The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รายงานเรื่องผลงานทัศนศิลป์สมัยรัตนโกสินทร์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

ผลงานทัศนศิลป์ในแต่ละยุค

รายงานเรื่องผลงานทัศนศิลป์สมัยรัตนโกสินทร์

ผลงานทัศนศิลป์สมัยรัตนโกสินทร์ จัดทำโดย ด.ช.ธรณัส พรหมจันทร์ ม.2/12 เลขที่8 ด.ช.ธณรัฐ แท่นรัตน์ ม.2/12 เลขที่9 ด.ญ.ฐานิกา มหาวงศ์ ม.2/12 เลขที่19 ด.ญ.ณัฐธพร แตงอ่อน ม.2/12 เลขที่22 ด.ญ.ดาลิยา ลิงาลาห์ ม.2/12 เลขที่26 ด.ญ.นุสริน วาอายีตา ม.2/12 เลขที่28 ด.ญ.พิมพ์ดาว แก้วมณีรัตน์ ม.2/12 เลขที่33 ด.ญ.รติมา เบือขุนทด ม.2/12 เลขที่34 เสนอ คุณครูโสพิศ ชาติพันธุ์ รายงานเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาศิลปะ(ศ22103) โรงเรียนคณะราษฎรบำรุง จังหวัด ยะลา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ยะลา เขต 1


คำนำ วิชาศิลปะ(ศ22103) รายงานเล่มนี้จัดทำขึ้นเพื่อศึกษาศิลป์สมัยรัตนโกสินทร์ โดยการศึกษาผ่านแหล่ง ความรู้ต่างๆเช่น ความรู้จากเว็บไซต์ โดยรายงานเล่มนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับ ความเป็นมา ผลงานทัศนศิลป์ ผู้จัดทำคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการจัดทำรายงานเล่มนี้จะมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อ ผู้ที่สนใจศึกษา ศิลป์สมัยรัตนโกสินทร์เป็นอย่างดี คณะผู้จัดทำ


สารบัญ เรื่อง หน้า ประวัติความเป็นมา 1 ผลงานด้านจิตรกรรม ผลงานด้านประติมากรรม ผลงานด้านสถาปัตยกรรม ผลงานสถาปัตยกรรมทางศาสนา 2 ที่พักอาศัยสมัยรัตนโกสินทร์ 3 โครงสร้างผลงานทัศนศิลป์สมัยรัตนโกสินทร์ 4 ตัวอย่างผลงานทัศนศิลป์สมัยรัตนโกสินทร์ 5


ผลงานทัศนศิลป์สมัยรัตนโกสินทร์ สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เสด็จขึ้นครองราชย์ และสถาปนากรุงเทพมหานครขึ้นเป็นเมืองหลวงกรุงรัตนโกสินทร์ และทรงมีพระราชประสงค์ที่ต้องการจะทำ ให้กรุงเทพมหานครเป็นเหมือนกรงศรีอยุธยาแห่งที่สอง กล่าวคือได้มีการสร้างสถาปัตยกรรมที่สำคัญ โดยได้ เลียนแบบอย่างมาจากกรุงศรีอยุธยารวมไปถึงสถาปัตยกรรมประเภท บ้านพักอาศัย เรือนไทยบางเรือนที่ยังคง เหลือจากการทำศึกสงครามกับพม่าก็ถูกถอดจากกรุงศรีอยุธยามาประกอบที่กรุงเทพมหานคร กรุงเทพมหานครกลายเป็นมหานครศูนย์กลาง นับเป็นยุคทองแห่งศิลปะจีน มีการใช้การก่ออิฐถือปูน และใช้ลวดลายดินเผาเคลือบประดับหน้าบันแทนแบบเดิมห่งหนึ่งที่รวบรวมเอาผู้คนหลายหลายชาติวัฒนธรรม เข้ามารวมอยู่ด้วยกันไม่ว่าจะเป็น แขก (อินเดีย) ฝรั่ง (ชาติตะวันตก) และ จีน ที่มีการซึมซับวัฒนธรรมอื่นมาที ละน้อย หลักฐานในยุคนั้นไม่ปรากฏเท่าไร เนื่องจากผุพังไปตามสภาพกาลเวลา แต่จะสามารถเห็นได้จากภาพ ตามจิตรกรรมฝาผนังของวัดต่างๆ ที่สร้างขึ้นในสมัยนั้น รวมถึงรูปแบบบ้านพักอาศัยซึ่งมีตึกปูนแบบจีนอยู่ ค่อนข้างมากในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้านจิตรกรรม นำวิทยาการสมัยใหม่ของตะวันตกในการสร้างภาพมนุษย์ที่เน้นความเหมือนจริงมาผนวก กับวิทยา การของไทยที่เขียนภาพแบบอุดมคติซึ่งให้เห็นในจิตรกรรมฝาผนังของ ขรัวอินโข่ง จิตรกรเอกสมัยรัชกาลที่ 4 ได้รับยกย่องว่าเป็นผู้เริ่มต้นงานจิตรกรรมไทยสมัยใหม่ ประติมากรรม มีการปั้นพระพุทธรูปให้เหมือนมนุษย์ยิ่งขึ้น คือ พระศรีศากยะทศพลญาณเป็นพระพุทธรูปปางลีลา แบบสุโขทัย ส่วนงานประติมากรรมอื่นๆ มักเป็นงานจำหลักหินอ่อนหรือหล่อสำริดส่งมาจากยุโรป ถือเป็นการ เริ่มรับแบบอย่างการปั้นภาพเหมือนและอนุสาวรีย์จากตะวันตก ด้านสถาปัตยกรรม สถาปัตยกรรมในยุคกรุงรัตนโกสินทร์ (รัชกาลที่ 1 ถึง รัชกาลปัจจุบัน) เป็นยุคที่ได้รับอิทธิพลจาก ตะวันตก วิชาชีพสถาปัตยกรรมในสมัยรัชกาลที่ 6 เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น และถือได้ว่าการประกอบวิชาชีพ สถาปัตยกรรมแผนใหม่ได้เกิดขึ้นพร้อมกับการจัดตั้งสถาบันการศึกษาสถาปัตยกรรมที่จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัยในปี พ.ศ. 2476


สถาปัตยกรรมทางศาสนา วัด - ในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น มีรูปแบบดำเนินรอยตามแบบสถาปัตยกรรมสมัยอยุธยา เช่น การ สร้างโบสถ์วิหารให้มีฐานโค้ง การสร้างหอไตรหรือหอพระไตรปิฎกกลางน้ำ เป็นต้น ต่อมาเมื่อมีการทำมาค้า ขายกับต่างชาติมากขึ้น จึงได้รับอิทธิพล ที่เห็นได้ชัดคือ ในสมัยรัชกาลที่ 3 ที่ได้รับอิทธิพลจีน การเปลี่ยนแปลง ที่เห็นได้ชัด เช่น ได้เอาช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ ออก โดยเปลี่ยนมาเป็นก่ออิฐถือปูนและใช้ลวดลายดินเผา เคลือบประดับหน้าแทนการใช้ไม้สลักแบบเดิม นิยมใช้เสาเป็นสี่เหลี่ยมทึบ ไม่มีบัวเสา วัดที่มีการผสมผสาน สถาปัตยกรรมตะวันตกเช่น วัดนิเวศธรรมประวัติ ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นศิลปะแบบกอธิค วัง - พระที่นั่งจักรีมหาปราสาทและพระที่นั่งอาภรณ์ภิโมกข์ปราสาท สถาปัตยกรรมในรัตนโกสินทร์ ตอนต้นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชวังตามแบบกรุงศรี อยุธยา 3 แห่ง คือพระบรมมหาราชวัง พระราชวังบวรสถานมงคล พระราชวังบวรสถานพิมุข โดยทั้งตำแหน่ง ที่ตั้งนั้นยึดหลักยุทธศาสตร์เป็นสำคัญ ตามตำราพิชัยสงคราม คือ "มีแม่น้ำโอบล้อมภูเขาหรือหากหาภูเขาไม่ได้ มีแม่น้ำเพียงอย่างเดียวก็ได้ เรียกว่า นาคนาม" ที่อยู่อาศัยของพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ และขุนนางไทยผู้สูงศักดิ์ในสมัยนั้น เรียกขาน ตามแต่บรรดาศักดิ์ ให้เห็นถึงยศที่ชัดเจน อาทิ พระตำหนัก พระที่นั่ง พระวิมาน หรือพระมหาปราสาท โดยเฉพาะพระวิมานและพระมหาปราสาท ใช้เฉพาะเรือนที่มีเจ้าของเป็นพระมหากษัตริย์เท่านั้น ส่วนที่ ประทับของพระมหากษัตริย์หรือแม้จะเป็นพระมหาอุปราช เรียกว่า พระราชวัง เว้นแต่พระราชวังประทับถาวร ของพระมหากษัตริย์เท่านั้นที่เรียกว่า พระบรมมหาราชวัง วังหลายแห่งเป็นจุดเริ่มต้นของศิลปะไทยแขนงต่าง ๆ อันเนื่อง วังมักเป็นโรงงานช่างหรือโรงฝึกงานช่าง อย่างช่างสิบหมู่ลักษณะของ ปราสาท พระราชวัง พระบรมมหาราชวัง ของพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์และขุนนาง แบ่งได้เป็น 3 สมัย คือ สมัยต้น (ร. 1-3) เป็นยุคสืบทอดสถาปัตยกรรมแบบกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย สมัยกลาง (ร.4-6) ซึ่งประเทศไทยได้รับอิทธิ สถาปัตยกรรมตะวันตก และสมัยหลัง (ร.7-ปัจจุบัน) เป็นยุคแห่งสถาปัตยกรรมร่วมสมัย


ที่พักอาศัย - ตึกแถว ย่านบางรัก ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระพุทธ ยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชสถาปนากรุงเทพมหานครขึ้นเป็นเมืองหลวงกรุงรัตนโกสินทร์ พระองค์มีพระราช ประสงค์ที่จะทำให้กรุงเทพมหานครเป็นเหมือนกรุงศรีอยุธยาแห่งที่สอง มีการสร้างสถาปัตยกรรมที่สำคัญ เลียนแบบกรุงศรีอยุธยา ส่วนบ้านพักอาศัย เรือนไทยที่คงเหลือจากสงครามก็ถูกถอดและนำประกอบใหม่ สมัยรัชกาลที่ 4 เริ่มมีการติดต่อกับชาติตะวันตกมากขึ้น มีการสร้างอาคารต่างชนิดเพื่อรองรับ กิจกรรมทางธุรกิจนอกเหนือจากที่อยู่ อาศัยและวัดวาอารามในอดีต ได้แก่ โรงงาน โรงสี โรงเลื่อย ห้างร้าน และที่พักอาศัยของชาวตะวันตก นอกจากนี้การสร้างอาคารของทางราชการ กระทรวงต่าง ๆ และพระราชวังที่ มีรูปแบบตะวันตกผสมผสานกับสถาปัตยกรรมไทย เช่น พระที่นั่งจักรมหาปราสาท พระที่นั่งอนันตสมาคม เป็นต้นสำหรับที่พักอาศัย ในการประยุกต์ยุกแรก ๆ เรือนไม้จะนำศิลปะตะวันตกมาประยุกต์ เช่นเรือนปั้นหยา ซึ่งดัดแปลงมาจากเรือนไม้ของยุโรป สร้างขึ้นในพระราชวังก่อนแพร่หลายสู่บ้านเรือนประชาชน หลังคาเรือน ปั้นหยาซึ่งมุงด้วยกระเบื้องโดยทุกด้านของหลังคาจะชนกันแบบปิรามิด ไม่มีหน้าจั่วแบบสถาปัตยกรรมดั้งเดิม [1] จากนั้นได้วิวัฒนาการเป็นเรือนมะนิลา ในบางส่วนอาจเป็นหลังคาปั้นหยา แต่เปิดบางส่วนให้มีหน้าจั่ว หลังจากนั้นก็มีเรือนขนมปังขิง ซึ่งได้รับอิทธิพลจากเรือนขนมปังขิงสมัยโบราณของตะวันตก ซึ่งมีการตกแต่ง อย่างหรูหรา มีครีบระบายอย่างแพรวพราว โดยทั้งเรือนขนมปังขิงและเรือนมะนิลา เป็นศิลปะฉลุลายที่เฟื่องฟู มากในสมัยรัชกาลที่ 5-6 ในสมัยรัชกาลที่ 5 เริ่มมีการให้กรรมสิทธิ์ที่ดิน อีกทั้งเกิดย่านตลาดเป็นศูนย์กลางชุมชน ทำให้เกิดที่ พักอาศัยและร้านค้าตามย่านหัวเมือง เรียกสถาปัตยกรรมเช่นนี้ว่า เรือนโรง มีลักษณะเป็นเรือนพื้นติดดิน ไม่ ตั้งอยู่บนเสาสูงเช่นเรือนไทยในอดีต ตั้งอยู่ยานชุมชนการค้าชาวจีนที่เข้ามาทำการค้าขาย โดยเปิดหน้าร้าน สำหรับขายของ ส่วนด้านหลังไว้พักอาศัย เมื่อเรียงรายกันเป็นแถว จึงกลายเป็น ห้องแถว ในเวลาต่อมา ถึงแม้ว่าเรือนไทยจะได้รับอิทธิพลตะวันตก แต่คนไทยก็ยังถือเรื่องคติการสร้างบ้านแบบไทย ๆ อยู่เช่น การยก


เสาเอกและการถือเรื่องทิศ ต่อมาสถาปนิกและนักตกแต่งซึ่งสำเร็จการศึกษาจากต่างประเทศได้กลับนำมาใช้ใน การทำงาน ทำให้มีแนวโน้มนำเอารูปแบบสถาปัตยกรรมอื่นมาด้วย ในปัจจุบันสถาปัตยกรรมโดยเฉพาะในเมืองหลวงในตามเมืองใหญ่ ๆ แทบไม่หลงเหลือรูปแบบ สถาปัตยกรรมไทยในอดีต สถาปัตยกรรมในยุคหลังอุตสาหกรรมได้เน้นการสร้างความงามจากโครงสร้าง วัสดุ การออกแบบโครงสร้างให้มีความสวยงามในตัว เช่นใช้เหล็ก ใช้กระจกมากขึ้น ผนังใช้อิฐและปูนน้อยลง ใช้ โครงสร้างเหล็กมากขึ้น ออกแบบรูปทรงให้เป็นกล่อง ผนังเป็นกระจกโล่ง เป็นต้น โครงสร้าง - พระที่นั่งอนันตสมาคม มีโครงสร้างหลังคายอดโดม แสดงความชำนาญด้านของ โครงสร้างของช่างที่ได้เปลี่ยนรูปแบบใช้สอย ตั้งแต่ก่อตั้งกรุงรัตนโกสินทร์จนถึงรัชกาลที่ 2 (พ.ศ. 2325-2367) วัสดุที่ใช้ก่อสร้างอาคารบ้านเรือนจะเน้นไปที่ไม้เป็นหลัก จนกระทั่งเข้าสู่ช่วงรัชกาลที่ 3 ถึง 4 (พ.ศ. 2367- 2411) จึงเริ่มมีวัสดุใหม่ ๆ เข้ามาในประเทศ เนื่องจากความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศจีน วัสดุก่อสร้างแบบจีน ได้รับความนิยม คือ กำแพงรับน้ำหนัก (Bearing masonry wall) ซึ่งใช้อิฐก้อนใหญ่ก่อผนังหนา ฉาบปูน และ ใช้ผนังด้านนอกเป็นกำแพงไปในตัว ทำให้บ้านแบบจีนนั้นดูหนักแน่นและทนต่อดินฟ้าอากาศ แต่เนื่องจากใช้ ผนังในการรับน้ำหนัก รวมถึงชนิดที่ก่ออิฐหุ้มเสาไม้ซึ่งเป็นแกนใน ทำให้อาคารแบบจีนและแบบที่ได้รับอิทธิพล จากตะวันตกมีผนังชั้นบนกับชั้นล่างตรงกัน (เพื่อการถ่ายน้ำหนัก) อาคารส่วนใหญ่จึงมีลักษระทึบ มีช่องเปิด เฉพาะบางส่วนของผนัง


ตัวอย่างงานทัศนศิลป์สมัยรัตนโกสินทร์ พระบรมมหาราชวังและวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ศิลปะสมัยรัตนโกสินทร์ จิตรกรรมฝาผนังในสมัยรัตนโกสินทร์ที่มีการปิดทองลงในภาพ


พระปรางค์ วัดอรุณราชวราราม วัดสุทัศนเทพวราราม เป็นการผสมผสานศิลปะแบบจีนกับศิลปะไทยสมัยรัตนโกสินทร์


อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ผลงานการออกแบบของหม่อมหลวงปุ่ม มาลากุล เป็นแบบที่ชนะการประกวดการ ออกแบบโดยได้นำสถาปัตยกรรมแบบไทยมาผสมผสาน พระที่นั่งอนันตสมาคมที่ออกแบบโดยนายช่างชาวอิตาลี บนพระที่นั่งมีโดมใหญ่แบบยุโรปอยู่ตรงกลาง


Click to View FlipBook Version