The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

“ในช่วงเช้ามืดของวันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 ทางการไทยได้ส่งตัวผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์อย่างน้อย 40 คนกลับไปยังประเทศจีนโดยบังคับ ซึ่งทำให้พวกเขาตกอยู่ในความเสี่ยงต่อการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง รวมถึงการถูกกักขังโดยพลการเป็นเวลานาน การทรมาน และการถูกบังคับให้หายสาบสูญ...” นี่คือข้อความหนึ่งในแถลงการณ์ของสหพันธ์เพื่อสิทธิมนุษยชนสากลและองค์กรสมาชิกในประเทศไทย และเป็นข้อความที่แสดงข้อกังวลใจของหลาย ๆ องค์กรสิทธิมนุษยชนไทยและทั่วโลกที่แสดงความไม่เห็นด้วยที่รัฐบาลไทยส่งบุคคลเหล่านี้กลับไปจีน ตามคำร้องขอของรัฐบาลจีน ...<br>_____________<br>หมายเหตุ: ความคิดเห็นหรือมุมมองต่าง ๆ ของบทความที่เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ www.jpthai.org และเพจวารสารผู้ไถ่ เป็นทัศนะเฉพาะของผู้เขียน ไม่ใช่ความคิดเห็นหรือมุมมองของผู้จัดทำ และไม่ผูกพันกับแผนกยุติธรรมและสันติ (ยส.)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ccjpthai, 2025-03-05 00:28:15

อุยกูร์ : ผู้ลี้ภัย ผู้แสวงหาที่พักพิง ผู้อพยพ หรือคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย โดย ศราวุฒิ ประทุมราช

“ในช่วงเช้ามืดของวันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 ทางการไทยได้ส่งตัวผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์อย่างน้อย 40 คนกลับไปยังประเทศจีนโดยบังคับ ซึ่งทำให้พวกเขาตกอยู่ในความเสี่ยงต่อการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง รวมถึงการถูกกักขังโดยพลการเป็นเวลานาน การทรมาน และการถูกบังคับให้หายสาบสูญ...” นี่คือข้อความหนึ่งในแถลงการณ์ของสหพันธ์เพื่อสิทธิมนุษยชนสากลและองค์กรสมาชิกในประเทศไทย และเป็นข้อความที่แสดงข้อกังวลใจของหลาย ๆ องค์กรสิทธิมนุษยชนไทยและทั่วโลกที่แสดงความไม่เห็นด้วยที่รัฐบาลไทยส่งบุคคลเหล่านี้กลับไปจีน ตามคำร้องขอของรัฐบาลจีน ...<br>_____________<br>หมายเหตุ: ความคิดเห็นหรือมุมมองต่าง ๆ ของบทความที่เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ www.jpthai.org และเพจวารสารผู้ไถ่ เป็นทัศนะเฉพาะของผู้เขียน ไม่ใช่ความคิดเห็นหรือมุมมองของผู้จัดทำ และไม่ผูกพันกับแผนกยุติธรรมและสันติ (ยส.)

Keywords: วารสารผู้ไถ่,อุยกูร์,ผู้ลี้ภัย,ผู้แสวงหาที่พักพิง,ผู้อพยพ,สิทธิมนุษยชน

1 “ในช่วงเช้ามืดของวันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 ทางการไทยได้ส่งตัวผู้ลี้ภัย ชาวอุยกูร์อย่างน้อย 40 คนกลับไปยังประเทศจีน โดยบังคับ ซึ่งท�ำให้พวกเขาตกอยู่ในความเสี่ยงต่อ การถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง รวมถึง การถูกกักขังโดยพลการเป็นเวลานาน การทรมาน และการถูกบังคับให้หายสาบสูญ...” นี่คือข้อความ หนึ่งในแถลงการณ์ของสหพันธ์เพื่อสิทธิมนุษยชน สากลและองค์กรสมาชิกในประเทศไทย1 และเป็น ข้อความที่แสดงข้อกังวลใจของหลาย ๆ องค์กร สิทธิมนุษยชนไทยและทั่วโลกที่แสดงความไม่เห็น ด้วยที่รัฐบาลไทยส่งบุคคลเหล่านี้กลับไปจีน ตาม ค�ำร้องขอของรัฐบาลจีน อุยกูร์เป็นใคร ?2 ชาวอุยกูร์ (Uyghur) เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มี รากเหง้ามาจากชนเผ่าตุรกีโบราณ เป็นชนเผ่าเร่ร่อน ที่เคยอาศัยอยู่ในแถบเอเชียกลาง และมีบทบาท ส�ำคัญในเส้นทางสายไหม พวกเขาค้าขายกับชาว เปอร์เซีย อาหรับ และจีน ท�ำให้ได้รับอิทธิพลทาง บทความ ศราวุฒิ ประทุมราช อุยกูร์ : ผู้ลี้ภัย ผู้แสวงหาที่พักพิง ผู้อพยพ หรือคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย ภาพ: www.reuters.com 1 จากเว็บไซต์ สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.) https://www.facebook.com/uclthailand 2 ตัดตอนและเรียบเรียงจาก “อุยกูร์” คือใคร ? รากเหง้าประวัติศาสตร์พันปีสู่ความขัดแย้งร่วมสมัย เว็บไซต์ไทยพีบีเอส 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 https://www.thaipbs.or.th/news/content/349716 หมายเหตุ: ความคิดเห็นหรือมุมมองต่าง ๆ ของบทความทีเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ www.jpthai.org และเพจวารสารผู้ไถ่ ่ เป็นทัศนะเฉพาะของผู้เขียน ไม่ใช่ความคิดเห็นหรือมุมมองของผู้จัดท�ำ และไม่ผูกพันกับแผนกยุติธรรมและสันติ (ยส.)


2 อุยกูร์ : ผู้ลี้ภัย ผู้แสวงหาที่พักพิง ผู้อพยพ หรือคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย วัฒนธรรมจากหลายอารยธรรมและเป็นจุดเชื่อม ต่อส�ำคัญของเส้นทางสายไหมมานานนับพันปี มี ประวัติศาสตร์ที่ซับซ้อนและผ่านการเปลี่ยนแปลง การปกครองมาหลายยุคสมัย นับตั้งแต่ราชวงศ์ถัง จักรวรรดิมองโกล และจักรวรรดิแมนจู ดินแดน ซินเจียง ปัจจุบันมีชื่อเต็มว่า “เขตปกครองตนเอง ซินเจียงอุยกูร์” ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของ จีน มีพื้นที่กว่า 1.6 ล้านตารางกิโลเมตร ในช่วงศตวรรษที่ 8 ชาวอุยกูร์ได้สถาปนา อาณาจักรของตนเองที่เรียกว่า “อุยกูร์คากานาเต” (Uyghur Khaganate) ซึ่งปกครองพื้นที่กว้างขวาง และมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับราชวงศ์ถังของจีน อย่างไรก็ตาม อาณาจักรอุยกูร์ล่มสลายในศตวรรษ ที่ 9 หลังจากถูกกองก�ำลังคีร์กีซโจมตี ท�ำให้ชาว อุยกูร์จ�ำนวนมากต้องอพยพลงใต้สู่ดินแดนที่ ปัจจุบันคือ “เขตปกครองตนเองซินเจียง” ของจีน และได้ตั้งถิ่นฐานใหม่ใน “ซินเจียง” ในช่วงศตวรรษที่ 10 ชาวอุยกูร์เปลี่ยนมา นับถือศาสนาอิสลามที่แพร่หลายแทนที่ศาสนา เทียนไถและศาสนาพุทธ วัฒนธรรมของอุยกูร์เริ่ม แยกออกจากวัฒนธรรมของจีนและกลุ่มชนเผ่า เร่ร่อนอื่น ๆ ในเอเชียกลาง โดยมีภาษาอุยกูร์ที่ ใช้ตัวอักษรอาหรับและมีวรรณกรรม ศิลปะ และ ดนตรีที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ในปี ค.ศ. 1759 ราชวงศ์ชิงได้เข้ายึดครอง ซินเจียงและก�ำหนดให้เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักร จีน การปกครองของจีนในภูมิภาคนี้เป็นไปอย่าง หลวม ๆ จนถึงศตวรรษที่ 20 เมื่อจีนเริ่มใช้นโยบาย รวมศูนย์อ�ำนาจมากขึ้น หลังจากการล่มสลายของราชวงศ์ชิงและ การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคสาธารณรัฐ ชาวอุยกูร์เคย ประกาศตั้งรัฐอิสระของตนเอง 2 ครั้ง ได้แก่ สาธารณรัฐตุรกีตะวันออก ครั้งที่หนึ่งในปี ค.ศ. 1933 และ ครั้งที่สองในปี ค.ศ. 1944 อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 รัฐ ถูกกองทัพจีนเข้าปราบปราม ในปี ค.ศ. 1949 พรรคคอมมิวนิสต์จีน ได้รับชัยชนะในสงครามกลางเมืองและได้ผนวก ซินเจียงเข้ากับสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่าง สมบูรณ์ โดยก�ำหนดให้เป็น “เขตปกครองตนเอง ซินเจียงอุยกูร์” ซึ่งแม้จะมีสถานะปกครองตนเอง แต่ก็ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลกลาง ซึ่ง ในทางปฏิบัติ รัฐบาลจีนมีการควบคุมพื้นที่นี้อย่าง เข้มงวดมาเป็นเวลาหลายทศวรรษ โดยเฉพาะอย่าง ยิ่งหลังจากเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบทางชาติพันธุ์ และการก่อการร้ายหลายครั้ง ซึ่งจีนมองว่ามีชาว อุยกูร์หัวรุนแรงเป็นผู้กระท�ำ ผู้ถูกส่งตัวกลับ 40 คนนี้เป็นส่วนหนึ่งของ กลุ่มชาวอุยกูร์ประมาณ 350 คนที่เดินทางมา ถึงประเทศไทยในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2557 เพื่อ หลบหนีการกดขี่ข่มเหงในเขตปกครองตนเอง ซินเจียงอุยกูร์ของจีน และถูกจับกุมในข้อหาเข้า เมืองผิดกฎหมายและถูกควบคุมตัวในศูนย์กักกัน ภาพ: www.thaipbs.or.th


อุยกูร์ : ผู้ลี้ภัย ผู้แสวงหาที่พักพิง ผู้อพยพ หรือคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย 3 ตรวจคนเข้าเมืองของไทย (IDC) เพื่อรอการส่ง กลับประเทศต้นทาง ชาวอุยกูร์ถูกกักขังมานาน กว่า 10 ปีในสภาพที่เลวร้าย อนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัย ปี ค.ศ. 1951 เป็นเอกสารทางกฎหมายที่ก�ำหนดหลักการ และบทบาทการท�ำงานขั้นพื้นฐานของส�ำนักงาน ข้าหลวงใหญ่เพื่อผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ - UNHCR ลงนามและให้สัตยาบันโดย 146 รัฐภาคี อนุสัญญาดังกล่าวก�ำหนดความหมายของบุคคล ไว้ 3 กลุ่ม คือ ผู้ลี้ภัย (Refugees), ผู้แสวงหา ที่ลี้ภัย (Asylum Seeker), ผู้เดินทางข้ามแดน หรือผู้อพยพ (Migrants)3 ผู้ลี้ภัย (Refugees) เป็นผู้ที่ถูกบังคับให้ ต้องออกจากประเทศ ด้วยเหตุผลจากการถูกการ ประหัตประหาร การละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานในด้าน เชื้อชาติ ชาติพันธุ์ ศาสนา หรือการเป็นสมาชิก ของกลุ่มทางสังคมอื่น ๆ ซึ่งโดยมาก มักจะไม่ สามารถกลับสู่ประเทศตนเองได้เพราะรัฐของตน ไม่สามารถปกป้องหรือปฏิเสธที่จะปกป้องกลุ่ม คนเหล่านี้ โดยเหตุผลหลักที่ก่อให้เกิดการลี้ภัย คือสงครามและความรุนแรงที่สร้างความจ�ำเป็น ในการผลัดถิ่นฐานคือเพื่อหนีความรุนแรง โดยผู้ ที่มีสถานะเป็นผู้ลี้ภัยจะได้รับความคุ้มครองตาม กฎหมายระหว่างประเทศ ผู้แสวงหาที่ลี้ภัย (Asylum Seeker) มี ความเกี่ยวข้องกับสถานะความเป็นผู้ลี้ภัย คือ เป็น ผู้ที่เดินทางออกนอกประเทศของตนเพื่อแสวงหา ความคุ้มครองจากการถูกประหัตประหาร หรือ การละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรงจากภาค รัฐ แต่ยังไม่ได้รับสถานะเป็นผู้ลี้ภัยและก�ำลังรอ การยอมรับสถานะจากรัฐที่จะให้ความคุ้มครอง สิทธิในการแสวงหาที่ลี้ภัย ถือเป็นสิทธิมนุษยชน ประเภทหนึ่ง และการเข้าสู่ดินแดนอื่นเพื่อขอ ความช่วยเหลือหรือความคุ้มครองจากการถูก ละเมิดเป็นสิ่งที่พึงกระท�ำได้ ผู้เดินทางข้ามแดน หรือผู้อพยพ (Migrants) ไม่ได้มีการนิยามในทางกฎหมายที่ ชัดเจน บางคนย้ายประเทศเพราะต้องการท�ำงาน เรียนต่อ หรือไปหาครอบครัว บางคนย้ายเพราะ ความยากจน ปัญหาทางการเมือง อาชญากรรม ภัยธรรมชาติ หรือสถานการณ์อันตรายรูปแบบ อื่น ๆ อนุสัญญาฉบับนี้จะไม่ใช้ต่อบุคคลที่ ณ เวลา ปัจจุบันได้รับความคุ้มครองหรือความช่วยเหลือ จากองค์กรหรือหน่วยงานอื่นของสหประชาชาติ นอกจากข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ นอกจากนี้อนุสัญญาดังกล่าวยังได้ก�ำหนด หลักการที่เรียกว่า “หลักการไม่ผลักดันกลับ” อันเป็นหลักการพื้นฐานที่ยืนยันสิทธิของผู้ลี้ภัยที่ จะต้องไม่ถูกผลักดันกลับไปยังประเทศที่พวกเขา ต้องเผชิญภัยร้ายแรงต่อชีวิตหรืออิสรภาพ หลัก การดังกล่าวนี้ได้รับการยอมรับและปฏิบัติเป็น หลักกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศแล้ว ในปัจจุบัน 3 จากเว็บไซต์ คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ https://blogs.icrc.org/th/2022/08/04/refugees-asylumseeker-migrants-idps


4 อุยกูร์ : ผู้ลี้ภัย ผู้แสวงหาที่พักพิง ผู้อพยพ หรือคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย ชาวอุยกูร์ที่ถูกส่งกลับเป็นผู้เข้าเมืองโดยผิด กฎหมายหรือไม่ ? ประเด็นเรื่องหลบหนีเข้าเมืองไม่ได้เป็นสาระ ส�ำคัญ เพราะคนที่ต้องการลี้ภัยคือคนหนีภัย บาง คนหนีภัยสงคราม ไม่มีเวลาเตรียมหนังสือเดินทาง เอกสารสูญหายในสงคราม บางคนหนีการท�ำร้าย จากเจ้าหน้าที่รัฐในบ้านตัวเอง รัฐนั้นย่อมไม่ ต้องการออกเอกสารการเดินทางให้ หรือประเทศ ต้นทางยกเลิกพาสปอร์ต เพื่อให้เดินทางหนีภัยไม่ ได้ ฯลฯ ด้วยเหตุผลที่ยกตัวอย่างมาเหล่านี้ “ผู้ที่ ต้องการลี้ภัยจ�ำนวนมาก จึงเป็นผู้หลบหนีเข้าเมือง” ไปด้วยในเวลาเดียวกัน คนที่เข้าเมืองผิดกฎหมายแต่หากได้แจ้งต่อ เจ้าหน้าที่รัฐเมื่อไปถึง แสดงความจ�ำนงว่าขอเป็นผู้ ลี้ภัย รัฐนั้นต้องไม่เอาผิดในฐานหลบหนีเข้าเมือง โดยผิดกฎหมาย ซึ่งหลาย ๆ ประเทศก็เอากฎข้อ นี้ไปใส่ในกฎหมายเรื่องผู้ลี้ภัยของประเทศตัวเอง ด้วย เช่น อังกฤษไปใส่ใน Section 31 of the Immigration and Asylum Act 1999 ดังนั้นแม้ชาวอุยกูร์เหล่านี้จะเป็นผู้หลบหนี เข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย แต่ในเมื่อพวกเขาเป็น บุคคลที่หลบหนีจากการประหัตประหาร ด้วย สาเหตุทางเชื้อชาติ ศาสนา สัญชาติ หรือความ คิดเห็นทางการเมือง และแสดงความจ�ำนงเป็น ผู้ลี้ภัย เข้าองค์ประกอบของการเป็นผู้ลี้ภัยตาม อนุสัญญาฯ การส่งกลับบุคคลดังกล่าวจึงขัดต่อ ข้อบัญญัติของอนุสัญญาฯ แม้ประเทศไทยยังไม่ ได้เข้าเป็นภาคีหรือยังไม่ได้ยอมรับที่จะปฏิบัติตาม อนุสัญญานี้ แต่ประเทศไทยก็เคยมีบทบาทรองรับ บุคคลที่หนีภัยสงคราม หลบหนีการประหัตประหารจากประเทศต้นทาง เดินทางเข้ามาใน ประเทศมาเป็นเวลานานแล้ว เช่น ผู้ได้รับผลกระทบ และหลบภัยสงครามตั้งแต่สมัยสงครามเวียดนาม สงครามกลางเมืองในกัมพูชาในอดีต และในพม่า ปัจจุบัน โดย UNHCR เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบ ค่าใช้จ่ายในการด�ำรงชีวิตความเป็นอยู่ประจ�ำวัน ของบุคคลเหล่านั้น รัฐบาลไทยหลายยุคสมัยเพียง จัดสถานที่รองรับให้เพียงพอต่อความเป็นอยู่ที่ ปลอดภัยและอยู่ในสภาพแวดล้อมเหมาะสมแก่ ความเป็นมนุษย์ตามหลักสิทธิมนุษยชนและหลัก มนุษยธรรม ระหว่างรอสถานการณ์ที่ปลอดภัยใน การส่งกลับไปยังประเทศต้นทาง หรือประเทศที่ สามที่บุคคลเหล่านั้นแจ้งความประสงค์ การเนรเทศหรือส่งกลับผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ เป็นการละเมิดหลักการห้ามส่งกลับ (nonrefoulement) ซึ่งเป็นหลักการระหว่างประเทศ ที่ไม่มีข้อยกเว้น และขัดต่อพันธกรณีของไทย คนที่เข้าเมืองผิดกฎหมาย “ แต่หากได้แจ้งต่อเจ้าหน้าที่รัฐ เมื่อไปถึง แสดงความจ�ำนงว่าขอ เป็นผู้ลี้ภัย รัฐนั้ นต้องไม่เอาผิด ในฐานหลบหนีเข้าเมืองโดย ผิดกฎหมาย ”


อุยกูร์ : ผู้ลี้ภัย ผู้แสวงหาที่พักพิง ผู้อพยพ หรือคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย 5 ภายใต้อนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการ ประติบัติ หรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย�่ำยีศักดิ์ศรี ซึ่งไทยเป็นรัฐภาคี หลักการ ห้ามส่งกลับ ห้ามไม่ให้ส่งตัวบุคคลกลับไปยัง ประเทศที่พวกเขามีความเสี่ยงต่อการถูกทรมาน หรือการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง มาตรา 13 แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและ ปราบปรามการทรมานและการกระท�ำให้บุคคล สูญหาย พ.ศ. 2565 ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 ได้บัญญัติหลักการห้ามส่ง กลับ โดยห้ามเจ้าหน้าที่รัฐขับไล่ ส่งตัว หรือส่งผู้ลี้ภัย ไปยังประเทศที่มีเหตุผลอันควรเชื่อได้ว่าพวกเขาจะ ถูกทรมาน ถูกปฏิบัติอย่างโหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย�่ำยีศักดิ์ศรี หรือถูกบังคับให้สูญหาย รัฐบาลไทยไม่มีทางเลือก เพราะไม่มีประเทศใด ยอมรับและทางการจีนร้องขอ จริงหรือ ? เป็นเรื่องน่าเศร้าที่เต็มไปด้วยความยุ่งยาก ซับซ้อนในกรณีนี้ซึ่งทางเลือกอาจมีไม่มาก แค่ 3 ประการ ประการแรก ไม่ส่งให้จีนและคุมขังพวก เขาต่อไปเรื่อย ๆ ประการที่สอง ส่งไปให้ประเทศ ที่สาม (หากมีประเทศใดที่จะแน่วแน่ช่วยเหลือ ยอมรับอย่างจริงจัง) ซึ่งตัดออกไปเพราะไม่มี ประเทศใดแสดงความจ�ำนงรับบุคคลเหล่านี้ หรือ ประการที่สาม ส่งกลับไปประเทศต้นทาง ซึ่งคือ จีน จึงเหลือทางเลือกแค่ 2 ประการ คือ ไม่ส่งให้ จีนและคุมขังพวกเขาต่อไปเรื่อย ๆ ซึ่งยังคงเป็น การละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง เพราะ เป็นการกักขังโดยไม่มีความผิดและไม่มีก�ำหนด (indefinite detention) เข้าข่ายผิดทั้งกฎหมาย ของไทยและระหว่างประเทศ และโหดร้ายต่อชะตา กรรมพวกเขาอย่างไร้มนุษยธรรมยิ่ง และการส่ง กลับไปให้รัฐบาลจีน เมื่อดูบทบัญญัติของอนุสัญญาฯ และ กฎหมายไทยว่าด้วยการป้องกันการทรมานฯ แล้ว จะเห็นว่า สิ่งที่รัฐบาลไทยอ้างว่าไม่มีประเทศที่สาม ยอมรับชาวอุยกูร์ไปยังประเทศเหล่านั้น และแม้ รัฐบาลจีนจะให้หลักประกันว่าบุคคลเหล่านั้นจะ ได้กลับไปอยู่กับญาติมิตรและได้รับความปลอดภัย แน่นอน ประเทศไทยไม่มีเหตุผลที่จะไม่เชื่อสิ่งที่จีน รับรองอย่างเป็นทางการ และคงต้องเชื่อว่ารัฐบาล จีนจะรักษาค�ำพูด แต่หากพิจารณาโดยถ่องแท้แล้ว จะเห็น ว่าบุคคลที่หลบหนีออกนอกประเทศได้ ย่อม แสดงว่าพวกเขาไม่ประสงค์กลับไปอยู่ภายใต้การ ปกครองของรัฐบาลจีน แม้ว่าสถานการณ์ปัจจุบัน ในเขตปกครองตนเองซินเจียงจะดูว่ามีความสงบ เรียบร้อยก็ตาม การส่งกลับบุคคลที่หลบหนีจาก ประเทศจีนกลับไปให้รัฐบาลจีนโดยไม่สมัครใจ ย่อมมีโอกาสที่บุคคลเหล่านั้นอาจได้รับการปฏิบัติ เยี่ยงคนที่กระด้างกระเดื่องต่อรัฐบาลไม่ทางใดก็ ทางหนึ่ง อันขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน ซึ่งเปรียบ เทียบกับการคุมขังพวกเขาต่อไปอาจเป็นการละเมิด สิทธิมนุษยชนน้อยกว่าการได้รับการปฏิบัติเยี่ยงคน ที่ปฏิเสธอ�ำนาจรัฐบาลจีนก็เป็นได้ จึงต้องติดตามว่าการด�ำเนินการส่งกลับ ชาวอุยกูร์กรณีนี้จะส่งผลกระทบต่อประเทศชาติ ของเราอย่างไรต่อไป


Click to View FlipBook Version