เทค
โน
โล
ยี
กับ
การ
ตั้ง
ครรถ์
จัดทำโดย
นายสิรภพ บุบผา
รายชื่อผู้สอนในรายวิชา
1.อาจารย์ ประภาดา นามกัง
วิชา ภาษาไทย
2.อาจารย์ สุภา๓รณ์ ด่วนเครือ
วิชา เพศวิถีศึกษา
3.อาจารย์ ขมัยภรณ์ นวลลนงค์
วิชา คอมพิวเตอร์การฟิกเบื้องต้น.การผลิตสื่อสิ่งพิมพ์
4.อาจารย์ กรรณิการ์ วิสูงเล
วิชา วิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาทักษะชีวิต
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธุ์
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ไม่ค่อยแสดงอาการ ติดเชื้อแล้วทำอย่างไร
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือในชื่อภาษาอังกฤษ Sexual-Transmitted
diseases: STDs และในชื่อภาษาไทย กามโรค เป็น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
ที่มีการติดต่อระหว่างผู้มีเชื้อกับผู้รับเชื้อผ่านทางการมีเพศสัมพันธ์ และยังสามารถติดต่อ
จากแม่สู่ทารกในครรภ์ได้ ผ่านจากการให้เลือดหรือถ่ายโอนเลือด หรือการใช้เข็มฉีดยาร่วม
กันในผู้ติดสิ่งเสพย์ติดอีกด้วย เพราะกามโรค เป็นโรคติดต่อที่ไม่ค่อยแสดงอาการ คนที่มี
ลักษณะดูปกติ สวย หล่อ เราจึงไม่รู้เลยว่าเค้ามีเชื้อโรคเหล่านี้อยู่ในร่างกายหรือไม่
เรามาเรียนรู้กันดีกว่าว่า โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์นั้นมีอะไรบ้าง
โรคเอชพีวี (HPV)
โรคเอดส์ (AIDS)
โรคหนองในเทียม (Chlamydia infection)
โรคหูดหงอนไก่ (Condyloma acuminata)
โรคตัวโลน (Crab Louse)
โรคฝีมะม่วง (Lymphogranuloma venereum: LGV)
โรคแผลริมอ่อน (Chancroid)
โรคซิฟิลิส (Syphilis)
โรคหนองในแท้ (Gonorrhea)
โรคเริมที่อวัยวะเพศ (Genital Herpes)
7 แนวทางการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
ความน่ากลัวของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ สามารถสร้างความเจ็บปวดทั้งร่างกายและ
จิตใจคนได้มากพอสมควร เพราะฉะนั้น เราจึงอยากจะแนะนำแนวทางการป้องกันการ
ติดต่อของโรคทางเพศสัมพันธ์ หากทำตามคำแนะนำเหล่านี้รับรองว่าจะช่วยลดความ
เสี่ยงของการเกิดโรคได้สูงมากแน่นอน
1.สวมใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์
ถุงยางอนามัยจะช่วยป้องกันการติดเชื้อที่เกิดจากการสัมผัสของอวัยวะเพศได้ โดย
เฉพาะเมื่อมีเพศสัมพันธ์กับคนแปลกหน้าซึ่งเราไม่สามารถรู้ได้ว่าคนเหล่านั้นมีโรคติดต่อ
ทางเพศสัมพันธ์หรือไม่ เพราะฉะนั้นจึงต้องมีการป้องกันทุกครั้งเพื่อลดความเสี่ยงและ
ยังป้องกันการตั้งครรภ์ได้อีกด้วย
2.ไม่ควรเปลี่ยนคู่นอนหลายคน
การมีเพศสัมพันธ์กับคนหลายคนในเวลาไม่กี่เดือนก็มีความเสี่ยงต่อการเกิดติดเชื้อโรค
ทางเพศสัมพันธ์ได้ง่าย และเมื่อเกิดโรคก็จะไม่ทราบแน่ชัดได้ว่าติดโรคมาจากคู่นอนคน
ไหน
3.รักษาความสะอาด
การรักษาความสะอาดของร่างกายและอวัยวะเพศให้สะอาดอยู่เสมอ จะช่วยลดการเกิด
เชื้อโรคและเชื้อแบคทีเรียได้ เพราะถ้าหากไม่รักษาความสะอาดของอวัยวะเพศ ก็สามารถ
เกิดเชื้อโรคและไปแพร่สู่คู่นอนได้นั่นเอง
4.ไม่ควรมีเพศสัมพันธ์ในช่วงมีประจำเดือน
เนื่องจากในช่วงมีประจำเดือนเป็นช่วงที่ช่องคลอดกำลังทำการขับของเสียออกจาก
ร่างกาย มีโอกาสที่ทำให้ติดเชื้อได้ง่ายขึ้นหากมีเพศสัมพันธ์ในช่วงนี้ เพราะฉะนั้นจึงควร
หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างมีประจำเดือนเป็นดีที่สุด
5.ไม่ควรสวนล้างช่องคลอด
การสวนล้างช่องคลอดจะทำให้แบคทีเรียชนิดดีที่อาศัยอยู่ในช่องคลอดหายไป และอาจ
ทำให้ติดเชื้อเมื่อมีเพศสัมพันธ์ได้ง่ายมากขึ้น
6.ไม่ควรมีเพศสัมพันธ์ทางรูทวาร
การมีเพศสัมพันธ์ทางรูทวารสามารถติดเชื้อได้ค่อนข้างง่าย เนื่องจากเป็นช่องทางที่
ของเสียขับออกจากร่างกาย นอกจากมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคทางเพศสัมพันธ์แล้ว
ยังมีโอกาสเป็นโรคริดสีดวงและโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ ถ้าหากหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ให้สวมใส่
ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์ทางด้านนี้จะดีที่สุด
7.ตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี
ควรมีการตรวจสุขภาพเพื่อหาเชื้อโรคต่างๆ เป็นประจำทุกปี เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีการติด
โรคทางเพศสัมพันธ์ใดๆ ต่อให้ไม่มีอาการของโรคเลยก็ตาม นอกจากนี้คู่รักที่กำลังจะ
แต่งงานร่วมใช้ชีวิตด้วยกัน ก็ควรตรวจสุขภาพเพื่อความปลอดภัยและความสบายใจ
ของทั้งสองฝ่ายด้วย
การป้องกันเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ยากเลยแม้แต่น้อย ถ้าอยากมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัยก็
ต้องรู้จักการป้องกัน หลายคนมักเกิดความอายในการซื้อถุงยางอนามัย แต่ถ้าหากเป็น
โรคแล้วจะไม่อายมากกว่าหรือ นอกจากนี้ราคาถุงยางอนามัยยังถูกกว่าค่ารักษาอีกด้วย
การฝากไข่
การฝากไข่คือการแช่แข็งเซลล์ไข่หรือที่เราเรียกว่า Oocyte Cryopreservation ด้วย
วิธีการเข้ารับการรักษาคุณภาพเซลล์ไข่ของคุณผู้หญิงโดยผู้เยี่ยมชมไข่นี่คือการทำ
หัตถการเพื่อเก็บเซลล์ไข่จากรังไข่แล้วนำไปแช่เย็น ทิ้งไว้เพื่อนำทางต่อไป ไข่ที่แช่แข็งนี้
จะช่วยให้คุณละลายและนำไปปฏิบัติกับคนอื่นๆ ได้ เช่น ทำเด็กหลอดแก้วหรือเด็กหลอด
แก้วหรือ IVF/ICSI ได้
การฝากไข่นี้เป็นการแช่แข็งเพียงแค่เซลล์ไข่เท่านั้นซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นในกรณีที่มีการแช่
แข็งของเราซึ่งเป็นไปได้เสมอระหว่างเซลล์ไข่กับขั้นตอนนี้เพราะกระบวนการนี้จะเป็นกระ
บวนการแช่แข็งของพวกเขาหรือที่เรียกว่า Embryo Cryopreservation
โดยกระบวนการฝากไข่ที่ SAFE Fertility Group จะยกเว้นการดูแลของแพทย์ผุ้ผู้
เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์
ทำไมต้องฝากไข่?
การฝากไข่ เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับคุณผู้หญิงที่ยัง
ไม่พร้อมตั้งครรภ์ในขณะนี้ หรือในเร็ว ๆ นี้ แต่ยังมีความ
ต้องการที่จะตั้งครรภ์ในอนาคตนั่นเอง และการฝากไข่
ยังเป็นทางเลือกของคุณผู้หญิงที่ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้
ในสถานการณ์ปัจจุบันด้วยปัจจัยต่างๆ เช่น
โรคประจำตัวที่ส่งผลกระทบต่อภาวะเจริญพันธุ์
โรคประจำตัว
และกระบวนการรักษาโรคเหล่า
นั้นอาจมีผลต่อการเจริญพันธุ์
ของผู้หญิง
เช่น มะเร็งรังไข่
ซีสที่มดลูก/รังไข่
การผ่าตัดรังไข่เพื่อรักษาโรค
ภาวะรังไข่เสื่อมก่อนวัยอันควร
การฉายแสงหรือ
การทำเคมีบำบัดในขั้นตอน
การรักษาโรคมะเร็งก็สามารถเป็น
อันตรายภาวะเจริญพันธุ์ได้เช่นกัน
ความต้องการฝากไข่ที่มีคุณภาพ
ที่ดีเพื่อวางแผนมีบุตรในอนาคต
ยิ่งฝากเร็ว ยิ่งดี สาวๆ หลายคนยังสนุกกับการใช้ชีวิตที่อิสระได้เต็ม
ที่กับงาน การท่องเที่ยว มีความพร้อมในการมีบุตรและการแต่งงาน
ที่ช้าลง และเมื่อพร้อมสร้างครอบครัวก็อาจเป็นตอนที่อายุมากแล้ว
การทำกิ๊ฟ
ทำกิฟต์ คืออะไร
การทำกิฟต์ (Gamete Intrafallopian Transfer :
GIFT) คือเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ โดยการดูดเอาไข่
ที่ถูกกระตุ้นออกมาจากรังไข่ แล้วนำมาผสมกับตัวอสุจิที่
ผ่านการคัดเลือกแล้ว จากนั้นจึงฉีดเข้าไปในท่อนำไข่ทันที
เพื่อให้เกิดการปฏิสนธิตามธรรมชาติ เมื่อไข่และอสุจิมีการ
ปฏิสนธิกัน ตัวอ่อนจะเคลื่อนตัวไปตามท่อนำไข่แล้วฝังตัว
อยู่ในโพรงมดลูก หลังจากนั้นก็จะเกิดการตั้งครรภ์ในที่สุด
ทำไมถึงต้องทำกิฟต์
ทำไมถึงต้องทำกิฟต์? เนื่องจากการทำกิฟต์เป็นหนึ่งในวิธี
การรักษาภาวะผู้มีบุตรยาก (Infertility) หรือมีลูกยาก
โดยไม่ทราบสาเหตุ โดยสาเหตุอาจเกิดได้จากทั้งฝ่ายชาย
และฝ่ายหญิง เช่น ฝ่ายหญิงมีปัญหาเยื่อบุโพรงมดลูก
เจริญผิดปกติ (Endometriosis) หรือมีปัญหาเกี่ยวกับ
ระบบสืบพันธุ์ จำพวก การตกไข่ หรือฝ่ายชายมีปัญหา
จำนวนเชื้ออสุจิน้อยหรือไม่แข็งแรง การทำกิฟต์จึง
สามารถช่วยแก้ปัญหาการมีบุตรยากได้
ใครบ้างที่เหมาะกับการทำกิฟต์
ฝ่ายหญิงมีปัญหาเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดปกติ (Endometriosis)
ฝ่ายหญิงมีปัญหาการตกไข่ หรือปัญหาเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์
ฝ่ายชายมีปัญหาเรื่องคุณภาพเชื้ออสุจิ เช่น มีจำนวนน้อย หรือไม่แข็งแรง
ฝ่ายหญิงมีท่อนำไข่ (Fallopian Tube) ที่มีสภาพสมบูรณ์หรือใช้งานได้
อย่างน้อยหนึ่งข้าง
คู่สมรสที่มีปัญหาภาวะมีบุตรยาก
คู่สมรสที่มีปัญหาภาวะมีบุตรยากโดยไม่ทราบสาเหตุ
การทำกิฟต์ต่างจากเด็กหลอดแก้วอย่างไร
การทำกิฟต์ (GIFT) จะเป็นเทคนิคช่วยการตั้งครรภ์ โดยการ
เจาะหน้าท้องฝ่ายหญิงเพื่อนำเอาไข่และอสุจิมาผสมกันข้าง
นอก แล้วค่อยฉีดกลับไปที่ท่อนำไข่ เพื่อให้เกิดการปฏิสนธิกัน
ตามธรรมชาติ ดังนั้นผู้ป่วยจึงต้องเข้าห้องผ่าตัด มีการใช้
ยาสลบ และมีการกรีดแผลเล็กๆ ที่หน้าท้อง ผู้ป่วยจะต้อง
นอนโรงพยาบาล 1 คืน จึงสามารถกลับบ้านได้ ในขณะที่ การ
ทำเด็กหลอดแก้ว IVF (In-Vito Fertilization) หรือ ICSI
(Intracytoplasmic Sperm Injection) จะเป็นเทคนิคที่
พัฒนากว่า เป็นการปฏิสนธิภายนอกร่างกาย ใช้วิธีดูดไข่ออก
มาทางช่องคลอดโดยที่ไม่มีการผ่าหน้าท้อง ผู้ป่วยพักฟื้ นแค่
1-2 ชั่วโมงก็กลับบ้านได้
ขั้นตอนการทำ GIFT
ในขั้นตอนการทำกิฟต์มีขั้นตอนการฉีดยากระตุ้นไข่เช่นเดียวกันกับการทำเด็กหลอดแก้ว
แต่มีความแตกต่างกันตรงวิธีการเก็บไข่ โดยขั้นตอนการทำกิฟต์มีหลักๆ ดังนี้
1. การกระตุ้นรังไข่ (Ovary stimulation)
ในขั้นตอนการกระตุ้นรังไข่นั้นจะเริ่มทำเมื่อมีประจำเดือน โดยแพทย์จะเริ่มฉีดยากระตุ้น
ไข่ เช่น Gonal F, Puregon, Pergoveris, Follitrope ซึ่งปริมาณยาที่แพทย์จะฉีด
ให้กับคนไข้นั้น จะพิจารณาจากอายุและผลฮอร์โมนฝ่ายหญิงเป็นรายบุคคล
ปกติแล้วระยะเวลาที่ให้ยากระตุ้นรังไข่จะให้นานประมาณ 7-10 วัน ขึ้นอยู่กับการตอบ
สนองต่อยาของคนไข้แต่ละคน แพทย์จะตรวจติดตามอาการหลังจากฉีดยากระตุ้นไข่
ด้วยการตรวจอัลตราซาวด์หลังจากฉีดยาไปแล้ว
หลังจากนั้นแพทย์จะทำตรวจเลือดดูระดับฮอร์โมน FSH, E2, LH หากได้ไข่ที่มีจำนวน
และขนาดใหญ่เหมาะสมตามที่แพทย์ต้องการแล้ว จะกระตุ้นการตกไข่โดยการฉีดยาเพื่อ
ให้ไข่ตก โดยการฉีด hCG เมื่อเวลาผ่านไป 34-36 ชั่วโมง แพทย์จะทำการเก็บไข่โดยการ
เจาะไข่
2. การเจาะไข่
เมื่อเข้าสู่ขั้นตอนการเจาะไข่ แพทย์จะใช้เข็มเจาะถุงไข่แล้วดูดเอาไข่ภายในถุงออกมา โดย
การนำไข่ออกมานั้นมี 2 วิธี ดังนี้
2.1 การเจาะผ่านหน้าท้อง โดยอาศัยกล้องตรวจผ่านช่องท้อง สามารถเห็นรังไข่ได้
ชัดเจน แล้วใช้เข็มเจาะดูดไข่โดยตรง
2.2 การเจาะผ่านผนังช่องคลอด โดยอาศัยเครื่องอัลตราซาวด์ที่มีเข็มเจาะแล้วจึงดูดไข่ที่
ติดอยู่ที่หัวตรวจทางช่องคลอด
3. การย้ายเซลล์ไข่และอสุจิเข้าสู่ท่อนำไข่
ในขั้นตอนการย้ายเซลล์ไข่และอสุจิเข้าสู่ท่อนำไข่ ส่วนใหญ่จะใช้การผ่าตัดส่องกล้องช่อง
ท้อง (Laparoscopic Surgery) เป็นหลัก โดยจะเจาะหน้าท้องฝ่ายหญิงเพื่อนำเอาไข่
และอสุจิมาผสมกันข้างนอก แล้วค่อยฉีดกลับไปที่ท่อนำไข่ เพื่อให้เกิดการปฏิสนธิกัน
ตามธรรมชาติ ในปัจจุบันวิธีนี้ไม่เป็นที่นิยมแล้ว
4. การให้ฮอร์โมนในระยะหลังการทำ
เมื่อเสร็จสิ้นขั้นตอนการย้ายเซลล์ไข่ แพทย์จะให้ฮอร์โมนช่วยในการฝังตัวของตัวอ่อน
หลังจากนั้น 12 วัน แพทย์จะทำการตรวจวัดระดับ hCG เพื่อทดสอบการตั้งครรภ์ต่อไป
เด็กหลอดแก้ว
การทำเด็กหลอดแก้วหรือ IVF เป็นวิธีการรักษาโรคมีบุตรยากด้วยวิธี
การปฏิสนธิภายนอกร่างกาย ในหลอดทดลอง จากนั้นจึงนำตัวอ่อนที่ได้
มาเพาะเลี้ยงต่อจนอายุ 3-5 วัน จึงนำกลับเข้าสู่ร่างกายฝ่ายหญิง เพื่อ
ให้เกิดการฝังตัวและตั้งครรภ์ต่อไป
IVF หรือ เด็กหลอดแก้ว ก็เป็นนวัตกรรมที่มีความทันสมัย ซึ่งจะช่วยให้
ผู้ที่มีบุตรยากสามารถมีบุตรได้อย่างที่ต้องการ แต่ก็มีความเสี่ยงที่อาจ
เกิดขึ้น ซึ่งสิ่งที่มักจะเกิดขึ้นมากที่สุด ได้แก่
1.รังไข่บวม เนื่องจากได้รับฮอร์โมนกระตุ้นมากเกินไป
2.ตั้งครรภ์นอกมดลูก เพราะไข่เข้าไปฝังตัวอยู่ในท่อนำไข่แทนที่จะ
เป็นมดลูก
3.เกิดความเครียด เนื่องจากการทำเด็กหลอดแก้วส่งผลกระทบทั้ง
ต่อร่างกายและจิตใจหลายอย่าง
4.ได้รับผลข้างเคียงจากยา ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการปวดหัว กระสับ
กระส่าย ร้อนวูบวาบและอารมณ์แปรปรวนหงุดหงิดง่าย
5.เสี่ยงคลอดก่อนกำหนด ซึ่งจะทำให้ทารกมีน้ำหนักแรกเกิดน้อยมาก
6.เสี่ยงภาวะแทรกซ้อน ในขั้นตอนการเก็บไข่ เช่น การติดเชื้อ เลือด
ออก
7.มีโอกาสตั้งครรภ์แฝด ซึ่งหากสุขภาพของคุณแม่ไม่แข็งแรง ก็อาจ
ทำให้คลอดก่อนกำหนดหรือทารกมีน้ำหนักตัวน้อยได้
แช่แข็งไข่ (Egg Freezing)
การแช่แข็งไข่ (Egg Freezing) เป็นการนำเซลล์ไข่ที่อยู่
ในรังไข่ของผู้หญิง มาเข้าสู่กระบวนการแช่แข็งแบบ
รวดเร็วด้วยเทคนิคการแช่แข็งแบบผลึกแก้ว
(Vitrification Freezing) เพื่อคงสภาพของเซลล์ไข่ไว้
ณ เวลานั้นๆ เสมือนหยุดเวลาไว้นั้นเอง
ทำไมต้องแช่แข็งไข่
เซลล์ไข่ของผู้หญิงจะแปรผันไปตามกับอายุ เมื่ออายุยิ่ง
มากขึ้น คุณภาพเซลล์ไข่จะแย่ลง จำนวนไข่และความ
สามารถในการมีลูกเองก็ลดลงเช่นกัน ดังนั้นการแช่แข็ง
ไข่จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการเก็บรักษาเซลล์ไข่ของเรา
ไว้ในช่วงเวลาที่เซลล์ไข่ยังมีคุณภาพและสภาพสมบูรณ์อยู่
เพื่อนำไปใช้ในวันที่เราพร้อมจะมีบุตรในอนาคต
อิมซี่ (IMSI)
อิมซี่ (IMSI) เทคโนโลยีคัดอสุจิด้วยกล้องกำลังขยายสูง 6,000-
12,000 เท่า เพิ่มความสำเร็จการทำเด็กหลอดแก้วสูงขึ้น
IMSI (Intracytoplasmic Morphologically Selected Sperm
Injection) อิมซี่เป็นเทคโนโลยีที่นำมาใช้ในการคัดเลือกอสุจิด้วย
กล้องจุลทรรศน์ ที่มีกำลังขยายสูงตั้งแต่ 6,000 – 12,000 เท่า เพื่อให้
ได้อสุจิที่มีลักษณะดี และเหมาะสมที่สุดมาทำการผสมกับเซลล์ไข่ต่อไป
ช่วยเพิ่มความสำเร็จการทำเด็กหลอดแก้วสูงขึ้น เทคนิค IMSI นี้ จะช่วยให้
สามารถมองเห็นรูปร่างลักษณะของอสุจิได้ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยสามารถมอง
เห็น vacuole ที่หัวของอสุจิได้ ซึ่งการพบ vacuole ที่หัวของอสุจินั้นเป็น
ลักษณะที่บ่งชี้ว่า อสุจิตัวดังกล่าวอาจมีชิ้นส่วนของสารพันธุกรรมที่
แตกหัก (DNA fragmentation) การนำอสุจิลักษณะนี้ผสมเข้าไปใน
เซลล์ไข่ จะส่งผลทำให้ตัวอ่อนที่ผสมได้ไม่สมบูรณ์ และอาจทำให้ไม่เกิดการ
ฝังตัวในโพรงมดลูก หรือฝังตัวแล้วเกิดการแท้งได้ ซึ่งแตกต่างกับการทำ
ICSI (Intracytoplasmic Sperm Injection) ที่ใช้กล้องจุลทรรศน์ที่
มีกำลังขยายเพียง 200-400 เท่า เท่านั้น จึงจะไม่สามารถมองเห็นราย
ละเอียดบริเวณส่วนหัวของอสุจิได้ดีนักเมื่อเทียบกับการทำ IMSI