รายงานการสัง สั เคราะห์ผ ห์ ลการ แก้ปัญหาและพัฒ พั นาคุณ คุ ภาพผู้เผู้รีย รี น เรื่อ รื่ ง การใช้รู ช้ ปแบบการสอนเชิงชิรุก รุ (Active Learning) ด้ว ด้ ยโปรแกรม Classpoint บน Powerpoint รายวิชวิาวิทวิยาศาสตร์ง ร์ านธุรกิจและบริกริาร เรื่อ รื่ งการอนุรั นุ ก รั ษ์พลังงานและสิ่งสิ่แวดล้อม สำ หรับ รั นัก นั ศึกษาระดับ ดั ประกาศนีย นี บัต บั รวิชวิาชีพ ชี ชั้น ชั้ สูง สู ปีที่ ปี ที่ 1 วิทวิยาลัยอาชีว ชี ศึกษาแพร่ ภาคเรีย รี นที่ 1 ปีก ปี ารศึกษา 2566 จัด จั ทำ โดย นางสาวทิพกฤตา อินไชย ตำ แหน่ง น่ ครู วิทวิยฐานะ ครูชำ นาญการ วิทวิยาลัยอาชีว ชี ศึกษาแพร่ อาชีว ชี ศึกษาจัง จั หวัด วั แพร่ สถาบัน บั การอาชีว ชี ศึกษาภาคเหนือ นื 2 สำ นัก นั งานคณะกรรมการการอาชีว ชี ศึกษา กระทรวงศึกษาธิกธิาร
รายงานการสังเคราะห์ผลการแก้ปัญหาและพัฒนาคุณภาพผู้เรียน เรื่อง การใช้รูปแบบการสอนเชิงรุก (Active Learning) ด้วยโปรแกรม Classpoint บน Powerpoint รายวิชาวิทยาศาสตร์งานธุรกิจและบริการ เรื่องการอนุรักษ์ พลังงานและสิ่งแวดล้อม สำหรับนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ปีที่ 1 วิทยาลัยอาชีวศึกษาแพร่ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จัดทำโดย นางสาวทิพกฤตา อินไชย ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชำนาญการ วิทยาลัยอาชีวศึกษาแพร่ อาชีวศึกษาจังหวัดแพร่ สถาบันการอาชีวศึกษาภาคเหนือ 2 สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ
ก ชื่อเรื่อง รายงานการวิจัยในชั้นเรียน เรื่องการใช้รูปแบบการสอนเชิงรุก (Active Learning) ด้วย โปรแกรม Classpoint บน Powerpoint รายวิชาวิทยาศาสตร์งานธุรกิจและบริการ เรื่อง การอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม สำหรับนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ปีที่ 1 วิทยาลัยอาชีวศึกษาแพร่ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ชื่อผู้วิจัย นางสาวทิพกฤตา อินไชย ปีที่ศึกษา พ.ศ. 2566 บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การอนุรักษ์ พลังงานและสิ่งแวดล้อม ของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ปีที่ 1 สาขาวิชาบริหารงานคหกรรม ศาสตร์ โดยใช้รูปแบบการเรียนเชิงรุก (Active learning) ด้วยโปรแกรม Classpoint บน Powerpoint เพื่อศึกษาพฤติกรรมการสอนเพื่อพัฒนาการเรียนการสอนของผู้เรียนโดยจัดการเรียนแบบเชิงรุก (active learning) ด้วยโปรแกรม Classpoint บน Powerpoint เรื่องการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม ของ นักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ปีที่ 1 สาขาวิชาบริหารงานคหกรรมศาสตร์ และเพื่อศึกษา ความพึงพอใจของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ปีที่ 1 สาขาวิชาบริหารงานคหกรรมศาสตร์ จากการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีการสอนรูปแบบการเรียนเชิงรุก (Active learning) เรื่อง สภาวะโลกร้อน กลุ่ม ตัวอย่าง เลือกอย่างเจาะจง นักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ปีที่ 1 สาขาวิชาบริหารงานคหกร รมศาสตร์ วิทยาลัยอาชีวศึกษาแพร่ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ที่ลงทะเบียนเรียนใน รายวิชาวิทยาศาสตร์งานธุรกิจและบริการ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 4 คน เครื่องมือที่ใช้ใน การวิจัย ประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์งานธุรกิจและบริการ หน่วยที่ 4 เรื่องการ อนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม 2) สื่อประกอบการสอนกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องการอนุรักษ์พลังงานและ สิ่งแวดล้อม 3) แบบประเมินความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีการสอนรูปแบบ การเรียนเชิงรุก (Active learning) ด้วยโปรแกรม Classpoint บน Powerpoint เรื่อง การอนุรักษ์พลังงาน และสิ่งแวดล้อม จากการจัดการเรียนการสอน พบว่า ผลการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของ การจัดการเรียนแบบเชิงรุก (active learning) ด้วยโปรแกรม Classpoint บน Powerpoint รายวิชาวิทยาศาสตร์งานธุรกิจและบริการ เรื่องการ อนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมมีค่าประสิทธิภาพ 83.75 หมายความว่าประสิทธิภาพของกระบวนการ ซึ่งได้ คะแนนจากการพฤติกรรมการร่วมกิจกรรม ใบกิจกรรม ใบงานและแบบทดสอบย่อยในการเรียน มีค่าเท่ากับ 83.75 และประสิทธิภาพของผลลัพธ์ ซึ่งได้คะแนนจากการทดสอบหลังเรียนมีค่าเท่ากับ 77.50
ผลที่เกิดขึ้นดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า รูปแบบการเรียนการสอนแบบเชิงรุก (Active Learning) ด้วย โปรแกรม Classpoint บน Powerpoint เพื่อพัฒนาผู้เรียนรายวิชาวิทยาศาสตร์งานธุรกิจและบริการ เรื่อง การอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม มีวิธีการเรียนที่ให้นักศึกษาได้ปฏิบัติจริง และสร้างความรู้จากสิ่งที่ได้ ปฏิบัติระหว่างเรียน โดยมีวิธีการเรียนรู้ผ่านทักษะ การสำรวจข้อมูล การทดลองการแก้ไขปัญหา การ อภิปรายร่วมกัน และการทำงานแบบกลุ่มเล็กๆ การทำงานแบบร่วมมือร่วมใจกันซึ่งวางอยู่บนปัจจัยพื้นฐาน ของรูปแบบการเรียนรู้เชิงรุก ประกอบด้วย การพูดและการฟัง การเขียน การอ่าน การโต้ตอบความคิดเห็น ซึ่ง เป็นการจัดประสบการณ์ที่ลดกระบวนการสื่อสารและการถ่ายทอดเนื้อหาให้ผู้เรียนเพียงอย่างเดียว ซึ่ง สอดคล้องกับ วัชรี เกษพิชัยณรงค์(2014) ไดก้ล่าวถึงการเรียนเชิงรุก (Active Learning) เป็นการเรียนที่เน้น ให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับการเรียนการสอนส่งผลให้ผู้เรียนมีประสิทธิภาพดีขึ้น และสอดคล้องกับบุญชิต มณี โชติ(2540, หน้า 2) ได้กล่าว ลักษณะของ Active Learning คือการเปลี่ยนวิธีการสอนแบบเดิม ๆ เป็นการ สอนที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แสวงหาความรู้กระตุ้น ให้เกิดความใฝ่รู้ รู้จักคิดวิเคราะห์วิพากษ์วิจารณ์และ แก้ไขปัญหาได้ส่งผลให้ผู้เรียนมีประสิทธิภาพดีขึ้น
ข กิตติกรรมประกาศ งานวิจัยฉบับนี้สำเร็จลงได้ด้วยดี เนื่องจากได้รับความร่วมมือจากครูแผนกวิชาสามัญสัมพันธ์ทุกคนที่ ช่วยในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน การนิเทศการสอน ให้คำแนะนำปรึกษา ตลอดจนปรับปรุงแก้ไข ข้อบกพร่องต่าง ๆ ด้วยความเอาใจใส่อย่างดียิ่ง ขอบคุณนักศึกษาสาขาวิชาบริหารงานคหกรรมศาสตร์ที่ เรียนวิชาวิทยาศาสตร์งานธุรกิจและบริการ กลุ่มประชากรที่ใช้ทดสอบในครั้งนี้ทุกคนที่ให้ข้อมูลต่าง ๆ ที่เอื้อ ต่อการทำงานวิจัย ตลอดจนให้ความร่วมมือในการตอบแบบสอบถาม จนทำให้งานวิจัยนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี อนึ่ง ผู้วิจัยหวังว่า งานวิจัยฉบับนี้จะมีประโยชน์อยู่ไม่น้อย จึงขอมอบส่วนดีทั้งหมดนี้ให้แก่เหล่า คณาจารย์ที่ได้ประสิทธิประสาทวิชาจนทำให้ผลงานวิจัยเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่เกี่ยวข้องและขอมอบความกตัญญู กตเวทิตาคุณ แด่บิดา มารดา และผู้มีพระคุณทุกท่าน สำหรับข้อบกพร่องต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นนั้น ผู้วิจัยขอ น้อมรับผิดเพียงผู้เดียว และยินดีที่จะรับฟังคำแนะนำจากทุกท่านที่ได้เข้ามาศึกษา เพื่อเป็นประโยชน์ใน การพัฒนางานวิจัยต่อไป ผู้วิจัย
ค สารบัญ เรื่อง หน้า บทคัดย่อ ก กิตติกรรมประกาศ ข สารบัญ ค สารบัญตาราง ง บทที่ 1 บทนำ 1 - ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา 1 - จุดประสงค์ของการวิจัย 2 - สมมติฐานของการวิจัย 2 - กรอบแนวคิดการวิจัย 2 - ขอบเขตของการวิจัย 3 - ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 4 - นิยามศัพท์เฉพาะ 4 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 6 - การเรียนการสอนแบบ Active Learning 6 - รูปแบบการเรียนรู้เชิงรุก 7 - สื่อการเรียนรู้ 9 - ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 15 - ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ 23 - ความพึงพอใจ 24 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย 26 - ประชากร 26 - เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล 21 - การเก็บรวบรวมข้อมูล 28 - การวิเคราะห์ข้อมูล 28 - สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 29 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 30 บทที่ 5 สรุปผลการวิจัย อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ 35 - สรุปผลการวิจัย 35 - การอภิปรายผล 36 -
ค สารบัญ (ต่อ) เรื่อง หน้า - ข้อเสนอแนะ 37 เอกสารอ้างอิง 38 ภาคผนวก 39
ง สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า 1. แสดงการหาประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1 ) สอนเชิงรุก (Active Learning) 30 ด้วยโปรแกรม Classpoint บน Powerpoint รายวิชาวิทยาศาสตร์งานธุรกิจและ บริการ เรื่องการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม 2. แสดงการหาประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2 ) สอนเชิงรุก (Active Learning) 31 ด้วยโปรแกรม Classpoint บน Powerpoint รายวิชาวิทยาศาสตร์งานธุรกิจและบริการ เรื่องการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม 3. แสดงผลการเปรียบเทียบคะแนนนักเรียนก่อนและหลัง สอนเชิงรุก (Active Learning) 31 ด้วยโปรแกรม Classpoint บน Powerpoint รายวิชาวิทยาศาสตร์งานธุรกิจและบริการ เรื่องการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม 4. แสดงผลการวิเคราะห์พฤติกรรมการเรียนรู้หลังเรียน เรื่อง การอนุรักษ์พลังงานและ 32 สิ่งแวดล้อมด้วยวิธีการสอนเชิงรุก (Active Learning) ด้วยโปรแกรม Classpoint บน Powerpoint 5. แสดงผลการวิเคราะห์พฤติกรรมการสอนเพื่อพัฒนาการเรียนการสอนของนักศึกษา 33 เรื่องการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม รายวิชาวิทยาศาสตร์งานธุรกิจและบริการ โดยจัดการเรียนด้วยวิธีการสอนเชิงรุก (Active Learning) ด้วยโปรแกรม Classpoint บน Powerpoint 6. แสดงผลการศึกษาความพึงพอใจในการเรียนของนักศึกษากลุ่มตัวอย่างที่ได้รับการจัด 34 การเรียนแบบเชิงรุก (active learning) ด้วยโปรแกรม Classpoint บน Powerpoint รายวิชาวิทยาศาสตร์งานธุรกิจและบริการ เรื่องการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม
1 บทที่ 1 บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา วิทยาศาสตร์มีบทบาทสำคัญในชีวิตของเรา เพราะวิทยาศาสตร์เกี่ยวข้องกับทุกคนทั้งใน ชีวิตประจำวันและการงานอาชีพ ตลอดจนเทคโนโลยีเครื่องมือและผลผลิตต่างๆ ที่มนุษย์ใช้เพื่ออำนวยความ สะดวกในการดำรงชีวิต ผลของความรู้วิทยาศาสตร์ผสมผสานกับความคิดสร้างสรรค์และศาสตร์อื่นๆ ช่วยให้ มนุษย์ได้พัฒนาวิธีคิดทั้งความคิดเป็นเหตุเป็นผล คิดสร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์วิจารณ์มีทักษะในการค้นคว้าหา ความรู้มีความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบสามารถตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลที่หลากหลายและมี ประจักษ์พยานที่ตรวจสอบได้ วิทยาศาสตร์เป็นวัฒนธรรมของโลกสมัยใหม่ซึ่งเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ (knowledge-based society) ดังนั้นทุกคนจึงจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาให้รู้วิทยาศาสตร์ เพื่อที่จะมีความรู้ ความเข้าใจในธรรมชาติและเทคโนโลยีที่สร้างสรรค์ขึ้น สามารถนำความรู้ไปใช้อย่างมีเหตุผลสร้างสรรค์และมี คุณธรรม กลุ่มการเรียนรู้วิทยาศาสตร์มุ่งหวังให้ผู้เรียนได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่เน้นการเชื่อมโยงความรู้ กับกระบวนการ มีทักษะสำคัญ ในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้โดยใช้กระบวนการในการสืบเสาะหาความรู้ และแก้ปัญหาที่หลากหลาย ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ทุกขั้นตอน มีการทำกิจกรรมด้วยการลงมือปฏิบัติ จริงอย่างหลากหลายเหมาะสมกับ ระดับชั้นโดยได้กำหนดสาระสำคัญให้สอดคล้องกับช่วงวัยของผู้เรียนโดย นำเทคโนโลยีเข้ามาบูรณาการในการจัดการเรียนการสอน เพราะในปัจจุบันเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทต่อการ ดำรงชีวิตในประจำวันเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เทคโนโลยีเข้ามี ส่วนช่วยพัฒนาหรือเพิ่มประสิทธิในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้เป็นอย่างดีและการที่เทคโนโลยีจะ สามารถช่วย พัฒนาผู้เรียนรวมทั้งผู้สอนได้นั้นขึ้นอยู่กับการนำเทคโนโลยีไปผสมผสานประยุกต์ใช้ให้เกิด ประโยชน์มากที่สุด จากสภาพปัญหาและความสำคัญดังกล่าว ผู้วิจัยเห็นว่าควรหาแนวทางในการพัฒนาการ เรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ของวิทยาลัยเทคโนโลยีและการจัดการตากฟ้า ให้มีประสิทธิภาพและ ประสิทธิผลต่อนักเรียนยิ่งขึ้น คือจัดการเรียนการสอนที่เน้นให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติ และสร้างองค์ความรู้จากสิ่งที่ ได้ปฏิบัติโดยผ่านการจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ดังนั้นผู้วิจัย จึงได้นำรูปแบบที่จะสามารถให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ ด้วยตัวเองเกิดการพัฒนาทักษะ ต่างๆ ร่วมกับการบริหารจัดการการทำงานเป็นทีม ในการทำงานร่วมกันให้ประสบผลสำเร็จตามเป้าหมาย มา ปรับใช้กับขั้นตอนในกระบวนการเรียนรู้ โดยการใช้รูปแบบการสอนเชิงรุก (Active Learning) ด้วยโปรแกรม Classpoint บน Powerpoint รายวิชาวิทยาศาสตร์งานธุรกิจและบริการ เรื่องการอนุรักษ์พลังงานและ สิ่งแวดล้อม สำหรับนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ปีที่ 1 วิทยาลัยอาชีวศึกษาแพร่ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 เพื่อนำผลวิจัยที่ได้มาปรับปรุงการเรียนการสอน ในรายวิชา อื่นๆ ให้เกิดประสิทธิผลและ ประสิทธิภาพมากที่สุด
2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อพัฒนาและวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม ของ นักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ปีที่ 1 สาขาวิชาบริหารงานคหกรรมศาสตร์ โดยใช้รูปแบบการ เรียนเชิงรุก (Active learning) ด้วยโปรแกรม Classpoint บน Powerpoint 2. เพื่อศึกษาพฤติกรรมการสอนเพื่อพัฒนาการเรียนการสอนของนักเรียนโดยจัดการเรียนแบบเชิง รุก (active learning) ด้วยโปรแกรม Classpoint บน Powerpoint เรื่อง การอนุรักษ์พลังงานและ สิ่งแวดล้อม ของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ปีที่ 1 สาขาวิชาบริหารงานคหกรรมศาสตร์ 3. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ปีที่ 1 วิทยาลัย อาชีวศึกษาแพร่ จากการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีการสอนรูปแบบการเรียนเชิงรุก (Active learning) ด้วย โปรแกรม Classpoint บน Powerpoint เรื่อง การอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม สมมติฐานของการวิจัย 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชาวิทยาศาสตร์งานธุรกิจและบริการ เรื่อง การอนุรักษ์พลังงาน และสิ่งแวดล้อม ของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ปีที่ 1 สาขาวิชาบริหารงานคหกรรมศาสตร์ วิทยาลัยอาชีวศึกษาแพร่ หลังจากได้รับการจัดการเรียนรู้รูปแบบการเรียนเชิงรุก (Active learning) ด้วย โปรแกรม Classpoint บน Powerpoint สูงกว่าก่อนเรียน 2. นักศึกษาที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุก (active learning) ด้วยโปรแกรม Classpoint บน Powerpoint มีพฤติกรรมการเรียนรู้อยู่ในระดับมากขึ้นไป 3. ความพึงพอใจของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ปีที่ 1 สาขาวิชาบริหารงานค หกรรมศาสตร์วิทยาลัยอาชีวศึกษาแพร่ ในการเรียนรายวิชาวิทยาศาสตร์งานธุรกิจและบริการ โดยใช้การจัด จัดการเรียนรู้รูปแบบการเรียนเชิงรุก (Active learning) ด้วยโปรแกรม Classpoint บน Powerpoint อยู่ใน ระดับความพึงพอใจมากขึ้นไป กรอบแนวคิดในการวิจัย การวิจัยในชั้นเรียน เรื่องการใช้รูปแบบการสอนเชิงรุก (Active Learning) ด้วยโปรแกรม Classpoint บน Powerpoint รายวิชาวิทยาศาสตร์งานธุรกิจและบริการ เรื่องการอนุรักษ์พลังงานและ สิ่งแวดล้อม สำหรับนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ปีที่ 1 วิทยาลัยอาชีวศึกษาแพร่ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ผู้วิจัยไดนําไปกําหนดกรอบแนวคิดใน การวิจัยดังนี้
3 ตัวแปรอิสระ Independent Variable ตัวแปรตาม dependent variable ภาพประกอบ 1 กรอบแนวคิดการวิจัย ขอบเขตของการวิจัย 1. ขอบเขตด้านโครงสร้าง/เนื้อหา 1.1 การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบเชิงรุก (active learning) ด้วยโปรแกรม Classpoint บน Powerpoint ในการจัดการเรียนการสอนรายวิชา วิทยาศาสตร์งานธุรกิจและบริการ เรื่องการอนุรักษ์พลังงาน และสิ่งแวดล้อม 2. ขอบเขตด้านประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 2.1 ประชากร นักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ปีที่ 1 สาขาวิชาบริหารงานคหกรรมศาสตร์ วิทยาลัยอาชีวศึกษาแพร่ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ที่ลงทะเบียนเรียนในรายวิชา วิทยาศาสตร์งานธุรกิจและบริการ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 4 คน 2.2 กลุ่มตัวอย่าง เลือกอย่างเจาะจง นักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ปีที่ 1 สาขาวิชา บริหารงานคหกรรมศาสตร์วิทยาลัยอาชีวศึกษาแพร่ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ที่ ลงทะเบียนเรียนในรายวิชาวิทยาศาสตร์งานธุรกิจและบริการ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 4 คน 3. ขอบเขตด้านตัวแปร 3.1 ตัวแปรต้น (อิสระ) คือ การใช้วิธีการสอนรูปแบบการเรียนเชิงรุก (Active learning) ด้วยโปรแกรม Classpoint บน Powerpoint ในการจัดการเรียนการสอนรายวิชาวิทยาศาสตร์งานธุรกิจและ บริการ เรื่องการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม 3.2 ตัวแปรตาม มี 3 ตัวแปร คือ 3.2.1 พฤติกรรมการเรียนรู้ 3.2.2 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ตัวแปรตาม - ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน - พฤติกรรมการเรียนรู้ - ความพึงพอใจในการเรียน ตัวแปรต้น การจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุก (active learning)ด้วยโปรแกรม Classpoint บน Powerpoint ในการจัดการเรียน การสอนรายวิชา รายวิชาวิทยาศาสตร์ งานธุรกิจและบริการ เรื่องการอนุรักษ์ พลังงานและสิ่งแวดล้อม
4 3.2.3 ความพึงพอใจในการเรียน 3.3 ตัวแปรควบคุม คือ กลุ่มตัวอย่างนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ปีที่ 1 สาขาวิชาบริหารงานคหกรรมศาสตร์วิทยาลัยอาชีวศึกษาแพร่ เนื้อหารายวิชาหน่วยการเรียนรู้เรื่อง การ อนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม ระยะเวลา 8 ชั่วโมง 4. ขอบเขตด้านระยะเวลา 4.1 ระยะเวลาที่ใช้ในการทดลอง คือ ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2566 ใช้เวลาในการ ทดลอง 8 คาบ ๆ ละ 60 นาที โดยผู้วิจัยทำการทดลองเองทั้งกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ จากการวิจัยเรื่องการใช้รูปแบบการสอนเชิงรุก (Active Learning) ด้วยโปรแกรม Classpoint บน Powerpoint รายวิชาวิทยาศาสตร์งานธุรกิจและบริการ เรื่องการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม สำหรับ นักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ปีที่ 1 วิทยาลัยอาชีวศึกษาแพร่ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ระบุประโยชนที่คาดวาจะไดรับไวมีดังนี้ 1. ทำให้ได้สื่อการสอนวิชาวิทยาศาสตร์งานธุรกิจและบริการ เรื่องการอนุรักษ์พลังงานและ สิ่งแวดล้อม โดยรูปแบบการเรียนรู้เชิงรุกซึ่งผู้สอนวิชาวิทยาศาสตร์สามารถนำไปใช้ประกอบการเรียนการสอน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2. เพื่อเป็นแนวทางสำหรับครูและผู้เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนการสอน สามารถจัดกิจกรรมการ เรียนการสอนโดยรูปแบบการเรียนรู้เชิงรุกไปประยุกต์ในการพัฒนาการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์และวิชา อื่น ๆ ต่อไป นิยามศัพท์เฉพาะ 1. วิทยาลัย หมายถึง วิทยาลัยอาชีวศึกษาแพร่ 2. นักศึกษา หมายถึง นักศึกษาในรายวิชาวิทยาศาสตร์งานธุรกิจและบริการ รหัสวิชา 30000- 1308 ประจําภาคเรียนที่ 1 ปการศึกษา 2566 3. ครู หมายถึง ผู้ที่มีความสามารถให้คำแนะนำ เพื่อให้เกิดประโยชน์ทางการเรียน สำหรับนักเรียน หรือ นักศึกษาในสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ทั้งของรัฐและเอกชน มีหน้าที่ หรือมีอาชีพในการสอนกับวิชาความรู้ หลักการคิดการอ่าน รวมถึงการปฏิบัติและแนวทางในการทำงาน โดยวิธีในการสอนจะแตกต่างกันออกไปโดย คำนึงถึงพื้นฐานความรู้ ความสามารถ และเป้าหมายของนักเรียนแต่ละคน และนอกจากการสอนแล้วครูยังเป็น ผู้ยกระดับวิญญาณมนุษย์ ให้รู้จักผิดชอบชั่วดี สอนในคุณงามความดีเพื่อเป็นแม่แบบให้เด็กได้ปฏิบัติตามทั้งต่อ หน้าและลับหลัง 4. สื่อการเรียนรู้ด้วยโปรแกรม Classpoint บน Powerpoint หมายถึงเครื่องมือตอบคำถามในชั้น เรียนช่วยให้คุณครูสร้างแบบทดสอบ โต้ตอบกับนักเรียนได้อย่างรวดเร็ว และนอกจากนี้ยังมีเครื่องมือต่างๆ ที่
5 สามารถนำมาใช้ได้เลย โดยไม่ต้องเปลี่ยนไปใช้โปรแกรมอื่นให้เสียเวลาเลย และสามารถใช้ ClassPoint ร่วมกับ PowerPoint นำเสนอสื่อการเรียนการสอน หรือแบบทดสอบได้เลย 5. ความพึงพอใจ หมายถึง ความรูสึกทางบวกหรือความชอบของนักศึกษาในรายวิชาวิทยาศาสตร์ งานธุรกิจและบริการ รหัสวิชา 30000-1308 ประจําภาคเรียนที่ 1 ปการศึกษา 2566 ที่มีตอการจัดกิจกรรม การเรียนการสอนแบบเชิงรุก (active learning) ด้วยโปรแกรม Classpoint บน Powerpoint 6. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ผลที่เกิดจากกระบวนการเรียนการสอนที่จะทำให้นักเรียน เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และสามารถวัดได้โดยการแสดงออกมาทั้ง 3 ด้าน คือ ด้านพุทธิพิสัย ด้านจิต พิสัย และด้านทักษะพิสัย
6 บทที่2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิจัยเรื่องการใช้รูปแบบการสอนเชิงรุก (Active Learning) ด้วยโปรแกรม Classpoint บน Powerpoint รายวิชาวิทยาศาสตร์งานธุรกิจและบริการ เรื่องการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม สำหรับ นักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ปีที่ 1 วิทยาลัยอาชีวศึกษาแพร่ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 โดยผู้วิจัยได้ศึกษา แนวคิด ทฤษฎี เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ 1. การเรียนการสอนแบบ Active Learning 2. รูปแบบการเรียนรู้เชิงรุก 3. สื่อการเรียนรู้ 4. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 4.1 ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 4.2 ความหมายของแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 4.3 หลักการสร้างแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 4.4 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ 5. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ 6. ความพึงพอใจ 6.1 ความหมายของความพึงพอใจ 6.2 ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับความพึงพอใจ 1. การเรียนการสอนแบบ Active Learning 1.1 คำจำกัดความ การเรียนการสอนแบบ Active Learning เป็นกระบวนการเรียนการสอนที่เน้นให้ผู้เรียนมีส่วนร่วม และมีปฏิสัมพันธ์กับกิจกรรมการเรียนรู้ผ่านการปฏิบัติที่หลากหลายรูปแบบ เช่น การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การระดมสมอง การแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และการทำกรณีศึกษา เป็นต้น โดยกิจกรรมที่นำมาใช้ควรช่วย พัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ การสื่อสาร/นำเสนอ และการใช้เทคโนโลยี สารสนเทศอย่างเหมาะสม บทบาทของผู้เรียนนอกจากการมีส่วนร่วมในกิจกรรมดังกล่าวข้างต้นแล้ว ยังต้อง มีปฏิสัมพันธ์กับผู้สอนและผู้เรียนกับผู้เรียนด้วยกันด้วย ผู้สอนควรลดบทบาทในการถ่ายทอดความรู้แก่ผู้เรียน ในลักษณะการบรรยายลง และเพิ่มบทบาทในการกระตุ้นให้ผู้เรียนมีความกระตือรือร้นที่จะทำกิจกรรมต่างๆ รวมถึงการจัดเตรียมสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการเรียนรู้
7 1.2 ลักษณะของการเรียนแบบ Active Learning 1. เป็นการพัฒนาศักยภาพการคิดการแก้ปัญหาและการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ 2. ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการจัดระบบการเรียนรู้และสร้างองค์ความรู้โดยมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกัน ในรูปแบบของความร่วมมือมากกว่าการแข่งขัน 3. เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้สูงสุด 4. เป็นกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนบูรณาการข้อมูลข่าวสารสารสนเทศสู่ทักษะการคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์และประเมินค่า 5. ผู้เรียนได้เรียนรู้ความมีวินัยในการทำงานร่วมกับผู้อื่น 6. ความรู้เกิดจากประสบการณ์และการสรุปของผู้เรียน 7. ผู้สอนเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการจัดการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนเป็นผู้ปฏิบัติด้วยตนเอง 1.3 ตัวอย่างวิธีการสอนที่เน้นการเรียนแบบ Active Learning 1. แบบระดมสมอง (Brainstorming) 2. แบบเน้นปัญหา/โครงงาน/กรณีศึกษา (Problem/Project-based Learning/Case Study) 3. แบบแสดงบทบาทสมมุติ (Role Playing) 4. แบบแลกเปลี่ยนความคิด (Think – Pair – Share) 5. แบบสะท้อนความคิด (Student’s Reflection) 6. แบบตั้งคำถาม (Questioning-based Learning) 7. แบบใช้เกม (Games-based Learning) 2. รูปแบบการเรียนรู้เชิงรุก กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุก เป็นแนวการจัดการเรียนรู้ตามพระราชบัญญัติการศึกษา แห่งชาติที่ต้องการให้ผู้สอนจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญเพื่อสร้างศักยภาพสูงสุดแก่ผู้เรียน ให้เกิด ความคิดสร้างสรรค์และพัฒนาความเชื่อมั่นในตนเอง ให้การจัดการเรียนรู้มีความหมายผู้เรียนเป็นฝ่ายลงมือ กระทำอยู่กับ เนื้อหาที่จะก่อให้เกิดการรู้โดยการพูดคุยการเขียนการอ่าน การสะท้อน หรือการตั้งคำถาม หรือ การเรียนการสอนที่มีความเคลื่อนไหว ใช้ได้ทั้งกลุ่มเล็กและห้องเรียนใหญ่ๆ ผู้เรียนอาจทำงานคนเดียวหรือทำ เป็นกลุ่มก็ได้และอาจใช้ในเวลา 2-3 นาทีหรือดา เนินการสอนตลอดทั้งหลักสูตรก็ได้ซึ่งจะตรงกันข้ามกบัการ เรียนแบบปกติหรือการสอนแบบดั้งเดิมที่ผู้สอนเป็นฝ่ายรุก (active) ผู้เรียนเป็นฝ่ายรับ (passive) หรือถ้า เปรียบเทียบอีกอย่างคือการเรียนการสอนแบบดั้งเดิมเป็นแบบเหยือกผู้สอนต้องรินน้ำใส่เหยือกแต่ กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุกผู้สอนต้องเปิดโอกาสให้ผู้เรียนเป็นฝ่ายสร้างเนื้อหาใหม่ผู้สอนคอยนำ ทางเพื่อช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจและใช้ข้อมูลข่าวสารนั้น ให้เป็นประโยชน์กล่าวคือช่วยจุดตะเกียงการเรียนรู้ของ ผู้เรียน จึงจะทำให้ผู้เรียนและการเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์คือต้องเป็น ศูนย์กลางของกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุก ซึ่งช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจได้ดีขึ้นและสามารถเก็บกักข้อมูล
8 ข่าวสารไว้ในความทรงจำได้นานขึ้น นอกจากนี้ยังมีประสิทธิภาพในการพัฒนากระบวนรับรู้ในลำดับ ที่สูงขึ้น เช่น การแก้ปัญหาและการคิดวิเคราะห์ผู้เรียนที่เรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประสบความสำเร็จจากการเรียน การสอนแบบนี้มักจะพอใจและมีผลสะท้อนเชิงบวกมายังผู้สอนมากขึ้นแต่ในบางครั้งผู้สอนที่ใช้กระบวนการ จัดการเรียนรู้แบบเชิงรุก ก็ต้องเกิดปัญหากับ นักเรียนที่ไม่สนใจ เวลาที่มีน้อยและการจัดการห้องเรียนให้ เหมาะสม ทำให้วิธีการสอนแบบเชิงรุก จึงไม่ได้หมายความว่าผู้สอนต้องเลิกบรรยายแต่วิธีการสอนแบบเชิงรุก ใช้กิจกรรมได้หลายรูปแบบ เช่น การอภิปรายแบบกลุ่ม (group discussions) การแก้ปัญหาโจทย์(problem solving) การศึกษากรณีเฉพาะ (case studies) การแสดงกฎ (role plays) การเขียนวารสาร (journal writing) และการจัดการแบบกลุ่มเรียน (structured learning groups) ซึ่งขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของการ จัดบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมทางการเรียนการสอนด้วยโดยสถานศึกษาและผู้สอนมีกระบวนการจัดการศึกษา ดังต่อไปนี้ 2.1 หลักการพื้นฐานในการจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบการเรียนรู้เชิงรุก มีหลักการที่สำคัญ 4 ข้อคือ การฟังและพูด การอ่าน การเขียน และการสะท้อนหรือ โต้ตอบความคิดเห็น 2.1.1 การฟังและการพูด การฟังนับเป็นวิธีที่นักเรียนส่วนใหญ่ปฏิบัติแต่การฟังในที่นี้ผู้สอน จะต้องให้ผู้เรียนฟังให้เป็น คือจับใจความสำคัญของเรื่องที่ฟังให้ได้ เมื่อฟังได้แล้วผู้เรียนควรจะสื่อสารออกมา เป็นคำพูดให้ผู้อื่นเข้าใจได้ สามารถพูดสื่อสารข้อคิดเห็นของตนเองได้ 2.1.2 การอ่าน การอ่านเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญ ในการเรียนรู้เราสามารถเรียนรู้ได้มากมาย จากการอ่านแต่ในการอ่านแต่ละครั้งผู้สอนต้องมั้นใจว่าผู้เรียนสามารถจับประเด็นที่สำคัญจากเรื่องที่อ่านได้ 2.1.3 การเขียน การเขียนเป็นวิธิีการสื่อสารความรู้ที่สำคัญ เพราะในการเขียนถา้ไม่เข้าใจ ในเนื้อหาอย่างแท้จริง นักเรียนจะไม่สามารถที่จะเขียนด้วยภาษาของตนเองแล้วสื่อสารให้ตนเองหรือผู้อื่น เข้าใจได้ดังนั้นในการเขียนแต่ละครั้งนักเรียนจะต้องกลั่นกรองและเรียบเรียงความคิดของตนเองได้เป็นอย่างดี ก่อนที่จะลงมือเขียน 2.1.4 การสะท้อนหรือการโต้ตอบความคิดเห็น เป็นสิ่งสำคัญมากในการเรียนดังที่ Vygotsky (อ้างถึงใน Atherton, 2009) ได้กล่าวว่าการเรียนรู้ด้วยตนเองนั้น จะมีข้อจำกัดอยู่ระดับหนึ่งแต่เมื่อ มีการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเชื่อมโยงแนวคิดที่มากขึ้น ดังนั้นการได้โต้ตอบความคิดเห็น ของตนเองและแลกเปลี่ยนเรียนรู้สิ่งที่ตนเองคิดกับผู้อื่นจะช่วยให้การเรียนรู้นั้น มีความหมายมากยิ่งขึ้น 2.2 แนวคิด/หลักการจัดการเรียนรู้เพื่อ การเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสําคัญด้วย รูปแบบการเรียนรู้เชิงรุกที่นำมาใช้ 2.2.1 การมีส่วนร่วม (participation) อย่างตื่นตัว (active) ของผู้เรียน 2.2.2 การมีปฏิสัมพันธ์ (interaction) และร่วมมือร่วมใจ (co-operation) ในการ แลกเปลี่ยนเรียนรู้(share and learning) 2.2.3 การทำกิจกรรมเพื่อพัฒนาทั้งสมองซีกซ้ายและขวา หรือพัฒนาพหุปัญญา (multiple intelligences)
9 2.2.4 การคิด (thinking) ซึ่งกระตุ้นด้วยการถาม (inquiry) 2.2.5 การนำความรู้ไปใช้และประยุกต์ใช้(application) 2.3 บทบาทของครูกับกระบวนการเรียนรู้เชิงรุก บทบาทของครูผสู้อนในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวทางของกระบวนการเรียนรู้เชิงรุก ดังนี้ 2.3.1 จัดให้ผู้เรียนเป็นศูนยก์ลางของการเรียนการสอน กิจกรรมต้องสะท้อนความต้องการใน การพัฒนาผู้เรียนและเน้นการนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตจริงของผู้เรียน 2.3.2 สร้างบรรยากาศของการมีส่วนร่วม และการเจรจาโตต้อบที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนมี ปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับผู้สอนและเพื่อนในชั้นนักเรียน 2.3.3 จัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้เป็นพลวัต ส่งเสริมให้ผู้เรียน มีส่วนร่วมในทุกกิจกรรม รวมทั้งกระตุ้นให้ผู้เรียนประสบความสำเร็จในการเรียนรู้ 2.3.4 จัดสภาพการเรียนรู้แบบร่วมมือ ส่งเสริมให้เกิดการร่วมมือในกลุ่มผู้เรียน 2.3.5 จดักิจกรรมการเรียนการสอนให้ท้าทายและให้โอกาสผู้เรียนได้รับวิธิีการสอนที่ หลากหลาย 2.3.6 วางแผนเกี่ยวกับเวลาในการจัดการเรียนการสอนอย่างชัดเจน ทั้งในส่วนเนื้อหา และกิจกรรม 2.3.7 ครูผู้สอนต้องใจกว้าง ยอมรับความสามารถในการแสดงออก และความคิดของ ผู้เรียน 3. สื่อการเรียนรู้ สื่อนับเป็นสิ่งที่มีบทบาทสำคัญอย่างมากในการสอนตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบันเนื่องจากเป็นตัวกลางที่ ช่วยให้การสื่อสารระหว่างผู้สอนและผู้เรียนดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจความหมายของ เนื้อหาบทเรียนให้ตรงกับผู้สอนต้องการ ไม่ว่าสื่อนั้นจะอยู่ในรูปแบบใดก็ตามล้วนแต่เป็นทรัพยากรที่สามารถ อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ได้ทั้งสิ้น กิดานันท์ มลิทอง (2549: 100) ได้ให้ความหมายคำว่า สื่อ (medium,pl.media) เป็นคำมาจาก ภาษาลาตินว่า “ระหว่าง” (betaween) สิ่งใดข้อตามที่บรรจุข้อมูลสารสนเทศหรือเป็นตัวกลางข้อมูลส่งผ่าน จากผู้ส่งหรือแหล่งส่งไปยังผู้รับเพื่อให้ผู้ส่งและผู้รับสามารถสื่อสารกันได้ตรงตามวัตถุประสงค์ ในการเล่าเรียน เมื่อผู้สอนนำสื่อมาใช้ประกอบการสอนเรียกว่า “สื่อสอนการสอน” และเมื่อนำมาให้ ผู้เรียนใช้เรียกว่า “สื่อการเรียน” โดยเรียกรวมกันว่า “สื่อการเรียนการสอน” หรืออาจจะเรียกสั้นๆ ว่า “สื่อการสอน” หมายถึงสิ่งใดก็ตามไม่ว่าจะเป็นเทปบันทึกเสียง สไลด์ วิทยุ โทรทัศน์ วีดิทัศน์ แผนภูมิ รูปภาพ ฯลฯ ซึ่งเป็นวัสดุบรรจุเนื้อหาเกี่ยวกับการเรียนการสอน หรือเป็นอุปกรณ์เพื่อถ่ายทอดเนื้อหาสิ่ง เหล่านี้เป็นวัสดุอุปกรณ์ทางกายภาพที่นำมาใช้เทคโนโลยีการศึกษาเป็นสิ่งที่ใช้เป็นเครื่องมือหรือช่องทางทำให้ การสอนส่งไปถึงผู้เรียน สื่อการสอนถือว่ามีบทบาทมากในการเรียนการสอนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เนื่องจากเป็นตัวกลางที่ช่วยให้การสื่อระหว่างผู้สอนและผู้เรียนดำเนินการไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้
10 ผู้เรียนมีความหมายของเนื้อหาบทเรียนได้ตรงกับที่ผู้สอนต้องการเรียนรู้ได้ทั้งสิ้น ในการใช้สื่อการสอนนั้น ผู้สอนจำเป็นต้องศึกษาถึงลักษณะคุณสมบัติของสื่อแต่ละชนิดเพื่อเลือกสื่อให้ตรงกับวัตถุประสงค์การสอนและ สามารถจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียน โดยต้องการวางแผนอย่างเป็นระบบในการใช้สื่อด้วย ทั้งนี้ เพื่อให้กระบวนการเรียนการสอนดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ 3.1 ประเภทของสื่อการเรียนการสอน สื่อโสตทัศน์ เป็นสื่อที่นับได้ว่าเป็นจุดเริ่มของสื่อการเรียนการสอน โดยเป็นสื่อที่บรรจุหรือถ่ายทอดข้อมูลเพื่อให้ เกิดการเรียนรู้ด้วยการได้ยินเสียงและเห็นภาพ สื่อที่ใช้กันมาแต่ดั้งเดิม เช่น หนังสือตำราเรียน ภาพ ของ จริง ของจำลอง จะเป็นสื่อที่บรรจุเนื้อหาในตัวเอง ต่อมามีการใช้เทคโนโลยีในการประดิษฐ์อุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์เพื่อการถ่ายทอดเนื้อหาและเนื้อหาและวัสดุที่ใช้กับอุปกรณ์เหล่านี้ โรเบิร์ต อี. เดอ คีฟเฟอร์ (Robert E. de Kieffer) ได้แบ่งสื่อการสอนออกเป็น 2 ประเภทตามลักษณะที่ใช้สื่อความหมายทางเสียง และภาพรวมเรียกว่า “สื่อโสตทัศน์” (audiovisual materials) ในปัจจุบันมีสื่อโสตเพิ่มขึ้นมากจากที่ เดอ คีฟเฟอร์ ได้กล่าวไว้ทั้ง 3 ประเภท ในที่นี้จึงขอยกตัวอย่างสื่อใหม่รวมไปในแต่ละประเภทดังนี้ 1. สื่อไม่ใช้เครื่องฉาย (nonprojected materials) เป็นสื่อที่ใช้การทางทัศนะโดยไม่ต้อง ใช้เครื่องฉายร่วมด้วย แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่สื่อภาพ (illustrative materials) เป็นสื่อ ที่สามารถถ่ายทอดเนื้อหา เช่น ภาพกราฟิก กราฟ แผนที่ ของจริง ของจำลอง กระดานสาธิต (demonstration boards) ใช้ในการนำเสนอเนื้อหา เช่นกระดานชอล์ก กระดานนิเทศ กระดานแม่เหล็ก กระดานผ้าสำลี ฯลฯ และกิจกรรม(activites) 2. สื่อเครื่องฉาย (projected and equipment) เป็นวัสดุและอุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์เพื่อการ สื่อสารด้วยภาพหรือทั้งภาพทั้งเสียง อุปกรณ์มีทั้งแบบฉายตรงและฉายอ้อมเพื่อถ่ายทอดเนื้อหาจากวัสดุแต่ละ ประเภทที่ใช้เฉพาะอุปกรณ์นั้นเพื่อให้เป็นภาพปรากฏขึ้นบนจอเช่นเครื่องฉายข้ามศีรษะใช้กับแผ่นโปร่งใส เครื่องฉายสไลด์ ใช้กับแผ่นฟิล์มสไลด์ หรือให้ทั้งภาพและเสียง เช่น เครื่องฉายภาพยนตร์ฟิล์ม เครื่องเล่นดี วีดีใช้กับวีซีดีและดีวีดี เหล่านี้เป็นต้น นอกจากนี้ยังอาจรวมเครื่องถ่ายทอดสัญญาณ คือ เครื่องแอลซีดีที่ใช้ ถ่ายทอดสัญญาณจากคอมพิวเตอร์หรือเครื่องเล่นวีซีดี เข้าไว้ในเครื่องด้วย เพื่อนำสัญญาณภาพจาก อุปกรณ์เหล่านั้นขึ้นจอภาพ 3. สื่อเสียง (audio materials and equipment) เป็นวัสดุและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อการสื่อสารด้วยเสียง อุปกรณ์เครื่องเสียงจะใช้ถ่ายทอดเนื้อหาจากวัสดุแต่ละประเภทที่ใช้เฉพาะกับอุปกรณ์ นั้นเพื่อเป็นเสียงให้ได้ยิน เช่น เครื่องเล่นซีดีใช้กับแผ่นซีดี เครื่องเล่น/บันทึกเทปใช้กับเทปเสียง หรืออาจ เป็นอุปกรณ์ในการถ่ายทอดสัญญาณเสียงดังเช่นวิทยุที่รับสัญญาณเสียงจากแหล่งส่งโดยไม่ต้องใช้วัสดุใดๆใน การนำเสนอเสียง สื่อแบ่งตามประสบการณ์การเรียนรู้ การแบ่งประเภทของสื่อการสอน ถ้าแบ่งตามระดับประสบการณ์ของผู้เรียน ซึ่ง เดล (Dale 1969:107) ได้แบ่งสื่อการสอนออกเป็น 10 ประเภท โดยพิจารณาจากลักษณะของประสบการณ์ที่
11 ได้รับจากสื่อการสอนประเภทนั้น โดยยึดเอาความเป็นรูปธรรมและนามธรรมเป็นหลักในการแบ่งประเภท และได้เรียงลำดับจากประสบการณ์ที่เป็นรูปธรรมที่สุดประสบการณ์ ที่เป็นนามธรรมที่สุด (Abstract Concrete Continuum) เรียกว่า “กรวยประสบการณ์” (Cone of Experience) ขั้นที่1 ประสบการณ์ตรงและมีความมุ่งหมาย (Direct Purposeful Experience) เป็น ประสบการณ์ที่เป็นรากฐานของประสบการณ์ทั้งปวง เพราะได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ได้ เห็น ได้ยินเสียง ได้สัมผัสด้วยตนเอง เช่น การเรียนจากของจริง (Real object) ได้ร่วม กิจกรรมการ เรียนด้วยการลงมือกระทำ เป็นต้น ขั้นที่ 2 ประสบการณ์จำลอง (Contrived Simulation Experience) จากข้อจำกัดที่ไม่สามารถ จัดการเรียนการสอนจากประสบการณ์จริงให้แก่ผู้เรียนได้ เช่น ของจริงมีขนาดใหญ่หรือเล็กเกินไป มีความ ซับซ้อน มีอันตราย จึงใช้ประสบการณ์จำลองแทน เช่น การใช้หุ่นจำลอง (Model) ของตัวอย่าง (Specimen) เป็นต้น ขั้นที่ 3 ประสบการณ์นาฏการ (Dramatized Experience) เป็นประสบการณ์ที่จัดขึ้นแทน ประสบการณ์จริงที่เป็นอดีตไปแล้ว หรือเป็นนามธรรมที่ยากเกินกว่าจะเข้าใจและไม่สามารถใช้ประสบการณ์ จำลองได้ เช่น การละเล่นพื้นเมือง ประเพณีต่างๆ เป็นต้น ขั้นที่ 4 การสาธิต (Demonstration) คือ การอธิบายข้อเท็จจริง ความจริง และกระบวนการที่ สำคัญด้วยการแสดงให้เห็นเป็นลำดับขั้น การสาธิตอาจทำได้โดยครูเป็นผู้สาธิต นอกจากนี้อาจใช้ภาพยนตร์ สไลด์และฟิล์มสตริป แสดงการสาธิตในเนื้อหาที่ต้องการสาธิตได้ ขั้นที่ 5 การศึกษานอกสถานที่ (Field Trip) การพานักเรียนไปศึกษายังแหล่งความรู้นอกห้องเรียน เพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียนรู้หลายๆด้าน ได้แก่ การศึกษาความรู้จากสถานที่สำคัญ เช่น โบราณสถาน โรงงาน อุตสาหกรรม เป็นต้น ขั้นที่ 6 นิทรรศการ (Exhibition) คือ การจัดแสดงสิ่งต่างๆ รวมทั้งมีการสาธิตและการฉาย ภาพยนตร์ประกอบเพื่อให้ประสบการณ์ในการเรียนรู้แก่ผู้เรียนหลายด้าน ได้แก่ การจัดป้ายนิทรรศการ การ จัดแสดงผลงานนักเรียน ขั้นที่ 7 ภาพยนตร์ และโทรทัศน์ (Motion Picture and Television) ผู้เรียนได้เรียนด้วยการเห็น และได้ยินเสียงเหตุการณ์ และเรื่องราวต่างๆ ได้มองเห็นภาพในลักษณะการเคลื่อนไหวเหมือนจริงไปพร้อมๆ กัน ขั้นที่ 8 การบันทึกเสียง วิทยุ และภาพนิ่ง (Recording, Radio and Picture) ได้แก่ เทป บันทึกเสียง แผ่นเสียง วิทยุ ซึ่งต้องอาศัยเรื่องการขยายเสียง ส่วนภาพนิ่ง ได้แก่ รูปภาพทั้งชนิดโปร่งแสง ที่ใช้กับเครื่องฉายภาพข้ามศีรษะ(Overhead projector) สไลด์ (Slide) ภาพนิ่งจากคอมพิวเตอร์ และ ภาพบันทึกเสียงที่ใช้กับเครื่องฉายภาพทึบแสง(Overhead projector)
12 ขั้นที่ 9 ทัศนสัญลักษณ์ (Visual Symbol) มีความเป็นนามธรรมมากขึ้น จำเป็นที่จะต้องคำนึงถึง ประสบการณ์ของผู้เรียนเป็นพื้นฐาน ในการเลือกนำไปใช้ สื่อที่จัดอยู่ในประเภทนี้ คือ แผนภูมิ แผนสถิติ - ภาพโฆษณา การ์ตูน แผนที่ และสัญลักษณ์ต่างเป็นต้น ขั้นที่ 10 วจนสัญลักษณ์ (Verbal Symbol) เป็นประสบการณ์ขั้นสุดท้าย ซึ่งเป็นนามธรรมที่สุด ไม่มีความคล้ายคลึงกันระหว่างวจนสัญลักษณ์กับของจริง ได้แก่ การใช้ตัวหนังสือแทนคำพูด สื่อแบ่งตามทรัพยากรการเรียนรู้ ทรัพยากร หมายถึง สิ่งทั้งปวงที่มีค่า ทรัพยากรการเรียนรู้ (learning resources) จึงหมายถึง ทุกสิ่งที่มีอยู่ในโลกไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติหรือสิ่งที่คนประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อใช้ในการเรียนรู้ โดนัลด์ พี. อีลี (Donald P. Ely) (Ely, 1972:36:42) ได้จำแนกสื่อการเรียนการสอนตามทรัพยากรการ เรียนรู้ 5 รูปแบบ โดยแบ่งได้เป็นสื่อที่ออกแบบขึ้นเพื่อ จุดมุ่งหมายทางการศึกษา (by design) และสื่อที่ มีอยู่ทั่วไปแล้วนำมาประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอน (by utiliegation) ได้แก่ 1. คน (people) “คน” ในทางการศึกษาโดยตรงนั้น หมายถึง บุคคลที่อยู่ในระบบของโรงเรียน ได้แก่ ครู ผู้บริหาร ผู้แนะนำการศึกษา ผู้ช่วยสอน หรือผู้ที่อำนวยความสะดวกด้านต่างๆเพื่อให้ผู้เรียนเกิด การเรียนรู้ ส่วน “คน” ตามความหมายของการประยุกต์ใช้ ได้แก่คนที่ทำงานหรือมีความชำนาญงานในแต่ ละสาขาซึ่งมีอยู่ในวงสังคมทั่วไป คนเหล่านี้เป็น “ผู้เชี่ยวชาญ” ซึ่งถึงแม้มิใช่นักศึกษาแต่สามารถจะช่วยความ สะดวกหรือเชิญมาเป็นวิทยาการเพื่อเสริมการเรียนรู้ได้ในการให้ความรู้แต่ละด้าน อาทิเช่น ศิลปิน นักการเมือง นักธุรกิจ ช่างซ่อมเครื่อง 2. วัสดุ(materials) ในการศึกษาโดยตรงเป็นประเภทที่บรรจุเนื้อหาบทเรียนโดยรูปแบบของวัสดุ มิใช่สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึง เช่น หนังสือ สไลด์ แผนที่ แผ่นซีดี หรือสื่อต่างๆที่เป็นทรัพยากรในการเรียน การสอนนั้นจะมีลักษณะเช่นเดียวกับวัสดุที่ใช้ในการศึกษาดังกล่าวเพียงแต่ว่าเนื้อหาที่บรรจุในวัสดุส่วนมากจะ อยู่ในรูปของการให้ความบันเทิง เช่น คอมพิวเตอร์ หรือภาพยนตร์สารคดีชีวิตสัตว์สิ่งเหล่านี้ถูกมองไปใน รูปแบบของความบันเทิงแต่สามารถให้ความรู้ในเวลาเดียวกัน 3. อาคารสถานที่ (settings) หมายถึง ตัวตึก ที่ว่าง สิ่งแวดล้อม ซึ่งมีผลเกี่ยวกับทรัพยากร รูปแบบอื่นๆที่กล่าวมาแล้วและมีผลกับผู้เรียนด้วย สถานที่สำคัญในการศึกษา ได้แก่ตึกเรียนและสถานที่ที่ ออกแบบมาเพื่อการเรียนการสอนโดยรวม เช่นห้องสมุด หอประชุม ส่วนสถานที่ต่างๆ ในชุมชนก็ สามารถประยุกต์ให้เป็นทรัพยากรสื่อสารเรียนการสอน ได้เช่น โรงงาน ตลาด สถานที่ ทาง ประวัติศาสตร์ เช่น พิพิธภัณฑ์ เป็นต้น 4. เครื่องมือและอุปกรณ์ (tools and equipment) เป็นทรัพยากรทางการเรียนรู้เพื่อช่วยใน การผลิตหรือใช้ร่วมกับทรัพยากรอื่นๆ ส่วนมากมักเป็น โสตทัศนูปกรณ์หรือเครื่องมือต่างๆ ที่นำมา ใช้ประกอบหรืออำนวยความสะอาดในการเรียนการสอน เช่นเครื่องฉายข้ามศีรษะ คอมพิวเตอร์ เครื่องถ่าย เอกสาร หรือแม้แต่ตะปู ไขควง เหล่านี้เป็นต้น
13 5. กิจกรรม (activities) โดยทั่วไปแล้วกิจกรรมที่ใช้ในการเรียนการสอนมักจัดขึ้นเพื่อร่วมกระทำ ทรัพยากรอื่นๆ หรือเป็นเทคนิควิธีการพิเศษเพื่อการเรียนการสอน เช่น เกม การสัมมนา การจัดทัศนศึกษา กิจกรรมเหล่านี้มักมีวัตถุประสงค์เฉพาะที่ตั้งขึ้น โดยมีการใช้วัสดุการเรียนเฉพาะแต่ละวิชา หรือวิธีการพิเศษ ในการเรียนการสอน คุณค่าของสื่่อการสอน สื่อการสอนนับว่าเป็นสื่อสำคัญในการเรียนรู้เนื่องจากเป็นตัวกลางในการถ่ายทอดเนื้อหาจากผู้สอน ไปยังผู้เรียน หรือเป็นให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเอง ดังนั้น สื่อการสอนจึงนำมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งกับผู้เรียน และผู้สอน ดังนี้ สื่อกับผู้เรียน สื่อการเรียนการสอนมีความสำคัญและคุณค่าต่อผู้เรียนดังนี้ - เป็นสิ่งช่วยให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะช่วยให้ผู้เรียนสามารถเข้าใจเนื้อหา บทเรียนที่ยุ่งยากซับซ้อนได้ง่ายขึ้นในระยะเวลาอันสั้น และช่วยให้เกิดความคิดรวบยอดในเรื่องนั้นได้อย่าง ถูกต้องและรวดเร็ว - สื่อจะช่วยกระตุ้นและสร้างความเข้าใจให้กับผู้เรียนทำให้เกิดความรู้สนุกสนานและไม่รู้สึกเบื่อ หน่ายการเรียน - การใช้สื่อจะทำให้ผู้เรียนมีความเข้าใจตรงกันหากเป็นเรื่องของนามธรรมและยากต่อความเข้าใจ และช่วยให้เกิดประสบการณ์ร่วมกันในวิชาที่เรียน - สื่อช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียน ทำให้เกิดมนุษยสัมพันธ์อันดีในระหว่างผู้เรียน ด้วยกันเองและกับผู้สอนด้วย - สร้างเสริมลักษณะที่ดีในการศึกษาค้นคว้าหาความรู้ ช่วยให้ผู้เรียนเกิดความคิดสร้างสรรค์จาก การใช้สื่อเหล่านี้ - ช่วยแก้ปัญหาเรื่องของความแตกต่างระหว่างบุคคลโดยการจัดให้มีการใช้สื่อในการศึกษา รายบุคคล สื่อกับผู้สอน สื่อการเรียนการสอนมีความสำคัญและคุณค่าต่อผู้สอนดังนี้ - การใช้วัสดุอุปกรณ์ต่างๆประกอบการเรียนการสอน เป็นการช่วยให้บรรยากาศในการสอน น่าสนใจยิ่งขึ้น ทำให้ผู้สอนมีความกระตือรือร้นในการสอนมากกว่าวิธีการที่เคยใช้การบรรยายแต่เพียงอย่าง เดียว และเป็นการสร้างความเชื่อมั่นในตัวเองให้เพิ่มขึ้นด้วย - ช่วยแบ่งเบาภาระของผู้สอนในด้านการเตรียมเนื้อหาเพราะสามารถนำสื่อมาใช้ซ้ำได้ และบาง อาจให้นักศึกษาเนื้อหาจากสื่อได้เอง - เป็นการกระตุ้นให้ผู้สอนตื่นตัวอยู่เสมอในการเตรียมและผลผลิตวัสดุและเรื่องราวใหม่ๆเพื่อใช้เป็น สื่อการสอน ตลอดจนคิดค้นเทคนิควิธีการต่างๆ เพื่อให้การเรียนรู้น่าสนใจยิ่งขึ้น
14 อย่างไรก็ตาม สื่อการสอนจะมีคุณค่าต่อเมื่อผู้สอนได้นำไปใช้อย่างเหมาะสมและถูกวิธีดังนั้น ก่อนที่จะนำสื่อแต่ละอย่างไปใช้ ผู้สอนควรจะศึกษาถึงลักษณะและคุณสมบัติของสื่อการสอนข้อดีและ ข้อจำกัดอันเกี่ยวเนื่องกับตัวสื่อและการใช้สื่อแต่ละอย่าง ตลอดจนการผลิตและการใช้สื่อให้เหมาะสมกับ สภาพการเรียนการสอนด้วย ทั้งนี้เพื่อให้การจัดการการเรียนการสอนบรรลุผลตามจุดมุ่งหมายและ วัตถุประสงค์ที่วางไว้ หลักการเลือกสื่อการสอน การเลือกสื่อการสอนเพื่อนำมาใช้ประกอบการสอนเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ นั้นเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง โดยผู้สอนจะต้องตั้งวัตถุประสงค์นั้นเป็นตัวชี้นำในการเลือกสื่อการสอนที่เหมาะสมต่อการ เรียนรู้ นอกจากนี้ยังมีหลักการอื่นๆ เพื่อประกอบการพิจารณา คือ - สื่อนั้นต้องสัมพันธ์กับเนื้อหาบทเรียนและจุดมุ่งหมายที่จะสอน - เลือกสื่อที่มีเนื้อหาถูกต้อง ทันสมัย น่าสนใจ และเป็นสื่อที่ให้ผลต่อการเรียนการสอนมากที่สุด ช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจเนื้อหานั้นได้ดีเป็นลำดับขั้นตอน - เป็นสื่อที่เหมาะสมกับวัย ระดับชั้น ความรู้ และประสบการณ์ของผู้เรียน - สื่อนั้นควรสะดวกในการใช้ มีวิธีใช้ไม่ซับซ้อนยุ่งยากจนเกินไป - ต้องเป็นสื่อที่มีคุณภาพ มีเทคนิคการผลิตที่ดี มีความชัดเจนและเป็นจริง - มีราคาไม่แพงจนเกินไป หรือถ้าจะผลิตเองควรคุ้มกับเวลาและการลงทุน ขั้นตอนการใช้สื่อการสอน การใช้สื่อการสอนนั้นอาจใช้เฉพาะขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งของการสอน หรือจะใช้ในทุกขั้นตอนก็ได้ ดังนี้ - ขั้นนำสู่บทเรียน เพื่อกระตุ้นให้เรียนเกิดความสนใจในเนื้อหาที่กำลังจะเรียนสื่อที่ใช้ในขั้นนี้จึง เป็นสื่อที่แสดงเนื้อหากว้างๆ หรือเนื้อหาที่เกี่ยวกับการเรียนในครั้งก่อนยังมิใช่สื่อที่เน้นเนื้อหาเจาะลึกจริง อาจเป็นสื่อที่เป็นแนวปัญหาหรือเพื่อให้ผู้เรียนคิด และควรเป็นสื่อที่ง่ายต่อการนำเสนอในระยะเวลาอันสั้น เช่น ภาพ บัตรคำ หรือเสียง เป็นต้น - ขั้นดำเนินการสอนหรือประกอบกิจกรรมการเรียน เป็นขั้นตอนที่สำคัญเพราะจะให้ความรู้เนื้อหา อย่างละเอียดเพื่อสนองวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ผู้สอนจึงต้องเลือกสื่อให้ตรงกับเนื้อหาและวิธีการสอนหรืออาจจะ ใช้สื่อประสมก็ได้ ต้องมีการจัดลำดับขั้นตอนการใช้สื่อให้เหมาะสมและสอดคล้องกับกิจกรรมการเรียน การใช้ สื่อในขั้นนี้จะต้องเป็นสื่อที่เสนอความรู้อย่างละเอียดถูกต้องและชัดเจนแก่ผู้เรียน เช่น ของจริง แผ่นโปร่งใส กราฟ วีดิทัศน์ แผ่นวีซีดี หรือการทัศนศึกษานอกสถานที่ เป็นต้น - ขั้นวิเคราะห์และฝึกปฏิบัติ เป็นการเพิ่มพูนประสบการณ์ตรงแก่ผู้เรียนเพื่อให้ผู้เรียน ได้ทดลอง นำความรู้ด้านทฤษฏีหรือหลักการที่เรียนมาแล้วไปใช้แก้ปัญหาในขั้นฝึกหัดโดยการลงมือ ฝึกปฏิบัติเอง สื่อใน ขั้นนี้จึงเป็นสื่อที่เป็นประเด็นปัญหา เทปเสียง สมุดแบบฝึกหัด ชุดการเรียน หรือบทเรียนซีเอไอ เป็นต้น
15 - ขั้นสรุปบทเรียน เป็นการเน้นย้ำเนื้อหาให้มีความเข้าใจที่ตรงตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ ขั้นสรุปนี้ ควรใช้เพียงระยะเวลาน้อย เช่น แผนภูมิ โปร่งใส กราฟ เป็นต้น - ขั้นประเมินผู้เรียน เป็นการทดสอบว่าผู้เรียนสามารถเรียนรู้หรือเข้าใจสิ่งที่เรียนไปถูกต้องมาก น้อยเพียงใด และบรรลุตามวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมที่ตั้งไว้หรือไม่ สื่อในขั้นประเมินนี้มักจะเป็นคำถามจาก เนื้อหาบทเรียนโดยอาจมีภาพประกอบด้วยก็ได้ อาจนำบัตรคำหรือสื่อที่ใช้ขั้นกิจกรรมการเรียนมาถามอีกครั้ง หนึ่ง และอาจเป็นการทดสอบโดยการปฏิบัติจากสื่อหรือการกระทำของผู้เรียนเพื่อทดสอบดูว่าผู้เรียนสามารถ มีทักษะจากการฝึกปฏิบัติอย่างถูกต้องครบถ้วนตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้หรือไม่ 4. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นสิ่งที่สำคัญไม่น้อยกว่าการจัดการเรียนการสอนเพราะ การที่จะรู้ว่า ผู้เรียนรอบรู้เพียงใด ต้องใช้กระบวนการวัดและประเมินผล ซึ่งมีวิธีที่หลากหลาย หนึ่งใน นั้นคือ การวัด ผลสัมฤทธิ์ทางเรียน 1. ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นความสามารถทางสมอง ด้านต่าง ๆ ที่นักเรียนได้รับ ประสบการณ์ทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการจัดการเรียนรู้ ซึ่งมีนักวัดผล การศึกษาหลายท่านได้ให้ ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ดังนี้ นิภา เมธาวิชัย (2536: 65) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความรู้ และทักษะที่ได้รับ ก่อให้เกิดการพัฒนา มาจากการเรียนการสอนการฝึกฝนและได้รับการอบรมสั่ง สอนโดยครู อาศัยเครื่องมือ วัดผล ช่วยในการศึกษาว่านักเรียนมีความรู้และทักษะมากน้อยเพียงใด ภพ เลาหไพบูลย์ (2542: 295) ได้ให้ความหมายผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนว่า คือ พฤติกรรมที่ แสดงออกถึงความสามารถในการกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ จากที่ไม่เคยกระทำได้ หรือ กระทำได้น้อย ก่อนที่จะมี การเรียนรู้ ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่สามารถวัดได้ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (2549: 15) ได้ให้ความหมายของ ผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียน หมายถึง ผลที่เกิดจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่สำคัญที่จะเป็นตัวชี้วัดว่า การจัดกระบวนการเรียนรู้ บรรลุวัตถุประสงค์ที่ไว้หรือไม่ และผลที่ออกมาจะเป็นไปตามสภาพจริงและ ทให้กำดผลกับผู้เรียน ทิศนา แขมมณี (2550: 10) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง การ เข้าถึงความรู้ การ พัฒนาทักษะในการเรียน อาจพิจารณาได้จากคะแนนสอบที่กำหนดให้ คะแนนที่ได้ จากงานที่ครูมอบหมาย หรือทั้งสองอย่าง ศิริชัย กาญจนวาสี (2556: 165) กล่าวว่า ผู้เรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงปริมาณ หรือคุณภาพของ ความรู้ความสามารถ พฤติกรรม หรือลักษณะทางจิตใจ ไปในทิศทางที่พึงประสงค์ ตามจุดมุ่งหมายของ หลักสูตร อันเป็นผลมาจากประสบการณ์การเรียนการสอนที่ผู้สอนจัดขึ้น Good (1973: 7) ได้ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน คือ การเข้าถึง ความรู้หรือพัฒนา ทักษะทางการเรียน ซึ่งโดยปกติพิจารณาจากคะแนนสอบ หรือคะแนนที่ได้จากงาน ที่ครูมอบหมายให้หรือทั้ง สองอย่าง
16 Klopfer (1971: 574-580) ได้กล่าวว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์เป็น การวัดพฤติกรรมที่ เกิดจากความสามารถทางสมองหรือด้านสติปัญญาของนักเรียนเมื่อผ่านการเรียน การสอนแล้ว ซึ่งมี 4 ด้าน ดังนี้ 1. พฤติกรรมด้านความรู้ 2. พฤติกรรมต้านความเข้าใจ 3. พฤติกรรมด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 4. พฤติกรรมด้านการน าความรู้และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ไปใช้ จากความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสามารถสรุปได้ว่า หมายถึง ความรู้ ความสามารถ และ ทักษะของผู้เรียนที่เกิดขึ้นหลังได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท. 2540: 8) ได้ยึดแนวทางของ Kolpfer ในการประเมินผลการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ด้านสติปัญญาหรือ ด้านความรู้ ความคิดโดยวัดพฤติกรรม ดังนี้ 1. ความรู้ความจำ 2. ความเข้าใจ 3. กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ 4. การนำความรู้และวิธีการทางวิทยาศาสตร์ไปใช้ กระทรวงศึกษาธิการ (2545: 46-51) ได้ยึดแนวทางของ Kolpfer ในการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิทยาศาสตร์จากพฤติกรรม 4 ด้าน และมุ่งหวังให้เกิดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ดังนี้ 1. พฤติกรรมด้านความรู้ หมายถึง พฤติกรรมที่แสดงว่าผู้เรียนมีความจำในเรื่องต่าง ๆ ที่ได้รับรู้จาก การค้นคว้าด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งความรู้ที่ควรวัดและประเมินผล จำแนกเป็น 9 ประเภท ได้แก่ 1.1 ความรู้เกี่ยวกับความจริงซึ่งมีอยู่แล้วในธรรมชาติ สามารถสังเกตได้ โดยตรงและทดลองแล้วจะ ได้ผลเหมือนเดิมทุกครั้ง 1.2 ความรู้เกี่ยวกับมโนทัศน์ เป็นการนำความรู้ที่เกี่ยวกับความจริงหลาย ๆ ส่วนที่มีความเกี่ยวข้อง กันมาผสมผสานเป็นความรู้ใหม่ 1.3 ความรู้เกี่ยวกับหลักการและกฎวิทยาศาสตร์ เป็นหลักอ้างอิงซึ่งได้มา จากการนำมโนทัศน์หลาย ๆ มโนทัศน์ ที่เกี่ยวข้องกันมาผสมผสานอธิบายเป็นความรู้ใหม่ 1.4 ความรู้เกี่ยวกับข้อตกลง เป็นการตกลงร่วมกันของนักวิทยาศาสตร์ใน การใช้อักษรย่อและ เครื่องหมายต่าง ๆ แทนคำพูดเฉพาะ 1.5 ความรู้เกี่ยวกับขั้นตอนของปรากฏการณ์สิ่งที่เกิดขึ้นเองในธรรมชาติที่มี การเกิดขึ้นหมุนเวียน ช้าๆ กันจนกลายเป็นวัฏจักรที่นักวิทยาศาสตร์สามารถอธิบายถึงขั้นตอนของ ปรากฏการณ์เหล่านั้นได้ 1.6 ความรู้เกี่ยวกับเกณฑ์ในการแบ่งประเภทของสิ่งต่าง ๆ ในธรรมชาติต้อง มีมาตรฐานสำหรับการ แบ่งประเภท ซึ่งผู้ที่ศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ควรจะรู้
17 1.7 ความรู้เกี่ยวกับเทคนิคและกรรมวิธีทางวิทยาศาสตร์ เน้นเฉพาะ ความสามารถที่จะบอกถึงสิ่งที่ นักเรียนรู้เท่านั้น และความรู้นี้ได้มาจากการอ่านหนังสือ หรือการบอก เล่าของครู ไม่ใช่ความรู้ที่ได้มาจาก กระบวนการแสวงหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ 1.8 ความรู้เกี่ยวกับศัพท์ทางวิทยาศาสตร์ ศัพท์วิทยาศาสตร์ที่ว่าด้วยนิยาม ต่าง ๆ และการใช้ศัพท์ เฉพาะทางวิทยาศาสตร์ 1.9 ความรู้เกี่ยวกับทฤษฎี ข้อความที่ใช้อธิบายและทำนายปรากฏการณ์ ต่าง ๆ เช่น ทฤษฎีอะตอม และทฤษฎีวิวัฒนาการ 2. พฤติกรรมด้านความเข้าใจ หมายถึง พฤติกรรมที่แสดงว่าผู้เรียนได้ใช้ความรู้ ที่สูงกว่าความรู้ ความจำซึ่งแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ 2.1 ความเข้าใจข้อเท็จจริง วิธีการ กฎเกณฑ์ หลักการ และทฤษฎีต่าง ๆ เป็นพฤติกรรมที่ผู้เรียน ต้องบรรยายในรูปแบบใหม่ที่แตกต่างจากที่เคยเรียนมา เมื่อผู้เรียนได้เรียนเรื่อง ใดเรื่องหนึ่งมา และเมื่อได้รับ ข้อมูลของอีกสิ่งหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันก็สามารถอธิบายสิ่งนั้นได้ 2.2 ความเข้าใจเกี่ยวกับการแปลความหมายของข้อเท็จจริง หลักการและ ทฤษฎีที่อยู่ในรูปของ สัญลักษณ์หนึ่งไปเป็นอีกรูปหนึ่ง 3. พฤติกรรมด้านกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หมายถึง พฤติกรรมที่ผู้เรียน แสวงหาความรู้และ แก้ปัญหาด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ดำเนินการโดยใช้วิธีการทาง วิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ และเจตคติทางวิทยาศาสตร์ 4. พฤติกรรมด้านการนำความรู้และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มาใช้ หมายถึง พฤติกรรมที่ นักเรียนนาความรู้ มโนทัศน์ หลักการ กฎ ทฤษฎี รวมทั้งวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ไปใช้ในการแก้ปัญหาใน สถานการณ์ใหม่ได้ 3. การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบวัดผลสัมฤทธิ์ เป็นแบบทดสอบที่ใช้วัดสมรรถภาพทาง สมอง ระดับความรู้ ความสามารถและทักษะทางวิชาการของผู้สอบจากการเรียนรู้ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อที่จะ ได้ทราบว่า ผู้สอบมีความรู้อะไรบ้าง มากน้อยเพียงใด เมื่อผ่านการเรียนไปแล้ว (อัมพวา รักบิดา, 2549: 28) มี ผู้รู้ หลายท่านได้กล่าวถึง ความหมายของแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ ดังนี้ ล้วน สายยศ และ อังคณา สายยศ (2543: 20) กล่าวว่า แบบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน หมายถึง แบบทดสอบที่มุ่งวัดเนื้อหาวิชาที่เรียน ผ่านมาแล้วว่านักเรียนมีความรู้ความ สนใจเพียงใด ดังเช่น การวัดผลการเรียนการสอนในชั้นเรียนในปัจจุบัน บุญชม ศรีสะอาด (2545: 53) ได้ให้ความความหมายแบบวัดผลสัมฤทธิ์ไว้ว่า หมายถึง แบบทดสอบที่ใช้วัด ความรู้ความสามารถของบุคคลในด้านวิชาการ ซึ่งเป็นผลจากการเรียนรู้ ในเนื้อหาสาระและตามจุดประสงค์ ของวิชาหรือเนื้อหาที่สอบนั้น โดยทั่วไปจะวัดผลสัมฤทธิ์ในวิชาต่าง ๆ ที่โรงเรียน วิทยาลัย มหาวิทยาลัยหรือ สถาบันการศึกษาต่าง ๆ อาจจำแนกได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้ 1. แบบทดสอบอิงเกณฑ์ หมายถึง แบบทดสอบที่สร้างขึ้นตามจุดประสงค์เชิง พฤติกรรม มีคะแนน จุดตัดหรือคะแนนเกณฑ์สำหรับใช้ตัดสินใจว่าผู้สอบมีความรู้ตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้หรือไม่ การวัดตาม จุดประสงค์เป็นหัวใจสำคัญของข้อสอบในแบบทดสอบประเภทนี้
18 2. แบบทดสอบอิงกลุ่ม หมายถึง แบบทดสอบที่มุ่งสร้างเพื่อวัดให้ครอบคลุม หลักสูตร จึงสร้าง ตารางวิเคราะห์หลักสูตร ความสามารถในการจำแนกผู้สอบตามความเก่งอ่อนได้ดี เป็นหัวใจสำคัญของข้อสอบ ในแบบทดสอบประเภทนี้ สิริพร ทิพย์คง (2545: 193) กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ชุดคำถามที่มุ่งวัดพฤติกรรมการเรียนของนักเรียนว่ามีความรู้ ทักษะ และสมรรถภาพด้าน สมองด้าน ต่าง ๆ ในเรื่องที่เรียนรู้ไปแล้วมากน้อยเพียงใด พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2549: 96) กล่าวว่า แบบทดสอบวัด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง แบบทดสอบที่ใช้วัดความรู้ ทักษะและความสามารถทางวิชาการที่นักเรียน ได้เรียนรู้มาแล้ว ว่าบรรลุผลสำเร็จตามจุดประสงค์ที่กำหนดไว้เพียงใด สมนึก ภัททิยธานี(2549: 73-98) ได้ ให้ความหมายของแบบทดสอบวัดผล สัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ว่า หมายถึง แบบทดสอบที่วัดสมรรถภาพของ สมองด้านต่าง ๆ ที่นักเรียนได้ เรียนรู้ผ่านมาแล้วว่าบรรลุผลสำเร็จตามจุดประสงค์ที่กำหนดไว้เพียงใด ศิริชัย กาญจนวาสี (2556: 165) กล่าวว่า แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็น เครื่องมืออย่างหนึ่งสำหรับการวัด และ ประเมินผลสัมฤทธิ์ของการเรียนรู้ของผู้เรียน ตามเป้าหมายที่ กำหนดไว้ ทำให้ผู้สอนทราบว่า ผู้เรียนได้พัฒนา ความรู้ ความสามารถ ถึงระดับ มาตรฐานที่ผู้สอน กำหนดไว้หรือยัง หรือมีความรู้ความสามารถถึงระดับใด หรือมีความรู้ ความสามารถดีเพียงใด เมื่อเปรียบเทียบกับเพื่อนที่เรียนด้วยกัน Bloom et al. (1956, อ้างถึงใน วรรณทิพา รอดแรงค้า, 2544: 8) กล่าวถึงการ ประเมินผลการเรียนการสอน โดยใช้วัตถุประสงค์ ด้านพุทธพิสัย โดยแบ่งการประเมินออกเป็น 3 ด้าน คือ ความรู้ การใช้ความรู้ และการขยายความรู้ (Meng และ Doran, 1993) ซึ่งทั้ง 3 ด้านมีความ เชื่อมโยงกับวัตถุประสงค์ของ Bloom ดังนี้ 1. ด้านความรู้ เมื่อเปรียบเทียบกับวัตถุประสงค์ของ Bloom ได้แก่ ด้านความรู้ ความจำ 2. ด้านการใช้ความรู้ เมื่อเปรียบเทียบกับวัตถุประสงค์ของ Bloom ได้แก่ ด้าน ความเข้าใจ และการ นำไปใช้ 3. ด้านการขยายความรู้ เมื่อเปรียบเทียบกับวัตถุประสงค์ของ Bloom ได้แก่ ด้านการวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมินผล Bloom (1965: 201) ได้กล่าวถึงล าดับขั้นของการเขียนวัตถุประสงค์เชิง พฤติกรรมด้านความรู้ ความคิดไว้ 6 ขั้น ดังนี้ คือ 1. ความรู้ความจำ หมายถึง การที่นักเรียนระลึกถึงข้อมูล ข้อเท็จจริงต่าง ๆ กฎเกณฑ์ หรือทฤษฎี จากตำรา หรือการที่นักเรียนท่องจำความรู้ต่าง ๆ ที่ได้เรียนมาแล้วโดยตรง ซึ่ง จัดได้ว่าเป็นขั้นที่ต่ำที่สุด 2. ความเข้าใจ หมายถึง การที่นักเรียนสามารถจับใจความสำคัญของเนื้อหาที่ได้เรียน หรือการแปล ความจากตัวเลข การสรุป การย่อความต่าง ๆ การเรียนรู้ในขั้นนี้ถือว่าเป็นขั้นที่สูง กว่าการท่องจำตามปกติอีก ขั้นหนึ่ง 3. การนำไปใช้ หมายถึง การที่นักเรียนสามารถที่จะนำความรู้ที่ได้เรียนมาแล้ว ไปใช้ในสถานการณ์ ใหม่ หรือสถานการณ์ที่คล้ายกัน ซึ่งรวมถึงความสามารถในการเอากฎ มโนทัศน์ หลักสำคัญ วิธีการนำไปใช้ การเรียนรู้ในขั้นนี้ถือว่านักเรียนจะต้องมีความเข้าใจในเนื้อหาเป็นอย่างดี เสียก่อน จึงจะนำความรู้ไปใช้ได้ ดังนั้นจึงจัดอันดับให้เป็นขั้นที่สูงกว่าความเข้าใจ
19 4. การวิเคราะห์ หมายถึง การที่นักเรียนสามารถแยกแยะเนื้อหาวิชาลงไปเป็น องค์ประกอบย่อย ๆ เพื่อที่จะได้มองเห็นหรือเข้าใจความเกี่ยวโยงต่าง ๆ ในขั้นนี้จึงรวมถึงการแยกแยะ หาส่วนประกอบย่อย ๆ หา ความสัมพันธ์ระหว่างส่วนย่อย ๆ ตลอดจนหลักสำคัญต่าง ๆ ที่เข้ามา เกี่ยวข้องการเรียนรู้ ซึ่งนักเรียนต้อง เข้าใจทั้งเนื้อหาและโครงสร้างของบทเรียน ในขั้นนี้ถือว่าสูงกว่า การนำเอาไปใช้ 5. การสังเคราะห์ หมายถึง การที่นักเรียนสามารถที่จะนำเอาส่วนย่อย ๆ มา ประกอบกันเป็นสิ่งใหม่ การสังเคราะห์จึงเกี่ยวกับการวางแผน การออกแบบการทดลอง การ ตั้งสมมติฐาน การแก้ปัญหาที่ยาก การ เรียนรู้ในระดับนี้ เป็นการเน้นพฤติกรรมที่สร้างสรรค์ อันที่จะ สร้างแนวคิดหรือแบบแผนใหม่ ๆ ขึ้นมา ดั้งนั้น การสังเคราะห์เป็นสิ่งที่สูงกว่าการวิเคราะห์อีกขั้นหนึ่ง 6. การประเมินค่า หมายถึง การที่นักเรียนสามารถที่จะตัดสินใจเกี่ยวกับคุณค่า ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น คำพูด นวนิยาย บทกวี หรือรายงานการวิจัย การตัดสินใจดังกล่าวจะต้องวางแผน อยู่บนเกณฑ์ที่แน่นอน เกณฑ์ดังกล่าวอาจจะเป็นสิ่งที่นักเรียนคิดขึ้นมาเอง หรือนำมาจากที่อื่นก็ได้ การเรียนรู้ในขั้นนี้ถือว่าเป็นการ เรียนรู้ขั้นสูงสุด Klopfer (1971, อ้างถึงใน ภพ เลาหไพบูลย์, 2542: 295-304) ได้กล่าวถึงการ ประเมินผลการเรียน ด้านสติปัญญา หรือความรู้ความคิดในวิชาวิทยาศาสตร์เป็น 4 พฤติกรรม ดังนี้ 1. ความรู้ความจำ 2. ความเข้าใจ 3. กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ 4. การนำความรู้และวิธีการทางวิทยาศาสตร์ไปใช้ ประวิตร ชูศิลป์ (2524: 25) กล่าวว่า เพื่อความสะดวกในการประเมินผล จึงได้ จำแนกพฤติกรรมใน การวัดผลวิชาวิทยาศาสตร์เพื่อสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา วิทยาศาสตร์สำหรับเป็น เกณฑ์วัดความสามารถด้านต่าง ๆ ออกเป็น 4 ด้าน คือ 1. ด้านความรู้ความจำ หมายถึง การที่นักเรียนสามารถในการระลึกสิ่งที่เคย เรียนหรือศึกษามาแล้ว เกี่ยวกับข้อเท็จจริง ข้อตกลง คำศัพท์ หลักการ และทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ 2. ด้านความเข้าใจ หมายถึง การที่นักเรียนสามารถอธิบายความหมาย ขยายความและแปลความรู้ โดยอาศัยข้อเท็จจริง ข้อตกลง คำศัพท์ หลักการ และทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ 3. ด้านการนำไปใช้ หมายถึง การที่นักเรียนสามารถนำความรู้ วิธีการทางวิทยาศาสตร์ไปใช้ใน สถานการณ์ใหม่ที่แตกต่างกันออกไป หรือสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกัน โดยเฉพาะ อย่างยิ่งการนำไปใช้ใน ชีวิตประจำวัน 4. ด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หมายถึง การที่นักเรียนสามารถ สืบเสาะหาความรู้ โดยผ่านการปฏิบัติและฝึกฝนความคิดอย่างมีระบบจนเกิดความคล่องแคล่ว ชำนาญ สามารถเลือกใช้กิจกรรม ต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม ประกอบด้วย ทักษะการสังเกต ทักษะการ คำนวณ ทักษะการจำแนกประเภท ทักษะ การลงความคิดเห็นจากข้อมูล ทักษะการจัดกระทำสื่อ ความหมายข้อมูล ทักษะในการกำหนดและควบคุมตัว แปร ทักษะในการตั้งสมมติฐาน ทักษะในการ ทดลอง และทักษะการในตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป
20 จากความหมายข้างต้นจึงสรุปได้ว่า แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง แบบทดสอบที่ใช้วัดความรู้ ความสามารถและทักษะของผู้เรียน ผ่านกระบวนการและขั้นตอน การเรียนรู้ว่าเป็นไปตามเป้าหมายที่ก าหนด ไว้ในระดับใด ซึ่งในงานวิจัยนี้ผู้วิจัยได้สร้างแบบวัด ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนเพื่อทดสอบความรู้และ ความสามารถในการเรียนรู้วิชาเคมีของผู้เรียนแต่ละบุคคลสร้าง ขึ้นตามผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง โดยในการวิจัย ครั้งนี้ผู้วิจัยได้สร้างแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ซึ่งครอบคลุมพฤติกรรมการเรียนรู้ที่ต้องการวัดทั้ง 4 ด้าน คือ ด้านความรู้ความจำ ด้านความเข้าใจ ด้าน การนำไปใช้ และด้านการวิเคราะห์ ดังนั้นแบบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนในการวิจัยครั้งนี้จึงหมายถึง ความสามารถในการเรียนวิชาเคมีของแต่ละบุคคล ซึ่งวัดได้จากแบบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเคมี เรื่องสมดุลเคมี ซึ่งผู้วิจัยสร้างขึ้นโดยพิจารณาให้ครอบคลุมผลการเรียนรู้ที่ คาดหวัง 4. หลักการสร้างแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การสร้างแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมี ความจำเป็นอย่างยิ่ง ในการสร้าง แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีหลักในการวางแผนออกข้อสอบดังนี้ Ebel and Frisbie (1965: 5780 อ้างถึงใน สุดารัตน์ อะหลีแอ, 2558: 39-40) 1. กำหนดจุดมุ่งหมายในการสอบ ในการเรียนการสอนอาจมีการสอบหลายครั้ง เช่น ทดสอบย่อย ระหว่างเรียน ทดสอบรวมปลายภาคเรียน ทดสอบเพื่อวินิจฉัย ทดสอบเพื่อคัดเลือก เป็นต้น ครูจะต้องกำหนด ว่าจะใช้แบบสอบเพี่อจุดมุ่งหมายใดเมื่อไรเพื่อจะได้ออกข้อสอบที่ เหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการ 2. กำหนดพฤติกรรมต่าง ๆ ที่ต้องการเน้น ในการสอบแต่ละครั้งครูจะต้อง กำหนดว่าจะวัด พฤติกรรมด้านพุทธิพิสัย จิตพิสัยหรือทักษะพิสัย การทดสอบความสัมพันธ์กับ จุดมุ่งหมายของการเรียนการ สอน จำนวนข้อสอบในเนื้อหาสาระแต่ละตอนจะต้องสัมพันธ์กับน้ำหนัก ความสำคัญ และเนื้อหาในตอนนั้น ๆ วิธีการที่จะช่วยให้บรรลุจุดมุ่งหมายนี้คือ การจัดทำตาราง วิเคราะห์หลักสูตร 3. เลือกรูปแบบข้อสอบ ประเภทของข้อสอบที่ใช้นั้นขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมายของการสอนและ องค์ประกอบอื่น ๆ อีกหลายอย่าง เช่น พฤติกรรมที่ต้องการวัด ลักษณะเนื้อหาวิชา ธรรมชาติของผู้สอบ เป็น ต้น ข้อสอบแต่ละแบบจะมีลักษณะเด่นและลักษณะด้อยแตกต่างกันไป 4. เวลาทีใช้ในการสอบเวลาที่ใช้ในการสอบขึ้นอยู่กับจุดมุ่งมายในการสอบ เช่น ทดสอบย่อยหรือ ทดสอบรวม ระดับชั้นของผู้เรียน ธรรมชาติของวิชา โดยทั่วไปเวลาสอบที่มีความ ยาวจะมีค่าความเที่ยงของ คะแนนสูงขึ้น 5. กำหนดจุดประสงค์ในการเรียนการสอนที่จะออกข้อสอบ ข้อสอบควรเป็น ตัวแทนของสิ่งที่ได้สอบ ไปแล้ว แต่ในการสอบบางครั้งนั้น ไม่สามารถที่จะวัดได้ครบทุกจุดประสงค์ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเลือก จุดประสงค์ที่สำคัญมาเป็นตัวแทนของสิ่งที่สอนไปแล้วมาสอบวัด 6. ตัดสินใจว่าข้อสอบควรมีความยากง่ายระดับใด ข้อสอบจะมีความยากง่าย ระดับใด ขึ้นอยู่กับ จุดมุ่งหมายของการใช้แบบสอบ ถ้าต้องการใช้แบบสอบเพี่อวินิจฉัยความบกพร่อง ของนักเรียน หรือถ้าเป็น แบบสอบที่ต้องการใช้ประเมินผลการเรียน ข้อสอบควรมีความยากง่ายปาน กลาง เพื่อให้นักเรียนประมาณ ครึ่งหนึ่งตอบถูก และนักเรียนอีกครึ่งหนึ่งตอบผิด ทำให้ข้อสอบมี อำนาจจำแนกสูง
21 7. กำหนดวิธีการตอบแบบสอบของนักเรียน ในบางครั้งแบบสอบจะมีข้อสอบ หลาย ๆ รูปแบบ เช่น ข้อสอบแบบเลือกตอบ ข้อสอบแบบเติม ข้อสอบแบบถูกผิด ข้อสอบแบบจับคู่ ข้อสอบแบบลงมือปฏิบัติ หรือข้อสอบอัตนัย ครูจะต้องกำหนดลักษณะการตอบข้อสอบแต่ละแบบให้ชัดเจน เช่น ให้ให้ทำในตัวข้อสอบ หรือให้ตอบในกระดาษคำตอบ โดยแยกเป็นตอน ไม่ปะปนกัน ทั้งนี้ ครูต้องกำหนดวิธีการตรวจข้อสอบไป พร้อม ๆ กันด้วย เช่น ตรวจด้วยมือหรือตรวจด้วยเครื่อง 8. กำหนดวิธีการจำแนกผลการทดสอบ เมื่อตรวจให้คะแนนเรียบร้อยแล้วจะ แจกแจง และแปร ความหมายคะแนนอย่างไร ใช้ระบบอิงเกณฑ์หรืออิงกลุ่ม เป็นต้น ขั้นตอนการวางแผนการสร้างแบบทดสอบมี 8 ขั้นตอน ดังแสดงในภาพประกอบ 3 ภาพประกอบ 3 ขั้นตอนการวางแผนการสร้างแบบทดสอบ ที่มา: Gronlund & Linn (1990: 10, อ้างถึงในปราณี ทองคำ, 2539: 21) สมนึก ภัททิยธนี (2549: 218-220) ได้กล่าวถึง หลักการสร้างแบบทดสอบวัด ผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนแบบเลือกตอบ ดังนี้ 1. เขียนตอนนำให้เป็นประโยคที่สมบูรณ์แล้วใส่เครื่องหมายปรัศนี ไม่ควรสร้าง ตอนนำให้เป็นแบบ อ่านต่อความ เพราะทำ ให้คำถามไม่กระชับ เกิดปัญหาสองแง่หรือข้อความไม่ต่อกัน หรือเกิดความสับสนใน การคิดหาคำตอบ 2. เน้นเรื่องที่จะถามให้ชัดเจนและตรงจุดไม่คลุมเครือ เพื่อว่าผู้อ่านจะไม่เข้าใจ ไขว้เขว สามารถมุ่ง ความคิดในคำตอบไปถูกทิศทาง 3. ควรถามในเรื่องที่มีคุณค่าต่อการวัด หรือถามในสิ่งที่ดีงามมีประโยชน์ คำถาม แบบเลือกตอบ สามารถถามพฤติกรรมในสมองได้หลาย ๆ ด้าน ไม่ใช่คำถามเฉพาะความจำหรือความ จริงตามตำรา แต่ต้อง ถามให้คิดหรือนำความรู้ที่เรียนไปใช้ในสถานการณ์ใหม่
22 4. หลีกเลี่ยงคำถามปฏิเสธ ถ้าจำเป็นต้องใช้ควรขีดเส้นใต้คำปฏิเสธ แต่คำ ปฏิเสธซ้อนไม่ควรอย่าง ยิ่ง เพราะปกติผู้เรียนจะยุ่งยากต่อการแปลความหมายของคำถาม และคำตอบที่ถามกลับ หรือปฏิเสธซ่อนผิด มากกว่าถูก 5. อย่าใช้คำฟุ่มเฟือย ควรถามปัญหาโดยตรง สิ่งใดไม่เกี่ยวข้องหรือไม่ได้ใช้เป็น เงื่อนไขในการคิดก็ ไม่ต้องนำมาเขียนไว้ในคำถาม จะช่วยให้คำถามรัดกุมชัดเจนขึ้น 6. เขียนตัวเลือกให้เป็นเอกพันธ์ หมายถึง เขียนตัวเลือกทุกตัวให้เป็นลักษณะใด ลักษณะหนึ่ง หรือมี ทิศทางแบบเดียวกัน หรือมีโครงสร้างสอดคล้องเป็นทำนองเดียวกัน 7. ควรเรียงลำดับตัวเลขในตัวเลือกต่าง ๆ ได้แก่ คำตอบที่เป็นตัวเลขทศนิยม เรียงจากน้อยไปหา มาก เพื่อช่วยให้ผู้ตอบพิจารณาคำตอบได้สะดวก ไม่หลง และป้องกันการเดา ตัวเลือกที่มีค่ามาก 8. ใช้ตัวเลือกปลายเปิดหรือปลายปิดให้เหมาะสม ตัวเลือกปลายเปิด ได้แก่ ตัวเลือกสุดท้ายใช้คำว่า ไม่มีคำตอบถูก ที่กล่าวมาผิดหมด ผิดหมดทุกข้อ หรือสรุปแน่นอนไม่ได้ 9. ข้อเดียวต้องมีคำตอบเดียว แต่บางครั้งผู้ออกข้อสอบคาดไม่ถึงว่าจะมีปัญหา หรืออาจจะให้ตัวลวง ไม่รัดกุม จึงสามารถมองตัวเลือกเหล่านั้นได้อีกแง่หนึ่ง ทำให้สับสนได้ 10. เขียนทั้งตัวถูกและตัวผิดให้ถูกต้องหรือผิดตามหลักวิชาการ คือ กำหนดตัว ถูกหรือผิด เพราะ สอดคล้องกับความเชื่อของสังคมหรือคำพังเพยทั่ว ๆ ไปไม่ได้ ทั้งนี้ เนื่องจากการ เรียนการสอนมุ่งให้ผู้เรียน ทราบความจริงตามหลักวิชาการเป็นสำคัญ จะนำความเชื่อ โชคลางหรือ ขนบธรรมเนียมประเพณีเฉพาะ ท้องถิ่นมาอ้างไม่ได้ 11. เขียนตัวเลือกให้อิสระขาดจากกันพยายามอย่าให้ตัวเลือกตัวใดตัวหนึ่งเป็น ส่วนหนึ่งหรือ ส่วนประกอบของตัวเลือกอื่น ต้องให้แต่ละตัวอิสระจากกันอย่างแท้จริง 12. ควรมีตัวเลือก 4-5 ตัวเลือก เพราะถ้าออก 2 ตัวเลือกจะกลายเป็นข้อสอบ ถูกผิด และเพื่อ ป้องกันไม่ให้เดาคำตอบได้ง่าย ๆ จึงควรมีตัวเลือกมาก ๆ หากเป็นข้อสอบระดับ ประถมศึกษาปีที่ 1-2 ควรใช้ 3 ตัวเลือก ระดับประถมศึกษาปีที่ 3-6 ควรใช้ 4 ตัวเลือก แต่ตั้งแต่ระดับ มัธยมศึกษาขึ้นไป ควรใช้ 5 ตัวเลือก 13. อย่าแนะนำคำตอบ ซึ่งการแนะนำคำตอบมีหลายกรณี ดังนี้ 13.1 คำถามข้อหลัง ๆ แนะคำตอบข้อแรก ๆ 13.2 ถามเรื่องที่ผู้เรียนคล่องปากอยู่แล้ว โดยเฉพาะคำถามประเภทคำพังเพย สุภาษิต คติ พจน์หรือคำเตือนใจ 13.3 ใช้ข้อความของคำตอบถูกซ้ำกับคำถามหรือเกี่ยวข้องกันอย่างเห็นได้ชัดเพราะนักเรียนที่ ไม่มีความรู้อาจจะเดาได้ถูก 13.4 ข้อความของตัวถูกบางส่วนเป็นส่วนหนึ่งของทุกตัวเลือก 13.5 เขียนตัวถูกหรือตัวลวงถูกหรือผิดเด่นชัดเกินไป 13.6 คำตอบไม่กระจาย ศิริชัย กาญจนวาสี (2556: 173-190) กล่าวถึง ขั้นตอนของการสร้างและพัฒนา แบบทดสอบ ผลสัมฤทธิ์ ดังนี้
23 1. กำหนดจุดมุ่งหมายของการสอบโดยต้องสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของการ เรียนรู้ และ จุดมุ่งหมายของหลักสูตร 2. ออกแบบการสร้างแบบทดสอบ เป็นการกำหนดรูปแบบ ขอบเขต และ แนวทางการสร้าง เพื่อให้ ได้มาซึ่งข้อสอบที่มีคุณภาพ ประกอบด้วย 2.1 การวางแผนการทดสอบ ควรมีการทดสอบอย่างน้อย ภาคเรียนละ 2 ครั้ง 2.2 การกำหนดรูปแบบของแบบทดสอบ ได้แก่ แบบสอบอิงกลุ่ม แบบสอบ ข้อเขียน แบบสอบเสนอ คำตอบ แบบสอบความเร็ว และแบบสอบเป็นกลุ่ม 2.3 การสร้างแผนผังการทดสอบ เพื่อให้จุดมุ่งหมายการเรียนรู้ กิจกรรมการ เรียนการสอนและการ สร้างแบบทดสอบมีความสัมพันธ์กัน 2.4 การสร้างผังข้อสอบ เพื่อเสนอรายละเอียดของการทดสอบแต่ละครั้งว่า จะวัดเนื้อหาอะไร และ จะวัดจุดมุ่งหมายของการเรียนรู้อะไร ขอบเขตของเนื้อหาวิชาตลอดจนการ กำหนดน้ำหนักความสำคัญหรือ สัดส่วนข้อสอบสำหรับวัดพฤติกรรมที่ต้องการทดสอบแต่ละครั้ง 3. เขียนข้อสอบ โดยผู้เขียนจำเป็นต้องมีความรู้ในเนื้อหาวิชาเป็นอย่างดีและ ต้องมีความรู้ในเทคนิค การเขียน โดยมีลำดับขั้นตอนการเขียนดังนี้ 3.1 กำหนดแบบแผนข้อสอบ 3.2 ร่างข้อสอบ 3.3 ทบทวนร่างข้อสอบโดยผู้เขียนข้อสอบและโดยผู้อื่น เช่น อาจารย์ ผู้เชี่ยวชาญ เป็นต้น 3.4 บรรณาธิการข้อสอบ โดยการปรับปรุงข้อบกพร่อง รวมทั้งขัดเกลา ข้อความ และภาษา ให้เหมาะสมกับผู้เรียน 4. ทดลองใช้ข้อสอบและวิเคราะห์ข้อสอบ ควรระมัดระวังในการเลือกกลุ่ม ตัวอย่าง ที่ใช้ในการ ทดสอบข้อสอบ ไม่ควรใช้กลุ่มตัวอย่างที่แตกต่างจากกลุ่มเป้าหมายอย่างสุดขั้ว เมื่อทดลองใช้แล้ว นำมา วิเคราะห์และคัดเลือกข้อสอบ โดยการหาความยากง่ายและอำนาจจำแนกที่ เหมาะสม นำข้อสอบมารวมกัน เป็นแบบทดสอบ และทำการวิเคราะห์แบบทดสอบโดยการหาความ เที่ยงและความตรง 5. นำแบบทดสอบไปใช้ 6. วิเคราะห์คุณภาพของแบบทดสอบ ด้านความเที่ยงและความตรง 7. ปรับปรุงแบบทดสอบจากการศึกษาสรุปได้ว่า การสร้างแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีหลักการ สำคัญ คือ ต้องสร้างให้สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของการเรียนรู้ และจุดมุ่งหมายของหลักสูตรเพื่อ วัดผลการ เรียนรู้ของผู้เรียน และดำเนินการตามขั้นตอนการสร้างข้อสอบ จนได้ข้อสอบมีความ เหมาะสมต่อการนำไปใช้ กับกลุ่มตัวอย่าง 5. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นสิ่งหนึ่งที่ชี้ถึงผลลัพธ์ของการจดัการศึกษา ซึ่งนอกจากจะเป็นเรื่องการ พิจารณาความรู้ความสามารถทางสติปัญญาของผู้เรียนแล้ว ยังแสดงถึงคุณค่าของหลักสูตรการจัดกิจกรรมการ
24 เรียนการสอน ความรู้ความสามารถของครูผู้สอนและผู้บริหารอีกด้วยสิ่งที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มีอยู่ 3 ตัวแปร 1. พฤติกรรมด้านความรู้ความคิด (Cognitive Entry Behaviors) หมายถึงความรู้ความสามารถและ ทักษะต่าง ๆ ของผู้เรียนที่มีมาก่อน 2. คุณลักษณะทางจิตใจ (Affective Entry Characteristics) แรงจูงใจที่ทำให้ผู้เรียนเกิดความอยาก เรียนรู้สิ่งใหม่ได้แก่ความสนใจในวิชาที่เรียน เจตคติต่อเนื้ออหาวิชาที่เรียน 3. คุณภาพในการเรียนการสอน (Quality of Instruction) หมายถึงประสิทธิภาพการเรียนการสอน ที่นักเรียนได้รับ ได้แก่ คำแนะนำการปฏิบัติและแรงเสริมของผู้สอนที่มีต่อผู้เรียน 6. ความพึงพอใจ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดได้นั้น ครูผู้สอนต้องคำนึงถึง บรรยากาศในการ เรียนรู้ของนักเรียน สถานการณ์ สื่ออุปกรณ์การเรียนรู้ และสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อ การจัดการเรียนรู้ เพื่อ ตอบสนองความต้องการของผู้เรียน ให้ผู้เรียนเรียนรู้อย่างมีความสุข เกิดความ พึงพอใจในการเรียน ซึ่งเป็นสิ่ง สำคัญที่กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความต้องการที่จะเรียน 1. ความหมายของความพึงพอใจ ความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ ส่งผลให้การจัดการเรียนรู้มี ประสิทธิภาพ และทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีความหมาย สามารถนำ ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ โดยนัก การศึกษา ได้ให้ความหมายของความพึงพอใจไว้ ดังนี้ ธีรพงศ์ แก่นอินทร์ (2545: 36) ได้ให้ความหมายความพึงพอใจต่อการเรียนการ สอนว่าเป็น ความรู้สึกพึงพอใจต่อการปฏิบัติของนักศึกษา ในระหว่างการเรียนการสอน การปฏิบัติของ อาจารย์ ผู้สอน และสภาพบรรยากาศโดยทั่วไปของการเรียนการสอน อัมพวา รักบิดา (2549: 47) ได้ให้ความหมายของความพึงพอใจต่อการจัดการ เรียนรู้ไว้ว่า หมายถึง ความรู้สึกที่ดีต่อการจัดการเรียนรู้หรือความชอบของผู้เรียนที่เป็นผลมาจากการ จัดการเรียนรู้ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อ ผู้เรียนปฏิบัติกิจกรรมและได้รับผลสำเร็จตามความมุ่งหมาย รวมทั้งได้รับ ผลตอบแทนตามความต้องการของ ผู้เรียน สุดารัตน์ อะหลีแอ (2558: 48) ได้สรุปความหมายของความพึงพอใจว่า หมายถึง ความรู้สึกดี ความชอบ และการให้คุณค่าของผู้เรียนต่อการจัดการเรียนรู้ อันเป็นผลมาจาก การจัดการเรียนรู้ ผู้สอน ความ พร้อมและบรรยากาศของการจัดการเรียนรู้ รวมถึงการที่ผู้เรียนปฏิบัติ กิจกรรมแล้วประสบผลสำเร็จตามความ ต้องการของผู้เรียน จากความหมายข้างต้นสรุปได้ว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกพึงพอใจ ชอบ และ ความสนใจของนักเรียนต่อการจัดการเรียนรู้ อันเป็นผลมาจากการจัดการเรียนรู้ ผู้สอน และ บรรยากาศของ การจัดการเรียนรู้ รวมถึงการที่ผู้เรียนปฏิบัติกิจกรรมแล้วประสบผลสำเร็จตามความ ต้องการของผู้เรียน 2. ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับความพึงพอใจ ทฤษฎีแรงจูงใจของมาสโลว์ (Maslow) แสดงให้เห็นถึงการ เปรียบเทียบระหว่าง ตัวตนที่เป็นอยู่กับตัวตนในอุดมคติหรือตัวตนที่ต้องการ ซึ่งมาสโลว์เสนอแนวคิดเกี่ยวกับ ลักษณะ ความต้องการของมนุษย์ออกเป็น 5 ด้าน ซึ่งจะพัฒนาเป็นลำดับขั้น โดยมนุษย์ต้องได้รับการ
25 ตอบสนองความต้องการเบื้องต้นเสียก่อนจึงจะเกิดความต้องการด้านอื่น ๆ ที่อยู่ในระดับสูงขึ้นไป (วันเพ็ญ พิศาลพงศ์, 2540: 23) ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้ 1. ความต้องการด้านร่างกาย (Physiological Needs) เป็นความต้องการ พื้นฐานของมนุษย์ที่ จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิต ต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อสนองความต้องการขั้นนี้เสียก่อน จึงจะมีความต้องการขั้นอื่น ตามมา 2. ความต้องการความมั่นคงปลอดภัย (Safety Need) เป็นความต้องการที่จะมี ชีวิตอยู่อย่างมั่นคง และปลอดภัย ปราศจากภัยอันตรายทั้งปวง สังเกตได้จากพฤติกรรมของมนุษย์ที่ ชอบอยู่ในสังคมที่สงบ เรียบร้อย มีระเบียบวินัย และมีกฎหมายคุ้มครอง 3. ความต้องการความรักและความต้องการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม (Love and Belonging Needs) เป็นความต้องการอยากมีเพื่อนฝูง มีคนรักใคร่ ต้องการให้ความรักกับผู้อื่นและ อยากได้รับความรักจากผู้อื่น บุคคลที่มีความต้องการในขั้นนี้ จะกระทำพฤติกรรมเพื่อให้รู้สึกว่าตนเอง ไม่โดดเดี่ยว อ้างว้าง หรือถูกทอดทิ้ง 4. ความต้องการมีเกียรติยศและศักดิ์ศรี (The Esteem Needs) เป็นความต้องการของมนุษย์เกือบ ทุกคนในสังคม บุคคลที่มีความต้องการในขั้นนี้มีลักษณะ เช่น ต้องการได้รับ การยกย่องจากบุคคลอื่น ต้องการ ชื่อเสียงเกียรติยศหรือความภาคภูมิใจเมื่อตนประสบผลสำเร็จ 5. ความต้องการพัฒนาตนเองไปสู่ระดับที่สมบูรณ์ที่สุด คือ ความต้องการแสดง ความเป็นจริงแห่ง ตน (Self-Actualization) เป็นความต้องการที่เน้นถึงการเป็นตัวของตัวเอง ประสบ ความสำเร็จด้วยตนเอง และพัฒนาศักยภาพตนเองให้เต็มที่ Scott (1970: 124) ได้เสนอความคิดในเรื่องการจูงใจให้เกิดความพึงพอใจต่อ การทำงานที่ให้ผลใน เชิงปฏิบัติมีลักษณะ ดังนี้ 1. งานควรมีส่วนสัมพันธ์กับความต้องการส่วนตัวและมีความหมายสำหรับผู้ทำงาน 2. งานนั้นต้องมีการวางแผนและวัดผลสำเร็จได้โดยใช้ระบบการทำงาน และการควบคุมที่มี ประสิทธิภาพ 3. เพื่อให้ได้ผลในการสร้างแรงจูงใจภายในเป้าหมายของงานจะต้องมีลักษณะ ดังนี้ คนทำงานมีส่วน ในการตั้งเป้าหมาย ได้รับทราบผลสำเร็จจากการทำงานโดยตรง และงานนั้น สามารถทำให้สำเร็จได้จากทฤษฎี แรงจูงใจสรุปได้ว่า ความต้องการเป็นพื้นฐานที่ทำเกิดแรงจูงใจ ส่งผลให้บุคคลแสดงพฤติกรรมที่นำไปสู่ เป้าหมายและสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
26 บทที่3 วิธีดำเนินการวิจัย วิจัยเรื่องการใช้รูปแบบการสอนเชิงรุก (Active Learning) ด้วยโปรแกรม Classpoint บน Powerpoint รายวิชาวิทยาศาสตร์งานธุรกิจและบริการ เรื่องการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม สำหรับ นักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ปีที่ 1 วิทยาลัยอาชีวศึกษาแพร่ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ผู้วิจัยได้ดำเนินการวิจัยดังนี้ ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1. ประชากร คือ นักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ปีที่ 1 สาขาวิชาบริหารงานคหกร รมศาสตร์ วิทยาลัยอาชีวศึกษาแพร่ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ที่ลงทะเบียนเรียนใน รายวิชาวิทยาศาสตร์งานธุรกิจและบริการ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 4 คน 2. กลุ่มตัวอย่าง คือ เลือกอย่างเจาะจง นักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ปีที่ 1 สาขาวิชาบริหารงานคหกรรมศาสตร์วิทยาลัยอาชีวศึกษาแพร่ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ที่ลงทะเบียนเรียนในรายวิชาวิทยาศาสตร์งานธุรกิจและบริการ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 4 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล 1. ลักษณะของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1.1 ชุดกิจกรรมด้วยโปรแกรม Classpoint บน Powerpoint เป็นสื่อสำหรับประกอบการ สอนและฝึกปฏิบัติจำนวน 1 ชุด 1.2 แบบวัดพฤติกรรมการเรียนรู้ของนักศึกษา เป็นเครื่องมือประเมินพฤติกรรมการ เรียนรู้เป็นแบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ (Rating Scale) จำนวน 20 ข้อ 2. การสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย มีรายละเอียดในการสร้างเครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัย ดังนี้ 2.1 ชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) ด้วยโปรแกรม Classpoint บน Powerpoint สำหรับนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ปีที่ 1 สาขาวิชาบริหารงานคหกรรม ศาสตร์วิทยาลัยอาชีวศึกษาแพร่ 2.1.1 ศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง พุทธศักราช 2563 ของสำนักงาน คณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ โดยศึกษาจุดประสงค์รายวิชา สมรรถนะรายวิชาและ คำอธิบายรายวิชา
27 2.1.2 ศึกษาความต้องการของผู้เรียน ศึกษาบริบทของสถานศึกษาและบริเวณใกล้เคียงเพื่อ กำหนดหัวข้อกำหนดกิจกรรมให้สอดคล้องกับหลักสูตรและบริบทของสถานศึกษาในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยเลือก การบูรณาการความรู้ของนักเรียนนำความรู้ ที่มีมาใช้ในการจัดทำเป็นชุดกิจกรรม 2.1.3 ศึกษาหลักการสร้างชุดสื่อการสอนด้วยโปรแกรม Classpoint บน Powerpoint จาก เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อเป็นแนวทางในการสร้างชุดกิจกรรมกรเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) 2.1.4 ศึกษารูปแบบเชิงรุก (Active Learning) ในการวิจัยครั้งนี้ได้เลือกการเรียนรู้โดย กำหนดไว้ในแผนการจัดการเรียนรู้ประกอบด้วย 4 ขั้น คือ ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน ขั้นเรียนรู้กลุ่มย่อย ขั้นการ สรุป และขั้นการนำไปใช้ 2.1.5 วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างสาระการเรียนรู้ สาระสำคัญ ผลการเรียนรู้ และรูปแบบการเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) ที่เลือกใช้เพื่อดำเนินการสร้างชุดสื่อการสอน แบบเชิงรุก (Active Learning) สำหรับนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ปีที่ 1 สาขาวิชา บริหารงานคหกรรมศาสตร์วิทยาลัยอาชีวศึกษาแพร่ จำนวน 1 ชุด ทดลองในภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2566 จำนวน 8 ชั่วโมง ไม่รวมกับเวลาที่ใช้ทดสอบหลังเรียน (Post–test) โดยผู้วิจัยดำเนินการสอนด้วย ตนเอง 3. การสร้างและหาคุณภาพแบบประเมินพฤติกรรมการเรียนรู้ของนักศึกษา การสร้างและหาคุณภาพแบบประเมินพฤติกรรมการเรียนรู้ของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตร วิชาชีพชั้นสูง ปีที่ 1 สาขาวิชาบริหารงานคหกรรมศาสตร์ที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) ด้วยโปรแกรม Classpoint บน Powerpoint โดยใช้มีขั้นตอนดังนี้ 3.1 ศึกษาเอกสาร ตำราและงานวิจัยที่เกี่ยวกับพฤติกรรมการเรียนรู้ของนักศึกษา 3.2 ศึกษาวิธีสร้างแบบประเมินพฤติกรรมการเรียนรู้และกำหนดรูปแบบแบบประเมินจาก เอกสารตำราและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 3.3 สร้างแบบประเมินพฤติกรรมการเรียนรู้ของนักศึกษา ที่เรียนด้วย ที่เรียนด้วยกิจกรรม การเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) ด้วยโปรแกรม Classpoint บน Powerpoint โดยใช้ที่เป็นแบบ มาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) ตามแบบของลิเคอร์ท (Likert) เป็น 5 ระดับ จำนวน 1 ฉบับ จำนวน 20 ข้อ โดยกำหนดเกณฑ์การให้คะแนน ดังนี้ พฤติกรรมการเรียนรู้อยู่ในระดับมากที่สุด ให้ 5 คะแนน พฤติกรรมการเรียนรู้อยู่ในระดับมาก ให้ 4 คะแนน พฤติกรรมการเรียนรู้อยู่ในระดับปานกลาง ให้ 3 คะแนน พฤติกรรมการเรียนรู้อยู่ในระดับน้อย ให้ 2 คะแนน พฤติกรรมการเรียนรู้อยู่ในระดับน้อยที่สุด ให้ 1 คะแนน และใช้เกณฑ์การแปลผลเพื่อเป็นแนวทางการแปลความหมายของผลการสอบถามการ
28 ประเมินพฤติกรรมการเรียนรู้ ของนักศึกษาที่เรียนโดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ดังนี้(บุญชม ศรีสะอาด, 2545, หน้า 102-103) ค่ำเฉลี่ย 4.51-5.00 แปลว่า มีพฤติกรรมการเรียนรู้อยู่ในระดับมากที่สุด ค่ำเฉลี่ย 3.51-4.50 แปลว่า มีพฤติกรรมการเรียนรู้อยู่ในระดับใจมาก ค่ำเฉลี่ย 2.51-3.50 แปลว่า มีพฤติกรรมการเรียนรู้อยู่ในระดับปานกลาง ค่ำเฉลี่ย 1.51-2.50 แปลว่า มีพฤติกรรมการเรียนรู้อยู่ในระดับน้อย ค่ำเฉลี่ย 1.00-1.50 แปลว่า มีพฤติกรรมการเรียนรู้อยู่ในระดับน้อยที่สุด 3.4 จัดพิมพ์แบบประเมินพฤติกรรมการเรียนรู้ของนักศึกษาฉบับจริงเพื่อนำมาใช้ศึกษากับ กลุ่มตัวอย่างต่อไป การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเอง โดยการทดลองกับกลุ่มตัวอย่างนักศึกษาระดับ ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ปีที่ 1 สาขาวิชาบริหารงานคหกรรมศาสตร์วิทยาลัยอาชีวศึกษาแพร่ จำนวน 4 คน โดยดำเนินการทดลองตามขั้นตอน ดังนี้ 1. ชี้แจงวิธีการจัดกิจกรรมแบบเชิงรุก (Active Learning) เพื่อให้นักศึกษาเข้าใจตรงกันและ ปฏิบัติกิจกรรมได้ถูกต้อง 2. ดำเนินการสอน โดยกิจกรรมการเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) ด้วยโปรแกรม Classpoint บน Powerpoint สำหรับนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ปีที่ 1 สาขาวิชา บริหารงานคหกรรมศาสตร์จำนวน 1 ชุด 3. ทดสอบหลังเรียน (Post–test) โดยใช้แบบทดสอบความสามารถทางด้านความรู้ การวิเคราะห์ข้อมูล 1. วิเคราะห์หาประสิทธิภาพของกิจกรรมการเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) ด้วยโปรแกรม Classpoint บน Powerpoint สำหรับนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ปีที่ 1 สาขาวิชา บริหารงานคหกรรมศาสตร์เกณฑ์มาตรฐาน 80/80 โดยใช้สูตร E1/E2 และค่าสถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่า ร้อยละ 2. ประเมินพฤติกรรมการเรียนรู้ของนักศึกษา หลังการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน กิจกรรมการเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) สำหรับด้วยโปรแกรม Classpoint บน Powerpoint สำหรับนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ปีที่ 1 สาขาวิชาบริหารงานคหกรรมศาสตร์
29 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 1. สถิติทิ่ีใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้ 1.1 หาค่าเฉลี่ย (บุญชม ศรีสะอำด. 2545: 105) โดยคำนวณจากสูตร เมื่อ ̅แทน ค่าเฉลี่ย ∑ แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมดในกลุ่ม n แทน จำนวนข้อมูลทั้งหมด 1.2 ร้อยละ โดยใช้สูตรดังนี้(บุญชม ศรีสะอำด. 2545: 104) P = x 100 เมื่อ P แทน ร้อยละ f แทน ความถี่ที่ต้องการแปลงให้เป็นร้อยละ N แทน จำนวนความถี่ทั้งหมด 2. สถิติที่ใช้ในการตรวจสอบสมมติฐาน ได้แก่ 2.1 หาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยกำหนดเกณฑ์การประเมิน 80/80 ใช้สูตร (เผชิญ กิจระการ, 2544 : 49-50) เมื่อ E1 แทน ประสิทธิภาพของกระบวนการ ∑ แทน คะแนนเฉลี่ย ของแบบทดสอบย่อยทุกชุดรวมกัน A แทน คะแนนเต็มของแบบทดสอบย่อยทุกชุดรวมกัน N แทน จำนวนผู้เรียนทั้งหมด เมื่อ E2 แทน ประสิทธิภาพของกระบวนการ ∑ แทน คะแนนเฉลี่ย ของแบบทดสอบย่อยทุกชุดรวมกัน B แทน คะแนนเต็มของแบบทดสอบย่อยทุกชุดรวมกัน N แทน จำนวนผู้เรียนทั้งหมด
30 บทที่4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยในชั้นเรียนเรื่องการใช้รูปแบบการสอนเชิงรุก (Active Learning) ด้วยโปรแกรม Classpoint บน Powerpoint รายวิชาวิทยาศาสตร์งานธุรกิจและบริการ เรื่องการอนุรักษ์พลังงานและ สิ่งแวดล้อม สำหรับนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ปีที่ 1 วิทยาลัยอาชีวศึกษาแพร่ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ผู้วิจัยนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลตามลำดับ ดังนี้ ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ผลการวิเคราะห์ข้อมูลในส่วนต่างๆมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ ตารางที่ 1 แสดงการหาประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1 ) สอนเชิงรุก (Active Learning) ด้วยโปรแกรม Classpoint บน Powerpoint รายวิชาวิทยาศาสตร์งานธุรกิจและบริการ เรื่องการอนุรักษ์พลังงานและ สิ่งแวดล้อม คะแนนระหว่างเรียน นักเรียน (คนที่) แบบสังเกต พฤติกรรม (5%) ใบกิจกรรม (5%) ใบงาน (5%) ชิ้นงาน (5%) คะแนนรวม ระหว่างเรียน (20) 1 3 4 4 5 16 2 4 3 4 5 16 3 4 4 5 5 18 4 3 4 5 5 17 คะแนนรวม 14 15 18 20 67 คะแนนเฉลี่ย รวม 3.5 3.75 4.5 5 16.75 ประสิทธิภาพของกระบวนการ(E2 ) 16.75/20*100 = 83.75 จากตารางที่ 1 พบว่า จำนวนนักศึกษาทั้งหมดได้คะแนนระหว่างเรียนจากกิจกรรมการสอน มี คะแนนจากพฤติกรรมการเรียน การทำ ใบกิจกรรม/ ใบงาน มีคะแนนเฉลี่ยของคะแนนรวมจากนักศึกษา ทั้งหมด เท่ากับ 16.75 ผลคะแนนเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 83.75 ของคะแนนเต็ม แสดงว่า ประสิทธิภาพของ กระบวนการกระบวนการ (E1 ) เป็นร้อยละ 83.75
31 ตารางที่ 2 แสดงการหาประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2 ) สอนเชิงรุก (Active Learning) ด้วยโปรแกรม Classpoint บน Powerpoint รายวิชาวิทยาศาสตร์งานธุรกิจและบริการ เรื่องการอนุรักษ์พลังงานและ สิ่งแวดล้อม คนที่ คะแนนหลังเรียน (10) คนที่ คะแนนหลังเรียน (10) 1 6 3 9 2 7 4 9 คะแนนรวม 31 คะแนนเฉลี่ย 7.75 ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2 ) 7.75/10*100 = 77.50 จากตารางที่ 2 พบว่า จำนวนนักศึกษาทั้งหมดทำแบบทดสอบหลังเรียนหลังการสอนเชิงรุก (Active Learning) ด้วยโปรแกรม Classpoint บน Powerpoint ได้คะแนนเฉลี่ย เท่ากับ 7.75 คิดเป็นร้อยละ 77.50 ของคะแนนเต็ม ดังนั้นมีประสิทธิภาพของผลลัพธ์เท่ากับ 77.50 ตารางที่ 3 แสดงผลการเปรียบเทียบคะแนนนักเรียนก่อนและหลัง สอนเชิงรุก (Active Learning) ด้วย โปรแกรม Classpoint บน Powerpoint รายวิชาวิทยาศาสตร์งานธุรกิจและบริการ เรื่องการอนุรักษ์พลังงาน และสิ่งแวดล้อม คนที่ คะแนนก่อนเรียน (10) คะแนนหลังเรียน (10) ค่าพัฒนา (10) 1 4 6 2 2 4 7 4 3 6 9 3 4 6 9 3 คะแนนรวม 20 31 12 คะแนนเฉลี่ย 10 7.75 6 จากตารางที่ 3 พบว่า ค่าเฉลี่ยของคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการอนุรักษ์พลังงานและ สิ่งแวดล้อม ของนักศึกษา ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ปีที่ 1 สาขาวิชาบริหารงานคหกรรมศาสตร์ หลังเรียนโดยการสอนเชิงรุก (Active Learning) ด้วยโปรแกรม Classpoint บน Powerpoint เรื่องการ อนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งเป็นไปตาม สมมติฐาน
32 ตารางที่ 4 แสดงผลการวิเคราะห์พฤติกรรมการเรียนรู้หลังเรียน เรื่อง การอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม ด้วยวิธีการสอนเชิงรุก (Active Learning) ด้วยโปรแกรม Classpoint บน Powerpoint ที่ รายการ/ข้อคำถาม ค่าเฉลี่ย ระดับ 1 นักศึกษาใช้ประสบการณ์เดิมมาเชื่อมโยงกับการเรียนมากขึ้น 4.18 มาก 2 นักศึกษาได้รับการเรียนรู้โดยวิธีการที่หลากหลาย 4.30 มาก 3 นักศึกษาได้ทำกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากกลุ่ม 4.26 มาก 4 นักศึกษาได้ฝึกการคิดอย่างหลากหลาย 4.03 มาก 5 นักศึกษามีโอกาสค้นหาคำตอบด้วยตนเอง 4.11 มาก 6 นักสึกษาได้ฝึกค้นคว้ารวบรวมข้อมูลด้วยตนเอง 4.33 มาก 7 นักศึกษาได้ฝึกการสร้างสรรค์ความรู้ด้วยตนเอง 4.44 มาก 8 นักศึกษาได้รับข้อมูล/ความรู้อย่างเป็นระบบและเพียงพอ 4.14 มาก 9 นักศึกษามีโอกาสคิด/วางแผนนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ 4.55 มากที่สุด 10 นักศึกษาเต็มใจที่จะเผยแพร่สิ่งที่ตนมีหรือรู้ 4.66 มากที่สุด 11 นักศึกษาเต็มใจร่วมกิจกรรมในชั้นเรียนทุกครั้ง 4.11 มาก 12 นักศึกษามีโอกาสทำกิจกรรมตามความสามารถอย่างมีความสุข 4.48 มาก 13 นักศึกษามีโอกาสทำกิจกรรมตามความสนใจอย่างมีความสุข 4.18 มาก 14 นักศึกษามีโอกาสฝึกตนเองให้มีวินัยและรับผิดชอบในการทำงาน 4.37 มาก 15 นักศึกษาสนใจใฝ่หาความรู้อย่างต่อเนื่องมากขึ้นกว่าเดิม 4.15 มาก 16 นักศึกษาทำงานทุกครั้งที่ได้รับมอบหมาย 3.96 ปานกลาง 17 นักศึกษาได้ค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมมากขึ้นกว่าเดิม 4.03 มาก 18 นักศึกษามีโอกาสแสดงความคิดเห็น/ซักถามในชั้นเรียน 4.04 มาก 19 นักศึกษามีโอกาสเรียนรู้ร่วมกับเพื่อนในชั้นเรียน 4.52 มากที่สุด 20 นักศึกษามีโอกาสลงมือทำ/คิดในระหว่างการเรียน 4.22 มาก เฉลี่ย 4.26 มาก จากตารางที่ 4 นักศึกษาที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุก (active learning) โดยนักศึกษามี ระดับพฤติกรรมความรู้มากที่สุด ได้แก่ นักศึกษาเต็มใจที่จะเผยแพร่สิ่งที่ตนมีหรือรู้นักศึกษามีโอกาสคิด/ วางแผนนำความรู้ไปใช้ประโยชน์และนักเรียนมีโอกาสเรียนรู้ร่วมกับเพื่อนในชั้นเรียน
33 ตารางที่ 5 แสดงผลการวิเคราะห์พฤติกรรมการสอนเพื่อพัฒนาการเรียนการสอนของนักศึกษา เรื่องการ อนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม รายวิชาวิทยาศาสตร์งานธุรกิจและบริการ โดยจัดการเรียนด้วยวิธีการสอน เชิงรุก (Active Learning) ด้วยโปรแกรม Classpoint บน Powerpoint ที่ รายการ/ข้อคำถาม ค่าเฉลี่ย แปลความหมาย 1 ครูแจกและแจ้งข้อมูลโครงการสอนให้แก่นักศึกษา 4.21 มาก 2 ครูเข้าสอนตรงเวลาและสม่ำเสมอ 4.58 มากที่สุด 3 ครูมีบุคลิกภาพการแต่งกายเหมาะสม 4.63 มากที่สุด 4 ครูมีการเตรียมการสอน 4.54 มากที่สุด 5 ครูมีความตั้งใจสอน 4.58 มากที่สุด 6 ครูมีความสามารถใช้เทคนิคในการสอนที่เข้าใจได้ 4.50 มากที่สุด 7 มั่นใจว่าครูมีความรู้ซึ้งในวิชาที่สอน 4.29 มาก 8 ครูใช้ถ้วยคำและภาษาที่เหมาะสมในขณะที่สอน 4.25 มาก 9 การเรียนการสอนมีบรรยากาศที่ดี 4.17 มาก 10 ครูเปิดโอกาสให้นักศึกษาเข้าพบและปรึกษาการเรียน 4.58 มากที่สุด 11 ได้รับความรู้ทักษะและประสบการณ์จากครูผู้สอน 4.37 มาก 12 ครูได้มอบหมายและให้งานเสริมเพิ่มเติมจากากรสอนใน ห้องเรียนได้เหมาะสม 4.33 มาก 13 ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นและมีส่วนร่วมในการ เรียน 4.62 มากที่สุด 14 ครูได้ให้ความรู้ ข้อคิดคุณธรรมสอดแทรกไปกับเนื้อหาได้อย่าง กลมกลืน 4.04 มาก 15 ครูใช้การวัดผลหลากหลายวิธีนอกเหนือจากสอบปลายภาค 4.29 มาก เฉลี่ย 4.40 มาก จากตารางที่ 5 นักศึกษามีพฤติกรรมการเรียนเพื่อพัฒนาการเรียนการสอนในภาพรวม อยู่ในระดับ มาก โดยนักศึกษามีระดับพฤติกรรมความรู้มากที่สุด ได้แก่ ครูมีบุคลิกภาพการแต่งกายเหมาะสม ครูเปิด โอกาสให้นักศึกษาแสดงความคิดเห็นและมีส่วนร่วมในการเรียนและครูเข้าสอนตรงเวลาและสม่ำเสมอ
34 ตารางที่ 6 แสดงผลการศึกษาความพึงพอใจในการเรียนของนักศึกษากลุ่มตัวอย่างที่ได้รับการจัดการเรียนแบบ เชิงรุก (active learning) ด้วยโปรแกรม Classpoint บน Powerpoint รายวิชาวิทยาศาสตร์งานธุรกิจและ บริการ เรื่องการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม ที่ รายการ/ข้อคำถาม ค่าเฉลี่ย แปลความหมาย 1 นักศึกษามีความพึงพอใจในการเรียนการสอนแบบเชิงรุก 4.58 มากที่สุด 2 นักศึกษาพอใจกับกิจกรรมการเรียนแบบเชิงรุก 4.50 มากที่สุด 3 นักศึกษามีบทบาทในการเรียนมากขึ้นจากการเรียนแบบเชิง รุก 4.38 มาก 4 ครูเตรียมการสอนอย่างมีขั้นตอนที่สามารถเข้าใจง่ายขึ้น 4.62 มากที่สุด 5 เนื้อหาที่สสอนสามารถนำไปใช้ได้ในชีวิตจริง 4.29 มาก 6 ครูใช้เวลาในการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น 4.58 มากที่สุด 7 ครูอธิบายเนื้อหาและยกตัวอย่างประกอบตรงประเด็นเข้าใจ ง่ายและชัดเจน 4.54 มากที่สุด 8 ครูมีกิจกรรมการสอนหลากหลายที่ส่งเสริมการเรียนรู้ร่วมกัน 4.25 มาก 9 กระตุ้นให้เกิดการวิเคราะห์เนื้อหาจากการเรียนแบบเชิงรุก 4.12 มาก 10 การจัดเรียนแบบใฝ่รู้สร้างบรรยากาศที่ดีในการศึกษา 4.25 มาก 11 ครูใช้สื่อการสอนเหมาะสมกับเนื้อหาวิชาและช่วยให้เกิดการ เรียนรู้ 4.37 มาก 12 ครูมีตำราและเอกสารประกอบการสอนที่สอดคล้องกับเนื้อหา 4.33 มาก 13 ครูมอบหมายงานให้ทำมีความชัดเจนและมีปริมาณที่ เหมาะสม 4.20 มาก 14 ตรวจสอบและชี้แจงข้อบกพร่อมให้นักเรียนแก้ไข 4.42 มาก 15 การเรียนแบบใฝ่รู้มีส่วนทำให้ท่านมีทัศนคติที่ดีต่อเนื้อหาที่ เรียน 4.41 มาก เฉลี่ย 4.41 มาก จากตารางที่ 6 นักศึกษามีความพึงพอใจในภาพรวมอยู่ในระดับที่มาก โดยนักศึกษามีความพึงพอใจ มากที่สุด ได้แก่ ครูเตรียมการสอนอย่างมีขั้นตอนที่สามารถเข้าใจง่ายขึ้น ครูใช้เวลาในการสอนได้อย่างมี ประสิทธิภาพมากขึ้นและครูใช้เวลาในการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
35 บทที่5 สรุปผลการวิจัย อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ การวิจัยในชั้นเรียนเรื่องการใช้รูปแบบการสอนเชิงรุก (Active Learning) ด้วยโปรแกรม Classpoint บน Powerpoint รายวิชาวิทยาศาสตร์งานธุรกิจและบริการ เรื่องการอนุรักษ์พลังงานและ สิ่งแวดล้อม สำหรับนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ปีที่ 1 วิทยาลัยอาชีวศึกษาแพร่ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 สรุปผล อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ ดังนี้ สรุปผลการวิจัย ผลการวิจัยครั้งนี้พบว่า 1. จำนวนนักศึกษาทั้งหมดได้คะแนนระหว่างเรียนจากกิจกรรมการสอน มีคะแนนจากพฤติกรรม การเรียน การทำ ใบกิจกรรม/ ใบงาน มีคะแนนเฉลี่ยของคะแนนรวมจากนักศึกษาทั้งหมด เท่ากับ 16.75 ผล คะแนนเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 83.75 ของคะแนนเต็ม แสดงว่า ประสิทธิภาพของกระบวนการกระบวนการ (E1) เป็นร้อยละ 83.75 2. จำนวนนักศึกษาทั้งหมดทำแบบทดสอบหลังเรียนหลังการสอนเชิงรุก (Active Learning) ด้วย โปรแกรม Classpoint บน Powerpoint ได้คะแนนเฉลี่ย เท่ากับ 7.75 คิดเป็นร้อยละ 77.50ของคะแนนเต็ม ดังนั้นมีประสิทธิภาพของผลลัพธ์ เท่ากับ 77.50 3. ค่าเฉลี่ยของคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม ของ นักศึกษา ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ปีที่ 1 สาขาวิชาบริหารงานคหกรรมศาสตร์หลังเรียนโดยการ สอนเชิงรุก (Active Learning) ด้วยโปรแกรม Classpoint บน Powerpoint เรื่องการอนุรักษ์พลังงานและ สิ่งแวดล้อม สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐาน 4. นักศึกษาที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุก (active learning) โดยนักศึกษามีระดับพฤติกรรม ความรู้มากที่สุด ได้แก่ นักศึกษาเต็มใจที่จะเผยแพร่สิ่งที่ตนมีหรือรู้ นักศึกษามีโอกาสคิด/วางแผนนำความรู้ไป ใช้ประโยชน์และนักเรียนมีโอกาสเรียนรู้ร่วมกับเพื่อนในชั้นเรียน 5. นักศึกษามีพฤติกรรมการเรียนเพื่อพัฒนาการเรียนการสอนในภาพรวม อยู่ในระดับมาก โดย นักศึกษามีระดับพฤติกรรมความรู้มากที่สุด ได้แก่ ครูมีบุคลิกภาพการแต่งกายเหมาะสม ครูเปิดโอกาสให้ นักศึกษาแสดงความคิดเห็นและมีส่วนร่วมในการเรียนและครูเข้าสอนตรงเวลาและสม่ำเสมอ 6. นักศึกษามีความพึงพอใจในภาพรวมอยู่ในระดับที่มาก โดยนักศึกษามีความพึงพอใจมากที่สุด ได้แก่ ครูเตรียมการสอนอย่างมีขั้นตอนที่สามารถเข้าใจง่ายขึ้น ครูใช้เวลาในการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ มากขึ้นและครูใช้เวลาในการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
36 การอภิปรายผล . ผลการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของ การจัดการเรียนแบบเชิงรุก (active learning) ด้วยโปรแกรม Classpoint บน Powerpoint รายวิชาวิทยาศาสตร์งานธุรกิจและบริการ เรื่องการอนุรักษ์พลังงานและ สิ่งแวดล้อมมีค่าประสิทธิภาพ 83.75 หมายความว่าประสิทธิภาพของกระบวนการ ซึ่งได้คะแนนจากการ พฤติกรรมการร่วมกิจกรรม ใบกิจกรรม ใบงานและแบบทดสอบย่อยในการเรียน มีค่าเท่ากับ 83.75 และ ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ ซึ่งได้คะแนนจากการทดสอบหลังเรียนมีค่าเท่ากับ 77.50 ผลที่เกิดขึ้นดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า รูปแบบการเรียนการสอนแบบเชิงรุก (Active Learning) ด้วย โปรแกรม Classpoint บน Powerpoint เพื่อพัฒนาผู้เรียนรายวิชาวิทยาศาสตร์งานธุรกิจและบริการ เรื่อง การอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม มีวิธีการเรียนที่ให้นักศึกษาได้ปฏิบัติจริง และสร้างความรู้จากสิ่งที่ได้ ปฏิบัติระหว่างเรียน โดยมีวิธีการเรียนรู้ผ่านทักษะ การสำรวจข้อมูล การทดลองการแก้ไขปัญหา การ อภิปรายร่วมกัน และการทำงานแบบกลุ่มเล็กๆ การทำงานแบบร่วมมือร่วมใจกันซึ่งวางอยู่บนปัจจัยพื้นฐาน ของรูปแบบการเรียนรู้เชิงรุก ประกอบด้วย การพูดและการฟัง การเขียน การอ่าน การโต้ตอบความคิดเห็น ซึ่ง เป็นการจัดประสบการณ์ที่ลดกระบวนการสื่อสารและการถ่ายทอดเนื้อหาให้ผู้เรียนเพียงอย่างเดียว ซึ่ง สอดคล้องกับ วัชรี เกษพิชัยณรงค์(2014) ไดก้ล่าวถึงการเรียนเชิงรุก (Active Learning) เป็นการเรียนที่เน้น ให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับการเรียนการสอนส่งผลให้ผู้เรียนมีประสิทธิภาพดีขึ้น และสอดคล้องกับบุญชิต มณี โชติ(2540, หน้า 2) ได้กล่าว ลักษณะของ Active Learning คือการเปลี่ยนวิธีการสอนแบบเดิม ๆ เป็นการ สอนที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แสวงหาความรู้กระตุ้น ให้เกิดความใฝ่รู้ รู้จักคิดวิเคราะห์วิพากษ์วิจารณ์และ แก้ไขปัญหาได้ส่งผลให้ผู้เรียนมีประสิทธิภาพดีขึ้น ผลการวิเคราะห์การจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีการสอนรูปแบบการเรียนเชิงรุก (Active learning) ด้วย โปรแกรม Classpoint บน Powerpoint รายวิชาวิทยาศาสตร์งานธุรกิจและบริการ เรื่องการอนุรักษ์พลังงาน และสิ่งแวดล้อม ในนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ปีที่ 1 สาขาวิชาบริหารงานคหกรรมศาสตร์ จำนวน 8 ชั่วโมง พบว่า นักศึกษามีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สูงขึ้น โดยคะแนนเฉลี่ยจากการทดสอบหลังเรียน สูงกว่าก่อนเรียน โดยมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 และบรรยากาศในชั้นเรียนตื่นเต้นและสนุกสนาน นักศึกษาทุก คนมีส่วนร่วมกับกิจกรรม ผลการศึกษาความพึงพอใจในพฤติกรรมการสอนเพื่อพัฒนาการเรียนการสอนของนักศึกษาที่เรียน ในรายวิชา วิทยาศาสตร์งานธุรกิจและบริการ เรื่องการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม ที่ได้รับการจัดการ เรียนรู้แบบเชิงรุก (active learning) ด้วยโปรแกรม Classpoint บน Powerpoint อยู่ในระดับมากเนื่องจาก นักศึกษาได้แสดงออก มีส่วนร่วมทำกิจกรรมกลุ่ม และนำเสนอผลงาน ทำให้นักศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลและ ปรึกษาครูในเรื่องที่ไม่เข้าใจหรือไม่แน่ใจในเนื้อหา เป็นผลให้เกิดการปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูและนักเรียนมากขึ้น ผลการศึกษาความพึงพอใจในการเรียนของนักศึกษาที่เรียนในรายวิชาวิทยาศาสตร์งานธุรกิจและ บริการ ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุก (active learning) ด้วยโปรแกรม Classpoint บน Powerpoint อยู่ในระดับมาก เนื่องจากการจัดการเรียนแบบเชิงรุก(active learning) เป็นเทคนิคที่หลากหลาย ซึ่ง สอดคล้อง กับหลักการเรียนที่ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติการหรือคิดอย่างตื่นตัว (ตื่นตา ตื่นใจ ตื่นเต้น) นอกจากนี้
37 ยังกล่าวถึงลักษณะสำคัญของการจดัการเรียนแบบเชิงรุกไว้ว่า “active learning (การเรียนอย่างมีชีวิตชีวา , ตื่นตัว, ตื่นตา , ตื่นใจ) พนมพร เผ่าเจริญ (2549 :11) และ สอดคล้องกับหลักการเรียนแบบร่วมมือที่ว่าการ เรียนแบบร่วมมือเป็นวิธีที่ผู้เรียนทำการแก้ปัญหา ร่วมกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ สมาชิกทุกคนในกลุ่มมีความสำคัญต่อ ความสำเร็จหรือความล้มเหลวของกลุ่ม เพื่อบรรลุเป้าหมายสมาชิกทุกคนจึงช่วยเหลือซึ่งกันและกันให้เกิดการ เรียนรู้และแก้ปัญหาครูไม่ใช่เป็นแหล่งความรู้ที่คอยป้อนแก่นักเรียน แต่จะมีบทบาทเป็นผู้คอยให้ความ ช่วยเหลือจัดหาและชี้แนะ แหล่งข้อมูลในการเรียนตัวนักเรียนเองจะเป็นแหล่งความรู้ซึ่งกันและกันใน กระบวนการเรียนรู้(อาร์ซท และนิวแมน Artzt and Newman. 1990 : 448 – 449) ข้อเสนอแนะ จากผลการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้พบข้อเสนอแนะและเป็นแนวทางในการวิจัยครั้งต่อไป ดังนี้ ข้อเสนอแนะที่ได้จากการวิจัย 1. จากผลการวิจัยพบว่าเรื่องผลการจัดการเรียนแบบเชิงรุก (active learning) ด้วยโปรแกรม Classpoint บน Powerpoint ในรายวิชาวิทยาศาสตร์งานธุรกิจและบริการ เรื่องการอนุรักษ์พลังงานและ สิ่งแวดล้อม หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ดังนั้นจึงควรนำการเรียนด้วยโปรแกรม Classpoint บน Powerpoint สำหรับครูโดยใช้กิจกรรม การเรียนรู้แบบเชิงรุก ไปใช้ในการพัฒนาผลการเรียนรู้ของผู้เรียนให้ดีขึ้นได้ 2. ในการจัดการเรียนด้วยโปรแกรม Classpoint บน Powerpoint สำหรับครูโดยใช้กิจกรรมการ เรียนรู้แบบเชิงรุก ครูควรจัด เวลาให้มีการยืดหยุ่นและเหมาะสม โดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลใน ด้านความรู้พื้นฐาน เนื่องจาก ผู้เรียนมีความสามารถในการเรียนรู้แตกต่างกัน เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการทำ ความเข้าใจในเนื้อหาของนักเรียน มากขึ้น 3. ในการใช้โปรแกรม Classpoint บน Powerpoint สำหรับครูโดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบเชิง รุก สำหรับครูผู้สอน สอนสำหรับครูจะเป็นโปรแกรมการสอนประกอบการบรรยาย ซึ่งจะช่วยให้ครูทำการ สอนแบบบรรยายได้อย่างมี ประสิทธิภาพ โดยต้องมีความชัดเจนของเนื้อหา ความชัดเจนของภาษาในการ ส่งความรู้ บรรยากาศที่ดีในการเรียนวิธีการถ่ายทอดความรู้และมีการใช้สื่อการสอนช่วยในการถ่ายทอดเนื้อหา สาระแก่ผู้เรียนได้อย่าง ชัดเจน เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในการเรียนมากยิ่งขึ้น มีส่วน ร่วมในการอภิปราย สรุปผล โดยครูผู้สอนนั้นมีบทบาทในการนำเข้าสู่บทเรียนและการดำเนินกิจกรรมการ เรียนแต่ละขั้นตอน และชี้แนะให้ คำปรึกษาเท่านั้น ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป 1. ควรมีการวิจัยและพัฒนาโปรแกรม Classpoint บน Powerpoint สำหรับครูโดยใช้กิจกรรมการ เรียนรู้แบบเชิงรุก วิชาวิทยาศาสตร์งานธุรกิจและบริการ เนื้อหาเรื่องอื่นๆต่อไป 2. ควรมีการวิจัยและพัฒนาโปรแกรม Classpoint บน Powerpoint สำหรับครูกับรูปแบบการจัด กิจกรรมการเรียนการสอน แบบอื่นๆ เช่น รูปแบบการเรียนการสอนของการเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐาน รูปแบบการเรียนการสอนกระบวนการสืบ สอบและแสวงหาความรู้เป็นกลุ่ม เป็นต้น
31 เอกสารอ้างอิง กรรณิการ์ ปัญญาดี. 2558. ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุกออนไลน์ เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียน วิชาคอมพิวเตอร์ 3 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2. วิทยานิพนธ์ : มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี จิรภา อรรถพร. 2557. การพัฒนารูปแบบการสอนเชิงรุกออนไลน์เพื่อส่งเสริมพฤติกรรมการเรียนรู้. วิทยานิพนธ์ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชาตรี ฝ่ายคำตา. (2559). การวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนวิทยาศาสตร์. กรุงเทพฯ: พัฒนาคุณภาพ วิชาการ (พว.). ฟาตีฮะห์ อุตส่าห์ราชการ. 2558. รูปแบบการเรียนการสอนแบบ Active learning เพื่อพัฒนา แนวคิดเชิงวิทยาศาสตร์ เรื่อง คลื่นไหวสะเทือน. ชลบุรี : มหาวิทยาลัยบูรพา สุคนธ์ สินธพานนท์. (2558). การจัดการเรียนรู้ของครูยุคใหม่..เพื่อพัฒนาทักษะของผู้เรียนในศตวรรษ ที่ 21. กรุงเทพฯ: ห้างหุ้นส่วนจ ากัด 9119 เทคนิคพริ้นติ้ง. สุวัฒน์ นิยมค้า. (2531). ทฤษฎีและทางปฏิบัติในการสอนวิทยาศาสตร์แบบสืบเสาะหาความรู้ เล่ม1. กรุงเทพฯ: เจเนอรัลบุ๊คส์ เซ็นเตอร์. อาซิ ดราแม. (2558). ผลของการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับวิธีแก้ โจทย์ ปัญหาของโพลยา ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนฟิสิกส์และความสามารถในการแก้ โจทย์ ปัญหาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6. (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์). ธวัชชัย คงนุ่ม. (2550). ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและมโนมติในวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง พลังงานขอ นักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ตามแนววงจรการเรียนรู้. วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต. (วิทยาศาสตร์ศึกษา). เชียงใหม่: มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. พวงพิศ ศิริพรหม. (2551). การพัฒนาชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์โดยใช้วิธีการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ ร่วมกับการเขียนผังมโนมติเพื่อพัฒนาความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต. (สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน). สงขลา: มหาวิทยาลัยทักษิณ. สุวพร พาวินิจ. (2555). การพัฒนาชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ สาระที่ 3 สารและสมบัติของสาร โดยใช้ กระบวนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้และแผนผังมโนทัศน์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 1. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑติ. (สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน). สกลนคร: มหาวิทยาลัย ราชภัฏ สกลนคร.
38 ภาคผนวก
39 ภาคผนวก ก แผนการสอน และสื่อประกอบการสอน
40 สแกน QR Cord แผนการสอนหน่วยที่ 4 การอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม สื่อการสอนด้วยโปรแกรม Classpoint บน pawerpoint
41 ภาคผนวก ข ภาพประกอบการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน