ใบความรู้เรอื่ งพลงั งานเพ่ือการขนสง่
1. สถานการณก์ ารใชพ้ ลงั งานเพื่อการขนส่ง
ในการดำรงชีวิตประจำวนั ของมนษุ ยไ์ ด้มีการใช้ผลติ ภัณฑ์ปิโตรเลยี มกนั อย่างแพรห่ ลาย และเพ่ิม
มากขนึ้ ตามการขยายตัวทางเศรษฐกิจและสังคม โดยเฉพาะด้านการคมนาคมขนสง่ ใชผ้ ลติ ภัณฑ์ปโิ ตรเลียม
ประเภทเชอ้ื เพลิง ท่ไี ด้มาจากเชอื้ เพลงิ ซากดึกดำบรรพซ์ ึง่ เปน็ พลังงานสนิ้ เปลือง แตม่ ีอยู่อยา่ งจำกัดและจะ
หมดลงไดใ้ นอนาคต ดังนนั้ จึงนำปิโตรเลยี มมาใช้อย่างประหยัดและคุ้มคา่ ท่ีสดุ
พลงั งาน
พลงั งาน คือ ความสามารถของสง่ิ ใดสิง่ หน่ึงทีจ่ ะทำงานได้ ซงึ่ ทำใหว้ ตั ถุเคล่ือนท่ีไปในแนวของ
แรงสิง่ ใดกต็ ามท่สี ามารถทำใหว้ ัตถุเปลยี่ นตำแหน่งหรอื เคล่อื นทีไ่ ปจากที่เดิมได้ สิง่ นัน้ ย่อมมีพลงั งานอยู่
ภายใน โดยท่ัวไปของพลังงานมอี ยู่ 2 ประการ คือ ทำงานได้ และเปลย่ี นรปู ได้
รปู แบบของพลังงาน
- พลงั งานปฐมภูมิ คือ แหล่งพลังงานท่ีเกิดขึน้ หรอื มีอยู่ตามธรรมชาติสามารถนำมาใชโ้ ดยตรง
ได้แก่ น้ำ แสงแดด ลม เชอื้ เพลิงตามธรรมชาติ เชน่ นำ้ มันดบิ ถ่านหนิ และแกส๊ ธรรมชาติ
- พลังงานเชิงพาณิชย์ คือ พลงั งานทต่ี ้องอาศัยกลไกของตลาดในการส่งผา่ นหรือกระจายพลงั งาน
ไปยังผใู้ ช้ เป็นพลังงานทตี่ อ้ งอาศัยการซ้อื ขายผ่านระบบของตลาด และยังเป็นพลังงานประเภทที่มีการใช้
มากท่สี ดุ ในโลก ได้แก่ น้ำมัน ถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติ เป็นตน้
สถานการณพ์ ลังงานของโลกและของประเทศไทย
ในปจั จุบนั มปี ระชากรเพิม่ จำนวนขึน้ อยา่ งมาก มีการขยายพน้ื ท่ีอยอู่ าศัย การพฒั นาชุมชนเมอื ง
ส่งผลตอ่ การพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม อุตสาหกรรมอย่างไมห่ ยดุ ย้งั การผลติ สินคา้ ปรับเปลี่ยนจากการผลิต
ระดับครวั เรือนไปสู่ระดับอตุ สาหกรรม เพ่ือใหพ้ อเพยี งแก่ความต้องการของประชากรทเ่ี พมิ่ ขึน้ ทำใหร้ ะบบ
การคมนาคมขนส่งเขา้ มามีบทบาทมากขึน้ ทำให้ระบบการคมนาคมขนสง่ เข้ามามีบทบาทมากกขนึ้
นอกจากการคมนาคมขนสง่ แลว้ ยงั มีการใช้พลังงานท่ีไดจ้ ากธรรมชาติทำกิจกรรมอืน่ ๆ อีกมากมาย เชน่
นอกจากเพื่อการอยรู่ อดของชีวติ แลว้ พลงั งานยังเอ้ืออำนวยความสะดวกสบายในดา้ นการคมนาคมขนส่ง
อุตสาหกรรม เกษตรกรรมอาคารพาณิชย์ บ้านอาศยั ล้วนต้องพง่ึ พาพลังงานทั้งสิ้นโดยเฉพาะพลังงาน
ไฟฟ้า
การใชพ้ ลังงานทโ่ี ลกต้องการใช้กิจกรรมตา่ งๆ ของมนษุ ย์จากอดตี ปจั จุบนั และอนาคตมแี นวโน้ม
สงู ขึน้ อย่างต่อเนื่อง โดยท่ีความตอ้ งการน้ำมนั ดิบมีมากท่สี ุด รองลงไป คือถา่ นหิน ซึ่งเป็นแหลง่ พลังงานทีม่ ี
ราคาถูกและปริมาณมาก พลังงานจากเชือ้ เพลิงซากดึกดำบรรพน์ บั เปน็ แหลง่ พลงั งานที่สำคัญ ท้งั น้ำมนั ดิบ
ถา่ นหิน รวมทัง้ ก๊าซธรรมชาติ เป็นแหลง่ พลงั งานสำหรับกิจกรรมตา่ งๆของมนุษย์ในปัจจุบันและจะมีความ
ต้องการใช้พลังงานมากขึ้น
จะเหน็ ได้วา่ ประเทศไทยก็มีความต้องการพลังงานเพื่อกิจกรรมต่างๆ เช่นเดียวกับประเทศอ่ืนๆ พลงั งานที่ใช้
ในประเทศไทยมาจากหลายแหลง่ ส่วนใหญม่ าจากธรรมชาติและใชแ้ ลว้ หมดไป ไมส่ ามารถสรา้ งขึน้ มา
ทดแทนได้อีก ยิง่ ประชากรเพ่ิมจำนวนขึ้นความต้องการใชพ้ ลงั งานกย็ ่ิงมากขน้ึ ดว้ ย ประเทศไทยใชพ้ ลังงาน
เพ่อื การอุตสาหกรรม และคมนาคมเปน็ ส่วนมาก ชวี ติ ประจำวนั ของเราจำเปน็ ต้องเก่ียวข้องกับการคมนาคม
ขนสง่ ซ่ึงส่วนใหญต่ ้องใช้พลงั งานจากธรรมชาติทง้ั สน้ิ
2. พลังงานทดแทนเพือ่ การขนสง่
พลังงานทดแทน โดยทั่วไปหมายถึงพลังงานที่ใช้ทดแทนพลังงานจากฟอสซิล เช่น ถ่านหิน,
ปิโตรเลยี ม และ แก๊สธรรมชาติซ่งึ ปล่อยคารบ์ อนไดออกไซดม์ หาศาลอันเป็นสาเหตโุ ลกร้อน
ตัวอย่างพลังงานทดแทนที่สำคัญเช่น พลังงานลม, พลังงานน้ำ, พลังงานแสงอาทิตย์, พลังงานน้ำ
ขึ้นน้ำลง, พลังงานคลื่น, พลังงานความร้อนใต้พิภพ, เชื้อเพลิงชีวภาพ เป็นต้น ในปี 2555 ประเทศไทยใช้
พลังงานทดแทนเพียง 18.2% ของพลังงานทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า เพียง 1.8% โดยที่พลังงาน
แสงอาทติ ย์ และเช้ือเพลิงชีวภาพ เพิ่มข้ึน 23% แตพ่ ลังงานจาก ฟืน ถา่ น แกลบ และวสั ดุเหลอื ใชท้ างเกษตร
โดยนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงดั้งเดิม มีอัตราลดลง 10% (อาจเป็นเพราะมวลชีวภาพดังกล่าวถูกแปรรูปไปเป็น
เชอื้ เพลงิ ชวี ภาพไปแล้ว)
ประเภทของพลงั งานทดแทน
พลังแสงอาทติ ย์
ดวงอาทิตย์ใหพ้ ลังงานจำนวนมหาศาลแกโ่ ลกของเรา พลงั งานจากดวงอาทิตย์จัดเปน็ พลังงานหมุนเวียนที่
สำคัญที่สุด เป็นพลังงานสะอาดไม่ทำปฏิกิริยาใดๆอันจะทำให้สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ เซลล์แสงอาทิตย์จึงเป็น
สงิ่ ประดษิ ฐ์ทางอิเล็คทรอนิคสช์ นดิ หน่ึง ทีถ่ ูกนำมาใช้ผลิตไฟฟ้า เนอ่ื งจากสามารถเปลี่ยนเซลล์แสงอาทิตย์ให้
เป็นพลังงานไฟฟ้าได้โดยตรง สว่ นใหญ่เซลล์แสงอาทติ ย์ทำมาจากสารกึ่งตัวนำพวกซิลคิ อน มีประสิทธิภาพใน
การเปลี่ยนพลังงานแสงอาทติ ยใ์ หเ้ ป็นพลงั งานไฟฟ้าได้สูงถึง 44 เปอร์เซนต์
ในส่วนของประเทศไทยซึ่งตั้งอยู่บริเวณใกล้เส้นศูนย์สูตร จึงได้รับพลังงานจากแสงอาทิตย์ในเกณฑ์สูง
พลังงานโดยเฉลี่ยซ่ึงรับได้ทั่วประเทศประมาณ 4 ถึง 4.5 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อตารางเมตรต่อวัน ประกอบด้วย
พลังงานจากรังสีตรง (Direct Radiation) ประมาณ 50 เปอร์เซนต์ ส่วนที่เหลือเป็นพลังงานรังสีกระจาย
(Diffused Radiation) ซึ่งเกิดจากละอองน้ำในบรรยากาศ(เมฆ) ซงึ่ มปี รมิ าณสงู กวา่ บริเวณทีห่ า่ งจากเส้นศูนย์
สูตรออกไปทง้ั แนวเหนอื - ใต้
นอกจากนี้ การผลิตพลังงานไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์นับวันจะยิ่งมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจาก
การผลิตพลงั งานไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ เปน็ แหล่งพลังงานทดแทนทีส่ ะอาดและไม่มีวันส้ินสุด แต่ปัญหา
สำคัญในการติดตั้งแผงโซล่าเซลล์เพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์นั้น คือพื้นที่ที่ใช้ในการติดต้ัง
แผงโซล่าเซลล์ เพราะพื้นที่ในการติดตั้งแผงโซล่าเซลลจ์ ะต้องเป็นพื้นที่โลง่ ขนาดใหญ่ ดังนั้นการติดตั้งแผงโซ
ลา่ เซลล์แบบลอยนำ้ อยู่ในอา่ งเก็บน้ำขนาดใหญ่จงึ เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมเป็นอย่างยงิ่
อีกทั้งการติดตั้งแผงโซล่าเซลล์แบบลอยน้ำอยู่ในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ยังมีข้อดีมากมาย เช่น ความเย็นของ
น้ำจะทำให้การทำงานของแผงโซล่าเซลล์มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และแผงโซล่าบดบังแสงอาทิตย์ที่ตก
กระทบผิวน้ำ ทำให้ช่วยลดการเติบโตของสาหร่ายใต้น้ำ และลดการระเหยของน้ำในอ่างเก็บน้ำ เป็นต้น
ดังน้ันในหลายประเทศจงึ ไดม้ ีการออกแบบและก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนแสงอาทิตย์ท่ีสามารถติดต้ัง
ไวบ้ นผวิ น้ำในทะเลสาบขนาดใหญไ่ ด้
พลงั งานลม
เป็นพลงั งานธรรมชาติท่เี กิดจากความแตกต่างของอณุ หภูมิ 2 ที่ ซึ่งสะอาดและบรสิ ทุ ธิใ์ ช้แล้วไม่มีวัน
หมดสิ้นไปจากโลก ไดร้ ับความสนใจนำมาพฒั นาให้เกดิ ประโยชน์อย่างกว้างขวาง ในขณะเดียวกนั กังหันลมก็
เป็นอุปกรณ์ชนิดหนึ่งที่สามารถนำพลังงานลมมาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ โดยเฉพาะในการผลิตกระแสไฟฟ้า
และในการสูบน้ำ ซึ่งได้ใช้งานกันมาแล้วอย่างแพร่หลายพลังงานลมเกิดจากพลังงานจากดวงอาทิตย์ตก
กระทบโลกทำให้อากาศร้อน และลอยตัวสูงขึ้น อากาศจากบริเวณอื่นซึ่งเย็นและหนาแน่นมากกว่าจึงเข้ามา
แทนที่ การเคลื่อนที่ของอากาศเหล่านี้เปน็ สาเหตุให้เกิดลม และมีอิทธิพลต่อสภาพลมฟ้าอากาศในบางพื้นที่
ของประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวฝั่งทะเลอันดามันและด้านทะเลจีน(อ่าวไทย) มีพลังงานลมที่อาจ
นำมาใช้ประโยชน์ในลักษณะพลังงานกล (กังหันสูบน้ำกังหันผลิตไฟฟ้า) ศักยภาพของพลังงานลมที่สามารถ
นำมาใชป้ ระโยชน์ได้สำหรับประเทศไทย มคี วามเร็ว อย่รู ะหว่าง 3 - 5 เมตรตอ่ วนิ าที และความเข้มพลังงาน
ลมทีป่ ระเมนิ ไว้ไดอ้ ยู่ระหว่าง 20 - 50 วตั ตต์ อ่ ตารางเมตร
พลงั งานความร้อนใต้พภิ พ
พลังงานความร้อนใต้พิภพ [Geothermal - Geo (พื้นดิน) Thermal (ความร้อน)] หมายถึงการใช้
งานอย่างหนักจากความร้อนด้านในของโลก แกนของโลกนั้นร้อนอย่างเหลือเชื่อ โดยร้อนถึง 5,500 องศา
เซลเซียส (9,932 องศาฟาเรนไฮท์) จากการประมาณการเมื่อเร็วๆ นี้ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าแม้แต่
พืน้ ผิว 3 เมตรด้านบนสดุ ของโลกก็มีอุณหภมู ิใกลเ้ คียง 10-26 องศาเซลเซยี ส (50-60 องศาฟาเรนไฮท์) อย่าง
สมำ่ เสมอตลอดทงั้ ปี นอกจากนก้ี ระบวนการทางธรณีวทิ ยาทแ่ี ตกต่างกนั ทำให้ในบางที่มอี ุณหภูมสิ ูงกวา่ มาก
นำความร้อนมาใชง้ าน
ในที่ที่แหล่งเก็บน้ำร้อนจากความร้อนใต้พิภพอยู่ใกล้ผิวโลก น้ำร้อนนั้นสามารถส่งผ่านท่อโดยตรง
ไปยังที่ทีต้องการใช้ความร้อน นี่เป็นวิธกี ารหนึ่งที่ความร้อนใตพ้ ิภพสามารถใช้ทำน้ำรอ้ นในการทำความร้อน
ให้บ้าน ทำให้เรือนกระจกอุ่นขึ้น และแม้แต่ละลายหิมะบนถนนแม้ในสถานที่ที่ไม่มีแหล่งเก็บความร้อนใต้
พิภพที่สามารถเข้าถึงได้โดยง่าย เครื่องปั๊มความร้อนจากพื้นดินสามารถส่งความร้อนสู่พื้นผิวและสู่อาคารได้
สิ่งนี้เปน็ ไปได้ในทุกแห่ง นอกจากนี้เนื่องจากอุณหภูมใิ ต้ดินนั้นเกือบคงท่ีท้ังปี ทำให้ระบบเดียวกนั น้ีทีช่ ่วยส่ง
ความร้อนให้อาคารในฤดูหนาวจึงสามารถทำความเยน็ ให้อาคารในฤดูร้อนได้
การผลติ กระแสไฟฟา้
โรงไฟฟ้าพลังความร้อนใต้พิภพใช้บ่อน้ำความลึกสูงสุด 1.5 กิโลเมตร (1 ไมล์) หรือลึกกว่านั้น ใน
บางคร้ังเพือ่ ใหส้ ามารถเขา้ ถึงแหล่งสำรองน้ำจากความร้อนใต้พิภพที่กำลงั เดือด โรงไฟฟ้าบางแหง่ ใชไ้ อน้ำจาก
แหล่งสำรองเหล่านี้โดยตรงเพื่อทำให้ใบพัดหมุน ส่วนโรงไฟฟ้าอื่นๆ ปั๊มน้ำร้อนแรงดันสูงเข้าไปในแท็งก์น้ำ
ความดันต่ำ ทำให้เกิด "ไอน้ำชั่วขณะ" ซึ่งใช้เพื่อหมุนกังหันของเครื่องกำเนิดไฟฟ้า โรงไฟฟ้าสมัยใหม่ใช้น้ำ
ร้อนจากพื้นดินเพื่อทำความร้อนให้กบั ของเหลว เช่น ไอโซบิวทีน ซึ่งเดือดที่อุณหภูมิต่ำกวา่ นำ้ เมื่อของเหลว
ชนิดน้ีระเหยเปน็ ไอและขยายตวั มันจะทำให้ใบพัดเคร่ืองกำเนดิ ไฟฟ้าหมุน
ข้อดีของพลงั ความรอ้ นใต้พภิ พ
ปัม๊ น้ำมนั ก๊าซไฮโดรเจนในเมืองเรย์จาวิก ซ่ึงเร่ิมจา่ ยเช้ือเพลิงไฮโดรเจนทนี่ ำกลับมาใช้ใหม่ได้ให้กับ
รถบสั 3 คนั เชอื้ เพลิงนีผ้ ลิตขน้ึ จากนำ้ ท่ีใช้พลังความรอ้ นใต้พภิ พ ซ่ึงอุดมสมบรู ณใ์ นประเทศไอซ์แลนด์
การผลิตพลังความร้อนใต้พิภพแทบไม่ก่อมลพิษหรือปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกมาเลย พลังงานนี้เงียบและ
น่าเชื่อถืออย่างที่สุด โรงงานไฟฟ้าพลังความร้อนใต้พิภพผลิตพลังงานประมาณ 90% ตลอดเวลา เมื่อเทียบ
กับ 65-75% ของโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงฟอสซิลแต่โชคร้ายที่ถึงแม้ว่าหลายประเทศมีแหล่งสำรองความร้อนใต้
พิภพท่ีอุดมสมบูรณ์ แตแ่ หล่งพลังงานหมนุ เวียนทไี่ ด้รบั การพสิ จู น์ว่าดแี ล้วนถ้ี กู นำมาใช้ประโยชนต์ ำ่ มาก
น้ำร้อนท่ถี กู นำไปใช้ในการผลิตไฟฟ้าแลว้ นัน้ แม้อุณหภมู ิจะลดลงบ้าง แตก่ ็ยงั สามารถนำไปประยกุ ตใ์ ช้ในการ
อบแห้ง และใช้ในหอ้ งเย็นสำหรบั เก็บรักษาพืชผลทางการเกษตรได้ นอกจากนน้ั น้ำที่เหลอื ใชแ้ ล้วยังสามารถ
นำไปใช้ในกิจการเพ่ือกายภาพบำบดั และการทอ่ งเท่ียวได้อีก ท้ายทีส่ ุดคอื น้ำทัง้ หมดซึ่งยังมีสภาพเป็นน้ำอุ่น
อยู่เล็กนอ้ ย จะถูกปล่อยลงไปผสมกับน้ำตามธรรมชาติในลำน้ำ ซึ่งนับเป็นการเพิ่มปริมาณนำ้ ให้กบั เกษตรกร
ในฤดูแลง้ ได้อกี ทางหนึ่งด้วย
ขอ้ ควรระวงั จากการใช้พลงั งานความรอ้ นใตพ้ ิภพ
พลงั งานความร้อนใต้พภิ พ สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลายประการดังที่ได้กล่าวมาแลว้ อย่างไรก็
ตามการใชป้ ระโยชน์จากแหล่งพลงั งานความร้อนนี้ แม้จะไม่ก่อใหเ้ กดิ ผลกระทบทร่ี ้ายแรงต่อส่ิงแวดล้อม แต่
ก็ควรทำการศึกษาเพื่อทำความเข้าใจและหาทางป้องกันผลกระทบที่อาจจะเกิดตามมาได้ ผลกระทบที่อาจ
เกดิ ข้นึ จากการใชพ้ ลังงานความรอ้ นใต้พิภพสามารถสรปุ ได้ดงั นี้
- ก๊าซพิษ โดยทั่วไปพลังงานความร้อนที่ได้จากแหล่งใต้พิภพ มักมีก๊าซประเภทที่ไม่สามารถรวมตัว
ซึ่งก๊าซเหลา่ นี้จะมีอนั ตรายตอ่ ระบบการหายใจหากมีการสูดดมเขา้ ไป ดังนั้นจึงต้องมีวิธีกำจัดก๊าซเหล่าน้โี ดย
การเปลี่ยนสภาพของก๊าซให้เป็นกรด โดยการให้ก๊าซนั้นผ่านเข้าไปในน้ำซึ่งจะเกิด ปฏิกิริยาเคมีได้เป็นกรด
ซลั ฟวิ ริกขน้ึ โดยกรดน้สี ามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้
- แร่ธาตุ น้ำจากแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพในบางแหล่ง มีปริมาณแร่ธาตุต่างๆ ละลายอยู่ใน
ปริมาณที่สูงซ่ึงการนำนำ้ นั้นมาใชแ้ ลว้ ปล่อยระบายลงไปผสมกับแหลง่ น้ำธรรมชาตบิ นผิวดินจะส่งผลกระทบ
ต่อระบบน้ำผิวดินที่ใช้ในการเกษตรหรือใช้อุปโภคบริโภคได้ ดังนั้นก่อนการปล่อยน้ำออกไป จึงควรทำการ
แยกแร่ธาตุต่างๆ เหล่านั้นออก โดยการทำให้ตกตะกอนหรืออาจใช้วิธีอัดน้ำนั้นกลับคืนสู่ใต้ผิวดินซึ่งต้องให้
แน่ใจว่าน้ำที่อัดลงไปนั้นจะไม่ไหลไปปนกับแหล่งน้ำใต้ดินธรรมชาติที่มีอยู่ ความร้อนปกติน้ำจากแหล่ง
พลังงานความร้อนใต้พิภพ ที่ผ่านการใช้ประโยชน์จากระบบผลิตไฟฟ้าแล้วจะมีอุณหภูมิลดลง แต่อาจยังสูง
กว่าอุณหภมู ขิ องนำ้ ในแหล่งธรรมชาตเิ พราะยังมีความร้อนตกคา้ งอยู่
ดังนั้นก่อนการระบายน้ำนั้นลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติควรทำให้น้ำนั้นมีอุณหภูมิเท่าหรือใกล้เคียงกับอุณหภูมิ
ของน้ำในแหล่งธรรมชาติเสียก่อน โดยอาจนำไปใช้ประโยชน์อีกครั้งคือการนำไปผ่านระบบการอบแห้งหรือ
การทำความอบอุน่ ให้กบั บ้านเรอื น
- การทรดุ ตัวของแผ่นดนิ ซ่ึงการนำเอาน้ำร้อนจากใต้ดินขึ้นมาใช้ ยอ่ มทำใหใ้ นแหล่งพลังงานความ
ร้อนนั้นเกิดการสูญเสียเนื้อมวลสารส่วนหนึ่งออกไป ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาการทรุดตัวของแผ่นดินขึ้นได้
ดังนั้นหากมีการสูบน้ำรอ้ นขนึ้ มาใช้ จะต้องมีการอัดน้ำซ่ึงอาจเปน็ น้ำร้อนท่ผี า่ นการใช้งานแลว้ หรือน้ำเย็นจาก
แหล่งอน่ื ลงไปทดแทนในอัตราเร็วทเี่ ท่ากัน เพ่อื ปอ้ งกันปญั หาการทรุดตัวของแผน่ ดิน
พลงั งานชวี ภาพ
ได้แก่ การนำของเสียจากสิ่งมีชีวิตเช่นขยะที่เป็นสารอินทรีย์หรือมูลสัตว์ไปหมัก ให้ย่อยสลายโดย
ปราศจากอ๊อกซิเจน จะได้ก๊าซ มีเทน ซึ่งใช้เป็นเชือ้ เพลิงชนิดหนึ่ง ปัจจุบันเกษตรกรผู้เลี้ยงหมู วัวควาย และ
สตั ว์ปกี ไดใ้ ชเ้ ทคโนโลยีที่ทำขึน้ เอง ผลติ ก๊าซชีวภาพมาใชใ้ นครวั เรอื นมากข้ึน ทำใหล้ ดการใช้พลงั งานฟอสซิล
ได้เป็นจำนวนมาก เกษตรกรบางส่วนยังขายมูลสัตว์ให้กับโรงงานผลิตก๊าซชีวภาพเพื่อการพานิชย์ด้วย
นอกจากนี้ยังรวมถึงของเสียจากโรงงานแปรรูปทางการเกษตร เช่น เปลือกสับปะรดจากโรงงานสับปะรด
กระปอ๋ ง หรอื น้ำเสยี จากโรงงานแป้งมนั ท่เี อามาหมกั และผลติ เปน็ กา๊ ซชีวภาพ
พลงั งานชวี มวล
เชื้อเพลิงที่ได้จากสิ่งไม่มีชีวิตเช่น ไม้ฟืน แกลบ กากอ้อย เศษไม้ เศษหญ้า เศษเหลือทิ้งจาก
การเกษตร เหล่านีใ้ ช้เผาให้ความร้อนได้ เป็นเชอื้ เพลงิ ชวี ภาพแบบของแข็ง และความร้อนน้ีแหละท่ีเอาไปปั่น
ไฟ โดยเหตุทป่ี ระเทศไทยทำการเกษตรอย่างกว้างขวาง วัสดเุ หลอื ใชจ้ ากการเกษตร เช่น แกลบ ข้ีเลื่อย ชาน
อ้อย กากมะพร้าว ซึ่งมีอยู่จำนวนมาก (เทียบได้น้ำมันดิบปีละไม่น้อยกว่า 6,500 ล้านลิตร) ก็ควรจะใช้เป็น
เช้ือเพลงิ ผลิตไฟฟ้าในเชงิ พาณชิ ยไ์ ด้
ในกรณีของโรงเลื่อย โรงสี โรงน้ำตาลขนาดใหญ่ อาจจะยินยอมให้จ่ายพลังงานไฟฟ้าให้กับระบบ
ไฟฟ้าของการไฟฟ้าต่างๆในประเทศ ในลักษณะของการผลิตรว่ ม (Co-generation) ซ่ึงมีใช้อย่แู ล้วหลายแห่ง
ในต่างประเทศโดยวิธีดังกล่าวแล้วจะช่วยให้สามารถใช้ประโยชน์จากแหล่งพลังงานในประเทศสำหรับ
ส่วนรวมได้มากยิ่งขึ้นทั้งนี้อาจจะรวมถึงการใช้ไม้ฟืนจากโครงการปลูกไม้โตเร็วในพื้นที่นับล้านไร่ ในกรณีท่ี
รัฐบาลจำเปน็ ต้องลดปริมาณการปลูกมันสำปะหลงั ออ้ ย เพอ่ื แกป้ ญั หาระยะยาวทางด้านการตลาดของพืชท้ัง
สองชนิด อนึ่ง สำหรับผลิตผลจากชีวมวลในลักษณะอื่นที่ยังใช้เป็นเชื้อเพลิงได้ เช่น แอลกอฮอล์ จากมัน
สำปะหลัง ก๊าซจากฟืน(Wood gas) ก๊าซจากการหมักเศษวัสดุเหลือจากการเกษตร และขยะชุมชน (ก๊าซ
ชีวภาพ) หากมีความค้มุ ค่าในเชงิ พาณชิ ย์ก็อาจนำมาใชเ้ ป็นเช้ือเพลงิ สำหรบั ผลติ ไฟฟา้ ไดเ้ ช่นกนั
พลังงานนำ้
พื้นผิวโลกถึง 70 เปอร์เซนต์ ปกคลุมด้วยน้ำ ซึ่งมีความสำคัญยิ่งต่อสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย น้ำเหล่านี้มี
การเปลี่ยนสถานะและหมุนเวียนอยู่ตลอดเวลา ระหว่างผิวโลกและบรรยากาศอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเรียกว่า วัฏ
จกั รของนำ้ นำ้ ที่กำลงั เคลื่อนทมี่ พี ลังงานสะสมอยู่มาก และมนษุ ย์รู้จกั นำพลังงานนม้ี าใช้หลายร้อยปีแล้ว เช่น
ใช้หมนุ กงั หันนำ้ ปจั จบุ นั มีการนำพลังงานน้ำไปหมนุ กังหนั ของเคร่อื งกำเนดิ ไฟฟา้ ในโรงไฟฟ้าพลังน้ำเพื่อผลิต
ไฟฟา้
พลังงานจากขยะ
ขยะชุมชน จากบ้านเรอื นและกจิ การตา่ งๆ เปน็ แหล่งพลังงานที่มศี กั ยภาพสูง ขยะเหลา่ นสี้ ว่ นใหญ่
เป็นมวลชีวภาพ เชน่ กระดาษ เศษอาหาร และไม้ ซ่ึงสามารถใชเ้ ป็นเชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้าท่ถี ูกออกแบบให้ใช้
ขยะเปน็ เชื้อเพลิงได้ โรงไฟฟา้ ที่ใช้ขยะเป็นเช้ือเพลิง จะนำขยะมาเผาบนตะแกรง ความร้อนทีเ่ กิดขึ้นใช้ต้มน้ำ
ในหม้อน้ำจนกลายเปน็ ไอนำ้ เดอื ด ซ่ึงจะไปเพ่มิ แรงดันของเครื่องกำเนิดไฟฟ้า
3. การขนสง่ และรูปแบบการขนส่ง
ประเภทการขนส่งสินค้า แบ่งทั้งหมด 5 ประเภท โดยการขนส่งมีความเจริญก้าวหน้าและมี
พัฒนาการมากยิ่งขึ้น มีวิธีการขนส่งให้ผู้ประกอบธุรกิจเลือกหลายวิธี ผู้ประกอบธุรกิจต้องเลือกวิธกี ารขนสง่
ใหเ้ หมาะสมกบั ธรุ กิจของตนเอง
ประเภทของการขนสง่ สามารถจำแนกการขนส่งได้ 5 ประเภท ดังนี้
การขนสง่ ทางน้ำ (Water Transportation)
คือ การขนส่งทางน้ำ เป็นวิธีการขนส่งเก่าแก่มีมาตั้งสมัยโบราณ โดยการใช้แม่น้ำลำคลองเป็น
เส้นทางลำเลียงสนิ ค้า รวมถงึ การขนส่งทางทะเล ซ่ึงสว่ นใหญ่ใช้สำหรับการขนสง่ สนิ ค้าระหว่างประเทศ การ
ขนส่งทางน้ำนี้เหมาะสมกับสินค้าที่มีขนาดใหญ่ ขนส่งได้ปริมาณมากเป็นสินค้าที่ยากแก่การเสียหาย เช่น
ทราย แร่ ขา้ วเปลือก เครอื่ งจกั ร ยางพารา เป็นต้นส่วนประกอบของการขนสง่ ทางน้ำ
1.1 ผู้ประกอบการขนส่งทางน้ำ
1.2 อุปกรณ์การขนส่ง คือ เรือ ได้แก่ เรือโดยสาร เรือสินค้าและเรือเฉพาะกิจ เช่น เรือลากจูง
เรือประมง ฯลฯ
1.3 ท่าเรอื
1.4 เส้นทางเดนิ เรอื
สามารถแบ่งไดเ้ ปน็ 3 ประเภท คือ
- เสน้ ทางเดนิ เรอื ภายในประเทศ
- เสน้ ทางเดนิ เรือชายฝั่งทะเล
- เสน้ ทางเดินเรือระหว่างประเทศ ขอ้ ดี ข้อเสียของการขนสง่ ทางน้ำ มีดังน้ี
ข้อดี
1. อตั ราค่าขนส่งถกู กวา่ เมื่อเทยี บกับการขนสง่ ทางอ่นื
2. ขนส่งได้ปริมาณมาก
3. มีความปลอดภัย
4. สามารถสง่ ได้ระยะไกล ๆ
ขอ้ เสยี
1. มีความลา่ ชา้ ในการขนส่งมาก
2. ในฤดนู ้ำลดหรือฤดรู ้อน นำ้ อาจมนี ้อย ซงึ่ เป็นอปุ สรรคต่อการขนสง่ เพราะเรอื เกยตนื้ ได้
3. ไม่สามารถกำหนดเวลาท่ีแน่นอนในการขนส่งไดข้ น้ึ อยูก่ ับภมู ิอากาศ และ ภมู ปิ ระเทศ
การขนสง่ ทางบก (Road or Motor Transportation) จำแนกเปน็ 2 ประเภท ได้แก่
1. การขนส่งทางรถไฟ (Railroads) การขนส่งทางรถไฟ เป็นเส้นทางการลำเลียงที่สำคัญที่สุดของประเทศ
ไทย ดำเนินงานโดยการรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งถอื ว่าเป็นรัฐวสิ าหกจิ เหมาะสำหรบั การขนสง่ สินค้าหนัก ๆ
ปริมาณมากและในระยะทางไกล อัตราค่าบริการไม่แพง การขนส่งทางรถไฟจะมีกำหนดเวลาออกและถึง
จุดหมายปลายทางในระยะเวลาแนน่ อนและมคี วามปลอดภยั จากการเสยี หายของสินค้า
2. รถปดิ คอื รถไฟทปี่ ิดทุกด้าน เหมาะสำหรบั การขนส่งสินค้าท่ีเสยี หายง่ายเม่ือถกู แดดถูกฝน2.2 รถเปิด คือ
รถไฟทไี่ ม่มีหลังคา เหมาะสำหรบั การขนสง่ สนิ คา้ ทีไ่ มเ่ สยี หายเมอื่ ถูกแดด ถูกฝน
3. รถเฉพาะกิจ คือ รถไฟที่ออกแบบสำหรับใช้เฉพาะงาน เช่น รถบรรทุกน้ำมัน รถบรรทุกปูนซีเมนต์
รถบรรทกุ น้ำมัน เป็นตน้ – เส้นทางรถไฟ ซึง่ มีอยทู่ ว่ั ประเทศขอ้ ดีขอ้ เสยี ของการขนสง่ ทางรถไฟ
ขอ้ ดี
1. ประหยดั ขนสง่ สินคา้ ได้จำนวนมากหลายชนิด
2. รวดเร็ว สามารถขนส่งสนิ ค้าไดท้ นั ตามกำหนดเวลาทตี่ อ้ งการ
3. สะดวก เพราะมตี หู้ ลายชนิดให้เลือกเพ่อื ความเหมาะสมกับสนิ ค้า
4. ปลอดภัยสงู เมอ่ื เทียบกับเส้นทางอ่ืน
5. ขนสง่ ไดท้ กุ สภาพดินฟ้าอากาศ
ขอ้ เสีย
1. ไมส่ ามารถขนส่งสนิ คา้ ให้ถงึ ท่ตี ้องการขนถ่ายได้
2. ความยืดหยุน่ มีน้อย เพราะมีเส้นทางตายตวั
3. มคี วามคลอ่ งตวั นอ้ ยกว่าการขนส่งแบบอน่ื เพราะมีกฏระเบียบมาก
4. ไมเ่ หมาะสมกับผสู้ ่งสนิ คา้ รายย่อย ปรมิ าณน้อย
4. การขนส่งทางรถยนต์ (Motor Transportation) หรือรถบรรทุก (Truck Transportation) การขนส่งทาง
รถยนต์หรือทางรถบรรทุก ถือว่าเป็นหัวใจของการขนส่งทางบก ทั้งนี้ในปัจจุบันรัฐบาลได้มีการสร้างถนน
ขยายถนนเชื่อมโยงระหว่างจังหวัดต่างๆ ได้อย่างทั่วถึง โดยมีกรุงเทพมหานครเป็นศูนย์กลางการขนส่ง ซ่ึง
การขนสง่ ทางรถยนตห์ รือทางรถบรรทุกน้สามารถแกป้ ัญหาในด้านการจำหน่ายสนิ ค้าของพ่อค้าได้เป็นอันมา
เพราะการขนส่งสินค้าสะดวด รวดเร็ว สามารถส่งสินค้าไปถึงผู้ใช้ได้โดยตรงส่วนประกอบของการขนส่งทาง
รถยนต์หรือรถบรรทุก1) ผู้ประกอบการ อาจเป็นรัฐหรือเอกชนดำเนินงานก็ได้ หรือเป็นการดำเนินงาน
ร่วมกันก็ได้ เช่น รถยนต์รับจ้าง 2) อุปกรณ์ในการขนส่ง ได้แก่ รถยนต์ และรถบรรทุก3) ถนนหรือเส้นทาง
เดนิ รถขอ้ ดขี ้อเสียของการขนสง่ ทางรถยนต์
ขอ้ ดี
1. บริการไดถ้ งึ ท่ีโดยไม่ตอ้ งมกี ารขนถ่าย2. ขนสง่ สนิ คา้ ไดต้ ลอดเวลาตามความต้องการของลูกคา้
3. สะดวก รวดเร็ว
4. เหมาะกับการขนส่งระยะสน้ั และระยะกลาง
5. เปน็ ตัวเชอ่ื มในการขนสง่ แบบอน่ื ท่ีไมส่ ามารถไปถึงจดุ หมาย ไดโ้ ดยตรง
ขอ้ เสยี
1. คา่ ขนสง่ สงู เม่อื เทียบกบั การขนสง่ ทางรถไฟ
2. มีความปลอดภัยต่ำ เกิดอุบัตเิ หตบุ ่อย
3. ขนสง่ สนิ คา้ ไดป้ รมิ าณและขนาดจำกดั
4. กำหนดเวลาแน่นอนไม่ได้ ขึน้ อย่กู ับสภาพการจราจรและดินฟา้ อากาศ
การขนส่งทางอากาศ (Air Tiansportation)
การขนส่งทางอากาศมีความสำคัญมากในปัจจุบัน โดยเฉพาะการขนส่งระหว่างประเทศเพราะทำ
การขนส่งไดร้ วดเรว็ กว่าการขนส่งประเภทอ่นื ๆ ไมเ่ สยี เวลาในการขนส่งนาน สะดวกและปลอดภยั เหมาะกับ
การขนส่งสินค้าประเภทที่สูญเสียงา่ ย เช่น ผัก ผลไม้ ดอกไม้ เป็นต้น หรือสินค้าต้องการสั่งจองมาด้วยความ
รวดเร็วแก่การใช้งาน ถ้าล่าช้าอาจเกิดความเสียหายได้ไม่เหมาะกับสินค้าที่มีขนาดใหญ่ น้ำหนักมากและ
สินค้าราคาถูกๆ ไม่รีบร้อนในการขนส่ง ซึ่งการขนส่งประเภทนี้ทำให้ธุรกิจสามารถขยายตัวได้รวดเร็วทั้งใน
และตา่ งประเทศ แตค่ า่ ใช้จา่ ยแพงกว่าการขนสง่ ประเภทอน่ื สว่ นประกอบของการขนส่งทางอากาศ
1. ผู้ประกอบการ ได้แก่ บริษัทการบิน ให้บริการขนสง่ ทง้ั ผู้โดยสารและสินค้าท้ังภายในและระหวา่ งประเทศ
2. อุปกรณ์ในการขนส่ง ได้แก่ เครื่องบิน แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ- เครื่องบินโดยสาร ให้บริการขนส่ง
ผู้โดยสาร- เครื่องบินบรรทุกสินค้า ให้บริการขนส่งเฉพาะสินค้า- เครื่องบินแบบผสม ให้บริการทั้งผู้โดยสาร
และสนิ ค้าภายในลำเดียวกนั
3. เส้นทางบิน คือ เส้นทางที่กำหนดจากแห่งหนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่ง มี 2 ลักษณะ คือ – เส้นทางในอากาศ-
เส้นทางบนพื้นดิน3.4 สถานีในการขนส่งหรือทาอากาศยาน เป็นบริเวณที่ใช้สำหรับการขึ้นลงของเครื่องบิน
ประกอบดว้ ย- อาคารสถานี- ทางว่งิ และทางขับ- ลานจอด
ข้อดี
1. สะดวก รวดเรว็ ทสี่ ุด
2. สามารถขนส่งกระจายไปทวั่ ถงึ ได้อยา่ งกว้างขวางทัง้ ใน ประเทศและระหวา่ งประเทศ
3. สามารถขนสง่ ไปในท้องถ่ินท่ีการขนสง่ ประเภทอืน่ ไปไม่ถงึ หรอื ไปยากลำบาก
4. เหมาะกบั การขนส่งระยะไกลๆ
5. เหมาะกับการขนส่งสนิ คา้ ทเ่ี สยี ง่าย จำเป็นตอ้ งถึงปลายทางรวดเรว็
6. ขนส่งได้หลายเท่ียวในแตล่ ะวนั เพราะเครื่องบินข้ึนลงได้รวดเร็ว
ข้อเสยี
1. ค่าใชจ้ ่ายในการขนส่งสงู กว่าประเภทอ่ืน
2. จำกดั ขนาดและนำ้ หนักของสินคา้ ทีบ่ รรทกุ จะมีขนาดใหญ่และนำ้ หนักมากไม่ได้
3. บริการขนสง่ ไดเ้ ฉพาะเมอื งที่มีทา่ อากาศยานเท่านนั้
4. การขนส่งขึ้นอยกู่ ับสภาพภูมอิ ากาศ
5. การลงทุนและค่าใช้จา่ ยในการบำรุงรกั ษาอปุ กรณส์ ูง
6. มคี วามเส่ียงภัยอนั ตรายสูง
การขนส่งทางท่อ (Pipeline Transportation)
เป็นการขนส่งสิ่งของประเภทของเหลวและก๊าซผ่านสายท่อ เช่น น้ำประปา น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ
เป็นตน้ ซ่ึงการขนสง่ ทางท่อจะแตกตา่ งกับการขนส่งประเภทอ่ืน คอื อปุ กรณ์ทีใ่ ชใ้ นการขนส่งไม่ต้องเคลื่อนท่ี
โดยเส้นทางขนส่งทางท่ออาจจะอยูบ่ นดนิ ใต้ดนิ หรอื ใต้นำ้ ข้นึ อยู่กบั สภาพภูมิอากาศ ประเทศแรกท่ีใช้ระบบ
การขนสงทางท่อ คือ ประเทศสหรัฐอเมริกา ใช้สำหรับขนส่งสินค้าประเภทเชื้อเพลิง ปัจจุบันประเทศไทยใช้
ระบบการขนสง่ ทางทอ่ สำหรบั สนิ คา้ ประเภทนำ้ มันเชอื้ เพลิงและก๊าซธรรมชาติ
สว่ นประกอบของการขนสง่ ทางท่อ
1. ผู้ประกอบการ ซ่ึงผ้ปู ระกอบการทสี่ ำคัญ ได้แก่ การปโิ ตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.)
2. อุปกรณใ์ นการขนสง่ ไดแ้ ก่ ท่อ หรือสายทอ่ แบ่งเป็น – ทอ่ หลัก – ท่อย่อย
3. สถานีในการขนส่ง ได้แก่ สถานีต้นทาง สถานีปลายทาง สถานีแยก สถานีสูบดันข้อดีและข้อเสียของการ
ขนสง่ ทางท่อ
ข้อดี
1. ประหยัดตน้ ทนุ เวลาในการขนย้ายสินค้า
2. สามารถขนสง่ ไดท้ กุ สภาพภูมิอากาศ
3. สามารถขนส่งได้ไมจ่ ำกัดเวลาและปริมาณ
4. มคี วามปลอดภยั สงู จากการสญู หายหรอื ลกั ขโมย
5. กำหนดเวลาการขนสง่ ได้แน่นอนชดั เจน
6. ประหยัดค่าแรง เพราะใช้กำลังคนนอ้ ย
ข้อเสีย
1.ใชข้ นส่งไดเ้ ฉพาะสินค้าทีเ่ ปน็ ของเหลวหรอื ก๊าซเทา่ น้ัน
2. คา่ ใชจ้ ่ายในการลงทุนคร้ังแรกสงู
3. ตรวจสอบหาจุดบกพรอ่ งทำไดย้ าก
4. ท่อหลกั ที่ใชข้ นสง่ เม่อื วางแล้วเคล่อื นย้ายเปล่ียนเส้นทางไมไ่ ด้
5. ไมเ่ หมาะกบั การขนสง่ ในภมู ิประเทศทมี่ ีแผน่ ดนิ ไหวบ่อย
การขนสง่ ระบบคอนเทนเนอร์ (Container System)
การขนส่งระบบคอนเทนเนอร์ เป็นการพัฒนาการขนส่งอีกขั้นหนึ่ง โดยการบรรจุสินค้าที่จะขนสง่
ลงในตู้หรือกล่องเหล็กขนาดใหญ่ ที่เรียกว่า คอนเทนเนอร์ แล้วทำการขนส่งโดยรถบรรทุก รถไฟ หรือ
เครอ่ื งบิน ไปยงั จดุ หมายปลายทางโดยไม่มกี ารขนถา่ ยสนิ ค้าออกจากตู้ระหว่างทำการขนส่งเที่ยวนนั้ ซ่ึงตูค้ อน
เทนเนอรต์ ้องสรา้ งจากเหลก็ ที่ทนทานต่อสภาพลมฟ้าอากาศ สามารถวางไวก้ ลางแจง้ ไดโ้ ดยปกตจิ ะสรา้ งให้มี
ลักษณะแข็งแรงมาก เพื่อให้ทนทานต่อการยกขนถ่ายสินค้าและสับเปลี่ยนบรรทุกระหว่างรถบรรทุก รถไฟ
หรือเรือ ในการเคลื่อนย้ายตู้นี้จะใช้ปั้นจั่น ในการขนย้าย และจากคุณสมบัติดังกล่าว ตู้คอนเทนเนอร์ จึง
สามารถป้องกันสินค้าชำรุดเสียหายได้เป็นอย่างดี ชนิดของตู้คอนเทนเนอร์ตู้คอนเทนเนอร์หรือตู้สินค้าที่ใช้
ในการขนส่งสินค้า เป็นตู้สี่เหลี่ยมผืนผ้ากว้าง 8 ฟุต สูง 8 ฟุต ยาว 20,25,40,45 ฟุต ทำจากเหล็กหรือ
อะลูมิเนียมที่ได้รับการผนึกอย่างดีกันไม่ให้น้ำเข้าในตู้ได้ ใช้สำหรับบรรทุกสินค้า ซึ่งสามารถแบ่งได้ 3 ชนิด
คือ
1. ตู้แห้งหรือตู้สนิ ค้าทั่วไป เป็นตู้ทึบไม่มีแผ่นฉนวนอยู่ด้านใน ไม่มีเครื่องทำความเย็นตดิ ต้ังหน้าตู้ ใช้บรรทกุ
สนิ คา้ แห้งหรือสินคา้ ทวั่ ไป
2. ตู้ควบคุมอุณหภูมิ แบ่งได้ดังนี้- ตู้ห้องเย็น จะมีเครื่องทำความเย็นในตู้ ภายในระบุฉนวนทุกด้าน เพื่อ
ป้องกันความรอ้ นจากภายนอกเขา้ สู้ด้านใน นิยมเกบ็ ผักสด ผลไม้- ต้ฉู นวน ภายในจะบฉุ นวนด้วยโฟมทุกด้าน
เพื่ออป้องกันความรอ้ นแผ่เข้าตู้ นิยมบรรทกุ ผกั - ตู้ระบายอากาศ เหมือนกับตู้เย็นแตม่ ีพดั ลมมแทนเครื่องทำ
ความเยน็ พัดลมจะดูดกา๊ ซอีเทอร์ลีนที่ระเหยออกจากตวั สินคา้
3. ตู้พิเศษ ได้แก่- ตู้แท็งก์เกอร์หรือตู้บรรจุของเหลว- ตู้เปิดหลังคา- ตู้แพลตฟอร์ม- ตู้เปิดข้าง- ตู้บรรทุก
รถยนต์- ตู้บรรทกุ หนงั เค็ม- ตู้สูงหรอื จมั โบ้ประโยชน์ของระบบตู้คอนเทนเนอร์
1. ทำให้ขนถา่ ยสินค้าได้รวดเร็ว
2. ลดความเสียหายของสินคา้ ทขี่ นส่งและปอ้ งกนั การถูกโจรกรรมได้
3. ประหยัดค่าใช้จา่ ย
4. สามารถขนส่งไดป้ ริมาณมาก
5. การส่ังจองเรอื ระวางเพ่ือขนสง่ สินคา้ ทำไดส้ ะดวก
6. ตรวจนับสินค้าได้งา่ ย