รายงาน
เร่อื ง กลอนสภุ าพ
จัดทาโดย
เด็กชายชวลั วิทย์ อย่มู ี เลขที่ 13
เดก็ ชายทินภทั ร เครอื แดง เลขที่ 14
เด็กชายนครนิ ทร์ จาเนยี รกาล เลขท่ี ๒๘
ช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ 2/๗
เสนอ
คุณครูลฎาภา เผือกอ่อน
รายงานนเี้ ป็นสว่ นหน่ึงของรายวชิ าภาษาไทย
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศกึ ษา ๒๕๖5
โรงเรียนพิษณุโลกพทิ ยาคม
รายงาน
เร่อื ง กลอนสภุ าพ
จัดทาโดย
เด็กชายชวลั วิทย์ อย่มู ี เลขที่ 13
เดก็ ชายทินภทั ร เครอื แดง เลขที่ 14
เด็กชายนครนิ ทร์ จาเนยี รกาล เลขท่ี ๒๘
ช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ 2/๗
เสนอ
คุณครูลฎาภา เผือกอ่อน
รายงานนเี้ ป็นสว่ นหน่ึงของรายวชิ าภาษาไทย
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศกึ ษา ๒๕๖5
โรงเรียนพิษณุโลกพทิ ยาคม
คานา
รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาภาษาไทย มีวัตถุประสงค์ในการศึกษาค้นคว้า
เรื่อง ประเภทของกลอนสุภาพ (กลอนแปด) ซ่ึงจะกล่าวถึงความหมาย ความสาคัญ ประโยชน์
และตัวอย่าง คณะผู้จัดทาขอขอบคุณ ผู้ที่สนับสนุนและให้ข้อมูลทาให้รายงานนี้มีความสมบูรณ์
คณะผู้จัดทาหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารายงานนี้จะมีประโยชน์ต่อผู้ท่ีสนใจศึกษาค้นคว้าเร่ืองกลอนสุภาพ
(กลอนแปด)
คณะผู้จัดทา
สารบญั
เรอ่ื ง หนา้
คานา ก
สารบัญ ข
บทนา 1
ความหมายของกลอนสุภาพ 4
ความสาคัญและประโยชนข์ องกลอนสภุ าพ 4
ประเภทของกลอนสุภาพ 5
กลอนบทละคร 5
กลอนเสภา 6
กลอนสักวา 7
กลอนดอกสรอ้ ย 8
กลอนนทิ าน 8
กลอนเพลงยาว 9
กลอนนิราศ 9
แตง่ กลอนสักวา 10
บรรณานุกรม 11
บทนา
ความรูท้ ่วั ไปเกยี่ วกับการแตง่ กลอน
กลอน เปน็ คาประพันธ์ที่ไดร้ บั ความนิยมและแพร่หลายมากกว่ารอ้ ยกรองประเภทอน่ื ๆ
ประเภทของกลอน
๑. กลอนสุภาพ เปน็ กลอนทีใ่ ช้ถ้อยคาและทานองเรยี บ ๆ มี ๕ ชนดิ ไดแ้ ก่ กลอนส่ี กลอนหก กลอนเจ็ด
กลอนแปด และกลอนเกา้
๒. กลอนลานา เป็นกลอนทใี่ ช้ขบั ร้องหรอื สวดใหเ้ ป็นทานอง เช่น กลอนเสภา กลอนสกั วา กลอนบท
ละคร กลอนดอกสรอ้ ย
๓. กลอนตลาด เปน็ กลอนทไ่ี มม่ ีกาหนดคาสมั ผัสตายตัวเหมอื นกลอนสุภาพ เชน่ กลอนนิทาน กลอน
เพลงยาว กลอนนริ าศ
การแตง่ คาประพันธ์ประเภทกลอน มคี วามรู้ทว่ั ไปดงั นี้
๑. คา มีการกาหนดจานวนคาที่แนน่ อนในแต่ละวรรคของแตล่ ะคาประพนั ธ์ บางครงั้ อาจมีคาสอง
พยางค์ ถา้ พยางคต์ น้ ประสมสระเสียงสั้นไม่มตี ัวสะกด เชน่ สนุก ขนม คณะ อาจนบั เป็นหนง่ึ คาหรือสอง
คาก็ได้
๒. คณะ เป็นลกั ษณะของคาประพนั ธ์ กลอน ๑ บท จะมี ๔ วรรค แต่ละวรรคจะมชี ่ือเรยี กตา่ งกนั คอื
วรรคที่ ๑ วรรคสดบั วรรคท่ี ๒ วรรครบั วรรคท่ี ๓ วรรครอง วรรคที่ ๔ วรรคส่ง
กลอน ๒ วรรคเทา่ กบั ๑ บาท ๒ บาทเทา่ กับ ๑ บท ตามแผนผงั ตอ่ ไปน้ี
๓. สมั ผสั คือ เสียงพยญั ชนะหรือสระทค่ี ลอ้ งจองกนั ระหวา่ งคา มี ๒ ชนิด คือ
๓.๑ สมั ผสั สระ คือ เสยี งสระเดยี วกันภายในคา โดยมพี ยญั ชนะตน้ ต่างกนั ถา้ เปน็ คาทีม่ ตี วั สะกด
จะต้องเปน็ ตวั สะกดแมเ่ ดียวกัน สว่ นวรรณยกุ ต์จะตา่ งรปู หรือต่างเสียงกนั กไ็ ด้
๑) สมั ผัสสระทไี่ มม่ ตี ัวสะกด เชน่ ดี-ปี โต-โข เก-เฉ คร-ู หนู แน-่ แข
๒) สมั ผสั สระท่ีมตี วั สะกด เชน่ ทกุ ข์-ยคุ ยาม-คร้าม กิน-ศลิ ป์ น่งิ -ทง้ิ
๓.๒ สมั ผัสอกั ษร คอื เสยี งพยัญชนะตน้ เดียวกันภายในคาซงึ่ มเี สียงสระตา่ งกนั จะมีหรอื ไม่มตี วั สะกด
หรอื เสียงวรรณยุกต์กไ็ ด้ ถ้ามเี สยี งสระเดยี วกนั ตอ้ งเปน็ คาทม่ี ตี วั สะกดต่างมาตรากนั อักษรคู่กบั อักษรสูง
ซ่ึงเปน็ คดู่ ว้ ยถือวา่ เปน็ เสยี งพยญั ชนะต้นเดยี วกัน เชน่ ข-ฃ ค-ฅ-ฆ ฉ-ช-ฌ ฐ-ถ-ฑ-ฒ-ท-ธ ผ-พ-
ภ ฝ-ฟ ศ-ษ-ส-ซ ห-ฮ
คาสมั ผัสอกั ษรมหี ลายลักษณะ ดังนี้
๑) สมั ผสั อกั ษรทไี่ มม่ ตี ัวสะกด เชน่ เฉ-ชา โถ-ทา-เธอ ผา-เพาะ-ภู
๒) สัมผัสอกั ษรท่ีมตี ัวสะกด เชน่ ถาก-ถาง ขนั -คาบ-ฆอ้ ง ฝงู -ฟนั
๓) สมั ผสั อกั ษรที่มตี วั สะกดกับไมม่ ตี ัวสะกด เชน่ ฉนั -ชิง-ชา-เฌอ ฝ-ี ฝาก-ฟงั -ฟู ถ-ู ถึง-เฒา่
การแบง่ สมั ผสั สระและสมั ผสั อกั ษร ถา้ เป็นสมั ผสั ภายในวรรคเดยี วกนั เรยี กวา่ สมั ผสั ใน ซง่ึ จะมหี รือไม่มี
ก็ได้ ถา้ เปน็ คาสมั ผัสระหวา่ งวรรค เรยี กวา่ สมั ผัสนอก เป็นสัมผสั บงั คบั ของคาประพนั ธท์ ุกชนดิ ใช้
สมั ผสั สระ
ตัวอย่างสมั ผัสใน
พระฟงั คาอา้ องึ้ ตะลงึ คดิ จะเบือนบดิ ป้องปัดกข็ ดั ขวาง
สงสารลูกเจา้ ลังกาจึงวา่ พลาง เราเหมือนช้างงางอกไมห่ ลอกลวง
สมั ผัสสระ ไดแ้ ก่ คา-อา้ อง้ึ -(ตะ)ลึง ปัด-ขดั (ลงั )กา-วา่ งอก-หลอก
สัมผสั อกั ษร ไดแ้ ก่ อา้ -อง้ึ คา-คดิ เบอื น-บดิ ปอ้ ง-ปดั ขดั -ขวาง สง-สาร ลกู -ลงั (กา) เจา้ -จงึ งา-งอก
หลอก-ลวง
ตวั อย่างสมั ผัสนอก
สมั ผสั นอก ได้แก่ โลม-โฉม หา-(สัจ)จา (สัจ)จา-ผ่า ได-้ ไป อยู่-ศตั รู สตั รู-สู้
สัมผัสระหวา่ งบท คือ ด-ู อยู่
การแตง่ กลอนสภุ าพ (กลอนแปด)
คณะ บทหน่ึงมี ๒ บาท บาทละ ๒ วรรค วรรคละ ๘-๙ คา บาทแรกเรียก บาทเอก บาทสองเรยี ก บาทโท
กลอนแปดนิยมเพิม่ สัมผสั ในเพื่อความไพเราะ อาจเปน็ สมั ผัสสระหรอื สมั ผสั อกั ษรก็ได้ สัมผสั ในมักสง่
สมั ผสั ดงั นี้
เสยี งวรรณยกุ ตท์ ้ายวรรค คอื เสยี งวรรณยกุ ตข์ องคาสดุ ทา้ ยในแต่ละวรรค
วรรคที่ ๑ ใชเ้ สยี งวรรณยุกต์ได้ทกุ เสยี ง ยกเวน้ เสียงสามัญ
วรรคที่ ๒ ใชเ้ สยี งวรรณยกุ ต์เอก โท จตั วา
วรรคท่ี ๓ ใชเ้ สยี งวรรณยกุ ตส์ ามญั และตรี
วรรคท่ี ๔ ใชเ้ สยี งวรรณยุกต์สามญั และตรี
ความหมายของกลอนสภุ าพ
ความหมายของกลอนสุภาพ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้ความหมาย
ของ “กลอนสภุ าพ” วา่ ”น. กลอน เพลงยาว บางครงั้ เรยี กวา่ กลอนตลาด” .
รศ.วิเชียร เกษมประทุม อธิบายในหนังสือ “ลักษณะคาประพันธ์ไทย” ว่า “กลอนแปดเป็น
กลอน สุภาพที่มีผู้นิยมแต่งกนั มากท่ีสุด เนื่องจากมจี านวนคาไม่มากไมน่ อ้ ยเกินไป สามารถเก็บความได้
พอดี ถอื เปน็ กลอนพืน้ ฐานของกลอนต่างๆ”
กรมศิลปากร ได้อธิบายไว้ในหนังสือ การประพันธ์โคลงส่ีสุภาพไว้ว่า คาประพันธ์ ท่ีต่อท้ายว่า
"สุภาพ" นับว่าเป็นคาประพันธ์ที่แสดงลักษณะเป็นไทยแท้ ด้วยมีข้อบังคับในเร่ือง "รูปวรรณยุกต์"
ใน กลอนสุภาพ นอกจากมีบังคับเสียงสระเป็นแบบแผนเช่นกลอนปกติแล้ว ยังบังคับรูปวรรณยุกต์เพมิ่
จึงมี ข้อจากัดท้ังรูปและ เสียงวรรณยุกต์ เป็นการแสดงไหวพริบปฏิภาณและความแตกฉานในการใช้
ภาษาไทย ของผู้แต่งให้เด่นชัด ยิ่งข้ึน กลอนเป็นคาประพันธ์ชนิดหนึ่ง ท่ีมีรูปแบบลักษณะบังคับ
คอื คณะ สัมผสั และเสยี งวรรณยกุ ต์ ซงึ่ เปน็ คาประพันธ์ที่รู้จักกันท่วั ไป กลอนสุภาพ เปน็ กลอนประเภทหนง่ึ
ซ่ึงลักษณะคาประพนั ธ์ ของภาษาไทย ทเ่ี รยี บเรียงเขา้ เปน็ คณะ ใช้ถ้อยคาและทานองเรียบๆ ซ่ึงนบั ได้วา่
กลอนสุภาพเปน็ กลอนหลกั ของกลอนท้งั หมด เพราะเปน็ พ้ืนฐานของกลอนหลายชนดิ หากเข้าใจกลอน
สภุ าพ ก็สามารถเขา้ ใจกลอนอื่นๆ ไดง้ า่ ยขนึ้
กลอนมีที่มาจากนิสัยพ้ืนฐานของคนไทย คือ คนไทยมีนิสัย เจ้าบทเจ้ากลอนนิยมพูดจา
คล้องจองกัน จะเห็นได้จาก บทเพลงต่างๆ สุภาษิต คาพังเพย และสานวนไทย คาคล้องจอง หรือเรียก
อกี อยา่ งหนึ่งวา่ สัมผสั สัมผัสเปน็ ขอ้ บงั คบั อยา่ งหน่ึงของคาประพนั ธ์ ประเภทกลอน
ประโยชน์และคณุ คา่ ของกลอนสภุ าพ
ประโยชน์
ประโยชน์ของบทประพันธ์ทีเ่ ป็นคากลอนมีอยู่ไมน่ อ้ ย เพราะคากลอนทงั้ หลายทีเ่ กีย่ วกับ
ข้อบังคับ เป็นต้นวา่ สัมผัสคล้องจองกัน และวรรคตอนไดจ้ ังหวะ เป็นเหตุให้เอาไปรอ้ งราทาเพลงได้
เปน็ อย่างดี เปน็ ที่ดดู ดื่มหวั ใจผฟู้ งั ไดด้ กี ว่าคาร้อยแกว้ มากและเปน็ เหตใุ หจ้ ดจาไวไ้ ดน้ านหลายช่วั คนดว้ ย
ดงั จะเห็นได้ในคากลอ่ มลูกต่าง ๆ ซึ่งยังจดจากนั ได้ตลอดมาจนบดั น้ี
คุณคา่
1. ฝึกความจา ซึ่งเป็นสิ่งสาคัญย่ิง เพราะมนุษย์ต้องอาศัยความจา เพื่อเป็นเครื่องมือในการ
คดิ วิเคราะห์ คิดสังเคราะห์
2. เป็นการฝึกวนิ ัย เพราะการจะทอ่ งให้จาได้ตอ้ งมวี นิ ัย หม่ันฝึก หม่ันทอ่ งอยเู่ สมอ
3. เป็นการใชเ้ วลาว่างใหเ้ ปน็ ประโยชน์
4. อนุรักษ์วัฒนธรรมไทย ทางดา้ นภาษาใหค้ งอยูต่ ลอดไป
5. ได้รับคติสอนใจจาก บทคาประพันธต์ า่ งๆทีท่ อ่ ง
6. ทาใหเ้ ปน็ คนอารมณด์ ี จากความงามของบทประพนั ธ์ทท่ี อ่ ง
ประเภทของกลอนสภุ าพ
ประเภทของกลอนสุภาพแยกตามจุดประสงค์ของการนาไปใช้คือ กลอนขับร้องและกลอนอ่าน
กลอนขบั รอ้ ง แบง่ ไดเ้ ปน็ 4 ประเภท ดงั นี้
1. กลอนบทละคร คือ กลอนเล่าเร่ือง ใช้เป็นบทแสดงวรรคแรกจะต้องขึ้นต้นด้วย เม่ือน้ัน
บัดนนั้ บัดนี้หรือ มาจะกลา่ วบทไป
แผนผงั กลอนบทละคร
2. กลอนเสภา คือ เปน็ คาประพันธ์ชนดิ หนง่ึ ซึ่งแตง่ เพื่อใช้ขบั เพราะใช้เป็นกลอนขบั จึงกาหนด
คาไม่แน่นอน มุ่งการขับเสภาเป็นสาคัญ จึงใช้คา ๗ คา ถึง ๙ คา การส่งสัมผัสนอกเหมือนกับกลอน
สุภาพ แต่ไม่ บังคับหรือห้ามเสียงสูง ต่า ตามจานวนคาแต่ละวรรค อยู่ในเกณฑ์กลอน ๗-๙ เช่น เสภา
ขุนช้างขนุ แผน มี แผนผังและตวั อย่างดังน้ี
แผนผงั กลอนเสภา
3. กลอนสักวา เป็นบทประพันธ์ชนิดหน่ึง ซ่ึงกาหนดให้แต่งเพียง ๘ วรรค ข้ึนด้วยคาว่า สักวา
แล้วต่อด้วยคาท่ีเหมาะสม วรรคที่ ๒ รับสัมผัสต่อไป เมื่อจบต้องคาว่า เอย คาว่า สักวา และคาว่า เอย
เป็นข้อบงั คบั หลักกลอนท่วั ไป เหมอื นกบั กลอนบทละคร ใช้คาวรรคละ ๖-๙ คา
แผนผังกลอนสกั วา
ตวั อย่างกลอนสักวา ยกยอ่ น่ังนบนอบไหวใ้ จเรียกหา
สักวากราบคุณครูผูส้ อนสงั่ ทา่ นต้องลาลบั ลว่ งไปแหง่ ใด
คุณครูกลิน่ ครอู ินสอนแตก่ ่อนมา ทา่ นเฝา้ คอยฝึกหดั ดัดนสิ ยั
ทา่ นจบั มอื ถือดินสอไม่ทอ้ ถอย ผมอยูไ่ ด้ทุกวนั น้คี รูดเี อย
ครูท่านอ่ืนเรง่ สานตอ่ ไมท่ ้อใจ
4. กลอนดอกสร้อย เป็นกลอนท่ีเเต่งขึ้นเพ่ือขับร้อง กลอนดอกสร้อย ๑ บท มี ๔ บาท จะมี
๒ วรรค ใน ๑ วรรค จะมี ๗-๙ พยางค์ ยกเว้นวรรคท่ี จะมี ๔ พยางค์ และพยางค์ที่ ๒ จะมีคาว่า เอ๋ย
สว่ นวรรคสดุ ทา้ ยของบทจะลงท้ายด้วยคาวา่ เอย เสมอ
การสมั ผัสบงั คบั
๑. พยางค์สุดท้ายของวรรคที่ ๑ บังคับให้สัมผัสกับพยางค์ที่ ๓ ของวรรคที่ ๒ (บางครั้งผ่อนผัน
ใหส้ ัมผสั กบั พยางค์ท่ี ๑,๒,๔, หรอื ๕ ของวรรคที่ ๒ ก็ได)้
๒. พยางค์สดุ ท้ายของวรรคที่ ๒ บังคบั ใหส้ มั ผัสกับพยางคส์ ดุ ทา้ ยของวรรคที่ ๓
๓. พยางค์สุดท้ายของวรรคท่ี ๓ บังคับให้สัมผัสกับพยางค์ท่ี ๓ ของวรรคท่ี ๔ (บางครั้งผ่อนผนั
ใหส้ มั ผัสกบั พยางค์ที่ ๑,๒,๔ หรอื ๕ ของวรรคท่ี ๔ ก็ได้)
๔. พยางค์สุดท้ายของวรรคสุดท้ายในบทท่ี ๑ บังคับสัมผัสกับพยางค์สุดท้ายของวรรคท่ี ๒ ใน
บทถดั ไป
แผนผังกลอนดอกสรอ้ ย
ตวั อยา่ งกลอนดอกสร้อย ดซู บู ซีด อดิ โรย เสยี หนักหนา
แมวเอย๋ แมวขโมย ให้ขา้ วปลา อิ่มหนา แสนสาราญ
เด็กชายเก่ง คนดี มเี มตตา แถมยงั ช่วย จบั หนู อยู่ในบ้าน
จากแมวโทรม ถอดรูปแลว้ เป็นเเมวสวย ชวี ติ ก็ เบิกบาน สาราญเอย
กตัญญู รคู้ ุณ รู้ทางาน
กลอนอา่ น แบง่ ไดเ้ ป็น 3 ประเภท ดงั นี้
1. กลอนนิทาน มีลักษณะเหมือนกลอนนิราศ ขึ้นต้นด้วยวรรค รับ แล้วแต่งเป็นเร่ือง ยาวๆ
ทานองนิทานหรือนิยาย มีพระเอกนางเอก มีตัวผู้ร้ายหรอื ตัวอิจฉา อิงหลักธรรมในศาสนา อาจจะมีการ
รบทัพจับศึก กระบวนการสงครามหรือมีความลึกลับมหัศจรรย์ การแสดงอภินิหาร หรือความสามารถ
ของตวั เอกในเรอื่ งอาจจะแฝงดว้ ยลทั ธิ ไสยศาสตร์มักจะลงเอยดว้ ย ฝา่ ยดีหรือฝ่ายธรรมชนะอธรรม
ตัวอย่างกลอนนทิ าน (นิทานเรือ่ งสนุ ขั กับเงา)
สุนขั เดนิ มา ออกหาอาหาร ผ่านมาหมู่บา้ น ยา่ นคนมากมาย
เดนิ ถงึ ตลาด เหน็ ถาดเน้อื ขาย แอบลกั เนอ้ื ควาย วิ่งขา้ มสะพาน
มองไปในน้า เย็นฉา่ สาราญ จติ ใจเบิกบาน อาหารสดี
ในนา้ เหน็ เงา สดุ เขลาเตม็ ที่ ว่าตนโชคดี มเี นอ้ื กอ้ นใหญ่
รบี คายชนิ้ เนอื้ เพอ่ื กระโจนไป หวังที่จะได้ ในเนอ้ื ช้ินโต
ฉบั พลันนน้ั เอง สนุ ขั ตวั โง่ อดเนอื้ ก้อนโต ทงั้ ชนิ้ ในปาก
เหตุการณ์ครั้งนี้ อยา่ มโี ลภมาก นาเร่อื งมาฝาก เตือนจติ สอนใจ
2. กลอนเพลงยาว คือ กลอนเพลงยาว เป็นบทประพันธ์ท่ีแต่งความยาว เป็นแบบจดหมาย
แสดงความ พิศวาส แสดงราพึงราพันรักโศก บางคราวแสดงแบบวาทะ และเป็นโอวาทเก่ียวกับการ
แสดงคุณธรรมกม็ ี แต่งเปน็ สุภาษติ ก็มี เปน็ ไปตามความนยิ มของผแู้ ต่ง แผนผงั กลอนแบบเดียวกบั กลอน
แปด ส่วนมากวรรคหนง่ึ มี ๘ คา บางวรรคมี ๗ คาบ้าง แตน่ อ้ ย ขึน้ ต้นดว้ ยวรรคท่ี ๒ คอื กลอนรอง และ
เมือ่ จบต้องลงคาว่า เอย
แผนผังกลอนเพลงยาว
ตวั อย่างกลอนเพลงยาว ปางพี่มาดหมายสมานสมุ าลย์สมร
อนั ลอยพ้นื อัมพรพโยมพลาย
ดงั หมายเดือนหมายดวงดารากร ถงึ จะมาดที่ไมเ่ สยี ซง่ึ เเรงหมาย
แมน้ พ่เี ดินได้ในเวหาสน์ เมียงหมายรศั มพี ิมานมอง
มไิ ดช้ มก็พอไดด้ าเนนิ ชาย สดุ หาญที่จะเหน็ เวหาสนน์ อ้ ง
นส่ี ุดหมายก็จะมาดสมุ าลย์สมาน สดุ สนองใจสนิทเสนห่ ก์ นั
สดุ คดิ ทจี่ ะเคียงประคอง
3. กลอนนริ าศ เป็นบทประพันธ์ท่มี ีลักษณะท่ัวไปเหมือนกบั กลอนเพลงยาว คาขนึ้ ต้นใชค้ าว่า
นิราศ กม็ ี ขน้ึ ตน้ ด้วยคาอื่นก็มี โดยขน้ึ ตน้ ทกี่ ลอนรบั คอื วรรคที่ ๒ และลงท้ายดว้ ยวา่ เอย ใชค้ าพดู
วรรคละ ๘- ๙ คา การตงั้ ชอื่ นริ าศ ตัง้ ตามสถานทไี่ ปบา้ ง ตงั้ ตามเหตกุ ารณ์ หรอื ภาพพจนข์ องที่ไปบ้าง
ตัง้ ตามช่ือของผแู้ ต่งบา้ ง
แผนผังกลอนนิราศ
ตวั อย่างกลอนนริ าศ โอ้อาลัยใจหายไมว่ ายหว่ ง
เสียดายดวงจนั ทราพะงางาม
ดงั ศรศักดิ์ปกั ซา้ ระกาทรวง แตเ่ ดอื นยี่จนยา่ งเขา้ เดอื นสาม
เจา้ ค้มุ แคน้ แสนโกรธพิโรธพี่ จากอารามแรมรา้ งทางกันดาร
จนพระหนอ่ สรุ ิยว์ งศ์ทรงพระนาม
แตง่ กลอนสกั วา
สกั วา ความเจบ็ เกบ็ ยากถอน จติ อาวรณ์ ยงั รอเจา้ มหิ นา่ ยหนี
ยงั ร้องไห้ รา้ วเพราะรกั ไม่ปราณี ดง่ั ชวี ี จะขาดพลัน กม็ ริ อน
รกั ฝังใจ แมน้ กายจาก มิพรากรัก เปรียบประจกั ษ์ ผ้าเป้ือนโคลน จาซักถอน
ทง้ิ รอยจาง รอยรกั ร้าง เปน็ รอยรอน แม้ตดั ตอน ถอดลงซกั รอยรักเอย
สรปุ
คาประพันธ์ท่ีนิยมแต่งกันคือ กลอน เพราะแต่งง่าย ไพเราะ บังคับเพียงคณะและสัมผัสเทา่ นัน้
ซ่ึงการแต่งกลอนแต่ละประเภทต้องมีความรู้ในลักษณะบังคับหรือฉันทลักษณ์ เพื่อจะได้แต่งออกมา
ถูกตอ้ งและไพเราะ และกลอน มีทง้ั ประโยชน์ และคุณค่า ท้งั ยงั สรา้ งความสนกุ ใหแ้ กผ่ ขู้ บั กลอนและผฟู้ งั
อกี ดว้ ย
บรรณานกุ รม
1. https://www.trueplookpanya.com/learning/detail/31489-044083
2. https://www.watmoli.com/poetry/481/
3. http://www.klonthaiclub.com/index.php?topic=19004.0
4. https://sites.google.com/site/chanthalakklonthai/klxn-rxng/klxn-dxk-srxy
5. https://www.gotoknow.org/posts/69475
6.http://www.thaigoodview.com/library/contest2552/type2/thai03/09/klon%208.htm