“ชาติพันธุ์ในจังหวัดพะเยา” เป็นชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ ๙ อำเภอ
ของจังหวัดพะเยา สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดพะเยาหวังเป็นอย่างยิ่งว่า
ข้อมูล “ชาติพันธุ์ในจังหวัดพะเยา” จะเป็นประโยชน์ในด้านการศึกษา ค้นคว้า
ด้านชาติพันธุ์ในจังหวัดพะเยา และส่งเสริมให้แต่ละชาติพันธุ์เห็นคุณค่า
ในเอกลักษณ์วัฒนธรรมของท้องถิ่น มีความภาคภูมิใจ มีความรัก หวงแหน
ในชาติพันธุ์ ศิลปวัฒนธรรมของตนเอง ร่วมกันอนุรักษ์วิถีชีวิต และสืบสาน
ใหเ้ ป็นมรดกทางวฒั นธรรมของแต่ละชาตพิ ันธ์ุอย่างยั่งยืนต่อไป
“ชาติพันธุ์ในจังหวัดพะเยา” เป็นชาติพันธ์ุที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ ๙ อำเภอ
ของจังหวัดพะเยา สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดพะเยาหวังเป็นอย่างยิ่งว่า
ข้อมูล “ชาติพันธุ์ในจังหวัดพะเยา” จะเป็นประโยชน์ในด้านการศึกษา ค้นคว้า
ด้านชาติพันธุ์ในจังหวัดพะเยา และส่งเสริมให้แต่ละชาติพันธ์ุเห็นคุณค่า
ในเอกลักษณ์วัฒนธรรมของท้องถิ่น มีความภาคภูมิใจ มีความรัก หวงแหน
ในชาติพันธุ์ ศิลปวัฒนธรรมของตนเอง ร่วมกันอนุรักษ์วิถีชีวิต และสืบสาน
ให้เป็นมรดกทางวฒั นธรรมของแต่ละชาติพันธุ์อยา่ งย่ังยนื ตอ่ ไป
“ชาติพันธุ์ในจังหวัดพะเยา” เป็นชาติพันธ์ุที่อาศัยอยู่ในพื้นท่ี ๙ อำเภอ
ของจังหวัดพะเยา สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดพะเยาหวังเป็นอย่างยิ่งว่า
ข้อมูล “ชาติพันธุ์ในจังหวัดพะเยา” จะเป็นประโยชน์ในด้านการศึกษา ค้นคว้า
ด้านชาติพันธุ์ในจังหวัดพะเยา และส่งเสริมให้แต่ละชาติพันธุ์เห็นคุณค่า
ในเอกลักษณ์วัฒนธรรมของท้องถิ่น มีความภาคภูมิใจ มีความรัก หวงแหน
ในชาติพันธุ์ ศิลปวัฒนธรรมของตนเอง ร่วมกันอนุรักษ์วิถีชีวิต และสืบสาน
ใหเ้ ปน็ มรดกทางวัฒนธรรมของแต่ละชาตพิ ันธ์ุอยา่ งย่งั ยืนตอ่ ไป
ชาตพิ นั ธ์ุม้งในจังหวดั พะเยา
ประวัติศาสตร์
ประวตั ศิ าสตร์
ม้ง เป็นชนชาติหนึ่งที่กำเนิดมาบนพื้นโลกนี้มานานแล้ว มีรูปร่างหน้าตา ประเพณี
ขนบธรรมเนียม วัฒนธรรม วิถีชีวิตด้วยตนเอง ม้งมีตำนานนิทานปรัมปราแย้มว่า ม้งเคยอาศัยอยู่
ณ ดินแดนที่หนาวเหน็บ มีกลางวันหกเดือนกลางคืนหกเดือน มีหิมะตก น้ำจับตัวกันเป็นน้ำแข็ง
ต้นไม้ต้นหญ้าเล็กๆ ทุกคนนุ่งห่มหนังสัตว์และขนสัตว์ หรือที่คนม้งเรียกว่า ดินแดนที่เงียบสงบและ
หนาวเย็น ม้งได้อาศยั อยู่บริเวณน้ันเป็นเวลายาวนาน ด้วยถูกรุกรานการสงคราม ทำให้ม้งต้องอพยพ
หนีร่อนลงมาจากดินแดนประเทศมองโกเลีย มีบางกลุ่มอาศัยอยู่ที่นั่น และบางกลุ่มอพยพลงมาทาง
ใต้มาอาศัยอยูท่ างตอนเหนือของประเทศจีน เพราะเกิดสงครามการสู้รบ แต่ยังไม่สามารถที่จะทราบ
ประวัติศาสตร์ของม้งได้อย่างชัดเจนมากนัก เพราะม้งไม่มีหนังสือที่จะบันทึกประวัติศาสตร์ของม้ง
เก็บไว้ มีเพียงแต่นิทานปรัมปราเล่าเรื่องราวของม้งเท่านั้น จะให้ทราบประวัติศาสตร์ม้งต้องศึกษา
ควบคูไ่ ปกับการศกึ ษาประวัติศาสตร์ชาวจีน (องค์ความรู้ท้องถนิ่ ชนเผา่ มง้ , ม.ป.ป.,หนา้ ๑)
ม้งในประเทศไทย หลังจากที่ม้งได้อพยพมาจากตอนใต้ของประเทศจีน ได้แยกออกเป็นสาม
กลุ่มด้วยกัน คือ กลุ่มที่ ๑ อพยพเข้าเวียดนามที่เมืองหนองเฮด กลุ่มที่ 2 เข้าลาวที่เมืองซำเหนือ
กลุ่มท่ี 2 เขา้ มาในประเทศลาวและประเทศไทยในทส่ี ุด มง้ เขา้ สปู่ ระเทศไทยประมาณสองร้อยกว่าปี
มาแลว้ น่นั คอื ราวปี พ.ศ. 2387–2517 จากการสัมภาษณ์นายชงเปา แซ่ย่าง อายุ 98 ปี บ้านหอย
หนองใหม่ ตำบลแม่ริม อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ และ นายโย่ง แซ่ย่าง อายุ 72 ปี บ้าน
ขุนวาง ตำบลแม่วิน อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ พบว่า ปู่ ย่า ตา ยาย อาศัยอยู่ในประเทศไทย
นานแล้ว โดยอพยพสู่ประเทศไทยประมาณ ปี พ.ศ. 2328 หรือราว 220 ปี ม้งอพยพเข้าประเทศ
ไทยสามทางด้วยกนั คอื
1. บรเิ วณไชยบรุ ขี องประเทศลาวเข้ามาสู่ดอยภูแว เขตอำเภอปวั อำเภอท่งุ ชา้ ง จงั หวดั นา่ น
2. แขวงเมอื งไซของประเทศลาวหรือแขวงอดุ มชัยในปัจจบุ ัน เข้าสู่ดอยผาหมน่ ดอยลำลูกกา
อยู่ในเขตอำเภอเชียงของ อำเภอเทิง อำเภอเชียงคำ ดอยช้างระหว่างอำเภอเมือง และอำเภอ
แม่สรวย จงั หวัดเชยี งราย และตอ่ มาได้โยกย้ายไปสทู่ ีต่ ่าง ๆ
3. บริเวณภูคา-นาแห้ว และด่านซ้าย จังหวัดเลย เป็นบริเวณที่ม้งเข้ามาน้อยที่สุด และ
บางส่วนไดอ้ พยพเข้าไปอยทู่ เี่ ขาค้อบา้ ง
4. เข้ามาจากสามเหล่ียมทองคำ ผา่ นจังหวัดท่าข้ีเหล็กของพม่าข้ึนมาทางดอยอ่างขาง อำเภอฝาง
จังหวัดเชยี งใหม่
ในช่วงปี พ.ศ. 2508 (ค.ศ. 1965) ได้มีลัทธิคอมมิวนิสต์แทรกซึมเข้าไปปลุกระดมในกลุ่ม
พน่ี อ้ งมง้ ในชว่ งปี พ.ศ. 2510-2515 ม้งไดแ้ ยกเป็น 2 กลุม่ กล่มุ หนึง่ ได้อยูก่ บั รฐั บาล อกี กลมุ่ หนึ่ง
หันไปฝักใฝ่กับลัทธิดังกล่าว ต่อมารัฐบาลไทยได้พยายามแยกดึงม้งออกจากกระบวนการของลัทธิ
คอมมวิ นสิ ต์ โดยการส่งหน่วยงานเขา้ ช่วยเหลอื และพฒั นาบนพืน้ ท่ีสูงจงึ ทำใหม้ ้งท่ีอยู่กับฝ่ายรฐั บาล
2
ไดอ้ พยพลงมาอย่พู ้ืนที่ราบ เชน่ บ้านนาหนนุ บา้ นประชาภกั ดี (ร่องสา้ น) บ้านคอดยาว บ้านสบขาม
จงั หวัดพะเยา บ้านคลองลาน จงั หวดั กำแพงเพชร บ้านป่ากลาง จงั หวัดน่าน บ้านเจดยี โ์ คว๊ ะ บา้ น
ร่มเกล้า (44) จากจังหวัดตาก บ้านแขกนอ้ ย จังหวัดเพชรบูรณ์ ฯลฯ ม้งส่วนทีเ่ ข้ากบั คอมมวิ นสิ ต์
ยังอยู่บนดอย ม้งบางส่วนที่ไม่ฝักใฝ่คอมมิวนิสต์อพยพเข้ามาในประเทศไทยหลังจากคอมมิวนิสต์
ยดึ ลาวไดส้ ำเรจ็
ปี 2523-2525 รัฐบาลไทยมีนโยบายร่วมพัฒนาชาติไทย ซึ่งเปิดรับผู้ที่เคยฟักใฝ่ลัทธิ
คอมมิวนิสต์ได้มอบตัว และวางอาวุธ และเข้าร่วมกับแนวทางเสรีนิยมที่รัฐบาลต้องการ ทำให้ชาวม้ง
ท่ีเขา้ รว่ มพรรคคอมมวิ นสิ ตก์ ลับมาเป็นผ้รู ว่ มพัฒนาชาตไิ ทย ชาวมง้ จงึ สามารถรวมตวั กันได้อกี คร้ัง
กล่มุ มง้
1. ม้งเด้อะ หรอื มง้ ขาว (Hmoob dawb)
มง้ ขาว เป็นกลมุ่ เดียวทอ่ี าศยั อยูใ่ นประเทศลาว เวียดนามและจนี สำหรับการแต่งกายของ
ม้งขาวผู้ชายกับผู้หญิงจะสวมกางเกงจีนแทนกระโปรง ผู้หญิงมีผ้าพันเอวที่เรียกว่า เซ และผู้ชาย
เรยี กว่า ซี้ ใชส้ ีแดง แต่ผ้หู ญงิ กจ็ ะใส่กระโปรงสีขาวในพธิ กี รรมทส่ี ำคญั ๆ เชน่ แต่งงาน ปีใหม่ และ
ใส่ผ้าพันหัว ผั่ว และใส่ถุงน่อง ทร้องด้วย กางเกงของม้งขาว เป้ากางเกงสั้นกว่าม้งเขียว และขา
กางเกงจะใหญ่กว่า เสื้อผู้หญิงผ่าอกตลอดและมีด้าชอใหญ่ เสื้อผู้ชายผ่าอกตลอดแต่ออบหน้า
ลายปักเล็กและสั้น ภาษา สำเนียงการพูดจะตา่ งกบั มง้ เขยี วกนั เลก็ นอ้ ย
2. มง้ เขยี ว หรือมง้ ลาย (Hmoob Ntsuab)
มง้ เขียว การแตง่ กายผู้หญงิ ใส่กระโปรงมีลวดลาย สดี ำ เขยี วและนำ้ เงนิ ส่วนผู้ชายสวม
กางเกงเป้ายาวเกือบถึงดินขากางเกงเล็กสั้น เซ จะกว้างกว่าม้งขาวเล็กน้อย ซี้ เป็นสีดำและปล าย
ของซี้ จะเป็นรูปสามเหลี่ยม เสื้อ ผู้หญิงผ่าอกตลอด ด้าชอเล็ก แต่ก็มีบ้างที่เสือ้ ออบหน้าซึ่งจะสวม
ในพิธีกรรมที่สำคัญ ๆ ผู้หญิงส่วนใหญ่จะไม่ใส่ ผั่ว มีเพียงผ้าผืนบางๆ พันรอบมวยผมเท่านั้น เสื้อ
ผู้ชายคล้ายม้งขาว แต่ลวดลาย ลายปักเยอะกว่าและยาวกว่า ปักรอบเสื้อ ใส่ทร้องเหมือนม้งขาว
สำเนียงภาษาการพูดจะต่างกันบ้างเพียงบางคำ เช่น ม้งขาวใช้ เอีย ม้งเขียวใช้ อา ม้งขาวใช้ ออ
ม้งเขยี วใช้ อู และสำเนยี งจะมเี สียงควบกล้ำเยอะกว่าม้งขาว แต่กม็ ีบางคำที่แตกตา่ งกนั โดยสิน้ เชิง
3. มง้ กวั มะบา (Hmoob Quas npab)
ม้งกัวมะบา โดยทั่วไปจะเหมืองม้งขาวทุกอย่าง ไม่ว่าการแต่งกาย สำเนียงการพูด
จะต่างกันที่ลายแขนเสื้อของผู้หญิงที่สวมใส่เท่านั้น ที่จะสลับสีลวดลายเป็นปล้อง ๆ หรือเรียกอีก
อย่างหนึง่ ว่ามง้ แขนปลอ้ ง ก่อนนั้นไมเ่ คยปรากฏและพบเห็นมง้ กัวมะบาในประเทศไทยมากอ่ น พบได้
หลังจากที่ม้งกลุ่มหนึ่งซึ่งอพยพออกประเทศลาว หลังจากคอมมิวนิสต์ยึดลาวได้สำเร็จ ซึ่งได้มีม้ง
กวั มะบาอพยพร่วมมาดว้ ยจำนวนหนึ่ง
3
แบง่ กลุ่มตาม ตระกูลแซ่
ม้งนั้นนอกจากการแบ่งกลุ่มตามลักษณะการแต่งกายแล้วสามารถที่จะจำแนกตามสาย
ตระกูลแซ่ ซึ่งในการแบ่งตามตระกลู แซ่นั้นทำให้สามารถท่ีจะสืบทอดเช้ือสายหรอื ตระกลู ท่ีบรรพบุรุษ
ร่วมสายเลือดได้ เนื่องจากการสืบทอดสายตระกูลของม้งนั้น จะดูแลที่แซ่เป็นตัวหลักในการสืบสาย
บรรพชนซึ่งจะคลุกเคล้าระหว่างม้งกลุ่มต่างๆ ที่จำแนกตามลักษณะการแต่งกาย ซึ่งลักษณะการแต่ง
กายนั้นไม่อาจแบ่งแยกตามสายตระกูลได้เพราะสายตระกูลจะมีความใกล้ชิดกว่า เพราะการแต่งกาย
สามารถเปลย่ี นแปลงได้ การแบ่งตระกูลแซจ่ ะมีกล่มุ ตระกูลหลกั ดงั นค้ี ือ
1. แซล่ ี เรียกว่า มง้ จาย
2. แซว่ า่ ง เรยี กว่า มง้ ว่า
3. แซฟ่ า้ เรียกว่า มง้ ฟา่ ง
4. แซย่ า่ ง เรยี กว่า ม้งย่าง
5. แซ่โซง้ เรียกว่า ม้งเมาะ
6. แซ่มวั เรียกว่า มง้ หยา่
7. แซ่หาร เรียกว่า มง้ ต่า
8. แซ่วื้อ เรยี กว่า มง้ วอ้ื
9. แซเ่ ทา้ เรยี กว่า ม้งดู๊
10. แซเ่ ล้า (โล,่ กอ่ื ) เรยี กว่า มง้ กือ
11. แซจ่ าง เรียกว่า ม้งจาง
12. แซจ่ า๋ ว เรียกว่า มง้ ปลวั
13. แซ่เหอ (เฮ้อ) เรียกว่า มง้ กลว่ั
14. แซก่ ง เรียกว่า ม้งกง
15. แซเ่ ส เรียกว่า ม้งเส
ม้งในประเทศไทยได้อาศัยอยูอ่ ย่างกระจัดกระจายในหลายจังหวดั ทางภาคเหนือของประเทศไทย
ซึ่งกระจายไปถึง 14 จังหวัดในภาคเหนือ ได้แก่ ตาก เชียงราย เชียงใหม่ น่าน แพร่ พะเยา
แมฮ่ ่องสอน ลำปาง สุโขทยั เพชรบูรณ์ กำแพงเพชร พิษณุโลก เลย และสระบุรี ซง่ึ บางจังหวัด
มีหมู่บ้านที่ม้งได้อาศัยอยู่อย่างหนาแน่นหลายหมู่บ้าน แต่บางจังหวัดมีเพียง 1–2 หมู่บ้าน
(องค์ความรู้ทอ้ งถ่นิ ชนเผ่าม้ง, ม.ป.ป., หน้า ๑๒-๑๗)
ความเชื่อและศาสนา
ในการดำรงชวี ิตของม้งนน้ั ความเช่ือของม้งมคี วามเช่ือมากมายหลายอย่าง เกีย่ วกบั การดำเนิน
ชวี ิตของม้งเอง สมัยก่อนมง้ ไมม่ ีบา้ นทอ่ี ยูอ่ าศัย อาศัยธรรมชาติเป็นร่มเงา ยงั ไม่มีความเชอื่ อะไร แต่ว่า
มนุษย์เห็นเหล่าสัตว์น้อยใหญ่สามารถที่จะสร้างรัง ให้เป็นที่อยู่อาศัยของพวกสัตว์ มนุษย์เริ่มที่จะ
ตระหนักและสร้างบ้านที่อยู่อาศัยบ้าง มนุษย์เริ่มที่จะให้ความสำคัญกับธรรมชาติโดยผ่านสิ่งที่อยู่
เหนือธรรมชาติ หรือว่าความเชือ่ เรื่องเทพเจ้าต่างๆ เริ่มที่จะมีการบูชาเทพเจ้าต่างๆ ขึ้น เช่น การเซ่น
ดงเซง้ และการบนเทพเจ้าส่ิงเหนือธรรมชาติ
4
1. ความเชื่อสิ่งเหนือธรรมชาติในป่า (เจ้าที่เจ้าทาง) การบนเทพเจ้าเหนือธรรมชาติในป่า
หรือ ถอื เซ้ง เป็นการบนเพอ่ื ทจ่ี ะคมุ้ ครองหมบู่ ้าน
1.1 เทพเจา้ ถือติ คือเทพเจ้าแห่งแผ่นดนิ ผสู้ ร้างแผ่นดนิ หรือเจ้าท่เี จ้าทาง หรือเรียก
อีกอย่างหนึ่งวา่ เทพเจ้า ตวั ะโลง่ วา่ หรอื เทพเจ้าแหง่ ปา่
1.2 เทพเจ้าโฮเต้า คือเทพเจ้าแห่งสิ่งชั่วร้ายทั้งหลาย โดยบนไว้เพื่อคุ้มครองคุ้มกัน
หมู่บ้านเพื่อให้สิ่งชั่วร้ายไม่สามารถเข้ามาในหมู่บ้านได้ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เทพเจ้าตัวะถือว่า
เป็นเทพเจา้ แห่งดิน
1.3 เทพเจา้ ซตี ัวะวา่ เทพเจา้ แห่งนำ้
1.4 เทพเจา้ โมง่ แซ่ง เปน็ เทพเจา้ ท่ไี มต่ อ้ งบนจะเรียกใชเ้ ฉยๆ เป็นเทพเจ้าที่ช่วั รา้ ย
จะใชใ้ นกรณที ่เี กดิ คดีความ
1.5 เทพเจา้ เยาะแซ่ง เทพเจ้าแหล่แซง่
1.6 เทพเจา้ แมง่ เต้า เป็นเทพเจา้ ในดินหรือฮวงจุ้ย
2. ความเช่ือทอี่ ยู่ในบ้าน / บรรพชน / ผีบ้านผีเรอื น (Dab quas)
ผบี า้ นผีเรือนจะบนเพอ่ื ให้ความคมุ้ ครองคนในบา้ น และสตั วเ์ ล้ยี ง รวมทัง้ การทำมาหากิน
การประกอบอาชพี
2.1 ซือก๊ะ มีการบนเพื่อที่จะให้คุ้มครองคนในบ้านให้อยู่เย็นเป็นสุข คุ้มครอง
ทกุ อยา่ งในบา้ นและท่เี จา้ ของบา้ นมีอยู่
2.2 ด๊าโตรง เป็นผีท่ชี ่วยปกปอ้ งรักษาลกู หลาน เป็นผีท่อี าศัยอยู่ในทนี่ อน โดยผ้หู ญิง
เป็นฝา่ ยนำและเปน็ เจ้าของ
2.3 เช่ียแมง้ เปน็ ผที ี่เฝา้ ประตู ปอ้ งกันและปดั เป่าสิ่งช่ัวร้ายมิให้เข้ามาในบ้านได้ มีแต่
บางแซ่เท่านนั้ ที่บนแต่ส่วนใหญจ่ ะนบั ถอื
2.4 ผีเตาไฟเล็ก (Dab qhov cub) โดยใหด้ แู ลเร่ืองการทำอาหารการกิน
2.5 ผีเตาไฟใหญ่ (Dab qhov txos) โดยให้ดแู ลเร่อื งการทำมาหากิน
2.6 หิ้งทา่ แน้ง หรือผีทรง มดี ้วยกัน 2 อยา่ งคือ
๑) แนง้ ตาขาว (Neeb muag dawb) เปน็ แน้งทเี่ รียนมา
๒) แนง้ ตาดำ (Neeb muag dub, Need rooj) เป็นแนง้ ทบ่ี รรพบรุ ุษกลับมาให้ทำ
2.7 หิ้งยาสมุนไพร บนเพื่อที่จะให้ยามีความเป็นยาที่เข้มข้น และช่วยรักษาการ
เจ็บปว่ ยใหไ้ ด้ผลอยา่ งจริงจัง
2.8 ผีฟ้า (Dab ntug) โดยมีผู้นำทางความเชื่อเป็นแกนนำหลัก แต่จะมีเฉพาะบาง
กลุม่ แซเ่ ท่าน้นั ทส่ี ามารถจะนำได้
2.9 บรรพบุรุษ (Pog yawg) จะไม่มีหิ้งบูชา จะอาศัยอยู่กลางบ้าน แต่จะมาขอส่วน
บุญกศุ ลจากผู้เป็นลกู
2.10 เสาเอก เป็นเทพเจ้าที่มีอำนาจสูงสุดในบรรดาทวยเทพที่อาศัยอยู่ในบ้านหรือ
เสาหลักในบ้าน
5
3. ความเชื่อเร่ืองเทพเจ้าสงู สุด
ความเชื่อเร่ืองเทพเจ้าสูงสดุ นนั้ มง้ มคี วามเชอ่ื ว่าเปน็ ทสี่ ถิตของวิญญาณบรรพชน
3.1 ดินแดนที่เงียบสงบและหนาวเย็น (Ntuj ntsiag teb tsaus) ดินแดนนี้เป็นที่เชื่อ
ว่าเปน็ ดินแดนทมี่ ง้ เคยอาศัยอยู่มาก่อน หรอื เป็นดินแดนที่มง้ มีความเช่ือว่าเป็นที่สิงสถิตของวิญญาณ
บรรพชน เมื่อม้งเสียชีวิตลง วิญญาณจะกลับสู่ที่ดินแดนที่ก่อกำเนิดมนุษย์ขึ้นมา หรือกลับไปอยู่กับ
บรรพชนซ่ึงเป็นดินแดนที่เงยี บสงบ
3.2 เทพเจ้าผู้ปกครองโลก หรือ เย่อโซ๊ะ เป็นผู้ก่อกำเนิดและสร้างทุกสิ่งทุกอย่าง
เยอ่ โซ๊ะ เปน็ ทีก่ ่อกำเนิดขึ้นมาเองโดยธรรมชาติ และเปน็ ผทู้ ่สี ามารถจะบันดาลทกุ อย่างให้เกิดข้ึนตาม
ความต้องการได้ เปน็ เจา้ ของสรรพสิ่งท้งั มวลหรือเปน็ เทพท่เี ป็นใหญ่
3.3 นยู้วะตวั ะแต่ง / นยู้วะสิกแต่ง และยมบาล (Nyuj vab tuam teem / nyuj vab
sim teem thiab Ntxwg nyoog) เป็นที่อยู่ของเทพเจ้าแห่งความดีและความชั่ว ม้งเชื่อว่าทุกคนที่
ตายไปแล้ว จะได้รับการตัดสินความจากสองท่านนี้ ผู้ที่ทำดีก็อาศัยอยู่กับเย่อโซ๊ะ และกลับมาสู่
มาตุภูมิตนหรือมาเกิดใหม่เป็นมนุษย์ส่วนผู้ที่ทำความชั่วจะไปกับยมบาลลงนรก และเกิดมาใหม่เป็น
สัตว์เดรัจฉาน
3.4 ซียี มนุษย์ที่ได้คัดเลือกจากบรรพชนให้ผู้สามารถติดต่อระหว่างมนุษย์กับ
นยู้วะตัวะแต่ง และยมบาลได้ เพื่อช่วยเหลือมวลมนุษย์ ขึ้นบนสวรรค์ลงนรกได้ แต่ไม่สามารถ
ที่จะเข้าไปสู่ดินแดนที่เงียบสงบอันเป็นที่สูงสุดได้ขณะที่ซียียังมีชีวิตอยู่ได้ (องค์ความรู้ท้องถ่ิน
ชนเผ่าม้ง, ม.ป.ป., หนา้ ๒๔-๒๖)
ประเพณแี ละพิธีกรรมทสี่ ำคญั
ในรอบชีวิตหนึ่งของคนม้งจะมีพิธีกรรมต่างๆ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของคนม้งเป็น
อย่างมากไม่ว่าพิธีกรรมเฉพาะบุคคล พิธีกรรมเฉพาะตระกูลหรือพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับสังคมและ
ชุมชนของม้ง ซึ่งมีอยู่มากมายหลายอย่าง เช่น พิธีกรรมเกี่ยวกับการเกิด ประเพณีการแต่งงานและ
การหยา่ รา้ ง การเปลยี่ นชือ่ ผู้อาวุโส พธิ กี รรมงานศพ ประเพณปี ีใหม่ เทศกาลกินวอ
พิธกี รรมทางความเช่ือท่สี ำคัญ
1. ผีววั (Nyuj dab) เป็นการฆ่าววั ใหบ้ รรพชนพอ่ แมผ่ ลู้ ่วงลับไปนานแลว้ บา้ นที่อยอู่ าศัยของ
เขาเหล่านั้นได้เสื่อมโทรมลง ต้องกลับมาหาลูกหลานเพื่อขอให้ลูกหลานช่วยเหลือเพื่อซ่อมแซมบ้าน
โดยใหล้ ูกหลานฆา่ ววั ให้พอ่ แม่ท่ลี ว่ งลบั ไปแล้ว และอีกอย่างเพอ่ื เปน็ การมาเกบ็ ค่าน้ำนมค่าเลี้ยงดูของ
พ่อแม่ โดยพ่อแม่กลับมาหาและขอความช่วยเหลือจากลูกชายเท่านั้น เพราะลูกชายเป็นผู้ที่สืบสาย
ตระกูลของพอ่ แม่ ลกู ๆ ทีเ่ ป็นชายต้องฆ่าววั ประกอบพธิ กี รรมสง่ ใหพ้ ่อแม่
2. หมูผี / ผีประตู (db roog) ผีประตู (ด้าตรอง) หรือหมูผี (บัวด้า) เป็นผีที่ประกอบใน
ห้องนอน ผีตนนี้ผู้หญิงเป็นฝ่ายนำและติดตามผู้หญิงเท่านั้น เพราะว่าสมัยก่อนนั้นมีเรื่องเล่ากันว่า
พิธีกรรมนี้ผู้หญิงเป็นผู้ประกอบพิธีกรรม ฉะนั้นผู้หญิงจึงเป็นผู้นำ และติดตามมาตลอด เพราะความ
อยากเป็นผู้นำ ผู้ชายจึงลวงมาเป็นผู้ประกอบพิธีกรรมแทน แม้ว่าเมื่อยังเป็นโสดนัน้ จะต้องมีห้องนอน
เฉพาะของตนเองแต่จะไมม่ ีการประกอบพธิ กี รรมนี้ ตอ้ งเปน็ บคุ คลที่แตง่ งานและมลี กู แลว้ เทา่ นน้ั
6
และภรรยายงั มชี ีวิตอยู่ จึงสามารถทีจ่ ะประกอบพธิ ีกรรมนี้ได้ การประกอบพิธีกรรมจะกระทำเมือ่ ผี
ตนนี้เข้ามาขอเท่านั้น จึงมีการประกอบพิธีกรรมให้ โดยปกติลูกหนึ่งต่อการประกอบพิธีกรรมนี้หนง่ึ
ครั้ง หากหมดวัยเจริญพันธุ์แล้วนานๆ ครั้ง จะประกอบพิธีครั้งหนึ่งหรือตามที่ผีตนนี้เรียกร้อง การ
ประกอบพิธีกรรมนี้จะใช้หมูตัวเมยี มาประกอบพิธกี รรมเท่านัน้
3. ผีฟา้ (Dab ntug) ผฟี ้าเปน็ ผอี กี ตัวทม่ี กี ารประกอบพิธีกรรมดว้ ย เพราะสมยั ก่อนนั้นเม่ือ
อพยพหนีสงครามต้องเดินผ่านทางน้ำ แต่ไม่สามารถท่ีจะผ่านได้อย่างราบรื่นจึงมกี ารบนผีฟ้า โดยเอา
ลูกชายคนเล็กมาแก้บน และมีบางเรื่องเล่าว่านำเอาให้พญานาคนั้นกิน เพื่อที่จะช่วยให้ขา้ มน้ำได้คน
จึงสามารถที่จะข้ามน้ำมาได้ ให้สัญญาว่าจะส่งหมูทุกปีให้ลูกชายคนเล็กอยู่ที่นั่นรอ ฉะนั้นปัจจุบัน
จงึ มีการทำพิธกี รรมเซน่ ผีฟา้ เพ่อื ส่งหมูไปใหล้ ูกชายคนเล็ก และมีบางสายตระกูลแซไ่ ม่มกี ารประกอบ
พิธีกรรมน้ี
การประกอบพิธีกรรมนั้นจะประกอบเมื่อมีการย้ายบ้านแต่ละครั้งเท่านั้น โดยการสร้าง
บ้านใหม่บนพื้นที่ใหม่ ถ้าเป็นพื้นที่เดิมจะไม่มีการประกอบพิธีกรรมให้ เพราะการย้ายบ้านแต่ละครั้ง
เปรียบเสมือนการเปลี่ยนเรือเพื่อข้ามน้ำไปอีกฝั่งหนึ่ง เมื่อมีการย้ายบ้านหนึ่งครั้งจะมีการประกอบ
พิธีกรรมน้หี นึง่ คร้งั เพอ่ื ส่งหมไู ปใหค้ นท่ไี ดบ้ นไวเ้ ม่ือเวลาอพยพหนสี งครามมา
4. การบนบาน (Fiv yeem) การบน คือ การบนอญั เชญิ สง่ิ ศักดิส์ ทิ ธ์ิเทพเจา้ บนฟ้า เพ่ือมา
คมุ้ ครองสง่ิ ต่างๆ ทตี่ อ้ งการคุ้มครอง ถ้าค้มุ ครองไดจ้ ึงมกี ารแกบ้ น หรือว่าจะเปน็ การเซ่น (จี Txi) การ
บนน้ันจะมอี ยู่ด้วยกันหลายอย่าง หลายวิธี การบนเพือ่ คมุ้ ครองมนษุ ย์เป็นอีกอยา่ งหนึง่ และคุ้มครอง
สรรพสิง่ อยา่ งอนื่ มอี ีกอยา่ งหน่ึง
การบนและอัญเชิญเพื่อที่จะให้มาคุ้มครองคนนั้น เป็นการอัญเชิญเทพเจ้าที่สิงสถิตอยู่บนฟ้า
มากกว่าเทพเจ้าที่คุ้มครองแผ่นดินหรือเจ้าที่เจ้าทาง บางคนก็อัญเชิญเทพเจ้า 9 องค์ บางคนก็เชิญ
เทพเจ้า 12 องค์ อยูท่ ่วี า่ ได้รับการสอนมาอยา่ งไร
อุปกรณ์และสิ่งของการบน ๑. ธูป ๒. กระดาษสา (เงิน ทอง) ๓. ไก่ ๔. ไก่คู่ ๕. หมู ๖. วัว
๗. ควาย
การแก้บน (Pauj yeem)
เมอ่ื บนแลว้ สามารถท่จี ะคุ้มครองไดจ้ ริง จงึ มีการแกบ้ นตามท่ีสญั ญากบั เทพเจ้าไว้ ไมว่ ่าจะบน
เพื่อคุ้มครองสิ่งใดก็ตาม การบนเพื่อคุ้มครองคนไข้เมื่อหายดีแล้วก็ต้องแก้บนทันที แต่ถ้าบนให้ครบปี
เมื่อครบปี ช่วงสิ้นปีเริ่มปีใหม่จะมีการแก้บนให้ในช่วงนั้น ถ้าเมื่อบนแล้วไม่สามารถที่จะคุ้มครองให้
ตลอดรอดฝั่งก็จะไม่มีการแก้บนให้ แม้เพียงกลิ่นธูปเศษกระดาษก็มิให้ตกให้เห็นได้ แต่ก็มีบางวิธีต้อง
เอากระดาษสา ธูปเทียนให้ด้วยตามท่ีสัญญาไว้ เมื่อใช้สิ่งใดบนจะต้องใช้ส่ิงน้ันในการแก้บน สัตว์ทีใ่ ช้
การแกบ้ นน้ันจะใชเ้ ฉพาะตวั ผูเ้ ท่าน้ัน
5. การลื่อโต้ การปัดรังควาน (Lwm tauj / Lwm sub) การลื่อโต้ หรือเรียกโดยตรงว่า
การปัด รังควานสิ่งชั่วร้ายออกไป โดยเป็นวิธีการหนึ่งที่สามารถจะปัดกวาดสิ่งไม่ดี โรคภัยไข้เจ็บให้
ออกไปเพื่อมิให้มากล้ำกรายคนได้ โดยเอาหญ้าไม้กวาดมาปัดมากวาดทิ้งออกไป เป็นการปัดกวาด
โรคภยั ไขเ้ จ็บ เร่ืองคดคี วาม ใบไม้กวาดเปน็ สิ่งหนึง่ ทสี่ ามารถทจี่ ะปดั กวาดขจดั สงิ่ ทไ่ี มด่ ี สง่ิ ท่ีช่ัวร้าย
7
ออกไปจากวิถีชีวิตได้เป็นอย่างดี ช่วงระยะเวลาที่เหมาะในการทำพิธีกรรม คือ ช่วงวันที่ ๒๕, ๒๙
เดอื นเก้ามง้ อยทู่ ี่วา่ สายตระกูล แซใ่ ดมีความเชอ่ื อยา่ งไร กลุม่ สายตระกูลแซ่ทีม่ ีการปดั กวาดส่ิงไม่ดี
ออกไปในชว่ งเดอื นเก้าแลว้ นัน้ จะไมม่ ีการปัดกวาดสง่ิ ไมด่ ี โรคภัยไขเ้ จ็บ คดคี วาม (ล่อื เต้า LWm Toj)
ในชว่ งเทศกาลปใี หม่ เพยี งประกอบพธิ ีกรรมทั่วไปเทา่ นั้น
โดยการนำเอาผ้าสีแดงมัดไว้ที่ใบไม้กวาด จึงนำเอามาปัดกวาดสิ่งที่ไม่ดีออกไปได้ เพราะผ้า
สีแดง อันหมายถึงสิ่งที่ไม่ดี หลังจากที่ปัดกวาดเรียบร้อยแล้วนั้นนำเอาไปมัดไว้ที่ต้นเสา แล้วเอามีด
ฟนั ใบหญา้ ไม้กวาดน้ันท้ิงเสยี ดง่ั การทำลายสิ่งไมด่ ีนั้น โดยตอ้ งฟนั ใหข้ าดท้งั หมด ถ้าสามารถฟนั แล้ว
ขาดภายในทีเดียว ในปีนั้นทุกคนจะอยู่อย่างร่มเย็นสงบสุข ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บมากวน ไม่มีคดีความ
มาว่า เพราะสามารถที่จะทำลายสิ่งชั่วร้ายนั้นได้ดี แต่ถ้าไม่สามารถที่จะฟันให้ขาดภายในทีเดียว
ต้องพยายามฟนั ใหข้ าดให้ได้ด้วย เพอ่ื ทจ่ี ะสามารถทำลายสง่ิ ชวั่ รา้ ยนั้นได้ลง แมว้ ่าจะไมไ่ ดท้ ั้งหมด
6. การเลี้ยงผี (Laig dab) เม่อื มกี ารประกอบพิธกี รรมใดต้องมีการทำบุญเลี้ยงผี หรอื ว่าการ
เลี้ยงบรรพชนต่าง ๆ ที่ได้ล่วงลับไปแล้ว และผีบ้านผีเรือนได้มาร่วมกิน ร่วมรับประทาน ร่วมดื่ม
ด้วยกัน ถือว่าเป็นการแบ่งอาหารให้เหล่าบรรพชนได้ร่วมดื่มกินด้วย เพื่อที่จะให้ช่วยคุ้มครอง
ลูกหลานให้สามารถที่จะกระทำอันใดก็ได้เพื่อที่จะสามารถหามาเลี้ยงชีพได้ และสามารถที่จะเลี้ยง
เหล่าบรรพชนและผีบ้านผีเรือนได้ด้วย ไม่ว่าจะประกอบพิธีกรรมใดกต็ ้องมีการเลี้ยงผบี รรพชนด้วย
แม้ว่าการฆ่าสัตว์เพื่อการกินเลีย้ ง หรือว่าได้ผลผลิตใหม่ต้องมีการเลี้ยงบรรพชนและผีบ้านผีเรือนก่อน
ก่อนที่จะให้ทุกคนในครอบครัว จะได้รับประทาน เช่น ข้าวโพด แตง ข้าว เป็นต้น หรือว่าต้องการ
เพอื่ ที่จะขอใหเ้ หล่าบรรพชนชว่ ยคุ้มครองจึงมกี ารเล้ียงขอ เม่อื มกี ารเดนิ ทางไกล ไม่วา่ จะเป็นไข่ เป็น
เนื้อก็ได้ หรือว่ามีการไปเที่ยวต่างแดนหรอื ไปพักในไร่ในสวน เมื่อมีการรับประทานอาหารในช่วงเย็น
จะมกี ารเลยี้ งผเี จ้าทเ่ี จา้ ทางก่อน กอ่ นท่ีจะลงมอื กินทกุ เย็น เพือ่ ท่ใี ห้เจ้าที่เจา้ ทางได้ร่วมด่มื กินดว้ ย
การเลี้ยงอาหารบรรพชนนั้นจะต้องเลี้ยงอย่างน้อย สามช่วงคน ถึงสี่ช่วงคน โดยเป็นช่วงที่เหนือ
ขึ้นไปจากผู้ทำพิธีขึ้นไป สองช่วงคนมาถึงช่วงคนทำพิธีและช่วงคนลงมาอีก จนกว่าจะหมดช่วงคนน้ัน
แตล่ ะช่วงคน
7. การดูฤกษ์ ดูยาม (Tshuaj sij / Xam meem) การดูฤกษ์ชั่วซี่ และการดูยาม ซ่าแม่ง
เป็นการดูช่วงเวลาดูฤกษ์ดูยามอย่างหนึ่งในการทำมาหากินเหมือนกัน แต่การชั่วซีไม่เหมือนการ
ซา่ แม่ง
การชั่วซี่ เป็นการดูฤกษ์เพื่อการทำมาหากินการประกอบสัมมาชีพ ดูช่วงเวลาที่เหมาะสม
สำหรบั การประกอบอาชพี เล้ียงเป็นการทำมาเล้ียงชพี และประกอบพิธกี รรม
การซ่าแม่ง เป็นการดูฤกษ์ดูยามเหมือนกัน แต่จะนำมาใช้ในลักษณะชองการว่าคดีความ
และการดกู ารเจบ็ ปว่ ย และการรกั ษาคนไข้ (องค์ความรทู้ ้องถ่นิ ชนเผ่าม้ง, ม.ป.ป., หนา้ ๖๒-๖๘)
เอกลกั ษณ์ ศิลปะ การละเล่นของม้ง
เอกลักษณ์ ศิลปะ การละเล่นของมง้ เปน็ เอกลกั ษณเ์ ฉพาะของม้งเอง ท่แี ตกต่างไปจากกลุ่มอ่ืน
เช่น การเล่นลูกช่วง การตขี นไก่ การเปา่ ใบไม้ ขลุย่ ขลุ่ยใบไม้ ป่ี จา่ ง(จงิ้ น่อง) แคน ลกู ขา่ ง หน้าไม้
เป็นตน้
8
การละเล่นลูกชว่ ง (Pov Khaub hnab) การละเล่นลกู ช่วงภาพ๑ หรอื การโยนลกู บอลผ้า
1. การเล่นลูกช่วงม้งขาวเรียกว่า การป๋อป้อ การโยนลูกช่วงแบบม้งขาวนั้นเป็นการโยน
ให้ลูกบอลสูงกว่าหัวไหล่ หรือเหนือหัว เป็นลักษณะของการขว้างลูกบอล ซึ่งเป็นเอกลกั ษณ์การโยน
บอลของมง้ ขาวโดยเฉพาะ การที่โยนลกู ต่ำกว่าหวั ไหลเ่ ปน็ ลักษณะการเหวยี่ งมากกว่าการโยนบอล
2. การเล่นลกู ชว่ งมง้ เขียวเรียกว่า จุกป้อ การโยนบอลแบบมง้ เขยี วน้ันเป็นลกั ษณะการเหว่ียง
ลูกบอลไปข้างหน้า เป็นการโยนบอลต่ำกว่าหัวไหล่ลงมา หรือ บางครั้งอาจต่ำกว่าช่วงระดับเอวด้วย
ในอดีตนัน้ ส่วนใหญน่ ยิ มการโยนลูกบอลเหนือหัวไหลเ่ ท่านน้ั
ภาพที่ ๑ การละเล่นลกู ชว่ ง
http://hmongibsineeb.blogspot.com/2014/02/blog-post.html สบื คน้ เม่ือ ๓๐ มิถนุ ายน ๒๕๕๙
กฎกตกิ าการโยนลูกช่วง
1. ลูกช่วงนั้นฝา่ ยหญิงเป็นฝายทำ
2. การมอบลกู ช่วงให้ฝา่ ยชายนนั้ ฝา่ ยหญิงอาจให้ตวั แทนเปน็ ฝ่ายมอบให้ หรืออาจนำไป
มอบเอง
3. การมอบลูกช่วงน้ันตอ้ งมอบใหก้ ับฝ่ายชาย ฝ่ายหญงิ ที่ตระกลู แซต่ า่ งกนั
4. ฝ่ายหญงิ ตอ้ งเปน็ โสด ในอดีตนน้ั ไมจ่ ำเป็นตอ้ งเป็นผู้เป็นโสดเท่านัน้ ท่จี ะเลน่ ได้
๕. ฝ่ายชายนั้นจะเปน็ หนุม่ โสดหรือไมก่ ็ได้
๖. ฝ่ายชายจะโยนลกู ช่วงกบั ฝ่ายหญิงหนึ่งคน หรอื สองคนได้
๗. การโยนน้ันตอ้ งโยนใหถ้ ึงผู้รับ ไมโ่ ยนแรงหรอื เบาจนเกินไปจนฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถ
รบั ลกู ช่วงได้ และตอ้ งไม่อยู่ไกลเกินกวา่ จะโยนลกู ผ้าไปถงึ ได้
๘. การท่ีไม่อยากโยนลูกช่วงกับคู่โยน ต้องไม่รีบบอกเลิกการโยนลูกช่วง เพื่อเป็นการ
รกั ษาหนา้ เพ่อื ไมใ่ ห้อีกฝา่ ยเสียหนา้ จะมีวธิ กี ารหลกี เลี่ยง เชน่ ขออนญุ าตไปดื่มน้ำ
๙. ฝ่ายชาย หรือฝ่ายหญิงเวลาโยนตอ้ งอย่คู นละฟากฝั่ง ไม่อยปู่ นกนั
๑๐. ตอ้ งพูดจาสุภาพเรยี บรอ้ ย
9
1๑. เมื่อทั้งสองฝ่ายมีการตกลงอย่างไรต้องปฏิบัติตามคำพูด เมื่อมีการเล่นผิดพลาดต้อง
ปฏิบตั ติ ามคำพูดตามท่ีตกลงไว้
1๒. เมื่อลูกช่วงตกเปื้อนดินต้องปัดดนิ ก่อนที่จะโยนต่อไป เพื่อมิให้ดินไปเปื้อนหรือเข้าตาอกี
ฝา่ ยหน่ึง
1๓. ตอ้ งแตง่ กายให้สะอาด และเปน็ ระเบียบเรียบร้อย แต่งเฉพาะชดุ ม้งเทา่ นัน้
1๔. เม่อื เขายื่นลกู บอลให้ควรจะรบั ไว้มิใหย้ นื่ นานจนเกินไปจนอีกฝ่ายเกดิ ความอาย ถา้ ไม่
พอใจคอ่ ยหาวธิ ีหลีกเลี่ยงได้
1๕. สังเกตพฤตกิ รรมบางอย่างของคโู่ ยนว่ามีความพอใจหรอื ไม่อยา่ งไร
การรับลูกชว่ ง
- รับดว้ ยมอื เดียว
- รับด้วยสองมอื
(องค์ความรูท้ ้องถน่ิ ชนเผ่ามง้ , ม.ป.ป., หน้า ๘๔-๘๕)
ลกู ข่าง ลูกขา่ งน้ันม้งนำมาเล่นเพ่ือความสนุกสนานภาพ๒ นิยมเลน่ ในช่วงฤดูกาลเทศกาลกินวอ
หรือปีใหม่ม้งเท่านั้น เป็นการทำมาจากไม้เนื้อแข็งและมีน้ำหนักมาก ลูกข่างมี 2 ประเภท คือ
ลูกข่างแม่ เป็นลูกข่างท่ีไม่มีหวั หัวเรียบ การหมุนจะดีกวา่ ลูกข่างผู้ และลูกข่างผู้ เป็นลูกข่างที่มีหัว
การตีลูกข่างนั้น จะเป็นการตีด้วยเชือก ต้องใช้บริเวณพื้นที่กว้างและพื้นแน่นแข็งลูกข่างจึงสามารถ
ท่ีจะหมุนได้ดีและนาน นยิ มใชล้ กู ข่างแม่มากกวา่ (องคค์ วามรู้ทอ้ งถิน่ ชนเผา่ มง้ , ม.ป.ป.,หนา้ ๙๒-๙๓)
ภาพท่ี ๒ การตลี กู ข่าง
https://i.ytimg.com/vi/YhVjldzkfMw/maxresdefault.jpg สบื คน้ เมอ่ื ๓๐ มิถนุ ายน ๒๕๕๙
10
เครอ่ื งแตง่ กาย
เส้อื
เสื้อผู้หญิงม้งขาวภาพ๓ เสื้อเป็นแบบยาวเกือบถึงเอว ผ่าอกตลอด มีการทำขอบเสื้อยาวเกือบ
เทา่ ตวั เสือ้ มีปกเสอ้ื ใหญ่และมีลักษณะเป็นสเี่ หลีย่ ม
เสื้อผู้หญิงม้งเขียว ลักษณะตัวเสื้อเหมือนของม้งขาว จะต่างกันตรงที่ปกเสื้อ ลักษณะปกเสื้อ
ของม้งเขียวจะเป็นรูปหกเหลี่ยมหักมุมเข้าไปด้านใน และลักษณะการมาติดกับตัวเสื้อนั้นจะติดเพียง
นิดเดียวเท่านั้นขนาดประมาณ 1–2 นิ้วเท่านั้น และยังมีลักษณะเสื้อที่ออบหน้าด้วยลายผ้าจะมี
ลักษณะเหล่ียมเลย่ี มหลายเหลี่ยมดว้ ยกัน
เสื้อผู้ชาย ไม่ว่าม้งขาวหรือม้งเขียวจะมีลักษณะที่เหมือนกันคือเป็นเสื้อออบหน้าเป็นเสื้อที่มี
ความยาวแค่ปกคลุมไว้ช่วงอกเท่านั้นภาพ๔ แต่จะต่างตรงที่เสื้อของม้งเขียวนั้นมีลายปักที่ผ้าปก
ออบหน้าของม้งขาวมีเพียงลายปัก ที่มีขนาด 2 นิ้ว เสื้อของม้งเขียวนั้นลายปักแทบจะเต็มปกเส้ือ
ดา้ นหน้าและ มีลายปักรอบตวั เส้อื
ภาพท่ี ๓ เส้อื ผู้หญิงม้งขาว
ภาพที่ ๔ เสอ้ื ผูช้ ายม้งขาว
ภาพที่ ๓ – ๔ ทม่ี า : http://www.baanjomyut.com/library_2/history_of_costume/06_1.html
สบื คน้ เมอ่ื ๓๐ มิถนุ ายน ๒๕๕๙
11
กางเกง
ผหู้ ญิงมง้ ขาวนั้นจะใส่กางเกงเหมือนกางเกงของผู้ชาย เป็นลกั ษณะทมี่ เี อวกวา้ ง และขากางเกง
ใหญ่สามารถท่ีจะถลกขนึ้ มาได้สงู และมเี ป้ากางเกงท่ีสน้ั
มง้ เขียวนัน้ ผ้หู ญงิ จะไม่ใส่กางเกง จะใสเ่ ฉพาะผชู้ ายภาพ๕ เป็นกางเกงที่มลี ักษณะเอวกว้าง มีเป้า
กางเกงยาวถึงพน้ื ดนิ ขากางเกงนน้ั เล็กไม่สามารถทจ่ี ะถลกขึ้นได้สูงมากนักเพยี งแค่ทเ่ี ขา่ เทา่ น้ัน
ภาพท่ี ๕ เสือ้ และกางเกงผ้ชู ายม้งเขียว
ที่มา : http://www.baanjomyut.com/library_2/history_of_costume/06_1.html
สบื ค้นเมื่อ ๓๐ มถิ นุ ายน ๒๕๕๙
กระโปรง
กระโปรงของม้งทั้งสองกลุ่มมีลักษณะที่เหมือนกัน จะต่างกันตรงที่สีของกระโปรงเท่านั้น
กระโปรงของม้งขาวนั้นจะมีลักษณะเป็นสีขาวล้วน ไม่มีอะไรมาตกแต่งและการย้อมสี กระโปรงของ
ม้งเขียวภาพ๖ นั้น จะมีการยอ้ มสใี หด้ เู หมอื นสีดำ สนี ำ้ เงนิ และจะมลี ักษณะการปักชว่ ยตกแต่ง
ภาพท่ี ๖ กระโปรงมง้ เขยี ว
ทีม่ า : http://www.baanjomyut.com/library_2/history_of_costume/06_1.html
สบื คน้ เมือ่ ๓๐ มิถนุ ายน ๒๕๕๙
12
ผา้ มดั เอว ของผู้ชาย (ซี)
ลกั ษณะผ้าคาดเอวนั้นจะมีลกั ษณะเหมอื นกันจะต่างตรงทใ่ี ชส้ ี มง้ ขาวน้ันชอบใชส้ ีในโทนสีแดง
ส่วนม้งเขียวนั้นใช้สีดำ ส่วนปลายที่มีลายปักนั้น ม้งเขียวจะมีลักษณะเฉียง 45 องศา มีเหลี่ยมเลี่ยม
สว่ นม้งขาวนนั้ มลี ักษณะท่ีตรงไม่ตัดเฉยี ง
ผา้ มดั เอวของผู้หญิง (เช)
ลักษณะของผ้ามัดเอวของผู้หญิงม้งขาวและม้งเขียวมีลักษณะที่เหมือนกัน จะต่างกันตรงท่ี
ม้งขาว จะมีลายปักช่วงต่อกับเช และช่วงทา้ ยสุดของซี ม้งเขียวจะมีลายปกั อยู่ทีช่ ่วงท้ายของซีเท่านั้น
และเชมขี นาดท่ีกวา้ งกวา่ ของม้งขาว
เชหลงั มีลักษณะที่เหมอื นกันกับเชหนา้ แต่มีขนาดที่เลก็ กวา่ เลก็ นอ้ ย
ชุดแต่งกายของม้งขาวนั้น ในสมัยก่อนเชือ่ ว่า เป็นชุดทีใ่ ช้สำหรับการทหาร เพราะเป็นชุดที่ใส่
แล้วสะดวกในการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นชดุ ผู้หญิงหรือผู้ชาย ที่ทำให้ผู้หญิงมง้ ขาวต้องสวมกางเกงแทน
และกระโปรงทเ่ี ป็นสีขาวเพราะไมม่ เี วลาทีท่ ำการย้อมสี ต้องทำสงคราม หลังจากท่ีผ่านการทำสงคราม
แล้วก็ยัง ใส่ชุดอยู่เช่นเดิม เพราะง่าย ใส่สะดวก รวมทั้งภาษาพูดของม้งขาวนั้นจะเป็นภาษาทางการ
ของมง้ หรือเป็นภาษากลางในการตดิ ตอ่ ซ่ึงกนั และกัน เป็นคำท่โี ดดๆ ออกเสยี งง่าย ไม่มีควบกล้ำมาก
เชน่ ภาษากล่มุ อ่นื ๆ
ภาพที่ ๗ การแต่งกายผหู้ ญงิ ม้งเขยี วหรือม้งลายในยุคปัจจุบนั
ท่ีมา : http://static.tlcdn3.com/data/0/pictures/ สบื คน้ เมื่อ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๙
ภาษา
ภาษาพดู ของมง้ เป็นภาษาตระกลู หน่ึงของภาษาจนี แตม่ ิใชภ่ าษาจนี โดยเฉพาะ และจะมีความ
แตกต่าง ตามเฉพาะกลุ่มของม้งเอง และมีความแตกต่างตามพื้นที่ที่ม้งอาศัยอยู่ใกล้เคียง มีบางคำม้ง
ยืมมาจากชนชาติอื่นมาใช้ ภาษาม้งนน้ั บางกลุ่มใช้ความใกล้เคียงกนั สามารถทีจ่ ะสอ่ื กันรูเ้ รื่องไดอ้ ยา่ ง
ชดั เจน แต่มบี างกลุ่มท่ีไม่สามารถทจ่ี ะส่อื กนั ไดเ้ ลย และมีบางกลมุ่ ทส่ี ามารถทีจ่ ะสอื่ ร้เู ร่ืองบ้างไมร่ ู้เร่อื งบ้าง
13
และบางครั้งภาษาพูดนั้นอยู่ที่ว่าม้งอาศัยอยู่ใกล้เคียงกับบริเวณใด ชนชาติใด จะมีสำเนียงภาษา
ใกล้เคียงกับภาษาของชนชาตินั้น ๆ อย่างเช่น ม้งในประเทศไทยจะมีคำพูดบางคำเป็นภาษาไทย
ผสมมง้ ในประเทศจีน ก็ออกสำเนียงไปเป็นภาษาจีน และมบี างคำเป็นภาษาจีนผสมปนเปอยูด่ ้วย
ภาษาเขียน ม้งนั้นไม่มีภาษาเขียนเป็นของตนเอง ในปี 1955 ได้มีคณะมิชชันนารีได้คิดค้น
แบบอักษรเพ่ือใชส้ ่ือในภาษาม้ง โดยนำอกั ษรโรมนั ไนส์มาออกแบบเปน็ ตัวหนังสืออกั ษรภาษามง้
ชาวเขาเผ่าม้งในจังหวัดพะเยา
จังหวัดพะเยามีหมู่บ้านของชาวเขาเผ่าม้ง จำนวน ๑9 หมู่บ้าน แยกเป็นอำเภอปง จำนวน
๗ หมู่บ้าน อำเภอเชียงคำ จำนวน 6 หมู่บ้าน อำเภอภูซาง จำนวน 5 หมู่บ้าน และอำเภอดอกคำใต้
จำนวน 1 หมูบ่ า้ น แต่ละหมบู่ า้ นมีประวัติความเปน็ มา เช่น
บ้านประชาภักดี หมู่ที่ ๑๓ และบ้านประชาพัฒนา หมู่ที่ ๒๑ ตำบลร่มเย็น อำเภอเชียงคำ
จังหวัดพะเยา เป็นชาวเขาเผ่าม้ง ซึ่งนับถือศาสนาพุทธ และผีบรรพบุรุษ ปี พ.ศ.2518 มีชุนชน
แต่ละกลมุ่ ได้อพยพเข้ามาตั้งถ่ินฐาน โดยกลมุ่ แรกอพยพมาจากบ้านภูเขาบ้านเลาอู อำเภอเทิง จังหวัด
เชียงราย กลมุ่ ท่ีสองอพยพมาจากขนุ น้ำสา หมทู่ ่ี 8 ตำบลรม่ เย็น อำเภอเชยี งคำ จงั หวัดพะเยา เดิมชื่อ
หมู่บ้านร่องส้าน เป็นหมู่บ้านชาวเขาเผ่าม้ง ซึ่งอพยพหนีภัยหนีภัยจากการเมือง จึงพากันอพยพ
หลบหนีจากหมู่บ้านเดิม เพื่อความปลอดภัยในชีวิต โดยมีนายเลาจือ แซ่หาง (หาญบุญทวี) เป็นผู้นำ
ชนเผ่าหรือหัวหน้าเผ่า จากหมู่บ้านห้วยส้าน, หมู่บ้านนาหนุน ตำบลภูซาง อำเภอภูซาง จังหวัดพะเยา
หม่บู ้านเพียสี อำเภอเชียงของ จงั หวัดเชยี งราย และหมู่บา้ นหว้ ยกอก อำเภอเทิง จังหวัดเชยี งราย1
บ้านห้วยเดื่อดอยนาง หมู่ที่ ๒๒ ตำบลร่มเย็น อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยาราษฎรเป็น
ชาวเขาเผ่าม้ง จำนวน ๔๕ หลังคาเรือน ประชากร ๒๗๕ คน เป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ในเขตป่าสงวน
แห่งชาติ ตั้งหมู่บ้านเป็นอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2555 เดิมราษฎรกลุ่มนี้อยู่ภายใต้
การปกครองของหมู่บ้านประชาภักดีระยะทางห่างจากบ้านประชาภักดี ประมาณ ๓๙ กิโลเมตร การ
ปกครองห่างไกลจากบ้านประชาภักดีมาก ในฤดูฝนการเดินทางไม่สะดวก เวลามีการเลือกตั้งราษฎร
ต้องใช้ระยะเวลาในการเดินทางมาก และเกิดความยุ่งยากลำบาก อีกทั้งงบประมาณจากทางราชการ
เพือ่ นำมาพฒั นาหมบู่ ้าน เกิดความยุง่ ยากและไมท่ ่ัวถึง จึงทำให้มกี ารแยกเปน็ หมบู่ า้ นหว้ ยเดือ่ ดอยนาง2
บ้านขุนกำลัง3 หมู่ท่ี 4 ตำบลขุนควร อำเภอปง จังหวัดพะเยา เดิมชาวบ้านได้อาศัยอยู่ที่
บา้ นฉลองกรุง อำเภอเชียงคำ บ้านขนุ สถาน อำเภอนาน้อย จงั หวดั นา่ น และจากสถานทอี่ ่นื เช่น จาก
จังหวัดเชียงใหม่ พวกชาวบ้านเหล่านี้ได้อพยพมาจากหลายที่ หลายแห่งหลายอำเภอมาอยู่รวมกัน
จึงได้ก่อตั้งหมู่บ้านขึ้นมา ปี พ.ศ.2527 ชาวบ้านที่อพยพมาเป็นชาวเขาเผ่าม้ง และในอดีตชาวเขา
เผ่ามง้ มกี ารอพยพย้ายถน่ิ ฐานบอ่ ยครง้ั จนทำให้ชาวเขาเผ่าม้งในปัจจุบนั บางครอบครัวก็มีสมาชิก
1 อรไท จรัสดาราแสง นกั วชิ าการวฒั นธรรมชำนาญการ สำนักงานวัฒนธรรมจงั หวัดพะเยา ผเู้ รียบเรยี ง
2 อรไท จรสั ดาราแสง นักวชิ าการวฒั นธรรมชำนาญการ สำนกั งานวัฒนธรรมจงั หวดั พะเยา ผเู้ รียบเรียง
3 http://www.khunkhuan.go.th/index.php/2015-05-21-08-14-38 สืบค้นเมอ่ื ๒๖ มิถุนายน ๒๕๕๙
14
แยกกันอยู่คนละทิศคนละทาง แต่ถึงแม้จะแยกกันอยู่ก็มีการติดต่อสื่อสารกันและไปมาหาสู่กัน
อยูเ่ สมอ เพ่ือแสดงใหเ้ หน็ ว่าชาวเขาเผา่ ม้งทุกคนยงั มคี วามรกั และความห่วงใยให้กนั และกนั
อย่างจริงใจในสายใยของครอบครัว หมู่บ้านขุนกำลัง ได้ก่อตั้งประมาณปี พ.ศ. 2527 โดยมีผู้นำ
หมู่บ้านของบ้านฉลองกรุงเปน็ ผูน้ ำ คอื นายเลาวาง แซ่ว่าง
บ้านสันติสุข4 หมู่ที่ ๗ ตำบลขุนควร อำเภอปง จังหวัดพะเยา ในปี พ.ศ.2500 ได้มีนาย
จงจอ แซ่ม้า และญาติพี่น้อง จำนวน 15 ครัวเรือน ได้อพยพย้ายมาจากบ้านสบบง ตำบลสบบง
อำเภอเชียงคำ จังหวัดเชียงราย และมากบั เผา่ เยา้ ทีบ่ ้านปง ทางดอยผาจิ ตำบลผาช้างน้อย อำเภอปง
จังหวัดเชียงราย ต่อมาในปี พ.ศ. 2503 นายเยี้ยโก๊ะ แซ่ม้า ย้ายมาจากอำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัด
เชียงราย จำนวน 5 หลังคาเรือน มาอยู่ด้วยกันรวมเป็น 20 หลังคาเรือน สมัยนั้นชาวบ้านได้เรียก
บ้านสันติสุขว่า“บ้านปงอาง” มีนายเยี่ยโก๊ะ แซ่ม้า เป็นผู้ใหญ่บ้านบ้านปงอาง และยังมีส่วนหนึ่งย้าย
มาจากบา้ นสบบงตามมาอยดู่ ว้ ย
ที่มาของหมู่บ้านสันติสุขนั้นในปี พ.ศ. 2526 ทางกองทัพภาคท่ี 3 ก็ได้เริ่มดำเนินการตาม
โครงการพัฒนาพื้นที่ดอยผาจิและลำน้ำสาวแห่งนี้ เริ่มสร้างถนนจากบ้านผาตั้งเข้ามาถึงลำน้ำสาว
และออกไปยังบ้านสบขุ่นและอีกสายหนึ่งจากบ้านสันผีเสื้อเหนือมาสุดที่ลำน้ำสาว และพัฒนาพื้นท่ี
ลำน้ำสาวให้ชาวบ้านเข้ามาอยูอ่ าศยั ในปี พ.ศ.2527 ชาวบ้านเข้ามาตัง้ เป็นหมู่บ้านตามพื้นที่จัดสรร
ในบริเวณลำน้ำสาวตามโครงการพัฒนาความมั่นคง ต่อมาในปี พ.ศ. 2528 บ้านปงอางก็ตั้งเป็น
หมู่บ้านขึ้นโดยใช้ช่ือหมู่บ้านวา่ หมู่บ้านสนั ตสิ ุข หมู่ที่ 7 ตำบลควร อำเภอปง จังหวัดพะเยา หลังจาก
นั้นในปี พ.ศ. 2537 หลังจากที่ตำบลควรได้แยกเขตการปกครองออกเป็น 2 ตำบล บ้านสันติสุข
อยู่ในเขตการปกรองของตำบลขุนควร หมู่ที่ 7 อำเภอปง จังหวดั พะเยา จนถงึ ปจั จบุ นั
บ้านแสงไทร หมู่ที่ ๗ ตำบลขุนควร อำเภอปง จังหวัดพะเยา ในพ.ศ.2518 มีเจ้าหน้าที่
กอ.รมน. เชียงราย ได้อพยพย้ายชาวบ้านมาจากบ้านแม่ต๋ำน้อย ตำบลบ้านปิน อำเภอดอกคำใต้
จังหวัดเชียงราย จำนวน 12 หลังคาเรือน เข้ามาอยู่ในเขตบ้านสบขาม ซึ่งในตอนนั้นเรียกว่า “ ศูนย์
อพยพชาวเขาบ้านสบขาม” หมู่ท่ี 8 ตำบลควร อำเภอปง จังหวัดพะเยา พ.ศ.2520 ได้มีประชากร
ย้ายมาจากบ้านห้วยส้าน หมู่ท่ี 11 บ้านนาหนุน หมู่ท่ี 12 ตำบลภูซาง มาสมทบเพิ่มเติมอีก
จำนวน 20 หลังคาเรือน พ.ศ.2521 ประชากรย้ายมาจากบ้านหลู้ (ปัจจุบันคือ บ้านไทยสมบูรณ์)
ตำบลม่วงยาย อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย เพิ่มอีก จำนวน 13 หลังคาเรือน พ.ศ.2522 มี
ผู้เข้าร่วมพัฒนาชาติไทย จำนวน 20 หลังคาเรือน จากอำเภอเชียงคำ มาอยู่ด้วยกัน มีเจ้าหน้าที่ฝ่าย
ความมั่นคงภายใน(กอ.รมน.) เป็นผู้ดูแลให้การสนับสนุน พ.ศ.2524 ฝ่ายความมั่นคงภายใน
มอบหมายให้ศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาเป็นผู้ดูแลต่อ โดยเปลี่ยนเป็นหน่วยพัฒนาและ
สงเคราะห์ชาวเขาบ้านสบขาม ในปีพ.ศ.2528 อำเภอปง ได้พิจารณาสัญชาติไทยให้กับราษฎร
ผู้อพยพที่ขึ้นกับบ้านสบขาม หมู่ท่ี 8 ตำบลควร อำเภอปง จังหวัดพะเยา มีนายประสิทธิ์ ซื่อสัตย์ เป็น
ผู้ใหญ่บ้าน หลังจากนั้นนายนาค บุญเทพ เป็นผู้ใหญ่บ้านได้ 5 เดือนก็ลาออก นายทองคูณ
มหาวงศนนั ท์ ไดเ้ ปน็ ผใู้ หญบ่ า้ นจนถงึ ปี พ.ศ.2534 ไดแ้ ยกตำบลควรเปน็ ตำบลขนุ ควร
4 http://www.khunkhuan.go.th/index.php/2015-05-21-08-14-38 สืบค้นเมือ่ ๒๖ มถิ นุ ายน ๒๕๕๙
15
และนายทองคูณ มหาวงศนันท์ ได้รับเลือกเป็นกำนันตำบลขุนควร อำเภอปง จังหวัดพะเยา วันท่ี 1
พฤษภาคม พ.ศ.2539 กรมการปกครองได้ประกาศแยกหมู่บ้านใหม่ออกจากหมู่บ้านสบขาม หมู่
ท่ี 8 เป็น“บ้านแสงไทร” โดยคำว่า“แสงไทร” หมายถึง ราษฎรอยู่ภายใต้ร่มโพธิ์ ร่มไทรของ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของชาวไทยและชาวบ้านบ้านแสงไทร โดยเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม
2539 เป็นวันเลือกผู้ใหญ่บ้านแสงไทร นายสมบูรณ์ วิวัฒน์วิทยา ได้รับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้านคนแรก
ของหมู่บ้านแสงไทร หมู่ที่ ๙ ตำบลขุนควร อำเภอปง จังหวัดพะเยา (องค์การบริหารส่วนตำบล
ขนุ ควร, ๒๕๕๘)
ชนเผ่าม้งในตำบลผาช้างน้อย ชนเผ่าม้งนั้นเริ่มแรก ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่ประเทศมองโกเลีย
เมื่อปี พ.ศ.2197 หรือ 350 ปีที่ผ่านมา ชนเผ่าม้งได้อพยพจากประเทศมองโกเลีย เข้ามาตั้งถิ่นฐาน
ในประเทศจีน โดยเข้ามากระจัดกระจายในหลายๆ มณฑลของประเทศจีน เช่น มณฑลหูหนาน
หูป่อย ก้วยโจว กวางตุ้ง กว่างซี ยูนาน และมณฑลอื่นๆ ของประเทศจีน แต่เนื่องจากในประเทศ
จีนสมัยนนั้ มกี ารแบ่งก๊กเหลา่ ต่างๆ มากมาย เพราะประเทศจนี มีประชากรมาก ราชวงศต์ า่ งๆ ของ
ประเทศจีนสมัยน้ันมีการแย่งชิงอำนาจราชบัลลังค์ การรบรา ฆ่าฟันกันไม่หยุดหย่อน ทำให้ผู้คน
ลม้ ตาย อดอยากแร้นแคน้ ซง่ึ ชนเผา่ มง้ เป็นกลุ่มที่รกั ความสงบและความเป็นอิสระ เมื่อปี พ.ศ. 2252
นายปร่าว่าง แซ่โซ้ง และนายจั๊วโล่ง แซ่โซ้ง พร้อมด้วยพี่น้องร่วมตระกูลและพี่น้องตระกูลอื่นๆ
พากันอพยพจากประเทศจีนข้ามแม่น้ำแดงมาผ่านประเทศลาว แขวงอุดมชัย แขวงหลวงน้ำทา ข้าม
แมน่ ้ำโขงผ่านมาแขวงชยั บรุ ี เข้ามาอยใู่ นประเทศไทยท่ภี ูแว จงั หวัดนา่ น เพ่อื หนภี ัยสงครามและความ
อดอยากแรน้ แคน้ ในประเทศจนี จากน้ันมาพ่นี ้องม้งในประเทศจีนก็หลั่งไหลเขา้ มาอยใู่ นประเทศไทย
มากขึ้นเรื่อยๆ ต่อมาจึงโยกย้ายที่อยู่จากภูแว มาอยู่ที่ “สวนยาหลวง”แต่เมื่อคนเข้ามาอยู่มากข้ึน
เรื่อยๆ ที่ทำมาหากินก็รอ่ ยหรอลง นายปร่าว่าง และนายจั๊วโล่ง จึงไดย้ ้ายจากสวนยาหลวง มาบุกเบกิ
ที่อยู่ใหม่ คือ บ้านสานก๋วย เป็นหมู่บ้านแรกของพี่น้องม้งในตำบลผาช้างน้อย ต่อจากนั้นนาย
ปั้งตั๋ว แซ่โซ้ง พาพี่น้องร่วมตระกูลและพี่น้องตระกูลอื่นๆมาบุกเบิกหมู่บ้านภูลังกาเป็นหมู่บ้านท่ี 2
โดยมีนายท้าวป่า แซ่ท้าว และนายจื้อเจ่อ แซ่ท้าว มาบุกเบิกบ้านผามองเป็นบ้านท่ี 3 หมู่บ้าน
ทั้งหมดนี้อยู่รอบๆ ดอยภูลังกา พี่น้องม้งอาศัยอยู่หลายชั่วคน จนกระทั่งปี พ.ศ. 2511 ในขณะน้ัน
สถานการณ์ของโลกและประเทศไทย มีความขัดแย้งกันระหว่างลัทธิมาร์ซ กับลัทธิเสรีนิยม หมู่บ้าน
เหลา่ น้จี งึ ได้แตกระสำ่ ระสาย จนถึงปี พ.ศ. 2518 ได้มารวมตวั อยู่บ้านปางค่าเหนือและบ้านสิบสอง
พัฒนา ต่อมาในปี พ.ศ.2521 ได้รับจัดตั้งเป็นหมู่บ้านปางค่าเหนือ และบ้านสิบสองพัฒนา (ศูนย์
พัฒนาอนามยั พน้ื ทส่ี งู , ม.ป.ป.)
16
หมู่บ้านชนเผ่ามง้ ในจังหวดั พะเยา
ที่ หมู่บ้าน หมู่ท่ี ตำบล อำเภอ จังหวดั
พะเยา
1 ดอยเทวา 1 สบบง ภูซาง พะเยา
พะเยา
2 หลา่ ย 9 สบบง ภซู าง พะเยา
พะเยา
3 นาหนุน 2 ภซู าง ภูซาง พะเยา
พะเยา
4 คอดยาว 10 ทงุ่ กลว้ ย ภซู าง พะเยา
5 ใหมร่ ุง่ ทวี พะเยา
6 ร่องส้าน 12 ทุง่ กล้วย ภูซาง พะเยา
7 หว้ ยปมุ้ พะเยา
8 ประชาภกั ดี 8 รม่ เย็น เชยี งคำ พะเยา
9 ใหมร่ ่องสา้ น พะเยา
10 ประชาพฒั นา ๑๓ รม่ เย็น เชยี งคำ พะเยา
11 หว้ ยเดื่อดอยนาง พะเยา
12 ปางคา่ เหนือ 1๓ ร่มเย็น เชยี งคำ พะเยา
13 น้ำคะ พะเยา
14 สิบสองพัฒนา 20 ร่มเยน็ เชียงคำ พะเยา
15 มง้ ใหม่พฒั นา พะเยา
16 ขนุ กำลัง 21 ร่มเย็น เชียงคำ
17 สันตสิ ขุ
18 แสงไทร 22 รม่ เยน็ เชียงคำ
19 ปางมว่ ง
6 ผาช้างนอ้ ย ปง
6 ผาชา้ งนอ้ ย ปง
7 ผาชา้ งนอ้ ย ปง
7 ผาชา้ งนอ้ ย ปง
4 ขุนควร ปง
7 ขนุ ควร ปง
9 ขุนควร ปง
5 หนองหลม่ ดอกคำใต้
(http://www.hdc-py.go.th/ContentRead.aspx?c=hispeople สบื คน้ เม่อื 9 พฤศจกิ ายน 2564)
17
ปฏิทนิ วิถชี นเผา่ มง้ ในจังหวดั พะเยา
เดอื น กิจกรรม
มกราคม ประเพณขี ึน้ ปีใหมห่ รอื ประเพณฉี ลองปีใหม่ เปน็ งานรน่ื เรงิ ของชาวมง้ จะจดั ขน้ึ หลงั จาก
ได้เก็บเกี่ยวผลผลติ ในรอบปเี รยี บร้อย และเปน็ การฉลองถงึ ความสำเร็จในการเพาะปลกู
ของแตล่ ะปี ซง่ึ จะตอ้ งทำพธิ บี ชู าถงึ ผฟี ้า ผีป่า ผบี า้ น ที่ใหค้ วามคมุ้ ครอง และดแู ล
ความสขุ สำราญตลอดทัง้ ปี รวมถงึ ผลผลติ ทไี่ ด้ในรอบปดี ว้ ย แตล่ ะหมู่บา้ นจะทำการฉลอง
กันอยา่ งพรอ้ มเพรียงกนั หรอื ตามวันและเวลาทีส่ ะดวกของแต่ละหมบู่ ้าน จะอยูใ่ นชว่ ง
เดือนธนั วาคมของทุกปี ถัดจากวนั ส่งท้ายปเี ก่าไป 3 วนั คอื วันขึ้น 1 คำ่ 2 ค่ำ และ
3 คำ่ ของเดอื นหนึ่ง เปน็ วันฉลองปีใหมอ่ ยา่ งเปน็ ทางการ ซง่ึ ทุกคนจะหยุดหนา้ ที่
การงานทุกอยา่ งในชว่ งวนั ดงั กลา่ ว และมกี ารจดั การละเล่นต่างๆ ในงานขนึ้ ปใี หม่ เชน่
การละเล่นลูกชว่ ง การตีลกู ข่าง การร้องเพลงมง้
กมุ ภาพันธ-์ มนี าคม เตรียมการเพาะปลกู
เมษายน ฤดูกาลเพาะปลูก ไดแ้ ก่ ปลกู อ้อย, มนั , เผือก, พรกิ , ขา้ วโพด, ฟกั ทอง, ฟัก เขยี ว, มะเขอื
พฤษภาคม ฤดูกาลเพาะปลกู ได้แก่ ปลูกขา้ ว, พรกิ , มะเขือ, มะเขือเทศ, เผอื ก, มนั , ขา้ วโพด, แตง, ถั่ว
มิถุนายน ฤดกู าลเพาะปลกู ไดแ้ ก่ ปลกู ขา้ ว, ฟักทอง, ฟกั เขยี ว, มนั , เผือก, ออ้ ย, กลว้ ย, มนั เทศ, มนั สำปะหลงั
กรกฎาคม ฤดกู าลเพาะปลกู ไดแ้ ก่ ปลกู ข้าว, และดูแลพชื ผล เชน่ ถอนหญ้าข้าว ถอน หญา้ ขา้ วโพด
สงิ หาคม ปลูกผกั เตรยี มงานปีใหม,่ ผกั กาดเขียว, กระหลํา่ ปลี, ดแู ลพชื ผกั และเกบ็ เกย่ี วพืชผล เช่น
ขา้ วโพด, แตง, ออ้ ย พริก, มนั , เผือก เป็นต้น
กันยายน ฤดกู าลเกบ็ เกี่ยวผลผลิต ขา้ ว ,ขา้ วโพด.แตง,อ้อย,พรกิ ,มนั ,เผอื ก และเปน็ ชว่ ง กนิ ขา้ วใหม่
ตลุ าคม ประเพณกี นิ ขา้ วใหม่ เปน็ ประเพณที ่สี ืบทอดกนั มาตัง้ แตส่ มัยรนุ่ ทวด-รนุ่ ปู่ ชาวมง้ มคี วาม
เชอ่ื ว่า จะตอ้ งเลีย้ ง ผปี ู่-ผยี ่า เพราะชว่ งเวลาในหน่ึงรอบปหี รือในหน่ึงปที ี่ผา่ นมานนั้
ผปี ู่-ผยี ่า ไดด้ แู ลครอบครวั ของแตล่ ะครอบครวั เปน็ อยา่ งดี ดังนนั้ จงึ มีการปลกู ขา้ วใหม่
เพ่ือจะเซน่ บชู าคณุ ผปี ู่-ผยี ่า กบั เจา้ ทที่ กุ ตน โดยการกนิ ขา้ วใหม่จะทำกนั ในเดอื นตุลาคม
ของทุกปี ขา้ วใหม่คอื ขา้ วทปี่ ลกู ขน้ึ มาเพื่อที่จะเซ่นถวาย ใหก้ บั ผปี ู่-ผยี ่า ขา้ วจะสุก
ในระหวา่ งเดอื นกนั ยายนถึงตน้ เดอื นตลุ าคม
พฤศจิกายน ฤดกู าลเกบ็ เกยี่ วผลผลติ ข้าว(ไร-่ นา),ขา้ วโพด
ธันวาคม ประเพณขี ึน้ ปใี หมห่ รอื ประเพณีฉลองปใี หม่ เป็นงานร่ืนเรงิ ของชาวม้ง จะจดั ขนึ้ หลงั จาก
ไดเ้ ก็บเก่ยี วผลผลติ ในรอบปเี รียบรอ้ ย และเปน็ การฉลองถงึ ความสำเร็จในการเพาะปลูก
ของแตล่ ะปี ซง่ึ จะตอ้ งทำพธิ บี ชู าถงึ ผีฟ้า ผีปา่ ผีบา้ น ท่ใี ห้ความคมุ้ ครอง และดแู ล
ความสขุ สำราญตลอดทั้งปี รวมถึงผลผลติ ทไี่ ด้ในรอบปดี ว้ ย แตล่ ะหม่บู ้านจะทำการฉลอง
กันอยา่ งพรอ้ มเพรยี งกนั หรอื ตามวันและเวลาทสี่ ะดวกของแต่ละหมบู่ ้าน จะอยู่ในช่วง
เดอื นธนั วาคมของทุกปี ถัดจากวนั ส่งทา้ ยปเี กา่ ไป 3 วนั คือวนั ขึ้น 1 คำ่ 2 ค่ำ และ
3 ค่ำของเดือนหนึ่ง เปน็ วนั ฉลองปใี หมอ่ ยา่ งเปน็ ทางการ ซง่ึ ทกุ คนจะหยุดหนา้ ที่
การงานทุกอย่างในชว่ งวันดงั กลา่ ว และมกี ารจดั การละเล่นตา่ งๆ ในงานขน้ึ ปใี หม่ เชน่
การละเลน่ ลกู ชว่ ง การตีลกู ข่าง การร้องเพลงม้ง
(http://www.hdc-py.go.th/ContentRead.aspx?1c=8hispeople สืบคน้ เมือ่ 9 พฤศจกิ ายน 2564)
ภาพกจิ กรรมงานสง่ เสรมิ ประเพณีปีใหมม่ ง้ จงั หวดั พะเยา ประจำปี 2562
ระหวา่ งวันท่ี 30 ธนั วาคม 2561 – 1 มกราคม 2562
ณ บา้ นสบิ สองพฒั นา ตำบลผาชา้ งนอ้ ย อำเภอปง จงั หวดั พะเยา
จัดโดยสำนกั งานวฒั นธรรมจังหวดั พะเยา
19
20
21
22
23
ข้อมลู และภาพประกอบ
เครือข่ายสง่ิ แวดลอ้ มมง้ , องค์กรชมุ ชนบ้านขุนวาง, สมาคมศนู ย์รวมการศึกษาและวัฒนธรรมของชาวไทยภเู ขา
ในประเทศไทย (ศ.ว.ท.), IMPACT ASSOCIATION), สำนักงานการประถมศึกษาจงั หวัดเชียงใหม่,
สำนกั งานการประถมศึกษาอำเภอแมว่ าง, สำนกั งานการประถมศกึ ษาอำเภอรมิ จงั หวัดเชยี งใหม่,
(ม.ป.ป).องค์ความรู้ท้องถ่ินชนชาวมง้ .เอกสารอัดสำเนา.
ศูนยพ์ ฒั นาอนามัยพ้นื ทส่ี งู . ม.ป.ป. กระบวนการเรยี นรู้แบบมีสว่ นรว่ ม เพื่อพัฒนาชุมชนชาวเขา เผ่าม้ง เยา้
ใหน้ า่ อย.ู่ สบื ค้นเมื่อ ๓0 มถิ นุ ายน 2559 จาก http://hhdc.anamai.moph.go.th/main.php?
filename=index
ศูนยพ์ ฒั นาราษฎรบนพืน้ ที่สงู จังหวัดพะเยา. (๒๕๖๔). ประวตั ิชนเผ่าจงั หวดั พะเยา. สบื คน้ เมอื่ ๙ พฤศจกิ ายน ๒๕๖๔
จาก http://www.hdc-py.go.th/ContentRead.aspx?c=hispeople
องค์การบริหารสว่ นตำบลขุนควร. (๒๕๕๘). ประวัตคิ วามเป็นมาของหมบู่ า้ น. สบื คน้ เม่ือ ๓0 มถิ นุ ายน 2559
จาก http://www.khunkhuan.go.th/index.php/2015-05-21-08-14-38
ภาพที่ ๑ การละเล่นลูกชว่ ง, http://hmongibsineeb.blogspot.com/2014/02/blog-post.html
สืบค้นเมอ่ื ๓๐ มถิ ุนายน ๒๕๕๙
ภาพที่ ๒ การตีลกู ขา่ ง, https://i.ytimg.com/vi/YhVjldzkfMw/maxresdefault.jpg
สบื คน้ เมื่อ ๓๐ มถิ ุนายน ๒๕๕๙
ภาพท่ี ๓ เสอ้ื ผูห้ ญิงม้งขาว, http://www.baanjomyut.com/library_2/history_of_costume/06_1.html
สบื ค้นเมื่อ ๓๐ มิถนุ ายน ๒๕๕๙
ภาพที่ ๔ เสือ้ ผู้ชายม้งขาว, http://www.baanjomyut.com/library_2/history_of_costume/06_1.html
สืบค้นเม่ือ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๙
ภาพท่ี ๕ เสื้อและกางเกงผชู้ ายมง้ เขียว, http://www.baanjomyut.com/library_2/history_of_costume/06_1.html
สืบคน้ เมื่อ ๓๐ มถิ นุ ายน ๒๕๕๙
ภาพที่ ๖ กระโปรงม้งเขยี ว, http://www.baanjomyut.com/library_2/history_of_costume/06_1.html
สบื คน้ เมอ่ื ๓๐ มถิ ุนายน ๒๕๕๙
ภาพท่ี ๗ การแต่งกายผหู้ ญงิ ม้งเขยี วหรอื ม้งลายในยุคปัจจุบัน, http://static.tlcdn3.com/data/0/pictures/
สืบคน้ เมอ่ื ๓๐ มถิ นุ ายน ๒๕๕๙
กลุม่ ยทุ ธศาสตรแ์ ละเฝา้ ระวงั ทางวฒั นธรรม
สำนักงานวัฒนธรรมจงั หวดั พะเยา
73/1 ถนนดอนสนาม ตำบลเวียง อำเภอเมืองพะเยา จงั หวัดพะเยา
โทร. 054 485781 โทรสาร 054 485783