RABUMCHUNKAI
ระบําชนไก่
ผ่านรูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏบิ ัติของเดฟ
Daves Instructional Model for Psychomotor Domain
พิชญาภา เจริญรักษ์
คาํ นํา
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) เลม่ นีมเี นือหาเกยี วกบั ระบํา
ชนไก่ ผ่านรูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏบิ ัติของเดฟ ซึงมรี ายละเอียด
ประกอบด้วย ประวัติความเปนมาของระบําชนไก่ เครืองแต่งกาย ดนตรีทีใช้
ในการแสดง ท่ารํา และโอกาสทีใช้ในการแสดง รวมไปถงึ การเชือมโยงท่ารํา
ผ่านรูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏบิ ัติของเดฟโดยรวบรวมบันทึกข้อมลู
มาเพือให้ผู้ทีสนใจศึกษาและเรียนรู้ในการแสดงชุดระบําชนไกเ่ พิมเติม
ผู้จัดทําหวังเปนอย่างยิงว่า หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book)
เลม่ นีจะเปนประโยชน์กบั ผู้ทีสนใจศึกษา และเรียนรู้เพิมเติมในการแสดงชุด
ระบําชนไกผ่ ่านรูปแบบการเรียนการสอนของเดฟ ตลอดจนนําไปสู่การจัดการ
เรียนการสอนและสามารถนําไปใช้ในชีวิตประจําวันของผู้เรียนต่อไป
พิชญาภา เจริญรักษ์
สารบัญ หน้า
เรือง 1
2
คํานํา 6
ประวัติความเปนมาของระบําชนไก่ 8
เครืองแต่งกายทีใช้ ในการแสดงชุดชนไก่ 15
ดนตรีประกอบการแสดงชุดชนไก่
ท่ารําทีใช้ ในการแสดงชุดชนไก่ 20
ศึกษาระบําชนไก่ ผ่านรูปแบบการเรียนการสอน 21
ทักษะปฏบิ ัติของเดฟ
โอกาสทีใช้ ในการแสดง
บรรณานุกรม
1
ประวตั ิความเปนมาของระบําชนไก่
ชนไก่ เปนกีฬาพืนบ้านชนิดหนึงของภาคใต้ซึงเปนทีนิยมมาช้านานแล้ว แม้ใน
ภาคกลางก็มีเล่นกันทัวไป และจากหลักฐานทีสามารถค้นพบได้ทราบว่าคนไทยนิยมเล่นกีฬา
ชนไก่มาช้านานแต่เดิมการชนไก่เปนเพลงกีฬาพืนบ้านทีชาวบ้านเอาไก่มาต่อสู้กัน ต่อมามี
การพนันเกิดขึนและถือว่าการชนไก่เปนการพนันชนิดหนึง จึงต้องมีกฎหมายว่าการชนไก่จะ
ต้องได้รับจากเจ้าหน้าทีเสี ยก่อน
อาจารย์สุณี ลิมปปยพันธ์ ได้กล่าวว่า ระบําชนไก่ทีวิทยาลัยนาฏศิลป
นครศรีธรรมราชได้นํามาประดิษฐ์เปนท่ารําขึนนัน เพือจะแสดงให้เห็นลีลาอันงดงามของไก่
นอกจากนันยังต้องการให้ผู้รับชมได้รับความรู้เกียวกับเรืองไก่ชน ชาวพืนเมืองภาคใต้รับเอา
กีฬาชนไก่มาเปนการละเล่นพืนบ้าน และไก่ทีจะนํามาชนนันจะดูลักษณะหลายอย่าง เช่น สี
ขนและเกล็ด เปนสําคัญและดูส่วนประกอบอืนๆเช่น เหนียง หงอน หน้าอก เดือยประกอบ
ด้วย ถ้ามีลักษณะดีตรงตามตําราก็จะเปนพันธ์ไก่ชน ซึงการพิจารณาลักษณะจะพิจารณา
โดยการดูสี และดูเกล็ดเปนสํ าคัญ
นอกจากความรู้ในเรืองไก่ชนแล้วผู้ชมระบําชนไก่จะได้รับความเพลิดเพลินสนุกสนาน
กับลีลาท่าทางการเลียนแบบของไก่ชนโดยเฉพาะตอนชนไก่ ซึงมีการประกอบคู่ชนเรียก
ว่าการเปรียบไก่หรือการเปรียบคู่ก่อนทีจะชน ซึงได้มีการคิดประดิษฐ์ท่ารําโดยเลียนแบบจาก
ธรรมชาติของไก่ชนทังสิน และยิงเมือได้รับฟงอรรถรสของทํานองดนตรีทีประดิษฐ์ขึนใหม่
เพือประกอบการแสดงระบําชุดนียิงเพิมความเข้มข้นมากขึนเท่านัน
2
ในวงการนาฏศิลปไทยจะแบ่งเครืองประดบั ออกเปน 3 ส่วน ซึงประกอบไปด้วย
พัสตราภรณ์ หมายถงึ เครืองประดบั คือเสือผ้า อันได้แก่ เสือผ้าหรือฉลององค์ ซึงตามหลกั
นาฏศิลปไทย การสวมใส่พัสตราภรณ์กอ่ นเปนเรืองทีถกู ต้องตามหลกั นาฏศิลป ถนิมพิมพาภรณ์
หมายถงึ เครืองประดบั ตามร่างกาย อันได้แก่ เข็มขัดหรือปนเหน่ง สังวาล ตาบหน้า ตาบทิศ
ตาบหลงั อินธนู ธาํ มรงค์ แหวนรอบ ปะวะหลา ทองกร กรองคอ สะอิง พาหุรัด กาํ ไลเท้า
เปนต้น และสิราภรณ์ หมายถงึ เครืองประดบั ศีรษะ อันได้แก่ ชฎา มงกฎุ เปนต้น
การแสดงชนไกก่ ็เช่นเดยี วกนั ต้องสวมพัสตราภรณ์กอ่ นเปนลาํ ดบั แรก ได้แก่ เสือ
กางเกง ปก หาง จากนันสวมภนิมพิมพาภรณ์ ได้แก่ เข็มขัดหรือปนเหน่ง กรองคอ จีนาง ข้อมอื
ข้อเท้าติดเดอื ย เปนต้น จากนันถงึ จะสวมใส่สิราภรณ์ ได้แก่ ศีรษะรูปหัวไก่ ดงั รูปภาพต่อไปนี
3
1. ลักษณะไก่ผู้หญิง ได้แก่ ไก่ชนทีออกมาเคลือนไหวในช่วงของการโชว์
ความงามก่อนทีจะเปรียบไก่เพือนําไปชนกัน ส่ วนประกอบของเครืองแต่งกาย
ลักษณะสวยงาม
1. สวมเสือแขนสัน คอกลม
2. สวมกลองคอ 3 ชัน
3. สวมกางเกงสามส่วน
4. ติดปกไกห่ ลงั เสือข้างละปก
5. ทีข้อเท้าติดเดอื ย
6. สวมหางไก่
7. สวมเครืองประดบั ได้แก่ ศีรษะเปน
รูปหัวไก่ ต้นแขน ข้อมอื จีนาง
พร้อมหัวเข็มขัด
4
2. ลักษณะไก่ชนหรือไก่ผู้ชาย ได้แก่ ไก่ชนทีจะต้องแสดงความสามารถ
ตลอดจนลีลาในการชน ซึงจะต้องใช้บทบาทในการจิกตีเพือต่อสู้เอาชนะกันและ
กัน ส่ วนประกอบของเครืองแต่งกายลักษณะไก่ชน
1. สวมเสื อแขนยาว คอตงั
2. สวมกลองคอ 3 ชัน
3. สวมกางเกงสามส่ วน
4. ติดปกไกห่ ลงั เสื อขา้ งละปก
5. ทขี อ้ เทา้ ติดเดอื ย
6. สวมหางไก่
7. สวมเครืองประดบั ไดแ้ ก่ ศีรษะเปน
รูปหัวไก่ ตน้ แขน จีนาง พร้อมหัวเข็มขดั
5
3. ลักษณะของคนเชียร์ไก่ การแต่งกายจะเปนรูปแบบของชาว
บ้านไม่หรูหรา คือ ศีรษะมีผ้าขาวม้าโพก เสื อคอกลม นุ่งกางเกงขาก๊วย หรือ
โสร่ง และผ้าขาวม้าคาดเอว
6
การแสดงชดุ ชนไก่ เปนการแสดงทมี ีโครงสร้างเนือหาในการแสดงแตก
ตา่ งไปจากชดุ การแสดงอืนๆ ทคี ิดประดิษฐข์ ึนมาภายหลงั ลกั ษณะเนือหาการ
แสดงชดุ นีมีการกาํ หนดเปนเรืองผสมผสานจัดการแสดงส่ วนทเี ปนระบําและเน้น
เนือเรืองให้เกิดความสนุกสนานมีสาระ และจบลงอยา่ งสมบูรณ์ในตวั เอง มีการ
สร้างสรรค์ทาํ นองขึนใหม่ในแตล่ ะช่วงมีเอกลกั ษณ์เฉพาะ ดงั นี
ช่วงที 1 มีลกั ษณะเปนระบําซึงสื อความหมายอากปั กิริยาของไกใ่ นลกั ษณะต่างๆ
เช่น การขนั การเดิน การไซร้ขน การขุย้ เขยี อาหาร ฯลฯ
ช่วงที 2 มีลกั ษณะของการดาํ เนินเรืองของผูแ้ สดงทรี ับบทบาทเปนนักเลงไก่
แสดงพฤติกรรมการดูลกั ษณะไก่ การตกลงกติกาถา้ พนันและลลี าทา่ ทางบุคลกิ ภาพ
ของนักเลงไกช่ น
ช่วงที 3 มีลกั ษณะการตอ่ สู้ของไกช่ นและแสดงพฤติกรรมการชนดว้ ยรูปแบบ
ตา่ งๆ
ช่วงที 4 มีลกั ษณะการแสดงทสี ื อความหมายระหวา่ งไกผ่ ูช้ นะและไกผ่ ูแ้ พ้ แตล่ ะ
ฝายจะแสดงพฤติกรรมทางอารมณ์ทแี ตกตา่ งกนั แตแ่ สดงออกมาพร้อมกนั
7
เครืองดนตรี
ทํานองเพลงและจังหวะหน้าทับทีใช้บรรเลงประกอบการแสดงชุดชนไก่
จึงยึดแนวทางการดําเนินเรืองของเนือหาการแสดงเปนพืนฐานในการบรรจุ
เพือความสอดคลอ้ งในการดําเนินเรืองราวและบรรยากาศของการแสดงใน
แต่ละช่วง ซึงประกอบการผสมวงด้วยเครือง ดนตรี ดังต่อไปนี
1. ป จํานวน 1 เลา่
2. ทบั (โนรา) จํานวน 2 คู่
3. กลองต๊กุ (7 เสี ยง) จํานวน7 ใบ
4. โหม่ง จํานวน 1ชดุ
5. ฉิง จํานวน 1คู่
6. แตระ จํานวน 1 ตวั
8
กระบวนทา่ รําของระบําชนไก่ เปนการบันทึกทา่ รําแบบการถา่ ยภาพนิง
ดว้ ยกลอ้ งบันทึกภาพในการบันทึกทา่ รําจะเปนกระบวนการบันทึกเพือเตอื นความ
ทรงจํา และการทบทวนทา่ รําทไี ดร้ ับการถา่ ยทอด การบันทึกทา่ รํา มีดงั นี
1. ทา่ เดิน
2. ทา่ ยนื
3. ทา่ ไซร้ปก
4. ทา่ ตปี ก
5. ทา่ ขนั
6. ทา่ คยุ้ เขยี อาหาร
7. ทา่ นอน
8. ทา่ เดินวน
9. ทา่ ตี
10. ทา่ จ้อง
11. ทา่ ตลี อย
ทา่ รําทใี ช้ในการแสดงชดุ ชนไก่ 9
ทา่ เดิน
ทาํ ทา่ เดินออกมาโดยยา่ งเทา้ ออกมาทลี ะกา้ ว เริมดว้ ยเทา้ ขวากอ่ น มือทงั สองวางแตะทขี า้ งสะโพก กบั
ขอ้ ศอกออกสมมติเปนปก ทุกครังทกี า้ วจะกม้ หน้าแลว้ เงยให้เขา้ กบั จังหวะของเพลง
ทา่ ยืน
ปฏิบัติทา่ ยนื แตะเทา้ ตา ยนื ดว้ ยเทา้ ซ้าย เทา้ ขวาแตะพืนดว้ ยปลายเทา้ กม้ หน้า ไกต่ วั ที 1 ยาหลงั ในจังหวะช้า 2 เร็ว
3 พร้อมกบั กม้ หน้าลง ไกต่ วั ที 2 กา้ วขึน ในจังหวะเดยี วกนั พร้อมกบั ยดื ตวั ขึน ปฏิบัติทา่ นีสลบั กนั ขึนลง 6 จังหวะ
ทา่ รําทใี ช้ในการแสดงชดุ ชนไก่ 10
ทา่ ไซร้ปก
เริมดว้ ยไซร้ปกซ้าย ยนื ดว้ ยเทา้ ซ้าย เทา้ ขวาแตะพืนดว้ ยปลายเทา้ มือขวาแตะสะโพก มือซ้ายกางปกออก
ใช้หัวจิกปก 3 จังหวะแลว้ รูดปก 2 จังหวะ ปฏิบัติเช่นเดิมอีกครังแลว้ เปลยี นไปไซร้ปกดา้ นขวา
ทา่ ตีปก
เมือเดินออกมาถึงทที กี าํ หนดไวจ้ ะทาํ ทา่ ตปี ก โดยใช้มือทงั 2 ขา้ งทวี างแตะทขี า้ งสะโพก ตบขา้ งลาํ ตวั เบาๆ
เสมือนอาการตปี ก
ทา่ รําทใี ช้ในการแสดงชดุ ชนไก่ 11
ทา่ ขนั
แขนทงั 2 ขา้ งกางออกไปขา้ งลาํ ตวั แลว้ คอ่ ยๆ ลดแขนหยิบจีบทงั 2 ขา้ ง โดยทขี ณะกาํ ลงั ลดแขนลงนัน
จะกม้ ตวั ลง และเมือหยิบจีบแลว้ คอ่ ยๆ ยึดตวั พร้อมกบั เงยหน้า ขาทงั 2 ยดื ตึง เขยง่ เทา้ ทงั สอง
ท่าคุ้ยเขยี อาหาร
ทาํ ทา่ เดิน โดยยา่ งเทา้ เดินไป 2-3 กา้ ว แลว้ ใช้ปลายเทา้ จิกลงทพี ืน แลว้ จึงใช้ปลายเทา้ เขยี ทพี ืน 2-3 ที
ทา่ รําทใี ช้ในการแสดงชดุ ชนไก่ 12
ทา่ นอน
ทา่ ไกน่ อน นังราบบนเส้ นเทา้ โน้มตวั ทาบกบั หน้าขา ฝามือแตะสะโพก กางปกซ้ายออก
ไซร้ปกในจังหวะเดยี วกนั เปลยี นไซร้ปกขวาอีกครัง
ท่าเดินวน
ปฏิบัติทา่ เดินวนสลบั ทกี นั โดยวนไปทางขวาเริมกา้ วซ้ายไปขวา รวมเทา้ หันหน้าเขา้ หากนั
แลว้ เดินวนกลบั ไปทางซ้าย โดยเริมกา้ วขวาไปซ้าย ทา่ นีมือและลาํ ตวั เหมือนทา่ เดิน
ทา่ รําทใี ช้ในการแสดงชดุ ชนไก่ 13
ทา่ ตี
กา้ วขวา ซ้าย เขา้ หากนั คอื ยนื ตรงกนั ขา้ มกนั แลว้ กระโดดเตะปลายเทา้ ไปขา้ งหน้าดว้ ยเทา้ ซ้าย ขวา ทงั คู่
พร้อมกบั กระฟอปก ไกต่ วั ที 1 ใช้หัวซกุ ใตป้ ก ไกต่ วั ที 2 แทรกตวั หมุนสลบั ทกี นั กระโดดแยกออกแลว้ เริมกา้ ว
ขวา ซ้าย เขา้ หากนั อีกครังแลว้ กระโดดตเี หมือนเดิม โดยสลบั กนั ตี
ท่าจ้อง
ไกท่ งั 2 ตวั จ้องหน้ากนั โดยจ้องไปทางขวา กลาง ซ้าย ขึน ลง
(ฝามือทงั 2 ขา้ งแตะสะโพกขณะตอ้ งให้โน้มตวั ตากวา่ ทา่ เดินอีกเลก็ น้อย)
ทา่ รําทใี ช้ในการแสดงชดุ ชนไก่ 14
ทา่ ขึนลอย
การปฏิบัติทา่ ขึนลอยใช้เทคนิคของโขนเขา้ มาร่วม
ไกต่ วั ที 1 ตงั เขา่ ขา้ งซ้าย และเขา่ ขา้ งขวาราบไปกบั พืน ปลายส้ นเทา้ ขวาตงั ขึน
ไกต่ วั ที 2 ใช้เทา้ ซ้ายเหยยี บไปตรงหน้าขาดา้ นซ้ายของไกต่ วั ที 1 เทา้ ขวายกขาขึน มือซ้ายจับไหลไ่ กต่ วั
ที 1 ไว้ มือขวาแนบลาํ ตวั (ทา่ ขึนลอยใช้สํ าหรับผูช้ ายทเี ลน่ เปนตวั ไกช่ นเทา่ นัน)
15
กระบวนทา่ รําระบําชนไกข่ องอาจารณ์สุณี ลมิ ปปยพันธ์ เปนการนํารูปแบบการเรียนการสอน
ทกั ษะปฏิบัติของเดฟ (Dave’s Instructional Model for Psychomotor Domain)
มาใช้ในการเรียนการสอน ซึงรูปแบบการเรียนการสอนมุ่งช่วยให้ผูเ้ รียนเกิดความสามารถทางดา้ น
ทกั ษะตา่ งๆ กลา่ วคอื ผูเ้ รียนสามารถปฏิบัติ หรือกระทาํ อยา่ งถกู ตอ้ งสมบูรณ์และชํานาญ โดยเริม
จากระดบั ทซี ับซ้อนน้อยไปจนถึงระดบั มีความซับซ้อนมากดงั นันการกระทาํ จึงเริมจากการเคลอื นไหว
กลา้ มเนือใหญ่ ไปกบั การเคลอื นไหวกลา้ มเนือยอ่ ย แบ่งออกเปน 5 ขนั ตอน ไดแ้ ก่ การเลยี นแบบ
การลงมือกระทาํ ตามคาํ สั ง การกระทาํ อยา่ งถกู ตอ้ งสมบูรณ์ การแสดงออกและการกระทาํ อยา่ ง
เปนธรรมชาติ
ขันที 1 ขันการเลยี นแบบ (innitiation) การเรียนรู้ของมนุษย์ส่วนมากเปน
การเรียนรู้โดยการสังเกตหรือการเลยี นแบบขันทีให้ผู้เรียนสังเกตการกระทําทีต้องการให้ผู้เรียน
ทําได้ ซึงผู้เรียนย่อมจะรับรู้หรือสังเกตเห็นรายละเอียดต่าง ๆ ได้ไมค่ รบถ้วน แต่อย่างน้อยผู้เรียน
จะสามารถบอกได้ว่าขันตอนหลกั ของการกระทํานันๆมอี ะไรบ้างโดยเริมจากการสังเกตอากปั กริ ิยา
ของไกช่ นผ่านสือวีดทิ ัศน์ จากนันการเลยี นแบบท่าทางของไกจ่ ะเปนการทําตามพฤติกรรมทีแสดง
จากผู้สอน ขณะทีเรียนรู้โดยการสังเกตผู้เรียนสามารถปฏบิ ัติตามครูผู้สอนไปได้อย่างต่อเนืองโดย
เริมจากการเลยี นแบบอากปั กริ ิยาของตัวไกช่ นกอ่ น ได้แก่ การเดนิ การยืน การไซร้ปก การคุ้ยเขีย
อาหาร การขันของไกช่ น เปนต้น
การเลยี นแบบอากปั กิริยาของไกช่ น
จากครูผูส้ อน
16
ขันที 2 ขันการลงมอื กระทําตามคําสัง (manipulation) เมอื ผู้เรียนได้
ลงมอื ปฏบิ ัติท่าทางอากปั กริ ิยาของไกช่ น และสามารถบอกขันตอนของกระบวน
ท่ารําทีต้องการเรียนรู้แล้วให้ผู้เรียนลงมอื ทําโดยไมม่ แี บบอย่างให้เห็น ผู้เรียนอาจ
ลงมอื ทําตามคําสังของผู้สอนหรือทําตามคําสังทีผู้สอนเขียนไว้ในคู่มอื ก็ได้
การลงมอื ปฏบิ ัติตามคําสังนี แม้ผู้เรียนจะยังไมส่ ามารถทําได้อย่างสมบรู ณ์
แต่อย่างน้อยผู้เรียนทีได้ประสบการณ์ในการลงมอื กระทํา และค้นพบปญหาต่าง ๆ
ซึงช่วยให้เกดิ การเรียนรู้ และการปรับการกระทําให้ถกู ต้องอย่างสมบรู ณ์ขึน
17
ขันที 3 ขันการกระทําอย่างถกู ต้องแมน่ ยํา (precision) ขันนี
เปนขันทีผู้เรียนจะต้องฝกฝนกระบวนท่ารําอากปั กริ ิยาของไกจ่ นสามารถปฏบิ ัติท่ารํา
ได้อย่างถกู ต้องสมบรู ณ์ โดยไมจ่ ําเปนต้องมแี บบอย่างหรือให้ครูสอนมคี ําสังนําทาง
ในการปฏบิ ัติท่ารําของระบําชนไก่ ซึงการปฏบิ ัติท่ารําระบําชนไกต่ ้องปฏบิ ัติได้อย่าง
ถกู ต้องแมน่ ตรงพอดสี มบรู ณ์แบบ เปนสิงทีผู้เรียนจะต้องสามารถทําได้ในขันนี
ผู้เรียนสามารถปฏบิ ัติท่ารําได้อย่างถกู ต้องแมน่ ตรง
พอดสี มบรู ณ์แบบตามครูผู้สอน
18
ขันที 4 ขันการแสดงออก (articulation) ขันนีเปนขันที
ผู้เรียนฝกฝนกระบวนท่ารําต่างๆ ของอากปั กริ ิยาของไกช่ นในรูปแบบการ
แสดงมาปรับพฤติกรรมของผู้เรียนให้เปนผู้กล้าแสดงออกตามความรู้สึ ก
นึกคิด และสืออารมณ์ทีได้รับการถา่ ยทอดท่ารํามาได้อย่างมปี ระสิทธภิ าพ
สามารถนําไปประยกุ ต์ทักษะทีได้เรียนรู้มาใช้ในสถานการณ์ใหมๆ่ ซึงผู้เรียน
อาจต้องผสมผสานทักษะหลายทักษะในการฝกพฤติกรรมกล้าแสดงออกใน
การลงมอื ปฏบิ ัติได้อย่างเหมาะสมกบั ผู้ชมและครูผู้สอน
ขันที 5 ขันการกระทําอย่างเปนธรรมชาติ (naturalization)
ขันนีเปนขันทีผู้เรียนสามารถปฏบิ ัติท่ารําชนไกไ่ ด้อย่างสบายๆ และสือท่ารําออกมา
เปนไปอย่างอัตโนมตั ิโดยไมร่ ู้สึกว่าต้องใช้ความพยายามเปนพิเศษ ซึงต้องอาศัย
การฝกทักษะปฏบิ ัติท่ารําบ่อยๆ ให้ชํานาญ จนกระทังสามารถปฏบิ ัติท่ารําชนไกไ่ ด้
อย่างถกู ต้องสมบรู ณ์แบบอย่างคลอ่ งแคลว่ รวดเร็ว ราบรืน และเปนไปอย่าง
ธรรมชาติ
19
โดย 2 ขันตอนนี รวบรวมข้อมูล
เปนรูปภาพ ไว้ดังนี
ผู้เรียนกล้าทีจะแสดงออกให้ครูผู้สอนได้
เห็นถงึ การปฏบิ ัติอากปั กริ ิยาของไกไ่ ด้
อย่างเปนธรรมชาติแสดงออกตามความ
รู้สึก นึกคิด และสืออารมณ์ทีได้รับการ
ถา่ ยทอดท่ารํามาได้อย่างมปี ระสิทธภิ าพ
และเปนธรรมชาติใกล้เคียงไกช่ นมากทีสุด
20
ระบําชนไกน่ ิยมแสดงในงานประเพณีรืนเริงตา่ งๆ โดยทวั ไป ซึงถอื
เปนชดุ การแสดงของทอ้ งถินทางภาคใตอ้ ีกชดุ หนึงและไดร้ ับความนิยมชืนชอบ
อยูใ่ นขณะนี
21
บรรณานุกรม
ทิศนา แขมมณี (2563). รูปแบบการเรียนการสอนทกั ษะปฏิบัติของเดฟ
(Dave’s Instructional Model for Psychomotor Domain). ในศาสตร์การ
สอน องค์ความรู้เพือการจัดกระบวนการเรียนรู้ทมี ีประสิ ทธิภาพ.
นพศักดิ นาคเสนา. (2546). นาฏยประดิษฐ:์ ระบําพืนเมืองภาคใต.้ วิทยานิพนธ์
ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชานาฏยศิลปไทย.กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลยั .
ประภาพรรณ ภเู กา้ ลว้ น. (2563, 12 ธนั วาคม). เครืองแตง่ กายของระบําชนไก่
ภาคใต.้
สุณี ลมิ ปปยพันธ์. (2564).ระบําชนไก.่ ผลงานทางวิชาการ.นครศรีธรรมราช :
วิทยาลยั นาฏศิลปนครศรีธรรมราช
ประวตั ิผูจ้ ัดทาํ
ชื อ – นามสกุล(ภาษาไทย) พิชญาภา เจริญรักษ์
ชื อ – นามสกุล(ภาษาอังกฤษ) PHITCHAYAPHA CHAROENRAK
คุ ณ วุ ฒิ ร ะ ดั บ ป ริ ญ ญ า ต รี
ตาํ แหน่ง นักศึ กษา
ส า ข า วิ ช า นาฏยศิ ลปศึ กษา
คณะ มนุษยศาสตร์และสั งคมศาสตร์
โทรศั พท์มือถือ 094-316-0316
E-MAIL [email protected]
ทีอยู่ 100/3 หมู่ 6 ตาํ บล เลม็ด อําเภอ ไชยา
จั งหวัด สุ ราษฏร์ธานี 84110