“ชาติพันธุ์ในจังหวัดพะเยา” เป็นชาติพันธ์ุที่อาศัยอยู่ในพื้นท่ี ๙ อำเภอ
ของจังหวัดพะเยา สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดพะเยาหวังเป็นอย่างยิ่งว่า
ข้อมูล “ชาติพันธุ์ในจังหวัดพะเยา” จะเป็นประโยชน์ในด้านการศึกษา ค้นคว้า
ด้านชาติพันธุ์ในจังหวัดพะเยา และส่งเสริมให้แต่ละชาติพันธุ์เห็นคุณค่า
ในเอกลักษณ์วัฒนธรรมของท้องถิ่น มีความภาคภูมิใจ มีความรัก หวงแหน
ในชาติพันธุ์ ศิลปวัฒนธรรมของตนเอง ร่วมกันอนุรักษ์วิถีชีวิต และสืบสาน
ใหเ้ ปน็ มรดกทางวัฒนธรรมของแต่ละชาตพิ ันธ์ุอยา่ งยั่งยนื ตอ่ ไป
ไทยวน (ไต-ยวน) นริศ ศรีสว่าง1
ประวตั ิและความเปน็ มา
ชาติพนั ธุ์ไทยวน (ออกเสียง “ไต-ยวน”) ในพื้นทจี่ ังหวัดพะเยาในปจั จบุ ันเท่าทป่ี รากฏหลักฐาน
ในปัจจบุ ันมอี ยู่ ๒ กล่มุ ใหญ่ คือ กลุม่ ประชากรเดมิ กอ่ นท่ีเมอื งพยาวจะรา้ งในยุคกอ่ นกรุงรัตนโกสินทร์
และกลุ่มประชากรทเี่ ขา้ มาต้ังหลกั แหล่งในยคุ ตน้ กรุงรตั นโกสินทร์ โดยกลุม่ หลงั นจ้ี ะแบง่ เป็นกลุ่มใหญ่
สองกลุ่ม ที่เข้าตั้งหลักแหล่ง ฟื้นฟูบ้านเมือง ซึ่งได้ตั้งชุมชนแบ่งเป็นสองบริเวณกว้าง ๆ คือบริเวณ
ครึ่งซีกด้านทิศตะวันออกของจังหวัดพะเยา และบริเวณครึ่งซีกด้านทิศตะวันตกของจังหวัดพะเยา
นอกจากนี้ยังมีการเคลื่อนย้ายผู้คนชาติพันธุ์ไทยวนเข้ามาในพื้นที่จังหวั ดพะเยาช่วงระยะหลัง
เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.๒๔๗๕ ด้วย บางส่วนอาจจะเข้ามาอาศัยอยู่เนื่องด้วยการประกอบ
อาชีพ หรือมาสร้างครอบครัวในจังหวัดพะเยา และอาจจะขยายจำนวนสมาชิกในครอบครัวจนเป็น
ตระกูลขนาดใหญ่ในเวลาต่อมา ในปัจจุบันไทยวนเป็นประชากรหลักมีจำนวนมากที่สุดในบรรดา
ชาติพันธุ์ต่าง ๆ ของจังหวัดพะเยา ตั้งหลักแหล่งที่อยู่ที่ทำกินไปในพื้นที่จังหวัดพะเยาทั้ง ๙ อำเภอ
ได้แก่ อำเภอเมืองพะเยา อำเภอแม่ใจ อำเภอดอกคำใต้ อำเภอภูกามยาว อำเภอจุน อำเภอเชียงคำ
อำเภอปง อำเภอเชยี งม่วน และอำเภอภซู าง
แต่ก่อนที่จะได้รับข้อมูลจากหน่วยงานภาครัฐหรือเอกชนที่เข้าไปเผยแพร่ข้อมูลให้ความรู้
เกี่ยวกับชาติพันธุ์ไทยวนแก่ท้องถิ่น คนในพื้นที่จังหวัดพะเยากลับไม่มีชุมชนใดที่บอกกล่าวว่าตัวเอง
เป็นไทยวน เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ดังนั้นจึงต้องหยิบยกข้อมูลสร้างความเข้าใจว่าทำไมจึงเรียกว่า
ไทยวน แล้วทำไมคนในท้องถิ่นไม่รู้ว่าชาติพันธุ์ของตนเองที่สืบมาจากบรรพบุรุษเรียกว่าไทยวน
แล้วคนในทอ้ งถิน่ เรียกตัวเองวา่ เปน็ กลมุ่ ไหนเพราะอะไร
จากหลักฐานที่กล่าวถึงคำว่า “ยวน” ที่หมายถึงกลุ่มคนที่มีหลักแหล่งอาศัยอยู่ในพื้นที่
ภาคเหนือของประเทศไทยปจั จบุ ัน เรมิ่ ปรากฏมมี าต้ังแตส่ มยั อยุธยาตอนกลาง โดยไดม้ กี ารบนั ทึกเป็น
ลายลักษณ์อักษรจากตัวอย่างเรื่องราวเกี่ยวกับการต่อสู้แย่งชิงพื้นที่อาณาจักรสุโขทัยเดิม ระหว่าง
กองทัพของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถแหง่ อาณาจักรกรุงศรีอยุธยากับกองทัพของพระเจ้าติโลกราช
แห่งอาณาจักรล้านนาดังปรากฏในลิลิตยวนพ่าย หรือโคลงยวนพ่าย หรือยวนพ่ายโคลงดั้น ซึ่งเชื่อกนั
ว่าแต่งขึ้นในเวลาใกล้เคียงกับเหตุการณ์ที่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงตีเมืองเชียงชื่น คืนจาก
พระเจ้าตโิ ลกราชได้ ซงึ่ ในเนือ้ ความไดก้ ลา่ วถงึ “ยวน” ไว้ดังตวั อย่างตอ่ ไปนี้
สรรเพชรภวู นาถแสรง้ เสดจ็ ดล ดว่ นฤๅ
จึงเยยี ยวนใจยวน เส่ยผ้าย
ครัน้ ถึงพฤบพลจับ โจมใหญ่
คงุ คอ้ นต้ายล้มแลว้ คลา่ วคลา [๑๔๘]2
1 รักษาการหวั หนา้ งานโครงการจัดต้ังศนู ย์ศิลปวฒั นธรรมล้านนา (ไต) มหาวทิ ยาลยั พะเยา
2 โคลงบทน้ีเป็นบทท่ี ๑๔๘
๒
ถอดความ : พระสรรเพชญผูเ้ ปน็ ที่พึง่ ของแผน่ ดนิ แสร้งจกั เสด็จถึงโดยด่วน
จงึ ทำให้ยวนใจชาวโยนกกลบั ไปกอ่ น
ครน้ั ถงึ พฤบพลจบั โจมใหญ่
ตลอดจนตดั เสาเข่อื นลม้ แลว้ จงึ รีบไป
ศัพทาธิบาย : สรรเพชญ : (เฉพาะตรงนี้หมายถึง) สมเด็จพระบรมไตรโลกนารถ ภูวนาถ : พระเจ้า
แผ่นดิน แสร้ง : ทำว่าเป็นจริง (แสร้งไม่จริงใจ) เสด็จดลด่วน : รีบไปถึงโดยเร็ว เยีย : ทำ ยวนใจ
ยวน : พอใจชาวโยนก เส่ยผ้าย : กลับไปก่อน, ไปสืบความก่อน พฤบพล : พร้อมพล (พฤบ : พรึบ,
พร้อม) จับโจมใหญ่ : โถมเข้าจับเป็นการใหญ่ คุง : ตลอดจน ค่อน : ตัด, ทำลาย ต้ายล้ม : เสาเขื่อน
ลม้ ลงแล้ว คล่าวคลา : รบี ไป3
จากโคลงที่ยกมาเป็นตัวอย่าง มีคำว่า “ยวน” ที่ผู้ถอดความได้แปลเป็น “ชาวโยนก” ก็คือผู้ที่
เป็นประชากรของพระเจ้าติโลกราช ทีป่ กครองดินแดนลา้ นนาหรอื โยนก โดยมีเชยี งใหม่เปน็ ศูนย์กลาง
การปกครอง เมือ่ ประมาณ พ.ศ.๒๐๑๗-๒๐๗๒4 ซึง่ เปน็ ขอ้ สนั นษิ ฐานว่าเป็นชว่ งระยะเวลาท่แี ต่งโคลง
ยวนพา่ ยนขี้ ึ้น
โคลงยวนพ่ายนี้ แสดงให้เห็นว่ากรุงศรีอยุธยาเรียกคนในอาณาจักรล้านนาหรือโยนก
ว่า “ยวน”
ดร.วลิ เลยี มคลฟิ ตนั ดอดด์ มชิ ชันนารีชาวอเมริกัน กลา่ วไวใ้ นเรอื่ ง “ชนชาติไทย (The
Thai Race)” ซึง่ หลวงนิเพทยนติ ิสรรค์ เป็นผแู้ ปล ได้กล่าวถงึ คำวา่ “ยวน” ดังเน้ือความวา่
“คำว่า ยวน หาใช่ชื่อใหม่ไม่ เป็นชื่อที่ชาวชนที่อยู่ในถิ่นใกล้เคียงโดยรอบใช้เรียกกัน
ตง้ั แต่ดึกดำบรรพ์มา...”5
จากเนื้อความดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า คำว่า “ยวน” เป็นคำที่ผู้อื่นใช้เรียกคนที่ตั้งหลักแหล่ง
อยู่ในพื้นที่ด้านตะวันออกของแม่น้ำสาละวิน สันนิษฐานว่าเป็นบริเวณลุ่มแม่น้ำกก แม่น้ำอิง ช่วงต้น
แมน่ ำ้ ปิง แมน่ ำ้ วงั
ประชากรดั้งเดิมของเมอื งพะเยา
การที่เมืองพะเยามีประวัติศาสตร์อันยาวนานเก้าร้อยกว่าปีหากนับตามศักราชที่เกี่ยวข้องกับ
การปกครองเมอื งพะเยาของขุนจอมธมั ม์6 (ขนุ จอมธรรม7) หรอื ทา้ วจอมผาเรอื ง8ในตำนานพนื้ เมอื ง
3 ฉันทชิ ย์ กระแสสนิ ธ์ุ, ยวนพา่ ย โคลงดนั้ ฤๅยอพระเกยี รติ พระเจ้าช้างเผอื ก กรุงเก่า (๒๕๑๓), หน้า ๒๐๙.
4 ในเนอ้ื หาระบวุ า่ โคลงเรือ่ งนี้ตามทางสนั นิษฐานวา่ แต่งระหวา่ ง พ.ศ.๒๐๓๐-พ.ศ.๒๐๗๒ และฉันทิชย์ กระแสสนิ ธ์ุ สันนิษฐานว่า หรอื อาจแตง่ ระหว่าง
พ.ศ.๒๐๑๗-๒๐๓๐ ก็เป็นได้ ผูเ้ ขียนจงึ นำเอาสองข้อสันนิษฐานนม้ี ารวมกนั เนอื่ งจากยงั ไมอ่ าจหาขอ้ สรุปไดแ้ นช่ ัด
5 วลิ เลียม คลฟิ ตนั ดอ็ ดด์ (หลวงนิเพทยนิตสิ รรค์ : แปล), เรื่องชนชาติไทย, “พมิ พ์เปน็ บรรณาการในงานประชมุ เพลงิ ศพนางนเิ พทยนิตสิ รรค์
(ทองคำ หุตะโกวทิ )” (กรุงเทพฯ : กรมยุทธศึกษาทหารบก, ๒๕๑๘), หนา้ ๑๗๕.
6 เฉลมิ วุฒิ ตะ๊ คำมี, ตำนานพืน้ เมืองพะเยา, พิมพค์ รงั้ ที่ 2 (เชียงใหม่ : นครพงิ คก์ ารพมิ พ์, ๒๕๒๗), หนา้ ๑๙ (หนังสือชดุ ประวตั ศิ าสตร์ล้านนาจาก
ผศู้ กึ ษาท่วั ไป).ได้ปรวิ รรตคงรูปคำจากอกั ษรธรรมลา้ นนา ซงึ่ เป็นหลกั การเขยี นภาษาบาลใี นอกั ษรธรรมล้านนา ใชต้ ัวขม่ ตวั ซ้อน ไมม่ ี “รร” เชน่ ภาษาไทย
ปัจจุบัน ซง่ึ ผเู้ ขยี นเลอื กยกขนึ้ มานำเสนอเพอื่ เปน็ การเผยแพร่การเขยี นคำศัพทร์ ูปแบบหนึ่งของลา้ นนาดว้ ย
7 เขียนตามคำศพั ท์ภาษาไทยในปจั จบุ ัน
8 เฉลิมวฒุ ิ ตะ๊ คำมี, ตำนานพนื้ เมอื งพะเยา, พิมพค์ รั้งที่ 2 (เชยี งใหม่ : นครพิงคก์ ารพมิ พ์, ๒๕๒๗), หนา้ ๔๐. (หนงั สอื ชดุ ประวตั ศิ าสตร์ล้านนาจาก
ผู้ศกึ ษาทวั่ ไป).
๓
พะเยา9 ผ่านช่วงยุคนครรัฐ โดยเจ้าเมืองพะเยาปกครองเมืองพะเยาเป็นเอกราชและขยายอาณาเขต
ปกครองเมืองต่างๆ โดยรอบ จนกระทั่งสมัยพญาคำลือเมืองพะเยาจึงถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของ
อาณาจักรล้านนาในสมัยพญาคำฟูแห่งราชวงศ์มังราย10 ต่อมาเมื่อเจ้าเปิงภวะมังทราฟ้าหงสา11หรือ
พระเจ้าบุเรงนองยึดอาณาจักรล้านนาไว้ในอำนาจหงสาวดี พะเยาก็ตกเป็นเมืองขึ้นด้วย ในบางคราว
เจ้าเมืองต่าง ๆ ในล้านนาก็ไม่ยอมสวามิภักดิ์ต่อพม่าโดยเฉพาะในช่วงที่พม่ามีปัญหาการเมืองภายใน
หรอื มีการเปล่ียนราชวงศ์เมืองพะเยา กเ็ ป็นอิสระบ้างในช่วงระยะเวลาส้นั ๆ ในช่วงที่เกิดความวุ่นวาย
นี้เอกสารบางฉบับกล่าวว่าชาวเมืองพะเยาถูกกวาดต้อนไปหงสาวดี บางฉบับระบุว่าถูกกวาดต้อนไป
เมืองจันทบุรี (หลวงพระบางหรือเวียงจันทน์ ยังไม่แน่ชัด) ดังพงศาวดารเมืองเงินยางเชียงแสนเล่าไว้
ตอนหนึ่งว่า “ต่อมาถึงปีจอ ทศศก ลาวอยู่เมือง หงสากบฏต่อเจ้าฟ้าอิเม พากันหลบหนีมาถึงเมือง
ลำพูน แล้วมาพบกับเพื่อนที่แตกกันมาอยู่ตามบ้านน้อยเมืองใหญ่นั้น พากันมาเมืองพะเยาทั้งส้ิน
ถึงเดือน ๖ ขึ้น ๘ ค่ำ ก็พาพวกชาวพะเยาหนีไปเมืองจันมิได้เหลือสักคน พวกที่รักษาวัดศรีครมคำ
พระประธานองค์ใหญ่ ก็พาเอาพงศาวดารโบราณวัดศรีครมคำ ทุ่งเอี้ยง เมืองพะเยา ไปตกอยู่เมือง
จันทบุรไี ด้นานนัก ชาวจันทบุรีก็ถามพวกรักษาวัดว่าพระปฏิมากรองค์ใหญ่นัน้ ยังสมบรู ณ์ดีอยู่ หรือว่า
ทรุดโทรมบ้าง พวกเหล่านั้นก็มิได้รู้ร้ายรู้ดีสักคน และชาวจันทบุรีก็คัดสำเนาพงศาวดารฉบับนี้แล้ว
ให้หมื่นอุตระเชียงของเอามาไว้ให้ปรากฏแก่ฝูงชนทั้งหลายในเมืองพะเยา เพื่อจะให้กว้างขวางต่อไป
ข้างหนา้ ...”12
จากข้อมูลที่ยกมาแสดงให้เห็นว่าเมืองพะเยากลายเป็นเมืองร้าง เพราะถูกกวาดต้อนไปลาว
ทั้งหมด “...ก็พาพวกชาวพะเยาหนีไปเมืองจันมิได้เหลือสักคน...” ดังนั้นผู้คนเมืองพะเยาที่ตั้งหลัก
แหล่งสืบต่อกันมาตั้งแต่ยุคตั้งเมืองพะเยาสมัยขุนจอมธรรม มาจนถึงสมัยพญางำเมือง ต่อถึงสมัยที่
ราชวงศม์ ังรายปกครอง กระท่งั พม่าปกครองนนั้ ไมเ่ หลืออยู่ในเมืองพะเยาเลย13 ดังน้ันคนในลุ่มน้ำอิง
แถบเมืองพะเยาที่กรุงศรีอยุธยาและคนกลุ่มอื่น ๆ โดยรอบเรียกว่า “ยวน” นั้นได้เคลื่อนย้ายไปอยู่
ทอี่ น่ื จนหมดส้นิ
การมาของประชากรเช้ือสายจากเมอื งลำปางและเมืองน่าน
จากเหตุการณ์ในยุคกรุงธนบุรีสืบเนื่องมาถึงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ได้มีการขับไล่กองทัพพม่า
ออกจากดินแดนล้านนาแต่เดิม โดยมีการจู่โจมและทำลายที่มั่นของพม่าในเมืองสำคัญต่าง ๆ เช่น
เชียงใหม่ เชยี งแสน จนสามารถขจดั อทิ ธพิ ลพมา่ ออกไปไดห้ มด ดังปรากฏวา่ ในปี พ.ศ. ๒๓๓๐
9 เฉลมิ วฒุ ิ ต๊ะคำมี, ตำนานพนื้ เมอื งพะเยา, พมิ พ์ครงั้ ที่ 2 (เชยี งใหม่ : นครพิงคก์ ารพมิ พ์, ๒๕๒๗), หนา้ ๓๘. (หนังสอื ชดุ ประวัตศิ าสตร์ลา้ นนาจาก
ผศู้ ึกษาทัว่ ไป).
10 ดรู ายละเอยี ดไดใ้ น สรัสวดี อ๋องสกลุ , ประวัติศาสตร์ล้านนา,พมิ พ์คร้งั ท่ี ๒ (กรงุ เทพฯ : อมรินทร,์ ๒๕๓๙), หน้า ๑๓๓.
11 ตำนานพื้นเมืองเชยี งใหม่ ฉบบั เชยี งใหม่ ๗๐๐ ปี, ศูนยว์ ฒั นธรรมจงั หวัดเชยี งใหม่ สถาบนั ราชภฏั เชยี งใหม,่ ๒๕๓๘, หนา้ ๙๔.
12 สุจติ ต์ วงษเ์ ทศ (บรรณาธิการ), ประวตั ศิ าสตร์ สังคมและวฒั นธรรมเมืองพะเยา (กรงุ เทพ : มตชิ น, ๒๕๓๘), หน้า ๕๑.
13 ผู้เขยี นสนั นษิ ฐานว่าคนพะเยาทีเ่ หลอื รอดจากการถกู กวาดตอ้ นน่าจะลี้ภยั ไปยังเมอื งอน่ื ๆ และบางสว่ นหนไี ปหลบซ่อนในปา่ เขา ทง้ิ เมอื งพะเยาให้เปน็ เมอื งร้าง
เพราะสจุ ติ ต์ วงษเ์ ทศ (บรรณาธกิ าร), ประวตั ศิ าสตร์ สังคมและวฒั นธรรมเมอื งพะเยา, อ้างแลว้ , หน้า ๕๓. กล่าวว่า “...เมอื่ ยา้ ยกลับจากเมอื งลำปางคนื เมอื งพะเยา
พ.ศ.๒๓๘๖ นัน้ เมืองพะเยามีสภาพเปน็ ปา่ ปรกรกรา้ ง จึงพากนั ตั้งบ้านเรอื นอยู่ทแี่ หง่ หนึง่ ภายหลงั เรยี กวา่ “บา้ นสันเวยี งใหม่ ในตำบลตุ่นทกุ วนั น.ี้ ..”
๔
ในแผ่นดินรัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ครั้งนั้นเชียงแสนยังอยู่ในการปกครองของพม่า และ
กองทัพพมา่ กส็ มทบเข้าตีเมืองฝางได้ แลว้ ปราบปรามบ้านเลก็ เมอื งนอ้ ยอ่นื ๆ ขยายวงกว้างขึ้นเร่ือย ๆ
เจ้านายเมืองต่าง ๆ ที่เดิมเคยอยู่ในอำนาจพม่าหรือม่านก็กลับฟื้นม่านไม่ยอมข้ึนต่อพม่า จึงอพยพ
ครอบครัวและพลเมืองหนีไปลี้ภัยอยู่เมืองลำปาง รวมทั้งชาวเมืองพะเยาจำนวนหนึ่งด้วย
ดังพงศาวดารเมืองเงินยางเชยี งแสนระบวุ ่า “เมื่อศักราช ๑๑๔๙ ปีมะแม นพศก ขณะนั้นเมืองพะเยา
เมืองเชียงราย เมืองฝาง เมืองปุ เมืองสาด เมืองปาย ๖ หัวเมืองนี้คิดก่อกบฏต่อพมา่ แล้วเมืองพะเยา
มิสมนึก เมืองพะเยาก็แตก เจ้าฟ้าเมืองผู้ครองเมืองพะเยาก็หลบตัวมาอยู่เมืองนครลำปางได้ไป
นอบนอ้ มรับเอาราชการพระเจ้ากรงุ สยาม”
หนังสือเรื่องเมืองพะเยา ที่สุจิตต์ วงษ์เทศ เป็นบรรณาธิการ14 ได้กล่าวว่า มีชุมชนชาวเมือง
ต่างๆ ที่ลี้ภัยไปอยู่เมืองลำปาง รวมถึงชุมชนของคนเมืองพะเยาด้วย ราว พ.ศ. ๒๓๓๐ เมื่อพระเจ้า
อังวะได้มอบให้อะแซหวุ่นกี้เป็นแม่ทัพ ยกกองทัพใหญ่ขึ้นมาตีหัวเมืองฝ่ายเหนือ เช่น เมืองฝาง เมือง
เชียงราย เมืองเชียงแสน และเมืองพะเยา เป็นเหตุให้ประชาชนชาวเมืองพะเยาแตกตื่นตกใจพากัน
อพยพหนีไปอยู่เมืองนครลำปาง จึงทำให้เมืองพะเยากลายเป็นเมืองร้าง15 ตามที่พระธรรมวิมลโมลี16
อ้างถึงบันทึกของพ่อเจ้าหนาน เลาแก้ว ศีติสาร อดีตปลัดธรรมการเมืองพะเยา ความตอนหนึ่งว่า
“ครั้งนั้นครอบครัวชาวเมืองเชียงรายไปตั้งบ้านเรือนอยู่ฝั่งซ้ายของแม่น้ำวัง ตรงบ้านเชียงราย หรือที่
เรียกว่าบ้านห้าแยกเชียงรายมาจนบัดนี้ และได้ร่วมกันสร้างวัดโดยถือตามนามเมืองเดิมที่มาจาก
เชียงรายว่า “วัดเชียงราย” มาจนบัดนี้ ฝ่ายครอบครัวชาวเมืองปุ เมืองสาด มาตั้งบ้านเรือนอยู่
บ้านเมืองสาดหรือวัดเมืองสาดมาจนทุกวันนี้ ส่วนพระยาสุรินทร์ เจ้าเมืองฝาง และพระยาเมืองพร้าว
ตั้งบา้ นเรอื นอยฝู่ ัง่ ขวาของแม่น้ำวัง ตรงบ้านปงสนกุ ดา้ นเหนอื สว่ นชาวเมอื งพะเยาไดอ้ พยพไปตั้งหลัก
แหลง่ อยบู่ า้ นปงสนกุ ด้านใต้ ฝัง่ ขวาของแม่นำ้ วัง คือบ้านปงสนกุ เดี๋ยวน้ี17
กาลเวลาผ่านไปบ้านเมืองเริ่มเป็นปกติสุข การสงครามที่เกิดจากกองทัพพม่านั้นมีน้อยลง
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงพระกรุณา
โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งเมืองเชียงราย เมืองพะเยา และเมืองงาวขึ้นใหม่เมื่อ พ.ศ.๒๓๘๖ มีฐานะเป็นเมือง
หน้าด่าน โดยให้เมืองพะเยากับเมืองงาวขึ้นต่อเมืองลำปาง ซึ่งมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งเจ้าเมือง
พะเยาและคณะผชู้ ่วยบริหารงานเมอื ง ดังน้ี
นายพุทธวงศ์ น้องพญาลคอร (นครลำปาง) เป็นพญาประเทษบุรทิด (พระยาประเทศ
อุดรทศิ ) เจ้าเมือง
นายน้อยมหายศ น้องพญาลคอร เปน็ พญาอุปราช
14 สจุ ติ ต์ วงษเ์ ทศ (บรรณาธิการ), เมอื งพะเยา (กรงุ เทพฯ : มตชิ น , ๒๕๒๗), หนา้ ๑๒๙.
15 สรุ พล ดำรหิ ์กลุ , ลา้ นนา สิง่ แวดลอ้ ม สังคมและวัฒนธรรม (กรุงเทพฯ : คอมแพคทพ์ รินท,์ 2527), หนา้ 67. ไดย้ กข้อมูลจากหนงั สือเมืองพะเยา
ท่สี จุ ิตต์ วงษ์เทศ เปน็ บรรณาธกิ าร มากล่าวไวด้ ังข้อความทนี่ ำเสนอนี้
16 ปจั จุบนั พ.ศ.๒๕๕๙ ดำรงสมณศักด์พิ ระราชาคณะเจ้าคณะรองช้นั หริ ญั บัฏ ท่ี พระอุบาลีคณุ ปู มาจารย์ (ปวง ธมฺมปญญฺ มหาเถร) ท่ีปรึกษาเจ้าคณะ
ภาค ๖ เจา้ อาวาสวัดศรโี คมคำ พระอารามหลวง จงั หวัดพะเยา
17 สุจติ ต์ วงษเ์ ทศ (บรรณาธกิ าร), ประวตั ศิ าสตร์ สังคมและวัฒนธรรมเมอื งพะเยา, อา้ งแลว้ , หนา้ ๕๑ และ ๕๓ .
5
นายแก้วมนุด น้องพญาลคอร เปน็ พญาราชวงศ์
พญาขัติยะ บุตรพญาพเยาตนเกา่ เป็นพญารัตณเมอื งแกว้
นายน้อยขัตยิ ะ บุตรพญาอปุ ราชมลุ า เปน็ พญาราชบตุ ร18
จะเหน็ ได้วา่ การแตง่ ตง้ั เจา้ เมืองพะเยาและคณะผู้ชว่ ยบริหารงานเมืองครัง้ นี้ มเี จ้านายเช้ือสาย
เจ้าเมืองลำปางยุคกรุงรัตนโกสินทร์จำนวน ๓ ท่าน มีเจ้านายบุตรเจ้าเมืองพะเยายุคพม่าปกครอง
จำนวน ๑ ท่าน ในการเคลื่อนย้ายผู้คนมาฟ้ืนฟเู มืองพะเยา และตั้งหลักแหล่งทำมาหากิน ทำไร่ทำนา
จึงต้องใช้กำลังคนจำนวนมาก พระยาประเทศอุดรทิศได้แบ่งครอบครัวชาวเมืองลำปางส่วนหนึ่งและ
ลูกหลานชาวเมืองพะเยา ท่ีอพยพหนภี ัยพม่ามาอยู่เมอื งลำปางเมื่อ ๕๖ ปกี ่อนมาด้วย19 ดังนั้นพะเยา
ในยุคฟน้ื ฟเู มืองสมัยรัตนโกสนิ ทรจ์ งึ ผสมผสานทั้งคนเมอื งพะเยาเดมิ และคนเมอื งลำปาง
พื้นที่เมืองพะเยาสมัยรัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์นี้ มีขอบเขตเพียงอำเภอเมืองพะเยา
อำเภอแม่ใจ อำเภอดอกคำใต้ และอำเภอภูกามยาวในปัจจุบันเท่านั้น ส่วนพื้นที่อำเภอจุน อำเภอ
เชียงคำ อำเภอภูซาง อำเภอปง อำเภอเชียงม่วน สมัยนั้นขึ้นอยู่กับเมืองน่าน ในยุคสมัยต่อมาเมื่อมี
การปฏิรูปการปกครอง ในสมัยรัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้ปรับเปลี่ยนฐานะจาก
“เมืองพะเยา” เป็น “บริเวณพะเยา”20 และในส่วนที่ขึ้นกับเมืองน่านนั้น ให้ปรับเปลี่ยนฐานะเป็น
“บริเวณนา่ นเหนอื ”21
บริเวณพื้นที่ของจังหวัดพะเยาปัจจุบันซึ่งในอดีตเคยอยู่ในการปกครองของเมืองน่านนั้น จะมี
กลุม่ คนเคลอ่ื นย้ายมาจากชุมชนอ่ืน ๆ ในเขตจงั หวัดน่านในปัจจบุ ัน เขา้ มาหาแหล่งทำกินและต้ังหลัก
แหล่งที่อยู่อาศัย เกิดเป็นชุมชนหมู่บ้านขึ้นเป็นจำนวนมากซึ่งคงอยู่สืบมาถึงปัจจุบัน ในเขตอำเภอ
เชียงคำ อำเภอภูซาง อำเภอจุน อำเภอปง และอำเภอเชยี งมว่ น22
ดังนั้นในเขตพื้นที่ครึ่งซีกด้านทิศตะวันออกของจังหวัดพะเยาในปัจจุบัน มีกลุ่มคนเมืองน่าน
เขา้ มาต้ังหลักแหลง่ และสบื เผา่ พันธ์ุเปน็ กลมุ่ ใหญ่ทีส่ ุด มากกว่าชาตพิ ันธอ์ุ ่นื ๆ ในพืน้ ทีน่ ั้น
นอกจากนี้ในพ้นื ที่จงั หวัดพะเยายังมกี ล่มุ คนพื้นเมืองจากจังหวัดแพร่ เป็นแรงงานในการทำไม้
ในยคุ สัมปทานป่าไมแ้ ถบอำเภอจนุ อำเภอปง อีกจำนวนหนง่ึ ทเ่ี ขา้ มาสร้างครอบครัวตั้งรกรากสืบวงศ์
ตระกูลต่อมาจนถึงปัจจุบัน อีกทั้งคนพื้นเมืองจากจังหวัดเชียงรายที่เข้ามาหาพื้นที่ทำกินแล้วตั้งหลัก
แหลง่ ในเขตพนื้ ท่รี อยต่อด้านทิศเหนอื ของจังหวัดพะเยาดว้ ย
18 สุจติ ต์ วงษ์เทศ (บรรณาธิการ), ประวตั ิศาสตร์ สังคมและวัฒนธรรมเมืองพะเยา, อา้ งแลว้ , หนา้ ๕๙-๖๗ และ ๖๔-๖๕.
โดยผ้เู ขียนคงคำเดิมทถ่ี า่ ยถอดจากตน้ ฉบับสมดุ ดำ สมยั ร.๓ ได้แก่คำว่า พญา, ลคอร, มนุด, พเยา, รตั ณ
19 สุรพล ดำริห์กลุ , ล้านนา สงิ่ แวดลอ้ ม สังคม และวฒั นธรรม (กรุงเทพฯ : คอมแพคทพ์ รนิ ท์ , 2542), หนา้ ๖๗.
20 ราชกจิ จานเุ บกษา “แจ้งความกระทรวงวัง พระราชทานพระบรมราชานุญาตใชต้ ราตำแหน่ง” , เลม่ ๒๐, หน้า ๑๑๓, วันที่ ๒๔ พฤษภาคม
รศ.๑๒๒.
แตใ่ นสุจติ ต์ วงษเ์ ทศ (บรรณาธกิ าร), ประวัติศาสตร์ สงั คมและวฒั นธรรมเมืองพะเยา, อา้ งแลว้ , หนา้ ๕๔. ใชค้ ำวา่ “จังหวัดบรเิ วณพะเยา”.
21 ราชกจิ จานเุ บกษา “แจง้ ความกระทรวงวัง พระราชทานพระบรมราชานญุ าตใชต้ ราตำแหนง่ ”, เล่ม ๒๐, หนา้ ๘๗๑, วนั ที่ ๒๗ มีนาคม รศ.๑๒๒.
22 นรศิ ศรสี วา่ ง, “ศลิ ปวัฒนธรรมไทยวนในจงั หวัดพะเยา”, ฐานขอ้ มลู ทางศิลปวฒั นธรรมชาติพนั ธไ์ุ ต, โครงการจัดต้ังศนู ยศ์ ิลปวัฒนธรรมลา้ นนา (ไต)
มหาวทิ ยาลยั พะเยา, ๒๕๕๗.
๖
เมื่อพื้นที่ทั้งสองฟากของจังหวัดพะเยามีกลุ่มคนเข้ามาตั้งหลกั แหล่งในยุคฟื้นฟูบ้านเมืองสมยั
รตั นโกสินทร์ แลว้ เรยี กตนเองวา่ “คนเมือง” พดู ภาษา “คำเมอื ง” มีตัวอักษรทเ่ี รียกว่า “ตั๋วเมือง”
คำที่ใช้เรียกชาติพันธุ์ของตัวเองว่าเป็น “คนเมือง” มาจากไหนนั้น จากที่มีผู้รวบรวมเรื่องราว
ที่มาของคำว่า “คนเมือง”23 โดยเสนอว่า ยุคสมัยที่มิชชันนารีอเมริกันและชาวต่างประเทศหลายคน
ได้บันทึกถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งเดินทางขึ้นไปปฏิบัติภารกิจที่มณฑลพายัพในระหว่างรัชสมัย
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวต่อเนื่องมาจนถึงต้นรัชมัยพระบาทส มเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัว กลับพบความในเอกสารทุกฉบับเรียกชาวมณฑลพายัพว่า “คนลาว” และไม่พบว่ามีการ
เรยี กชาวมณฑลพายัพ24วา่ “คนเมอื ง” ในหนงั สือหรอื บันทกึ เลม่ ใด ๆ เลย
จากเอกสารจดหมายเหตุของฝ่ายไทยต่อมา ก็ได้พบหลักฐานว่า เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จ
พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อย่หู ัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แตง่ ตัง้ ขา้ หลวงสามหวั เมือง25ข้นึ มาประจำอยู่ที่
เมืองนครเชียงใหม่พร้อมดว้ ยกองทหารจากกรุงเทพฯ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๑๗ น้ัน พระเจา้ อินทวิชยานนท์
พระเจ้านครเชียงใหม่ได้เลอื กพื้นที่ริมแมน่ ้ำปิงฝั่งตะวันออกให้เป็นที่พำนักของข้าราชการที่ขึน้ มาจาก
เมืองใต้ ใกล้เคียงกับที่อยู่พ่อค้าจีน พม่า และคนในบังคับชาติตะวันตก แยกขาดจากเจ้านายและ
ราษฎรชาวเมอื งเชียงใหม่ ซ่ึงอาศยั อยใู่ นแนวกำแพงเมือง โดยมหี ม่บู ้านของกลมุ่ ชนท่เี ข้ามาในยุคเก็บ
ผักใส่ซ้า เก็บข้าใส่เมือง26 คั่นกลางในระหว่างแนวกำแพงเมือง ซึ่งข้าราชการสยามที่ถูกส่งขึ้นไป
ประจำที่เชยี งใหมน่ ั้นก็มักจะดูแคลนขา้ ราชการและชาวเมืองว่าเป็นผูท้ ีต่ ำ่ ตอ้ ยกว่าตน เมอ่ื สมเด็จพระ
บรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนนิ เลียบมณฑลพายัพ ใน
พ.ศ. ๒๔๔๘ ได้ทรงพบเห็นปัญหาดังกล่าวด้วยพระองค์เอง แล้วจึงได้มีลายพระหัตถ์ลงวันที่ ๔
กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๔๘ กราบบังคมทูลรายงานการเสด็จตรวจราชการหัวเมืองมณฑลพายัพ ขึ้น
ทูลเกล้าฯ ถวาย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยสรุปว่า ข้าราชการ
สยามที่ถูกส่งไปจากส่วนกลางมักเกิดเหตุไม่พอใจกับคนในพื้นเมือง ต้องพยายามที่จะกระทำให้
ชาวเมืองเข้ากลมเกลียวกับข้าราชการสยามให้ได้ อย่าให้รู้สึกว่าถูกระแวง ถูกหมิ่นประมาทหยาม
เหยียด หรอื ถกู กดขเี่ อาตามอำเภอใจ ควรทจี่ ะทำดีต่อกันไว้จะเกิดแตผ่ ลดี
ในรายงานการเสด็จตรวจราชการนั้น เมื่อจะทรงกล่าวถึงพสกนิกรในพื้นที่ก็จะทรงเลี่ยงไปใช้
คำวา่ “ราษฎรไทยเมอื ง”, “คนพื้นเมอื ง” และ “ชาวพายัพ” แทนการใช้คำว่า “คนลาว” ดังที่ปรากฏ
อยู่ทั่วไปในเอกสารราชการในเวลาน้นั แต่ยงั ไม่ปรากฏคำว่า “คนเมอื ง” ในเอกสารราชการ
23 วรชาติ มีชูบท, “คนเมือง”, ศิลปวฒั นธรรมไทยวน, โครงการจัดตง้ั ศูนยศ์ ลิ ปวฒั นธรรมล้านนา (ไต) มหาวิทยาลัยพะเยา, ๒๕๕๗, (เอกสาร
ประกอบการสมั มนาวชิ าการ).
24 ในสมัยรชั การที่ ๕ แหง่ กรุงรตั นโกสนิ ทร์ได้ปฏิรูปการปกครอง โดยแบ่งการปกครองส่วนภมู ิภาคเปน็ มณฑลเทศาภิบาล ในส่วนมณฑลภายพั หรอื
มณฑลตะวนั ตกเฉียงเหนอื ประกอบดว้ ย เมอื งเชยี งใหม่ เมืองนครลำปาง เมอื งนา่ น เมอื งแพร่ เมอื งลำพนู โดยมเี มืองเชยี งใหมเ่ ปน็ ที่ต้ังศาลาวา่ การ
มณฑล เมืองขนาดรอง เชน่ เมืองเชียงรายขนึ้ ตอ่ เมอื งเชยี งใหม่ เมอื งพะเยาขึ้นต่อเมอื งนครลำปาง เป็นต้น
25 พระนรนิ ทรราชเสนี (พ่มุ ศรีไชยนั ต)์
26 สมพงศ์ วทิ ยศักดพ์ิ นั ธ,์ุ ถ่นิ ทอ่ี ย่คู นไทในจงั หวดั เชียงใหม่, รายงานการวจิ ัย มหาวิทยาลยั เชียงใหม่, ๒๕๔๑, หนา้ ๗ แผนทกี่ ารตัง้ ชุมชนของชาวลือ้
เขนิ ไทใหญ่ พม่า และชาวเมืองเชียงแสน โดยรอบนอกกำแพงเมอื งและคูเมืองรูปส่เี หล่ยี มของเมืองเชียงใหม่
๗
ต่อมาสมเดจ็ กรมพระยาดำรงราชานภุ าพ ซึง่ ในขณะน้นั เปน็ สมเด็จพระเจา้ นอ้ งยาเธอ ไดม้ ีลาย
พระหัตถ์ที่ปรากฏใช้คำว่า “คนพื้นเมือง” และ “คนเมือง” ในทุกแห่งที่กล่าวถึงชาวมณฑลพายัพ
แทนคำวา่ “คนลาว” หรอื “พวกลาว” ที่ใชอ้ ยู่ก่อนหนา้ น้ี
จากนั้นมาปรากฏมีการใช้คำว่า “ราษฎรไทยเมือง” หรือ “ไทยเมือง” เรียกราษฎรในพื้นที่
มณฑลพายพั ซึ่งไมเ่ ปน็ ท่ีคุ้นหู
จึงมีการสันนิษฐานว่า คำว่า “คนเมือง” นี้อาจจะหมายความว่าเป็นคนที่อาศัยอยู่ในเมือง
ก็ได้ ในแง่คำวิเศษณ์หมายถึง มนุษย์ซึ่งอยู่ในแหล่งที่มีความเจริญมีอารยธรรม หรือคนท่ีเจริญด้วย
อารยธรรม
ในพจนานกุ รมฉบับราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๔๙๓ ได้ให้คำนิยามคำวา่ “เมือง” ไวว้ ่า “...เขต
ซึ่งเป็นที่ชุมนุมและเป็นที่ตั้งศาลากลางจังหวัด ซึ่งในครั้งก่อนถ้าเป็นเมืองใหญ่หมายถึงเขตภายใน
กำแพงเมือง”
“คนเมอื ง” น้นั น่าจะมรี ากศพั ท์มาจากคำว่า “คนพื้นเมอื ง” และคงจะเป็นคำทีข่ ้าราชการจาก
กรุงเทพฯ ใช้เรียกชาวเมืองนครเชียงใหม่ท่ีอาศัยอยู่ในเขตกำแพงเมืองนครเชียงใหม่ พลเมืองไทยผู้มี
ถิ่นกำเนิดหรือถิ่นที่อยู่ในท้องที่มณฑลพายัพที่เดิมเรียกกันว่าอาณาจักรล้านนาหรือปัจจุบันคือ
๘ จังหวัดภาคเหนือ อันประกอบดว้ ยจงั หวัดเชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน น่าน แพร่ เชยี งราย แม่ฮ่องสอน
และพะเยา
และอีกข้อสันนิษฐาน คำว่า “คนเมือง” นั้นมาจากคำที่ชาวมณฑลพายัพใช้ในการสื่อสารกัน
เช่น ถามว่า “เปน็ คนเมอื งใด” ตอบว่า “เปน็ คนเมอื งเชยี งใหม่/เชียงราย/พะเยา/ลำปาง/ลำพูน/แพร่/
น่าน” จะเห็นได้ว่ามีความหมายเช่นเดียวกับคำว่า “คนพื้นเมือง” คือคนที่ถือกำเนิดและมีหลักแหล่ง
อยู่ในท้องถน่ิ นั้น27
เมื่อทางการเปลี่ยนการเรียกคนมณฑลพายัพว่า“ลาว” เป็น “ไทยเมือง”,“คนพื้นเมือง”,
“คนเมือง”คนในท้องถิ่นมณฑลพายัพเริ่มเรียกตัวเองว่า “คนเมือง” เรียกภาษาของตนเองว่า
“คำเมือง” เรยี กอกั ษรของตนเองว่า “ตว๋ั เมอื ง”สบื ต่อกันมาจนถงึ ปัจจบุ นั
ดังนั้นคนพื้นเมืองในท้องถิ่นต่าง ๆ ของจังหวัดพะเยาในปัจจุบันจึงเรียกตนเองว่า “คนเมือง”
เหมอื นกบั คนพนื้ เมืองของทกุ จังหวดั ในภาคเหนือ เม่ือเคลือ่ นยา้ ยทอ่ี ยู่หรอื เดนิ ทางไปทใี่ ด กจ็ ะบอกว่า
ตนเองเป็น “คนเมือง” ลมื คำว่า “ยวน” ทค่ี นกลมุ่ อนื่ ชาติพันธุ์อ่ืนเรยี กพวกเขามาแลว้ ในอดีต
นักวิชาการทางด้านภาษาศาสตร์ ได้ใช้คำว่า “ไท” นำหน้าชื่อกลุ่มคนที่ใช้ภาษาตระกูลไต-ไท
ในการสื่อสารภายในกลุ่มตน เช่น “ยวน” เป็น “ไทยวน”, “ลื้อ” เป็น “ไทลื้อ” เป็นต้น แล้ว
แพร่หลายเป็นที่นิยมในการใช้เขียนชื่อกลุ่มชาติพันธุ์ด้วย จึงเป็นที่มาของกลุ่มชาติพันธุ์ “ไทยวน”
ที่ทางวิชาการและทางราชการใช้กันอยู่โดยทั่วไปในปัจจุบัน และกำลังซึมซบั เข้าสื่อคนในท้องถิน่ ผ่าน
สื่อตา่ ง ๆ ด้วย
สรุปวา่ ชาติพนั ธไ์ุ ทยวนในจงั หวัดพะเยาหมายถึงคนเมอื งในจังหวัดพะเยาน่นั เอง
27 วรชาติ มชี บู ท, ศิลปวัฒนธรรมไทยวน “คนเมือง”, โครงการจัดตั้งศูนยศ์ ลิ ปวัฒนธรรมลา้ นนา (ไต) มหาวทิ ยาลยั พะเยา, ๒๕๕๗, (อา้ งแลว้ ).
8
ศิลปวัฒนธรรม
ทอี่ ยอู่ าศยั และวดั
คนเมืองในจังหวัดพะเยาจะสร้างเรือนตามฐานะทางเศรษฐกิจของแต่ละครอบครัว เช่นผู้ที่มี
ฐานะค่อนข้างอัตคัด หรือพึ่งสรา้ งครอบครัวใหม่ จะปลูกเรือนหลังเล็ก ยกพื้นไม่สูงนัก พื้นเป็นไม้ฟาก
ฝาสาน ขัดแตะ สำหรับผู้มีฐานะดีปลูกเรือนพื้นไม้ ฝากระดาน บางหลังใช้ไม้สักล้วน ๆ ตลอดจน
กระเบ้ืองมงุ หลังคาก็ทำด้วยไม้สัก เรยี กวา่ “แป้นเกลด็ ” ที่หัวบันไดมหี มอ้ น้ำสำหรับให้ผู้ที่จะข้ึนเรือน
ล้างเท้าก่อนขึ้นไปบนเรือนมีชานนอกชายคากว้างใหญ่ มีที่วางหม้อน้ำดื่ม ระเบียงในชายคาสำหรับ
นงั่ เลน่ และเปน็ ท่ีรบั แขกมหี ้องนอนกว้างขวาง หอ้ งครวั อยู่ตา่ งหาก ดา้ นหลังมีชานหลงั หอ้ งอาบนำ้ น้ัน
บางหลังทำไว้ต่อจากชานหลัง บางหลังทำไว้ใกล้เคียงกับบ่อน้ำ และเกือบทุกหลังมักเอาเสาไม้ฝังไว้
ใกล้ชานหน้าเรือนและชานหลังเรอื นสำหรับปลูกพลูใหข้ ึ้นรอบเสา เรียกว่า “ก้างปู” นิยมสร้างยุ้งขา้ ว
ชิดติดชานเรือน28 เรือนคนเมืองวางสันหลังคาอยู่ในแนวทิศเหนือใต้ขวางตะวัน นิยมหันหน้าเรือน
ไปทางทศิ ใต้ เหมอื นกบั เรือนไทลอื้
ในอดีตวัดของคนเมืองในจังหวัดพะเยา จะมีเพียงบางวัดที่เป็นวัดสำคัญของชุมชนเท่านั้นที่มี
พระธาตุ (สถูปเจดีย์) แต่ที่วัดศรีโคมคำ หรือวัดพระเจ้าตนหลวงเท่านั้น เป็นพิเศษที่มีพระพุทธรูป
องคใ์ หญ่ สถปู เจดยี ส์ ่วนใหญ่จะบูรณปฏิสังขรณส์ ถูปเดิมทมี่ ีมาต้ังแตส่ มัยล้านนา ซงึ่ บางแห่งท่ียังเหลือ
สภาพรูปแบบเกือบสมบูรณ์ เมื่อบูรณะส่วนใหญ่จะยังคงรูปแบบดั้งเดิมไว้ได้มาก แต่บางแห่ง
ก็ปรับเปลี่ยนรูปแบบไปตามสกุลช่างในยุคสมัยที่ทำการบูรณะนั้น หรือสถูปใดปรักหักพังไปมาก
จนไม่อาจทราบเค้าโครงเดิมได้ เมื่อบูรณะก็จะสร้างรูปแบบใหม่ตามการออกแบบของช่างหรือเจ้า
ศรัทธา เช่นในสมัยที่มีการทำไม้โดยบริษัทสัญชาติอังกฤษ หัวหน้าคนทำไม้ซึ่งเป็นชาวพม่า (พม่า,
มอญ, ไทใหญ่) มักนิยมบูรณะวัดในท้องถิ่นโดยใช้ช่างจากพม่า จึงทำให้วัดพื้นเมืองหลายแห่งมี
สิ่งก่อสรา้ งรปู แบบศลิ ปะพมา่ สกุลชา่ งมณั ฑเลย2์ 9 เชน่ เจดีย์วดั พระธาตดุ อยหยวก อำเภอปง เป็นตน้
วิหารของวัดคนเมือง จะใช้ไม้เนื้อแข็งเป็นวัสดุทำโครงสร้างหลัก ทั้งเสา ขื่อ แป กระเบื้อง
โครงสร้างขื่อจะนิยมใช้ระบบขื่อม้าต่างไหม30 แต่ฝานิยมนิยมก่ออิฐหนาฉาบปูนขาว มีทั้งแบบ
โครงสร้างที่เรียกตามศัพท์ช่างว่า “หลังคาสามซดสองตับ” เช่น พระวิหารพระเจ้าตนหลวงหลังเดิม
วิหารวัดหลวงราชสัณฐาน เป็นต้น ศิลปะการตกแต่งวิหารโดยมากใช้เทคนิคการแกะสลกั ไม้ เชน่
28 บญุ ชว่ ย ศรีสวัสดิ,์ ๓๐ ชาตใิ นเชียงราย, พิมพค์ ร้ังที่ ๒ (กรุงเทพฯ : ศยาม, ๒๕๔๗), หน้า ๙.
29 ภาณุพงษ์ เลาหสม, จติ กรรมฝาผนงั ล้านนา (กรุงเทพฯ : เมืองโบราณ, ๒๕๔๑), หน้า ๑๒๕. ใช้คำวา่ “ศิลปะพมา่ สกลุ ช่างมัณฑเลย”์ และ ศกั ดิช์ ัย
สายสิงห์, ศิลปะพมา่ (กรุงเทพฯ : มติชน, 2557), หนา้ 309-311. ได้กล่าวถงึ เรือ่ งราวการบรู ณะสรา้ งพทุ ธศาสนสถานศิลปะพม่านีใ้ นพน้ื ทจี่ ังหวัด
ตา่ ง ๆ ของภาคเหนอื ด้วย
30 วรลญั จก์ บณุ ยสรุ ัตน,์ วหิ ารลา้ นนา (กรุงเทพฯ : เมืองโบราณ, ๒๕๔๔), หนา้ .๓๑.
9
โก่งค้วิ ภาพ๑ นาคทันต์ (หูชา้ ง)ภาพ๒ ซง่ึ มรี ูปแบบศิลปะลา้ นนาสกุลชา่ งลำปาง ดังปรากฏลวดลายไส้หมู31
พญานาค พญาลวง เปน็ ตน้ และวิหารอีกแบบ จะเป็นแบบเรียบง่าย “หลงั คาหน่งึ ซดสองตบั ”
ส่วนใหญ่จะเป็นวิหารขนาดกลางถึงเล็ก พบได้ตามชุมชนชนบทต่าง ๆ ของจังหวัดพะเยา
เช่น วิหารวดั พระธาตดุ อยหยวก อำเภอปง วหิ ารวัดศรีปิงเมอื ง อำเภอจนุ วิหารวัดพระแก้วภาพ๓ วิหาร
วดั กอ๊ ซาว อำเภอเชียงคำ32 เป็นตน้ ซึง่ มรี ูปแบบการตกแต่งเป็นศลิ ปะแบบลา้ นนาพน้ื บ้าน
ภาพที่ ๑ โก่งคิ้วปีกนก วหิ ารวดั หลวงราชสณั ฐาน ภาพท่ี ๒ นาคทนั ต์ (หูชา้ ง) ค้ำยันวหิ าร
อำเภอเมืองพะเยา จงั หวดั พะเยา วัดหลวงราชสณั ฐาน อำเภอเมอื งพะเยา จังหวดั พะเยา
ทม่ี า : นายนรศิ ศรีสวา่ ง
ทีม่ า : นายนริศ ศรสี ว่าง
31 เป็นคำทอ่ี าจารยว์ ิถี พานิชพนั ธ์ (ศิลปศาสตร์ดุษฎีบณั ฑติ กิตติมศักด์ิ สาขาศลิ ปะไทย) ใช้เรยี กลวดลายประเภทหน่งึ ที่คดโค้งหยักเย้อื งเชื่อมต่อกนั ใน
จิตรกรรมและประติมากรรมประดบั ตกแต่งสถาปัตยกรรมและของใช้ในทอ้ งถิน่ จังหวัดลำปาง และทอ้ งถนิ่ อื่นท่ีมหี ลักฐานวา่ มคี นลำปางเขา้ ไปอาศัยอยู่
ในช่วงยคุ ปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๓ เป็นต้นมา
32 นรศิ ศรสี วา่ ง, “ศิลปวฒั นธรรมไทยวนในจงั หวัดพะเยา”, ฐานข้อมูลทางศิลปวฒั นธรรมชาติพันธไ์ุ ต, โครงการจดั ต้งั ศูนยศ์ ิลปวัฒนธรรมล้านนา
(ไต) มหาวทิ ยาลยั พะเยา, ๒๕๕๗.
10
ภาพที่ ๓ วิหารรปู แบบศิลปะล้านนาพ้ืนเมอื ง
วัดพระแก้ว อำเภอเชยี งคำ จงั หวดั พะเยา
ท่ีมา : นายนริศ ศรีสว่าง
การแต่งกาย เครอ่ื งนงุ่ หม่
ผหู้ ญงิ ในอดีตจะทอผา้ สำหรับไว้ใชใ้ นครวั เรือน และสำหรับใช้ในงานบญุ งานพิธีตา่ ง ๆ
การทอผ้ามีทั้งผ้าสีพื้นขาว สีตุ่น และสีดำหม้อห้อม สำหรับตัดเย็บเป็นเสื้อ กางเกงผู้ชาย
ปลอกหมอน มุ้ง และถวายสำหรับพระสงฆ์เป็นผ้าไตรจีวร การทอผา้ เป็นรวิ้ สำหรับทำซิน่ (ผ้าถงุ ) และ
ผ้าห่ม ผ้าตุ้ม (ผ้าคลุม) ผ้าหัว (ผ้าขาวม้า) การทอผ้าใส่ลวดลายเป็นผ้าหลบ (ผ้าปูที่นอน) ผ้าก้ัง
(ผ้าม่าน) ผา้ เชด็ (ผา้ เชด็ หนา้ ) บางคร้ังกผ็ สมทัง้ ลายรว้ิ และลวดลายต่าง ๆ เชน่ ผา้ หัว
ในอดีตโดยปกติผู้หญิงจะไม่ใส่เสื้อ นุ่งซิ่น และจะมีผ้าป้าด (ผ้าพาด) หรือผ้าเบี่ยง(ผ้าสว้าน)
เป็นผ้าสารพัดประโยชน์ ใช้พันรอบอก ใช้ปัดแมลง เช็ดเหงื่อไคล ใช้ปกหรือคลุมหัว ต่อมาได้รับ
อทิ ธิพลตะวันตกจึงไดต้ ดั เย็บเส้ือท้ังแบบแขนยาว แขนส้ัน และเส้ือบา่ ห้อย (เส้ือคอกระเช้า) กันอุจาด
ตามทัศนคติชาวตะวันตก และผู้ชายจะใส่ผ้าเตีย่ วเพียงผนื เดียว นุ่งแบบเควด๊ หม้ามบ้าง33 แบบปล่อย
ชายบ้าง
ในยุคสมัยหนึ่ง ผู้ชายนิยมใส่เสื้อกุยเฮงผ่าอก ติดเชือกผูกแทนกระดุม กางเกงขากว้างย้อมสี
หม้อห้อม (สีน้ำเงินเข้มจวนดำ) ผู้หญิงสวมเสื้อสีเดียวกัน ผ้าซิ่นขอบบนสีดำหรือขาวกว้างประมาณ
ฝา่ มอื ตรงกลางมีรว้ิ ลายเป็นชนั้ ๆ สขี าว ดำ เขยี ว เหลอื งเลก็ ๆ สลบั กนั ตีนซน่ิ ใช้ผ้าสีดำหรือน้ำเงินแก่
กว้างประมาณคืบเศษ หรือนุ่งชุดสีน้ำเงินเข้มจวนดำเป็นเครื่องแต่งกายตามปกติเวลาทำงานไปไร่นา
แต่เวลามงี านพิธรี ่นื เริง เช่นงานบญุ ท่ีเรียกว่า “ปอยหลวง” ผ้ชู ายแต่งกายดว้ ยเสอ้ื สีสันลวดลายตา่ งๆ
33 สารานกุ รมวัฒนธรรมไทย ภาคเหนอื , เล่ม ๓ (กรงุ เทพฯ: มลู นธิ สิ ารานุกรมวฒั นธรรมไทย ธนาคารไทยพาณชิ ย์, ๒๕๔๒), หน้า ๑๓๓๘.
11
สวมกางเกงแพร ประแป้งทดั ดอกไม้ เอาผ้ายีโ่ ป้ (ผา้ ขาวม้า) คล้องคอหรือคาดเอว สำหรบั หญงิ แกช่ อบ
สวมเสื้อสขี าวมีผา้ สไบเฉียง ผา้ ซิ่นสดี ำหรือไมก่ ็สลับริ้วสอี ่อนๆ เอวสขี าว ไมใ่ ชส้ ฉี ดู ฉาด34
ผชู้ ายเดิมเกล้ามวยผม ต่อมาตัดทรงมหาดไทย ชอบสักหมกึ ต้ังแต่ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
เกอื บทกุ ส่วน ในท่อนบนของร่างกายตงั้ แต่บั้นเอวขึ้นมานิยมสักยนั ต์ประเภทข่ามอยู่ยงคงกระพนั เพ่ิม
ความพลงั ใหก้ บั ร่างกาย กันคณุ ไสย เมตตามหานยิ ม ตอนบ้ันเอวไปถึงขาบา้ งกส็ ักดำทึบไปหมด บ้างก็
มีลวดลาย มี ๓ ขนาด คือสักขาสั้นเหมือนนุ่งกางเกงขาสั้น สักขากึ่ง (ครึ่ง) จนถึงเหนือหัวเขา และสกั
ขายาวถึงข้อเท้า และส่วนล่างของรา่ งกายนี้จะนยิ มสกั ยนั ต์ประเภทกนั แมลงสัตวก์ ดั ต่อย
ผู้หญิงจะนิยมเกลา้ มวยผมค่อนมาทางทา้ ยทอย บ้างกใ็ ชห้ วสี ับเหน็บดอกไมห้ อมท่ีมวยผม
ภาษา
“คำเมือง” เปน็ ภาษาของคนเมือง มตี วั อกั ษรเรียกว่า “ต๋วั เมือง” หรอื อกั ษรธรรมลา้ นนา มที ้ัง
แบบจารึกสลักลงบนหนิ เรียกศิลาจารกึ 35 จารึกทฐ่ี านพระพทุ ธรูป และขดู เป็นร่องบนใบลาน และการ
เขยี นดว้ ยน้ำหมกึ หรือสลี งบนพบั สา (ออกเสียง “ปั๊บ-สา”) เปน็ ตน้ เปน็ ตวั อกั ษรท่ไี ด้รับอิทธพิ ลมาจาก
อกั ษรปลั ลวะ (อินเดียภาคใต้) มาสอู่ ักษรมอญ แล้วมาสตู่ ๋ัวเมืองหรืออักษรธรรมล้านนา36 คำเมืองเป็น
ภาษาในตระกลู ไต จากการออกเสียงตามสำเนยี ง ตวั “ท” ออกเสยี งเป็น “ต” ตวั “พ” ออกเสียงเป็น
“ป” ตัว “ช” ออกเสยี งเป็น “จ” ตวั “ร” ออกเสยี งเปน็ “ฮ” ตวั “ปร” ออกเสียงเปน็ “ผ” ตัว “ตร”
ออกเสียงเปน็ “ถ” เป็นต้น (หลักการออกเสียงนี้ใชเ้ ฉพาะในคำศพั ท์ภาษาตระกูลไต-ไทเทา่ น้ัน)
ประเพณี ความเชอ่ื
“ป๋าเวณี” คอื ประเพณี เปน็ คำศพั ทท์ ค่ี นเมอื งใชเ้ รยี กกันมาแต่ในอดีต ซง่ึ รับมาจากศัพท์ภาษา
บาลี ประเพณีและความเชื่อของคนเมืองในพื้นที่จังหวัดพะเยานั้น เป็นประเพณีที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่อง
ของความเชื่อเกี่ยวกับผี และความเชื่อในพุทธศาสนา มีการจัดประเพณีต่างๆ เหมือนกับคนเมืองใน
จังหวัดอื่นๆ ของภาคเหนอื โดยเฉพาะจังหวัดลำปางและจังหวัดน่าน เน่อื งดว้ ยการตัง้ หลกั แหลง่ ชมุ ชน
ยุคฟื้นฟูเมืองพะเยาและพื้นที่ใกล้เคียงในยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ซึ่งได้รวมกันเป็นจังหวัดพะเยาใน
ปัจจบุ ัน ประเพณสี ำคัญในรอบปี ยกตัวอย่างดงั นี้
เดอื น ๗ ประเพณีปีใหม่
เดอื น ๘ ประเพณแี ปดเปง็ สักการะพระเจ้าตนหลวง
เดือน ๙ ประเพณีเล้ียงผปี ู่ย่า ผเี จา้ นาย ผีอารักษ์ ประเพณไี หวค้ รูสล่า (ช่าง) แขนงต่าง ๆ ของ
พื้นเมือง เช่น สล่าแห่ (นักดนตรี) ช่างซอ ช่างฟ้อน (นางรำ) สล่าเจิง (ผู้มีชั้นเชิงในการต่อสู้) หมอ
ไสยศาสตร์ เปน็ ต้น
เดือน ๑๐ ประเพณเี ข้าพรรษา
34 บญุ ช่วย ศรสี วัสดิ์, ๓๐ ชาตใิ นเชยี งราย, พิมพ์ครั้งที่ ๒ (กรุงเทพฯ : ศยาม, ๒๕๔๗),อา้ งแลว้ , หน้า ๑๑-๑๒.
35 ยกตวั อยา่ งเช่น จารกึ นน.๑๖ “เจา้ อตั ถวรปัญโญเสรมิ ยอดพระธาตุแชแ่ หง้ พ.ศ.๒๓๓๒” ปัจจบุ นั อยู่ทวี่ ัดพระธาตุแช่แหง้ จังหวัดน่าน
36 ๗๐๐ ปี ลายสอื ไทย (อกั ขรวิทยาไทยฉบบั ยอ่ ), กรมศิลปากร, ๒๕๒๖, หนา้ ๓๐. ได้แสดงภาพแผนภูมิ “การกำเนิดตวั อักษรอีกแนวหนงึ่ เปน็ ท่มี า
ของอกั ษรธรรมและอกั ษรไทยน้อย” ซึ่งแสดงใหเ้ ห็นวา่ เร่ิมจากรูปอักษรปลั ลวะ พุทธศตวรรษท่ี ๑๑-๑๒ แล้วคลี่คลายมาในแตล่ ะยคุ สมยั จนเปน็ รูปอักษร
ธรรมลา้ นนา พทุ ธศตวรรษท่ี ๒๐
12
เดือนเกี๋ยงหรือเจี๋ยง (๑) ประเพณีตานก๋วยสลากหรือตานสลากหรือกิ๋นสลาก ประเพณีตาน
เปรตพลี
เดือนย่ี (๒) ประเพณยี ี่เปง็ ต้งั ธรรมหลวง (เทศนม์ หาชาติ) ปลอ่ ยโคม ตานกอ๋ งหลวั หงิ ไฟพระเจ้า
เดือน ๔ ประเพณีตานขา้ วใหม่ หรือตานขา้ วจขี่ า้ วหลาม
เดือน ๕ และเดือน ๖ ประเพณีเลี้ยงผีปู่ย่า (ผีประจำตระกูล) ได้แก่ ผีมด ผีเมง (สันนิษฐานว่า
ผีมดเป็นผีประจำตระกูลของผู้ที่สืบทอดเรื่องการรักษาโรค ดังมีคำกล่าวเรียกผู้ทำการรักษาโรคว่า
“เป็นมดเป็นหมอ” และในภาคอีสานก็ปรากฏว่ามีผีมดผีหมอด้วย ส่วนผีเมง เป็นผีประจำตระกูล
ผู้มีเชื้อสายมอญโบราณ ที่สืบเชื้อสายกันมาในดินแดนแถบนี้ตั้งแต่ครั้งก่อนสมัยอาณาจักรล้านนา
สืบเนื่องมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ เนื่องจากปรากฏการเรียกคนมอญโบราณว่า “เมง” ในเอกสาร
โบราณต่าง ๆ )
นอกจากนี้ยังมีพิธีกรรมเนื่องในความเชื่อ เช่น พิธีแต่งงาน พิธีสู่ขวัญ พิธีขึ้นเรือนใหม่ พิธี
สืบชะตา พิธีส่งเคราะห์ พิธีกรรมการเกิด พิธีกรรมการตาย พิธีกรรมการรักษาโรค และพิธีกรรม
เก่ียวกบั พุทธศาสนา เปน็ ตน้
การขบั ขาน ดนตรี นาฏศิลป์ และการละเล่นพน้ื บา้ น
คนเมืองในจังหวัดพะเยามีการขับขาน การเล่นดนตรี นาฏศิลป์ และการละเล่นพื้นบ้าน ซ่ึง
โดยรวมจะมีลักษณะเหมือนของคนเมืองในจังหวัดต่าง ๆ ของภาคเหนือ แต่อาจจะมีลักษณะเฉพาะท่ี
คลา้ ยคลงึ กบั เมืองลำปางและเมืองนา่ น เน่ืองจากการเคลอ่ื นยา้ ยมาตง้ั ถนิ่ ฐานน้นั ยกตวั อยา่ งเช่น
อ่านคร่าว ออกเสียง “ค่าว” ค่าวเป็นบทประพันธ์ประเภทร้อยแก้ว ที่มีสัมผัสคล้องจอง การ
อา่ นจะมกี ารเอ้อื นเสยี ง มีจังหวะจะโคนทมี่ เี อกลกั ษณเ์ ฉพาะ
จ๊อย เป็นการขับขาน เอื้อนน้ำเสียงที่มีเอกลักษณ์ทำนองเฉพาะของแต่ละชุมชนท้องถิ่น มีทั้ง
แบบจ๊อยด้นสด และจ๊อยแบบมีเนื้อร้อง ที่เรียกว่า “ค่าวจ๊อย” คือบทประพันธ์ประเภทร้อยกรอง
สำหรับการจ๊อยโดยเฉพาะ ในจังหวัดพะเยามีการจ๊อยทั้งแบบลำปาง และแบบน่าน ตามกลุ่มคนที่มี
เชื้อสายจากเมืองนั้น ๆ และทำนองจ๊อยเจียงแสน ซึ่งจะนิยมในการซอ จะร้องทำนองจ๊อยเจียงแสน
กอ่ นข้ึนซออื่อ หรือซอเงย้ี ว
ซอ เป็นการขับขานมีระบำ (ทำนอง) ต่างๆ หลายทำนอง มีบทซอ (เนื้อร้อง) หรือด้นสด ตาม
ปฏิภาณของชา่ งซอ (ผขู้ ับซอ) และมกี ารใช้เครื่องดนตรีประกอบแบ่งเปน็ ๒ รูปแบบ คือ
๑. ซอเข้าปี่ (การซอประกอบการเป่าปี)่ ในอดีตมีชา่ งซอช่างปีจำนวนมากในเขตพ้ืนที่ อำเภอ
เมืองพะเยา และอำเภอแม่ใจ ซึ่งจะมีทำนองในการซอหลายทำนอง เช่น ตั้ง จะปุ ละม้าย อื่อ พม่า
เงย้ี ว บ่าเก่าบ่ากลา๋ ง เปน็ ตน้
๒. ซอเข้าสะลอ้ ปณิ (การซอประกอบการเล่นสะล้อ พิณ (ออกเสียง “ปิณ”)37 ซึ่งเชื่อกันว่ามี
ทม่ี าจากการยา้ ยเมอื งจากเมืองวรนคร (ปัว) มาเมืองนา่ น โดยการล่องเรอื ลอ่ งแพลงมาตามลำน้ำน่าน
37 สนน่ั ธรรมธิ, นาฏดรุ ิยการล้านนา ,สำนักส่งเสรมิ ศลิ ปวฒั นธรรม มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่ (เชียงใหม่ : สเุ ทพการพมิ พ,์ ๒๕๕๐),หนา้ ๒๘.
13
จึงเรียกการซอรูปแบบนี้ว่า “ซอล่องน่าน”) โดยมีทำนองในการซอ เช่น ตั้ง ดาดน่าน ดาดแพร่ เงี้ยว
พม่า อื่อ เป็นต้น การซอล่องน่านนี้ในอดีตนิยมในท้องถิ่นแถบอำเภอเชียงคำ อำเภอภูซาง อำเภอจุน
อำเภอปง อำเภอเชียงมว่ น
วงกลองสิ้งหม้อง ประกอบด้วยกลองแอวขนาดเล็ก ฉาบขนาดกลาง-เล็ก และฆ้องขนาด
กลาง-เล็ก ไม่จำกัดจำนวน ตามความเหมาะสม นิยมใช้ประโคมแห่ครัวตาน (เครื่องไทยทาน) ในงาน
บุญของวดั
วงกลองแอวภาพ๔ ประกอบดว้ ยกลองแอวขนาดกลาง-ใหญ่ ๑ ใบ สว่า กลองบา่ ลดป้ด (ตะหลด
ปด38) ๑ ใบ (ฉาบ) ขนาดใหญ่ ๑ คู่ ฆ้องขนาดกลาง-ใหญ่ จำนวน ๒-๕ ใบ ใช้ประโคมในงานบุญ
ของวดั นิยมใช้ประโคมประกอบการฟอ้ นเล็บ และแหข่ บวนครวั ตาน
วงป้าด (วงปี่พาทย์พื้นเมือง)ภาพ๕ ใช้แห่ประโคมในพิธีกรรมฟ้อนผี และในงานบุญของวัด
บางแห่ง ใช้ประกอบการฟ้อนเล็บ ฟ้อนพื้นเมืองต่างๆ แห่ขบวนครัวตาน ประกอบการชกมวย หรือ
แห่ในงานศพและขบวนศพไปส่ปู า่ ชา้
ภาพที่ ๔ วงกลองแอว ประโคมประกอบการฟ้อนเล็บในขบวนแห่ครวั ตานหัววัด
งานตานกว๋ ยสลากวัดศรีอุโมงค์คำ อำเภอเมืองพะเยา จังหวดั พะเยา
ท่ีมา : นายนรศิ ศรสี ว่าง
38 สนนั่ ธรรมธ,ิ นาฏดรุ ยิ การล้านนา, สำนักสง่ เสรมิ ศลิ ปวฒั นธรรม มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่ (เชยี งใหม่ : สุเทพการพมิ พ,์ ๒๕๕๐), อ้างแลว้ , หนา้ ๖๖.
14
ภาพท่ี ๕ วงป้าด (วงป่ีพาทยพ์ นื้ เมอื ง) ประโคมรับขบวนครัวตานหวั วดั
ในขบวนแหค่ รัวตานหัววดั งานตานก๋วยสลากวดั ศรีอุโมงคค์ ำ อำเภอเมอื งพะเยา จังหวัดพะเยา
ที่มา : นายนรศิ ศรสี วา่ ง
กลองป๋จู า39 (บูชา) ใช้ประโคมถวายเปน็ พุทธบชู า ในวนั โกน (วันโกนผมพระสงฆก์ ่อนวันพระ)
วันศีล (วันพระ) จะนิยมตีกลองประกอบการตีสว่า (ฉาบขนาดใหญ่) และฆ้องขนาดลดหลั่นจากเสียง
แหลมไปหาเสียง และประโคมในงานบุญของวัด เพื่อต้อนรับขบวนแห่ครัวตาน โดยนิยมใช้ไม้แสะ
(แส)้ ฟาดหนา้ กลองเป็นจังหวะประกอบการตกี ลองปู๋จา ท้งั สองแบบมจี ังหวะทำนองเฉพาะของแต่ละ
ทอ้ งถิ่น ท่ีบง่ บอกถึงทม่ี าของคนหมู่บา้ นนน้ั กลองป๋จู าของคนเมือง จะมีกลองแม่ (กลองใบใหญ่) ๑ ใบ
กลองลูกตุบ (กลองใบเล็ก) ขนาดลดหล่นั กนั จำนวน ๒-๓ ใบ ข้ึนอยู่กับการสืบทอดตอ่ มาจากบรรพชน
ของชุมชนน้ันๆ
วงสะล้อ ซอ ซึง ในอดีตซึงและสะล้อ เป็นเครื่องดนตรีที่ผู้ชายคนเมืองนิยมเล่น เป็นเครื่อง
บันเทงิ ใจ ประเทอื งอารมณ์40 และจะนำไปอวดฝมี ือการเล่นใหห้ ญงิ สาวท่ีตนชอบได้ฟงั ตอ่ มาได้มีการ
ประสมวงกันในการพบปะสังสรรค์ จงึ มีคนมารว่ มขบั ร้องเข้าทำนองเรียกว่า “ซอ” และมกี ารนำเคร่ือง
ดนตรีอ่ืนๆ เขา้ มาประสมวงดว้ ย เช่น ขลุ่ย กลอง ฉงิ่ ฉาบ เปน็ ท่คี รกึ คร้ืนมากย่ิงข้นึ เม่อื ผคู้ นไดย้ นิ เกิด
ความประทับใจ ชวนทั้งคณะไปบรรเลงในงานต่าง ๆ เช่น งานแต่งงาน งานขึ้นเรือนใหม่ งานเลี้ยงผี
งานศพ จนกระทัง่ กลายเป็นทีน่ ิยมตอ่ เนือ่ งสืบกนั มา
ฟ้อนเจิง เป็นการแสดงลีลาชั้นเชิงในการต่อสู้ของผู้ชายพื้นเมืองล้านนา มีทั้งแบบมือเปล่า
และใช้อาวุธ เช่น ดาบ หอก ไม้ค้อน (ฆ้อนหรือพลอง) จึงเรียกลีลาชั้นเชิงการใช้อาวุธนั้นๆ ว่า
“เจิงดาบ เจงิ หอก เจงิ คอ้ น” นิยมฟอ้ นแสดงอวดลลี าในขบวนแห่ครวั ตาน ในงานบุญของวดั
39 สนั่น ธรรมธ,ิ นาฏดุรยิ การลา้ นนา, สำนักส่งเสรมิ ศลิ ปวัฒนธรรม มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม่ (เชียงใหม่ : สเุ ทพการพมิ พ์, ๒๕๕๐), อ้างแลว้ ,
หน้า ๒๙-๔๓.
40 สนั่น ธรรมธิ, นาฏดรุ ยิ การลา้ นนา,สำนักส่งเสริมศลิ ปวฒั นธรรม มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม่ (เชียงใหม่ : สุเทพการพิมพ,์ ๒๕๕๐), อา้ งแลว้ , หน้า ๑๗.
15
ฟ้อนเล็บภาพ๖ เป็นการฟ้อนที่ได้รับนิยมอย่างมากในหมู่บ้านคนเมืองของจังหวัดพะเยา
เช่นเดียวกับหมู่บ้านคนเมืองจังหวัดอื่น ๆ ในภาคเหนือ โดยนิยมให้ผู้หญิงฟ้อนเข้าแถวเป็นขบวน
ใส่เล็บประดิษฐท์ ี่ปลายเรียวโค้งแหลม ฟ้อนเข้าจังหวะวงกลองแอว และวงป้าด จะฟ้อนในโอกาสงาน
บุญของวัด หรือแห่ขบวนครัวตาน การฟ้อนนี้จะสืบทอดภายในกลุ่มช่างฟ้อนในชุมชนจากรุ่นสู่รุ่น
ซ่ึงมักจะมาฝกึ ฟอ้ นกันที่วดั ประจำชุมชน
นอกจากนี้ในแต่ละท้องถิ่นบางหมู่บ้านยังมีการประดิษฐ์ฟ้อนต่างๆ ประกอบการประโคม
ฆอ้ งกลอง ซงึ่ มีลกั ษณะเฉพาะถิ่นข้นึ มาอีกด้วย
ภาพที่ ๖ ขบวนฟ้อนเล็บแหค่ รวั ตานหวั วดั งานตานกว๋ ยสลาก
วัดศรีอโุ มงค์คำ อำเภอเมอื งพะเยา จงั หวดั พะเยา
ที่มา : นายนรศิ ศรสี วา่ ง
อาหาร
อาหารของคนเมืองในจังหวัดพะเยาเหมือนกับอาหารคนเมืองในจังหวัดอื่น ๆ ของภาคเหนือ
เปน็ พืชผกั ทไี่ ด้จากธรรมชาติ และจากการปลูกในครัวเรือน โปรตนี หลักไดจ้ ากสตั วน์ ำ้ และแมลงต่างๆ
ส่วนเนื้อไก่ หมู วัว ควาย จะได้บริโภคต่อเมื่อมีงานประเพณีพิธีกรรมเทศกาลสำคัญเท่านั้น เช่ น
ประเพณีเลี้ยงผีปู่ย่า ผีอารักษ์ (เสื้อบ้าน เสื้อเมือง ผีฝาย ผีขุนน้ำ) พิธีแต่งงาน พิธีสู่ขวัญ พิธี
ข้ึนเรือนใหม่ เป็นตน้
การรักษาโรค
ในอดีตการรักษาโรคมี ๒ รูปแบบ คือ รักษาด้วยยาสมุนไพรภาพ๗ และรักษาด้วยพิธีกรรมทาง
ไสยศาสตร์ ซึ่งจะมหี มอผู้ทำการรักษาอยู่ทั่วไปในพื้นที่หลายชุมชนของจังหวัดพะเยา ซึ่งโดยมากจะมี
การสืบทอดกันในสายตระกูล จากพ่อสู่ลูกชายเป็นส่วนใหญ่ โดยมีข้อสันนิษฐานว่าตระกูลที่สืบทอด
การรกั ษาโรคนั้นเรยี กวา่ “ขะกู๋ลมด” และเรียกผูท้ ำการรักษาโรควา่ “เป็นมดเปน็ หมอ”
16
ภาพที่ ๗ การยำ่ ขาง เปน็ การนวดโดยใช้เท้าชบุ น้ำผสมสมนุ ไพรปูเลย หรอื ไพล สลบั กบั ชุบนำ้ มันงา
แล้วนำไปเหยยี บบน“ขาง” ซ่ึงเป็นใบคนั ไถเหล็กทต่ี ้ังอยู่บนเตาไฟลกุ ร้อนฉ่า
จากนนั้ จึงรีบชกั เท้านำความรอ้ นมาเหยยี บนวดตามเสน้ ตามจดุ ตา่ งๆ เพื่อชว่ ยรกั ษาอาการปวดเมอื่ ยของรา่ งกาย
ซึ่งความร้อนจากการย่ำขางจะชว่ ยผอ่ นคลายกล้ามเน้อื และเส้นไดด้ กี วา่ การนวดปกตทิ ั่วไป
ทีม่ า : http://www.manager.co.th/qol/ViewNews.aspx?NewsID=9590000071827 สืบค้นเมื่อ ๒๕ มถิ ุนายน ๒๕๕๙
กล่มุ ยุทธศาสตร์และเฝา้ ระวงั ทางวฒั นธรรม
สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดพะเยา
73/1 ถนนดอนสนาม ตำบลเวยี ง อำเภอเมืองพะเยา จงั หวดั พะเยา
โทร. 054 485781 โทรสาร 054 485783