the history of
Greeปkระมmวลเรื่yองปtรัมhปราoกรีกlogy
The Hellenic Civilization
สิรภัทร วิลัย , สุบุญญา ยิ่งยืน
ประมวลเรื่องปรัมปรากรีก ก
คำนำ
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง ประมวลเรื่องปรัมปรากรีก
เล่มนี้ จัดทำขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของวิชา ประวัติศาสตร์สากล
เพื่อศึกษาหาความรู้ในเรื่องราวของความเชื่อในเรื่องเทพเจ้าใน
ยุคกรีกโบราณ โดยได้ศึกษาผ่านแหล่งความรู้จากเว็บไซต์ต่างๆ
รวมถึงหนังสือด้วย โดยหนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้ต้องมี
เนื้อหาเกี่ยวกับความเป็นมาในความเชื่อเรื่องเทพเจ้า ที่มาของ
เทพเจ้าที่ชาวกรีกโบราณนับถือ รวมถึงหน้าที่ของเทพแต่ละองค์
ด้วย
ผู้จัดทำคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การจัดทำหนังสือ
อิเล็กทรอนิกส์ฉบับนี้จะมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจ
ศึกษาประวัติศาสตร์ไทยเป็นอย่างดี
ผู้จัดทำ
สารบัญ 1-3
บทนำ 1
3
แหล่งข้อมูลของประมวลเรื่องปรัมปรากรีก
สันนิษฐานของที่มาของประมวลเรื่องปรัมปรากรีก 4 - 38
ประมวลเรื่องปรัมปรากรีก 5
8
ซุส 10
โพไซดอน 13
ดีมิเทอร์ 16
เฮร่า 19
แอรีส 22
อพอลโล 25
ดีมีเทอร์ 27
เฮอร์มีส 30
อาร์เธอมีส 33
อะโฟรไดท์ 36
เฮเฟสทัส
ไดโอนิซัส 39
อ้างอิง
ประมวลเรื่องปรัมปรากรีก 1
intro
บทนำ
แหล่งข้อมูลของประมวลเรื่องปรัมปรากรีก
เทพปกรณัมกรีก เป็นเรื่องปรัมปราและตำนานที่เกี่ยวข้องกับเทพเจ้า
วีรบุรุษ ธรรมชาติของโลก จุดกำเนิดและความสำคัญของวิถีปฏิบัติและพิธีใน
ทางศาสนาของชาวกรีกโบราณ โดยเทพปกรณัมกรีกเป็นส่วนหนึ่งของศาสนา
ในกรีซโบราณ ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้ได้สืบทอดโดยบทกวีจากปากต่อปาก
ในศตวรรษที่ 19 ไฮน์ริช ชลีมาน นักโบราณคดีได้ค้นพบอารยธรรมไมซี
นี และในศตวรรษที่ 20 อาร์เธอร์ อีวานส์ นักโบราณคดีชาวอังกฤษ ได้ค้นพบ
อารยธรรมไมนอสที่เกาะครีส ซึ่งได้ช่วยอธิบายเกี่ยวกับมหากาพย์ของโฮเมอร์
และให้หลักฐานเกี่ยวกับรายละเอียดของนิยายปรัมปราหลายๆเรื่อง โดยหลัก
ฐานเหล่านี้เป็นสิ่งปลูกสร้างและอนุสาวรีย์เป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากสมัยนั้นยัง
ไม่มีการใช้ตัวอักษรเขียนเรื่องราว
นักวิชาการสมัยใหม่กล่าวถึงเรื่องปรัมปราและได้ศึกษาถึงความพยายาม
อธิบายเกี่ยวกับสถาบันทางศาสนาอารยธรรม และการเมืองในกรีซโบราณ และ
สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติ โดยการสร้างตำนานขึ้น นอกจากนี้ยังได้
รวบรวมเรื่องราวขึ้นจากเรื่องเล่าและศิลปะที่แสดงออกในวัฒนธรรมกรีก
ในปัจจุบัน ตำนานกรีกได้เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในวรรณกรรม
กรีกเป็นส่วนใหญ่
ประมวลเรื่องปรัมปรากรีก 2
หนังสือตำนานปรัมปราที่เหลือรอดมาจากยุคกรีกโบราณ คือ Library
หรือ ปิบลิโอเธกา (Bibliotheca) ของอพอลโลดอรัสตัวปลอม โดยงานชิ้นนี้
พยายามหาข้อยุติความขัดแย้งระหว่างเรื่องเล่าต่างๆของบทกวีมากมาย และ
พยายามเรียบเรียงออกเป็นตำนานเทพเจ้า และวีรบุรุษในยุคกรีกดั้งเดิม
อพอลโลดอรัสแห่เอเธนส์ มีชีวิตอยู่ในช่วง 180-125 ปีก่อนคริสต์กาล
และเขียนเรื่องราวเหล่านี้ขึ้นหลายชิ้นต่อเนื่องกัน แต่ Library นี้ เป็นเรื่องที่เกิด
ขึ้นหลังจากที่อพอลโลดอรัสเสียชีวิต ดังนั้นเรื่องนี้จึงได้ชื่อว่าเป็นเรื่องของอพอล
โลดอรัสตัวปลอม
ในบรรดาแหล่งข้อมูลที่เก่าแก่ที่สุด บทกวีสองเรื่องของโฮเมอร์ นั่นก็คือ
เรื่อง อีเลียด(Iliad) และโอดิสซีย์(odyssey) พร้อมทั้งการแต่งเติมจากกวี
รายอื่นได้ช่วยเติมเต็ม วัฏมหากาพย์ แต่ในภายหลังก็ล้วนแต่หายสาบสูญไป
เกือบหมด บทกวีเหล่านี้ถูกเรียกว่า บทสวดของโฮเมอร์ (Homeric Hymns)
ซึ่งไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับโฮเมอร์แต่อย่างใด โดยบทสวดของโฮเมอร์นี้ เป็นบท
สวดสรรเสริญที่สืบทอดมาตั้งแต่ยุคบทกวีไลริค(lyrics poetry)
เฮลิโอดซึ่งน่าจะเป็นกวีร่วมสมัยกับโฮเมอร์ ได้เขียนตำนานกรีกที่เก่าแก่
ที่สุดไว้ในชื่อผลงาน ธีออโกนี(เทวพงศาวดาร) ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับโลก
พงศาวดารการกำเนิดของเทพต่างๆ ตลอดจนพงศาวลีที่มีรายละเอียดดสูง ซึ่ง
มีทั้งนิทานพื้นบ้าน และจุดเริ่มต้นของสิ่งต่างๆ นอกจากนี้ ยังมีอีกเรื่องของเฮลิ-
โอด คือเรื่อง งานและวัน(Works and Days) ซึ่งสั่งสอนเกี่ยวกับชีวิตในไร่
พร้อมทั้งได้รวมเอาตำนานเกี่ยวกับโพรมีเทียส แพนดอร่า และยุคทั้ง 5 ของ
มนุษยชาติ ผู้ประพันธ์ยังได้แนะนำวิธีที่ดีที่สุดในการประสบความสำเร็จในโลกที่
อันตราย และจะอันตรายมากขึ้นโดยพวกเทพนั่นเอง
ประมวลเรื่องปรัมปรากรีก 3
สันนิษฐานของที่มาของประมวลเรื่องปรัมปรากรีก
อาจเป็นเพราะชาวกรีกโบราณพยายามหาคำตอบให้กับตัวเองเช่น 'ทำไม
ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า' หรือ 'เหตุใดจึงมีเสียงสะท้อนจากถ้ำเมื่อเราส่งเสียง' ฯลฯ นั่น
เพราะความกลัวปรากฏการณ์ธรรมชาติจึงพยายามหาเหตุผลให้กับเหตุการณ์
เหล่านั้น
ชาวกรีกชอบฟังนิทานเรื่องเล่าปรัมปรา ชอบแต่งโคลงกลอน จึงรักการ
ขับลำนำและดีดพิณคลอไปด้วย ทำให้การขับลำนำเป็นที่นิยม เล่ากันว่าโฮเมอร์
(Homer) ก็เป็นนักขับลำนำชั้นยอดคนหนึ่งของกรีก ใคร ๆ ก็รักน้ำเสียงการ
เล่านิทานของเขา
แรกเริ่มเทวตำนานเป็นบทกลอนที่ท่องจำกันมาเป็นรุ่น ๆ ต่อมามีการ
บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร เราจึงไม่ทราบแน่ชัดว่าใครเป็นผู้แต่งประมวลเรื่อง
ปรัมปรา บ้างก็ว่า โฮเมอร์ เป็นผู้แต่ง อีเลียด (Iliad) บ้างก็ว่าแค่รวบรวม บ้างก็
ว่ากวีกรีกนาม เฮสิโอด (Hesiod) เป็นผู้แต่ง ส่วนโอวิด (Ovid) กวีชาวโรมัน
ก็เล่าถึงเทวตำนาน แต่ใช้ชื่อตัวละครต่างกัน เล่มของโอวิดจะเล่าได้พิสดารกว่า
ของนักเขียนคนอื่น
Greek Mythology
'ประมวลเรื่องปรัมปรากรีก'
ประมวลเรื่องปรัมปรากรีก 5
ZEUS
ประมวลเรื่องปรัมปรากรีก 6
Zeus : ซุส
เทพผู้เป็นราชาแห่งเทพทั้งมวล สัญลักษณ์ประจำพระองค์คือ
สายฟ้า โคเพศผู้ นกอินทรี และต้นโอ๊ก นามของซีอุสแปลว่า ความสว่าง
ของท้องฟ้า ไม่เว้นแม้แต่เหล่ามนุษย์ ซึ่งมี สายฟ้า หรือ อัศนีบาต เป็นอาวุธ
และมีพี่น้อง 5 องค์ คือ โพไซดอน ดีมิเทอร์ เฮร่า ฮาเดส และเฮสเทีย
กำเนิดเทพซุส
เทพีไกอา เทพีผู้เป็นมารดาแห่งผืนดิน ได้สมรสกับเทพยูเรนัส เทพ
แห่งท้องฟ้า และมีบุตรกลุ่มแรกคือ เหล่าไททันซึ่งสร้างความภาคภูมิแก่เทพ
ยูเรนัสมาก แต่ทว่าบุตรต่อๆมากลับอัปลักษณ์และน่ากลัว ทำให้เทพยูเรนัส
พิโรธ โยนบุตรเหล่านั้นลงไปขังในคุกทาร์ทารัสใต้พิภพ เทพีไกอาแค้นสามี
มาก จึงยุยงให้เหล่าเทพไททันก่อกบฏ ไม่มีเทพองค์ใดที่กล้าชิงบัลลังก์พระ
บิดา ยกเว้นเทพโครนัส และจากการช่วยเหลือจากเทพีไกอาทำให้เทพโครนัส
ชิงอำนาจได้สำเร็จ ทว่าเทพโครนัสไม่ได้ทำตามสัญญาที่จะปลดปล่อยอสูร
ผู้เป็นน้อง เทพีไกอาจึงสาปแช่งว่าบุตรที่จะเกิดมาของโครนัสจะชิงอำนาจไป
เหมือนกับที่บิดาเคยทำ
เทพโครนัสตระหนักมากเพราะหลังจากนั้นไม่นาน เทพีรีอา พระชายา
ก็ตั้งครรภ์ เมื่อได้ข่าวการประสูติ เทพโครนัสจึงบุกเข้าไปในตำหนักพระ
ชายาและจับทารกผู้เป็นสายเลือดของตนกลืนลงท้องไป และครรภ์ต่อๆมา
ของเทพีรีอาก็เช่นกัน ส่งผลให้เทพีรีอาเศร้าเสียใจอย่างมาก โครนัสให้
กำเนิดบุตรและธิดารวมหกองค์ คือ เฮสเทีย เฮดีส ดีมิเทอร์ โพไซดอน เฮร่า
ซุส ซึ่งพอกำเนิดมาได้ถูกโครนัสจับกลืนลงท้องไป เมื่อเห็นดังนั้นไกอาก็คิด
แผนสลับหินกับทารกนามซุส และได้ฝากซุสให้นางไม้เลี้ยง พวกเขาเลี้ยงซุส
จนโตแล้วกลับมาช่วยอีก 6 องค์ในภายหลังจนได้ออกมาจากท้อง และเนื่อง
จากลูกๆของเขาเทพ จึงไม่ตายตอนอยู่ในท้องของโครนัส
ประมวลเรื่องปรัมปรากรีก 7
เมื่อซุสยึดอำนาจจากโครนัสได้สำเร็จ ซุสก็สถาปนาตนเองขึ้นเป็น
จอมเทพแห่งสวรรค์โอลิมปัส โดยมีพี่ที่สำรอกออกมาจากท้องโครนัสเป็น
กำลังสนับสนุน
ฝ่ายโครนอสเมื่อถูกขับไล่ก็ไปรวบรวมกำลังกลับมาทวงอำนาจคืน
จากซุส จอมมารดาไกอาได้พยากรณ์ว่าหากต้องการชัยชนะ ซุสจะต้องใช้
อาวุธที่ทรงประสิทธิภาพจากทาร์ทารัส
ซุสเชื่อคำพยากรณ์ จึงลงไปยมโลก ขอให้ไซคลอปส์ยักษ์ตาเดียวทำ
อาวุธให้แลกกับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากทาร์ทารัส ยักษ์ไซคลอปส์จึง
ผลิตสายฟ้ามอบให้ซูสใช้เป็นอาวุธ สร้างตรีศูลให้โปไซดอน และทำหมวก
ล่องหนให้ฮาร์เดส จากนั้นซุสก็พายักษ์ไซคลอปส์และยักษ์ 50 หัวจาก
ทาร์ทารัสมาเป็นพวกต่อสู้กับฝ่ายโครนัสด้วยอาวุธที่ทรงประสิทธิภาพของ
เทพทั้งสาม ในที่สุดซุสก็จับโครนอสได้ และพวกบริวารก็ยอมแพ้ศิโรราบ
ซุสลงโทษโครนอสและบริวารโดยการเนรเทศน์โครนอสให้ไปอยู่เกาะ
กลางทะเล ซึ่งต่อมาโครนอสก็สามารถหนีออกจากเกาะนั้นได้และไปอาศัย
อยู่ที่เฮสเพอเรียซึ่งก็คือดินแดนอิตาลีในปัจจุบันอย่างสงบ
หลังจากเสร็จศึกครั้งนี้ซุสก็แบ่งการปกครองออกเป็น 3 ส่วน คือ
ตัวซุสเองปกครองสวรรค์และพิภพ ฮาเดสปกครองขุมนรกและบาดาล ส่วน
โพไซดอนปกครองทะเลเมดิเตอร์เรเนียน โดยเหลือมหาสมุทรรอบนอกให้โอ
เชียนัสปกครองต่อไป ส่วนยักษ์ไซคลอปส์ก็ช่วยสร้างพระราชวังที่โอ่โถงสง่า
งามบนยอดเขาโอลิมปัสมอบให้ซุสจอมเทพ พระราชวังนี้อยู่สูงเหนือเมฆ และ
สามารถมองได้ไกลรอบด้าน จอมเทพซูสจึงสามารถมองเหตุการณ์ต่างๆ
บนโลกมนุษย์ได้จากพระราชวังแห่งนี้
ประมวลเรื่องปรัมปรากรีก 8
poseidon
ประมวลเรื่องปรัมปรากรีก 9
poseidon : โพไซดอน
โพไซดอนเป็นโอรสองค์ที่ 5 ของเทพไททันโครนอส เป็นพี่ชายของ
ซุสมหาเทพ โดยหลังจากออกจากท้องแล้วก็ได้เติบโตทันที และหลังช่วยซุส
ให้ชนะศึกไททันแล้ว ซุสก็ได้แบ่งอำนาจ ซึ่งก็ได้ให้โพไซดอนปกครองทะเล
แม่น้ำ และลำธาร พระองค์จึงได้เป็นเทพเจ้าแห่งท้องทะเลและมหาสมุทร ผู้
ปกครองดินแดนแห่งท้องน้ำ นอกจากนี้แล้วยังถือว่าเป็นเทพแห่งแผ่นดินไหว
และเป็นเทพแห่งม้าด้วย
รูปลักษณ์ของโพเซดอน ส่วนมากจะปรากฏเป็นชายวัยกลางคน รูป
ร่างกำยำล่ำสัน มีหนวดเครา บางตำนานกล่าวว่ามีท่อนล่างเป็นปลา ถือ
สามง่ามเป็นอาวุธ ซึ่งยักษ์ไซคลอปส์ได้สร้างให้เมื่อคราวรบในศึกไททัน
สามง่ามนี้มีอิทธิฤทธิ์มาก เมื่อโพไซดอนขยับตรีศูลเมื่อใด ผืนน้ำนั้นก็จะปั่น
ป่วนกลายเป็นทะเลบ้าไปทันที โพไซดอนจึงเป็นเทพแห่งทะเล เรียกว่า โพไซ
ดอนเจ้าสมุทร แต่บางครั้งก็เรียกว่า เทพผู้เขย่าโลก
โพไซดอนนั้นมีอำนาจในการควบคุมพายุและความสงบในท้องทะเล มี
พาหนะเป็นราชรถทองคำเทียมม้าเนรมิตตัวใหญ่ โพไซดอนมีปราสาทอยู่ใต้
ทะเล เมื่อยามที่จะขึ้นมาตรวจตราผืนน้ำ ทะเลก็จะแหวกเป็นช่องให้ราชรถ
ทองโผล่พ้นน้ำขึ้นมา เมื่อยามท่องทะเลธรรมดา ผืนน้ำก็เงียบสงบปราศจาก
คลื่นลม
โพไซดอนมีมเหสีองค์หนึ่งคือแอมฟิไทรท์ ซึ่งเป็น นีริอิด หรือบุตรสาว
ของ นีริอัสและดอริส โดยโพไซดอนเห็นนางเต้นรำร่วมกับเหล่านีริอิดอื่นๆ
จึงลักพาตัวนางไปเป็นชายาในดินแดนใต้สมุทร
ประมวลเรื่องปรัมปรากรีก 10
demeter
ประมวลเรื่องปรัมปรากรีก 11
demeter : ดีมิเทอร์
เทพีดีมิเทอร์ เป็นหนึ่งในสามเทพีคู่พิศวาสของซุส เป็นธิดาองค์ที่ 2
ของโครนัส และรีอา นางเป็นเทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์ และการเก็บเกี่ยว
นางมักจะปรากฏตัวพร้อมกับดอกไม้ ผลไม้ และเมล็ดธัญญาหาร ต่อมาได้
เป็นชายาของเทพซูส และมีธิดา คือ เพอร์เซโฟเน เทพธิดาแห่งฤดูใบไม้ผลิ
ฮาเดส ผู้ซึ่งปกครองอยู่ที่ขุมนรก พระองค์ได้อยู่ปกครองอย่างโดด-
เดี่ยวมาเป็นเวลานาน เนื่องจากไม่มีเทพีนางใด ที่อยากจะลงมาอยู่ในยมโลก
ที่มีแต่ความทุกข์ทรมาน ไร้แสงตะวัน ในวันหนึ่ง เพอร์เซโฟนีได้ไปเที่ยวเล่นที่
สวนดอกไม้ ฮาเดสได้บังเอิญแล่นรถทรงผ่านมาบริเวณสวนดอกไม้นั้น ก็ได้
ยินเสียงร้องอันไพเราะของเหล่านางฟ้า จึงได้ไปแอบดู ทำให้ได้เห็นเจ้าของ
เสียง คือเพอร์เซโฟนี พระองค์ถูกในนางมาก จึงได้ฉุดนางลงไปในโลกบาดาล
เมื่อดีมิเทอร์กลับมาจากทุ่งข้าวโพด ได้พบเจอกับเศษดอกไม้ที่ดู
ไม่ปกติ จึงออกตามหาลูกด้วยความกระวนกระวายใจ และได้รู้ว่าลูกของ
พระองค์ได้ถูกฉุดไปอยู่ในโลกใต้พิภพ พระนางเสียใจมาก ทำให้พืชผลต่างๆ
ไม่เจริญเติบโต และหนาวเหน็บ
พระนางพยายามช่วยเหลือลูกที่รัก โดยการไปขอความช่วยเหลือซุส
ซุสจึงได้ให้เงื่อนไขว่า ถ้าเพอร์เซโฟนีไม่ได้เสพเสวยสิ่งใดในระหว่างที่อยู่
บาดาล จะให้ฮาเดสส่งเพอร์เซโฟนีขึ้นมาอยู่กับมารดา แล้วมีเทวบัญชาให้
เฮอร์มีสลงไปสื่อสารแก่ฮาเดสในยมโลก ฮาเดสจำต้องยอมโอนอ่อนจะส่ง
เพอร์เซโฟนีคืนสู่ เจ้าแม่ดีมิเตอร์ แต่ในขณะนั้นภูตครองความมืด ได้ประกาศ
ขึ้นว่า ราชินีแห่ง ยมโลกได้เสวยเมล็ดทับทิมแล้ว 6 เมล็ด
ประมวลเรื่องปรัมปรากรีก 12
ในที่สุดจึงตกลงกันเป็นยุติว่า ในปีหนึ่ง ๆ ให้เพอร์เซโฟนีเทวีอยู่กับ
ฮาเดสใน ยมโลก 6 เดือน สำหรับเมล็ดทับทิมที่เสวยเมล็ดละเดือน แล้วให้
กลับขึ้นมาอยู่กับมารดาบนพิภพอีก 6 เดือน สลับกันอยู่ทุกปี ไป ด้วยเหตุนี้
เมื่อเพอร์เซโฟนีเทวีอยู่กับมารดา โลกจึงอยู่ในระยะกาลของฤดูใบไม้ผลิ
พืชพันธุ์ธัญญาหารนานาชนิดผลิดอก ออกผล และเมื่อเพอร์เซโฟนีเทวีลงไป
อยู่ในบาดาล โลกก็ตกอยู่ในระยะกาลของฤดูหนาว พืชผลทั้งปวงร่วงหล่น
ซบเซา
เพราะเหตุนี้ ทำให้เชื่อกันว่านางได้สอนให้ชาวกรีกโบราณรู้จักศิลปะ
ของการปลูกพืชผล เพื่อพวกเขาจะสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยการเพาะ
ปลูกและมีอารยธรรมขึ้นมา
ประมวลเรื่องปรัมปรากรีก 13
hera
ประมวลเรื่องปรัมปรากรีก 14
hera : เฮรา
เฮร่า หรือภาษาโรมันว่า จูโน เป็นมเหสีและเชษฐภคินี (พี่สาว) ของซุส
เพราะเหตุนี้จึงทำให้นางกลายเป็นราชินีสูงสุดในสวรรค์ชั้นโอลิมปัสที่ไม่ว่าผู้
ใดก็คร้ามเกรง พระนางเป็นเทพีแห่งหญิงสาวและชีวิตสมรส เป็นผู้ปกป้อง
สตรีที่แต่งงานแล้ว
พระนางทรงประทับบนพระบัลลังก์ทองคำเคียงข้างซุสบนภูเขาโอ-
ลิมปัส และทรงพยายามอย่างที่สุดที่จะไม่ใส่พระทัยกับเรื่องราวรักๆ ใคร่ๆ ที่
ไม่ถูกทำนองคลองธรรมของสวามี เนื่องจากพระนางไม่ชอบความเจ้าชู้ของ
ซุส แต่พระนางก็ทำไม่ได้ ทำให้เฮร่ากลายเป็นคนขี้หึงและคอยลงโทษหรือ
พยาบาทคนที่มาเป็นภรรยาน้อยของซุสอยู่เสมอ เมื่อแรกที่ซุสขอแต่งงาน
ด้วยเฮร่าปฏิเสธ และปฏิเสธเรื่อยมาจนถึง 300 ปี แต่ด้วยว่า ซุสนั้นตามตื๊อ
พระนางตลอด จึงได้ออกอุบายว่า ถ้าซุสทำให้พระนางบอกรักได้ จะยอม
แต่งงานด้วย
วันหนึ่งซุสคิดทำอุบายปลอมตัวเป็นนกกาเหว่าเปียกพายุฝนไปเกาะที่
หน้าต่าง เฮร่าสงสารก็เลยจับนกมาลูบขนพร้อมกับพูดว่า "ฉันรักเธอ" ทัน
ใดนั้นซุสก็กลายร่างกลับคืนและบอกว่าเฮร่าต้องแต่งงานกับพระองค์
พระนางทรงประทับบนพระบัลลังก์ทองคำเคียงข้างซุสบนภูเขา
โอลิมปัส และทรงพยายามอย่างที่สุดที่จะไม่ใส่พระทัยกับเรื่องราวรักๆ ใคร่ๆ
ที่ไม่ถูกทำนองคลองธรรมของสวามี
ประมวลเรื่องปรัมปรากรีก 15
ชีวิตการครองคู่ของเทวีเฮร่ากับซุสไม่ค่อยราบรื่นเท่าใดนัก มักจะ
ทะเลาะเบาะแว้งเป็นปากเสียงกันตลอดเวลา จนเป็นเหตุให้ชาวกรีกโบราณ
เชื่อกันว่า ในเวลาที่เกิดฟ้าคะนองดุเดือดขึ้นเมื่อไร นั่นคือสัญญาณว่า
ซุสกับเฮร่าต้องทะเลาะกันเป็นแน่ เพราะ 2 เทพนี้เป็นสัญลักษณ์ของสรวง
สวรรค์ เมื่อท้องฟ้าเกิดอาเพศก็เหมาเอาว่าเป็นเพราะการขัดแย้งรุนแรงของ
2 เทพคู่นี้
แม้ว่าเทวีเฮร่ามีศักดิ์ศรีเป็นถึงราชินีแห่งสวรรค์หรือเทพมารดาแทน
รีอา แต่ความประพฤติและอุปนิสัยของเจ้าแม่ไม่อ่อนหวาน มีเมตตาสมกับ
เป็นเทพมารดาเลย โดยประวัติของเจ้าแม่นั้นมีทั้งโหดร้าย ไร้เหตุผล เจ้าคิด
เจ้าแค้นและอาฆาตพยาบาทจนถึงที่สุด ผู้ใดก็ตามที่ถูกเทวีเฮร่าอาฆาตไว้มัก
มีจุดจบที่ไม่สวยงามนัก ว่ากันว่าชาวกรุงทรอยทั้งเมืองล่มจมลงไปเพราะ
เพลิงอาฆาตแค้นของเจ้าแม่เฮร่านี้เอง สาเหตุเกิดจาก เจ้าชายปารีสแห่ง
ทรอยไม่เลือกให้เจ้าแม่ชนะเลิศในการตัดสินความงาม ระหว่าง 3 เทวีแห่ง
สวรรค์คือเทวีเฮร่า เทวีอาธีน่า และเทวีอะโฟรไดต์
เฮร่าได้รับการกล่าวขานว่าเป็นเทพธิดาผู้มีพระกรใสกระจ่างดุจ
งาช้าง ในตำนานโบราณสัตว์ประจำองค์ของเทพีเฮร่าคือวัว แต่ในตำนานยุค
ใหม่นกยูงเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ประจำพระองค์ และจะตามเสด็จอยู่ไม่ห่าง
ประมวลเรื่องปรัมปรากรีก 16
ares
ประมวลเรื่องปรัมปรากรีก 17
ares : แอรีส
แอรีส เป็นโอรสของมหาเทพซุส กับเทพีเฮร่า เป็นเทพที่มีอุปนิสัยโหด
ร้าย ป่าเถื่อน ชมชอบการต่อสู้ เป็นเทพแห่งสงคราม และเป็นนักรบ
นิสัยของแอรีสนี้กลับตรงข้ามกับเทพีอาธีน่าซึ่งเป็นเทพีแห่งปัญญา
และเป็นเทพีแห่งสงครามด้วย เพราะเทพีอาธีน่านั้นสุขุม เฉลียวฉลาด และ
กล้าหาญ เป็นที่ยกย่องของคนทั่วไป ด้วยเหตุนี้แอรีสจึงไม่ค่อยถูกชะตาเทพี
อาธีน่านัก
แอรีสมีชายา 2 องค์ คือ อีรีส ซึ่งเป็นเทพีแห่งความแตกแยก และเป็น
น้องสาวของพระองค์เอง มีโอรสด้วยกัน 2 องค์ คือ ไดมอส กับโฟบอส ซึ่ง
เป็นเทพแห่งความกลัว กับเทพห่งความสยดสยอง ส่วนโอรสอีกองค์หนึ่ง
ของอีรีสที่ชื่อ เอตี เทพแห่งโทสะ นั้นเป็นโอรสของซูสผู้เป็นเทพบิดา และ นาง
อีเลีย นางอีเลียเป็นธิดาของท้าวนิวไมเทอร์ เจ้าเกาะอัลบา เมื่อโตขึ้นนาง
อีเลียได้ทำหน้าที่เป็นเวสตัลพรหมจารีสาวกของเทพีเฮสเทีย มีหน้าที่ดูแลไฟ
ศักดิ์สิทธิ์ในวิหาร เทพแอรีสได้มาลักลอบได้นางอีเลียเป็นชายา และให้กำเนิด
โอรสฝาแฝดชื่อโรมิวลัส กับรีมัส หลังให้กำเนิดโอรส นางอีเลียก็ถูกลงโทษ
โดยการฝังทั้งเป็นตามกฎของเวสตัล ส่วนโอรสทั้งสองถูกท้าวอัมมิวเลียส
จับปล่อยลอยแพไปตามน้ำไทเบอร์ แต่นอกจากทั้งสองพระนางนี้ ยังมีชู้รัก
อีกพระนาง นั่นก็คือ เทพีอะโฟรไดต์
ประมวลเรื่องปรัมปรากรีก 18
เทพีอะโฟรไดต์ ผู้เป็นชายาของเทพการช่างเฮเฟสตัส อะโฟรไดต์นั้น
ไม่ชอบความขี้เหร่ของเฮเฟสตัส จึงได้ลักลอบเป็นชู้กับแอรีส โดยแอรีสใช้ให้
หนุ่มน้อยอะเล็กไทรออนคอยปลุกก่อนสว่างทุกวัน แต่วันหนึ่ง อะเล็กไทรอ
อนเผลอหลับยาม ปล่อยให้สุริยเทพอพอลโลมองเห็นแอรีสกับอะโฟรไดต์
เปลือยเปล่าอยู่ด้วยกัน อพอลโลจึงนำข่าวไปบอกเฮเฟสตัส เมื่อรู้ข่าว เฮเฟส
ตัสจึงใช้แหที่ตนทำ จับแอรีสกับอะโฟรไดทีไว้ได้ และพาทั้งสองมาให้เทพสภา
ตัดสิน แต่ด้วยอิทธิฤทธิ์ของเข็มขัดที่เฮเฟสตัสประดิษฐ์ให้อะโฟรไดต์เป็นของ
ขวัญวันแต่งงาน ปวงเทพทั้งหลายจึงไม่ตัดสินลงโทษผู้ใด แต่ครั้งนี้ก็ทำให้
ชู้รักทั้งสองอับอายขายหน้าไปทั้งสวรรค์ หลังจากนั้น แอรีสกับอะโฟรไดต์ก็
ยังแอบเป็นชู้กันอยู่เรื่อยมา จนมีโอรสและธิดาด้วยกันอย่างละ 2 องค์ โอรส
คือ อีรอส กับแอนติรอส ส่วนธิดา คือ เฮอร์ไมโอนี กับอัลซิปเปนางเฮอร์ไมโอ
นีนั้นต่อมาได้เป็นราชินีแห่งนครธีปส์
ประมวลเรื่องปรัมปรากรีก 19
apollo
ประมวลเรื่องปรัมปรากรีก 20
apollo : อพอลโล
อพอลโล เป็นโอรสของนางลีโต กับซูส โดยพระองค์เป็นเทพที่ชาว
กรีกถือว่างามนัก พระองค์เป็นเจ้าแห่งการทำนาย กีฬา และการรักษาโรค
ทั้งยังเป็นเทพแห่งพระอาทิตย์ มี พิณ เป็นเครื่องดนตรีประจำตัว มีคันธนูเป็น
อาวุธซึ่งยิงได้ไกล จึงได้สมญานามว่า เทพขมังธนู นอกจากนี้ยังเป็นเทพแห่ง
สัจธรรมอีกด้วย
อพอลโลมีบริวารที่ใกล้ชิดที่สุด คือ อีออส ผู้ทำหน้าที่เปิดทวารยาม
อรุณรุ่งให้ราชรถของเทพอพอลโลออกโคจร โดยถือว่าไขแสงเงินแสงทอง
เป็นสัญญาณเบิกทางโคจรของอพอลโลด้วย
ชาวกรีกนับถือเทพอพอลโลมาก จึงมีวิหารที่บูชาเทพอพอลโลน
จำนวนมาก แต่ที่มีชื่อเสียงที่สุด คือ วิหารเดลฟี
ตำนานได้กล่าวไว้ว่า ครั้งเมื่อเทพีเฮร่ายินยอมอภิเษกสมรสกับซูส
แล้ว ข่าวนางลีโตตั้งครรภ์กับซูสก็มาเข้าหู เทพีเฮราจึงตามขับไล่ลีโตลงจาก
สวรรค์เพราะหึงหวงซุส นอกจากนี้ยังส่งงูไพธอน ตามไล่ล่าลีโตหนีหัวซุก
หัวซุนจนสุดแผ่นดิน สุดท้ายก็ตัดสินใจหนีลงทะเลเพื่อให้พ้นจากงูร้าย เทพ
สมุทรโพไซดอสงสาร จึงเนรมิตเกาะให้นางเป็นที่อยู่อาศัย ชื่อว่า เกาะดีลอส
ณ ที่นั้น ลีโตได้ให้กำเนิดโอรสและธิดาแฝด คือ อพอลโล เทพสุริยัน กับ
อาร์เทมิส เทพธิดาจันทรา โดยอพอลโลนั้นเกิดก่อนอาร์ทีมิส 9 วัน
หลังจากเทพอพอลโลประสูติได้ 4 วัน เขาก็สามารถฆ่างูร้าย
ไพธอนลงได้ ทำให้ตนและครอบครัวปลอดภัยจากพระนางเฮร่าตั้งแต่บัดนั้น
และทำให้อพอลโลก็ได้อีกชื่อว่า ไพธูส ซึ่งแปลว่า "ผู้ประหารไพธอน"
ประมวลเรื่องปรัมปรากรีก 21
พระองค์มีชายา 2 พระองค์ คือ โครอนนิส และ ไคลมินี โดยโครอนนิส
เป็นธิดาของเจ้าแคว้นเธสสะลี แต่นางโครอนนิสนั้นใจไม่ซื่อ เทพอพอลโลจึง
ได้ให้นกดุเหว่าขาวตัวหนึ่งเฝ้านางไว้ ระหว่างที่ตั้งครรภ์ นางโครอนนิสก็ได้
แอบไปลักลอบคบชู้กับชายอื่น ดุเหว่าขาวจึงนำข่าวไปบอกให้อพอลโล
เทพอพอลโลเมื่อทราบก็บันดาลโทสะ จึงทำให้ขนของดุเหว่าขาวกลายเป็นสี
ดำสนิทตั้งแต่นั้น จากนั้นจึงฆ่าโครอนนิสตาย
ในระหว่างงานศพ เทพเฮอร์มีสก็มาล้วงเอาทารกในครรภ์ของ
นางโครอนนิสออกมา และนำไปฝากให้ ไครอนเลี้ยงดู โอรสองค์นี้ของ
เทพอพอลลอน ชื่อว่า เอสคิวเลปิอัส เป็นเด็กฉลาด เก่งเรื่องการรักษาโรค
มาก มีครั้งหนึ่งที่เอสคิวเลปิอัสทำให้คนตายฟื้นได้ จึงทำให้ซุสโกรธและฆ่า
เอสคิวเลปิอัสเสีย
ส่วนไคลมินี เป็นนางอัปสร และเป็นชายาอีกองค์ของอพอลโล ทั้งสอง
มีโอรสด้วยกันหนึ่งองค์ ชื่อว่า เฟอิทอน เฟอิทอนนั้นอยู่กับมารดาและรู้เพียง
ว่าบิดาของตนคือเทพอพอลโล เขาจึงถูกเพื่อนหัวเราะเยาะอยู่เสมอ เพราะไม่
เชื่อว่าตนเป็นลูกของสุริยเทพ เฟอิทอนจึงรบเร้าให้มารดาพาไปหาบิดา นาง
จึงบอกทางให้ เทพอพอลโลเมื่อเห็นก็จำได้ว่าเป็นโอรสของตน หลังจากฟัง
ความทุกข์ พระองค์จึงสาบานกับแม่น้ำสติกซ์ว่าจะช่วย เฟอิทอนจึงขอเป็นผู้
ขับราชรถลากพระอาทิตย์แทนบิดาในวันรุ่งขึ้นเพื่อให้ทุกคนได้รู้ว่าเขาเป็น
โอรสของอพอลโล เทพอพอลโลจำต้องยินยอม เพราะสาบานไว้
เมื่อถึงคราว เฟอิทอนก็สร้างความปั่นป่วนให้แก่โลกอย่างมาก และทำ
ให้ซูสตื่นจากบรรทม ซุสดูทุกอย่าง ทำให้ทราบว่าเฟอิทอนทำโลกปั่นป่วน
ซุสโกรธมาก จึงฆ่าเฟอิทอนตกลงสู่แม่น้ำ อีริดานัส ในพริบตา
ประมวลเรื่องปรัมปรากรีก 22
artemis
ประมวลเรื่องปรัมปรากรีก 23
artemis :อาร์เทมีส
อาร์เทมีส มีอีกชื่อหนึ่งว่าไดอานาตามความเชื่อโรมัน เป็นเทพีแห่ง
ดวงจันทร์ การล่าสัตว์ และความรักทางใจ ซึ่งเป็นฝาแฝดของ อพอลโล่ และ
เป็น 1 ใน 3 เทพีพรหมจรรย์ ที่มีอาวุธเป็นคันธนู โดยมีสุนัขเป็นผู้ติดตาม
ตำนานได้กล่าวว่า อาร์เทมีส เป็นธิดาฝาแฝดที่กำเนิดจากเทพซุสกับ
นางอัปสรนามว่า ลีโต หรือ แลโตนา โดยมีพี่ชายร่วมอุทรคือ เทพอพอลโล
ซึ่งเป็นเทพแห่งพระอาทิตย์ และการดนตรี เทพีอาร์เทมีสมีรูปลักษณ์เป็น
หญิงสาวผู้งดงาม อยู่ในชุดล่าสัตว์ทะมัดทแมงกระโปงสั้น ชุดมักมีสีน้ำเงิน
ในมือถือคันธนู
ตำนานได้กล่าวว่า ตอนคลอดอาร์เทมีสนั้นก็ยากเย็นนักหนาจนลีโต
แทบเอาชีวิตไม่รอดอีกครั้ง เหตุนี้ทำให้เทพีอาร์เทมีสรู้ซึ้งถึงความเจ็บปวด
ของคนเป็นแม่ พระนางจึงเกลียดการวิวาห์ และขออนุญาตเทพบิดาไม่ขอมีคู่
ครอง ขอเป็นเทพีรักษาพรหมจรรย์ตลอดไป นอกจากนั้นยังขอนางอัปสรที่
ไม่ยินดีในการวิวาห์ด้วยเช่นกันมาเป็นบริวาร
ทั้งหมดพากันท่องเที่ยวอยู่ตามราวป่าอย่างสำราญใจทุกวัน เมื่อถึง
ยามพระอาทิตย์อัสดง เทพีอาร์เทมีสก็จะเริ่มทรงราชรถเทียมม้าขาวลาก
ดวงจันทร์ข้ามท้องฟ้าผ่านดวงดาวยามค่ำคืน ระหว่างที่ท่องเที่ยวไปนั้นเทพี
อาร์เทมีสก็จะคอยสอดส่องลงมายังโลกพิภพ ดูแลผืนป่า สัตว์ป่า และพราน
คืนหนึ่ง พระนางก็เห็นหนุ่มเลี้ยงแกะรูปงามชื่อ เอนดิเมียน นอนหลับ
อยู่ริมเขา ความงามของเจ้าหนุ่มทำให้พระนางอดใจไม่ได้ จึงหยุดราชรถและ
ลงมาจุมพิตหนุ่มน้อยเบาๆ ก่อนจะลอยเลื่อนกลับไป
ประมวลเรื่องปรัมปรากรีก 24
เอนดิเมียนเมื่อหลุดจากภวังค์ก็จำได้พลางๆถึงรูปลักษณ์ของ
เทพธิดา ก็ไม่แน่ใจว่าเป็นจริงหรือฝัน ถึงกระนั้นเขาก็เที่ยวค้นหาเทพธิดาใน
ฝันไปตามที่ต่างๆ เมื่อเรื่องถึงซุส พระองค์ไม่ต้องการให้เกิดเรื่องอื้อฉาวแก่
เทพี จึงได้ยื่นคำขาดแก่เอนดีเมียนว่า จะยอมตายด้วยตัวเองหรือจะยอม
หลับโดยไม่ตื่นตลอดกาล ซึ่งเอนดิเมียนก็เลือกที่จะหลับตลอดการ โดยมี
เทพีอาร์เทมีสแวะเวียนมาเยี่ยมเยือนเขาอยู่ทุกค่ำคืน
นอกจากนี้ เทพียังได้มีความรักกับชายหนุ่มซึ่งเป็นนายพรานร่าง
กำยำ ชื่อว่า โอไรออน เชื่อกันว่าเขาเป็นบุตรของโพไซดอน
เทพีอาร์เทมีสได้มาพบโอไรออนเข้าในครั้งที่ได้ออกไปล่าสัตว์หลังจาก
หายจากการตาบอดที่ถูกมอมเหล้าโดยท้าวอิโนเปียน ที่พยายามช่วยธิดาไม่
ให้ถูกโอไรออนฉุดไป ทั้งสองเกิดรักใคร่กัน เทพอพอลโลเห็นท่าไม่ดี เกรงว่า
เทพีอาร์เทมีสจะกลับสัตย์เรื่องการครองพรหมจรรย์ พระองค์จึงคิดอุบาย
ทำให้เรื่องนั้นยุติลงอย่างเด็ดขาด จึงได้ออกอุบายให้เทพีอาร์เทมีสมา
ประลองฝีมือ โดยให้ลองยิงอะไรที่ลอยอยู่เหนือน้ำทะเลไกลๆ ฝ่ายเทพี
อาร์เทมีสไม่ได้เฉลียวใจจึงยิงธนูออกไปถูกเป้าหมายอย่างแม่นยำ ครั้นเมื่อ
คลื่นซัดพาร่างโอไรออนเข้ามาถึงฝั่ง จึงรู้ว่าได้ทำอะไรลงไป พระนางเศร้า
โศกเสียใจมาก จึงแปลงโอไรออนให้กลายเป็นกลุ่มดาว พร้อมด้วยสายรัด
เอว ดาบ และกระบองคู่มือ อยู่ในท้องฟ้าต่อจากกลุ่มดาวพลียาดีส และแปลง
สุนัขของเขาที่ชื่อซิริอัสให้กลายเป็นดาวซิริอัส อยู่ท้ายกลุ่มดาวโอไรออน
ตั้งแต่บัดนั้นมานอกจากตนเองจะไม่ยอมวิวาห์แล้ว เทพีอาร์เทมีสยัง
บังคับไม่ให้นางอัปสรบริวารของตนวิวาห์
ประมวลเรื่องปรัมปรากรีก 25
hermes
ประมวลเรื่องปรัมปรากรีก 26
hermes : เฮอร์เมส
เฮอร์มีส หรืออีกชื่อตามตำนานโรมันคือ เมอร์คิวรี่ เป็นเทพผู้
คุ้มครองเหล่านักเดินทาง คนเลี้ยงแกะ โจรผู้เร่ร่อน กวี นักกีฬา นักประดิษฐ์
และพ่อค้า นอกจากนี้ยังเป็นเทพแห่งการสื่อสารด้วย
พระองค์เป็นบุตรของเทพซุสและนางเมยา มีของวิเศษคือหมวกและ
รองเท้ามีปีก เรียกว่า เพตตะซัส ซึ่งเป็นของขวัญที่ได้รับจากซุส เพื่อให้ปฏิบัติ
หน้าที่เป็นเทพสื่อสาร และยังมีไม้ถือศักดิ์สิทธิ์เรียกว่า กะดูเซียส ซึ่งเป็น
สัญลักษณ์ของความเป็นกลาง ภายหลังได้ใช้เป็น สัญลักษณ์ของวงการ
แพทย์ด้วย
เฮอร์มีส ไม่เพียงแต่จะเป็นเทพสื่อสารเท่านั้น หากยังเป็นเทพครอง
การเดินทาง การพาณิชย์ และตลาด เป็นที่บูชาของพวกหัวขโมย และมีหน้า
ที่เป็นมัคคุเทศก์คอยนำวิญญาณคนตาย ไปสู่ยมโลกด้วย จนได้รับนามกร
อีกชื่อหนึ่งว่า เฮอร์มีสไซโคปอมปัส
สิ่งที่น่าแปลกประการหนึ่งคือ แม้จะเป็นลูกของอนุภรรยา แต่เทวีเฮร่า
ก็ไม่เกลียดชัง กลับเรียกหาให้เฮอร์มีสอยู่ใกล้ ๆ ด้วยเสียอีก ทั้งนี้ อาจเป็น
เพราะบุคลิก และนิสัยของเทพเฮอร์มีส ที่ชอบช่วยเหลือทุกคน ไม่ว่าจะเป็น
ทวยเทพด้วยกัน หรือ มนุษย์ธรรมดา
เฮอร์มีสก็เช่นเดียวกับ เทพบุตรองค์อื่น ๆ ตรงที่ไม่ยกย่องเทวีหรือ
สตรีนางใดเป็นชายา แต่สมัครรักใคร่ไปเรื่อย ๆ นับไม่ถ้วน
ประมวลเรื่องปรัมปรากรีก 27
athena
ประมวลเรื่องปรัมปรากรีก 28
athena : อาธีน่า
เทพีอาธีน่า เป็นธิดาของเทพีเมทิส ซึ่งถูกซูสกลืนเข้าไปในท้องตั้งแต่
ยังมีครรภ์แก่ พระนางเป็นเทพีแห่งปัญญาความเฉลียวฉลาด ผู้ซึ่งเชียวชาญ
ศิลปศาสตร์กรีกทุกแขนง และเป็นที่มาของชื่อเมืองเอเธนส์ มีสัตว์ประจำตัว
เป็น นกฮูก
ครั้งหนึ่ง ในขณะที่กำลังประชุมเหล่าเทพที่เทือกเขาโอลิมปัส จู่ ๆ ซุส
เกิดปวดศีรษะอย่างรุนแรง จึงได้ให้เฮเฟสตัส เทพแห่งการตีเหล็กใช้ขวานผ่า
ศีรษะออก เมื่อผ่าออกก็ปรากฏเป็นอาธีน่าที่สวมชุดเกราะพร้อมหอก
กระโดดออกมา พระนางเป็นเทพีที่เกิดมาพร้อมกับคำทำนายเรื่องการโค่น
บัลลังก์ของซุส แต่พระนางก็เป็นหนึ่งในลูกรักของซุส
เทพีอาธีน่านั้นมีฝีมือในเรื่องการถักทอยิ่งนัก ยากที่จะเทียบได้ แต่ก็มี
หญิงนางหนึ่งชื่อว่า อารัคนี ด้วยความหลงทนงในฝีมือตน นางจึงอวดอ้าง
ว่าแม้เทพีอาธีน่าลงมาแข่งด้วยก็อาจพ่ายแพ้นาง เทพีอาธีน่าจึงต้องลงมา
จากสวรรค์เพื่อลงโทษนางเพื่อไม่ให้ใครดูถูกวงศ์เทพอีก เทพีอาธีน่าจำแลง
องค์เป็นหญิงชรา เดินเข้าไปในบ้านของอารัคนี และชวนเธอคุย เมื่อนางเริ่ม
พูดจาข่มตน เทพีอาธีน่าในร่างของหญิงชรากล่าวเตือนนางไม่ให้ล่วงเกิน
เทพเจ้า แต่อารัคนีไม่สนใจ ยังกล่าวท้าทายให้เทพีมาเพื่อแข่งขันกัน
เทพีอาธีน่าจึงกลับคืนร่างและรับคำท้าของนาง เมื่อถึงการแข่ง ต่างฝ่ายต่าง
ทอลายผ้าอันงามวิจิตรขึ้น เมื่อทอเสร็จสาวเจ้าอารัคนีรู้ทันทีว่าผ้าทอของ
นางแพ้ ทั้งเจ็บทั้งอาย จึงเอาเชือกมาผูกคอหมายจะฆ่าตัวตาย เทพีอาธีน่า
จึงรีบเปลี่ยนร่างของนางให้กลายเป็นแมงมุม ทำให้นางต้องปั่นและทอใย
เรื่อยไปไม่มีเวลาหยุด เป็นการเตือนมนุษย์ไม่ให้กล้าเทียบตนกับเหล่าเทพอีก
ประมวลเรื่องปรัมปรากรีก 29
เรื่องราวความรักของเทพีอาธีน่านั้นมีน้อย เนื่องจากพระนางเป็นเทพี
ครองความบริสุทธิ์ มีเพียงครั้งหนึ่งที่เทพการช่างเฮเฟสตัสมาสู่ขอเทพี
อาธีน่าต่อซุส ซุสก็อนุญาต แต่ก็บอกให้เฮเฟสตัสไปถามความสมัครใจจาก
เทพีอาธีน่าด้วย
เฮเฟสตัสไปพูดขอเทพีอาธีน่าแต่งงาน แต่พระนางไม่ยินดีด้วย เทพ
เฮ-เฟสตัสจึงตรงเข้าไล่ปลุกปล้ำนาง ระหว่างนั้นเฮเฟสตัสได้ปล่อยของไม่
บริสุทธิ์ให้ตกลงมายังพื้นโลก บังเกิดเป็นทารกขึ้นมาคนหนึ่งชื่อว่า อิริคโธ
เนียส
เทพีอาธีน่าก็สงเคราะห์รับทารกนั้นไว้ บรรจุหีบให้งูเฝ้า และส่งมอบให้ธิดา
สาวท้าวซีครอปส์ดูแลโดยห้ามเด็ดขาดมิให้เปิดหีบดู แต่ธิดาไม่เชื่อฟัง
พยายามจะเปิดหีบ ครั้นเห็นงูเข้าก็ตกใจวิ่งหนีจนตกเขาตาย
ต่อมาอิริคโธเนียสก็ได้ครองกรุงเอเธนส์ ส่วนเทพีอาธีน่านั้นก็ไม่ได้รับ
การเกี้ยวพานจากเทพองค์ใดอีก
เทพีอาธีน่านั้นมีบทบาทสำคัญในฐานะเป็นที่ปรึกษาให้กับซุส ทรงอยู่
เคียงข้างเพื่อคอยให้คำแนะนำแก่ซุสเทพบิดาอยู่เกือบตลอดเวลา เมื่อครั้งที่
ซุสตกใจเตลิดหนีอสูรร้ายไทฟอน ก็ได้เทพีอาธีน่าพูดเตือนสติจนซุสกลับมา
ต่อสู้กับไทฟอนจนได้รับชัยชนะ ส่วนในโลกมนุษย์นั้น ก็มีบทบาทสำคัญใน
การช่วยเหลือวีรบุรุษหลายคน และในสงครามทรอยนั้นเทพีอาธีน่าก็เป็นต้น
เหตุหนึ่งของมหาสงคราม เนื่องจากเป็นหนึ่งในสามเทพีที่แย่งชิงตำแหน่งเทพี
ที่งามที่สุดแห่งสรวงสวรรค์ และเมื่อเกิดสงครามกรุงทรอย เทพีอาธีน่าก็เข้า
ร่วมรบอยู่กับฝ่ายกองทัพกรีก
ประมวลเรื่องปรัมปรากรีก 30
aphrodite
ประมวลเรื่องปรัมปรากรีก 31
aphrodite : อะโฟรไดท์
อะโฟรไดต์ เป็นเทพธิดาแห่งความงาม ความรักและราคะ มีนิสัยชอบ
ช่วยเหลือผู้ที่มีความรัก แต่บ่อยครั้งก็จะซ้ำเติมและลงโทษให้ผู้มีความรัก
ต้องระทมทุกข์หนักเพราะความรักมากยิ่งขึ้นไปอีก
กำเนิดอะโฟรไดต์มีหลายตำนาน ตำนานที่สอดคล้องกับชื่อที่แปลว่า
ฟองคลื่นนั้น ได้กล่าวไว้ว่า เมื่อครั้งโครนอสโค่นบัลลังก์บิดา ในตอนนั้น
โครนอสได้ใช้เคียวตัดอัณฑะอูรานอสโยนขว้างทิ้งลงทะเลแถวเกาะไซเธอรา
ทำให้เกิดฟองคลื่นขาวจำนวนมากในทะเล เมื่อนั้นเทพีอะโฟรไดต์ก็ได้ถือ
กำเนิดอยู่ในฟองคลื่นนั้น
เมื่อขึ้นเกาะไซปรัสแล้ว เทพแห่งฤดูกาลได้นำอาภรณ์สวยงามพร้อม
กับของประดับมาให้ และพาขึ้นเขาโอลิมปัส เมื่อขึ้นไปถึง ด้วยความสวยทำให้
เทพบุตรทั้งหลายรวมทั้งซุสต่างหลงเสน่ห์
และเพราะเหตุนี้ ซุสก็เล็งเห็นว่าสวรรค์คงจะปั่นป่วนเพราะนางแน่ จึง
รีบประทานนางให้แก่เทพการช่างขาพิการ เฮเฟสตัส อะโฟรไดต์นั้นทนอยู่กับ
เฮเฟตัสเทพสวามีผู้อัปลักษณ์ไม่ได้ จึงแยกมาอยู่ตามลำพังบนโอลิมปัส
อะโฟรไดต์ได้เป็นชู้กับแอรีสเทพแห่งสงคราม แต่ก็ถูกจับได้เพราะ
อพอลโลจับได้ตอนรุ่งอรุณ ได้ไปบอกให้เฮเฟสตัสรู้ เมื่อสวามีรู้ จึงนำตาข่าย
มามัดตัวคู่ชู้ทั้งสองไว้ได้ และพามาให้เทพสภาตัดสินคดี ด้วยมนต์อำนาจ
ของเข็มขัดที่เฮเฟสตัสทำให้อะโฟรไดต์สวมใส่ จึงทำให้นางไม่มีความผิด
หลังจากนั้น อะโฟรไดต์ก็ยังแอบไปมีสัมพันธ์สวาทกับเทพองค์อื่นๆอีก
คือ ไดโอนีซัส เฮอร์มีส และโพไซดอน นอกจากนี้ อะโฟรไดต์ยังมีชู้รักเป็น
มนุษย์อีก 2 คน คือ อโดนิส กับแอนไคซีส
ประมวลเรื่องปรัมปรากรีก 32
เรื่องของนางกับมนุษย์คนแรกเกิดขึ้นในวันหนึ่งอะโฟรไดต์บังเอิญถูก
ศรของกามเทพในขณะเดินเล่นด้วยกัน ด้วยอำนาจของศรรักทำให้อะโฟรไดต์
หลงรัก อโดนิส ที่ผ่านมาพอดี แต่ความรักกับหนุ่มอโดนิสนั้นมีปัญหาเพราะ
ต้องแย่งชิงกับเทพีเพอร์เซโฟนีชายาของฮาเดส
ต่อมาเมื่อเรื่องล่วงรู้ไปถึงซุส จึงตัดสินให้อโดนิสอยู่กับเพอร์เซโฟนี 4
เดือน อยู่กับอะโฟรไดต์ 4 เดือน และอีก 4 เดือนให้อโดนิสเลือกอยู่กับใครก็ได้
อโดนิสได้เลือกอะโฟรไดต์ ด้วยความรัก อะโฟรไดต์จึงลงมาจากสวรรค์ เพื่อ
คอยติดตามและแนะนำตักเตือนให้ระวังอันตรายเวลาเข้าป่า วันหนึ่งอะโฟร-
ไดต์มีธุระต้องจากอโดนิสไป ระหว่างที่อโดนิสเข้าป่าล่าสัตว์ตามลำพัง แอรีส
ที่หึงหวงอะโฟรไดต์ก็แปลงกายเป็นหมูป่ามาขวิดอโดนิสถึงแก่ความตาย
อะโฟรไดต์กลับมาพบร่างหนุ่มสุดที่รักตายจากไปก็เสียใจมาก หยาด
น้ำตาของนางได้หยดลงไปในเลือดสีแดงของอโดนิสก่อให้เกิดดอกไม้ที่เป็น
อนุสรณ์แห่งความรัก เรียกว่า ดอกอโดนิส
อะโฟรไดต์เป็นชู้กับมนุษย์อีกคนเป็นกษัตริย์ชื่อ แอนไคซีส แต่เพราะ
แอนไคซิสเมาจึงเผลอปากเปิดเผยความสัมพันธ์ของเขาซึ่งเป็นมนุษย์กับเทพี
สวรรค์ มหาเทพซุสจึงขว้างสายฟ้ามาลงโทษ
อะโฟรไดต์มีโอรสกับแอนไคซีส มีร่างเป็นครึ่งเทพครึ่งมนุษย์นามว่า
อีเนียส ซึ่งต่อมาได้ไปเข้าร่วมสงครามกรุงทรอย และย้ายไปอยู่อิตาลี เป็นต้น
ตระกูลของชาวโรมัน
อะโฟรไดต์นั้นมีส่วนสำคัญอย่างมากในสงครามกรุงทรอย เนื่องจาก
เมื่อมีการแย่งชิงตำแหน่งเทพีที่สวยที่สุดในสวรรค์ระหว่างอะโฟรไดต์ เฮร่า
และอาธีน่า มหาเทพซุสไม่อาจตัดสินให้ใครชนะได้ มหาเทพจึงแนะให้สามเทพี
ไปหาเด็กเลี้ยงแกะชื่อปารีสให้เป็นผู้ตัดสิน
ประมวลเรื่องปรัมปรากรีก 33
hephaestus
ประมวลเรื่องปรัมปรากรีก 34
hephaestus : เฮเฟสตัส
เฮเฟสตัส เป็นบุตรซูสกับพระมเหสีเฮร่า แต่เมื่อดูจากเหตุกำเนิดก็อาจ
จะกล่าวได้ว่าพระองค์เป็นบุตรของเฮร่าเพียงองค์เดียว เนื่องจากเมื่อครั้งซุส
ให้กำเนิดเทพีอาธีน่าโดยการผ่าออกมาจากศีรษะ พระนางเฮร่าก็มีทิฐิ จึงให้
กำเนิดเฮเฟสตัสโดยให้ออกมาจากหัวบ้างโดยไม่ต้องพึ่งพาซุส ทำให้เกิดเป็น
ฮีเฟสตัสขึ้น โดยพระองค์เป็นเทพแห่งไฟ โลหะ และการช่าง
เฮเฟสตัสนั้นเป็นเทพติดแม่ เมื่อมีเรื่องทุกครั้ง เฮเฟสตัสเป็นต้องเข้า
ข้างเฮร่าทุกคราวไป ซูสจึงไม่ค่อยชอบใจเฮเฟสตัสนัก
เมื่อคราวที่เฮร่าจะโค่นอำนาจซูสแต่แผนนั้นล้มเหลว ซูสได้ลงโทษ
พระนางโดยการใช้เชือกเงินผูกนางห้อยหัวและแขวนไว้กับสวรรค์ เฮเฟสตัส
ก็เข้าช่วยเหลือเทพมารดาเช่นเดิม ทำให้ซูสโกรธและจับเฮเฟสตัสโยนลงมา
จากสวรรค์ เฮเฟสตัสตกจากสวรรค์ถึง 9 วันกว่าจะถึงพื้นโลก เพราะเหตุนี้
ทำให้เฮเฟสตัสขาหัก กลายเป็นเทพพิการตั้งแต่บัดนั้น
เฮเฟสตัสสร้างวังอาศัยอยู่บนโลกมนุษย์ และตั้งใจจะไม่กลับไปอยู่บน
สวรรค์โอลิมปัสอีก และด้วยความชำนาญในการช่าง เฮเฟสตัสจึงตั้งโรงงาน
ผลิตอาวุธต่างๆ ตามที่ตนถนัดอยู่บนโลกมนุษย์โดยมีพวกยักษ์ไซคลอปส์ซึ่ง
มีฝีมือในการช่างเช่นกันเป็นลูกมือ
แม้จะไม่ตั้งใจกลับสวรรค์แต่พระองค์ก็หวังว่าเฮร่าลงมาเยี่ยมบ้าง แต่
รอแล้วรอเล่าเทพมารดาก็ไม่ลงมาหา เฮเฟสตัสจึงสร้างบัลลังก์ทองคำที่
สวยงามส่งไปถวายเฮร่า แต่เมื่อเฮร่านั่งลง บัลลังก์ทองนั้นก็มีกลไกมายึด
องค์ไว้อย่างมั่นคง ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้
ประมวลเรื่องปรัมปรากรีก 35
เมื่อเป็นเช่นนั้น ซุสจึงได้ให้เฮอร์มีสลงมาเจรจาด้วย แต่ไม่สำเร็จ
ทวยเทพจึงปรึกษากัน และให้ไดโอนีซัสลงมาเกลี้ยกล่อมเฮเฟสตัส ไดโอนีซัส
ได้เอาเหล้าองุ่นให้ดื่มจนเฮเฟสตัสมึนเมา จึงสามารถพาตัวเฮเฟสตัสขึ้นไปแก้
เครื่องกลพันธนาการให้เทพมารดาได้สำเร็จ
จากนั้นไดโอนีซัสก็เกลี้ยกล่อมให้ทั้งซุส เฮร่า และเฮเฟสตัสกลับมาดีี
กันดังเดิม แต่แม้จะได้การยอมรับให้กลับไปอยู่เขาโอลิมปัสดังเดิม แต่เฮเฟส-
ตัสก็ยังยินดีอยู่บนโลกมนุษย์ จะขึ้นสวรรค์ไปก็ต่อเมื่อมีการประชุมเทพสภา
เท่านั้น
เฮเฟสตัสเทพผู้พิการ แต่กลับมีชายาที่แสนสวย เพราะชายาของ
เฮเฟสตัสนั้นคือ อะโฟรไดต์ แต่เพราะความสง่างามที่ไม่เสมอกัน อะโฟรไดต์
จึงมักนอกใจเฮเฟสตัสไปกับเทพบุตรรูปงามอื่นๆ อีกหลายองค์
ประมวลเรื่องปรัมปรากรีก 36
dionysus
ประมวลเรื่องปรัมปรากรีก 37
dionysus : ไดโอนิซัส
ไดโอนิซัส เป็นเทพเจ้าแห่งไวน์ เป็นเทพผู้นำความเจริญอารยธรรม
ผู้สร้างกฏระเบียบ และผู้รักสันติ รวมทั้งความอุดมสมบูรณ์ทางการเกษตร
ไปจนถึงการละคร พระองค์เป็นบุตรของซูส กับนางสีมิลี ธิดาแห่งเมืองธีบส์
ครั้งหนึ่ง ซุสได้แปลงร่างไปเป็นมนุษย์สมสู่กับนางสีมิลี เมื่อเฮร่าได้
ทราบ จึงแปลงกายเป็นพี่เลี้ยงของนางสีมิลีเพื่อชวนคุย พอได้ช่องก็ถามเรื่อง
ความรักของนาง พร้อมออกอุบายให้นางสงสัยว่าผู้ที่กำลังคบหานั้นเป็นซูส
แปลงกายมาจริงหรือไม่ ด้วยความหัวอ่อน นางสีมิลีก็หลงเชื่อและจะทำตาม
เมื่อซูสเสด็จลงมาอีก นางสีมิลีจึงหว่านล้อมให้ซุสในร่างมนุษย์สาบานกับแม่
น้ำสติกซ์ ว่าจะให้ทุกอย่างตามคำขอของนางหนึ่งข้อ เมื่อซุสสาบานแล้ว นาง
ก็ขอสิ่งที่นางต้องการ ซูสเมื่อได้ยินก็ตกใจมาก เกรงว่าถ้าเผยร่างจริงแล้ว
จะทำให้นางสีมิลีไม่อาจมีชีวิตได้ แต่เมื่อสาบานแล้ว ซุสจึงไม่มีทางเลือก ซูส
จึงกลับไปร่างแห่งความเป็นจริง พอนางสีมิลีได้เห็นซูส นางก็ถึงกับล้มกลิ้ง
เนื่องจากไม่อาจทนต่ออำนาจได้ และในชั่วพริบตานางก็ถูกเผาและตายไป
ในขณะนั้นนางสีมิลีทรงครรภ์อยู่ ซุสจึงช่วยบุตรออกมา แล้วนำไปฝัง
ไว้ในต้นชานุมณฑล ทารกคงอยู่ในที่นั้นต่อจนครบกำหนดคลอด ซูสจึง
เอาทารกออก และมอบให้นางอัปสรที่เรียกว่า ไนสยาดีส เป็นผู้อนุบาล พวก
นางเอาใจใส่ทารกอย่างดี ซุสจึงโปรดเนรมิตให้พวกนางกลายเป็นกลุ่มดาว
ไฮยาดีส ส่วนทารกน้อยก็ได้ชื่อว่า ไดโอนิซัส หรือ แบกคัส
แม้ว่าไดโอนิซัสจะเป็นกึ่งมนุษย์กึ่งเทพ แต่ก็ได้รับการยอมรับให้เป็น
เทพอย่างสมบูรณ์ มีความเป็นอมฤตภาพเช่นเดียวกับเหล่าเทพสภาอื่นๆบน
สวรรค์ชั้นโอลิมปัส
ประมวลเรื่องปรัมปรากรีก 38
ไดโอนิซัสรักที่จะเดินทางท่องเที่ยวไปบนผืนดินอัน กว้างขวาง
มากกว่า ไปทางไหนก็นำความชุ่มชื้นแห่งสุราติดไปด้วย คนที่มองเห็นคุณ
ความดีพากันเคารพนับถือ ส่วนคนที่ดูถูกเหยียดหยามมักถูกลงโทษ
ในฐานะที่เพิ่งจะดำรงตำแหน่งเทพ ไดโอนิซัสไม่ประสบความสำเร็จใน
การทำให้คนนับถือสักเท่าใดนัก ครั้นเวลาผ่านไป คุณกับโทษของพระองค์ก็
เป็นที่ประจักษ์ชัดขึ้น มนุษย์ส่วนใหญ่จึงพากันเคารพนับถือ และสร้างวิหาร
ถวายเป็นการใหญ่
ไดโอนิซัสทำให้พื้นดินสะพรั่งไปด้วยองุ่นรสเลิศที่ทรงคุณประโยชน์
มากหลาย ทำให้ผู้คนอิ่มหนำและชื่นบาน แต่มีหลายครั้งที่ทำให้คนกลายเป็น
วิกลจริตอย่างน่าสมเพช ในจำนวนนี้มีสตรีกลุ่ม หนึ่งซึ่งเรียกว่า เมนาดส์ ซึ่ง
ถูกพิษของเมรัย ทำให้เป็นบ้าหมดสติไปทุกคน ต่างกระโดด โลดเต้นไปตาม
ป่าเขาลำเนาไพร อย่างขาดสติ บางครั้งก็มาห้อมล้อมติดสอยห้อยตาม
ไดโอนิซัสไปด้วย
ต่อมาในยุคโรมันเมื่อไดโอนิซัสได้รับชื่อเป็นภาษาละตินว่าแบกคัส
เหล่านางทั้งหลายที่สติไม่สมบูรณ์ก็ได้รับชื่อใหม่ว่า แบกคันทีส จึงออกจะ
เป็นภาพที่ ประหลาดมากที่ชาย หนุ่มรูปงามคนหนึ่งจะเดินทางไปไหน ๆ โดย
ล้อมด้วยผู้หญิงบ้า
อ้างอิง
พงษ์เพชร เพชรนอก. (ม.ป.ป.). การเคารพนับถือเทพเจ้าของกรีก.
สืบค้น 18 กันยายน 2562, จาก
https://sites.google.com/view/ipatch-
greekcivilization
พรรณปพร ลิ้มพันธ์อุดม. (ม.ป.ป.). มหากาพย์เทวตำนานกรีก.
สืบค้น 18 กันยายน 2562, จาก
https://sites.google.com/site/ancientgreeceborun/th
eph-pkrnam-krik