หลักการ ทฤษฎี
และกระบวนการวางแผนการบรหิ ารงานวชิ าการ
หลกั การ ทฤษฎี และกระบวนการวางแผนการบริหารงานวิชาการ
การบริหารโดยทั่วไปมีความมุ่งหมายเพื่อต้องการให้การปฏิบัติงานบรรลุตามวัตถุประสงค์
การบริหารจึงเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ซึ่งมีเทคนิควิธีเพื่อนำไปสู่เป้าหมายที่กำหนดไว้โดยอาศัยหลักการและ
กระบวนการ ก่อนทจี่ ะกล่าวถึงหลักการและกระบวนการจึงต้องทำความเข้าใจเกยี่ วกับพื้นฐานของการบริหาร
และงานวิชาการ ดงั น้ี
1. ความหมายของการบริหารและการบรหิ ารงานวิชาการ
การบริหาร ในฐานะที่เป็นศาสตร์ (Science) ซึ่งประกอบด้วยทฤษฎี หลักการและเหตุผล
จำเป็นตอ้ งกระทำอยา่ งเป็นระบบและมีกระบวนการการบรหิ ารมีความหมายและความสำคัญตามทัศนะต่าง ๆ
เช่น
แคมปเ์ บลล์ และคณะ (Campbell and Others. 1976 : 137) ไดก้ ล่าวถึงการบรหิ าร หมายถึง
ขั้นตอนต่าง ๆ ของการดำเนินงานที่ผู้บริหารต้องทำหน้าที่ดำเนินการให้ผู้ปฏิบัติได้ดำเนินงานจนเสร็จสิ้น
ไดผ้ ลงานตามที่ตอ้ งการ
ไซมอน (Simon. 1976 : 1) ได้กลา่ วถึงการบริหารวา่ เป็นศิลป์ในการปฏิบัตงิ านให้กิจกรรมต่างๆ
ประสบความสำเรจ็ ตามเปา้ หมายที่ต้องการ
สมพงศ์ เกษมสิน (2517 : 6 ) ได้กล่าวถงึ การบริหารคือการศาสตร์แลศิลปใ์ นการนำเอา
ทรัพยากรการบรหิ าร (Administrative Resources) มาประกอบกนั ตามกระบวนการบรหิ าร (Process of
Administration) ให้บรรลุวัตถปุ ระสงค์ทก่ี ำหนดไวอ้ ย่างมีประสทิ ธภิ าพ
บารน์ าร์ด (Barnard,1972) กล่าวว่า “การบรหิ าร หมายถงึ การทำงานของคณะบุคคล
ตั้งแต่ 2 คนข้ึนไป ทีร่ ่วมกันปฏิบัติการใหบ้ รรลเุ ปาหมายรว่ มกัน”
เทอรี่ (Terry,1968) ให้ความหมายวา่ “การบรหิ ารเป็นกระบวนการต่างๆ ซึ่งประกอบด้วย
การวางแผน การจดั หน่วยงาน การอำนวยการ การควบคมุ ทถ่ี ูกพิจารณาจดั กระทำข้ึนเพื่อให้บรรลุ
วัตถุประสงค์ โดยใชก้ ำลงั คน และทรัพยากรที่มีอยู่
ปีเตอร์ เอฟ ดรกั เกอร์ (Peter F. Drucker) ให้ความหมายวา่ “การบรหิ ารคือการทำให้งาน
ตา่ งๆ ลุล่วงไปโดยอาศยั คนอ่ืนเป็นผ้นู ำ”
เดโจน (Dejon,1978) ให้ความหมายว่า “การบริหารเปน็ กระบวนการท่จี ะทำใหว้ ัตถุประสงค์
ประสบความสำเร็จโดยผา่ นทางบุคคลและการใช้ทรพั ยากรอื่น กระบวนการดงั กลา่ วรวมถึงองค์ประกอบของ
การบริหารอนั ไดแ้ ก่ การกำหนดวัตถปุ ระสงค์ การวางแผน การจัดองคก์ ร การกำหนดนโยบาย การบรกิ าร
และการควบคมุ ”
รจุ ิร์ ภ่สู าระและจนั ทรานี สงวนนาม (2545:4-5) กล่าวถึงการบรหิ ารว่า เป็นเรือ่ งของการทำ
กจิ กรรมโดยผูบ้ ริหารและสมาชกิ ในองค์กรเพื่อใหบ้ รรลุวตั ถุประสงค์อย่างมปี ระสิทธภิ าพ ดว้ ยการใช้ทรพั ยากร
และเทคโนโลยีให้เกดิ ประโยชนส์ ูงสุด นกั บริหารหลายคนจงึ มคี วามคิดตรงกันวา่ “การบรหิ ารเปน็ กระบวนการ
ทำงานรว่ มกนั ของคณะบคุ คล โดยมวี ัตถปุ ระสงค์เฉพาะทแ่ี นน่ อนในการทำงาน” บางคนเหน็ วา่ การบรหิ ารเป็น
ศิลปะของการเปน็ ผ้นู ำท่จี ะนำผู้อื่นใหท้ ำงานตามวัตถุประสงค์ได้ และได้กล่าวถึงลกั ษณะเด่นทีเ่ ป็นสากลของ
การบรหิ ารไว้ 9 ประเด็นคอื
1. การบรหิ ารต้องมีวัตถปุ ระสงคห์ รอื เป้าหมาย
2. การบรหิ ารตอ้ งอาศยั ปัจจยั เป็นองคป์ ระกอบสำคญั
3. การบริหารตอ้ งใช้ทรัพยากรการบรหิ ารเปน็ องคป์ ระกอบพื้นฐาน
4. การบรหิ ารตอ้ งมลี กั ษณะการดำเนินการเป็นกระบวนการทางสังคม
5. การบรหิ ารต้องเป็นการดำเนนิ การร่วมกันระหวา่ งกลุ่มบคุ คลตงั้ แต่ 2 คนข้นึ ไป
6. การบริหารต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจเพื่อให้การปฏิบัติตามภารกิจบรรลุ
วัตถปุ ระสงค์
7. การบริหารเปน็ การรว่ มมอื ดำเนินการอยา่ งมเี หตุผล
8. การบริหารมีลักษณะเป็นการตรวจสอบผลการปฏิบัติงานกับวัตถุประสงค์ที่
กำหนดไว้
9. การบริหารไมม่ ตี ัวตน แตม่ ีอิทธพิ ลต่อความเปน็ อยขู่ องมนษุ ย์
จึงกล่าวได้ว่าการบริหาร เป็นกระบวนการดำเนินงานอย่างเป็นระบบ ซึ่งต้องมีการวางแผน
การปฏิบัติตามแผน การประเมินผล และการนำไปปรับปรุงพัฒนา เพื่อนำไปสู่ประสิทธิภาพ
และประสิทธิผลในการปฏบิ ตั ิภารกจิ ของหน่วยงานหรอื องค์กร
การบริหารงานวิชาการ เป็นงานหนึ่งในหลาย ๆ งานในหน่วยงานหรือสถานศึกษา
ซงึ่ นักการศึกษาใหค้ วามหมายไวน้ านาทศั นะ ดงั นี้
ภญิ โญ สาธร (2523 : 436) เห็นวา่ การบริหารงานวิชาการ หมายถงึ การบรหิ ารกจิ กรรมทุกชนิด
ในสถานศกึ ษาทีเ่ ก่ยี วกบั การปรบั ปรุงพฒั นาการสอนให้เกิดผลดีแก่นกั เรียน และมปี ระสทิ ธิภาพสงู สดุ
อุทัย ธรรมเตโช (2531 : 76) กล่าวถึงการบริหารงานวิชาการว่าเป็นการบริหาร
กจิ กรรมทุกชนิดทเี่ กี่ยวกบั การพฒั นาปรับปรงุ การเรยี นการสอนให้ไดผ้ ลดี และมปี ระสทิ ธภิ าพสงู สุด
ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์ (2535 : 16) ได้แสดงทัศนะว่า การบริหารงานวิชาการ มองในแง่
ของกระบวนการ หมายถงึ กระบวนการบริหารกจิ กรรมทุกอยา่ งท่ีเกี่ยวข้องกับการปรับปรุงการเรียน การสอน
ให้ดีข้นึ ต้ังแต่การกำหนดนโยบาย การวางแผน การปรบั ปรงุ พัฒนาการเรียนการสอน ตลอดจน การประเมนิ ผล
การสอน เพื่อให้เป็นไปตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตรและจดุ มุ่งหมายของการศึกษา เพ่อื ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
กบั ผเู้ รียน
อำภา บุญช่วย (2537 : 2) กล่าวว่า การบริหารงานวิชาการ เป็นการบริหารที่มีความ
ยุ่งยาก เพราะเก่ยี วข้องกับหลักสตู รและการสอน ผบู้ รหิ ารตอ้ งใช้ความพยายาม และความสามารถอยา่ งมาก
ในการนำคณะครแู ละผู้เกีย่ วขอ้ ง เพ่อื ดำเนนิ การจัดการเรียนการสอนให้บรรลจุ ุดมงุ่ หมายของหลกั สตู ร
ภาวิดา ธาราศรีสุทธิ (2550 : 3) กล่าวว่า การบริหารงานวิชาการ หมายถึง
การบริหารงานหรือดำเนินงานทุกชนิดในสถานศึกษา เพื่อพัฒนาการเรยี นการสอนใหเ้ กิดประสิทธิภาพ และ
ประสิทธผิ ลสูงสดุ โรงเรียนเป็นหนว่ ยปฏิบัติการที่มีหนา้ ที่ และภาระกิจโดยตรงในการจัดการศึกษา มีหน้าที่
พัฒนานกั เรียนให้มีความรู้ความสามารถ นำไปใช้ในการดำรงชวิ ิตไดอ้ ย่างมคี ณุ คา่ และมศี ักดศ์ิ รี
จึงสรุปได้ว่าการบริหารงานวิชาการ หมายถึง กระบวนการจัดกิจกรรมในงานวิชาการ
ซึ่งเป็นภารกิจหลักให้เกิดการปรับปรุงพัฒนาและเป็นประโยชน์สูงสุดแก่ผู้เรียนหรือผู้รับบริการ
กระบวนการดังกล่าวนี้ ได้แก่ การวางแผน การจัดระบบโครงสร้าง และการกำหนดบทบาทหน้าท่ี
การจัดดำเนินงานทางวิชาการ การผลิตสื่อและอุปกรณ์การศึกษา การวัดและประเมินผล
การจัดบรรยากาศเพื่อส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพทางวิชาการ การจัดแหล่งหรือศูนย์สารสนเทศ
รวมทง้ั การจดั สง่ิ อำนวยความสะดวกอนื่ ๆ และการนิเทศภายในเพ่อื ให้งานวิชาการมคี ณุ ภาพ
2. หลักการบริหารงานวชิ าการ
หลักการบริหารงานวิชาการเป็นแนวคิดเพื่อปฏิบัติไปสู่ความสำเร็จในการบริหารงานวิชาการ
จำเปน็ ตอ้ งมีหลักการท่สี ำคัญ ๆ ดังน้ี
2.1 หลักการพัฒนาคุณภาพ (Quality Management) เป็นการบริหารงานเพื่อนำไปสู่ความ
เป็นเลิศทางวิชาการ องค์ประกอบของคุณภาพที่เป็นตัวชี้วัดคือผลผลิตและกระบวนการเป็นปัจจัยสำคัญ
ที่ทำให้บุคลากรและผู้รับบริการได้รับความพึงพอใจ พัฒนาศักยภาพ เป็นที่ยอมรับของสังคมในระดับสากล
มากขึ้น โดยอาศัยกระบวนการประกันคุณภาพการศึกษา ได้แก่ การควบคุมคุณภาพ การตรวจสอบคุณภาพ
และการประเมินคุณภาพ
หลักการไคเซ็น (KAIZEN) มีเป้าหมายในการเสนอแนะเพื่อแสดงถึงคุณภาพไว้ 6 ประการ
(รุ่ง แกว้ แดง. 2538 : 144-145)
1) ผลผลิตเพ่ิมข้ึน
2) คุณภาพสูงขึน้
3) ตน้ ทนุ ลดลง
4) ตรงตามเวลาที่กำหนดหรอื ประหยัดเวลามากขึ้น
5) มคี วามปลอดภยั มากขนึ้
6) บคุ ลากรและผู้รบั บริการมีขวญั และกำลงั ใจสงู ขน้ึ
หลกั การของไคเซ็นมกี ระบวนการ 7 ข้นั ตอน ดังนี้
1) สงั เกต ค้นหาจดุ ท่ีเป็นปัญหา เช่น ความสญู เปลา่ ความไม่สมำ่ เสมอ สดุ วิสัย
เช่น ปัญหาดา้ นคณุ ภาพ ต้นทุนสงู ความปลอดภัยนอ้ ย เวลาตอ้ งล่าชา้ อยู่เปน็ ประจำ
2) สบื สวน ตรวจตรา สภาพการณป์ จั จุบนั
3) คดิ คน้ ออกความคดิ วา่ หากทำเชน่ น้แี ลว้ จะเป็นอย่างไรบ้าง
4) สะสาง การจัดระบบ จัดหมวดหมู่
5) ปฏบิ ัติ ดำเนินการปรับปรงุ โดยทดลองทำและสงั เกตดวู ่าดหี รือไม่ดีอยา่ งไร
6) ตดิ ตามตรวจสอบประสทิ ธิผล จนกวา่ ผลลพั ธ์จะคงท่ี
7) สรุป ทำรายงาน เขยี นข้อเสนอแนะ
2.2 หลักการมสี ่วนรว่ ม (Participation) การปรบั ปรุงคุณภาพของกระบวนการบริหารได้พัฒน
ามาอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอตลอดเวลา โดยทุกคนในหน่วยงานมีส่วนร่วมเสนอแนะปรับปรุงและพัฒนา
หลักการมีส่วนร่วมต้องการให้ทุกคนได้ร่วมกันทำงานซึ่งลักษณะของงานวิชาการต้องอาศัยความร่วมมือจาก
หลายฝ่าย อาจดำเนินงานในรูปของคณะกรรมการวิชาการ ซึ่งจะมีเป้าหมายการทำงานร่วมกัน
นำไปสู่การพฒั นาคุณภาพไดม้ ากขนึ้ การมีสว่ นรว่ มต้องเรมิ่ จาก การรว่ มคดิ รว่ มทำ และร่วมประเมินผล
2.3 หลักการ 3 องค์ประกอบ (3-Es) ไดแ้ ก่ ประสทิ ธิภาพ ประสทิ ธผิ ล และประหยัด
1) หลักประสิทธิภาพ (Efficiency) หมายถึง การปฏิบัติตามแผนที่กำหนดไว้
เป็นไปตามข้ันตอนและกระบวนการ มปี ญั หาและอุปสรรคอย่างไรในขณะดำเนินการกส็ ามารถปรบั ปรุงแก้ไขได้
มีประสิทธิภาพเน้นไปที่กระบวนการ (Process) การใช้กลยุทธ์และเทคนิควิธีต่าง ๆ ที่ทำให้บรรลุ
วตั ถปุ ระสงคม์ ากท่ีสดุ
2) หลักประสิทธิผล (Effectiveness) หมายถึง ได้ผลผลิต (Outputs) ตามวัตถุประสงค์
ที่กำหนดไว้ ตรงตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตร มีความรู้ความสามารถ มีทักษะเพิ่มขึ้น รวมทั้งการคำนึงถึง
ประโยชน์ทีไ่ ด้รับอยา่ งไรกต็ ามมกั ใช้คำสองคำน้คี วบคู่กนั คือมีประสทิ ธิภาพและ ประสทิ ธผิ ล
3) หลกั ประหยดั (Economy) หมายถึง การใช้เวลาน้อย การลงทุนน้อย การใช้กำลงั หรอื
แรงงานน้อย โดยไม่ต้องเพิ่มทรัพยากรทางการบริหาร แต่ได้ผลผลิตตามที่คาดหวัง ดังนั้น การลงทุนในทาง
วิชาการจึงต้องคำนึงถึงความประหยัดด้วยเช่นเดียวกัน ผู้บริหารจะใช้กลวิธีอย่างไร ในการบริหาร
เพอื่ พัฒนาคุณภาพโดยอาศยั ความประหยัดบุคลากร งบประมาณ วสั ดุและเทคโนโลยี และใช้เวลาน้อยอีกด้วย
2.4 หลักความเป็นวิชาการ (Academic) หมายถึง ลักษณะที่ครอบคลุมเนื้อหาสาระ
ของวิชาการ ได้แก่ หลกั การพัฒนาหลักสูตร หลกั การเรยี นรู้ หลักการสอน หลักการวัดผลประเมนิ ผล หลักการ
นิเทศการศึกษาและหลักการวิจัย เป็นต้น หลักการต่าง ๆ เหล่านี้เป็นองค์ประกอบสำคัญ ก่อให้เกิดลักษณะ
ความเปน็ วิชาการที่ตอ้ งอาศัยองคค์ วามรูเ้ พื่อทำให้เกิดการเปล่ยี นแปลงและสรา้ งสรรค์
สรุปได้ว่า หลักการบริหารงานวิชาการต้องคำนึงถึงการพัฒนาสู่ความเป็นเลิศ
ทำให้ดีที่สุดนำไปสู่คุณภาพที่คาดหวัง คำนึงถึงวัตถุประสงค์และเป้าหมายของการศึกษา โดยให้บุคลากร
ทุกฝ่ายได้รับผิดชอบร่วมกันทำให้ผลผลิตมีคุณภาพ คำนึงถึงประสิทธิภาพประสิทธิผลและความประหยัด
การดำเนินงานทางวิชาการโดยอาศัยหลักการดังกล่าวย่อมจะสามารถบรรลุความสำเร็จคือความเป็นเลิศทาง
วิชาการ (Academic Excellence)
3. ทฤษฎีทางการบริหาร
การบริหารงานวิชาการจำเป็นต้องนำศาสตร์และศิลป์มาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับธรรมชาติ
ขององค์การ ผบู้ ริหารตอ้ งสร้างทักษะในการบรหิ าร เพอื่ พฒั นาองค์การให้มปี ระสิทธภิ าพสงู สุด ทฤษฎีทางการ
บริหารท่นี ำมากล่าวถึงมีดงั น้ี
3.1 การบริหารเชิงวิทยาศาสตร์ (Scientific Management) ผู้ก่อตั้งคนแรกของความคิดน้ี
และได้นำมาใช้ได้ เปน็ ผลสำเร็จ ไดแ้ ก่
Frederick W. Taylor มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดสิ่งที่ต้องการไว้ สำหรับการปฏิบัติงาน
แทนที่ผู้ปฏิบัติงานต้องทำตามตนเองคิด เทเลอร์ พยายามหาวิธีที่ดีที่สุด ซึ่งได้หลักการมีขั้นตอน
ดังน้ี (Hampton, 1986 : 60)
1) การวิเคราะห์งาน (Analyze task) ผู้บริหารจะต้องทำการวิเคราะห์งานก่อนว่ามี
องค์ประกอบหรือส่วนงานอะไรบ้าง มีมาตรฐานอะไรบ้าง อุปกรณ์เครื่องมือ และการจัดเวลารวมทั้งเวลา
พักผ่อน และเวลาท่ยี ดื หยนุ่ ได้
2) กำหนดคุณสมบัติของบุคคลเข้าปฏิบัติงาน (Design one best way to perform
it) ผู้บริหารต้องพิจารณาว่าบุคคลที่มีคุณลักษณะเช่นไร มีความเหมาะสมกับงาน โดยพิจารณา ทั้งด้าน
ความสามารถทางสตปิ ญั ญาและความสามารถทางรา่ งกาย วุฒิการศึกษา อายุ และประสบการณ์ เปน็ ตน้
3) คัดเลือกบุคคล (Select workers) เป็นขั้นที่ผู้บริหารต้องคัดเลือกบุคคลเข้าทำงาน
โดยใช้เกณฑค์ ุณสมบัตทิ ก่ี ำหนดไว้
4) ฝกึ อบรมบคุ ลากร (Train workers) เพื่อใหบ้ ุคลากรมีทักษะการปฏบิ ัตงิ าน จำเป็นต้อง
มีการแนะนำ ชี้แจง ฝึกประสบการณ์ ให้เกิดความชำนาญ โดยอาศัยการอบรม หรือการประชุม การสัมมนา
เพื่อทำงานใหบ้ รรลุเปา้ หมาย
5) การให้สิ่งจูงใจหรือแรงเสริม (Pay incentives) ผู้บริหารต้องจัดค่าตอบแทนให้
บุคลากรเพื่อจูงใจในการปฏิบัติงาน สร้างความพึงพอใจแก่บุคลากรทุกฝ่าย และเป็นการเพิ่ม ประสิทธิผล
อกี ดว้ ย
การปฏิบัตงิ านตามหลักการห้า ขั้นตอนน้ี ทำให้เทเลอร์ประสบความสำเร็จ และมีผลผลติ
เพิ่มขึ้นบุคลากร มีความพึงพอใจไม่เหนื่อยหน่ายปฏิบัติงานด้วยความกระตือรือร้น ผู้บริหารยังต้องทำหน้าที่
วางแผน จัดองค์กร ให้คำชี้แนะ และควบคุมการปฏิบัติงาน ซึ่งสามารถนำหลักการ ดังกล่าวของเทเลอร์
ไปใช้กับการบริหารงานวชิ าการได้เช่นเดียวกัน
3.2 ทฤษฎีการบริหารเชิงการจัดการ (Administrative Management) ผู้คิดค้นหาวิธีการ
บรหิ ารงานใหป้ ระสบความสำเร็จ และคดิ ในเร่อื งการจัดการ ไดแ้ ก่
Henri Fayol โ ด ย เ น ้ น ใ ห ้ ค ว า ม ส ำ ค ั ญ ก ั บ ห น ้ า ท ี ่ ท า ง ก า ร บ ร ิ ห า ร จ ั ด ก า ร
ซ่ึงมีหลกั การดงั ตอ่ ไปนี้ (Hampton. 1986 : 61-62)
1) การแบ่งงาน (Division of work) เป็นการกำหนดภารกิจและความรับผิดชอบ
ให้บุคลากร
2) มอบอำนาจความรับผิดชอบ (Authority) ให้ผู้ปฏิบัติได้ทำตามบทบาทหน้าที่และ
รบั ผิดชอบต่อผลท่เี กดิ ขึน้ รวมท้ังคำนงึ ถึงการให้รางวลั และผลตอบแทนที่เหมาะสม
3) กฎ ระเบียบ (Discipline) จัดให้มีกฎ และระเบียบ หรือข้ อตกลงร่ว มกัน
ระหวา่ งผบู้ รหิ ารและผูป้ ฏบิ ตั ไิ ดเ้ ข้าใจตรงกนั และจำเปน็ ตอ้ งอาศยั การแนะนำ การนเิ ทศทดี่ ี
4) เอกภาพการสั่งการ (Unity of command) งานควรได้รับคำแนะนำ หรือคำสั่งจาก
ผบู้ รหิ ารหรอื หวั หน้างานเทา่ นนั้
5) เอกภาพของการกำหนดทิศทาง (Unity of direction) ผู้บริหารต้องกำหนดทิศทาง
เป้าหมาย แต่ละงานให้ตรงตามวัตถุประสงค์ ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยการประสานงาน การสร้าง
เอกภาพและการเนน้ การปฏิบัติ
6) การรวมความสนใจของแต่ละคนให้เป็นหนึ่งเดียว (Subordination of individual
interests to general interest) ความทะเยอทะยาน ความเห็นแก่ตัว ความขี้เกียจ ความอ่อนแอ
ความเบื่อหน่าย และสิ่งไม่พึงประสงค์ ของบุคคลเป็นสาเหตุมีผลต่อพฤติกรรมองค์การโดยส่วนรวม
ผู้บริหารจำเปน็ ตอ้ งละลายสง่ิ เหล่านน้ั ใหห้ มดไปและสร้างตัวอยา่ งทดี่ แี ละการนเิ ทศทเี่ หมาะสมและยุติธรรม
7) การให้รางวัลหรือค่าตอบแทนแก่บุคลากร (Remuneration of personnel)
ผ้บู รหิ ารจดั รางวลั หรือคา่ ตอบแทนทเ่ี หมาะสม ซงึ่ จะชว่ ยให้มีขวัญกำลังใจในการปฏบิ ตั ิงานดขี ้ึน
8) การรวมศูนย์ (Centralization) องค์การจำเป็นต้องมีการประสานงาน การสั่งการ
โดยอาศัยส่วนกลางอย่างไรก็ตามอาจมีความจำเป็นต้องกระจายอำนาจหรือความรับผิดชอบขึ้นอยู่กับ
สถานการณแ์ ละลักษณะงานการรวมศูนยจ์ ะทำให้สามารถกำหนดศกั ยภาพของบคุ ลากรไปในทศิ ทางเดยี วกนั
9) สายงานของการบริหาร (Scalar chain) เป็นการกำหนดสายบงั คับบัญชาจากเบ้อื งบน
สู่ระดับล่าง ซึ่งจะช่วยกำหนดทิศทางให้มีเอกภาพมากขึ้น อย่างไรก็ตามการที่มีสายงานบริหารยาวเกินไป
การสือ่ สารก็ยอ่ มมอี ปุ สรรค และการตัดสินใจทไี่ ม่ดี ส่งผลตอ่ การบรหิ ารจัดการด้วยเช่นเดียวกัน
10) การลำดับขั้นการบังคับบัญชา (Line order) เป็นการวางคนให้เหมาะกับสายงาน
เดียวกนั ไดเ้ พอ่ื สะดวกตอ่ การประสาน กำกบั ตดิ ตามผล
11) ความเท่าเทยี มกัน (Equity) ผู้บริหารตอ้ งให้ความเท่าเทียมและยุตธิ รรมแก่ผู้ใต้บังคับ
บญั ชา ซึง่ ผลตอ่ ความซ่ือสตั ยแ์ ละการปฏิบตั งิ านที่ดี
12) ความมีเสถียรภาพของบุคลากร (Stability tenure of personnel) ผู้บริหาต้อง
คำนึงถึงเสถียรภาพหรือความมั่นคงในการปฏิบัติงานของบุคลากร การเปลี่ยนแปลงหน้าที่รับผิดชอบบ่อย ๆ
ยอ่ มส่งผลต่อการทำลายขวัญและประสิทธภิ าพ
13) ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ (Initiative) ผู้บริหารจำเป็นต้องให้ผู้ปฏิบัติงานแต่ละคนได้
ริเริ่มสร้างสรรค์ให้สามารถทำงานได้บรรลุเป้าหมายมากที่สุด โดยการร่วมคิด ร่วมวางแผน ร่วมปฏิบัติ
และรว่ มประเมนิ ผล เปน็ ตน้
14) การพัฒนาทีมงาน (Espirit de corps) ผู้บริหารจำเป็นต้องสร้างทีมงานที่เข้มแข็ง
เพือ่ นำไปสู่ความรว่ มมือและการประสานงานทด่ี ี
องคป์ ระกอบทงั้ 14 ประการนีจ้ ะทำใหก้ ารบริหารงานมปี ระสทิ ธิภาพมากข้ึน
Gulick and Urwick ไ ด ้ ส ร ุ ป เ ป ็ น แ น ว ค ว า ม ค ิ ด ท า ง ก า ร บ ร ิ ห า ร โ ด ย ใ ช ้ ค ำ ย่ อ
วา่ “POSDCoRB” ได้แก่
P = Planning การวางแผน หมายถงึ การจดั วางโครงการและแผนการปฎิบัตงิ านของ
องคก์ ารไว้ล่วงหนา้ วา่ จะต้องทำอะไรบา้ งและทำอยา่ งไร เพื่อใหบ้ รรลุเป้าหมายทว่ี างไว้
O = Organizing การจัดองค์การ หมายถึง การกำหนดโครงสร้างขององค์การ การ
แบ่งสว่ นงาน การจดั สายงาน การกำหนดตำแหนง่ และหนา้ ท่ขี องงานต่างๆ อยา่ งชดั เจน
S = Staffing การจัดตัวบุคคล หมายถึง การบริหารงานบุคคลในด้านต่างๆ ของ
องค์การ ได้แก่ การวิเคราะหอ์ ัตรากำลัง การจัดอัตรากำลงั การสรรหา การพัฒนาบคุ คล การบำรุงรักษา
บุคคลให้มปี ระสทิ ธิภาพ
D = Directing การอำนวยการ หมายถงึ การวนิ ิจฉัยส่ังการของผู้บริหารองค์การ ใน
การตัดสินใจ การควบคมุ บงั คบั บัญชาและควบคุมการปฎบิ ัตงิ าน
Co = Co-ordinating การประสานงาน หมายถึง การติดต่อประสานงานที่เชื่อมโยง
งานของทกุ คน ทุกฝา่ ยทง้ั ภายในและภายนอก เพื่อใหง้ านดำเนินไปสเู่ ปา้ หมายทีก่ ำหนดไว้
R = Reporting การรายงาน หมายถงึ การรายงานผลการปฎบิ ัตงิ านของหน่วยงานให้
ผบู้ ริหารและสมาชิกขององค์การไดท้ ราบความเคลอ่ื นไหวและความเป็นไปของหน่วยงาน
B = Budgeting การงบประมาณ หมายถึง การจัดทำงบประมาณ การทำบญั ชี การ
ใชจ้ า่ ยเงินและการควบคมุ ตรวจสอบด้านการเงินและทรัพย์สนิ ขององค์การ
ดังนั้น การบริหารงานวิชาการจึงต้องนำ หลักการดังกล่าวน้ี ไปประยุกต์ใช้
เพื่อใหง้ านวชิ าการใหม้ ีประสทิ ธภิ าพและประสิทธิผลสูงสุด
3.3 ทฤษฎกี ารบรหิ ารเชิงมนุษยสัมพันธ์ (Human Relations) เปน็ ทฤษฎีการบรหิ ารเน้นความ
สัมพนั ธข์ องบคุ คล ปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคลากรหรอื ผู้บรหิ ารกับผู้รว่ มงาน ผใู้ ห้ความคดิ นไ้ี ดแ้ ก่
Elton Mayo ให้ความสำคัญกับความรู้สึกที่มีต่อกัน เน้นองค์ประกอบทางด้านสังคม
และจิตวิทยาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของผลผลิตและส่งเสริมความมีชีวิตที่ดี เมโย ได้กล่าว ไว้ว่า
“คนไม่ได้ถูกแยกให้มีความโดดเดี่ยวลำพัง ซึ่งแสวงหาหรือสนใจแต่รายได้หรือการงาน แต่เขายังต้องเป็น
สมาชกิ อยูก่ ับกลมุ่ ตอ้ งการความพึงพอใจจากสงั คมอกี ด้วย”
เมโย ไดส้ รุปปจั จัยท่ีสำคัญและเป็นองคป์ ระกอบตอ่ ประสทิ ธภิ าพขององคก์ ารไว้ดงั น้ี
1) ขวญั (Moral) บคุ ลากรจะต้องมีขวัญและกำลังใจที่ดีในการทำงาน ผบู้ รหิ ารต้องคำนึงถึง
ขวัญและกำลังใจ โดยการสรา้ งมนุษยสัมพนั ธ์ท่ีดีกบั ผรู้ ่วมงาน
2) ระดับความปรารถนา (Level of aspiration) ทกุ คนมคี วามปรารถนาต่อชวี ิตเพื่อสร้าง
คุณภาพชีวิตที่ดีแก่ตนเองและครอบครัว หรือสังคม ดังนั้น การตั้งความหวัง เพื่อพัฒนาไปสู่ ความปรารถนา
สงู สุดย่อมเปน็ แรงผลกั ดันให้การปฏบิ ัติงานมีความสำเร็จ
3) ความตระหนักในตนเอง (Self-realization)บุคลากรจะต้องสร้างความตระหนักใน
บทบาทและหน้าที่ ผู้บริหารต้องเห็นความสำคัญของทุกคน ทุกส่วน ประกอบกันในองค์การ การรู้และเข้าใจ
ในหน้าทข่ี องตนเอง จะเป็นพ้ืนฐานในการปฏบิ ัตงิ านร่วมกนั
4) ความรู้สึกเป็นเจ้าของ (Sense of belonging) การให้ทุกคนมีความรู้สึกเป็นเจ้าของ
จะสร้างความผูกพันต่อองค์การมากขึ้น มนุษยสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานดี มีความอบอุ่น มีชีวิตชีวาทำให้รู้สึก
เป็นเจ้าของ ต้องการใหอ้ งค์กรทีป่ ฏบิ ตั ิงานประสบความสำเรจ็ และไม่ละทงิ้ หนา้ ท่ีของตนเอง
5) การมีส่วนร่วมในการทำงาน (Participation)ผู้บริหารต้องเปิดโอกาสให้บุคลากร
มีส่วนร่วมในการคิด วางแผนแก้ปัญหาที่อาจเกิดขึ้น ร่วมปฏิบัติ และร่วมประเมินผล การมี
มนษุ ยสัมพนั ธท์ ่ีดี กอ่ ให้เกดิ ความรว่ มมอื และก่อใหเ้ กิดผลต่อองค์ประกอบอน่ื ๆ ทก่ี ลา่ วมาแล้วอกี ดว้ ย
3.4 ทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการของมาสโลว์
Maslow’s เชื่อว่าความปรารถนาของมนุษย์นั้นติดตัวมาแต่กำเนิดและความปรารถนา
เหล่านี้จะเรยี งลำดับขน้ั ของความปรารถนา ตง้ั แต่ขัน้ แรกไปส่คู วามปรารถนา ขน้ั สงู ขึ้นไปเป็นลำดับ
มาสโลว์ จึงเรียงลำดับความต้องการของมนุษย์จากขั้นต้นไปสู่ความต้องการขั้นต่อไปไว้เป็น
ลำดับดงั น้ี
ข้ันที่ 1 ความตอ้ งการทางกาย (Physiological Needs) คือความต้องการปัจจยั พื้นฐานใน
การดำรงชวี ิต
ขั้นท่ี 2 ความต้องการความ มั่นคงปลอดภัย (Safety and Security Needs) คือความ
ต้องการทีจ่ ะมีชีวิตท่มี ัน่ คง ปลอดภัย
ขั้นท่ี 3 ความต้องการความรักและการเป็นที่ยอมรับของกลุ่ม (Love and Belonging
Needs) มนุษย์เม่ือเข้าไปอยูใ่ นกลุม่ ใดก็ตอ้ งการให้ตนเปน็ ทร่ี กั และยอมรับในกลุ่มที่ตนอยู่
ขั้นท่ี 4 ความต้องการได้ รับการยกย่องจากผู้อื่น (Self -Esteem Needs) เป็นความ
ต้องการในลำดับต่อมา ซึ่งความต้องการในชั้นน้ีถา้ ได้รับจะกอ่ ให้เกดิ ความภาคภมู ใิ จใจตนเอง
ขึ้นท่ี 5 ความต้องการในการเข้าใจและรู้จักตนเอง (Self-Actualization Needs) เป็น
ความตอ้ งการช้ันสงู ของมนุษย์ ซึง่ นอ้ ยคนที่จะประสบไดถ้ งึ ข้นั น้ี
ลำดบั ข้ันความตอ้ งการของมาสโลว์ มกี ารเรยี งลำดับข้ันความต้องการที่อยู่ในข้นั ต่ำสดุ จะตอ้ ง
ไดร้ ับความพงึ พอใจเสยี ก่อนบคุ คลจึงจะสามารถผา่ นพน้ ไปสู่ความต้องการท่อี ยใู่ นขัน้ สูงขนึ้ ตามลำดับ
3.5 ทฤษฎี X และทฤษฎี Y ของแมก็ เกรเกอร์
แม็กเกรเกอร์ (Douglas McGregor’s) เป็นนักทฤษฎใี นแนวทาง Humanism แบ่งการ
บริหารออกเปน็ สองลักษณะคือ
1.) การบรหิ ารตามทฤษฎี X มีลักษณะสำคัญคือ
– จัดกระบวนการความรับผิดชอบใหช้ ัดเจน
– สร้างการยอมรับซึ่งกนั และกันของคณะผรู้ ่วมปฏิบัตงิ าน มีกระบวนการเปลย่ี นแปลง
บุคลกิ หรอื พฤติกรรมของคนใหเ้ ข้ากบั องค์การ
– มหี ลักการให้กำลงั ใจใหร้ างวัล ควบคมุ ลงโทษ แนะนำ เพ่อื ให้คนแสดงพฤติกรรมได้
อย่างถูกต้อง (ใชห้ ลักการจงู ใจท้ังทางบวกและทางลบ)
พื้นฐานของทฤษฎี X เชื่อว่า มนษุ ยข์ าดความเชอื่ มัน่ ในตวั เอง ไม่กลา้ และไม่อยากรบั ผดิ ชอบ
ไม่อยากทำงานคอยแตจ่ ะหลบหลกี จงึ ต้องมีระบบทเ่ี คร่งครดั บังคบั ใหม้ นุษยท์ ำงานตามที่ระบบต้องการได้
2.) การบรหิ ารตามทฤษฎี Y มีลกั ษณะสำคัญคือ
– เป็นความรบั ผดิ ชอบของผปู้ ฏิบัตงิ าน ระบบไม่ตอ้ งทำอะไร มนษุ ย์มคี วามรบั ผิดชอบ
สูง อยากทำงาน อยากแสดงความสามารถ ระบบไมต่ ้องไปควบคมุ อะไรมนุษย์จะทำงานเอง
– ใช้หลักการตกลงรว่ มกันระหว่างฝา่ ยบรหิ ารกบั ฝา่ ยปฏบิ ัติ ปรกึ ษาหารือกันก่อน
ทำงานวา่ ใครจะทำอะไร ที่ไหน อยา่ งไร
– ไม่ใช้วธิ ีบงั คับ แต่ใชห้ ลักการกระตนุ้ ยวั่ ยุให้เกิดกำลังใจ
– งานทจ่ี ำเป็นทส่ี ุดคือการจดั เงอ่ื นไขในระบบงานและวธิ ีการ
– ใชห้ ลักความสมั พนั ธ์อยา่ งสูงกบั การคิดคน้ ส่งิ ใหม่ ๆ เปิดโอกาสให้คนทำงานไดใ้ ช้
ความคิดอย่างเต็มที่
– นักบริหารตอ้ งนำพลงั แห่งความเฉลียวฉลาดแหง่ สมาชกิ ท่ีแฝงอยู่ในตวั ทุกคนมาใช้
นกั บรหิ ารตอ้ งใช้ศิลปะในการบริหารอยา่ งสูง จะมาใช้อำนาจเหมือนในทฤษฎี X ไม่ได้
การวางแผนการบรหิ ารงานวชิ าการ
1. การวางแผนระบบงานวิชาการ
1.1 จัดระบบบรหิ ารงานวชิ าการ เปนหมวดวิชา
1.2 รวบรวมและจดั ทําระเบยี บ แนวปฏบิ ัตเิ กีย่ วกบั วิชาการและประชาสัมพันธให ครนู ักเรียน
และผูปกครอง ทราบ
1.3 จดั ทาํ เอกสารคูมือครแู ละคมู ือนักเรยี น เผยแพรใหผูทเี่ ก่ยี วของทราบ
1.4 จดั ทาํ ปฏิทินปฏิบตั ิงานดานวชิ าการ
1.5 วางแผนงานดานงบประมาณ คาใชจายในการบรหิ ารงานวิชาการประจําป
1.6 จดั ทาํ แผนงาน โครงการทางวชิ าการ
1.7 จัดบุคลากร ประสานงานกบั แหลงวิชาการนอกโรงเรยี น
2. การจัดแผนการเรียน
2.1 จัดแผนการเรียนใหสนองจุดมุงหมาย หลักการ และโครงสรางของหลักสูตร
โดยคํานึงถึงความพรอมดานอาคารสถานท่ี บุคลากร วัสดุอุปกรณ และความเหมาะสมกับ สภาพแวดลอม
และสอดคลองกบั ความตองการของชุมชน และทรัพยากรของทองถิ่น
2.2 จัดเก็บรวบรวมขอมูลเกี่ยวกับนักเรียน ผูปกครอง ชุมชน และทองถิ่นที่เปนประโยชน
ตอนักเรยี น คร-ู อาจารย
2.3 จัดปฐมนิเทศนักเรียน และผูปกครองเกี่ยวกับการจัดแผนการเรียน การเลือก
แผนการเรยี น และการลงทะเบยี นเรยี น
2.4 พิจารณาเลอื กใชแบบเรยี นและหนงั สืออานประกอบ
2.5 ประสานแผนการเรียนกับสถาบนั อนื่ ๆ เพอื่ การศกึ ษาตอ หรอื ประกอบอาชีพ
3. การจดั ตารางการเรยี นการสอน
3.1 จัดใหมีตารางสอนประเภทตางๆ เชน ตารางสอนประจําชั้นตารางสอนของครู แตละคน
ตารางสอนประจําหมวดวชิ า ตารางสอนรวม
3.2 จัดใหมีตารางการใชหองเรียน และอาคารสถานที่ตางๆ การติดตามและ ประเมินผล
การจดั ตารางการสอน
3.4 การปรับปรงุ การจดั ตารางการสอน การสอนซอมเสริม
4. การจดั ครเู ขาสอน
4.1 จัดครูเขาสอนใหตรงตามวุฒิ หรือประสบการณ
4.2 จดั เฉลี่ยครูใหเพยี งพอในแตละหมวดวิชา
4.3 จัดครหู รอื สอ่ื การสอนแทนกรณที ม่ี ีครูไปราชการ
5. การพัฒนาการเรียนการสอน
5.1 สงเสริมใหครูนําวิธีการสอนแบบตางๆ มาใชใหเหมาะสมกับเนื้อหาวิชาพรอม ทั้งใหครู
รจู ักนาํ นวัตกรรมทางการศกึ ษามาใช และเนนใหครจู ดั การเรียนการสอนเพ่ือเสริมสรางคณุ ธรรม และจริยธรรม
5.2 ควบคมุ การสอนใหเปนไปตามจุดประสงคของการเรียนรูของแตละวชิ า
5.3 จัดให้มบี ริการแนะแนวการเรยี นตอ่ และแนะแนวอาชีพ
5.4 จดั กิจกรรมเพ่อื สงเสรมิ การเรยี นการสอน
6. การจดั การเรียนการสอน
6.1 จัดใหมกี ารทําแผนการสอนและโครงการสอนเปนรายวิชา
6.2 จัดใหครูบนั ทกึ การสอน
6.3 จดั หา ใช บาํ รงุ รกั ษา และสงเสริมการผลติ สือ่ การสอน และอํานวยความ สะดวกในการใช
6.4 จัดหาทรพั ยากร แหลงวิทยาการ สถานประกอบการ และสถานประกอบอาชพี อิสระ
6.5 จดั แหลงเรียนรูและสงเสรมิ ใหคร-ู นักเรียน ไดใชแหลงเรยี นรูใหเกดิ ประโยชน
6.6 จัดทําแผนการใชอปุ กรณภายในโรงเรียน และการใชทรพั ยากรรวมกับ สถานศึกษาอื่น
7. การพัฒนาครูทางดานวชิ าการ
7.1 จัดใหมกี ารนเิ ทศภายใน และจัดทาํ จดั หาเอกสารตางๆ ทางวชิ าการ
7.2 จัดการฝกอบรมครูการประชุมสัมมนาทางวชิ ากาน
7.3 สงเสรมิ ใหครูผลิตเอกสารทางวิชาการ และคนควาวจิ ัย
7.4 สงเสริมใหครไู ดศกึ ษาตอ หรอื ศึกษาดูงาน
8. การจัดกิจกรรมนกั เรยี น
8.1 จัดกิจกรรมนักเรียนใหเหมาะสมกับวัย โดยใหตรงกับความสนใจ และสนองตอ
นโยบายของกระทรวง
8.2 จดั กจิ กรรม เพื่อใหนกั เรยี นสามารถรวมงานกบั ชุมชน
9. การวัดผลและประเมินผลการเรยี น
9.1 รวบรวมระเบยี บเกยี่ วกบั การวัดผล และประเมนิ ผลการเรยี นการสอน
9.2 ช้ีแจงแนวปฏิบัติ และปฏิทนิ ปฏบิ ตั งิ านเก่ยี วกับการวัดและประเมนิ ผลการ เรียนใหทราบ
โดยทวั่ ถึงกัน
9.3 ดําเนนิ การวัดและประเมนิ ผลการเรียนตามปฏทิ ิน และแนวปฏบิ ัติท่ีกําหนด
9.4 ดําเนินการวเิ คราะหขอสอบ และจัดทําธนาคารขอสอบ
9.5 ติดตามประเมนิ ผล และตรวจสอบหลกั ฐานการวดั ผลการเรยี นการสอน
9.6 สรางและปรับปรุงเครอื่ งมือในการวดั ผลการเรียนการสอนตามจุดประสงคของรายวชิ า
9.7 จัดใหมีเอกสาร หรอื แบบฟอรมเกี่ยวกบั การวดั ผลและประเมนิ ผลการเรียน
9.8 จดั ใหมกี ารรายงานผลการเรยี นตามระเบยี บการวัดผลใหถูกตองเปนปจจุบนั
9.9 ควบคุมและตรวจสอบใหการวัดผลและประเมนิ ผลการเรียนเปนไปตาม ระเบียบ
10. งานทะเบียนนักเรียน จัดใหมีทะเบียนนักเรียน หรือหลักฐานงานทะเบียนนักเรียน
พรอมทง้ั จดั ระบบการ เกบ็ รักษาท ี่ปลอดภยั และใหมรี ะบบการใหบรกิ ารที่ สะดวกรวดเร็ว
11. การประเมินผลงานวิชาการ
11.1 จัดใหมกี ารประเมนิ ผลงานวชิ าการทุกระยะ
11.2 ตรวจสอบหลักฐานการดาํ เนินงานทางวชิ าการ
11.3 วิเคราะหผลการประเมินผลงานวิชาการและนําผลไปใชในการปรับปรุงงาน
วิชาการใหมปี ระสทิ ธิภาพย่ิงขึน้
และลาสุด เมอ่ื กระทรวงศึกษาธิการ (2546) จัดโครงสรางการบรหิ ารงานของกระทรวง ใหม
ไดกําหนดขอบขายของการบริหารงานในสถานศึกษา ดังนี้
1. การพัฒนาหลกั สตู รสถานศึกษา
2. การพัฒนากระบวนการเรยี นรู
3. การวดั ผล ประเมนิ ผล และเทยี บโอนผลการเรยี น
4. การวิจยั เพ่ือพัฒนาคุณภาพการศกึ ษา
5. การพฒั นาสอื่ นวัตกรรม และเทคโนโลยเี พ่ือการศึกษา
6. การพัฒนาแหลงเรยี นรู
7. การนิเทศการศกึ ษา
8. การแนะแนวการศึกษา
9. การพฒั นาระบบประกนั คุณภาพภายในสถานศกึ ษา
10. การสงเสริมความรูดานวิชาการแกชุมชน
11. การประสานความรวมมอื ในการพฒั นาวิชาการสถานศึกษาอน่ื
12. การสนับสนนุ งานวิชาการแกบุคคล ครอบครวั องคกร หนวยงาน และสถาบันอนื่ ท่ี
จัดการศึกษา
สาํ หรับตาํ ราการบริหารงานวิชาการในโรงเรียน ซง่ึ ไดกําหนดใหนกั ศึกษา ไดเรยี น
จะกําหนดขอบขาย ดงั น้ี
1. ความรทู้ ั่วไปเกี่ยวกับบริหารงานวชิ าการ
2. หลักสตู รและการพัฒนาหลกั สูตรสถานศึกษา
3. การพัฒนากระบวนการเรียนรู้
4. การวัดผล ประเมนิ ผล และเทยี บโอนผลการเรียน
5. การวจิ ัยเพอื่ พฒั นาคุณภาพการศึกษา
6. การพัฒนาสอ่ื นวัตกรรม และเทคโนโลยกี ารศึกษา
7. การพัฒนาแหลงการเรยี นรู้
8. การนิเทศการศึกษา
9. การแนะแนวการศกึ ษา
10. การพัฒนาระบบประกนั คณุ ภาพภายในสถานศึกษา
อา้ งอิง
http://old-book.ru.ac.th/e-book/e/EA634/EA634-1.pdf
https://www.gotoknow.org/posts/323090
https://nfmom.wordpress.com/2013/11/26/78/