The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ลูก กลอน, 2023-03-18 11:51:40

4F82626A-32FA-4C3F-B6F6-0DC7DF65FDB5

4F82626A-32FA-4C3F-B6F6-0DC7DF65FDB5

จิตวิทยาสำ หรับครู 600-106


คำ นำ หนังสือ E-Book เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาจิตวิทยาสำ หรับครู 600-106 จัดทำ ขึ้นเพื่อให้ นักศึกษา ค้นคว้าหาความรู้ในหัวข้อ ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับจิตวิทยาสำ หรับครู ปัจจัยที่มีผลต่อ พฤติกรรมมนุษย์ พัฒนาการเรียนรู้ ความจำ ของมนุษย์ การคิดและเชาปัญญา การรับรู้ การเรียนรู้ การศึกษาเป็นรายกรณี การแนะแนวและการให้คำ ปรึกษา ปรัชญาแนวคิดทฤษฏีทางจิตวิทยา ปัจจัยที่ส่งผลต่อการรับรู้ การนำ จิตวิทยาไปพัฒนาสำ หรับการเป็นครู ทางผู้จัดทำ หวังว่าจะเกิดประโยชน์สุงสุดกับผู้ที่ได้ศึกษา หนังสือ E-Book เล่มนี้หากมีมีข้อ ผิดพลาดประการใดทางผู้จัดทำ ขออภัยมา ณ ที่นี้ ก


17 29 37 41 สารบัญ บั ความจำ ของมนุษนุย์ การคิดและเชาปัญญา การรับรัรู้ การเรียรีนรู้ การแนะแนวและการให้คำห้ คำ ปรึกรึษา ปรัชรัญาแนวคิดทฤษฏีทางจิตจิวิทวิยา ปัจจัยจัที่ส่งส่ผลต่อการรับรัรู้ การนำ จิตจิวิทวิยาไปพัฒพันาสำ หรับรัการเป็นป็ครู 13 21 25 33 การศึกษาเป็นป็รายกรณี 44 09 05 01 พัฒพันาการเรียรีนรู้ ปัจจัยจัที่มีผมีลต่อพฤติกรรมมนุษนุย์ ความรู้เรู้บื้อบื้งต้นเกี่ยวกับจิตจิวิทวิยาสำ หรับรัครู ข


บทที่1 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ จิตวิทยาสำ หรับครู 1


ความหมาย จิตวิทยาการศึกษา มีความสำ คัญต่อวิชาชีพครู เพื่อส่ง เสริมและสนับสนุนการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับความต้องการ ความสนใจ ความถนัด วิธีการเรียนรู้ และพัฒนาการตามวัย ของผู้เรียน การจัดบริการแนะแนวในสถานศึกษา การให้คำ ปรึกษาเพื่อช่วยเหลือผู้เรียนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและเพื่อ สนับสนุนการเรียนรู้ของผู้เรียนให้เต็มศักยภาพ จิตวิทยาสาหรับครู จิตวิทยา + ครู ครู หมายถึงผู้สั่งสอนศิษย์ หรือ ผู้ถ่ายทอดความรู้ให้แก่ศิษย์ซึ่งมีผู้กล่าว ว่ามาจากคำ ว่า ครุ(คะ-รุ)ที่แปลว่า “ หนัก" วิธีการศึกษาทางจิตวิทยา • วิธีการสังเกต • วิธีการสัมภาษณ์ • วิธีการสำ รวจ • วิธีการทดสอบ • วิธีการทางวิทยาศาสตร์ 2


1.ช่วยให้ครูเข้าใจธรรมชาติ ความเจริญเติบโตของเด็ก 2.ช่วยให้ครูสามารถเตรียมบทเรียน วิธีสอน จัดกิจกรรม ตลอดจนใช้วิธีการวัด และประเมินผล 3.ช่วยให้ครูสามารถจัดกิจกรรม และให้การยอมรับซึ่งกันและกัน 4.ช่วยสร้างสัมพันธภาพที่ดีระหว่างครู ผู้ปกครองและเด็ก 5.ช่วยให้ครูป้องกันและหาทางแก้ไข ตลอดจนพัฒนาบุคลิกภาพของเด็กได้ อย่างเหมาะสม 6.ช่วยให้ผู้บริหารการศึกษาวางแนวทางการศึกษา จัดหลักสูตร อุปกรณ์การ สอน 7.ช่วยให้ผู้เรียนเข้ากับสังคมได้ดี ปรับตัวเข้ากับผู้อื่นได้ดีประโยชน์ของ จิตวิทยาการศึกษา 1. จิตวิทยาช่วยให้ผู้ศึกษาเกิดความเข้าใจตนเอง 2. จิตวิทยาช่วยให้ผู้ศึกษาเกิดความเข้าใจผู้อื่น 3. จิตวิทยาช่วยให้ได้แนวทางในการวางกฎเกณฑ์ทาง สังคม เช่น กฎหมายบ้านเมือง 4. จิตวิทยาช่วยบรรเทาปัญหาพฤติกรรม และปัญหาสังคม 5. จิตวิทยาช่วยส่งเสริมพัฒนาคุณภาพชีวิต ความสำ คัญของจิตวิทยา ประโยชน์ของจิตวิทยาการศึกษา 3


1.จิตวิทยาทั่วไป การรับรู้ การเรียนรู้ อารมณ์ ความรู้สึก สติปัญญา ประสาทสัมผัส เป็นต้น 2.จิตวิทยาพัฒนาการ ศึกษาเกี่ยวกับลำ ดับขั้นตอนของพัฒนาการ เจริญเติบโตในแต่ละวัยต่างๆ 3.จิตวิทยาสังคมศึกษาเกี่ยวกับบทบาทความสัมพันธ์และพฤติกรรม ของบุคคล 4.จิตวิทยาการทดลองศึกษาเกี่ยวกับระบบประสาทและพฤติกรรม ของมนุษย์และสัตว์ในห้องทดลอง 5.จิตวิทยาการแนะแนวนักจิตวิทยาแนะแนวทำ หน้าที่ให้คำ แนะนำ ปัญหาการเรียน และปัญหาส่วนตัวอื่นๆ 6.จิตวิทยาคลีนิค นักจิตวิทยาคลินิกทำ งานในโรงพยาบาลที่มีคนไข้ โรคจิต 7.จิตวิทยาประยุกต์ในสาขาวิชาชีพต่างๆ เช่น ธุรกิจอุตสาหกรรม การแพทย์ การทหาร เป็นต้น 8.จิตวิทยาอุตสาหกรรม ศึกษาเกี่ยวกับประสิทธิภาพในการทำ งาน 9.จิตวิทยาการศึกษา ศึกษาสิ่งที่เกี่ยวกับงานด้านการเรียนการสอน 10.จิตวิทยาการทดลอง มีการศึกษาโดยการทดลองกับมนุษย์และ สัตว์ทั้ง ขอบข่ายของจิตวิทยาการศึกษา 4


บทที่2 ปัจจัยที่มีผลต่อ พฤติกรรมมนุษย์ 5


ปัจจัยสำ คัญอีกปัจจัยหนึ่งซึ่งมี อิทธิพลต่อพฤติกรรมมนุษย์ ได้แก่ ปัจจัยทางจิตวิทยา ซึ่งมีปัจจัยย่อยอยู่ หลายปัจจัย ปัจจัยทางจิตวิทยา จะทำ หน้าที่ เป็นสื่อกลางในการรับรู้และ ตีความสิ่งเร้าก่อนที่ร่างกายจะแสดง พฤติกรรมต่าง ๆ ความหมาย จุดมุ่งหมายของการศึกษาพฤติกรรมมนุษย์ 1. การอธิบาย หมายถึง การนำ ข้อมูลเชิงประจักษ์ของพฤติกรรม ที่ศึกษามาจัดระบบ 2. การทำ นาย หมายถึง การนำ สาเหตุของพฤติกรรมที่ได้จากขั้น การอธิบายไป วิเคราะห์และจัดลำ ดับความสำ คัญของสาเหตุ 3. การควบคุม หมายถึง การนำ ตัวแปรสาเหตุและตัวแปรผล ความสำ คัญของการศึกษาพฤติกรรม 1. ความรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมช่วยให้ผู้ศึกษาเกิด ความเข้าใจตนเอง 2. ความรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมช่วยให้ผู้ศึกษาเกิด ความเข้าใจผู้อื่น 3. ความรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมช่วยบรรเทาปัญหา สังคม 4. ความรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมช่วยเสริมสร้างพัฒนา คุณภาพชีวิต 6


ทฤษฎีสัญชาติญาน สัญชาติญาน เป็น พฤติกรรมที่มนุษย์ แสดงออก โดยอัตโนมัติ ตามธรรมชาติ ของชีวิต เป็นความพร้อม ที่จะ ทำ พฤติกรรม ได้ในทันที เมื่อปรากฎ สิ่งเร้า เฉพาะต่อ พฤติกรรมนั้น ทฤษฎีแรงจูงใจ นักจิตวิทยาได้ พัฒนาทฤษฎีเพื่ออธิบาย ถึงแรงจูงใจของมนุษย์ เพื่อตอบคำ ถามเกี่ยวกับ พฤติกรรมที่ปรากฏ ทฤษฎีแรงขับ แรงขับ เป็นกลไก ภายในที่รักษาระบบทางสรีระ แรงขับเป็น สภาวะตื่นตัว ที่ พร้อมจะทำ อย่างใดอย่างหนึ่ง ให้กลับคืนสู่สภาพสมดุลเพื่อ ลดแรงขับนั้น ทฤษฎีการตื่นตัว มนุษย์ถูกจูงใจให้ กระทำ พฤติกรรมบางอย่าง เพื่อ รักษาระดับการตื่นตัวที่พอ เหมาะ เมื่อมีระดับการตื่นตัว ต่ำ ลง ก็จะถูกกระตุ้นให้เพิ่ม ขึ้น และเมื่อการตื่นตัวมีระดับ สูงเกินไปก็จะถูกดึงให้ลดลง ทฤษฎีสิ่งจูงใจ ปัจจัยภายนอกหรือสิ่ง แวดล้อมที่จูงใจจะดึงดูดให้คน มุ่งไปหาสิ่งนั้น มนุษย์กระทำ กิจกรรมต่าง ๆ เพื่อแสวงหาสิ่ง ที่พอใจ -ประเภทและปัจจัยแรงผลักดันจากภายในที่ทำ ให้ให้มนุษย์ เกิดพฤติกรรมตอบสนองอย่าง มีทิศทางและ เป้าหมาย -ปัจจัยทางชีวภาพ ได้แก่ ความต้องการจำ เป็นของชีวิต -ปัจจัยทางอารมณ์ เช่น ความตื่นเต้น วิตกกังวล กลัว โกรธ รัก เกลียด และความรู้สึกอื่นๆ -ปัจจัยทางความคิด เป็นปัจจัยที่กำ หนดให้บุคคลกระทำ ในเรื่อง ที่คิดว่า เหมาะสมและเป็นไปได้ -ปัจจัยทางสังคม เป็นปัจจัยที่กำ หนดพฤติกรรมของมนุษย์ เพื่อให้สอดคล้องกับสังคม และเป็นที่ยอมรับ แรงจูงใจ 7


การเรียนรู้ เป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และ การปรับพฤติกรรมของมนุษย์ ที่เกิดขึ้นจาก ประสบการณ์ หรือมี ปฏิสัมพันธ์ กับ สิ่งแวดล้อม พฤติกรรมการเรียนรู้เกิดขึ้นเมื่อพฤติกรรม มี ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้า กับการ ตอบสนองต่อสิ่งเร้า การวางเงื่อนไขแบบคลาสสิกของ พาฟลอฟ แนวคิดนี้เชื่อว่า มนุษย์ถูกวางเงื่อนไขเพื่อให้แสดง พฤติกรรมตอบสนองต่อสิ่งเร้าได้ ตามรูปอยู่ตลอดเวลา เงื่อนไข จะถูกวาง ในขณะที่มีสิ่งเร้าอื่น การวางเงื่อนไขปฎิบัติการของ สกินเนอร์ การวางเงื่อนไขอีกลักษณะหนึ่ง เป็นการวางเงื่อนไขที่เกิดจากแรงขับ ที่ทำ ให้อินทรีย์ ปฏิบัติ การ เป็นการเกิด พฤติกรรม การเรียนรู้ด้วยการหยั่งเห็น การหยั่งเห็น เป็น พฤติกรรมที่เกิดขึ้นในสัตว์ชั้นสูง เนื่องจากมี ความซับ ซ้อนในด้านการคิด และ การแก้ปัญหาเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ต้องการ การเรียนรู้ทางสังคม การเรียนรู้ทางสังคม เป็นรูปแบบการเรียนรู้ที่กล่าวว่า พฤติกรรมของคนเราส่วนใหญ่ เกิดจาก การสังเกตตัวแบบแล้วลอกเลียนพฤติกรรม ของตัวแบบ 8


บทที่3 พัฒนาการเรียนรู้ 9


ความสำ คัญของการเรียนรู้ การเรียนรู้มีความสำ คัญสำ หรับมนุษย์ทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย ทุกชาติ ทุกศาสนาและทุก วงการ อาชีพ ความสำ เร็จในการพัฒนาตน สังคมและมวลมนุษยโลก ทั้งในการดำ รง ชีวิต การทำ งาน และ การอยู่ร่วมกันอย่าง ราบรื่นและสันติสุข พัฒนาการเรียนรู้ คือ กระบวนการในการ ค้นหาความรู้ความจริงอย่างมีระบบ ที่มุ่งนำ ผลวิจัยไปใช้เพื่อพัฒนาหรือแก้ปัญหาการ จัดกระบวนการเรียนรู้ ให้ผู้เรียนเกิดการ เรียนรู้สูงสุดตามศักยภาพของแต่ละบุคคล โดยมีครูเป็นผู้ทำ วิจัยและเป็นผู้นำ ผลการ วิจัยของตนเองไปใช้ ความหมาย เป้าหมายของการเรียนรู้ เป้าหมายของการเรียนรู้ในการ เรียนรู้ หมายถึง การกำ หนดจุด หมายปลายทางของผู้เรียนว่า จะ ต้องบรรลุถึงจุดหมายปลายทาง มี เป้าหมาย 3 ด้าน 1. ความรู้ (Knowledge) 2. ทักษะ (Skill) 3. เจตคติ (Attitude) 10


พัฒนาการของวัยรุ่น สำ หรับวัยรุ่นแล้ว การมีกลุ่มเพื่อน และได้รับการยอมรับจากเพื่อนนี้เป็น เรื่องที่สำ คัญมากเป็นอันดับต้น ๆ วัย รุ่นจะใช้เวลาอยู่กับเพื่อนมากกว่าพ่อ แม่เสียอีก แม้เมื่อกลับบ้านแล้ว ก็ยัง แชทคุยกับเพื่อนอยู่ตลอด พัฒนาการวัยผู้ใหญ่ นักจิตวิทยาพัฒนาการแบ่งพัฒนาการช่วงวัยผู้ใหญ่ออกเป็น 3 ช่วง ใหญ่ ๆ คือ ผู้ใหญ่ตอนต้น ผู้ใหญ่ตอนกลาง และผู้ใหญ่ตอนปลาย ช่วงผู้ใหญ่ตอนต้น ถือเป็นก้าวแรก ของเราในการมีหน้าที่รับผิดชอบของ ตนเอง มีรายได้เป็นของตนเอง มีหน้าที่การงานหรืออาชีพที่แน่นอน หรือเริ่มใช้ชีวิตคู่ มีครอบครัวมีลูก พอมาถึงวัยผู้ใหญ่ตอนกลาง ก็จะเริ่ม มีลูกโตขึ้น เรียนมัธยมหรือเข้า มหาวิทยาลัยแล้ว ส่วนหน้าที่การงานก็ จะเริ่มมั่นคงอยู่ตัว ได้เป็นหัวหน้างาน ที่มีความรับผิดชอบสูงขึ้น ส่วนใหญ่ มีหน้าที่เป็นผู้ตัดสินใจเรื่องสำ คัญ ๆ มาถึงวัยหลังเกษียณที่มักจะกำ หนด ด้วยอายุ 60 ปี ก็จะถือว่าเป็นวัย ผู้ใหญ่ตอนปลาย เป็นวัยที่หลาย ๆ คน มักเชื่อมโยงคนวัยนี้เข้ากับความ เชื่องช้า ความเสื่อมถอย แต่แท้จริง แล้ว มีงานวิจัยที่พบว่า ผู้สูงวัยแต่ละ คน มีระดับความเสื่อมถอยช้าเร็วแตก ต่างกันอย่างมาก ขึ้นอยู่กับการดูแล รักษาสุขภาพและการออกกำ ลังกายที่ สะสมมา พัฒนาการของเด็กวัยเรียน พัฒนาการของเด็กวัยเรียนที่สำ คัญ ประการหนึ่งคือ การปรับตัวให้เข้ากับ สังคมนอกบ้าน การพิสูจน์ตนเองให้ พ่อแม่เห็นว่าตนสามารถทำ สิ่งต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง และการพยายาม ทำ ความรู้จักกับตนเอง ว่าตนเองถนัด อะไร 11


ทฤษฎีการเรียนรู้ ทฤษฎีการเรียนรู้ หมายถึง คำ อธิบายแนว ความคิดที่ได้จากการค้นพบว่า คนเราเกิด เรียนรู้ได้อย่างไร มีปัจจัยอะไรบ้างที่ เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ ทำ อย่างไรจึงจะช่วย ให้เกิดการเรียนรู้ได้ดีที่สุด หลักการเรียนรู้ของพัฟลัฟ การเรียนรู้ เกิดจากการที่อินทรีย์ได้ตอบสนองต่อสิ่งเร้าได้ หลาย ๆ ชนิด เงื่อนไขที่แน่นแฟ้นเพียงพอ สิ่งเร้าและการ ตอบสนอง แบ่งเป็น 1) สิ่งเร้าที่ไม่ได้วางเงื่อนไขได้แก่ ผงเนื้อ 2) สิ่งเร้าที่วางเงื่อนไข ได้แก่ เสียงกระดิ่ง 3 ) การตอบสนองที่ไม่ได้เกิดจากการวางเงื่อนไข เป็นไป แบบอัตโนมัติ ได้แก่ น้ำ ลายไหลเมื่อเห็นผงเนื้อ 4) การตอบสนองที่เกิดจากการวางเงื่อนไข หลักการเรียนรู้ของวัตสัน การเรียนรู้เกิดจากการวางเงื่อนไขเช่นเดียวกับการทดลองของ พัฟลัฟ แต่เป็น การตอบสนองด้านอารมณ์ ผลการวาง เงื่อนไขอาจทำ ให้เกิดพฤติกรรมการหดหาย การฟื้นตัว การ แผ่ขยายและการจำ แนก สิ่งเร้าและการตอบสนอง แบ่งเป็น 1. สิ่งเร้าที่ไม่ได้วางเงื่อนไข ได้แก่ เสียงดัง 2. สิ่งเร้าที่วางเงื่อนไข ได้แก่ หนูขาว 3. การตอบสนองที่ไม่ได้เกิดจากการวางเงื่อนไข เป็นไป แบบอัตโนมัติ ได้แก่ กลัว ร้องไห้เมื่อได้ยินเสียงดัง 4. การตอบสนองที่เกิดจากการวางเงื่อนไข (ได้แก่ กลัวและ ร้องไห้เมื่อเห็นหนูขาว 12


บทที่ 4 ความจำ ของมนุษย์ 13


ความหมาย เป็นกระบวนการที่ข้อมูลต่าง ๆ รับการ เข้ารหัส การเก็บไว้ และการค้นคืน เนื่องจากว่า ในระยะแรกนี้ ข้อมูลจาก โลกภายนอกมากระทบกับประสาท สัมผัสต่าง ๆ (มีตาเป็นต้น)เพื่อที่ จะบันทึกข้อมูลไว้ในความจำ ได้ ระยะที่ สองเป็นการเก็บข้อมูลนั้นไว้ ในสภาวะ ที่สามารถจะรักษาไว้ได้เป็นระยะเวลา หนึ่ง ส่วนระยะสุดท้ายเป็นการค้นคืน ข้อมูลที่ได้เก็บเอาไว้ มุมมองเกี่ยวกับกระบวนการประมวลข้อมูล มี ระยะ 3 ระยะในการสร้างและค้นคืนความจำ คือ 1.การเข้ารหัส เป็นการรับ การแปลผลและการรวบรวม ข้อมูลที่ได้รับ 2.การเก็บ เป็นการบันทึกข้อมูลที่ได้เข้ารหัสแล้วอย่าง ถาวร 3.การค้นคืน หรือ การระลึกถึง เป็นการระลึกถึงข้อมูลที่ ได้บันทึกไว้แล้วโดยเป็นกระบวนการตอบสนองต่อตัวช่วย เพื่อใช้ในพฤติกรรมหรือกิจกรรมอะไรบางอย่าง การสูญเสียความจำ เรียกว่าเป็นความหลงลืม หรือถ้าเป็น โรคทางการแพทย์ ก็จะเรียกว่า ภาวะเสียความจำ โครงสร้างและกระบวนความจํา โครงสร้างของความจํามี 3 หน่วย คือ 1. ความจําการรู้สึกสัมผัส 2. ความจําระยะสั้น 3. ความจําระยะยาว 14


2. การระลึก การระลึกต่างจากการจําได้ตรงที่ในการ ระลึกนั้น ผู้ระลึกจะต้องสร้างเหตุการณ์ต่าง ๆ จากการจํา 2.1 การระลึกเสรี เป็นการระลึกสิ่งเร้าใด ๆ ที่ได้จํา ก่อนหรือหลังก็ได้ โดยไม่ต้องเรียงตามลําดับ 2.1การระลึกตามลําดับ เป็นการระลึกสิ่งเร้าตามลํา ดับที่ ซึ่ง มีทั้งการระลึกตามลําดับจากหน้าไปหลัง 2.3การระลึกตามตัวแนะ เป็นการระลึกสิ่งเร้าใน ลักษณะของคู่ สัมพันธ์ คือจะกําหนดคู่สัมพันธ์ที่ ประกอบด้วยตัวแนะหรือที่เรียกว่าตัวเร้าและตัวสนอง 3. การเรียนซ้ํา หมายถึง การทําซ้ํา ๆ หรือ การเสนอสิ่งเร้าซ้ํา ๆ ในการเรียนรู้การเรียน แบบนี้มักใช้วัดด้วยเวลาหรือจํานวนครั้งที่ใช้ ในการเรียนซ้ําครั้งที่ 2 และที่ใช้ในการ เรียนครั้งแรก การวัดความจํา การวัดความจํานิยมวัดกันอยู่ 2 แบบ คือ 1. แบบจําทันทีทันใด 2. แบบจําทิ้งช่วง 1. การจําได้ในการวัดความจําด้วยวิธีนี้เราต้องแสดง สิ่งของหรือเหตุการณ์ ซึ่งเป็นสิ่งเร้าที่เคยประสบมา แล้วในอดีต 1.1 แบบจํา – สอบ เป็นการเสนอสิ่งเร้าโดยการ อ่านหรือให้ดูทีละคํา โดยใช้คําละ 4 – 5 วินาที 1.2 แบบจําตอเนื่อง เป็นการเสนอ สิ่งเร้า ที่มีทั้งสิ่ง เก่าและสิ่งใหม่ วิธีการทดสอบ 15


การสร้างความจำ เมื่อเหตุการณ์ใหม่ ๆ เข้าไปในความจำ ระยะยาว การจำ เหตุการณ์เก่า ๆ อาจมี การเปลี่ยนแปลง สูญหาย หรือรับปรุง ใหม่ขึ้นอยู่กับ ข้อมูลใหม่ ที่ได้รับ การนำ ข้อมูลใหม่นี้มาเปลี่ยนข้อมูลเดิมเป็นการ สร้างความจำ ขึ้นมา ทฤษฎีเกี่ยวกับความ สามารถด้านความจํา ทฤษฎีความจําสองกระบวนการ ทฤษฎีนี้สร้างขึ้นโดย แอตคินสัน และชิฟฟริน กล่าวถึง ความจําระยะสั้นหรือความจําทันทีทันใดและความจําระยะ ยาวว่า ความจําระยะสั้นเป็น ความจําชั่วคราว สิ่งใดก็ตามถ้า อยู่ในความจําระยะสั้นจะต้องได้รับการทบทวนอยู่ตลอด และถ้าสิ่งใดอยู่ในความจํา ระยะสั้นเป็นระยะเวลายิ่งนาน สิ่งนั้นก็มีโอกาสฝังตัวในความจําระยะยาว ทฤษฎีการสลายตัว เป็นทฤษฎีการลืม กล่าวว่า การลืมเกิด ขึ้นเพราะการละเลยในการทบทวน หรือ ไม่นําสิ่งที่จะจําไว้ ออกมาใช้เป็นประจํา การละเลยจะ ทําให้ ความจําค่อย ๆ สลายตัวไปเองในที่สุด ทฤษฎีการสลายตัวนี้น่าจะเป็นจริงใน ความจํา ระยะสั้น ทฤษฎีการรบกวน เป็นทฤษฎีเกี่ยวกับการลืมที่ยอมรับ กัน ในปัจจุบันทฤษฎีหนึ่ง ทฤษฎีนี้ขัดแย้ง กับทฤษฎีการสลายตัว โดยกล่าวว่าเวลา เพียงอย่าง เดียวไม่สามารถทําให้เกิดการ ลืมได้แต่สิ่งที่เกิดในช่วงดังกล่าวจะเป็น สิ่งคอยรบกวนสิ่งอื่น ๆ ในการจํา ทฤษฎีการจัดกระบวนการตามระดับ ความลึก ทฤษฎีนี้สร้างขึ้นโดย เครก และลอกฮาร์ท ซึ่ง ขัดแย้งกับความคิดของ แอตคินสัน และชิฟฟ ริน ที่กล่าวว่า ความจํามีโครงสร้างและตัวแปร สําคัญของความจําในความจําระยะยาวก็คือ ความยาวนานของเวลาที่ทบทวนสิ่งที่จะจําใน ความจําระยะสั้นแต่เครก และลอกฮาร์ท มี ความคิดว่า ความจําไม่มีโครงสร้างและความจํา ที่ เพิ่มขึ้นไม่ได้เกิดขึ้นเพราะมีเวลาทบทวนใน ความจําระยะสั้นนาน แต่เกิดขึ้นเพราะความ ซับ ซ้อนของการเข้ารหัสที่ซับซ้อน 16


บทที่5 การคิดและเชาว์ปัญญา 17


ความหมาย ความสามารถของบุคคลในการเรียนรู้ การ ปรับตัวต่อปัญหาอย่างเหมาะสมและความ สามารถในอันที่จะทำ กิจกรรมต่างๆได้อย่างมี จุดมุ่งหมายและมีคุณค่าทางสังคม เชาวน์ปัญญามนุษย์มี 8 ด้าน 1. ปัญญาด้านภาษา บุคคลผู้มีความสามารถด้านนี้ จะไวกับความหมายของคำ เล่นคำ มีความสามารถ ใช้ภาษาได้อย่างถูกต้อง 2. ปัญญาด้านการใช้เหตุผลเชิงตรรกะและ คณิตศาสตร์ ผู้มีปัญญาด้านนี้สูง จะสามารถจัด เก็บ ตัวแปรหลาย ๆ ตัวแปรและสร้างสมมุติฐาน ได้มากมาย 3. ปัญญาทางด้านมิติสัมพันธ์ ปัญญาด้านนี้เป็น ความสามารถที่จะเข้าใจโลกที่เรามองเห็นอยู่ได้ อย่างถูกต้อง 4. ปัญญาทางด้านการเคลื่อนไหวร่างกายและ กล้ามเนื้อ ผู้มีปัญญาด้านนี้สูงจะค้นพบความ สามารถของตน ทันทีที่เข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่ เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวนั้น ๆ 5. ปัญญาทางด้านดนตรี คนทุกคนล้วนมีความ สามารถทางดนตรีในระดับหนึ่ง ทุกคนสามารถ สนุกไปกับเสียงดนตรี ได้แก่ จังหวะ ท่วงทำ นอง ระดับเสียง 6. ปัญญาทางด้านการเข้ากับผู้อื่น ปัญญาด้านนี้ เป็นความสามารถที่จะมองไปที่ผู้อื่นหรือบุคคลที่ อยู่ภายนอก 7. ปัญญาทางด้านการเข้าใจตนเอง ปัญญาด้านนี้ คือการเข้าใจความรู้สึกของตนเองทุกแง่ทุกมุม 8. ปัญญาทางด้านความเข้าใจธรรมชาติ ปัญญา ด้านนี้เป็นการปรับตัวเพื่อความอยู่รอดในสภาพ แวดล้อม 18


องค์ประกอบ หลายอย่าง เช่น พัฒนาการของเชาวน์ปัญญา เชาวน์ปัญญาเป็นสิ่งที่บุคคลแต่ละคนมีติดตัวมาแต่กำ เนิดและพัฒนาสมบูรณ์ยิ่งขึ้นตามระดับอายุและสิ่ง แวดล้อมเชาวน์ปัญญาของแต่ละคนจะมีลักษณะที่สูงต่ำ ไม่เท่ากัน 1. พันธุ์กรรม พันธุ์กรรมที่ได้รับการ ถ่ายทอดสืบต่อมาจากพ่อแม่ 2. ความสมบูรณ์ของสมอง และระบบประสาท 3. สิ่งแวดล้อม สิ่ง แวดล้อมที่ช่วยกระตุ้น และส่งเสริมให้บุคคล ได้มีโอกาสเรียนรู้ 4. อายุ ระดับอายุที่ พัฒนาการของเชาวน์ ปัญญาถึงขั้นสูงสุดคือ ระหว่างอายุ 15-25 ปี 5. เพศ เพศชายมักมีความสามารถทางด้านการ คำ นวณ ถนัดทางกลไกการกระทำ ที่ใช้ไหว พริบ และความรวดเร็วดีกว่าหญิง ส่วนเพศหญิง มักมีความคล่องแคล่วในการใช้มือ งานที่ต้อง ใช้ฝีมือ ลายละเอียด การใช้ภาษาความสามารถ ทางภาษา ความจำ 6. เชื้อชาติ เด็กลูกผสมมักจะมี เชาวน์ปัญญาสูงกว่าเด็กที่ ไม่ใช่ลูกผสม 7. ความผิดปกติทางสมอง ความผิดปกติทางสมองอาจมีผล ต่อการเสื่อมลงของเชาวน์ ปัญญา 19


ทฤษฎีที่ศึกษาเรื่องเชาวน์ปัญญา นักจิตวิทยา ที่ศึกษาในเร่ืองพัฒนาการทางเชาวน์ปัญญาที่สาคัญ คือ เพียเจท์ และ บรูนเนอร์ ซึ่งจะได้อธิบายรายละเอียดต่อไปนี้ บรูนเนอร์ ได้ศึกษาพัฒนาการทางเชาวน์ปัญญา และได้สรุป ลักษณะที่สาคัญ ดังนี้ พัฒนาการทางเชาวน์ปัญญา จะเพิ่มความอิสระต่อสิ่งเร้ามากขึ้น โดย ในวัยเด็กจะมีความสามารถใน การตอบสนองต่อสิ่งเร้าอย่างมีขีดจากัด กว่าในวัยผู้ใหญ่ 1.ทฤษฎีตัวประกอบพหุคูณ มี 7 ประการ 1. ความเข้าใจทางภาษา คือความเข้าใจในการอ่าน การ อุปมาอุปมัยทาง ภาษา คำ ศัพท์ เป็นต้น 2. ความสามารถในการใช้ตัวเลข ได้แก่ ความรวดเร็ว และ ความ แม่นยำ ในการคิด คำ นวณปัญหาทางคณิตศาสตร์ 3. ความสามารถในการรับรู้ ได้แก่ การรับรู้ได้อย่างรวดเร็ว การ มองเห็นสิ่งที่มีความระเอียดของสิ่งต่างๆ 4. ความสามารถทางมิติสัมพันธ์ ได้แก่ ความสามารถ ทางการเห็น ความสัมพันธ์ระหว่างภาพต่างๆ การเปลี่ยน ตำ แหน่ง, การเปลี่ยนรูป 5. ความสามารถทางการหาเหตุผล เช่น ใช้เหตุผลทาง ตรรกศาสตร์ การใช้วิจารณญาณ 6. ความสามารถทางการจำ คือ จำ สิ่งต่างๆได้นาน 7. ความคล่องในการใช้คำ คือ การใช้ภาษาได้ถูกต้อง สละ สลวย เหมาะกับเหตุการณ์ ทฤษฎีโครงสร้างทางเชาวน์ปัญญา มี 2 องค์ประกอบ 2.โครงสร้างเชาวน์ปัญญา 3 มิติ มิติที่ 1 ด้านเนื้อหา ซึ่งได้แก่ เรื่องราว สิ่งของ หรือเหตุการณ์ ที่ก่อให้เกิด ความคิดซึ่ง ประกอบด้วย ภาพ สัญลักษณ์ ภาษา พฤติกรรม มิติที่ 2 ด้านขบวนการคิด ซึ่งจะแบ่งออกเป็น ลำ ดับขั้น ดังนี้ การรับรู้ การจำ การคิดแบบ อเนกนัย มิติท่ี 3 ผลท่ีได้จากการคิด คือ การรวบรวม หลาย ๆ หน่วยเข้าเป็นประเภท ความสัมพันธ์ การจัดระบบ การรวบรวม เนื้อหาต่าง ๆ การแปลงรูป การเชื่อมโยงจากสิ่งหนึ่งไปสู่อีก สิ่งหนค่งการคาดคะเน 20


บทที่ 6 การรับรู้ 21


ความหมาย การที่มนุษย์นาข้อมูลที่ได้จากความรู้สึกสัมผัส ซึ่งเป็นข้อมูลดิบ จากประสาทสัมผัสทั้ง5 อัน ประกอบด้วย ตา หู จมูก ลิ้น และกาย สัมผัสมา จำ แนก แยกแยะ คัดเลือก วิเคราะห์ด้วย กระบวนการทางานของสมอง แล้วแปลสิ่งที่ได้ ออกเป็น สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มีความหมายเพื่อนำ ไป ใช้ในการเรียนรู้ต่อไป องค์ประกอบของการรับรู้ 1.สิ่งเร้าได้แก่วัตถุ แสง เสียง กลิ่น รสต่างๆ 2.อวัยวะรับสัมผัส ได้แก่ หู ตา จมูก ลิ้น ผิวหนัง ถ้าไม่สมบูรณ์จะทำ ให้สูญเสียการรับรู้ ได้ 3.ประสาทในการรับสัมผัสเป็นตัวกลางส่ง กระแสประสาทจากอวัยวะรับสัมผัสไปยังสมอง ส่วนกลาง เพื่อการแปลความต่อไป 4.ประสบการณ์เดิม การรู้จัก การจำ ได้ ทำ ให้ การรับรู้ได้ดีขึ้น 5.ค่านิยม ทัศนคติ 6.ความใส่ใจ ความตั้งใจ 7.สภาพจิตใจ อารมณ์ เช่น การคาดหวัง ความ ดีใจ เสียใจ 8.ความสามารถทางสติปัญญา ทำ ให้รับรู้ได้เร็ว 22


กระบวนการของการรับรู้ กระบวนการของการรับรู้จะต้องประกอบไปด้วยสิ่งเหล่านี้ 1. มีสิ่งเร้าที่จะรับเข้าสู่ร่างกายทางประสาทสัมผัสโดยผ่านอวัยวะรับสัมผัสทั้ง 5 2. ประสาทรับสัมผัส รับสิ่งเร้าเข้ามา ซึ่งประสาทสัมผัสและความรู้สึกสัมผัส เช่น หู ตา จมูก ลิ้น ผิวหนัง จะต้องสมบูรณ์พอที่จะสัมผัสสิ่งเร้านั้น และส่งต่อไปยังสมองเพื่อแปล ความหมาย 3. การแปลความหมายเกิดจากประสบการณ์เดิมหรือความรู้เดิมเกี่ยวกับสิ่งเร้าที่ได้ สัมผัสนั้น เกิดการตอบสนองต่อสิ่งเร้า เป็นพฤติกรรมต่างๆ ขึ้น ลักษณะสำ คัญของการรับรู้ ลักษณะที่สำ คัญของการรับรู้มี6ประการ คือ 1. ต้องมีพื้นฐานข้อมูลหรือความรู้ในเรื่องน้ันมาก่อน 2. จะต้องประกอบด้วยข้อวินิจฉัย 3. จะต้องมีความสามารถในการแยกแยะ 4. ลักษณะของการรับรู้จะต้องมีความสัมพันธ์เชื่อมโยง 5. กระบวนการของการรับรู้จะต้องอาศัยของการ ดัดแปลง 6. กระบวนการของการรับรู้มักจะเป็นไปโดยอัตโนมัติ 23


ปัจจัยกำ หนดการรับรู้ สิ่งเร้าอย่างเดียวกัน อาจจะทำ ให้คนสองคน สามารถรับรู้ ต่างกันได้ เช่น คนหนึ่งมองว่าคนอเมริกันน่ารัก แต่อีกคน มองว่า เป็นคนอเมริกัน เป็นชาติที่น่ารักน้อยหน่อยก็ได้ เพราะในใจเขาอาจชอบคนอังกฤษก็ได้ เลยชอบชาว อเมริกันน้อยกว่า ซึ่งก็แล้วแต่มุมมองของแต่ละคน แล้วแต่ การรับรู้ของแต่ละคน การที่มนุษย์สามารถรับรู้สิ่งต่าง ๆ ได้ ต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่าง และจะรับรู้ได้ดีมากน้อยเพียง ใด ขึ้นอยู่กับสิ่งที่มีอิทธิพลต่อ การรับรู้ เช่น ประสบการณ์ วัฒนธรรม การศึกษา เป็นต้น ลำ ดับขั้นของกระบวนการรับรู้ ต้องเป็นไปตามขั้นตอนของ กระบวนการดังนี้ ขั้นที่ 1 สิ่งเร้ามากระทบอวัยวะสัมผัส ขั้นที่ 2 กระแสประสาทสัมผัสวิ่งไปยังระบบ ประสาทส่วนกลาง เพื่อให้สมองสั่งการ ขั้นที่ 3 สมองแปลความหมายออกมาเป็น ความรู้ความเข้าใจโดยอาศัย ความรู้เดิม ประสบการณ์เดิม ความจำ เจตคติ ความต้องการ ปทัสถาน บุคลิกภาพ เชาวน์ปัญญา ทำ ให้เกิด การตอบสนองอย่างใดอย่างหนึ่ง การรับรู้ 24


บทที่ 7 การเรียนรู้ 25


ความหมาย การเรียนรู้ ตามความหมายทางจิตวิทยา หมายถึง การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของบุคคลอย่างค่อนข้าง ถาวร อันเป็นผลมาจากการฝึกฝนหรือการมี ประสบการณ์ พฤติกรรมเปลี่ยนแปลงที่ไม่จัดว่า เกิดจากการเรียนรู้ ได้แก่ พฤติกรรมที่เป็นการ เปลี่ยนแปลงชั่วคราว และการเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมที่เนื่องมาจากวุฒิภาวะ ความสำ คัญของจิตวิทยาการเรียนการสอน - ทำ ให้รู้จักลักษณะนิสัยของผู้เรียน - ทำ ให้เข้าใจพัฒนาการบุคลิกภาพบางอย่างของผู้ เรียน - ทำ ให้ครูเข้าใจความแตกต่างระหว่างบุคคล - ทำ ให้ครูทราบว่ามีองค์ประกอบใดบ้างที่มีผลกระ ทบต่อสัมฤทธิ์ทางการเรียนเช่น แรงจูงใจ ความคาด หวัง เชาวน์ปัญญา ทัศนคติ ฯลฯ - ทำ ให้ครูทราบทฤษฎี หลักการเรียนรู้ รวมทั้งหลัก การสอนและวิธีการสอน - ทำ ให้ครูวางแผนการสอนได้อย่างเหมาะสม - ทำ ให้ครูจัดสภาพแวดล้อมของห้องเรียนได้ สอดคล้องกับพัฒนาการ รวมทั้งสร้างบรรยากาศใน ชั้นเรียนที่เอื้อต่อการปกครองชั้นเรียน 26


วัตถุประสงค์ของจิตวิทยาการศึกษา 1. เป็นการให้ความรู้เกี่ยวกับการเรียนรู้ของคนทั้งเด็ก และผู้ใหญ่และจัดรวบรวมอย่างมีระบบเข้าเป็นทฤษฎีหลักการ และข้อมูลต่างๆเกี่ยวข้องลักษณะนี้เป็นศาสตร์ทางด้าน พฤติกรรมศาสตร์ 2. เป็นการนำ ความรู้เกี่ยวกับการเรียนและผู้เรียนมาจัดรูป แบบเพื่อให้ผู้สอน ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาได้นำ ทฤษฎีและ หลักการไปใช้ผู้สอนซึ่งมีหลักทางจิตวิทยาดี ย่อมจะสามารถ สร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีกว่าเพื่อนำ ไปสู่การเรียนรู้ผู้สอนเข้าใจ ประโยชน์ของการศึกษาจิตวิทยา 1. เพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน ใน การประกอบธุรกิจต่าง ๆ โดยเฉพาะในงาน ราชการ การทำ หน้าที่จำ หน้าและชื่อคนใน บังคับบัญชาและลูกค้า การปกครองให้คนร่วม มือกลมเกลียว 2. มีความรู้เกี่ยวกับการเล่นของเด็กและการ กีฬา จิตวิทยาวิเคราะห์ให้ทราบว่า การเล่นคือ อะไร และบอกให้ทราบว่าเด็กคนไหนมีความ เจริญทางจิตแค่ไหน 3. จิตวิทยาช่วยให้การดำ เนินชีวิตในสังคม เป็นไปโดยสะดวกและราบรื่น ตามหลัก จิตวิทยามีสิ่งสำ คัญอยู่ 3 ประการ (ก) ความรู้ในเรื่องมรรยาทและเรื่องจารีต ประเพณี (ข) ความรู้สำ หรับทำ ตัวให้สนใจผู้อื่น (ค) นิสัยที่จะคอยตรวจพิจารณา 27


ลําดับขั้นของการเรียนรู้ 1. ประสบการณ์ ในบุคคลปกติทุกคนจะมี ประสาทรับรู้อยู่ด้วยกันท้ังนั้นส่วน ใหญ่ที่เป็น ที่เข้าใจ 2. ความเข้าใจ หลีงจากบคุคลไดรับ ประสบการณ์แล้วขั้นตอนไปก็คือตีความหรือ สร้างมโนมิติ 3 ความนึกคิด ความนึกคิดถือว่าเป็นขั้น สุดท้ายของการเรียนรู้ซ่ึงเป็นกระบวนการ ที่ เกิดขึ้นในสมอง ธรรมชาติของการเรียนรู้มี4ขั้น ตอนคือ คอื 1 ความต้องการของผู้เรียน คือ ผู้เรียนอยากทราบอะไร เมื่อผู้ เรียนมีความต้องการ อยากรู้อยากเห็นในสิ่งใดก็ตาม จะเป็น สิ่งที่ยั่วยุให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได 2 สิ่งเร้าที่น่าสนใจ ก่อนที่จะเรียนรู้ได้ จะต้องมีสิ่งเร้าที่น่า สนใจ และน่าสัมผัส สําหรับมนุษย์ ทําให้มนุษย์ดิ้นรน ขวนขวาย และใฝ่ใจที่จะเรียนรู้ในสิ่งที่น่าสนใจนั้น ๆ 3 การตอบสนอง เมื่อมีสิ่งเร้าที่น่าสนใจและน่าสัมผัส มนุษย์ จะทําการสัมผัสโดย ใช้ประสาทสัมผัสต่าง ๆ เช่น ตาดู หูฟัง ลิ้นชิม จมูกดม ผิวหนังสัมผัส และสัมผัสด้วยใจ เป็นต้น 4 การไดด้รับรางวัล ภายหลังจากการตอบสนอง มนุษย์อาจ เกิดความพึงพอใจซึ่ง เป็นกําไรชีวิตอย่างหนึ่ง จะได้นําไป พัฒนาคุณภาพชีวิต เช่น การได้เรียนรู้ 28


บทที่ 8 การศึกษาเป็นรายกรณี 29


ความหมาย กระบวนการศึกษา บุคคลใดบุคคลหนึ่งง กลุ่มบุคคลใด บุคคลหนึ่ง ชุมชนใดชุมชนหน่ึง หรือสถาบันใดสถาบัน หนึ่งอย่างละเอียดต่อเนื่อง โดยใช้เครื่องมือ เทคนิค หรือวิธีการต่างๆ เพื่อให้ได้รายละเอียดของข้อมูล แล้ว นำ มาสังเคราะห์ วิเคราะห์ และวินิจฉัยหาสาเหตุของ พฤติกรรม เพื่อ ดำ เนินการช่วยเหลือแก้ไขป้องกันหรือ ส่งเสริมพัฒนาการของบุคคล กลุ่มคนชุมชน และ สถาบัน นั้นต่อไป ประโยชน์ของการศึกษารายกรณี 1. ประโยชน์ทางตรง คือประโยชน์ที่เกิดขึ้นแก่ผู้ ศึกษาเอง ซึ่งแบ่งออกได้หลายประการคือ ทำ ให้ผู้ ศึกษาได้เข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลมากขึ้น เข้าใจสาเหตุของปัญหาได้กว้างขวาง ขณะเดียวกันก็ ทำ ให้เป็นคนที่รู้จักใช้เหตุผลในการพิจารณาสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเป็นระบบระเบียบ 2. ประโยชน์ทางอ้อม คือประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับผู้ได้ รับการศึกษา คือทาให้ผู้ศึกษาเข้าใจพฤติกรรมของ ผู้รับการศึกษา 30


จุ ด มุ่ ง ห ม า ย ข อ ง ก า ร ศึ ก ษ า ร า ย ก ร ณี จุ ด มุ่ ง ห ม า ย ที่ สำ คั ญ ข อ ง ก า ร ศึ ก ษ า ร า ย ก ร ณี ไ ว้ ดั ง ต่ อไ ป นี้ 1. เ พื่ อ สื บ ค้ น ห า สา เ ห ตุ ที่ ทำ ใ ห้ นั ก เ รี ย น มี พ ฤ ติ ก ร ร ม ผิ ด ป ก ติ ซึ่ ง ท า งโ ร ง เ รี ย น จ ะไ ด้ใ ห้ ค ว า ม ช่ ว ย เ ห ลื อ แ ล ะ แ ก้ไ ขไ ด้ อ ย่ า ง ถู ก ต้ อ ง 2. เ พื่ อ สื บ ค้ น รู ป แ บ บ ข อ ง พั ฒ น า ก า ร ข อ ง นั ก เ รี ย น ทั้ ง ท า ง ด้ า น ร่ า ง ก า ย ส ติ ปั ญ ญ า อ า ร ม ณ์ สั ง ค ม แ ล ะ จิ ตใ จ ซึ่ ง ท า งโ ร ง เ รี ย น จ ะไ ด้ใ ห้ ก า ร ส่ ง เ สริ ม พั ฒ น า ไ ด้ อ ย่ า ง เ ห ม า ะ ส ม 3. เ พื่ อ ช่ ว ยใ ห้ นั ก เ รี ย น เ กิ ด ค ว า ม เ ข้ าใ จ ต น เ อ ง ย อ ม รั บ ค ว า ม จ ริ ง เ กี่ ย ว กั บ ต น เ อ ง สา ม า ร ถ พั ฒ น า ต น เ อ ง สา ม า ร ถ ว า ง แ ผ น ชี วิ ต 4.เ พื่ อ ช่ ว ยใ ห้ ผู้ ป ก ค ร อ ง เ ข้ าใ จ เ ด็ ก ข อ ง ต นไ ด้ ดี ขึ้ น แ ล ะใ ห้ ค ว า ม ร่ ว ม มื อ กั บ ท า งโ ร ง เ รี ย นใ น ก า ร แ ก้ ปั ญ ห า ข อ ง บุ ต ร ห ลา น ข อ ง ต น 5. เ พื่ อ ช่ ว ยใ ห้ ข ณ ะ ค รูไ ด้ เ ข้ าใ จ นั ก เ รี ย น อ ย่ า ง ล ะ เ อี ย ด ลึ ก ซึ้ ง ถู ก ต้ อ ง แ ล ะ นำ ผ ลข อ ง ก า ร ศึ ก ษ า ร า ย ก ร ณีไ ป ใ ช้ใ น ก า ร ป รั บ ป รุ ง ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น ก า ร จั ด กิ จ ก ร ร ม แ ล ะ ก า รใ ห้ บ ริ ก า ร ต่ า ง ๆ แ ก่ นั ก เ รี ย นไ ด้ อ ย่ า ง เ ห ม า ะ ส ม ส อ ด ค ล้ อ ง กั บ ค ว า ม ต้ อ ง ก า ร ข อ ง นั ก เ รี ย น 3 1


การคัดเลือกนักเรียน เพื่อทำ การ ศึกษารายกรณี 1.นักเรียนที่ต้องการความช่วยเหลือ 2.นักเรียนที่มีความสามารถพิเศษ 3.นักเรียนที่มีพฤติกรรมดี การศึกษาบุคคลเป็นรายกรณี 32


บทที่ 9 การแนะแนวและการให้คำ ปรึกษา 33


ความหมายของการแนะแนว กระบวนการทางการศึกษาที่ช่วยให้ บุคคลรู้จัก และเข้าใจตนเองและสิ่ง แวดล้อม สามารถนำ ตนเองได้ แก้ปัญหา ได้ด้วยตนเอง และพัฒนาตนเองได้ตาม ศักยภาพ ปฏิบัติตนให้เป็นสมาชิกที่ดี ของสังคม ประเภทของ การแนะแนว การแนะแนว การศึกษา การแนะแนว อาชีพ การแนะแนว เรื่องส่วนตัว 34


ความสำ คัญของการแนะแนว การแนะแนวได้เข้ามามีบทบาทในการ ศึกษา คือ การช่วยให้เยาวชนของชาติ เป็นผู้ที่คิดเป็น โดยเน้นให้ผู้เรียนได้ รับการส่งเสริมพัฒนาในทุกๆ ด้าน มุ่ง สนองความต้องการและความสนใจของผู้ เรียน โรงเรียนต้องจัดให้มีบริการ แนะแนวส่วนตัว แนะแนวการเรียนและ การศึกษาต่อ เพื่อใช่ให้แก้ปัญหาให้ นักเรียนสามารถเล่าเรียนได้อย่างมี ประสิทธิผล เนื่องจากเยาวชนเป็นผู้ที่มี ความสำ คัญต่อประเทศชาติ เพราะจะ เป็นผู้ใหญ่ในอนาคต ซึ่งจะต้องรับผิด ชอบประเทศชาติต่อไป จึงสมควรได้รับ การส่งเสริมพัฒนาทุกๆด้าน ทฤษฎีสำ คัญที่เกี่ยวข้องกับการแนะแนว ทฤษฎีลักษณะบุคคลซึ่งพัฒนาจาก แนวคิดของ E.G. Williamson ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1939 มีเป้าหมาย ที่จะเอื้ออำ นวย ให้ผู้รับบริการมีพัฒนาการที่เป็นเลิศใน ทุกด้าน ทุกช่วงชีวิต และทุกสภาพ แวดล้อม โดยช่วยให้ผู้รับบริการเกิดการ เรียนรู้ซึ่งจะนำ ไปสู่การค้นพบตนเอง และเข้าใจตนเองอย่างถูกต้อง ทฤษฎีสำ คัญที่เกี่ยวข้องกับการให้การ ปรึกษา ทฤษฎีการให้การปรึกษาที่เน้นการ วิเคราะห์จิต Sigmund Freud จิตแพทย์ชาว เวียนนา เป็นผู้วางรากฐานจิตวิเคราะห์ และทฤษฎีการให้การปรึกษาที่เน้นการ วิเคราะห์จิต โดยมีเป้าหมายเพื่อปรับ แก้ไขบุคลิกภาพพื้นฐานที่เป็นต้นตอ ของปัญหาของผู้รับบริการ เพื่อให้ปัญหา นั้นคลี่คลายลง 35


ความมุ่งหมายของการแนะแนว จำ แนกออกได้เป็น 2 ประเภทคือ ความมุ่งหมายทั่วไป หมายถึง ความมุ่งหมายของการแนะแนวโดยส่วนรวมนั่นคือ การ แนะแนวไม่ว่าจะจัด ณ สถานที่ใดก็ตามย่อมจะมีความมุ่งหมายทั่วไปเหมือนกัน หรืออาจจะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าหน้าที่ของการแนะแนว ความมุ่งหมายเฉพาะ หมายถึง ความมุ่งหมายของการแนะแนวที่สถานศึกษาซึ่งจัดให้มีการบริการแนะแนวเป็นผู้กำ หนดขึ้นมา เพื่อให้สอดคล้องกับ ปรัชญา เป้าหมายหลักสูตร และสภาพสังคมของสถานศึกษานั้นๆ 36


บทที่ 10 ปรัชญาแนวคิดทฤษฎีทางจิตวิทยา 37


จุดมุ่งหมายที่สำ คัญของการเรียนจิตวิทยา ดังนี้ 1.เป็นการให้ความรู้เกี่ยวกับการเรียนรู้ที่เป็นระบบทั้ง ด้านทฤษฎี หลักการและสาระอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับ การเรียนรู้ของมนุษย์ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ 2.เป็นการนำ ความรู้เกี่ยวกับการเรียนรู้ ไปใช้ให้เกิด ประโยชน์ต่อการเรียนการสอน 3.เพื่อให้ครูสอนสามารถนำ เทคนิคและวิธีการการ เรียนรู้ไปใช้ในการเรียนการสอน การแก้ไขปัญหา ในชั้นเรียน ความหมาย ปรัชญา คือ ศาสตร์ที่ศึกษา หาความรู้ ความจริงของมนุษย์ โลก ธรรมชาติ และชีวิต อย่าง ลึกซึ้งเพื่ออธิบายเหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ โดยใช้หลักการ ของเหตุผล ในวิชาตรรกวิทยา เป็นเครื่องมือในการเข้าถึง ความจริงหรือความรู้ที่แน่นอน ปรัชญาและแนวคิดทางการ ศึกษา 38


ความสำ คัญของจิตวิทยา จิตวิทยามีอิทธิพลต่อ การดำ เนินชีวิตอย่างกว้างขวางผู้ศึกษาจิตวิทยา สามารถได้รับประโยชน์ดังต่อไปนี้ 1.ทำ ให้เกิดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ เช่น ความต้องการ การแก้ปัญหา การปรับตัวอารมณ์และ ความรู้สึกในสถานการณ์ต่างๆ 2.ช่วยในการแก้ปัญหาทางจิต รู้จักวิธีรักษาสุขภาพจิตได้ดี สามารถเอาชนะปมด้อยต่างๆ รู้วิธีแก้ปัญหาและปรับตัวอย่าง เหมาะสม 3.สามารถเข้าใจ ตัดสินใจ และมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีกับ บุคคลในสังคม 4. ช่วยในการวางแผนการใช้ชีวิตได้อย่างเหมาะสม 39


ทฤษฎีของนักจิตวิทยา ธอร์นไดค์ได้อธิบายทฤษฎี สัมพันธ์เชื่อมโยงไว้ว่าคือ การเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับ การตอบสนอง โดยมีหลักพื้นฐานว่า การเรียนรู้เกิดจาก การเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนองที่มักจะออก มาในรูปแบบต่างๆหลายรูปแบบ โดยการลองถูกลองผิด โดยมี 3 กฎของการเรียนรู้ ดังนี้ 2. กฎแห่งการฝึกหัดการ ฝึกหัดหรือกระทำ บ่อยๆ ด้วยความเข้าใจจะทำ ให้การ เรียนรู้นั้นคง ถาวร ถ้าไม่ ได้กระทำ ซ้ำ บ่อยๆ การ เรียนรู้นั้นจะไม่คงถาวร และในที่สุดอาจจะลืมได้ 1. กฎแห่งความพร้อมการ เรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ดีถ้าผู้ เรียนมีความพร้อมทั้งทาง ร่างกายและจิตใจ ตัวอย่าง 3 กฎของการเรียนรู้ 3. กฎแห่งความพอใจเมื่อ บุคคลได้รับผลที่พึงพอใจ ย่อมอยากจะเรียนรู้ต่อไป แต่ถ้าได้รับผลที่ไม่พึงพอใจ จะไม่อยากเรียนรู้ดังนั้น การ ได้รับผลที่พึงพอใจ จึงเป็น ปัจจัยสำ คัญในการเรียนรู้ 40


บทที่ 11 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการรับรู้ 41


การรับรู้ การรับรู้ หมายถึง การแปลความหมายจากการสัมผัส โดยเริ่มตั้งแต่ การมีสิ่งเร้ามา กระทบกับอวัยวะรับ สัมผัสทั้งห้า และส่งกระแสประสาท ไปยังสมอง เพื่อ การแปลความ กระบวนการของการรับรู้ เป็นกระบวนการที่คาบเกี่ยวกันระหว่างเรื่อง ความเข้าใจ การคิด การรู้สึก ความจำ การ เรียนรู้ การตัดสินใจ แรงจูงใจกับการเรียนการสอน 1. สนับสนุนให้ผู้เรียนทำ งานและเล่นด้วย กัน 2. ปฏิบัติต่อผู้เรียนด้วยความจริงใจและ เคารพในตัวผู้เรียน 3. ใช้สื่อการเรียนการสอนเพื่อทำ ความเข้าใจ เนื้อหาโดยง่ายและเร้าความสนใจ 4. ไม่ข่มขู่คุกคามผู้เรียน 5. รับฟังความคิดเห็นของผู้เรียนแต่ละคน 42


ปั จ จั ย ทำ ใ ห้ ก า ร เ รี ย น รู้ไ ม่ เ ห มื อ น กั น 1. เ พ ศ 2. อ า ยุ 3. ร ะ ดั บ ก า ร ศึ ก ษ า 4. ก ร ะ บ ว น ก า ร ท า ง ส ม อ ง 5. วั ฒ น ธ ร ร ม 6. ทั ก ษ ะ ก า ร เ รี ย น ก ร ะ บ ว น ก า ร ข อ ง ก า ร รั บ รู้ เ กิ ด ขึ้ น เ ป็ น ลำ ดั บ ดั ง นี้ 1. มี สิ่ ง เ ร้ า ที่ จ ะ ทำ ใ ห้ เ กิ ด ก า ร ร รั บ รู้ เ ช่ น ส ถ า น ก า ร ณ์ เ ห ตุ ก า ร ณ์ สิ่ ง แ ว ด ล้ อ ม ร อ บ ก า ย ที่ เ ป็ น ค น สั ต ว์ แ ล ะ สิ่ ง ข อ ง 2. ป ร ะ สา ท สั ม ผั ส ที่ ทำ ใ ห้ เ กิ ด ค ว า ม รู้ สึ ก สั ม ผั ส เ ช่ น ต า ดู หู ฟั ง จ มู กไ ด้ ก ลิ่ น ลิ้ น รู้ ร ส แ ล ะ ผิ ว ห นั ง รู้ ร้ อ น ห น า ว 3. ป ร ะ ส บ ก า ร ณ์ ห รื อ ค ว า ม รู้ เ ดิ ม ที่ เ กี่ ย ว ข้ อ ง กั บ สิ่ ง เ ร้ า ที่ เ ร า สั ม ผั ส 4. ก า ร แ ป ล ค ว า ม ห ม า ย ข อ ง สิ่ ง ที่ เ ร า สั ม ผั ส สิ่ ง ที่ เ ค ย พ บ เ ห็ น ม า แ ล้ ว ย่ อ ม จ ะ อ ยู่ใ น ค ว า ม ท ร ง จำ ข อ ง ส ม อ ง เ มื่ อ บุ ค ค ลไ ด้ รั บ สิ่ ง เ ร้ า ส ม อ ง ก็ จ ะ ทำ ห น้ า ที่ ท บ ท ว น กั บ ค ว า ม รู้ ที่ มี อ ยู่ เ ดิ ม ว่ า สิ่ ง เ ร้ า นั้ น คื อ อ ะไ ร 4 3


องค์ประกอบของการรับรู้ 1. สิ่งเร้าได้แก่วัตถุ แสง เสียง กลิ่น รส ต่างๆ 2. อวัยวะรับสัมผัส ได้แก่ หู ตา จมูก ลิ้น ผิวหนัง ถ้าไม่สมบูรณ์จะทำ ให้สูญเสียการ รับรู้ได้ 3. ประสาทในการรับสัมผัสเป็นตัวกลาง ส่งกระแสประสาทจากอวัยวะรับสัมผัสไป ยังสมองส่วนกลาง เพื่อการแปลความต่อ ไป 4. ประสบการณ์เดิม การรู้จัก การจำ ได้ ทำ ให้การรับรู้ได้ดีขึ้น 5. ค่านิยม ทัศนคติ 6. ความใส่ใจ ความตั้งใจ 7. สภาพจิตใจ อารมณ์ เช่น การคาดหวัง ความดีใจ เสียใจ 8. ความสามารถทางสติปัญญา ทำ ให้รับรู้ ได้เร็วปัจจัยการรับรู้ ลักษณะของผู้รับรู้ 1. ลักษณะของผู้รับรู้ พิจารณาจากการที่ บุคคลจะเลือกรับรู้สิ่งใดก่อนหรือหลัง มาก หรือน้อย อย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับลักษณะ ของผู้รับรู้ด้วยเป็นสำ คัญประการหนึ่ง 2. ลักษณะของสิ่งเร้า ลักษณะของสิ่งเร้านั้นพิจารณาจาก การที่ บุคคลจะเลือกรับรู้สิ่งใด ก่อนหรือหลัง มากหรือน้อยเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับว่า สิ่ง เร้าดึงดูด ความสนใจ ความตั้งใจมากน้อย เพียงใด หรือไม่ 44


บทที่ 12 การนำ จิตวิทยาไปพัฒนาสำ หรับ การเป็นครู 45


ความสำ คัญของ จิตวิทยาสำ หรับครู งานหลักสำ คัญของครู คือ การ จัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาผู้ เรียนให้เต็ม ตามศักยภาพทั้งด้านกาย อารมณ์ สังคม และสติ ปัญญา เป็นทรัพยากรบุคคลที่มีคุณค่าสามารถ พึ่งพาตนเอง สร้งสรรค์ชุมชน สังคมและประเทศ ชาติ มีความรู้และมีคุณธรรม ในการดำ เนินชีวิต การที่จะดำ เนินการให้บรรลุเป้าหมาย ความสำ คัญกับทุกองค์ ประกอบ ได้แก่ ผู้เรียน ผู้สอน วิธีสอน สื่อ การเป็นครูในศตวรรษที่ 21 นี้ เรียกได้ว่าไม่ใช่เรื่องง่าย เลยเพราะนอกจากความรู้ทางด้านวิชาการที่ต้องแม่นยำ แล้ว ยังต้องมีความรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของผู้เรียนที่แตก ต่างจาก “ นักเรียน ” ในแบบที่เราเคยเข้าใจมาในอดีตอีก ด้วย เพราะผู้เรียนในปัจจุบันนี้ สามารถที่จะเข้าถึงองค์ความ รู้ต่างๆ ได้จากหลากหลายช่องทาง รวมถึงยังมีการพัฒนา ตนเองอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้เป็นเพียงผู้รับหรือรอการ ถ่ายทอดจากครูเพียงทางเดียว 46


ลักษณะ ทำ ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของบุคคล เป็น ผลที่บุคคลได้รับมาจากการฝึกฝนหรือกระทำ พฤติกรรม ซ้ำ ๆ เป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของบุคคลที่ค่อนข้าง ถาวร ไม่ใช่เป็นการเปลี่ยนแปลงเพียงชั่วขณะการ เรียนรู้ ก่อให้เกิด การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมใน ด้านต่าง ๆ ดังนี้ 1. การเปลี่ยนแปลงทางด้านความรู้ความคิด ความจำ ความเข้าใจ 2. การเปลี่ยนแปลงทางด้านอารมณ์ความรู้สึกนึกคิด จิตใจ เช่น ความเชื่อ ความสนใจ ทัศนคติ ค่า นิยม เป็นต้น 3. การเปลี่ยนแปลงด้านการเคลื่อนไหวร่างกาย เป็นการเปลี่ยนแปลงทางด้าน ของทักษะหรือความ ชำ นาญ เช่น ร่างกาย การเล่นกีฬา เป็นต้น 47


Click to View FlipBook Version