The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
(Science Process skills)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (Science Process skills)

ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
(Science Process skills)

ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร
(Science Process skills)

โดย
นายธชั วฒุ ิ กงประโคน
ตาํ แหนงครู วทิ ยฐานะครชู ํานาญการ

โรงเรยี นอนุบาลชัยภูมิ
สาํ นกั งานเขตพืน้ ที่การศกึ ษาประถมศกึ ษาชยั ภมู ิ เขต 1

สาํ นักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พ้นื ฐาน


คําชแ้ี จงในการใชเอกสาร

เอกสารฉบับน้ีจัดทําขึ้นมาเพ่ือพัฒนาผูเรียน ใหศึกษาเรียนรูและพัฒนา
ความรูความเขาใจในเน้ือหาตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน
พุทธศักราช 2551 เพราะฉะนนั้ แลว

1. เอกสารฉบับน้ีสามารถเผยแพรไดแตตองใหเครดิตหรืออางอิง
ผูจัดทําดวยและไมอนุญาตใหเผยแพรสวนใดสวนหน่ึงเปนช่ือของตนเองโดย
ไมใหเครดิตหรืออางอิง ผูจัดทําอันแสดงถึงจรรณยาบรรณของการเผยแพร
งานทางวิชาการ

2. ไมอนุญาตใหนําเอกสารฉบับนี้ไปใชในเชิงพาณิชย หรือหา
ผลประโยชนทุกรูปแบบ แตสามารถใชเพ่ือประกอบการเรียนการสอนใน
สถานศึกษาเทา นน้ั

ขอขอบพระคุณคณะคุณครูผูใหคําแนะนํา ทานผูเชี่ยวชาญที่ใหขอคิดเห็น
และแหลงเรียนรูตางๆ เชน หนังสือ แบบเรียน แบบฝกหัด ชุดกิจกรรมการ
เรียนรู เว็บไซตเปนตน ท่ีไมสามารถอางอิงกลาวถึงไดท้ังหมด ไดเอ้ือเฟอความรู
และขอมูลสําหรับการจัดทําเอกสารฉบับน้ีเพ่ือใชพัฒนาผูเรียนมีความรูความ
เขา ใจในเน้ือหาทีไ่ ดประมวลข้ึนและสง ผลใหม ผี ลสัมฤทธิท์ ี่สงู ขึน้

หากมีขอ ผดิ พลาดประการใด ผูจ ดั ทาํ ตอ งขออภยั มาลว งหนา ไว ณ โอกาสน้ี และ
ผูจัดทํายินดีนอมรับทุกคําติชม และคําแนะนําตางๆเพื่อนํามาปรับปรุงแกไขใหดียิ่งขึ้น
ตอไป หวังเปนอยางย่ิงวาเอกสารฉบับน้ีจะเปนประโยชนตอผูนําไปใชใหเกิดประโยชน
สูงสดุ ตอ ไป

ครูธัชวฒุ ิ กงประโคน
ผูจดั ทําและรวบรวบ

ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร
(Science Process skills)

โดย
นายธัชวฒุ ิ กงประโคน
ตาํ แหนง ครู วิทยฐานะครชู ํานาญการ

โรงเรยี นอนุบาลชยั ภูมิ
สํานักงานเขตพ้ืนทกี่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษาชยั ภูมิ เขต 1

สาํ นักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขัน้ พน้ื ฐาน
กระทรวงศึกษาธิการ

ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร 13 ทกั ษะ

ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร (science process skill) หมายถึง ความสามารถ และความ
ชํานาญในการคิด เพอื่ คนหาความรู และการแกไขปญหา โดยใชก ระบวนการทางวิทยาศาสตร อาทิ การสังเกต
การวัด การคํานวณ การจําแนก การหาความสัมพันธร ะหวา งสเปสกับเวลา การจัดกระทํา และส่ือความหมาย
ขอมูล การลงความคิดเห็น การพยากรณ การตั้งสมมติฐาน การกําหนดนิยาม การกําหนดตัวแปร การทดลอง
การวเิ คราะห และแปรผลขอมูล การสรุปผลขอ มูลไดอ ยางรวดเร็ว ถกู ตอ ง และแมนยาํ

ความสาํ คญั ของทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร
ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรเปนทักษะสาํ คญั ทแี่ สดงถึงการมีกระบวนการคิด อยา งมเี หตุ มีผล

ตามกระบวนการทางวิทยาศาสตร ทําใหผูเรียน และผูปฏิบัติเกิดความเขาใจในเนื้อหาทางวิทยาศาสตร
สามารถเรยี นรู และพฒั นาตนเองไปสูก ระบวนการคิดท่ซี ับซอ นมากข้นึ

ประเภททกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร เปนทักษะแสวงหาความรู และแนวทางสําหรับการแกไขปญหา

เปนแนวทางที่พัฒนาขึ้นตามหลักสูตร science a process approach (SAPA) ของสมาคมอเมริกันเพื่อ
ความกาวหนาทางวิทยาศาสตร (The American association for the advancement of science)
ประกอบดวยทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร 13 ทกั ษะ แบงเปน 2 ระดบั คือ

1. ระดับทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรข น้ั พ้นื ฐาน 8 ทักษะ เหมาะสําหรบั ระดับการศึกษา
ปฐมวยั

2. ระดบั ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรข ้นั บรู ณาการ 5 ทักษะ เหมาะสําหรับระดับการศึกษา
มธั ยมวยั

1. ระดับทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรข นั้ พ้ืนฐาน 8 ทักษะ
เปน ทกั ษะเพ่ือการแสวงหาความรูท่ัวไป ประกอบดวย
ทักษะที่ 1 การสังเกต (Observing)

หมายถึง การใชประสาทสัมผัสของรางกายอยางใดอยางหนึ่งหรือหลายอยาง ไดแก หู ตา จมูก ลิ้น
กายสัมผัส เขาสัมผัสกับวัตถุหรือเหตุการณเพื่อใหทราบ และรับรูขอมูล รายละเอียดของสิ่งเหลานั้น โดย
ปราศจากความคิดเห็นสวนตน ขอมูลเหลาน้ีจะประกอบดวย ขอมูลเชิงคุณภาพ เชิงปริมาณ และรายละเอียด
การเปลยี่ นแปลงท่ีเกดิ ขนึ้ จากการสงั เกต
ความสามารถท่แี สดงการเกิดทกั ษะ

– สามารถแสดงหรอื บรรยายคณุ ลักษณะของวัตถุได จากการใชประสาทสมั ผสั อยา งใดอยา งหนึ่งหรอื
หลายอยา ง

– สามารถบรรยายคุณสมบตั เิ ชงิ ประมาณ และคุณภาพของวัตถไุ ด
– สามารถบรรยายพฤติการณการเปลย่ี นแปลงของวัตถุได

ทักษะที่ 2 การวัด (Measuring)
หมายถงึ การใชเคร่อื งมือสําหรับการวดั ขอมูลในเชงิ ปริมาณของส่ิงตางๆ เพ่ือใหไดข อมูลเปนตวั เลขใน

หนวยการวัดที่ถูกตอง แมนยําได ท้ังนี้ การใชเคร่ืองมือจําเปนตองเลือกใชใหเหมาะสมกับส่ิงที่ตองการวัด
รวมถงึ เขาใจวิธีการวัด และแสดงขนั้ ตอนการวดั ไดอ ยา งถูกตอง
ความสามารถท่แี สดงการเกิดทกั ษะ

– สามารถเลือกใชเครือ่ งมือไดเหมาะสมกบั สิ่งท่วี ัดได
– สามารถบอกเหตผุ ลในการเลอื กเครื่องมือวัดได
– สามารถบอกวิธกี าร ขั้นตอน และวิธีใชเ ครือ่ งมือไดอยางถกู ตอง
– สามารถทาํ การวัด รวมถึงระบุหนวยของตวั เลขไดอยา งถูกตอง

ทักษะ ท่ี 3 การคํานวณ (Using numbers)
หมายถงึ การนบั จํานวนของวัตถุ และการนําตัวเลขที่ไดจ ากนบั และตัวเลขจากการวดั มาคํานวณดวย

สูตรคณิตศาสตร เชน การบวก การลบ การคูณ การหาร เปนตน โดยการเกิดทักษะการคํานวณจะแสดงออก
จากการนับที่ถูกตอง สวนการคํานวณจะแสดงออกจากการเลือกสูตรคณิตศาสตร การแสดงวิธีคํานวณ และ
การคํานวณที่ถกู ตอง แมน ยํา
ความสามารถทแี่ สดงการเกิดทกั ษะ

– สามารถนับจาํ นวนของวัตถุไดถูกตอ ง
– สามารถบอกวธิ ีคํานวณ แสดงวธิ คี ํานวณ และคิดคํานวณไดถ ูกตอง

ทกั ษะที่ 4 การจําแนกประเภท (Classifying)
หมายถงึ การเรยี งลาํ ดบั และการแบง กลมุ วตั ถุหรอื รายละเอียดขอมูลดวยเกณฑความแตกตา งหรือ

ความสมั พันธใ ดๆอยางใดอยางหน่งึ
ความสามารถที่แสดงการเกิดทักษะ

– สามารถเรียงลาํ ดบั และแบงกลุมของวัตถุ โดยใชเกณฑใดไดอยางถูกตอง
– สามารถอธบิ ายเกณฑในเรียงลําดบั หรือแบงกลุมได

ทักษะท่ี 5 การหาความสมั พันธร ะหวา งสเปสกบั สเปส และสเปสกับเวลา (Using space/Time
relationships)

สเปสของวตั ถุ หมายถึง ทว่ี า งท่วี ตั ถุนนั้ ครองอยู ซ่ึงอาจมีรูปรางเหมือนกันหรือแตกตา งกับวัตถนุ ั้น
โดยทั่วไปแบง เปน 3 มิติ คือ ความกวาง ความยาว และความสูง ความสมั พันธระหวางสเปสกับสเปสของวัตถุ
ไดแ ก ความสมั พันธระหวา ง 3 มิติ กับ 2 มิติ ความสัมพันธระหวา งตาํ แหนงทอ่ี ยูของวัตถุหนึ่งกับวตั ถุหน่ึง

ความสมั พนั ธร ะหวางสเปสของวัตถกุ บั เวลา ไดแก ความสมั พันธของการเปลย่ี นแปลงตําแหนงของ
วตั ถกุ ับชวงเวลา หรอื ความสัมพันธข องสเปสของวัตถุท่ีเปล่ียนไปกับชวงเวลา
ความสามารถทแ่ี สดงการเกิดทกั ษะ

– สามารถอธบิ ายลกั ษณะของวตั ถุ 2 มิติ และวัตถุ 3 มิติ ได
– สามารถวาดรูป 2 มิติ จากวตั ถุหรือรปู 3 มิติ ท่ีกําหนดใหได
– สามารถอธิบายรปู ทรงทางเราขาคณิตของวัตถุได
– สามารถอธิบายความสมั พนั ธระหวางวัตถุ 2 มติ ิ กบั 3 มิติได เชน ตาํ แหนง หรอื ทศิ ของวตั ถุ และ
ตําแหนง หรอื ทิศของวัตถตุ ออีกวัตถุ
– สามารถบอกความสมั พนั ธของการเปลย่ี นแปลงตาํ แหนงของวตั ถุกับเวลาได
– สามารถบอกความสัมพนั ธของการเปล่ียนแปลงขนาด ปรมิ าณของวตั ถุกบั เวลาได

ทักษะที่ 6 การจดั กระทาํ และสอ่ื ความหมายขอมลู (Communication)
หมายถงึ การนําขอมูลท่ีไดจากการสังเกต และการวัด มาจัดกระทําใหม ีความหมาย โดยการหาความถี่

การเรียงลําดับ การจดั กลุม การคาํ นวณคา เพ่อื ใหผ ูอืน่ เขาใจความหมายไดดขี ึน้ ผา นการเสนอในรูปแบบของ
ตาราง แผนภูมิ วงจร เขยี นหรือบรรยาย เปน ตน
ความสามารถท่ีแสดงการเกิดทกั ษะ

– สามารถเลอื กรูปแบบ และอธิบายการเลอื กรปู แบบในการเสนอขอ มลู ทเ่ี หมาะสมได
– สามารถออกแบบ และประยุกตการเสนอขอมลู ใหอยใู นรูปใหมท ีเ่ ขาใจไดงา ย
– สามารถเปล่ยี นแปลง ปรบั ปรุงขอ มูลใหอยูในรปู แบบท่ีเขา ใจไดงา ย
– สามารถบรรยายลักษณะของวัตถุดวยขอความทเ่ี หมาะสม กะทดั รดั และส่ือความหมายใหผูอ่ืน
เขา ใจไดงา ย

ทกั ษะที่ 7 การลงความเห็นจากขอมลู (Inferring)
หมายถึง การเพิม่ ความคดิ เห็นของตนตอขอมลู ทีไ่ ดจ ากการสงั เกตอยางมีเหตุผลจากพ้ืนฐานความรู

หรือประสบการณท่ีมีความสามารถท่แี สดงการเกดิ ทักษะ คือ สามารถอธบิ ายหรอื สรปุ จากประเดน็ ของการ
เพ่ิมความคดิ เหน็ ของตนตอขอมูลท่ีไดม า

ทกั ษะที่ 8 การพยากรณ (Predicting)
หมายถึง การทาํ นายหรือการคาดคะเนคําตอบ โดยอาศัยขอมูลที่ไดจ ากการสังเกตหรอื การทาํ ซาํ้ ผาน

กระบวนการแปรความหายของขอมูลจากสัมพนั ธภายใตความรทู างวทิ ยาศาสตร
ความสามารถท่แี สดงการเกิดทกั ษะ คือ สามารถทํานายผลทอ่ี าจจะเกิดขนึ้ จากขอ มูลบนพ้ืนฐาน

หลักการ กฎ หรือทฤษฎที ่มี ีอยู ท้งั ภายในขอบเขตของขอ มูล และภายนอกขอบเขตของขอมลู ในเชิงปริมาณได

2. ระดับทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรข้ันบรู ณาการ 5 ทกั ษะ
เปนทักษะกระบวนการขนั้ สูงที่มีความซบั ซอนมากข้ึน เพื่อแสวงหาความรู โดยใชทกั ษะกระบวนการ

ทางวิทยาศาสตรขนั้ พน้ื ฐาน เปน พ้นื ฐานในการพฒั นา ประกอบดวย
ทกั ษะท่ี 9 การตั้งสมมติฐาน (Formulating hypotheses)

หมายถงึ การต้ังคําถามหรือคิดคาํ ตอบลวงหนา กอ นการทดลองเพื่ออธิบายหาความสมั พันธระหวา งตัว
แปรตา ง ๆ วามีความสัมพนั ธอยา งไรโดยสมมตฐิ านสรา งข้ึนจะอาศยั การสังเกต ความรู และประสบการณ
ภายใตหลักการ กฎ หรือทฤษฎที ่สี ามารถอธิบายคาํ ตอบได
ความสามารถท่แี สดงการเกิดทกั ษะ

– สามารถตั้งคําถามหรือคดิ หาคําตอบลวงหนา กอ นการทดลองได
– สามารถตั้งคาํ ถามหรือคิดหาคาํ ตอบลว งหนา จากความสัมพนั ธระหวา งตัวแปรตางๆได

ทกั ษะที่ 10 การกําหนดนิยามเชิงปฏิบัตกิ าร (Defining operationally)
หมายถึง การกําหนด และอธิบายความหมาย และขอบเขตของคําตา ง ๆ ท่ีเก่ียวของกับการศกึ ษาหรือ

การทดลองเพื่อใหเกิดความเขาใจตรงกนั ระหวา งบุคคล
ความสามารถที่แสดงการเกิดทักษะ คอื

สามารถอธิบายความหมาย และขอบเขตของคําหรือตวั แปรตา ง ๆทเ่ี ก่ียวของกับการศึกษา และการ
ทดลองได

ทักษะที่ 11 การกาํ หนด และควบคมุ ตัวแปร (Identifying and controlling variables)
หมายถงึ การบงชี้ และกาํ หนดลักษณะตัวแปรใดๆใหเปนเปนตวั แปรอสิ ระหรือตวั แปรตน และตวั แปร

ใดๆใหเปนตวั แปรตาม และตัวแปรใดๆใหเ ปนตัวแปรควบคุม
ตวั แปรตน คอื ส่งิ ทีเ่ ปน สาเหตุทีท่ าํ ใหเ กิดผลหรอื ส่ิงทีต่ องการทดลองเพ่ือใหทราบวาเปนสาเหตขุ อง

ผลที่เกิดข้ึนหรอื ไม
ตวั แปรตาม คอื ผลทีเ่ กดิ จากการกระทาํ ของตวั แปรตนในการทดลอง
ตัวแปรควบคุม คือ ปจจัยอ่นื ๆ นอกเหนือจากตัวแปรตนที่อาจมผี ลมีตอการทดลองทตี่ อ งควบคุมให

เหมอื นกันหรือคงทข่ี ณะการทดลอง
ความสามารถทแ่ี สดงการเกิดทกั ษะ คือ สามารถกาํ หนด และอธบิ ายตวั แปรตน ตัวแปรตาม และตัวแปร
ควบคมุ ในการทดลองได

ทักษะที่ 12 การทดลอง (Experimenting) หมายถงึ กระบวนการปฏิบัติ และทาํ ซํ้าในขนั้ ตอนเพอื่ หาคาํ ตอบ
จากสมมตฐิ าน แบง เปน 3 ข้ันตอน คือ

1. การออกแบบการทดลอง หมายถงึ การวางแผนการทดลองกอนการทดลองจรงิ ๆ เพ่ือกาํ หนด
วิธกี าร และขนั้ ตอนการทดลองทสี่ ามารถดําเนินการไดจริง รวมถึงวธิ กี ารแกไขปญ หาอุปสรรคทอ่ี าจเกดิ ข้ึน
ขณะทําการทดลองเพ่ือใหก ารทดลองสามารถดาํ เนนิ การใหสาํ เรจ็ ลลุ วงดวยดี

2. การปฏบิ ตั กิ ารทดลอง หมายถงึ การปฏิบัติการทดลองจรงิ
3. การบนั ทกึ ผลการทดลอง หมายถึง การจดบันทึกขอ มลู ท่ีไดจ ากการทดลองซ่ึงอาจเปนผลจากการ
สังเกต การวดั และอื่น ๆ

ความสามารถท่แี สดงการเกิดทักษะ
– สามารถออกแบบการทดลอง และกําหนดวธิ ี ขน้ั ตอนการทดลองไดถูกตอ ง และเหมาะสมได
– สามารถระบุ และเลอื กใชอุปกรณใ นการทดลองอยางเหมาะสม
– สามารถปฏบิ ตั ิการทดลองตามขัน้ ตอนไดอยา งถูกตอง
– สามารถบันทกึ ผลการทดลองไดอยา งถูกตอง

ทักษะท่ี 13 การตคี วามหมายขอ มูล และการลงขอมลู (Interpreting data and conclusion)
หมายถึง การแปรความหมายหรอื การบรรยายลักษณะและสมบัติของขอมูลทีม่ ีอยู การตีความหมาย

ขอ มลู ในบางครง้ั อาจตองใชทักษะอน่ื ๆ เชน ทกั ษะการสังเกต ทักษะการคาํ นวณ
การลงขอมูล หมายถึง การวิเคราะห และการสรปุ ผลความสัมพนั ธของขอมลู สรุปประเด็นสําคญั ของ

ขอ มลู ที่ไดจ ากการทดลองหรือศกึ ษา
ความสามารถทแี่ สดงการเกิดทักษะ คอื

– สามารถในการวิเคราะห และสรุปประเด็นสาํ คัญ รวมถงึ การแปลความหมายหรือบรรยายลกั ษณะ
ของขอมูล
– สามารถบอกความสมั พันธของขอ มูลได
ทักษะท่ี 14 การสรา งแบบจาํ ลอง (Formulating models)
หมายถงึ การนําเสนอขอมูล แนวคดิ คววามคดิ รวยอดเพ่ือใหผ ูอ ่ืนเขา ใจในรูปแบบของแบบจําลอง
ตางๆ เชน กราฟ รปู ภาพ ภาพเคลื่อนไหว วัสดุ สิ่งของ สง่ิ ประดิษฐ หนุ เปนตน

เอกสารอางองิ
สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตร, สถาบัน.คูมือการใชห ลกั สตู รวิทยาศาสตรฉบับอนาคต ชนั้ มัธยมศกึ ษาปท่ี 1

สาขาวิทยาศาสตรม ัธยมศึกษาตอนตน. กรงุ เทพฯ : ครุ สุ ภา ลาดพรา ว,2556
สง เสริมการสอนวิทยาศาสตร,สถาบนั .หนังสือรายวชิ าวิทยาศาสตร ชัน้ มธั ยมศึกษาปท ่ี 1 เลม 1. กรงุ เทพฯ :

ครุ สุ ภา ลาดพราว,2553
สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตร, สถาบนั .หนงั สอื รายวิชาวทิ ยาศาสตร ช้นั มัธยมศึกษาปท ่ี 1 เลม 2. กรุงเทพฯ :

คุรุสภา ลาดพรา ว,2553
สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร,สถาบัน.หนังสอื รายวชิ าเพิ่มเตมิ ฟสกิ ส เลม 3 ช้นั มัธยมศึกษาปที่ 4-6 กลมุ สาระ

การเรียนรูวทิ ยาศาสตร ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพน้ื ฐาน พุทธศักราช 2551. กรงุ เทพฯ :
คุรสุ ภา ลาดพรา ว,2556
ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร สืบคนเม่ือวนั ที่ 18 มิถุนายน 2562 จาก
https://www.siamchemi.com/%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%
B0%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%B
2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C/

ใบกจิ กรรมการเรยี นรู

ทกั ษะการสังเกต

คําชี้แจง ใหน ักเรียนศกึ ษาขอมูลแลวตอบคําถามใหถ กู ตอง

ชอ่ื -สกุล .....................................................................ชื่อเลน .................. ช้นั .............. เลขที่ .........

1. ขอ ใดเปน การบนั ทกึ การสงั เกตทดี่ ใี หท ําเครอื่ งหมาย / หนาขอ ความ
........... 1) เมฆคร้มึ ฝนตกแนๆ
........... 2) หอ งน้กี วา งประมาณ 3 เมตร ยาวประมาณ 5 เมตร
........... 3) ถาลมพดั มา เปลวเทยี นจะดับ
........... 4) ของเหลวในถว ยใบนมี้ รี สเค็ม
........... 5) นํา้ มนั เบาลอยนํ้าได
........... 6) นาฬกิ าเรือนเล็กเดินดงั ก๊กิ ๆ
........... 7) ผาสีแดงผืนนเี้ นื้อบาง

2. ฝก วิเคราะหขอมลู แลวทาํ เคร่อื งหมาย / ในชองวางใหถูกตอ ง
ประเภทของขอ มูล ประสาทสัมผัสท่ีใช
ที่ สิง่ ท่ีสังเกตได ปริมาณ คณุ ภาพ ตา หู จมกู ล้ิน กาย
สมั ผสั
1 น้ําตาลมรี สหวาน
2 กอ นหินกอนน้มี ีผิวเรียบ
3 ดอกมะลมิ ีกลิน่ หอม
4 เงาะถุงนีห้ นกั ประมาณ 1 กิโลกรัม
5 ดนิ แปลงนี้มลี กั ษณะรว นซุย
6 นกตัวนรี้ อ งเสยี งดงั
7 คนเขาหองสมุด 20 คน
8 อาหารจานนี้มรี สเผ็ด
9 ฟองนํ้าชนิ้ นมี้ เี นอื้ แขง็
10 นิทานเร่ืองน้ีมคี าํ ศัพทท ีไ่ มท ราบ
ความหมาย จาํ นวน 50 คํา
11 ตูเสอ้ื ผา มลี กั ษณะเปนรปู ทรงส่ีเหลี่ยม
12 หอ งนอนหองนีม้ ี2ประตู6หนา ตาง
13 มาริโอสงู ประมาณ170 เซนตเิ มตร
14 เทง เถดิ เทิงรองเพลงกนิ ตบั ไดเพราะมาก
15 หองนํ้าหองนี้ยาวประมาณ 8 เมตร

ใบกจิ กรรมการเรียนรู

ทกั ษะการลงความเหน็ จากขอมลู

คําชแี้ จง ใหนกั เรียนศกึ ษาขอมลู แลว ตอบคาํ ถามใหถกู ตอง

ชอื่ -สกุล .....................................................................ชือ่ เลน .................. ชน้ั .............. เลขท่ี .........
คาํ สง่ั ใสเคร่อื งหมาย x หนาขอความท่เี ปนทักษะการสังเกตและ

ใสเ ครอ่ื งหมาย / หนาขอ ความท่เี ปนทักษะการลงความเห็นจากขอมลู
.......... 1. ดา งทบั ทิมละลายน้ําแลว เหน็ เปน สมี ว ง
.......... 2. หอ งเรียนนมี้ ี 2 ประตู หนา ตาง 4 บาน
.......... 3. ผูชายท่แี ตงกายขะมกุ ขะมอม มีอาชพี กวาดถนน
.......... 4. ถา ลมพดั มา ตะเกยี งน้ํามันจะดับ
.......... 5. ของเหลวในถว ยใบนมี้ รี สหวาน
.......... 6. โฟมเบาลอยนํ้าได
.......... 7. นาฬิกาเรือนเล็ก มีเสียงเดนิ ดังตก๊ิ ๆ
.......... 8. ผาสีขาวผืนน้เี นือ้ บาง
.......... 9. แชผักลงในผงฟูทําใหลางสารเคมีได
.......... 10. แมวตัวนม้ี ขี นนม่ิ
.......... 11. อโี นที่ละลายนา้ํ ในแกว ใบนี้ มีกลิน่ คลา ยมะนาว
.......... 12. สนุ ขั ชอบแทะกระดกู มาก
.......... 13. ชา งชอบกินถว่ั ฝก ยาว
.......... 14. ขนมปงแผนน้ี ยาวประมาณ 3 นิ้ว
.......... 15. ฟองน้าํ มีเนื้อนุมมาก
.......... 16. นํ้ามันลอยนาํ้ ไดเ พระมคี วามหนาแนน นอยกวา นํ้า
.......... 17. ผชู ายที่สวมหมวกสชี าว ใสแวนตาดํา เปนคนตาบอด
.......... 18. ฟองแกสทีผ่ ุดขึ้นในขวดนา้ํ อดั ลม คือ แกสคารบอนไดออกไซด
.......... 19. มะพรา วตนนสี้ ูงประมาณ 10 เมตร
.......... 20. เม่ือยานอวกาศเคล่อื นทเ่ี ขา สบู รรยากาศโลกจะเกิดเปลวไฟลุกไหมขน้ึ เพราะเกดิ การเสยี ดสี

กับบรรยากาศโลกยา งแรงงมาก

ใบกจิ กรรมการเรยี นรู

ทกั ษะการจําแนกประเภท

คําชี้แจง ใหนกั เรยี นศกึ ษาขอ มลู แลว ตอบคาํ ถามใหถูกตอ ง

ชอ่ื -สกุล .....................................................................ช่ือเลน .................. ชน้ั .............. เลขที่ .........

แบบฝกทกั ษะชดุ ที่ 3 ทักษะการจําแนกประเภท
1. จากขอความที่กําหนด ใหนกั เรยี นแยกหรือจาํ แนกเปน พวกๆตามเกณฑท่ีกําหนดให
น้ําแข็ง นา้ํ ตาล ออกซเิ จน นํา้ เปลา กอนหิน ไอนํา้ น้ําเกลือ
ของแข็ง ของเหลว แกส

___________________ ___________________ _________________

___________________ ___________________ _________________

2. จากขอความที่กาํ หนด ใหนกั เรียนแยกหรือจาํ แนกเปน พวกๆตามเกณฑท ่ีกําหนดให
หญา ตนมะมวง ขาวโพด ตน ขาว หญาแฝก ตน ฝรัง่
ใบเลย้ี งเดีย่ ว ใบเล้ยี งคู

_______________________________________ __________________________________

_______________________________________ __________________________________

3. จากขอความที่กําหนด ใหนกั เรยี นแยกหรือจาํ แนกเปน พวกๆตามเกณฑท ่ีกําหนดให
ชาง ไสเดือน ลงิ แมว กง้ิ กือ หมกึ
มกี ระดกู สันหลัง ไมมกี ระดูกสนั หลัง

_______________________________________ ___________________________________

_______________________________________ ___________________________________

4. จากขอความที่กําหนด ใหนักเรียนแยกหรือจําแนกเปน พวกๆตามเกณฑท ่ีกาํ หนดให
มา คางคก เพนกวนิ เตา กงิ้ กา ฉลาม โลมา งู
ไก ปลาชอน วาฬ จระเข กบ อ่งึ อา ง นกยูง

เลยี้ งลูกดวยนม ปก เลื้อยคลาน ครงึ่ บกครง่ึ น้าํ ปลา
_____________
_____________ _____________ _____________ _____________
_____________
_____________ _____________ _____________ _____________
_____________
_____________ _____________ _____________ _____________

ใบกจิ กรรมการเรียนรู

ทกั ษะการวดั

คําชแ้ี จง ใหน ักเรียนศึกษาขอมูลแลว ตอบคําถามใหถ ูกตอง

ชอื่ -สกุล .....................................................................ชอ่ื เลน .................. ชนั้ .............. เลขที่ .........

1. ใหนกั เรียนเตมิ คําลงในชองวางใหถูกตอง

A

1) เสน รอบรูปของวงรี A มคี วามยาว..................เซนตเิ มตร
เครอื่ งมือท่ีใชวดั คือ........................................... ...............

B 2) รูปสี่เหล่ียม B มคี วามยาว..................เซนตเิ มตร
มีความกวาง..................เซนตเิ มตร

เครือ่ งมอื ที่ใชว ัดคอื ..........................................................

3) เสนหยักนมี้ ีความยาว..................เซนติเมตร

เครื่องมือท่ีใชวดั คอื ..........................................................
2. ใหนักเรยี นบอกเคร่ืองมือท่ใี ชวัดปริมาณของสิ่งตา งๆตอไปน้ี
........................... 1) ความกวางของหองเรยี น ........................... 2) ปรมิ าตรนา้ํ ตาลทรายในขวด
........................... 3) อุณหภมู ขิ องนํ้าในบอ ............................4) ความสูงของเด็กชายณเดช
........................... 5) ความกวางของสนามฟุตบอล
........................... 6) ความยาวของลูว่งิ ........................... 7) ความลกึ ของบอนํา้
3. ใหนักเรยี นเลือกอุปกรณท ่ีกาํ หนดให ทําการวัดพรอมท้ังบันทกึ ผลที่ได
คร้งั ที่ หนว ย
ส่ิงที่วัด ปรมิ าณ 1 23 เฉลี่ย เคร่อื งมือ ของการ
ทีใ่ ชวดั
วัด
1. โตะนักเรยี น ความกวา ง
ความยาว
ความสงู
2. กลองชอลก นาํ้ หนัก
ปรมิ าตร
3. กอ นหนิ นํา้ หนกั
ปริมาตร
4. นา้ํ อุณหภมู ิ
ปริมาตร

ใบกจิ กรรมการเรยี นรู

ทกั ษะการคํานวณ

คําชีแ้ จง ใหน ักเรียนศึกษาขอ มูลแลว ตอบคาํ ถามใหถ ูกตอ ง

ชอื่ -สกุล .....................................................................ชอื่ เลน .................. ชนั้ .............. เลขท่ี .........
คาํ สงั่ จากโจทยท ่ีกําหนดให จงหาคา ตามทีโ่ จทยต อ งการทราบ
1. ณเดชมเี งิน 150 บาท คุณแมให 40 บาท คุณพอให 80 บาท เขาซ้ือขนมไป 15 บาท ซอ้ื สมดุ 2 เลม ราคา
เลมละ 6 บาท ซ้ือปากกาไป 7 ดา ม ราคาดามละ 10 บาท ณเดชจะเหลือเงนิ เทา ใด
วิธีทํา .....................................................................................................................................................

.................................................... .................................................................................................
.....................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................
2. ใหนกั เรยี นทําการวัดความยาวของเสนตรงขางลา งน้ี
ครงั้ ที่ 1 วัดได ........................ เซนติเมตร
ครงั้ ที่ 2 วดั ได ........................ เซนตเิ มตร
ครัง้ ที่ 3 วดั ได ........................ เซนตเิ มตร
ครง้ั ที่ 4 วดั ได ........................ เซนติเมตร
คาเฉล่ียของเสน ตรงน้ี = ……………………………………………………..เซนตเิ มตร
3. รถจกั รยานคนั หน่งึ แลนไดระยะทาง 150 กิโลเมตร ในเวลา 3 ชว่ั โมง จงหาวารถจักรยานคันน้ีแลน ดวย
ความเรว็ ช่วั โมงละก่ีกิโลเมตร
วธิ ีทาํ .....................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................
4. ในการทดลองหาคาความเรง เน่อื งจากแรงโนม ถวงของโลกไดทํากจิ กรรมทดลอง 8 ครงั้ ไดค าจากการ
ทดลองดงั นี้ 9.6 , 9.5 , 9.9 , 9.7 , 9.9 , 9.7 , 10.3 และ 9.0 เมตรตอวินาทีกําลังสอง จงหาคาเฉลยี่ ของ
ความเร็วเน่ืองจากแรงโนม ถวงของโลก
วธิ ที ํา .....................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................

ใบกจิ กรรมการเรยี นรู

ทักษะการหาความสมั พนั ธร ะหวา งสเปสกบั สเปสและสเปสกบั เวลา

คาํ ชแี้ จง ใหน ักเรียนศึกษาขอ มูลแลวตอบคําถามใหถกู ตอ ง

ชอ่ื -สกุล .....................................................................ชื่อเลน .................. ช้ัน .............. เลขท่ี .........

คําส่ัง ใหน กั เรยี นทําเคร่อื งหมาย / ลงในชอ งวางท่เี หมาะสมเพ่ือแสดงวา วัตถตุ อไปน้ี
วตั ถุใดมสี เปสเปน 1 มิติ 2 มติ ิ 3 มิติ
วัตถุ 1 มติ ิ 2 มิติ 3 มติ ิ
1. ภาพคนในแผนฟลม
2. ตวั หนงั สือทาํ จากแผน โฟม
3. อนุสาวรยี เจา พอ พญาแล
4. ภาพเขยี นในแผนกระดาษ
5. ดินสอ
6. ผาสําหรับตัดเสอ้ื
7. กระจกเงา
8.
9. กลอ งกระดาษ
10.
11.
12. กลองนม
13. ทรงกระบอก
14.
15. ปรซิ ึม
16. กรวยกลม

ใบกิจกรรมการเรียนรู

ทกั ษะการส่ือความหมายของขอ มูล

คําชีแ้ จง ใหนักเรียนศกึ ษาขอมูลแลว ตอบคาํ ถามใหถ ูกตอ ง

ชือ่ -สกุล .....................................................................ชอื่ เลน .................. ช้ัน .............. เลขท่ี .........
คําส่ัง ใหนกั เรยี นสอ่ื ความหมายของขอมลู ตอไปน้ีดว ยตาราง หรอื แผนภูมวิ งกลม หรอื แผนภูมแิ ทง
1. ตกุ กี้มีสวนขนาดใหญ ซ่งึ ปลกู ตน ไมไวห ลายชนิด เชน ทเุ รยี น 150 ตน มังคุด 200 ตน สม 100 ตน
มะละกอ 100 ตน ชมพู 350 ตน

ใบกจิ กรรมการเรียนรู

ทกั ษะการพยากรณ

คําช้ีแจง ใหน กั เรียนศึกษาขอมูลแลวตอบคําถามใหถกู ตอง

ชอ่ื -สกุล .....................................................................ชื่อเลน .................. ชั้น .............. เลขท่ี .........
คําส่ัง ใหน กั เรียนศึกษาตารางแสดงความสัมพันธระหวา งปริมาณของน้ําแขง็ และเวลาที่ใช

ในการหลอมเหลว
ปริมาณของนาํ้ แข็ง (กรัม) เวลาที่ใชในการหลอมเหลว (นาที)
35 2
45 3
52 5
61 9
70 11

ใหพยากรณป รมิ าณนํ้าแข็ง 50 , 80 กรัม เวลาในการหลอมเหลวเทาใด และระบวุ า เปน การ
พยากรณป ระเภทใด
.....................................................................................................................................................................
...................................................................................................... ...............................................................
.....................................................................................................................................................................

ใบกิจกรรมการเรยี นรู

ทกั ษะการกาํ หนดและควบคมุ ตวั แปร

คาํ ชแี้ จง ใหน กั เรยี นศึกษาขอมลู แลว ตอบคาํ ถามใหถกู ตอ ง

ชือ่ -สกุล .....................................................................ชอ่ื เลน .................. ชัน้ .............. เลขท่ี .........
คําสั่ง จากขอ ความในแตละขอ ตอไปนี้ ใหเขยี นตัวแปรที่เกยี่ วของในชองวา งท่ีเวน ไว
1. ความสงู ของตน ถว่ั ข้นึ อยูก ับปรมิ าณของนํ้าท่ตี น ถ่วั ไดร บั
ตัวแปรอิสระ/ตวั แปรตน คือ .......................................................................................................................
ตัวแปรตาม คือ ...........................................................................................................................................
2. ปรมิ าณของแสงท่ีแตกตางกันในแตล ะวันมีผลตอ จํานวนของไขท ่ีถกู ฟกออกมา
ตัวแปรอสิ ระ/ตวั แปรตน คือ .......................................................................................................................
ตัวแปรตาม คือ ...........................................................................................................................................
3. เมือ่ น้ํามีอณุ หภมู สิ ูงขึน้ ไขท่ีตมจะสุกเรว็ ขนึ้
ตวั แปรอสิ ระ/ตวั แปรตน คือ .......................................................................................................................
ตัวแปรตาม คือ ...........................................................................................................................................
4. หญา จะสงู ขน้ึ ถาไดรบั ปรมิ าณนา้ํ และปุยมากขนึ้
ตวั แปรอสิ ระ/ตัวแปรตน คือ .......................................................................................................................
ตวั แปรตาม คอื ...........................................................................................................................................
5. เวลาท่ีใชในการว่งิ 1 กิโลเมตรขึน้ อยูกับปริมาณของการออกกาํ ลงั กาย
ตัวแปรอสิ ระ/ตัวแปรตน คือ .......................................................................................................................
ตัวแปรตาม คือ .................................................................................................... .......................................
6. การงอกของเมล็ดขาวโพดในเวลาท่ตี า งกันขน้ึ อยกู ับปรมิ าณของน้าํ ที่ไดรับใชห รอื ไม
ตัวแปรอสิ ระ/ตัวแปรตน คือ .......................................................................................................................
ตัวแปรตาม คือ ...........................................................................................................................................
7. เม่อื อุณหภูมขิ องอากาศสงู ข้นึ อากาศจะขยายตวั มากขนึ้
ตัวแปรอิสระ/ตัวแปรตน คือ .......................................................................................................................
ตัวแปรตาม คอื ...........................................................................................................................................
8. วัตถทุ ีม่ ีสเี ขมหรือดําจะดูดรังสคี วามรอ นไวไดมากกวา วตั ถุสขี าวหรอื สอี อน
ตัวแปรอสิ ระ/ตัวแปรตน คือ .......................................................................................................................
ตัวแปรตาม คือ ...........................................................................................................................................
9. แมเ หล็กไฟฟา จะดดู จํานวนตะปไู ดมากขึ้นใชหรือไม ถาแมเ หล็กๆฟฟานั้น มีจาํ นวนแบตเตอรเี พิ่มขึ้น
ตวั แปรอสิ ระ/ตัวแปรตน คือ .......................................................................................................................
ตัวแปรตาม คือ ...........................................................................................................................................
ตัวแปรที่ควบคมุ คือ ...................................................................................................................................

ใบกจิ กรรมการเรยี นรู

ทักษะการตั้งสมมติฐาน

คําช้แี จง ใหน ักเรยี นศึกษาขอ มูลแลวตอบคําถามใหถกู ตอง

ชื่อ-สกุล .....................................................................ชือ่ เลน .................. ช้นั .............. เลขที่ .........
คาํ ส่งั ใหนกั เรยี นพจิ ารณาขอความตอ ไปน้ีวา ...
1. ขอความใดบางเปน การสงั เกต การลงความเหน็ หรอื การตั้งสมมติฐาน โดยนาํ อกั ษรหนาขอ ความท่ี
กาํ หนดใหมาใสใ นชองวา งที่กาํ หนดใหข างลา ง

ก. ขณะเปดขวดมเี สยี งดักปอก
ข. ฟองแกสท่ีผดุ ขึ้นคอื แกสคารบ อนไดออกไซด
ต. เครอื่ งด่ืมท่เี ก็บไวในตูเย็นจะมรี สหวาน
ง. ความเยน็ ของขวดทําใหไอนํา้ ในอากาศกลน่ั ตัวเปนหยดน้ําเกาะรอบขวด
จ. นาํ้ อดั ลมจะเสยี ถา ไมแชเย็น
ฉ. น้ําอัดลมทุดชนดิ เม่ือเปด แลว จะมฟี อง
1.1 ขอ ความทเี่ ปน การสังเกต ไดแก ......................................................................................
1.2 ขอความที่เปนการลงความเห็น ไดแก .............................................................................
1.3 ขอความที่เปน การตั้งสมมตฐิ าน ไดแ ก .............................................................................
2. จากปญหาตอไปน้ี ใหนกั เรียนบอกชื่อตัวแปรพรอ มกับการต้ังสมมตฐิ าน
ปญ หา อะไรมผี ลตอความเรว็ ของรถ
2.1 นกั เรยี นคิดวามีตัวแปรอะไรบางท่มี ีผลตอ ความเร็วของรถ
ก. ................................................................................................................................................
ข. ...............................................................................................................................................
2.2 ต้งั สมมติฐานทเ่ี กี่ยวของกบั ตัวแปรเหลา นนั้
ก. ................................................................................................................................................
ข. ...............................................................................................................................................
ปญหา .................................................................................................................
2.3 นกั เรยี นคิดวามีตัวแปรอะไรบา งทมี่ ีผลตอ .................................................................................
ก. ................................................................................................................................................
ข. ...............................................................................................................................................
2.4 ต้ังสมมตฐิ านที่เก่ียวของกบั ตัวแปรเหลา นั้น
ก. ................................................................................................................................................
ข. ...............................................................................................................................................

ใบกิจกรรมการเรยี นรู

ทกั ษะการใหค ํานยิ ามเชงิ ปฏบิ ัตกิ ารของตวั แปร

คําชแี้ จง ใหน กั เรียนศกึ ษาขอมูลแลว ตอบคาํ ถามใหถ ูกตอง

ช่ือ-สกุล .....................................................................ชอ่ื เลน .................. ช้นั .............. เลขที่ .........

คาํ ส่ัง ใหนักเรียนพจิ ารณานยิ ามของสิ่งของตอ ไปน้ีวา นิยามขอใดเหมาะสมทจ่ี ะเปน นยิ าม
เชิงปฏิบัติการ
1. แกส ออกซเิ จนเปน แกสที่ไมม ีกล่ิน แตล ะโมเลกุลประกอบดวยธาตอุ อกซิเจน 2 อะตอม
( ) นิยามเชงิ ปฏบิ ตั กิ าร ( ) นยิ ามท่ัวๆไป
2. ตัวนาํ ไฟฟา คอื วัตถหุ รอื ส่ิงตา งๆทเี่ ม่ือนําเคร่อื งตรวจสอบการนําไฟฟามาแตะแลว ไฟติด
( ) นยิ ามเชิงปฏิบัติการ ( ) นยิ ามทว่ั ๆไป
3. เปดเปน สตั วป กชนิดหนงึ่ มี 2 ขาไมส ามารถบนิ ได
( ) นิยามเชิงปฏิบัติการ ( ) นิยามทว่ั ๆไป
4. แคลอร่ี คือหนวยวดั ปรมิ าณความรอ น
( ) นยิ ามเชิงปฏบิ ตั ิการ ( ) นยิ ามทัว่ ๆไป
5. ความหนาแนน คือ ผลที่ไดจากการหาคามวลของวัตถุซ่ึงมหี นว ยเปนกรัมตอปริมาตร 1 ลูกบาศกเซนตเิ มตร
( ) นยิ ามเชงิ ปฏิบัติการ ( ) นิยามทั่วๆไป
6. แรงโนมถว งของวัตถเุ ปนแรงดงึ ดูดซึง่ กนั และกนั ของวตั ถุ ดวยแรงที่เปนสัดสว นโดยตรงกบั ผลคณู ของมวลท้ัง
สอง และเปน สดั สวนผกผันกับกําลังสองของระยะทางระหวางวัตถุ
( ) นิยามเชงิ ปฏบิ ัตกิ าร ( ) นิยามทว่ั ๆไป
7. แรงคืออาํ นาจที่ทําใหส ภาวการอยนู ิง่ หรือเคล่ือนท่ดี วยความเรว็ คงท่ีของวัตถุเปลย่ี นไป
( ) นิยามเชิงปฏบิ ัตกิ าร ( ) นิยามท่วั ๆไป
8. สภาพไรน ํ้าหนัก คือ สภาพที่แรงสศู ูนยก ลางเทากบั แรงโนมถว งพอดี
( ) นยิ ามเชิงปฏิบตั ิการ ( ) นิยามทัว่ ๆไป
9. แรงเสียดทาน คอื แรงทก่ี ระทาํ ในทศิ ทางตรงกนั ขา มกับการเคลือ่ นทข่ี องวัตถุแรงเสยี ดทานจะมีคามากถา
นาํ้ หนกั ที่กดมีคา มาก และผวิ ทจ่ี ดุ สมั ผัสของวตั ถุทงั้ สองขรุขระ
( ) นยิ ามเชงิ ปฏบิ ัตกิ าร ( ) นยิ ามท่วั ๆไป
10. ความเร็วเปนอตั ราการเปล่ยี นแปลงของระยะทางทีห่ า งจากจุดตัง้ ตน เทยี บกับเวลาในทิศท่ีกาํ หนดให
( ) นยิ ามเชงิ ปฏิบัติการ ( ) นิยามทัว่ ๆไป
11. นิวตัน คอื หนว ยของแรง
( ) นยิ ามเชงิ ปฏิบตั ิการ ( ) นยิ ามทว่ั ๆไป
12. แรงขนาน 2 แรง ท่ีมขี นาดเทา กัน และทิศทางตรงกนั ขาม เรยี กวา แรงคูควบ
( ) นยิ ามเชงิ ปฏบิ ัติการ ( ) นยิ ามท่ัวๆไป

ใบกจิ กรรมการเรยี นรู

ทักษะการทดลอง

คาํ ช้แี จง ใหนักเรียนศึกษาขอ มูลแลวตอบคาํ ถามใหถูกตอ ง

ชื่อ-สกุล .....................................................................ช่อื เลน .................. ชน้ั .............. เลขท่ี .........
คําสง่ั ใหน ักเรยี นออกแบบการทดลองจากปญหาตอ ไปนี้
ปญ หา ลกู บอลจะกระเดงสูงขึ้นหรือไม ถา ปลอ ยลกู บอลจากระดับท่ีสงู ขึ้นลงสพู นื้
สมติฐาน ....................................................................................................................................................

....................................................................................................................................................
............................................................................ ........................................................................
ตวั แปรตน ............................................................................................................................
ตัวแปรตาม ............................................................................................................................
ตวั แปรควบคุม ............................................................................................................................
อปุ กรณ ....................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................
วิธที ดลอง ............................................................................................................................

............................................................................................................................
............................................................................................................................
............................................................................................................................
............................................................................................................................
............................................................................................................................
ตารางบนั ทึกผลการทดลอง

ใบกิจกรรมการเรียนรู

ทกั ษะการตีความหมายขอ มูลและลงขอ สรปุ

คําชแี้ จง ใหนกั เรยี นศึกษาขอ มลู แลวตอบคาํ ถามใหถูกตอง

ช่อื -สกุล .....................................................................ช่อื เลน .................. ชั้น .............. เลขที่ .........

คําส่งั ใหน ักเรยี นพิจารณาขอมูลดังตอไปนี้
จากการทดลองละลายสาร A ในของเหลว B จาํ นวน 50 cm3 ท่ีอุณหภมู ิตา งๆกนั ไดผ ลการทดลองดังนี้
อุณหภูมขิ องของเหลว B ( ํC) ปริมาณของสาร A ท่ีละลายในของเหลว B
(g)
20 5
30 10
40 20
50 40

1. ที่อุณหภมู ิ 20 ํC สาร A ละลายในของเหลว B ไดกก่ี รัม
.....................................................................................................................................................................
2. ขณะที่สาร A ละลายในของเหลว B 20 กรมั อุณหภูมิของของเหลว B เปน เทา ไร
.....................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................
3. ทีอ่ ณุ หภมู ิ 40 และ 50 องศาเซลเซยี ส สาร A ละลายในของเหลว B ไดตา งกันเทา ไร
.....................................................................................................................................................................
4. จากขอมลู ในตารางเมือ่ อุณหภมู สิ งู ขน้ึ การละลายของสาร A เปน อยางไร
.....................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................
5. จากผลการทดลองสรุปไดวา อยางไร
.....................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................

เอกสารประกอบการคนควาเพมิ่ เตมิ
หนังสือการสืบคนทางวทิ ยาศาสตร


Click to View FlipBook Version