อตั ราการเกิดปฏิกริ ิยาเคมี (Rate of Chemical Reaction)
หมายถึง ปริมาณของสารทีเ่ ปลยี่ นไปตอ่ หนงึ่ หน่วยเวลา หรือ ปริมาณสารตงั้ ต้น(reactant)ทล่ี ดลง
หรือปริมาณสารผลติ ภณั ฑ์(product)ท่ีเกิดขนึ ้ ตอ่ หนงึ่ หนว่ ยเวลา
ซงึ่ จะเป็ นการบอกวา่ ปฏกิ ิริยานนั ้ จะเกิดขนึ ้ ได้รวดเร็วเพยี งใด เช่น การเกิดสนมิ การสกุ ของผลไม้ Page | 1
การลกุ ไหม้ของนา้ มนั เบนซนิ เป็ นต้น
ปริมาณของสาร อาจวดั จาก มวล(ของแขง็ ) ปริมาตร(แก๊ส) ความเข้มข้น(สารละลาย) ขนึ ้ อยกู่ บั
ความสะดวกและเหมาะสมในการวดั ปริมาณของสารนนั้ นอกจากนยี ้ งั สามารถใช้สมบตั ขิ องสารที่
เปลย่ี นแปลงไปนามาหาอตั ราการเกิดปฏกิ ิริยาได้ เชน่ ความดนั สี การนาไฟฟ้ า การเกิดตะกอน ความเป็ น
กรดเป็ นเบส เป็ นต้น (ทวั่ ไปมกั ใช้ความเข้มข้น mol/dm3)
หน่วยเวลา อาจใช้ เป็ นวนิ าที นาที ชวั่ โมง วนั ขนึ ้ อยกู่ บั ปฏิกิริยาวา่ เกิดเร็วหรือช้าเพยี งใด
ดงั นนั้ หนว่ ยของอตั ราการเกิดปฏกิ ิริยาจึงขนึ ้ กบั ปริมาณทีว่ ดั และเวลาทีใ่ ช้ในการเกิดปฏกิ ิริยา เชน่
กรัมตอ่ วินาที กรัมตอ่ นาที ลกู บาศก์เซนติเมตรตอ่ วนิ าที โมลตอ่ ลติ รตอ่ วนิ าที ฯลฯ
เขียนเป็ นสมการได้วา่
อตั ราการเกิดปฏกิ ิริยาเคมี = ปริมาณสารตงั ้ ต้นท่ลี ดลง
ระยะเวลาท่เี กิดปฏิกิริยา
อตั ราการเกิดปฏิกิริยาเคมี = ปริมาณสารผลติ ภัณฑ์ท่เี พิ่มขนึ ้
ระยะเวลาท่เี กิดปฏกิ ิริยา
ถ้า A + 2B → 3C
จะได้ว่
RA = - [ ]−[ ] หรือ RA = - ∆[ ]
∆ ∆
Page | 2
[ ]−[ ] ∆[ ]
RB = - ∆ หรือ RB = - ∆
RC = [ ]−[ ] หรือ RC = ∆[ ]
∆ ∆
R = อตั ราการเกิดปฏิกิริยา(อาจใช้ V)
∆t = ระยะเวลาท่ใี ช้ในการเกิดปฏิกิริยา เป็ นวนิ าที
[ ] = ความเข้มข้นของสาร หนว่ ยเป็ นโมลตอ่ ลกู บาศก์เดซิเมตร หรือโมลตอ่ ลติ ร
โดยที่สารตงั ้ ต้น [A2] จะมีคา่ น้อยกวา่ [A1] และ [B2] จะมีคา่ น้อยกวา่ [B1]
เพราะเมื่อเกิดปฏิกิริยาสารตงั ้ ต้นจะลดลง เม่ือนา [A2] - [A1] และ [B2] - [B1] จะมีคา่ ตดิ ลบ
ดงั นนั ้ เม่ือคดิ อตั ราการเกิดปฏิกิริยาจากสารตงั ้ ต้นจึงต้องใช้ - [A2] - [A1] หรือ - [B2] - [B1] หรือ
- ∆[A] หรือ - ∆[B] เม่ือคานวณแล้วอตั ราก็จะมีคา่ บวกเสมอ สว่ นผลติ ภณั ฑ์นนั้ [C2] มีคา่ มากกวา่
[C1] เพราะเม่ือเกิดปฏิกิริยาจะได้ผลติ ภณั ฑ์เพม่ิ ขนึ ้ เม่ือนา [C2]- [C1] จะได้คา่ เป็ นบวก
เม่ือคิดอตั ราการเกิดปฏกิ ิริยาจากสารผลติ ภณั ฑ์จงึ ไม่ต้องมีเคร่ืองหมายลบในสมการ
ความสัมพนั ธ์ของอตั ราการเกิดปฏิกริ ิยาเคมี
ถ้า A + 2B⟶ 3C หมายความวา่ ถ้าใช้สาร A ลดลง 1 เทา่ สาร B จะลดลง 2 เทา่ ได้สาร C
เพมิ่ ขนึ ้ 3 เทา่ ดงั นนั้
R= - ∆[ ] = - ∆[ ] = ∆[ ]
∆ ∆ ∆
Ex จาก 4A + 5B → 2C + D จงบอกอตั ราการเกิดปฏิกิริยาของสารแตล่ ะชนิด และความสมั พนั ธ์ของ
อตั ราการเกิดปฏิกิริยาเคมีจากสมการเคมี
Ex จาก 2NO2(g) → 2NO(g) + O2(g) จงบอกอตั ราการเกิดปฏกิ ิริยาของสารแตล่ ะชนิด และ
ความสมั พนั ธ์ของอตั ราการเกิดปฏิกิริยาเคมีจากสมการเคมี
Ex เมื่อนาโลหะแมกนีเซียม จุ่มลงในกรดไฮโดรคลอริก จงเขยี นสมการเคมี และบอกอตั ราการ
เกิดปฏิกิริยาของสารแตล่ ะชนดิ และความสมั พนั ธ์ของอตั ราการเกิดปฏกิ ิริยาเคมีจากสมการเคมี
Page | 3
Ex จากปฏกิ ิริยาระหวา่ ง ก๊าซไนโตรเจน กบั ก๊าซไฮโดรเจน ได้ผลิตภณั ฑ์เป็ น ก๊าซแอมโมเนีย จงหาอตั รา
การลดลงของก๊าซไนโตรเจน อตั ราการลดลงของก๊าซไฮโดรเจน และอตั ราการเพิม่ ขนึ ้ ของก๊าซแอมโมเนีย
และเขียนความสมั พนั ธ์ของความเข้มข้นของสาร
Ex จากปฏิกิริยาตอ่ ไปนี ้2A (g) + B(g) → 3C(g) + D(g) เริ่มต้นใช้แก๊ส A 5 โมล ทาปฏิกิริยากบั แก๊ส B
3 โมล ในภาชนะ 500 cm3 เมื่อเวลาผา่ นไป 25 วนิ าที วดั ปริมาณของแก๊ส D พบวา่ เกิดขนึ ้ 0.5 โมล จง
คานวณหา
อตั ราการเกิดแก๊ส C (หนว่ ยโมลตอ่ วินาที และหนว่ ยโมลตอ่ ลติ รตอ่ วินาที)(0.06 และ 0.12
ตามลาดบั )
อตั ราการลดลงของแก๊ส A (หนว่ ยโมลตอ่ วินาที และหนว่ ยโมลตอ่ ลิตรตอ่ วินาที)(0.04 และ 0.08
ตามลาดบั )
อตั ราการเกิดปฏกิ ิริยา (หนว่ ยโมลตอ่ วนิ าที และหนว่ ยโมลตอ่ ลิตรตอ่ วินาที)(0.02 และ 0.04
ตามลาดบั )
Page | 4
Ex เชือ้ เพลงิ สะอาดชนิดหนงึ่ ท่ีสามารถใช้ในรถยนต์ในอนาคต คอื 2H2(g) + O2(g) → 2H2O(g)
ก. จงเขียนความสมั พนั ธ์แสดงการเปลย่ี นแปลงความเข้มข้นของ H2 ,O2 และ H2O กบั เวลา
ข. เม่ือความเข้มข้นของ O2 มีอตั ราการลดลงเป็ น 0.23 mol/dm3.s อตั ราการเพิ่มขนึ ้ ของความ
เข้มข้นของ H2O จะเป็ นเทา่ ใด(0.46 mol/dm3.s)
Ex เมื่อใสโ่ ลหะอะลมู ิเนียม (Al) จานวน 5.4 กรัม ลงในสารละลายกรดไฮโดรคลอริก (HCl) x mol/dm3
จานวน 300 cm3 เกิดปฏิกิริยาดงั สมการ 2Al + 6HCl → 2AlCl3 + 3H2 หลงั จากเวลาผา่ นไป 10 นาที
พบวา่ โลหะอะลมู ิเนียมยงั เหลอื อยู่ 4.86 กรัม จงคานวณหาอตั ราการเกิดแก๊ส H2 และอตั ราการ
เกิดปฏกิ ิริยา(มวลอะตอม Al = 27)(0.003 โมล/นาท,ี 0.001 โมล/นาที)
ประเภทของอตั ราการเกิดปฏิกริ ิยา
ข้อมลู ความเข้มข้นของสารในปฏิกิริยา 2N2O5(g) → 4NO2(g) + O2(g) ณ เวลาตา่ งๆ
ทอี่ ณุ หภมู ิ 55 ๐C
เวลา(s) ความเข้มข้น (mol/dm3) Page | 5
NO2
0 N2O5 0.0000 O2
100 0.0200 0.0063 0.0000
200 0.0169 0.0115 0.0016
300 0.0142 0.0160 0.0029
400 0.0120 0.0197 0.0040
500 0.0101 0.0229 0.0049
600 0.0086 0.0256 0.0057
0.0072 0.0064
อตั ราการเกิดปฏิกริ ิยาเฉล่ีย (average rate) หมายถงึ การเปลย่ี นแปลงที่เกิดขนึ ้ ทงั ้ หมดต่อ
เวลาท่ีใช้ในการเปลยี่ นแปลงทงั้ หมด
ดงั นนั้ จากข้อมลู
อตั ราการเกิดปฏิกิริยาเฉลยี่ ของ O2 = ∆[ ]
∆
= (0.0064−0.0000)
(600−0)
= 0.0064
600
= 1.07 mol/dm3.s
อตั ราการเกิดปฏกิ ิริยาเฉลยี่ ของ N2O5 = - ∆[N2O5]
=
= ∆t
=
= - (0.0072−0.020)
600−0
- (−0.0128)
600
0.0128
600
2.13 x 10-5 mol/dm3.s
อตั ราการเกดิ ปฏิกิริยา ณ ขณะใดขณะหน่ึง
หมายถงึ อตั ราการเกิดปฏกิ ิริยาชว่ งเวลาหนง่ึ หรือ อตั ราการเกิดปฏิกิริยา ณ จุดเวลาใด
เวลาหนงึ่
อตั ราการเกดิ ปฏิกิริยาเฉล่ียในช่วงเวลาหน่ึง หมายถึง การเปลยี่ นแปลงที่เกิดขนึ ้ ใน Page | 6
ชว่ งเวลาหนงึ่ ตอ่ เวลาท่ีใช้ในการเปลย่ี นแปลงนนั้
ดงั นนั้ จากข้อมลู
อตั ราการเกิดปฏกิ ิริยาเฉลยี่ ของ O2 ที่ชว่ งเวลา 300-400 วินาที
= ∆[O2]300−400 วินาที
∆t300−400 วินาที
= [O2]400−[O2]300
∆t300−400 วินาที
= (0.0049−0.004)
400−300
= 0.0009
100
= 0.000009 mol/dm3.s หรือ 9 x 10-6 mol/dm3.s
อัตราการเกดิ ปฏิกิริยา ณ จุดเวลาใดเวลาหน่ึง หมายถงึ การเปลย่ี นแปลงท่เี กิดขนึ ้ ใน
วินาทใี ดวินาทหี นง่ึ
จากข้อมลู เขยี นกราฟได้ดงั นี ้
กราฟแสดงความสัมพนั ธ์ระหว่างความเข้มข้นของสารในปฏิกริ ิยา
2N2O5(g) → 4NO2(g) + O2(g)
ณ เวลาต่างๆ ท่ีอุณหภมู ิ 55 ๐C
0.027 0.0256
0.024
ความเ ้ขม ้ขน (โมล/ ูลกบาศ ์กเดซิเมตร) 0.021 0.0229
0.018
0.015 0.02 0.0197
0.012
0.009 0.0169 0.016
0.006
0.003 0.0142 N2O5
NO2
0 0.0115 0.012 0.0101 O2
0.0086
0.0049 0.0057 00..00007642
0.0063
0.0029 0.004
0.0016
0
0 100 200 300 400 500 600
เวลา(วินาที)
เนื่องจากวนิ าทีใดวินาทีหนงึ่ เมื่อนามาหา ∆t = 0 ดงั นนั้ ซงึ่ จะหาคา่ ที่แนน่ อนไม่ได้ ดงั นนั้
ต้องใช้วธิ ีลากเส้นสมั ผสั เพื่อหาความชนั ของกราฟ หรือเลอื กชว่ งของข้อมลู ทคี่ รอบคลมุ วินาทใี ดวินาทีหนงึ่
ทีต่ ้องการ Page | 7
จากข้อมลู และกราฟ
อตั ราการเกิดปฏกิ ิริยาเฉลยี่ ของ O2 ท่ีวนิ าทที ่ี 350
= ∆[O2]300−400 วินาที
∆t300−400 วินาที
= [O2]400−[O2]300
∆t300−400 วนิ าที
= (0.0049−0.004)
400−300
= 0.0009
100
= 0.000009 mol/dm3.s หรือ 9 x 10-6 mol/dm3.s
Ex จากข้อมลู จงหาอตั ราการลดลงเฉลยี่ ของ N2O5
Ex จงหาอตั ราการเพ่มิ ขนึ ้ ของ NO2 ในชว่ งเวลาวินาทีท่ี 100 -300
Ex จงหาอตั ราการเพ่ิมขนึ ้ ของ NO2 ในวนิ าทที ี่ 400
Ex จงหาอตั ราการเกิดปฏกิ ิริยา
Page | 8
Ex เริ่มต้นมีคาร์บอน 20 กรัม เมื่อให้ทาปฏกิ ิริยากบั ออกซเิ จนในอากาศเป็ นเวลา 5 นาที ปรากฏวา่ คาร์บอน
มีนา้ หนกั เหลอื 15 กรัม จงหาอตั ราการเกิดปฏกิ ริ ิยาเคมี
______________________________________________________________________________________
______________________________________________________________________________________
______________________________________________________________________________________
______________________________________________________________________________________
______________________________________________________________________________________
Ex จากปฏิกิริยาตอ่ ไปนี ้2A(g) + B(g) → 3C(g) + D(g) เริ่มต้นใช้แก๊ส A 5 โมลทาปฏกิ ิริยากบั แก๊ส B 3
โมล ในภาชนะ 500 cm3 เมื่อเวลาผา่ นไป 25 วินาที วดั ปริมาตรของแก๊ส D ทนั ที พบวา่ เกิดขนึ ้ 0.5 โมล จง
คานวณหา
ก. อตั ราการเกิดแก๊ส C
ข. อตั ราการลดลงของแก๊ส A
ค. อตั ราการเกิดฏิกิริยา
Ex เม่ือใสโ่ ลหะอะลมู ิเนยี ม(Al) จานวน 5.4 g ลงในสารละลายกรดไฮโดรคลอริกเข้มข้น X mol/dm3
จานวน 300 cm3 จะเกิดปฏิกิริยาดงั สมการ 2Al + 6HCl → 2AlCl3 + 3H2 หลงั จากเวลาผา่ นไป 10 นาที
พบวา่ เหลอื โลหะอลมู ิเนยี มอยู่ 4.86 g จงคานวณหาอตั ราการเกิดแก๊ส H2 และอตั ราการเกิดปฏิกิริยา(Al =
27) Page | 9
Ex จากการศกึ ษาการเกิดปฏกิ ิริยา Mg + 2HCl → MgCl2 + H2 โดยการวดั ปริมาตรของแก๊ส H2 กบั
เวลาทีใ่ ช้ได้ดงั นี ้
ปริมาตรแก๊ส H2(cm3) เวลา(s)
1 4
2 10
3 18
4 28
5 40
6 58
7 80
8 124
จงคานวณหา
ก. อตั ราการเกิดแก๊ส H2 และเฉลย่ี
ข. อตั ราการเกิดแก๊ส H2 ช่วงเวลา 10-18 วนิ าที
ค. อตั ราการเกิดแก๊ส H2 ช่วงเวลา 28-40 วินาที
ง. อตั ราการเกิดแก๊ส H2 ชว่ งเวลา 40-80 วนิ าที Page | 10
จ. อตั ราการเกิดแก๊ส H2 วินาทีท่ี 50
Ex จากปฏิกิริยา A(l) + 2B(l) → 3C(l) + 4D(l) เริ่มต้นมีสาร A 100 mol ทาปฏิกิริยากบั สาร B เมื่อเวลา
ผา่ นไป 10 นาที พบวา่ เกิดสาร C ขนึ ้ 30 mol จงหาอตั ราการเกิดปฏกิ ิริยาตอ่ ไปนี ้
ก. อตั ราการเกิดสาร C
ข. อตั ราการลดลงของสาร A
ค. อตั ราการลดลงของสาร B
ง. อตั ราการเกิดสาร D
จ. อตั ราการเกิดปฏิกิริยาเฉลยี่
Ex ปฏิกิริยา NO2(g) + CO(g) → NO(g) + CO2(g) ถ้าเริ่มต้นมี NO2 100 cm3 และ CO อยู่ 50 cm3 เมื่อ
ผสมแก๊สทงั้ สองชนดิ ด้วยกนั เป็ นเวลา 10 นาที ปรากฎวา่ เกิดแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ขนึ ้ 30 cm3 จงหา
ก. อตั ราการเกิดแก๊ส CO2 Page | 11
ข. อตั ราการลดลงของ NO2
ค. อตั ราการลดลงของ CO
ง. อตั ราการเกิด NO
จ. อตั ราการเกิดปฏกิ ิริยาเฉลย่ี
Ex โลหะสงั กะสที าปฏิกิริยากบั กรดไฮโดรคลอริก ได้ซงิ ค์คลอไรด์และแก๊สไฮโดรเจน เม่ือวดั ความเข้มข้น
ของกรดไฮโดรคลอริก ในขณะเกิดปฏิกิริยาได้ผลดงั นี ้
เวลา(S) ความเข้มข้นของ HCl(mol/dm3)
0 1.90
92 1.65
162 1.50
320 1.28
635 1.05
ก. จงหาอตั ราการลดลงของ HCl เฉลี่ย
ข. จงหาอตั ราการลดลงของ HCl ช่วงเวลา 92-162 วนิ าที
ค. จงหาอตั ราการเกิดปฏกิ ิริยาเฉล่ีย Page | 12
Ex จากสมการ 2N2O5(g) → 4NO2(g) + O2(g) การสลาย N2O5 มีการเปลยี่ นแปลงความ
เข้มข้น ดงั นี ้
เวลา(s) ความเข้มข้น N2O5(mol/dm3)
0 X
500 3.5
1,000 2.5
1,500 1.8
2,000 1.2
ถ้าอตั ราการเกิดปฏิกิริยาเฉล่ยี ของ N2O5 เป็ น 1.9 x 10-3 mol/dm3.s
ก. จงหาอตั ราการเกิด O2 เฉลีย่
ข. จงหาอตั ราการเกดิ O2 ช่วงเวลา 0-500 วนิ าที
ค. จงหาอตั ราการเกิด NO2 ชว่ งเวลา 0-1000 วนิ าที
ง. จงหาอตั ราการเกดิ ปฏกิ ิริยาเคมี
Ex สาร A สลายตวั ดงั สมการ A → 2C ได้ข้อมลู ดงั นี ้ [A] mol/dm3 Page | 13
3.0
เวลา(วนิ าที) 2.6
0 2.0
2 1.6
5 1.0
7
10
ก. [A] ที่เวลา 8 วนิ าที ควรเป็นเท่าใด
ข. [C] ที่เวลา 9 วนิ าที ควรเป็นเทา่ ใด
ค. [C] ท่ีเวลา 4 วนิ าที ควรเป็นเทา่ ใด
Ex สาร X สลายตวั ได้ดงั สมการ 2X → 3Y + 5Z ข้อมลู การสลายตวั ของสาร X มีดงั นี ้
เวลา(วนิ าที) [X](mol/dm3)
0.00 1.000
5.00 0.850
10.00 0.700
15.00 0.550
20.00 0.400
ก. จงหา [x] วนิ าทีที่ 16
ข. จงหา [Y] วนิ าทีท่ี 8 Page | 14
ค. จงหา [Z] วนิ าทีที่ 17
Ex สาร X สามารถสลายตวั ได้ดงั สมการ 3X → 5Y + 6Z เมื่อวดั ความเข้มข้นของสาร X ได้
ข้อมลู ดงั นี ้
เวลา(วนิ าที) [X](mol/dm3)
0 1.000
5 0.850
10 0.750
15 0.700
20 0.670
ก. ท่ีวนิ าทีท่ี 10 [Y] มีคา่ เทา่ ใด
ข. อตั ราช่วง 5-10 คงท่ี จงหา [X] วนิ าทีท่ี 6 และ 8
ค. อตั ราชว่ ง 15-20 คงท่ี จงหา [Z] วนิ าทีท่ี 14 และ 19
แนวคดิ เก่ยี วกับการเกิดปฏกิ ิริยาเคมี
1. ทฤษฎีการชน(Collision Theory)
2. ทฤษฎีสารเชิงซ้อนกมั มันต์(Activated Complex Theory) Page | 15
ทฤษฎกี ารชน(Collision Theory) กลา่ ววา่ “ปฏกิ ิริยาเคมีจะเกิดขนึ ้ ได้ก็ตอ่ เมื่ออนภุ าคของสารตงั้
ต้น อาจเป็ นโมเลกลุ อะตอม หรือไอออนก็ได้ จะต้องมีการเคลอื่ นท่ชี นกนั ก่อน” ในการเคลอ่ื นทชี่ นกนั
นนั้ ไม่ทกุ ครัง้ ทีจ่ ะเกิดปฏิกิริยาเคมีมีเพียง 1 ใน 107 ครัง้ โดยประมาณเทา่ นนั้ ท่ีเกิดปฏิกิริยาเคมี ดงั นนั้
ยง่ิ ชนมากโอกาสท่ีจะเกิดปฏิกิริยาก็จะมากด้วย นอกจากนแี ้ ล้วยงั ต้องมีทศิ ทางการชนท่เี หมาะสม
และมีพลังงานมากพออยา่ งน้อยเทา่ กบั พลงั งาน
กอ่ กมั มนั ต์(Ea) จงึ จะเกิดปฏกิ ิริยา ภาพ ก
ทศิ ทางการชนทเ่ี หมาะสมอาจพิจารณา
จากภาพตอ่ ไปนี ้จากภาพ ก จะมีโอกาส
เกิดปฏกิ ิริยาได้มากกวา่ ภาพ ข เนื่องจากทิศทาง
ในการชนกนั มีความเหมาะสมมากกวา่ ภาพ ข
พลังงานก่อกมั มนั ต์(Ea) พลงั งานกอ่ กมั มนั ต์เป็ นคา่ ที่ได้จาก
การทดลอง หมายถงึ คา่ พลงั งานจานวนน้อยท่สี ดุ ทไ่ี ด้จากการชน
กนั แล้วทาให้เกิดปฏิกิริยา เปรียบเทยี บกบั กบข้ามกาแพง เมื่อ
ความสงู ของกาแพงคือพลงั งานก่อกมั มนั ต์แล้ว กบที่มีพลงั งานใน
การกระโดดอยา่ งน้อยทส่ี ดุ เทา่ กบั ความสงู ของกาแพง(พลงั งาน
กอ่ กมั มนั ต์)จึงจะสามารถข้ามกาแพงนนั้ ไปได้
ในการ
พิจารณาการเกิดปฏิกิริยาจะเกิดขนึ ้ มากหรือ
น้อยขนึ ้ อยกู่ บั จานวนอนภุ าคที่มีพลงั งานสงู พอ
และคา่ พลงั งานกอ่ กมั มนั ต์ กลา่ วคอื เม่ือ
จานวนอนุภาคท่ีมพี ลังงานสูงกว่าพลังงาน
ก่อกมั มนั ต์มีมาก(จานวนกบท่ีมีพลงั งานมาก)
โอกาสในการเกิดปฏิกิริยาก็จะมีมากขนึ ้ ด้วย(ข้ามกาแพงได้มาก) และเมื่อพลังงานก่อกัมมนั ต์ต่า
(กาแพงเตยี ้ ๆ) ก็จะทาให้มีจานวนอนภุ าคท่ีมีพลงั งานสงู กวา่ พลงั งานกอ่ กมั มนั ต์มีจานวนเพ่ิมขนึ ้
จงึ มีโอกาสเกิดปฏิกิริยาได้มากขนึ ้ ด้วย
ดังนัน้ การชนท่จี ะเกิดปฏิกิริยาได้นัน้ ต้องเป็ นการชนท่มี ที ศิ ทางเหมาะสมและมี
พลังงานมากพอ(อย่างน้อยเท่ากับพลงั งานก่อกัมมันต์) Page | 16
ทฤษฎีสารเชิงซ้อนกมั มนั ต์
(Activated Complex Theory) หรือทฤษฎี
สารเชิงซ้อนท่ถี ูกกระต้นุ หรือทฤษฎี
สภาวะแทรนซิชนั (Transition State
Theory) เป็ นการขยายความคิดเรื่องทฤษฎี
การชน อธิบายวา่ หลงั จากเกิดการชนจนมีพลงั งานมากพอแล้ว จะต้องมีการเปลยี่ นแปลง
บางอยา่ งทพ่ี นั ธะ โดยพนั ธะเดมิ จะยืดออกขณะเดียวกนั ก็เกิดพนั ธะใหม่กบั อีกสารหนง่ึ เกิดเป็ น
สารเชิงซ้อน เรียกวา่ สารเชงิ ซ้อนกัมมนั ต์ หรือ activated complex ซงึ่ สารเชิงซ้อนนไี ้ ม่ใช่สารตงั้
ต้นและไม่ใชผ่ ลติ ภณั ฑ์ ไมเ่ สถียร สารนจี ้ ะเกิด ณ
พลงั งานก่อกมั มนั ต์ และอาจเปลยี่ นเป็ นผลติ ภณั ฑ์ได้
เมื่อมีพลงั งานพอ หรือกลบั เป็ นสารตงั้ ต้นก็ได้ ซง่ึ
สภาวะทเี่ กิดสารเชิงซ้อนกมั มนั ต์นี ้เรียกว่า สภาวะท
รานซิช่ัน (transition state แปลว่า สภาวะท่เี กิด
การเปล่ียนแปลง)
พลังงานกับการดาเนนิ ไปของปฏกิ ิริยาเคมี
E2
E2
Ea E3 Ea
E1 ∆E E1
-∆E
E3
Endothermic Reaction Exothermic Reaction
จากกราฟ a และ b สามารถหาพลงั งานกอ่ กมั มนั ต์ได้จาก E2 – E1 = Ea (พลงั งานก่อกมั มนั ต์)
ปฏกิ ิริยาดดู ความร้อน(ปฏิกิริยาดดู พลังงาน)Endothermic Reaction จากกราฟ a สามารถหา
พลงั งานทดี่ ูดเข้าไปได้จาก E3 – E1 = ∆E (พลงั งานของผลติ ภณั ฑ์ – พลงั งานของสารตงั้ ต้น) นนั่ คอื
พลงั งานของผลติ ภณั ฑ์มีคา่ มากกวา่ พลงั งานของสารตงั ้ ต้น หรือ ∆E เป็ นบวก จะเป็ นปฏิกิริยาดดู Page | 17
ความร้ อน
ปฏิกิริยาคายความร้อน(ปฏกิ ริ ิยาคายพลังงาน)Exothermic Reaction จากกราฟ b สามารถ
หาพลงั งานท่คี ายออกมาได้จาก E3 – E1 = - ∆E (พลงั งานของผลติ ภณั ฑ์ – พลงั งานของสารตงั ้ ต้น)
นนั่ คือ พลงั งานของผลติ ภณั ฑ์มีคา่ น้อยกวา่ พลงั งานของสารตงั้ ต้น หรือ ∆E เป็ นลบ จะเป็ นปฏกิ ิริยา
คายความร้ อน
กลไกการเกิดปฏกิ ิริยา(Reaction Machanism)
ในการเกิดปฏิกิริยานนั้ บางครัง้ ไมไ่ ด้เกิดขนึ ้ โดยตรงแตม่ ีขนั้ ตอนท่ีซบั ซ้อนหลายขนั้ ตอน ซงึ่ มีลาดบั
ขนั้ ของการเกิดปฏกิ ิริยาตอ่ เน่ืองกนั ไปจนได้ผลติ ภณั ฑ์ เรียกวา่ กลไกการเกิดปฏกิ ริ ิยา
ตัวอย่าง 4HBr(g) + O2(g) → 2H2O(l) + 2Br2(g)……………..(1)
มีกลไกการเกิดปฏิกิริยาดงั นี ้
HBr + O2 → HOOBr เกิดช้า………………(2)
HOOBr + HBr → 2HOBr เกิดเร็ว.....................(3)
HOBr + HBr → H2O + Br2(g) เกิดเร็ว.....................(4)
ขนั้ ตอนแตล่ ะขนั้ ยอ่ ยๆ เรียกวา่ กระบวนการประถม(Elementary process) สารผลติ ภณั ฑ์ท่ี
เกิดขนึ ้ ในกระบวนการประถมท่ีไมใ่ ชผ่ ลติ ภณั ฑ์ของปฏกิ ิริยารวม เรียกวา่ สารมัธยนั ต์ หรืออนิ เทอร์
มีเดยี ต หรือสารตัวกลาง(Intermediate) ดงั นนั้ จากกลไกการเกิดปฏิกิริยา HOOBr และ HOBr จึง
เป็ น อินเทอร์มเี ดียต
พลังงานกับการดาเนินไปของอตั ราการเกดิ ปฏกิ ริ ิยาเคมีหลายขัน้ ตอน
จากปฏิกิริยาเคมีทม่ี ีหลายขนั้ ตอนขั้นตอนท่ี
เกิดช้าจะเป็ นขนั้ กาหนดอตั รา โดยขนั้ ตอนท่มี ีคา่
Ea มากท่ีสดุ จะเกิดปฏิกิริยาช้าที่สดุ ซง่ึ เป็ นขนั้
กาหนดอตั รา ดงั นนั้ คา่ Ea ของขนั้ กาหนดอตั รา
จงึ เป็ น คา่ Ea ของปฏกิ ิริยารวม
; Page | 18
Ex จากกราฟ ขนึ ้ ทีช่ ้าทสี่ ดุ คอื ขนั้ ใด
Ex จากกราฟ เป็ นปฏกิ ิริยาชนิดใด
Ex จากกราฟ สารใดเป็ นสารมธั ยนั ต์
Ex ปฏกิ ิริยา A2(g) + 3B2(g) ⇌ 2AB3(g) มีคา่ Ea = 120 และคายพลงั งานออกมาเทา่ กบั 80 Ea ของ
ปฏกิ ิริยา 2AB3(g) ⇌ A2(g) + 3B2(g) มีคา่ เทา่ ใด
Ex ปฏิกิริยาย้อนกลบั X ⇌ Y มี Ea ไปข้างหน้า 100 kJ/mol มีพลงั งานกระต้นุ ของปฏิกิริยาย้อนกลบั 75
kJ/mol ปฏกิ ิริยา X ⇌ Y เป็ นปฏิกิริยาชนิดใด
ปัจจัยท่มี ผี ลต่ออตั ราการเกดิ ปฏกิ ริ ิยาเคมี
อตั ราการเกิดปฏกิ ิริยาเคมีจะมีคา่ มากหรือน้อยขนึ ้ อยกู่ บั ปัจจยั ตอ่ ไปนี ้
1. ธรรมชาตขิ องสารตงั้ ต้น Page | 19
2. ความเข้มข้นของสารตงั้ ต้น
3. พนื ้ ท่ผี วิ
4. อุณหภมู ิ
5. ความดนั
6. ตวั เร่งปฏกิ ิริยาหรือตวั หนว่ งปฏกิ ิริยา(มีผลตอ่ พลงั งานกอ่ กมั มนั ต์ Ea)
ซง่ึ ปัจจยั ดงั กลา่ วมีผลตอ่ ปฏิกิริยา ดงั นี ้
1. ธรรมชาตขิ องสารตงั้ ต้น โดยทวั่ ไปขนึ ้ อยกู่ บั ลกั ษณะเฉพาะของสาร คือ สารท่ีมีความซบั ซ้อน
น้อยจะเกิดปฏิกิริยาได้เร็วกวา่ สารทวี่ คี วามซบั ซ้อนมาก สารตงั้ ต้นทม่ี ีความเสถียรมกั
เกิดปฏกิ ิริยาได้เร็วกวา่ สารตงั้ ต้นที่ไม่เสถียร สารตงั้ ต้นที่เป็ นสารประกอบไอออนิกเกิดได้เร็ว
กวา่ สารตงั้ ต้นทเ่ี ป็ นสารประกอบโคเวเลนต์
Ex N2(g) + 3H2(g) → 2NH3(g) ปฏกิ ิริยาเกิดช้าเพราะสารตงั ้ ต้นเสถียรอยแู่ ล้วตาม
ธรรมชาติ(โคเวเลนต์)
HCl(aq) + NaOH(aq) → NaCl(aq) + H2O(aq) ปฏิกิริยาเกิดเร็วเพราะสารตงั้ ต้นเกิด
การแลกเปลย่ี นไอออนเกิดเป็ นสารใหม่(ไอออนิก)
2. ความเข้มข้นของสารตงั้ ต้น ปฏกิ ิริยาอาจมีสารตงั้ ต้นหลายชนิด อตั ราการเกิดปฏกิ ิริยาอาจ
ขนึ ้ กบั สารตงั้ ต้นบางชนิดหรือทกุ ชนดิ ก็ได้ โดยทวั่ ไปถ้าความเข้มข้นของสารตงั้ ต้นมีผลตอ่
อตั ราการเกิดปฏกิ ิริยา ถ้าเพิ่มความเข้มข้นของสารตงั้ ต้นอตั ราการเกิดปฏกิ ิริยาจะเร็วขนึ ้ ถ้าลด
ความเข้มข้นของสารตงั้ ต้นอตั ราการเกิดปฏิกิริยาของช้าลง เพราะความเข้มข้นมากมีจานวน
อนภุ าคมาก โอกาสท่สี ารจะชนกนั ก็มาก อนภุ าคท่ีมีพลงั านสงู ก็มาก อตั ราการเกิดปฏกิ ิริยาจึง
มากด้วย
3. พนื ้ ทีผ่ วิ มกั มีผลกบั ปฏิกิริยาเนอื ้ ผสม(ปฏกิ ิริยาวิวิธพนั ธ์ุ)ทีม่ ีสารตงั้ ต้นเป็ นของแข็งกบั สถานะ
อ่ืน โดยเมื่อพนื ้ ทีผ่ วิ มากอตั ราการเกิดปฏกิ ิริยาจะเร็วกวา่ พนื ้ ทผ่ี วิ น้อย เพราะพนื ้ ท่ีผวิ มากจะทา
ให้อนภุ าคของสารมีโอกาสชนกนั ได้มาก อตั ราการเกิดปฏกิ ิริยาจึงเร็วกวา่
4. อุณหภมู ิ ท่อี ณุ หภมู ิสงู จะมีอตั ราการเกิดปฏกิ ิริยาเร็วกวา่ อณุ ภมู ิตา่ เพราะอณุ หภมู ิสงู อนภุ าค
สนั่ เร็วขนึ ้ ทาให้ชนกนั บอ่ ยขนึ ้ อตั ราการเกิดปฏิกิริยาเพิ่มขนึ ้ และอุณหภมู ิสงู อนภุ าคมีพลงั งาน
จลน์มากขนึ ้ เมื่อชนแล้วเกิดปฏิกิริยามากขนึ ้ อตั ราการเกิดปฏิกิริยาเร็วขนึ ้ ด้วย
5. ความดนั มีผลกบั แก๊ส โดยเมื่อเพิม่ ความดนั จะทาให้อตั ราการเกิดปฏกิ ิริยาเร็วขนึ ้ การเพิ่ม Page | 20
ความดนั อาจทาได้ดงั นคี ้ ือ การลดปริมาตรภาชนะ และการเพม่ิ แก๊สเข้าไปในปฏกิ ิริยา เนอ่ื ง
การการเพม่ิ ความดนั ทาให้อนภุ าคของแก๊สชนกนั มากขนึ ้ อตั ราการเกิดปฏกิ ิริยาจงึ เร็วขนึ ้
6. ตวั เร่งปฏกิ ิริยา และตวั หนว่ งปฏิกิริยา การเตมิ ตวั เร่งปฏกิ ิริยาจะทาให้อตั ราการเกิดปฏกิ ิริยา
เร็วขนึ ้ เพราะจะไปลดพลงั งานก่อกมั มนั ต์ การเตมิ ตวั หนว่ งปฏิกิริยาจะทาให้ปฏกิ ิริยาช้าลง
เพราะจะไปเพ่ิมพลงั งานก่อกมั มนั ต์
แบบฝึ กหดั
เร่ือง ปัจจัยท่มี ีผลต่ออตั ราการเกดิ ปฏิกิริยาเคมี
1. การชนกนั ของอนภุ าคก่อให้เกิดพลงั งานชนดิ ใด
ก. พลงั งานศกั ย์ ข. พลงั งานจลน์
ค. ถกู ทงั้ ข้อ 1 และ 2 ง. ผิดทงั้ ก และ ข
2. ข้อใดกลา่ วถกู ต้อง
ก. การชนกนั ของอนภุ าคสามารถเกิดปฏิกิริยาได้เลย
ข. การชนกนั ของอนภุ าค ถ้าชนกนั ในทิศทางทเี่ หมาะสมจะเกิดผลติ ภณั ฑ์มากขนึ ้
ค. การเกิดปฏิกิริยาเคมีจะต้องใช้พลงั งานเพื่อสลายพนั ธะเดมิ กอ่ นแล้วจึงสร้างพนั ธะใหม่
ง. ถกู ทกุ ข้อ
3. พลงั งานกอ่ กมั มนั ต์คอื อะไร
ก. พลงั งานที่น้อยทส่ี ดุ ท่จี ะทาให้เกิดปฏิกิริยาเคมีได้
ข. พลงั งานท่ที าให้อนภุ าคชนกนั มากขนึ ้
ค. พลงั งานทีท่ าให้เกิดปฏกิ ิริยาเคมีได้เร็วขนึ ้
ง. ไม่มีข้อถกู
4. ข้อใดกลา่ วถกู ต้องเก่ียวกบั ธรรมชาติของสารตงั้ ต้น
ก. พนั ธะอโลหะแข็งแรงที่สดุ
ข. สารใดทมี่ ีพนั ธะแขง็ แรงจะเกิดปฏกิ ิริยาเคมีได้ช้า
ค. สารใดทมี่ ีพนั ธะแขง็ แรงจะเกิดปฏกิ ิริยาเคมีได้เร็ว
ง. สารใดท่มี ีโครงสร้างซบั ซ้อนจะเกิดปฏิกิริยาได้เร็วกวา่ โครงสร้างอยา่ งงา่ ย
5. ข้อใดกลา่ วถกู ต้องเก่ียวกบั ปัจจยั ของความเข้มข้นของสารกบั อตั ราการเกิดปฏิกิริยาเคมี Page | 21
ก. ถ้าความเข้มข้นของสารตงั้ ต้นเพิม่ มากขนึ ้ จะทาให้อนภุ าคของสารตงั้ ต้นชนกนั มากขนึ ้
ข. ถ้าความเข้มข้นของสารเพ่มิ มากขนึ ้ จะทาให้พลงั งานจลน์ของอนภุ าคลดลง
ค. ถ้าความเข้มข้นของสารลดลง จะทาให้อนภุ าคของสารชนกนั มากขนึ ้
ง. ถ้าความเข้มข้นของสารลดลง จะทาให้พลงั งานจลน์ของอนภุ าคเพ่ิมมากขนึ ้
6. ข้อใดกลา่ วถกู ต้องเกี่ยวกบั การเพิ่มปริมาตรของสารโดยไมเ่ พิม่ เนอื ้ สาร
ก. การเพมิ่ ปริมาตรจะทาให้อนภุ าคชนกนั มากขนึ ้
ข. การเพิ่มปริมาตรของสารทาให้พลงั งานจลน์ของอนภุ าคเพม่ิ มากขนึ ้
ค. การเพิ่มปริมาตรทาให้อนภุ าคมีโอกาสชนกนั น้อยลง
ง. การเพม่ิ ปริมาตรทาให้อนภุ าคมีโอกาสชนกนั มากขนึ ้
7. ข้อใดไมถ่ กู ต้องเก่ียวกบั ผลของอณุ หภมู ิทมี่ ีผลตอ่ อตั ราการเกิดปฏิกิริยาเคมี
ก. การลดอุณหภมู ิจะทาให้อตั ราการเกิดปฏิกิริยาเคมีลดลง
ข. การเพมิ่ อณุ หภมู ิจะทาให้อตั ราการเกิดปฏกิ ิริยาเคมีเพม่ิ มากขนึ ้
ค. การลดหรือเพ่มิ อณุ หภมู ิไมม่ ีผลตอ่ พลงั งานกอ่ กมั มนั ต์ของปฏิกิริยาใดๆ
ง. การลดหรือเพิ่มอุณหภมู ิมีผลตอ่ พลงั งานกอ่ กมั มนั ต์ของปฏกิ ิริยาใดๆ
8. ข้อใดกลา่ วถกู ต้องเก่ียวกบั ปัจจัยของพนื ้ ทผ่ี ิวตอ่ อตั ราการเกิดปฏิกิริยาเคมี
ก. อตั ราการเกิดปฏิกิริยาเคมีจะแปรผนั ตามพนื ้ ทผี่ ิว
ข. อตั ราการเกิดปฏกิ ิริยาเคมีจะแปรผกผนั ตามพนื ้ ท่ผี ิว
ค. พนื ้ ท่ผี วิ ไม่มีผลตอ่ อตั ราการเกิดปฏิกิริยาเคมี
ง. พนื ้ ทีผ่ วิ สามารถช่วยลดคา่ พลงั งานกอ่ กมั มนั ต์ของปฏิกริยาได้
9. ข้อใดกลา่ วไม่ถกู ต้องเก่ียวกบั ตวั เร่งปฏกิ ิริยา(Catalyst)
ก. หลงั จากปฏิกิริยาสนิ ้ สดุ ลง ตวั เร่งปฏิกิริยาจะเปลยี่ นสภาพไป
ข. ชว่ ยลดพลงั งานกอ่ กมั มนั ต์ของปฏกิ ิริยา
ค. ตวั เร่งปฏิกิริยามีความจาเพาะเจาะจงกบั สารตงั้ ต้น
ง. หลงั จากปฏิกิริยาสนิ ้ สดุ ลง ตวั เร่งปฏิกิริยาจะไม่เปลยี่ นสภาพ
10. ความแตกตา่ งระหวา่ งการทางานของตวั เร่งปฏกิ ิริยาและตวั ยบั ยงั้ ปฏิกิริยา คือข้อใด
ก. คา่ พลงั งานก่อกมั มนั ต์
ข. การชนกนั ของอนภุ าค
ค. พลงั งานจลน์ของอนภุ าค
ง. ความจาเพาะเจาะจง
กฎอตั ราและค่าคงท่ีอตั รา
จากปัจจยั เรื่องความเข้มข้นของสาร นกั วทิ ยาศาสตร์ชาวนอร์เวย์ คือ Guldberg และ
Waage ได้ค้นพบความสมั พนั ธ์ของอตั ราการเกิดปฏกิ ิริยากบั ความเข้มข้นของสารตงั้ ต้น โดยกลา่ ว
วา่ “อตั ราการเกิดปฏิกิริยาเคมีเป็ นสดั สว่ นโดยตรงกบั ผลคณู ของความเข้มข้นของสารตงั ้ ต้น และ Page | 22
ความเข้มข้นแตล่ ะคา่ มีเลขยกกาลงั ซงึ่ แล้วแตป่ ฏกิ ิริยาหนงึ่ ปฏิกิริยาใดโดยเฉพาะ”
จากสมการ aA + bB → cC + dD
จะได้ความสมั พนั ธ์ R α [A]m[B]n
R = k[A]m[B]n สมการนเี ้รียก กฎอตั รา หรือ สมการอตั รา โดย
จะบอกให้ทราบถงึ ความสมั พนั ธ์ของอตั ราการเกดิ ปฏกิ ิริยาเคมีและความเข้มข้นของสารตงั้ ต้น
เมื่อ R = อตั ราการเกิดปฏกิ ิริยาเคมี
K = คา่ คงทอ่ี ตั รา
[A],[B] = ความเข้มข้นของสารตงั้ ต้น
m,n = อนั ดบั ปฏิกิริยาเมื่อเทียบกบั สาร A และ สาร B โดยท่ี m และ n
คานวณได้จากการทดลองเทา่ นนั้ ไม่ใช่มาจากสมการเคมี
ความหมายของกฎอัตรา
ตวั อยา่ ง R = k[A][B]0 หมายความวา่ อนั ดบั ปฏิกิริยาเป็ นอนั ดบั 1 (เกิดจาก 1+0)
โดยที่ [A] มีผลตอ่ อตั ราการเกิดปฎกิ ิริยา แต่ [B] ไม่มีผลตอ่ อตั ราการเกิดปฏิกิริยา โดยถ้าเพิ่ม
[A] เป็ น 2 เทา่ อตั ราจะเพิ่มเป็ น 2 เทา่ แตไ่ มว่ า่ จะเพ่ิม [B] เทา่ ไรก็ตาม อตั ราการเกิดปฏกิ ิริยาจะไม่เพิม่ ขนึ ้
Ex ถ้ากฎอตั ราเป็ น R = k[A]2[B]
เม่ือเพม่ิ ความเข้มข้นของสาร A เป็ น 2 เทา่ อตั ราการเกิดปฏกิ ิริยาจะเพม่ิ ขนึ ้ .................................เทา่
เมื่อเพิ่มความเข้มข้นของสาร B เป็ น 2 เทา่ อตั ราการเกิดปฏิกิริยาจะเพมิ่ ขนึ ้ .................................เทา่
เมื่อเพิ่มความเข้มข้นของสาร A และ B เป็ น 2 เทา่ อตั ราการเกิดปฏิกิริยาจะเพ่ิมขนึ ้ .......................เทา่
Ex ถ้ากฎอตั ราเป็ น R = k[A]2[B]3
เมื่อเพิ่มความเข้มข้นของสาร A เป็ น 3 เทา่ อตั ราการเกิดปฏิกิริยาจะเพม่ิ ขนึ ้ .................................เทา่
เมื่อเพ่มิ ความเข้มข้นของสาร B เป็ น 2 เทา่ อตั ราการเกิดปฏกิ ิริยาจะเพิ่มขนึ ้ .................................เทา่
เม่ือเพิ่มความเข้มข้นของสาร A และ B เป็ น 2 เทา่ อตั ราการเกิดปฏิกิริยาจะเพ่ิมขนึ ้ .......................เทา่
Ex ถ้ากฎอตั ราเป็ น R = k[A]2[B]1[C]0 Page | 23
เม่ือเพ่ิมความเข้มข้นของสาร C เป็ น 2 เทา่ อตั ราการเกิดปฏกิ ิริยาจะเพิ่มขนึ ้ .................................เทา่
เม่ือเพิม่ ความเข้มข้นของสาร B เป็ น 2 เทา่ อตั ราการเกิดปฏิกิริยาจะเพม่ิ ขนึ ้ .................................เทา่
เมื่อเพิ่มความเข้มข้นของสาร A และ C เป็ น 2 เทา่ อตั ราการเกิดปฏิกิริยาจะเพม่ิ ขนึ ้ .......................เทา่
การคานวณหาค่า m,n กฎอัตรา และ k
ตวั อย่าง เมื่อนา A และ B มาทาปฏกิ ิริยากนั เกิดปฏิกิริยาเคมีได้ผลิตภณั ฑ์เป็ น C และ D ดงั สมการ
2A + 2B C + 2D
โดยทาการทดลองหาอตั ราการเกิดปฏกิ ิริยาเคมี โดยทาการเปลยี่ นความเข้มข้นของสารตงั้ ต้น ดงั ตารา
การทดลองครัง้ ที่ ความเข้มข้นของสารละลาย ( mol/dm3 ) อตั ราการเกิดปฏิกิริยา
สาร A สาร B mol/dm3.s
1 0.1 0.1 0.02
2 0.2 0.1 0.04
3 0.1 0.2 0.08
จงหา 2. อนั ดบั ของปฏกิ ิริยา B 3. อนั ดบั รวมของปฏกิ ิริยา
1. อนั ดบั ของปฏิกิริยา A 5. คา่ คงท่ขี องปฏกิ ิริยา
4. กฎอตั รา
Ex สมมตุ ปิ ฎิกิริยา A + B + C → D ทาการทดลองหาอตั ราการเกิดปฏกิ ิริยาได้ดงั นี ้
ความเข้มข้น ( mol/dm3 ) อตั ราการเกิดปกิกิริยา
ABC
การทดลองที่ 0.1 0.1 0.1 ( mol/dm3 .s ) Page | 24
1 0.01
2 0.2 0.1 0.1 0.04
3 0.1 0.2 0.1 0.02
4 0.1 0.1 0.4 0.16
จงหา 2. อนั ดบั ของปฏิกิริยา B 3. อนั ดบั ของปฏิกิริยา C
1. อนั ดบั ของปฏกิ ิริยา A 5. กฎอตั รา 6. คา่ คงที่ของปฏิกิริยา
4. อนั ดบั รวมของปฏิกิริยา
Ex จากปฏกิ ิริยา A + 2B → C
การทดลองที่ [A] mol/dm3 [B] mol/dm3 อตั ราการเกิดสาร B
(mol/dm3.s)
1 1.0 1.0 5.0 Page | 25
2 2.0 1.0 5.0
3 1.0 2.0 10.0
4 1.0 2.0 10.0
1. อนั ดบั ของปฏิกิริยา A 2. อนั ดบั ของปฏิกิริยา B 3. อนั ดบั ของปฏิกิริยา
4. กฎอตั รา 5. คา่ คงทีข่ องปฏกิ ิริยา
Ex จากการทดลองเพ่ือหาอตั ราการเกิด ปฏิกิริยา A + B → C ได้ข้อมลู ดงั นี ้
การทดลองที่ ความเข้มข้นของ A ความเข้มข้นของ B อตั ราการเกิด C Page | 26
(mol/l) (mol/l) (mol/l.s)
1 1.3 2.2 0.04
2 1.3 3.3 0.06
3 2.6 X 0.24
4 2.6 2.2 0.16
1. จงหาคา่ X 2. อนั ดบั ของปฏิกิริยา A 3. อนั ดบั ของปฏิกิริยา B
4. อนั ดบั ของปฏกิ ิริยา 5.กฎอตั รา 6. คา่ คงท่ขี องปฏกิ ิริยา
Ex การวดั อตั ราเร็วเร่ิมต้นของปฏิกิริยาตอ่ ไปนี ้2H2(g) + 2NO(g) → N2(g) + 2H2O(g)
การทดลองท่ี [H2] [NO] อตั ราการเกิดปฏิกิริยา
(mol/l) (mol/l) (mol/l.s)
1 0.1 0.1 0.1 Page | 27
2 0.2 0.1 0.2
3 0.1 0.2 0.4
4 0.1 0.3 0.9
5 0.2 0.2 X
6 0.1 Y 0.16
7 0.3 0.1 z
1. จงหา x,y และ z 2. อนั ดบั ของปฏกิ ิริยา H2 3. อนั ดบั ของปฏกิ ิริยา NO
4. อนั ดบั ของปฏิกิริยา 5.กฎอตั รา 6. คา่ คงทข่ี องปฏิกิริยา
“ศตั รูทส่ี าคญั ทสี่ ดุ คอื .........ความคดิ ของเราเอง”