำนวนที่ต้องการ นางวรยา สุ่มมาตย์ (การทำบายศรี)
-7- - การห่อริ้วบายศรี คือการนำกรวยแม่ และ กรวยลูกที่ได้ห่อกรวย ไว้เรียบร้อยแล้ว มาห่อมัดรวมเข้าไว้ด้วยกัน ที่นิยมทำกัน ใน 1 ริ้ว จะประกอบด้วย กรวยแม่ 1 กรวย กรวยลูก 9 กรวย - การห่อริ้ว แต่จะแบ่งวิธีตามลักษณะงานที่ได้เป็น 2 วิธี คือ 1. ห่อ แบบตรง 2. ห่อแบบหวาน - เมื่อห่อริ้วจนเสร็จในแต่ละริ้วแล้ว จึงนำริ้วที่ได้ลงแช่ในน้ำที่เตรียม ไว้ประมาณ 20 นาที - ถือเป็นขั้นตอนสุดท้ายในการทำบายศรี คือการนำริ้วที่ทำเสร็จ แล้วและแช่ในน้ำมาประกอบเข้ากับพาน - นำริ้ว มาประกอบกับพานที่วางอยู่ชั้นล่างสุดก่อน ตามด้วยการ ประกอบริ้วกับพานชั้นกลาง และชั้นบนสุด การประกอบริ้วกับ พานชั้นบนสุด ให้ห่อใบตองเป็นกรวยขนาดใหญ่พอควรวางไว้ เป็นแกนกลางของพาน จากนั้นจึงนำใบไม้ (ส่วนใหญ่จะน าใบไม้ ที่มีชื่อเป็นมงคล เช่น ใบเงิน ใบทอง ) มาวางรองบนพาน เพื่อ ปกปิดไม่ให้มองเห็นโฟมที่รองพื้นพาน และนำดอกไม้สีสด เช่น ดอกบานไม่รู้โรย หรือดอกดาวเรือง มาประดับบนพานเพิ่มความ สวยงามหรือทำมาลัย สวมบนยอด หรือทำเป็นอุบะร้อยรอบ พานแต่ละชั้น ก็จะเพิ่มสีสัน และความสวยงามให้แก่พานบายศรี มากขึ้น
-8- บ้านเลขที่260 บ้านใหม่หนองเสือบอง หมู่ 8 ตำบลอรพิมพ์อำเภอครบุรีจังหวัดนครราชสีมา ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับไม้กวาดดอกหญ้า “ไม้กวาด” เป็นวัสดุ เครื่องมือเครื่องใช้ ในครัวเรือน ใช้ทำ ความสะอาดบ้าน บริเวณบ้าน อาคารสถานที่ต่าง ๆ ในสมัยโบราณ คนในครอบครัว จัดทำขึ้นใช้เฉพาะในครัวเรือนของตนเอง แลกเปลี่ยนกับเพื่อนบ้าน ในปัจจุบันผลิตขึ้นเพื่อจำหน่ายเป็นอาชีพ หลัก / อาชีพรองของท้องถิ่น ในระยะแรกๆ ด้ามไม้กวาดทำจากไม้ เนื้อแข็ง เช่นไม้เหียง, ไม้จุมปี จุมปา ไม้ไผ่ ปัจจุบันได้มีวิวัฒนาการ ด้ามทำจากพลาสติก ที่ให้ความสวยงาม และคงทนกว่า “ดอกหญ้า” (ก๋ง เป็นชื่อเรียกดอกหญ้าของท้องถิ่นภาคเหนือเรียก) เป็นส่วนที่ใช้กวาด นอกจาก จะท าเป็นไม้กวาดสำหรับกวาดพื้นแล้ว ยังมีไม้กวาดขนาดเล็ก สำหรับกวาดบนโต๊ะ ตู้ และขนาดเล็กๆ สำหรับเป็นของชำร่วย ประดับตกแต่ง อุปกรณ์การทำไม้กวาดดอกหญ้า 1. เข็มเย็บกระสอบ 2. เชือกฟาง 3. ไม้ไผ่ ความยาวประมาณ 80 ซม. 4. ดอกหญ้า 5. ตะปูขนาด 1 นิ้ว จำนวน 2 ตัว ขั้นตอนการทำไม้กวาด 6. ลวด 7. เต้าพลาสติก 8. คีมตัดลวด 9. ค้อน นายดำ ชาติครบุรี (ทำไม้กรวดดอกหญ้า)
-9- วิธีทำไม้กวาดดอกหญ้า 1.นำดอกหญ้ามาทำความสะอาดและตากแดดให้แห้ง คัดเลือกเฉพาะดอกหญ้าที่มีคุณภาพดี 2. นำดอกหญ้าปริมาณ 1 กำมือ มัดให้เป็นวงกลมโดยมัด ด้วยลวด 3. นำเข็มเย็บกระสอบ ซึ่งร้อยเชือกฟางไว้แล้ว แทงเข้าตรง กลางมัดดอกหญ้า แล้วถักขึ้นลงแบบหางปลา ให้ ได้ 3 ชั้น พร้อมจัดดอกหญ้าให้มีลักษณะแบน 4. ตัดโคนดอกหญ้าให้เสมอกัน 5. นำด้ามไม้ไผ่เจาะรูที่หัวไว้สำหรับห้อยเชือกและเจาะรู ตรงปลายนำมาขัดด้วยก้อนจากนั้นเสียบเข้าตรง กลางมัดดอกหญ้า 6. นำเชือกฟางมัดดอกหญ้าไว้ด้วยกัน โดยนำเชือกฟางมา สอดตรงรูที่เจาะ เพื่อป้องกันไม่ให้ดอกหญ้าออก จากกัน 7. ตอกตะปูที่เตรียมไว้ เพื่อให้ดอกหญ้าติดกับด้ามไม้ไผ่ และมีความแข็งแรงขึ้น * เคล็ดลับทำให้ไม้กวาด แข็งแรง ควรนำดอกหญ้าตากแดดให้แห้งสนิทก่อนมัด จะได้ไม้กวาดที่มีความแข็งแรง ไม่หลุดง่าย เมื่อถึง เวลาใช้งาน
-10- คือ ภูมิปัญญาท้องถิ่นในงานที่ใช้ทุน แรงงาน และเครื่องจักรเป็นองค์ประกอบหลักในการผลิต โดยมีเป้าหมายการผลิตสิ่งของเป็นจำนวนมากเพื่อการค้า และรวมถึงงานด้านการบริการ เช่น การทำเครื่องเรือนจากไม้แปร รูป (โต๊ะ/เตียง/ตู้) การแปรรูปสิ่งต่าง ๆ จากยางพารา เป็นต้น อาศัยอยู่บ้านหนองเสือบอง ตำบลอรพิมพ์ อำเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมา โทร 083-8385018 ถ่าน เป็นส่วนหนึ่งที่ถูกใช้ในครัวเรือน ในการประกอบอาหารประเภท ปิ้ง ย่าง ฯลฯ โดยเฉพาะอาชีพค้าขายปิ้งย่าง ที่ต้องใช้ถ่านเป็นประจำเมืองหลายปีก่อน คนเราจะคุ้นเคยและ เคยชินกับถ่านไม้เท่านั้น ซึ่งได้จากการทำแท่งฟืนไม้ มาเผาให้เป็นถ่าน จึงเป็นที่มาของโครงการ หรือวิธีคิดที่จะเพิ่มประสิทธิภาพของถ่านไม้ให้กลายเป็นถ่านอัดแท่ง เพราถ่านอัดแท่ง ไร้กลิ่น ไร้ ควัน และขี้เถ่าน้อย ติดไฟนาน กรมมาวิธีผลิต (การผลิตถ่านอัดแท่ง มี 2 วิธี) 1. การอัดร้อน เป็นการอัดที่ไม่จำเป็นต้องมีการเผาถ่านมาก่อน เมื่ออัดเสร็จค่อยนำไปทำการเผาให้เป็นถ่านอีกครั้ง วัสดุมราสามารถโดยวีธีการอัดร้อนขณะนี้มี 2 ชนิด คือแกลบ และขี้เลื่อย เพราะทั้ง 2 วัสดุ เมื่อโดนอัดด้วยความร้อนจะมี สารในเนื้อของวัสดุยึดตัวมันเอง จึงทำให้สามารถเกาะเป็นแท่งได้ โดยที่ไม่ต้องใช้ตัวประสาน 2. การอัดเย็น เป็นการอัดวัสดุที่เผาเป็นถ่านมาแล้ว นำมาผสมกับแป้งมันหรือวัสดุอื่นๆ โดยทั่วไปจะใช้แป้งมัน ถ้า เป็นวัสดุขนาดใหญ่ เช่น กะลามะพร้าว เมื่อผ่านการเผาแล้ว ต้องมีเครื่องบดให้ระเอียดก่อน แล้วค่อยนำมาผสมกับแป้งมัน และน้ำในอัตราส่วนตามต้องการ ภูมิปัญญาด ้ านอุตสาหกรรม นายหล่อ มาเสือบอง (ถ่านอัดแท่ง)
-11- วิสาหกิจชุมชนกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรบ้านดอนสำโรง (แปรรูปพริก) อำเภอครบุรีตั้งอยู่ 109 หมู่ 7 ต.อรพิมพ์ อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา เบอร์โทรศัพท์ 072597090 พริกแห้ง และพริกป่น เป็นการแปรรูปพริกสดให้ สามารถเก็บได้นานขึ้น และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ใน หลากหลายรูปแบบเพื่อเพิ่มรสเผ็ดแก่ผลิตภัณฑ์อาหารต่างๆ อาศัยความรู้จากภูมิปัญญาท้องถิ่นที่นิยมใช้ กระบวนการย่างพริก เพื่อเพิ่มกลิ่นหอมของพริกก่อนนำไปใช้ ปรุงอาหาร หรือบดให้เป็นพริกป่น ซึ่งเป็นกระบวนการที่ สามารถช่วยลดการปนเปื้อนจุลินทรีย์ และลดความชื้นไปพร้อมกันด้วย จึงทำการทดสอบกระบวนการย่าง (roasting process) ที่อุณหภูมิและเวลาระดับต่างๆ ศึกษาผลต่อการเปลี่ยนแปลงสมบัติกายภาพ เคมี การต้านออกซิเดชั่น ปริมาณ จุลินทรีย์ และการยอมรับของผู้บริโภค เพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์พริกแห้งพริกป่นที่มีคุณภาพสูงและปลอดภัย นำมาซึ่งองค์ ความรู้ และสร้างความเข้าใจกระบวนการที่ภูมิปัญญาท้องถิ่นได้นำมาใช้ เพื่อผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องนำไปใช้พัฒนาให้ได้ ผลิตภัณฑ์พริกป่นที่มีคุณภาพมาตรฐานและปลอดภัยต่อการบริโภค กลุ่มแม่บ้านแปรรูปพริก หมู่ 7 (อุตสาหกรรมแปรูปพริก)
-12- อาศัยอยู่บ้านเลขที่หมู่ ๘ บ้านใหม่หนองเสือบอง ตำบลอรพิมพ์ อำเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมา ขั้นตอนการทำขนมจีน 1. การทำความสะอาด และแช่ข้าวเป็นขั้นตอนแรก ด้วยการนำ ข้าวมาแช่น้ำ และล้างทำความสะอาด หลังล้างเสร็จให้แช่ข้าว สักพัก ก่อนนำเข้าขั้นตอนการหมัก 2. การหมักข้าวการหมักข้าวเป็นกระบวนการที่ใช้จุลินทรีย์เข้าช่วยย่อยแป้ง และทำให้เกิดกลิ่น แต่ทั่วไปนิยมหมักแห้ง ซึ่ง มักจะหมักนาน 2-3 วัน การหมักข้าวไม่ควรหมักนานเกิน 3-4 วัน 3. การบดข้าว นำข้าวมาบดผ่านเครื่องบด เพื่อให้เมล็ดข้าวแตกเป็นผงขนาดเล็ก โดยมักบดขณะที่ข้าวอิ่มน้ำ ร่วมกับเติมน้ำ ขณะบด ซึ่งในขั้นตอนนี้อาจเติมเกลือประมาณ 4 ส่วน สำหรับป้องกันการเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ 4.การนอนแป้ง เป็นขั้นตอนที่ใช้ในระดับครัวเรือน ด้วยการแช่น้ำแป้งให้ตกตะกอน ในขั้นตอนนี้จะทำการล้างน้ำแป้ง ด้วย การให้น้ำ และปล่อยให้ตกตะกอน ซึ่งจะทำให้แป้งขาวสะอาด และมีกลิ่นน้อยลง 5. การทับน้ำ เป็นวิธีการกำจัดน้ำออกจากน้ำแป้ง ด้วยการนำน้ำแป้งใส่ผ้าขาวที่มัดห่อให้ ขั้นตอนนี้จะใช้เวลาประมาณ 1 วัน 6. การต้มเป็นขั้นตอนที่ทำให้แป้งสุกประมาณ 25-35 เปอร์เซ็นต์ โดยให้แป้งสุกเข้าด้านในประมาณ 1-3 ซม. เท่านั้น 7. การนวดแป้ง เป็นขั้นตอนการนำแป้งสุก และแป้งดิบผสมกัน ก้อนแป้งที่เหมาะสำหรับโรยเส้นนั้น มีลักษณะเป็นก้องแป้ง อ่อนออกเหลวเล็กน้อย 8. การกรองเม็ดแป้ง ในบางครั้งแป้งสุกอาจจับเป็นก้อนในขั้นตอนการนวดแป้ง จึงจำเป็นต้องกรองแป้งหลังนวดด้วยผ้าขาว เสียก่อนเพื่อกำจัดก้อนแป้งสุกออกไปให้หมด 9. การโรยเส้น ด้วยการบีบดันก้อนแป้งเหลวให้ไหลผ่านรูขนาดลงในน้ำเดือดเพื่อทำให้เส้นสุก โดยยังคงรูปเส้นเหมือนเดิม 10. การทำให้เย็น และจัดเรียงเส้น เป็นขั้นตอนสุดท้ายในการทำขนมจีน ภายหลังจากต้มเส้นให้สุกลอยขึ้นด้านบนหม้อแล้ว ต่อมาจะใช้ตะแกรงหรือกระชุตักเส้นขนมจีนขึ้นมา แล้วจุ่มลงน้ำเย็นทันที รอจนเส้นเย็นพร้อมสามารถใช้มือจับได้ เป็นผลิตภัณฑ์อาหารที่แปร รูปมาจากแป้งธรรมชาติในรูปของเส้นแป้งสุก สีขาว ขนาดเล็ก มีความนุ่ม ลื่น นิยมใช้รับประทานแทนข้าวคู่กับน้ำยาขนมจีน ชนิดต่างๆหรือรับประทานคู่กับอาหารอื่นๆ เช่น ส้มตำ และ เมนูยำต่างๆ การแปรรูปขนมจีน ถือเป็นภูมิปัญญาในการแปรรูป แป้งของคนไทยมาตั้งแต่สมัยอยุธยา สมัยก่อนนิยมใช้เป็น อาหารต้อนรับแขกในงานบุญต่างๆที่ขาดเสียมิได้ จนถึง ปัจจุบันนี้ก็ยังใช้เป็นอาหารอย่างหนึ่งสำหรับทุกเทศกาลงาน บุญต่างๆ รวมถึงกลายเป็นอาหารที่นิยมรับประทานแทนข้าว ได้ทุกเมื่อ นางอ่อนจันทร์ บุตรพรม (ภูมิปัญญาท้องถิ่น ด้านการทำขนมจีน)
-13- อาศัยอยู่บ้านเลขที่ 5 หมู่ 8 ตำบลอรพิมพ์ อำเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมา ในสถานการณ์ปัจจุบัน ยังมีการสืบสานภูมิปัญญาด้านการทำผลิตภัณฑ์จากรากไม้ให้กับลูกหลานเยาวชนเรื่อยมา และยังรักษาภูมิปัญญาด้านการทำผลิตภัณฑ์จากรากไม้ไว้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีเด็กเยาวชนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ในชุมชนก็จะให้ ความสนใจและมีแนวความคิดที่จะสืบสานภูมิปัญญาด้านการทำผลิตภัณฑ์จากำไม้ไว้ในท้องถิ่นนั้นต่อไป ภูมิปัญญาด้านงานช่างฝีมือด้านการผลิตเฟอร์นิเจอร์จากไม้ ได้สืบทอดกันมายาวนานโดยการดัดแปลงนำเอาวัตถุดิบ จากไม้มาประดิษฐ์เป็นของใช้ในครัวเรือน โดยใช้ภูมิปัญญาด้านงานช่างไม้ นำมาดัดแปลงใช้แผ่นไม้ ตอไม้ ที่ไม่มีประโยชน์ แล้ว แต่เป็นวัตถุดิบที่มีอยู่มาผลิตเป็นของใช้ในครัวเรือน เช่น โต๊ะ เก้าอี้ชั้นวางของ ซึ่งเป็นของใช้ที่มีความจำเป็นในครัวเรือน เพราะฉะนั้นงานช่างฝีมือ ด้านงานไม้ การประดิษฐ์ของใช้สอยในครัวเรือน ก็ยังคงต้องมีอยู่คู่กับวิถีการดำเนินชีวิตของชุมชน ต่อไป นางอรปรียา จันทร์มั่น (ด้านการแปรรูปไม้ เป็นเฟอร์นิเจอร์)
-14- คือ ภูมิปัญญาท้องถิ่นเกี่ยวกับการดูแลและรักษาสุขภาพแบบพื้นบ้าน เช่น การหัตถเวชกรรมไทย (การนวด ไทย/ การนวดประคบสมุนไพร), การใช้สมุนไพรในการรักษาโรค, การผดุงครรภ์พื้นบ้านโดยหมอตำแยของ ชาวไทยมุสลิม (โต๊ะบิแด) เป็นต้น อาศัยอยู่บ้านเลขที่ 89 หมู่ ๔ บ้านหนองเสือบอง ตำบลอรพิมพ์ อำเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมา นับว่าเป็นภูมิปัญญาของชาติ เป็นมรดก ทางวัฒนธรรมที่สืบทอดมาแต่โบราณ ควบคู่มากับสังคมไทย เป็นองค์ความรู้ที่ผ่านการสังเกต ทดลองใช้ คัดเลือก พัฒนา และถ่ายทอดสืบต่อกันมา เพื่อแก้ปัญหาสุขภาพให้สมดุลกับ บุคคล สังคม และสภาพแวดล้อม และมีการปรับเปลี่ยนให้ เหมาะสมกับยุคสมัย เป็นภูมิปัญญาที่มีควบคู่กับสังคมไทย ผูกพันและเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต ทั้งความเชื่อ พิธีกรรม วัฒนธรรม ประเพณี และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรและสืบทอดเป็นการแพทย์ ประสบการณ์ท้องถิ่นที่อิงกับบริบทของสังคมวัฒนธรรม และ สภาพแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติที่แตกต่าง ทำให้เป็นการแพทย์ที่มี เอกลักษณ์และมีความหลากหลายเฉพาะถิ่น ดังนั้น การแพทย์พื้นบ้านจึง เป็นการดูแลสุขภาพตามคติความเชื่อและการดำเนินชีวิต อาจแบ่งเป็น การแพทย์ประสบการณ์ การแพทย์โหราศาสตร์ การแพทย์ไสยศาสตร์ หรือการแพทย์แบบอำนาจเหนือธรรมชาติ เป็นต้น แต่ทั้งนี้การแพทย์ พื้นบ้านจะแตกต่างกันในแต่ละท้องถิ่น ภูมิปัญญาด ้ านการแพทย ์ แผนไทย นางผ่องใส หวลกระโทก (ด้านการนวด การทำลูกประคบ)
-15- การนวดไทย มีทั้งองค์ความรู้และศิลปะในการดูแลร่างกายและรักษาอาการเจ็บป่วยที่สะท้อนให้เห็นถึงภูมิปัญญา ทางวัฒนธรรมของคนไทย ที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ เป็นส่วนหนึ่งของแบบแผนการใช้ชีวิตที่มีคุณค่ามาแต่เดิมของสังคมไทย ที่มีการสืบทอดต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน จนสร้างชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก ในปัจจุบันมีการนำนวดไทยไปใช้ ประโยชน์กันอย่างกว้างขวางในระบบบริการสุขภาพของประเทศ สามารถบำบัดอาการปวดและฟื้นฟูสุขภาพของผู้ป่วยโรค เรื้อรัง รวมถึงเยียวยาอาการพิการที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของร่างกาย ซึ่งมีค่าใช้จ่ายที่น้อยและประชาชนทั่วไปสามารถ ฝึกฝนเพื่อช่วยเหลือกันเองได้ การนวดประคบสมุนไพร คือ การนำลูกประคบสมุนไพรสดหรือ สมุนไพรแห้ง นึ่งให้ร้อน และนำมาประคบตามส่วนต่างๆของ ร่างกาย ส่วนใหญ่มักนิยมประคบหลังจากการนวด การประคบสมุนไพร ประโยชน์ช่วยกระตุ้นการไหลเวียน ของเลือด ช่วยลดอาการบวม บรรเทาการอักเสบของ กล้ามเนื้อ บรรเทาอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย ส่วน สมุนไพรที่เลือกมาใช้ก็ให้ผลตามสรรพคุณแต่ละชนิดที่ เลือกสรรมา เช่น แก้อาการปวด เมื่อย เคล็ด ขัด ยอก เกร็ง ตึง ฟกช้ำ ยิ่งหากเป็นสมุนไพรที่มีน้ำมันหอมระเหย ตัวยาจะ ออกมากับไอน้ำและความชื้นซึมเข้าผิวหนังได้ดี ส่วนกลิ่นหอมของน้ำมันหอมระเหยจะช่วยให้สดชื่น ผ่อนคลายมากยิ่งขึ้นอีก ด้วย
-1๖- คือ ภูมิปัญญาท้องถิ่นในการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะสาขาต่าง ๆ เช่น จิตรกรรม, ประติมากรรม, นาฏศิลป์, ดนตรี,ทัศนศิลป์, คีตศิลป์, การละเล่นพื้นบ้านและการนันทนาการ เช่น การขับร้องเพลงอีแซว, ลำตัด, ลิเก, หมอลำ, โนรา เป็นต้น อาศัยอยู่บ้านเลขที่ ๖๗ หมู่ ๗ ตำบลอรพิมพ์ อำเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมา เป็นพิธีที่ทำขึ้นก่อนพิธีอุปสมบท เพื่ออบรมสั่งสอนนาคให้เห็น ความสำคัญ ของพระคุณพ่อแม่ตั้งแต่ให้กำเนิด อุปการะเลี้ยงดูมา ด้วยการปฏิบัติตนให้เป็นคนดีอยู่ในพระวินัยของพระสงฆ์อย่าง เคร่งครัด ขณะอยู่ในเพศของพระภิกษุสงฆ์ เพื่อให้เกิดบุญกุศลและ ผลแห่งกุศลบังเกิดแก่พ่อแม่ผู้ให้กำเนิด อุปการะเลี้ยงดูมา เป็นการ ทดแทนบุญคุณของพ่อแม่ ตามคติความเชื่อโบราณของชาวพุทธ ชาย ที่มีอายุครบบวช (๒๐ ปีบริบูรณ์) ต้องอุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์ เพื่อตอบแทนพระคุณของพ่อแม่ ๑. บายศรี (ใช้ใบตองประดิษฐ์) ๒. ผ้าแพรคลุมบายศรี ๓. แป้งเจิม ๔. แว่นเวียนเทียน ๓ แว่น ๕. ถังข้าวสาร ๖. เทียนชัย (เทียนเล่มใหญ่ ๑ เล่ม) ๗. เครื่องสังเวย (ข้าว ขนม ไข่ ฯลฯ) ๘. ใบตอง(ยอดตอง) ๓ ทาง ๙. ด้ายสายสิญจน์ ๑๐. น้ำมนต์ ๑๑. พระพุทธรูป ๑๒. โต๊ะหมู่บูชา ๑๓. อาสน์สงฆ์ ภูมิปัญญาด ้ านศิลปกรรม นางลั่นทม เวิดสูงเนิน (การเรียกขวัญนาค)
-1๗- ผู้ประกอบพิธี พิธีสงฆ์พระสงฆ์ประกอบพิธี ใช้พระสงฆ์จำนวน ๕ รูป ๗ รูป หรือ ๙ รูป ก็ได้ ตามความเหมาะสมแต่ที่นิยมใช้ ๙ รูป พระสงฆ์มาเจริญพระพุทธมนต์ ทำน้ำพุทธมนต์มนต์เพื่อเป็นสิริมงคลจะทำก่อนพิธีทำขวัญนาค พิธีทำขวัญนาค หมอขวัญ (หมอขวัญนาค) เป็นผู้ประกอบพิธี เรียกสั้น ๆ ว่า หมอขวัญ หมอขวัญจะเริ่มพิธีต่อจาก พระสงฆ์ หลังจากพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์เรียบร้อยและกลับวัดแล้ว ช่วงเวลาที่จัด การทำพิธีทำขวัญนาค จะทำในช่วงก่อนที่นาคจะทำพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุไม่จำกัด ช่วงเวลา ทำเมื่อใดขึ้นอยู่กับ ความพร้อมของเจ้าภาพและผู้บวช ความสำคัญ พิธีทำขวัญนาค ทำขึ้นเพื่อสอนนาค หรือเตรียมตัวนาคก่อน ที่จะสละเพศฆราวาสเป็นเพศบรรพชิต ให้ประพฤติปฏิบัติ ตนให้เป็นคนดี และอยู่ในพระวินัยของสงฆ์อย่างเคร่งครัด เพื่อทดแทนบุญคุณของพ่อแม่
-1๘- คือ ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่เกี่ยวกับความเชื่อและศาสนา ภูมิปัญญาประเภทนี้จะมีลักษณะแตกต่างกันไปในแต่ ละท้องถิ่น เนื่องจากมีพื้นฐานทางความเชื่อในศาสนาที่แตกต่างกัน สำหรับภูมิปัญญาท้องถิ่นของไทยซึ่งเกี่ยวกับความเชื่อใน พระพุทธศาสนาเป็นหลักนั้น ได้มีส่วนสร้างสรรค์สังคม โดยการผสมผสานกับความเชื่อดั้งเดิมจนกลายเป็นลักษณะเฉพาะของ แต่ละท้องถิ่น อาศัยอยู่บ้านเลขที่ 103 หมู่ 2 ตำบลอรพิมพ์ อำเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมา ความเชื่อเรื่องการตั้งศาลพระภูมิ คนไทยชาวสยามแต่อดีตกาล มีความเชื่อว่าตามฟ้า ดิน น้ำ ภูเขา ต้นไม้ และ อาคารบ้านเรือน มีผีเจ้าที่เจ้าทาง ปกปักรักษาอยู่ ผนวกกับความเชื่อทางศาสนาพุทธ และ พราหมณ์ฮินดู ทำให้เกิดการพัฒนาพิธีการอัญเชิญผีเจ้าที่เจ้าทาง และสิ่งศักดิ์สิทธิ์มา ประทับในศาล (ศาลพระภูมิ,ศาลเจ้าที่) เพื่อปกป้องคุ้มครองดูแล รักษาสถานที่บ้านเรือนที่ อยู่อาศัย ให้มีความเป็นสิริมงคล เจริญก้าวหน้าในทุกสถาน นิยมตั้งศาลพระภูมิเจ้าที่ ในวันที่ปลูกสร้างบ้านเรือนใหม่ เจ้าพิธีผู้ทำพิธีกรรม ตั้งศาลพระภูมินั้นเป็นได้ทั้งพระ,พราหมณ์, ฆราวาสผู้ตั้งมั่นอยู่ในศีลในธรรม ตามคติความเชื่อจากพิธีกรรมพื้นบ้านแต่เดิม ความเชื่อทางพุทธศาสนา และพราหมณ์ฮินดู นำมาพัฒนาพิธีกรรมพื้นบ้าน เพื่อให้เกิดความขลัง และศักดิ์สิทธิ์ขึ้น เปลี่ยนคำนำหน้าใหม่ให้ดูดีมีมงคลขึ้น จากคำว่า “ผี” ที่ดีมีคุณธรรม ให้เป็นพระ เช่น พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง หรือพระภูมิ เพราะนับถือว่าเป็น ผี ชั้นสูง คนไทย นั้นเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เร้นลับ เป็นสี่งที่ผูกพันในชีวิตเรา แทบทุกคน ศาลพระภูมิเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อย่างหนึ่งที่ใกล้ตัวอันแสดงถึง ความเชื่อ และความศรัทธาที่มีต่อสิ่งนี้ การประกอบพิธีกรรมเกี่ยวกับสิ่งนี้ จึงต้องมีการกระทำอย่าง ถูกต้อง เพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคล แก่ผู้อยู่อาศัย เพื่อปกป้องคุ้มครอง เจ้าบ้าน และบริวารให้อยู่เย็นเป็นสุข มีความเจริญรุ่งเรือง เพราะถือว่า พระภูมิเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างหนึ่งของบ้าน การตั้งศาลพระภูมิ เจ้าบ้านจะต้องไปปรึกษาผู้รู้ พราหมณ์ ผู้ ประกอบพิธี โดยเริ่มจากการตรวจ ดูฤกษ์ยาม เจ้าพิธีจะนำ วัน/เดือน/ปี เกิดของเจ้าของบ้านมาดูประกอบ เพื่อให้ครอบครัวอยู่ดีมีสุข เจริญรุ่งเรือง ในหน้าที่การงาน ภูมิปัญญาด ้ านความเช ื่อ ศาสนา พธิี กรรม นายดื่อ เล็บกระโทก (ด้านความเชื่อและศาสนา การตั้งศาสพระภูมิ)