The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ทฤษฎีพัฒนาการทางสังคม

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by goldflower6969, 2022-11-17 11:58:32

เพียเจต์

ทฤษฎีพัฒนาการทางสังคม

ทฤษฎีพัฒนาการทางเชาว์ปัญญาของเพียเจต์
(Piaget’s Cognitive Development Theory)

เสนอ
ดร.รอง ปัญสังกา

จัดทำโดย
นางสาวชนิดาภา ลาวงค์
รหัสนักศึกษา 6410408022 สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย

รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา จิตวิทยาสำหรับครู
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565
คณะศึกษาศาสตร์ วิทยาลัยสันตพล

คำนำ

รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาจิตวิทยาสำหรับครู
(ED 201) หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่องทฤษฎีพัฒนาการทางสติ
ปัญญาของเพียเจต์เล่มนี้จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ให้ผู้อ่านได้รับความ
รู้เกี่ยวกับทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์
ขอขอบคุณอาจารย์ผู้สอนที่ให้ความรู้ ให้ข้อมูลต่างๆ ที่สำคัญ
และเอกสารในการทำหนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้ ทำให้การทำ
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ครั้งนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี

คณะผู้จัดทำคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้อ่านจะสามารถเข้าใจ
สื่อหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่องทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา
ของเพียเจต์สามารถทำความเข้าใจได้ง่ายและสามารถนำความรู้ที่
ได้รับมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ หากเกิดจ้อผิดพลาด
ประการใด ทางคณะผู้จัดทำต้องขออภัยมา ณ ที่นี้

นางสาวชนิดาภา ลาวงค์
15 พฤศจิกายน 2565

ทฤษฎีพัฒนาการทางเชาว์ปัญญาของเพียเจต์
(Piaget’s Cognitive Development Theory)

ทฤษฎีพัฒนาการทางเชาว์ปัญญาของเพียเจต์
(Piaget’s Cognitive Development Theory)
ชีวประวัติโดยย่อของ Jean Piaget
J​ean William Fritz Piaget Jackson เกิดเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม
พ.ศ. 2439 ณ เมือง Neuchâtelประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เขาเป็น
บุตรหัวปีของศาสตราจารย์วรรณคดียุคกลาง Arthur Piaget และ
Rebecca Jackson

จ​ อห์น เพียเจต์ (พ.ศ. 2439 – 2523) Jean Piaget
(ค.ศ.1896 – 1980) ผู้สร้างทฤษฎีพัฒนาการเชาวน์ปัญญา

ทฤษฎีเกี่ยวกับพัฒนาการเชาวน์ปัญญาที่ผู้เขียนเห็นว่ามี
ประโยชน์สำหรับครู คือ ทฤษฎีของนักจิตวิทยาชาวสวิส ชื่อ
เพียเจต์ (Piaget)
เพียเจต์ได้รับปริญญาเอกทางวิทยาศาสตร์สาขาสัตวิทยาที่
มหาวิทยาลัยNeuchatelประเทศสวิสเซอร์แลนด์
ทฤษฎีของเพียเจต์ตั้งอยู่บนรากฐานของทั้งองค์ประกอบที่
เป็นพันธุกรรม และสิ่งแวดล้อม

ทฤษฎีการเรียนรู้
​เพียเจต์ (Piaget) ได้ศึกษาเกี่ยวกับพัฒนาการทางด้าน
ความคิดของเด็กว่ามีขั้นตอนหรือกระบวนการอย่างไร
ทฤษฎีของเพียเจต์ตั้งอยู่บนรากฐานของทั้งองค์ประกอบที่เป็น
พันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม เขาอธิบายว่า การเรียนรู้ของเด็กเป็น
ไปตามพัฒนาการทางสติปัญญาซึ่งจะมีพัฒนาการไปตามวัยต่างๆ
เป็นลำดับขั้น พัฒนาการเป็นสิ่งที่เป็นไปตามธรรมชาติไม่ควรที่จะ
เร่งเด็กให้ข้ามจากพัฒนาการจากขั้นหนึ่งไปสู่อีกขั้นหนึ่ง เพราะ
จะทำให้เกิดผลเสียแก่เด็ก แต่การจัดประสบการณ์ส่งเสริม
พัฒนาการของเด็กในช่วงที่เด็กกำลังจะพัฒนาไปสู่ขั้นที่สูงกว่า
สามารถช่วยให้เด็กพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว

​เพียเจต์ เน้นความสำคัญของการเข้าใจธรรมชาติและ
พัฒนาการของเด็กมากกว่าการกระตุ้นเด็กให้มีพัฒนาการเร็วขึ้น

​เพียเจต์สรุปว่า พัฒนาการของเด็กสามารถอธิบาย
ได้โดยลำดับระยะพัฒนาทางชีววิทยาที่คงที่แสดงให้ปรากฏ
โดยปฏิสัมพันธ์ของเด็กกับสิ่งแวดล้อม

แนวคิดพื้นฐาน
มนุษย์ทุกคนมีความพร้อมที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม
ตั้งแต่เกิดพัฒนาการทางสติปัญญา เป็นผลจากการที่บุคคลมี
ปฏิสัมพันธ์ (Interaction) กับโลกภายนอกหรือสิ่งแวดล้อมโดย
บุคคลจะต้องใช้การปรับตัว (Adaptation)เพื่อให้เข้ากับโลก
ภายนอกหรือสิ่งแวดล้อมด้วยการใช้กระบวนการดูดซึม
(Assimilation) และกระบวนการปรับโครงสร้างทางสติปัญญา
(Accommodation) จนทำให้เกิดเกิดเรียนรู้กระบวนการพัฒนา
ของสติปัญญาจะเป็นไปตามลำดับขั้นขึ้นอยู่กับวุฒิภาวะและการ
เรียนรู้ของแต่ละบุคคลลำดับขั้นของการพัฒนาจะเหมือนกันทุก
คน แต่ช่วงเวลาในแต่ละขั้นจะแตกต่างกันไป เพราะอิทธิพลของ
พันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม

แนวคิดสำคัญ
​เด็กแรกเกิดมีความสามารถในการปรับตัว

หลักพัฒนาการตามแนวคิด

เพียเจต์ ให้ชื่อการพัฒนาการของเด็กวัยรุ่นหรือวัย
มัธยมศึกษาว่า Formal Operation สามารถคิดได้แบบผู้ใหญ่
คือ

​- คิดในสิ่งที่เป็นนามธรรมได้
-​ มีความสนใจในปรัชญาชีวิต ศาสนา อาชีพ
-​ สามารถใช้เหตุผลเป็นหลักในการตัดสินใจ
-​ สามารถคิดเหตุผลได้ทั้งอนุมานและอุปมาน
-​ มีหลักการในการให้เหตุผลของตนเอง เกี่ยวกับ
ความยุติธรรม เสมอภาคและมีมนุษยธรรม

ทฤษฎีการเรียนรู้
พัฒนาการทางสติปัญญาของบุคคลเป็นไปตามวัยต่างๆ
1. ขั้นของการใช้ประสาทสัมผัสและกล้ามเนื้อ
ช่วงอายุแรกเกิด – 2 ขวบ คือ ระยะที่ 1 เรียกว่า ขั้นของ
การใช้ประสาทสัมผัสและกล้ามเนื้อ (Sensorimotor Stage)
พฤติกรรมของเด็กในวัยนี้ขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหวเป็นส่วนใหญ่
เช่น การไขว่คว้า การเคลื่อนไหว การมอง การดู เด็กจะ
พัฒนาการแก้ปัญหาโดยไม่ต้องใช้ภาษาเป็นสื่อ เพราะจะ
แสดงออกในรูปของการการกระทำแทน เป็นช่วงเริ่มต้นที่จะเรียน
รู้ในการปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อม เด็กมักจะทำอะไรซ้ำบ่อยๆ ซึ่ง
เกิดจากการเลียนแบบ และจะพยายามแก้ปัญหาแบบลองผิดลอง
ถูกด้วยตัวเอง ดังนั้น การให้ลูกได้ลองทำอะไรด้วยตัวเองจะ
เป็นการพัฒนาสติปัญญาของเด็กวัยนี้

2. ขั้นก่อนปฏิบัติการคิด
ช่วงอายุ 2-7 ปี คือ ระยะที่ 2 เรียกว่า ขั้นเตรียมความคิดที่

มีเหตุผล หรือการคิดก่อนปฏิบัติการ (Preoperational
Stage) พัฒนาการเชาว์ปัญญาของเด็กวัยนี้เน้นไปที่การเรียนรู้
และเริ่มมีพัฒนาการทางภาษาดีขึ้นด้วย โดยสามารถพูดได้เป็น
ประโยค มีการสร้างคำได้มากขึ้น แต่เด็กยังไม่สามารถใช้สติ
ปัญญาคิดได้อย่างเต็มที่ แบ่งได้เป็น 2 ช่วง คือ
​-ขั้นก่อนเกิดสังกัป (Preconceptual Thought) สังกัปคือการ
นึกคิด เป็นขั้นพัฒนาการของเด็กอายุ 2-4 ปี ซึ่งเขาจะยึดตัวเอง
เป็นศูนย์กลาง ความคิดของเขาคือ จะโยงความสัมพันธ์ของแต่ละ
เหตุการณ์มาเกี่ยวโยงกัน ซึ่งอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง จะมีความ
เข้าใจต่อสิ่งต่างๆ ในเบื้องต้น เช่น จะเรียกสัตว์ที่มี 4 ขาทั้งหมด
ว่า หมา ซึ่งนั่นเป็นเพราะเขามีขีดจำกัดในการเรียนรู้ และเข้าใจ
อะไรได้ในมิติเดียว สำหรับสิ่งที่จะทำให้เด็กในวัยนี้มีพัฒนาการ
ทางสติปัญญาที่ดีก็คือ การเล่นบทบาทสมมติ

-ขั้นการคิดแบบญาณหยั่งรู้ นึกออกเองโดยไม่ใช้เหตุผล
(Intuitive Thought) เป็นขั้นพัฒนาการของเด็ก อายุ 4-7
ขวบ ขั้นนี้ ถือเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการคิด รู้จักแยก
ประเภทและแยกชิ้นส่วนของ สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้
รู้จักนำความรู้ในสิ่งหนึ่งไปอธิบายหรือแก้ปัญหาอื่นและสามารถ
นำเหตุผลทั่วๆ ไปมาสรุปแก้ปัญหาแต่ไม่ได้วิเคราะห์อย่างถี่ถ้วน
เด็กจะเกิดความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ดีขึ้น แต่การคิด
หาเหตุผลและการตัดสินใจของเด็กยังคงขึ้นอยู่กับสิ่งที่ตนรับรู้
ก​ ารเล่นสำหรับเด็กวัยนี้คือ รูปแบบการเล่นที่มีกฎเกณฑ์และขั้น
ตอนเข้ามาเกี่ยวข้อง รวมไปถึงการเล่นบทบาทสมมติที่มีเรื่อง
ราว ที่สอดคล้องกันอย่างมีเหตุมีผล

3. ขั้นปฏิบัติการคิดด้านรูปธรรม
ช่วงอายุ 7-11 ขวบ คือ ระยะที่ 3 เรียกว่า ขั้นคิดอย่างมี

เหตุผลและเป็นรูปธรรม (Concrete Operation Stage)
เด็กในวัยนี้จะสามารถใช้เหตุผลในการตัดสินใจปัญหาต่างๆ ได้ดี
ขึ้น มีพัฒนาการทางด้านสติปัญญาหลายด้าน คือ สามารถสร้าง
จินตนาการในความคิดของตนขึ้นมาได้ สามารถคิดเปรียบเทียบ
ได้ เรียงลำดับสิ่งต่างๆ ได้ นอกจากนี้ยีงมีความสามารถในการคิด
ย้อนกลับ สามารถจัดกลุ่มหรือจัดการได้อย่างสมบูรณ์ เช่น การ
แบ่งแยกประเภทของสัตว์ สามารถสนทนากับบุคคลอื่นและเข้าใจ
ความคิดของผู้อื่นได้ดี ที่สำคัญคือความสามารถในการจำของเด็ก
ในช่วงนี้มีประสิทธิภาพขึ้น

4. ขั้นปฏิบัติการคิดด้วยนามธรรม
ช่วงอายุตั้งแต่ 11 ขวบขึ้นไป คือ ระยะที่ 4 เรียกว่า

ขั้นของการคิดอย่างมีเหตุผลและอย่างเป็นนามธรรม
(Formal Operation Stage) ในวัยนี้เขาจะไม่คิดจากสิ่งที่เห็น
หรือได้ยินเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่จะคิดถึงสิ่งที่เคยเกิดขึ้นใน
อดีตและคาดเดาถึงอนาคตที่จะเกิดขึ้นข้างหน้า เพื่อให้ได้
สมมติฐานที่สมเหตุสมผลมาสนับสนุนความคิด ซึ่งนั่นหมายถึงเด็ก
จะเริ่มคิดแบบผู้ใหญ่ได้ เข้าใจในสิ่งที่เป็นนามธรรม เป็นตัวของตัว
เอง ต้องการอิสระ ไม่ยึดตนเป็นศูนย์กลาง รู้จักการใช้เหตุผลได้
อย่างมีประสิทธิภา

พัฒนาการทางการรู้คิดของเด็กในช่วงอายุ 6 ปีแรกของชีวิต
ป​ ระสบการณ์สำคัญที่เด็กควรได้รับการส่งเสริม มี 6 ขั้น ได้แก่
1. ขั้นความรู้แตกต่าง (Absolute Differences)

เด็กเริ่มรับรู้ในความแตกต่างของสิ่งของที่มองเห็น
2​ . ขั้นรู้สิ่งตรงกันข้าม (Opposition)

ขั้นนี้เด็กรู้ว่าของต่างๆมีลักษณะตรงกันข้ามเป็น 2 ด้าน
เช่น มี-ไม่มี หรือ เล็ก-ใหญ่
3. ขั้นรู้หลายระดับ (Discrete Degree)

เด็กเริ่มรู้จักคิดสิ่งที่เกี่ยวกับลักษณะที่อยู่ตรงกลางระหว่างปลาย
สุดสอง ปลาย เช่น ปานกลาง น้อย
4. ขั้นความเปลี่ยนแปลงต่อเนื่อง (Variation)

เด็กสามารถเข้าใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของสิ่งต่างๆ
เช่น บอกถึงความเจริญเติบโตของต้นไม้
​5. ขั้นรู้ผลของการกระทำ (Function)

ในขั้นนี้เด็กจะเข้าใจถึงความสัมพันธ์ของการเปลี่ยนแปลง
​6. ขั้นการทดแทนอย่างลงตัว (Exact Compensation)

เด็กจะรู้ว่าการกระทำให้ของสิ่งหนึ่งเปลี่ยนแปลงย่อมมีผลต่ออีก
สิ่งหนึ่งอย่างทัดเทียมกัน

กระบวนการทางสติปัญญามีลักษณะดังนี้
1. การซึมซับหรือการดูดซึม (assimilation)

เป็นกระบวนการทางสมองในการรับประสบการณ์
เรื่องราว และข้อมูลต่าง ๆ เข้ามาสะสมเก็บไว้เพื่อใช้ประโยชน์
2. การปรับและจัดระบบ (accommodation)

กระบวนการทางสมองในการปรับประสบการณ์เดิมและ
ประสบการณ์ใหม่ให้เข้ากันเป็น ระบบหรือเครือข่ายทางปัญญา
ที่ตนสามารถเข้าใจได้ เกิดเป็นโครงสร้างทางปัญญาใหม่ขึ้น
3. การเกิดความสมดุล (equilibration)

เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นจากขั้นของการปรับ หากการปรับ
เป็นไปอย่างผสมผสานกลมกลืนก็จะก่อให้เกิดสภาพที่มีความ
สมดุลขึ้น หากบุคคลไม่สามารถปรับประสบการณ์ใหม่และ
ประสบการณ์เดิมให้เข้ากันได้ ก็จะเกิดภาวะความไม่สมดุลขึ้น
ซึ่งจะก่อให้เกิดความขัดแย้งทางปัญญาขึ้นในตัวบุคคล

การนำไปใช้ในการจัดการศึกษา / การสอน

นักเรียนที่มีอายุเท่ากันอาจมีขั้นพัฒนาการทางสติปัญญาที่
แตกต่างกัน ดังนั้นจึงไม่ควรเปรียบเทียบเด็ก ควรให้เด็กมีอิสระที่จะ
เรียนรู้และพัฒนาความสามารถของเขาไปตามระดับพัฒนาการของ
เขา นักเรียนแต่ละคนจะได้รับประสบการณ์ 2 แบบคือ

ประสบการณ์ทางกายภาพ (physical experiences)
จะเกิดขึ้นเมื่อนักเรียนแต่ละคนได้ปฏิสัมพันธ์กับวัตถุต่าง
ในสภาพแวดล้อมโดยตรง

​ประสบการณ์ทางตรรกศาสตร์ (Logicomathematical
experiences) จะเกิดขึ้นเมื่อนักเรียนได้พัฒนาโครงสร้าง
ทางสติปัญญาให้ความคิดรวบยอดที่เป็นนามธรรม

การประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนรู้ จัดทำได้ดังนี้
1. การพัฒนาเด็ก ควรคำนึงถึงพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็ก
และจัดประสบการณ์ให้เหมาะสมกับพัฒนาการของเขา ไม่ควร
บังคับให้เด็กเรียนในสิ่งที่ยังไม่พร้อมหรือยากเกินพัฒนาการตาม
วัย เพราะจะทำให้เด็กเกิดเจตคติที่ไม่ดีในสิ่งที่เรียน และการจัด
ประสบการณ์ควรคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้
-​ การจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้เด็กเกิดการเรียนรู้ตามวัยของ
ตนเอง ซึ่งจะช่วยให้เด็กพัฒนาไปสู่พัฒนาการขั้นสูงขึ้นได้
​- เด็กแต่ละคนมีพัฒนาการแตกต่างกัน ถึงแม้อายุจะเท่ากันแต่
ระดับพัฒนาการอาจไม่เท่ากัน ดังนั้นจึงไม่ควรเปรียบเทียบเด็ก
ควรให้เด็กมีอิสระที่จะเรียนรู้ และพัฒนาความสามารถของเขา
ไปตามระดับพัฒนาการของเขา
​- ผู้สอนควรสอนสิ่งที่เป็นรูปธรรมเพื่อช่วยให้เด็กเข้าใจลักษณะ
ต่างๆได้ดีขึ้น

2. การให้ความสนใจและสังเกตเด็กอย่างใกล้ชิดจะช่วยให้ได้
ทราบลักษณะเฉพาะของเด็ก
3. ในการสอนเด็กเล็กๆเขาจะรับรู้ส่วนรวม (whole)
ได้ดีกว่าส่วนย่อย (part) ดังนั้นผู้สอนจึงควรสอนภาพรวม
ก่อนแล้วจึงแยกสอนทีละส่วน
4. ในการสอนสิ่งใดให้กับเด็ก ควรเริ่มจากสิ่งที่เด็กคุ้นเคย
หรือมีประสบการณ์มาก่อน แล้วจึงเสนอสิ่งใหม่ที่มีความ
สัมพันธ์กับสิ่งเก่า การทำเช่นนี้จะช่วยเด็กซึมซับและจัด
ระบบความรู้ได้ดี
5. การเปิดโอกาสให้เด็กได้รับประสบการณ์แล้วมีปฏิสัมพันธ์
กับสิ่งแวดล้อมมากๆ จะช่วย ให้เด็กซึมซับข้อมูลเข้าสู่
โครงการสร้างและพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็กได้ดี

หลักสูตรที่สร้างขึ้นบนพื้นฐาน
ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์
​เน้นพัฒนาการทางสติปัญญาของผู้เรียนโดยต้องเน้นให้
นักเรียนใช้ศักยภาพของตนเองให้มากที่สุด
​เสนอการเรียนการเสนอที่ให้ผู้เรียนพบกับความแปลกใหม่
เ​น้นการเรียนรู้ต้องอาศัยกิจกรรมการค้นพบ
​เน้นกิจกรรมการสำรวจและการเพิ่มขยายความคิดใน
ระหว่างการเรียนการสอน
​ ใช้กิจกรรมขัดแย้ง (cognitive conflict activities)
โดยการรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นนอกเหนือจากความคิด
เห็นของตนเอง

การสอนที่ส่งเสริมพัฒนาการทางสติปัญญาของผู้เรียน
- ถามคำถามมากกว่าการให้คำตอบ
-​ ครูผู้สอนควรจะพูดให้น้อยลง และฟังให้มากขึ้น
-​ ควรให้เสรีภาพแก่นักเรียนที่จะเลือกเรียนกิจกรรมต่าง ๆ
-​ เมื่อนักเรียนให้เหตุผลผิด ควรถามคำถามหรือจัด
ประสบการณ์ให้นักเรียนใหม่ เพื่อนักเรียนจะได้แก้ไขข้อผิด
พลาดด้วยตนเอง
-​ ชี้ระดับพัฒนาการทางสติปัญญาของนักเรียนจากงาน
พัฒนาการทางสติปัญญาขั้นนามธรรมหรือจากงานการอนุรักษ์
เพื่อดูว่านักเรียนคิดอย่างไร
​- ยอมรับความจริงที่ว่า นักเรียนแต่ละคนมีอัตราพัฒนาการทาง
สติปัญญาที่แตกต่างกัน
​- ผู้สอนต้องเข้าใจว่านักเรียนมีความสามารถเพิ่มขึ้นในระดับ
ความคิดขั้นต่อไป
​- ตระหนักว่าการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นเพราะจดจำมากกว่าที่จะเข้าใจ
เป็นการเรียนรู้ที่ไม่แท้จริง

จากที่กล่าวมาพอจะสรุปได้ว่าตามแนวคิดของเพียเจต์
มองว่าเด็กเล็กจะมองกฎเกณฑ์ว่าเป็นสิ่งจริงจังเปลี่ยนแปลง

ไม่ได้ ( absolute) และมาจากอำนาจภายนอก ( external)
หมายความว่า พัฒนาการทางจริยธรรมของเด็กเล็กจะอยู่ใน
ลักษณะผิดว่ากันไปตามสิ่งที่สังเกตเห็นได้ โดยมิได้คำนึกถึงเจตนา
ของผู้กระทำ ที่เป็นเช่นนี้เนื่องมาจากการใช้ภาษา และความคิด
ของเด็กมีลักษณะยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง (egocentric) ทำให้ไม่
สามารถมองเห็นหลาย ๆ สิ่งได้ ในเวลาเดียวกัน เมื่อเด็กโตขึ้น
อายุประมาณ 11-12 ปี พัฒนาการทางจริยธรรมของเด็กวัยนี้จะมี
การเชื่อมโยงหาเหตุผล เด็กจะคำนึงถึงเจตนาของผู้ทำมากกว่าสิ่ง
ที่สังเกตได้เฉพาะหน้า เนื่องจากเด็กวัยนี้สามารถมองหลาย ๆ สิ่ง
ได้ในเวลาเดียวกัน เด็กโตจึงสามารถเข้าใจถึงเจตนาของผู้อื่นและ
สามารถยืดหยุ่นเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ได้ โดยตระหนักว่ากฎเกณฑ์
เป็นเพียงข้อตกลงระหว่างบุคคลในการควบคุมพฤติกรรมในแต่ละ
สถานการณ์เท่านั้น นอกจากนี้ยังสามารถนำกฎเกณฑ์ไปใช้ใน
สถานการณ์ต่าง ๆได้

ในขั้นประเมินผล ควรดำเนินการสอนต่อไปนี้
มีการทดสอบแบบการให้เหตุผลของนักเรียน
​พยายามให้นักเรียนแสดงเหตุผลในการตอนคำถาม
นั้น ๆ
​ต้องช่วยเหลือนักเรียนทีมีพัฒนาการทางสติปัญญาต่ำ
กว่าเพื่อนร่วมชั้น

ในการจัดการเรียนรู้ให้วัยรุ่นควรจัดให้รู้จัดคิด ตัดสินใจ
แก้ปัญหา เช่น การแก้ปัญหาโดยใช้หลักการวิทยาศาสตร์
การสอนแบใช้ความคิดรวบยอด

บรรณานุกรม

Jean Piaget, Biography
Piaget's theory of cognitive
development, Wikipedia
Sprouts
https://ams.kku.ac.th/
http://ir.swu.ac.th/
https://www.baanjomyut.com
https://sites.google.com/


Click to View FlipBook Version