“คณุ ธรรม จรยิ ธรรม”
“คณุ ธรรม จริยธรรม”
นยิ าม ความหมาย “คุณธรรม จริยธรรม”
“คณุ ธรรม”
คณุ ธรรม หมายถึง คณุ สมบัตฝิ า่ ยดีโดยส่วนเดียว เป็นท่ตี ั้งหรอื เปน็ ประโยชนแ์ ก่สนั ติภาพหรอื
สนั ตสิ ุขจึงเปน็ ทต่ี อ้ งการของ มนุษย์
คณุ ธรรมเป็น ส่ิงทต่ี อ้ งอบรมโดยเฉพาะเพ่ือให้เกดิ ข้ึนเหมาะสมกับทีเ่ ราตอ้ งการ - ท่านพุทธทาส
ภกิ ขุ
คณุ ธรรม หมายถึง ธรรมท่ีเป็นคณุ ความดงี าม สภาพท่ีเก้ือกูล - พระราชวรมนุ ี
คณุ ธรรม เป็นเรื่องของความจรงิ แท้หรอื สจั ธรรม คุณธรรมทาใหเ้ กดิ การประพฤติ
ปฏบิ ตั ิ ทีด่ ี ทาใหเ้ กิดการรกั ษาศลี คณุ ธรรมเปน็ ตวั หลักและกระจายออกเป็นจริยธรรมและ
จรรยาบรรณ - พระเมธีธรรมาภรณ์
คณุ ธรรม หมายถงึ สภาพคุณงามความดี - พจนานกุ รมฉบับราชบณั ฑติ ยสถานคณุ ธรรม หมายถงึ
สงิ่ ท่มี ีคุณค่า มีประโยชน์ เป็นความดงี าม เป็นมโนธรรม เปน็ เครอ่ื งประคับประคองใจใหเ้ กลียด
ความช่ัว กลัวบาป ใฝ่ความดี และเปน็ เครื่องกระตุ้นผลักดนั ให้เกดิ ความรู้สึกผดิ ชอบ เกดิ จิตสานกึ
ทดี่ มี ีความสงบเยน็ ภายใน – ประมวลจากการประชมุ ระดมความคดิ
“จริยธรรม”
จริยธรรม หมายถึง ระเบียบปฏิบัตทิ ี่มุ่งปฏบิ ัติเพอื่ ใหเ้ กิดความผาสกุ ในสงั คม เป็นสง่ิ ที่มนษุ ย์ทาขน้ึ
แต่งขึ้นตามเหตุผลของมนษุ ย์เอง หรือตามความตอ้ งการของมนุษย์ - พุทธทาสภกิ ขุ
จริยธรรม หมายถงึ การนาความร้ใู นความจรงิ หรอื กฎธรรมชาติไปใช้ใหเ้ กิดประโยชน์ต่อการ
ดาเนินชวี ติ ท่ีดีงาม อันจะทาให้เกดิ ประโยชน์ตอ่ ตนเองและสังคม - พระราชวรมนุ ี
จริยธรรม หมายถึง การดาเนินการให้สอดคล้องกับสัจธรรม จริยธรรมจึงเปน็ หลักแหง่ ความ
ประพฤติท่ดี ีงามเพ่ือประโยชนต์ นและสังคม - พระเมธธี รรมาภรณ์
จริยธรรม หมายถึง แนวทางในการประพฤติเพอ่ื ใหอ้ ยูร่ ่วมกนั ไดอ้ ย่างร่มเยน็ ในสังคม- สาโรช บัว
ศรี
จริยธรรม หมายถึง ประมวลกฏเกณฑค์ วามประพฤติ หรือมาตรการของความประพฤติซึ่งเปน็
พฤตกิ รรมท่ีมคี วามสานึกและการตดั สินใจ - กีรติ บุญเจือ
จรยิ ธรรม หมายถงึ ธรรมทเ่ี ป็นขอ้ ปฏบิ ตั ิ ศลี ธรรม กฎศีลธรรม - พจนานกุ รมฉบบั
ราชบัณฑติ ยสถาน
จริยธรรม หมาย ถงึ สง่ิ ทพ่ี งึ ประพฤตปิ ฏบิ ัติ มพี ฤติกรรมท่ีดงี ามตอ้ งประสงคข์ องสังคมเปน็ หลกั
หรือกรอบที่ทกุ คนกาหนดไว้ เป็นแนวปฏิบตั สิ าหรบั สงั คม เพื่อใหเ้ กดิ ความเป็นระเบียบเรยี บรอ้ ย
สวยงาม เกดิ ความสงบรม่ เยน็ เปน็ สุข เกิดความรักสามคั คี เกิดความอบอุ่นมั่นคงและปลอดภยั ใน
การดารงชวี ิต เชน่ ศลี ธรรม กฎหมาย ธรรมเนยี ม ประเพณี เป็นตน้
-ประมวล จากการประชมุ ระดมความคิด
คณุ ธรรมทพ่ี งึ ประสงค์
คณุ ธรรมควรประกอบด้วยคณุ ธรรมที่พงึ ประสงค์
( ศ. ประเวศ วะส,ี คณุ ธรรมนาการพฒั นา ยุทธศาสตรส์ งั คมคุณธรรม , ๒๕๔๙)
1. ความมีน้าใจ ความไม่ทอดทง้ิ กัน ความมีจิตสาธารณะรับผดิ ชอบต่อสว่ นรวม
2. มคี วามขยันขันแข็ง อดทน อดกล้นั พงึ่ ตนเองได้ ไมม่ ัวเมาในอบายมขุ
3. มีสัมมาชีพ มีความพอเพยี ง
4. มคี วามเคารพศักดศิ์ รแี ละคณุ คา่ ความเป็นคนของคนทุกคน สามารถรวมตัวร่วมคิด ร่วมทาอยา่ ง
เสมอภาค
5. อนุรกั ษว์ ัฒนธรรม สิ่งแวดล้อมและทรพั ยากรธรรมชาติ มีการใชอ้ ยา่ งเป็นธรรม
และย่งั ยืน
6. มคี วามยตุ ธิ รรมและแกป้ ัญหาความขัดแย้งดว้ ยสันติวิธี
7. มีการพัฒนาจติ ใจให้สงู ขึน้ อยา่ งต่อเนอื่ ง
คณุ ลกั ษณ์ดา้ นคณุ ธรรม หมายถึง คณุ ลกั ษณะที่เปน็ สภาพความดงี ามในดา้ นต่างๆ
4 ขอ้ คอื ได้แก่
1.คณุ ธรรมท่เี ป็นปจั จยั แรงผลักดันหมายถงึ สภาพความดงี ามท่ชี ่วยเรง่ รดั ใหก้ ระทาการใดๆให้
บรรลจุ ุดมงุ่ หมายทต่ี ้งั ไว้ ได้แก่ ความขยนั หมั่นเพียร ความอดทนความ สามารถพ่งึ ตนเอง และการ
มวี ินัย
2.คณุ ธรรมที่เป็นปัจจยั หล่อเลี้ยง หมายถึง สภาพความดีงามท่ชี ่วยเร่งรัดใหก้ ระทาการใดๆให้บรรลุ
จดุ ม่งุ หมาย ทีต่ ง้ั ไวอ้ ย่างตอ่ เนอ่ื ง ได้แก่ ฉันทะ สัจจะ ความรับผิดชอบความสานึกใน หนา้ ท่ี และ
ความกตัญญู
3.คุณธรรมท่ีเป็นปัจจยั เหนยี่ วรง้ั หมายถงึ สภาพความดงี ามท่ีชว่ ยยดึ ประวิงหรือตักเตอื นให้กระทา
การใดๆใหบ้ รรลุจุด มงุ่ หมายท่ีต้งั ไว้ ได้แก่ ความมสี ติและรอบคอบและความตั้งจิตให้ดี
4.คณุ ธรรมทเ่ี ป็นปัจจยั สนับสนนุ หมายถงึ สภาพความดีงามที่ชว่ ยส่งเสรมิ ให้กระทาการใดๆให้บรรลุ
จุดมงุ่ หมายทต่ี ้ังไว้ ไดแ้ กค่ วามเมตตา ความปรารถนาดีตอ่ กัน ความเอ้อื เฟือ้ ต่อกนั ความไม่เห็นแก่
ตวั ความไม่เอารัดเอาเปรียบผอู้ ่ืน และความอะลมุ้ อลว่ ยถ้อยทีถ้อยอาศัยคุณธรรม
เครื่องประดบั ชีวิตที่สูงคา่
ในอดีตพอ่ แม่ผ้ปู กครองมักจะสอนลูกใหเ้ ป็นคนเกง่ เรียนดีตอ่ มาในสังคมปัจจุบันเริม่ รบั รวู้ ่า
คุณธรรมตอ้ งนาปญั ญาการเปน็ คนเก่งอย่างเดยี วอาจจะเอาชีวติ ไมร่ อด แตก่ ารเป็นคนมีคุณธรรม
จะช่วยให้สามารถมวี คั ซนี ใจใช้ชีวิตในสงั คมได้อยา่ งราบรน่ื และมคี วามสุขยิ่งข้ึน ผู้ใหญใ่ นบา้ นใน
เมอื งเริ่มมองเหน็ แล้ววา่ ควรสอนให้เดก็ เกง่ โดยทมี่ คี ุณธรรมควบคกู่ ันไปด้วย
คณุ ธรรมหมาย ถึงความสาเรจ็ ที่สมบรู ณ์ของผมู้ คี วามรู้ มีความดี มีความเขา้ ใจ วา่ กาลงั ทาอะไร
เพอ่ื อะไร การสร้างสมคุณธรรมจึงเร่ิมจากความคดิ ทดี่ ีในจติ ใจและอาศยั การพจิ ารณาไตร่ตรองของ
สติปัญญาอย่างลกึ ซ้งึ ท่จี ะเข้าใจเหตุและผลของแต่ละการกระทาก่อนที่จะตัดสินทาอะไร ให้
เกิดผลดีมคี ณุ ประโยชนแ์ ก่ตนเองและผู้อน่ื
คณุ ธรรมเปรียบเชน่ อัญมณลี ้าคา่ หลากสีหลายรปู ทรงเปน็ เคร่ืองประดบั ตกแตง่ ชีวติ ให้สูงส่ง
งดงามซึง่ สามารถแสดงออกทางการกระทาคาพดู และการแตง่ กาย แมว้ า่ บุคคลบางคนอาจจะไมม่ ี
ทรพั ยส์ มบัติภายนอกแตห่ ากมีคณุ ธรรมท่เี ตม็ เป่ยี มอยูภ่ ายในกถ็ อื วา่ เป็นผู้ทมี่ ีความมัง่ ค่ังที่แท้จริงได้
ทงั้ ยงั ม่งุ เน้นให้เรียนรถู้ ึงธรรมชาติดงั้ เดิมท่ีดงี ามของตนเองและผอู้ ืน่ ควบคกู่ นั ไปกับการฝึกจติ ให้มีพลงั
ความสงบ ซ่ึงนา่ จะเปน็ หนทางในการใชป้ ัญญาให้เปน็ สมบัตทิ มี่ คี ่าให้เกิดประโยชนส์ งู สุดเนื่องจาก
ความสงบเปน็ พ้ืนฐานของการสรา้ งและการรกั ษาคุณธรรม เปรียบเสมือนทองทรี่ องรับเพชรพลอย
ไมใ่ ห้แตกรา้ วดังนนั้ เมื่อคณุ ธรรมและความสงบอยูใ่ นบคุ คลคนเดยี วกันแล้วย่อมนา่ จะถือไดว้ า่ บุคคลผู้
น้นั เป็นผู้ทสี่ มบรู ณพ์ ร้อม มัง่ ค่ังพร้อมดว้ ยเครอื่ งประดบั ทสี่ งู ส่ง
คณุ ธรรมทดี่ มี ักจะเรม่ิ มาจากความรู้ทางจติ ใจเพราะเป็นจุดเริม่ ต้น ของทุกชวี ติ เพราะจิตใจเป็น
ผสู้ ร้างความคิด แล้วแสดงออกเป็นคาพดู และการกระทาอนั นาผลกลับมาสผู่ คู้ ดิ และผู้กระทา
ตลอดเวลาการฝึกจติ ใจก็คอื การไดม้ าซงึ่ ประสบการณข์ องความสงบสขุ จากภายใน จากความพยายาม
ในการสร้างควบคมุ และรักษาความคิดทดี่ ไี ว้ขณะท่มี ีสายใยทางจิตกับแหลง่ แหง่ ความสงบและ
คุณธรรม จนกระท่ังสามารถขจดั ความคิดท่ไี มบ่ รสิ ุทธิ์ออกไป อันมผี ลตอ่ การเปลีย่ นแปลงพฤตกิ รรม
และนิสยั โดยไมไ่ ดห้ มายถึงการนงั่ หลบั ตาหรอื การบงั คบั อิรยิ าบถใดๆเพียงอย่างเดียวการมีคุณธรรม
นอกจากใหค้ ณุ ประโยชนก์ ับตวั เองครอบครัวและสังคมแลว้ ยังมีคุณประโยชน์ตอ่ โลกอีกดว้ ยเพราะ
เป็นการปฏบิ ัตติ ามทฤษฎที ี่มปี ระสบการณ์และคุณธรรมเป็นกาลังเสริม เพ่ือสรา้ งสัมพนั ธ์ท่ีดที ั้งใน
ครอบครัวและสงั คมซง่ึ มักจะข้ึนอยู่กับความละเอียดออ่ นของจติ ใจและสติปญั ญา ทส่ี ามารถสื่อ
ความหมายไดอ้ ย่างกระชับชดั เจนเหมาะสมดว้ ยคาพูดและการกระทาทใ่ี หผ้ ลดแี ก่ตนเองและผอู้ นื่
ตลอดเวลา โดยเรมิ่ จากการฝกึ ทัศนคตใิ นเชงิ บวกใหไ้ ด้เสียกอ่ น
ความหมายของคณุ ธรรม
คณุ ธรรม หมายถึง สภาพคณุ งามความดแี ละความถูกตอ้ งซ่ึงบุคคลควรยึดม่ันไว้เป็น
หลักการในการปฏบิ ัติตนจนเป็นนิสัยความประพฤติดีงาม เพือ่ ประโยชนแ์ ก่ตนและสงั คม ซึ่งมี
พื้นฐานมาจากหลักศีลธรรมทางศาสนา คา่ นยิ มทางวัฒนธรรม ประเพณี หลักกฎหมาย
จรรยาบรรณวชิ าชพี การรจู้ ักไตร่ตรองวา่ อะไรควรทาไม่ควรทา และอาจกล่าวไดว้ า่ คณุ ธรรม คือ
จรยิ ธรรมที่นามาปฏบิ ตั ิจนเป็นนิสัย เช่น การเป็นคนซื่อสัตย์ เสียสละ และ มคี วามรบั ผิดชอบ
ความหมายของจรยิ ธรรม
จริยธรรม หมายถงึ ความประพฤติทีเ่ กดิ จากคุณธรรม กฎเกณฑ์ทเี่ ป็นแนวทางในการ
ประพฤติปฏบิ ัตติ นในสง่ิ ทีด่ ีงาม สง่ิ ทที่ าไดใ้ นทางวินัยจนเกิดความเคยชินมพี ลงั ใจ มคี วามต้งั ใจ
แนว่ แน่จงึ ตอ้ งอาศยั ปญั ญา และปัญญาอาจเกดิ จากความศรัทธาเชอ่ื ถอื ผอู้ ่ืน ในทางพุทธศาสนา
สอนว่า จรยิ ธรรมคอื การนาความรู้ ความจริงหรือกฎธรรมชาติมาใช้ให้เปน็ ประโยชนต์ ่อการดาเนิน
ชีวติ ทีด่ ีงาม
คณุ ธรรมจริยธรรม ทา่ นประวีณ ณ นคร กรรมการ ก.พ. และอดตี เลขาธิการ ก.พ. ได้นิยาม
ความหมายของคาวา่ คุณธรรม จรยิ ธรรม ไวใ้ นการบรรยายเร่อื งปรัชญา และแนวคิดเกยี่ วกบั
จริยธรรม วันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ดงั น้ี “VIRTUE (คุณธรรม) กับ MERIT (จรยิ ธรรม) ท้งั ๒
ค า หมายถึง ความดีงาม เหมอื นกัน แต่เป็นความดงี ามคน ละทาง VIRTUE เป็นความดงี ามทาง
จิตภาพ เปน็ คณุ ลกั ษณะทอ่ี ยู่ภายในตัวคน คอื ความดีงามในจิตใจ ซึง่ ทาให้ เคยชินประพฤติดี เช่น
ความซอื่ สัตย์สุจริต ทาให้คนไมท่ ุจรติ MERIT เป็นความดีงามทางกายภาพ คือความดงี าม ใน
คณุ ลักษณะท่ีปรากฏภายนอก เชน่ มคี วามรู้ดี มคี วามสามารถดี มีทกั ษะดี มคี ณุ ลกั ษณะอื่นที่
เหมาะสม VIRTUE อยภู่ ายในตวั คนซงึ่ มองไม่เห็น MERIT ปรากฏภายนอกตวั คน ซง่ึ มองเห็น “
“อย่างไรกด็ ี คนมี VIRTUE คอื มคี ุณธรรม เป็นคนมีความดงี ามในจติ ใจ ย่อมทาใหเ้ คยชินประพฤติ
ดี ซง่ึ จะสง่ ผลให้ มีจริยธรรม ดังนั้น “คณุ ธรรม” ท่ีตรงกับภาษาองั กฤษว่า VIRTUE จึงเปน็ ปัจจยั
ส่งเสรมิ ให้มจี รยิ ธรรม คือ เม่อื มี ความดีงามในจิตใจ กท็ าให้เคยชินประพฤตดิ ี การประพฤติดีกค็ ือ
การมจี รยิ ธรรม
การพฒั นาให้ขา้ ราชการมี จรยิ ธรรม จงึ ควรพัฒนาใหข้ ้าราชการมีคณุ ธรรมก่อนแล้วขา้ ราชการจะ
มจี ริยธรรมไปเอง” คาทเี่ กี่ยวกับจริยธรรม พจิ ารณาจากรัฐธรรมนูญและกฎหมายวา่ ดว้ ยระเบียบ
ขา้ ราชการพลเรือน ปรากฏวา่ มีคาท่เี ก่ยี วกบั จรยิ ธรรม อยู่ ๔ คาคอื (๑) จรยิ ธรรม (๒) มาตรฐาน
ทางจริยธรรม (๓) ประมวลจรยิ ธรรม (๔) พฤตกิ รรมทางจริยธรรม 2 ความหมายของคาแตล่ ะคา
ดงั กลา่ ว เป็นดงั นี้ (๑) จรยิ ธรรม คาว่า “จริยธรรม” มาจากคาวา่ “จรยิ ” และ “ธรรม” “จริย”
แปลวา่ “ความประพฤติ” “ธรรม” มคี วามหมายหลายอย่าง ในท่ีน้ขี อแปลว่า “สภาพท่ีทรงไว้โดย
ชอบ” เมือ่ รวม ๒ ค า เป็น “จรยิ ธรรม” จะหมายถงึ “สภาพทีท่ รงไวซ้ ึง่ ความประพฤติโดยชอบ ”
ตรงกบั ภาษาองั กฤษวา่ “ETHICS” (๒) มาตรฐานทางจรยิ ธรรม คาว่า “มาตรฐานทางจรยิ ธรรม”
มีในรฐั ธรรมนูญมาตรา ๒๗๙ ซ่ึงบญั ญัตใิ หม้ าตรฐานทางจริยธรรมของ ข้าราชการเป็นไปตาม
ประมวลจรยิ ธรรม คาว่า “มาตรฐาน” พจนานุกรมฉบบั ราชบัณฑติ ยสถาน แปลวา่ “ส่งิ ทีถ่ ือเอา
เปน็ หลกั สาหรับเทียบกาหนด” ดังนนั้ คาวา่ “มาตรฐานทางจรยิ ธรรม” กค็ ือ “สิง่ ที่ถือเอา เปน็
หลกั สาหรบั เทียบกาหนดทางจริยธรรม” ตรงกับภาษาอังกฤษวา่ “ETHICAL STANDARD” (๓)
ประมวลจริยธรรม คาวา่ “ประมวลจริยธรรม”.มใี นรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๗๙ ซึง่ บัญญัตใิ ห้
มาตรฐานทางจริยธรรมของ ขา้ ราชการเปน็ ไปตามประมวลจรยิ ธรรม คาว่า “ประมวล”
พจนานุกรมฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน แปลว่า “รวบรวม” ดังนั้น คาวา่ “ประมวลจรยิ ธรรม” กค็ อื
“ข้อก าหนดทางจรยิ ธรรมทีร่ วบรวมขึ้นไว้” ตรงกบั ภาษาอังกฤษว่า “CODE OF EHTICS” (๔)
พฤตกิ รรมทางจริยธรรม ค าวา่ “พฤติ” พจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน แปลวา่ “ความ
ประพฤติ” “กรรม”. แปลวา่ “การกระท า” ดังน้ัน ค าวา่ “พฤติกรรมทางจรยิ ธรรม” กค็ อื “การ
กระท าท่แี สดงออกทางจรยิ ธรรม” 3 ลกั ษณะของจรยิ ธรรม ค าว่า “จริยธรรม” (Ethics) เปน็
“นามธรรม” เม่ือก าหนดเปน็ “รปู ธรรม” เพื่อใชใ้ นแตล่ ะกลุ่มคน จะมกี ารก าหนดเปน็
“มาตรฐานทางจริยธรรม ” โดยก าหนดเป็นข้อปฏิบัติ (Do) หรือ ข้อห้าม (Don’t) ไว้ มี
ประกาศิตบงั คับ (Commandment) และมาตรการบงั คบั (Sanction) แตกต่างกันตาม
จดุ มุง่ หมาย (Objectives) เรียกชอื่ ต่าง ๆ กัน เชน่ “มารยาท” (Manner) ใชใ้ นสังคมท่วั ไป มี
จุดมุ่งหมายเพ่อื ความเปน็ ระเบยี บเรียบรอ้ ย มปี ระกาศิต บังคบั ในระดับ “ควร” มมี าตรการ
บังคับทางสังคม (Social Sanction) เช่น เป็นท่ีรังเกียจหรอื ไม่เปน็ ท่ยี อมรับ นับถอื “จรรยา
วิชาชีพ ” (Professional .Ethics) ใชใ้ นวงการผปู้ ระกอบวิชาชพี ตา่ งๆ เช่น แพทย์ วิศวกร
สถาปนิก มีจุดมุ่งหมายเพอ่ื ประสทิ ธิผลในการประกอบวิชาชพี นนั้ ๆ และเพ่อื ธ ารงไวซ้ งึ่ เกยี รติ
และศักด์ศิ รขี อง
ผปู้ ระกอบวิชาชพี นน้ั ซึง่ มีมโนธธรม คือ จติ สานึก (Conscience) กากับอยู่ด้วย มีประกาศิตบังคบั
ใน ระดับ “พงึ ” มีมาตรการบังคับในทางการประกอบวชิ าชีพ (Professional Sanction) เป็น
มาตรการแกไ้ ข (Correction) เชน่ ว่ากล่าวตักเตอื น หรือสง่ั ให้ไดร้ ับการพฒั นา หรอื นาไป
ประกอบการพจิ ารณาในการแตง่ ตง้ั ใหด้ ารงตาแหน่งตา่ ง ๆ หรอื การเลอ่ื นเงินเดือน เปน็ ต้น
สาหรบั ขา้ ราชการพลเรอื น พระราชบญั ญัตริ ะเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.๒๕๕๑ ให้ถือว่า การ
รับ ราชการเปน็ การประกอบวิชาชีพ อยา่ งหนึง่ ซึง่ บัญญตั ใิ หข้ า้ ราชการรกั ษาจรรยาข้าราชการ
ตามทส่ี ่วนราชการเจา้ สังกัดกาหนดและใหผ้ ้บู ังคับบัญชากากบั ควบคุมและดาเนินการแก้ไข
พฤติกรรมตามควรแกก่ รณี ดงั ท่บี ัญญัติไว้ใน มาตรา ๗๙ วา่ ข้าราชการพลเรอื นสามัญผ้ใู ดไม่
ปฏิบตั ติ ามจรรยาข้าราชการให้ผ้บู งั คบั บญั ชานาไปประกอบการ พิจารณาแตง่ ตัง้ เลอื่ นเงนิ เดอื น
หรือสงั่ ให้ไดร้ ับการพัฒนา “วินยั ” (Discipline) ใชใ้ นวงการผทู้ างานต่าง ๆ มจี ดุ มุ่งหมายเพอื่
ประสิทธิภาพในการท างานน้นั ๆ มีประกาศติ บังคบั ในระดบั “ต้อง” มมี าตรการบงั คับทางวินัย
(Disciplinary sanction) ซึง่ เป็นมาตรการลงโทษ (Punishment) การรบั ราชการเป็นการท างาน
อย่างหน่ึง จึงต้องมีข้อกาหนดทางวินยั ให้ขา้ ราชการยึดถอื ปฏิบัตใิ นการทางาน
เม่อื ปลายปี ๒๕๕๐ คณะกรรมาธกิ ารศาสนา คุณธรรม วฒั นธรรม และศิลปะ ไดจ้ ัดรายการแถลง
ข่าว โดยยกย่องคุณธรรมแหง่ การรักแมเ่ ป็นคุณธรรมเร่ิมแรกแหง่ คณุ ธรรมทงั้ หลาย ซึ่งได้รับการ
สนบั สนนุ และเห็นดีเห็นชอบจากส่ือมวลชนทัง้ หลายและผ้รู ว่ มงานใหก้ าลังใจมากมาย และ พลเอก
ปรชี า โรจนเสน ประธานกรรมาธิการ ได้กาชับให้ผมพยายามสร้างความเข้าใจในความหมายของ
คาคณุ ธรรมจรยิ ธรรมให้กระจ่างกันเสียที ผมเห็นด้วย จึงค้นควา้ มาเสนอในคอลมั น์นี้
ขอเรมิ่ ทคี่ าคุณธรรมกอ่ น เปิดพจนานกุ รมฉบบั ราชบัณฑิตยสถานฉบบั พ.ศ. ๒๕๔๒ ดทู ีค่ า
คณุ ธรรม พบคานยิ ามสัน้ ๆ ว่าสภาพคณุ งามความ ดี จากนิยามน้ีจึงได้ยนิ คาอธิบายจากหลายคน
ว่า "ได้แก่ความดีทอ่ี ยภู่ ายใน” ซงึ่ น่าจะหมายความวา่ เป็นภาวะรวม ๆ แห่งการทาดีทกุ อยา่ ง อย่าง
ท่ภี าษาอังกฤษใชค้ าว่า goodness เพื่อหมายถึงภาวะแห่งการทาดอี ย่างรวม ๆ เม่ือเทียบกบั
จริยธรรมซ่งึ พจนานุกรมเดยี วกนั นิยามวา่ "ธรรมทีเ่ ป็นข้อประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ, ศีลธรรม, กฎศีลธรรม”
ซึง่ นา่ จะเขา้ ใจได้วา่ หมายถงึ ภาวะการทาดที ่กี าหนดได้เป็น ข้อ ๆ เหมอื นกฎหมายท่ีกาหนดได้
เป็นมาตรา ๆ ศลี ธรรมทีก่ าหนดได้เป็นขอ้ ๆ เหมือนศีล ๕ กาหนด ได้เปน็ ๕ ขอ้ บัญญัติ ๑๐
ประการกาหนดได้เป็น ๑๐ ข้อ
เปิดดพู จนานกุ รมศัพทป์ รัชญาของราชบัณฑติ ยสถานฉบบั พ.ศ. ๒๕๓๒ ทคี่ าว่าคุณธรรม
พบคาแปลวา่ virtue และเปิดดูที่คา virtue กพ็ บคาแปลและนิยามว่า "คุณธรรม : หลกั ท่มี นุษย์
ถอื เปน็ แนวทางท่ีถกู ต้องในการดาเนินชวี ิต เช่น ความยตุ ธิ รรม ความเมตตา ฯลฯ” ซ่งึ นา่ จะ
ตคี วามได้วา่ หมายถึงความดีเป็นข้อ ๆ ซ่ึงน่าจะตรงกบั คานิยาม "จริยธรรม” ของพจนานุกรม
ราชบัณฑิตยสถานฉบับ พ.ศ. ๒๕๔๒ นัน่ เอง แค่นี้ก็สบั สนพอดูอยู่แลว้ สาหรับผอู้ ยากไดน้ ิยาม
ชัดเจน
สารวจดูจากงานเขยี นของนกั เขียนอื่น ๆ ในภาษาไทย กจ็ ะพบคานยิ ามและคาอธบิ ายต่าง ๆนานา
ซง่ึ ก็พอจะตคี วามได้อย่างรวม ๆ ว่า หมายถึงหลกั และแนวปฏิบัติ ซง่ึ เมอ่ื ยังไม่ปฏิบตั ิเรยี กวา่
คุณธรรม หากปฏิบัติกเ็ ป็นจริยธรรม (อาจจะตคี วามจากคาอธบิ ายของพจนานุกรมฉบับ
ราชบัณฑติ ยสถานกระมงั ทน่ี ิยามจรยิ ธรรมวา่ "ธรรมท่เี ปน็ ขอ้ ประพฤตปิ ฏิบตั ิ” โดยยกเอา "ข้อ”
ออก แลว้ เอาคาว่า "การ” ใสเ่ ข้าไปแทน กลายเป็น "ธรรมทีเ่ ป็นการปฏิบัติ”
ท่นี า่ สนใจมาก ๆ คือ นิยามของพระเดชพระคุณทา่ นอธกิ ารบดมี หาวิทยาลยั มหาจุฬาลง
กรณราชวิทยาลัย ขณะดารงสมณศกั ดพ์ิ ระเมธธี รรมาภรณ์ (พ.ศ. ๒๕๓๗) วา่ "คณุ ธรรมเปน็ เรอื่ ง
ของสัจธรรม ทาให้เกิดการประพฤติ ปฏบิ ตั ิดี ทาใหเ้ กิดการรกั ษาศีล กระจายออกเปน็ จรยิ ธรรม
และจรรยาบรรณ จริยธรรมจึงเปน็ การดาเนนิ การให้สอดคล้องกบั สจั ธรรม จรยิ ธรรมจงึ เปน็ หลัก
แหง่ ความประพฤตทิ ีด่ ีงาม เพอ่ื ประโยชนต์ นและสงั คม” ตรงนเี้ องกระมงั เป็นทมี่ าของนิยามของ
ผู้สนใจเร่อื งนที้ ว่ั ๆ ไปวา่ "คุณธรรมเป็นหลกั ความดีภายใน และจริยธรรมคือการปฏบิ ตั ติ ามหลัก
คณุ ธรรม” ถือไดว้ า่ เข้าทิศทางสากลแล้ว แต่กย็ งั ต้องช่วยกนั ขยายความมากกว่าน้ี
สรปุ ก็คอื ยงั มีความสับสนอยมู่ ากในการเขา้ ใจความหมายของคาว่าคุณธรรมและจรยิ ธรรม
ผมจะขอลองชาแหละเรื่องนใี้ นภาษาองั กฤษดูก่อน เร่อื งนภ้ี าษาองั กฤษและภาษาตะวนั ตก
ทง้ั หลายมอี ยู่ ๒ คา คาหนง่ึ มาจากภาษากรกี ethos ส่วนอีกคาหนง่ึ มาจากภาษาละติน mores
ทั้ง ๒ คา ๒ ภาษามีความหมายเหมอื นกันวา่ การปฏิบัตโิ ดยประเพณี ซง่ึ ก็หมายความวา่ เป็นที่
ยอมรบั ของมวลชนในสังคมที่กลา่ วถึง ชาวกรกี เป็นผู้ริเร่ิมนามาใช้เป็นวิชาการก่อน เช่น แอร์เรสิ
ทาเทลิ เขียนตารา Ethica Nicomachea, Ethica Eudemia, Macra Ethica เม่อื ชาวยุโรปหันมา
ใช้ภาษาละตินแทนภาษากรีก ตลอดยคุ กลางน้นั เร่ืองท่ีแปลมาจากภาษากรีก จะยงั คงทบั ศัพท์
เป็น Ethica นอกจากหนงั สอื เล่มทสี่ ามทแ่ี ปลเปน็ ภาษาละตินว่า Magna Moralia
ชาวยโุ รปยุคกลางพรอ้ มใจกนั ใชค้ าภาษากรีก (Ethica) สาหรบั พดู ถงึ ความคิดของชาวกรีก
ซ่ึงเปน็ ความคิดระดบั ปรัชญาเท่านั้น และใชค้ าภาษาละติน (Moralia) สาหรับพดู ถึงความคดิ ของ
พวกตน ซง่ึ มพี ้นื ฐานบนคาสอนของศาสนาคริสต์ มีคาประนีประนอม Ethica Christiana ซ่ึง
หมายถงึ เร่อื งการทาดตี ามคาสอนของศาสนาคริสต์ท่ีอธบิ ายและพสิ จู น์ระดับปรชั ญาเท่าน้ัน
หลงั ยุคกลางเมอื่ มกี ารใช้ภาษาถ่นิ ตา่ ง ๆของยุโรป อย่างเช่น ภาษาองั กฤษ ก็จะนยิ มใช้ทัง้
คา Ethic (จากภาษากรีก) และ Moral (จากภาษาละติน) และใช้อยา่ งสบั สนปนเปจนยากทจ่ี ะ
กาหนดได้วา่ มคี วามหมายตา่ งกันอยา่ งไร แม้หลายคนพยายามแยกใช้ Ethic สาหรับมิตปิ รัชญา
และ Moral สาหรับมิติศาสนากไ็ ปไมร่ อด มีหลายคนพยายามแยกใช้ Ethic สาหรับระดบั อธบิ าย
ตามหลักวชิ าการ และ Moral สาหรบั ขอ้ ปฏบิ ตั ิและคาอธบิ ายระดบั ภาษาสามญั แตก่ ไ็ ม่สู้จะมคี น
ฟัง ยังคงใช้ท้ัง ๒ คาอย่างปนเปกัน โดยเอาความนิยมเปน็ หลัก ผดิ พลาดบ้างไม่ว่ากัน เพราะเขา้ ใจ
กันได้ แมจ้ ะฟังแปรง่ ๆ หนอ่ ยสาหรับผคู้ ร่าหวอดก็ไม่เป็นไร
จะขอสารวจจานวนคาทเี่ ก็บอธิบายในสารานกุ รมปรชั ญา ๒ ชุดของภาษาอังกฤษ คือ ชุด
Routledge's Encyclopedia of Philosophy และชดุ Macmillan's Encyclopedia of
Philosophy, ๒nd edition มาแสดงใหเ้ หน็ สถิติความสนใจใช้ ๒ คานี้ คือ ในบรรดาศัพท์ Ethic
๔๖ คา และ Moral ๑๐๔ คา Routledge เกบ็ คากลมุ่ Ethic ไว้ ๒๓ คา และคากลุ่ม Moral ไว้
๕๑ คา ส่วน Macmillan เกบ็ คากลุ่ม Ethic ไว้ ๓๑ คา และคากลุม่ Moral ไว้ ๗๘ คา ทัง้ ๒
ฉบับเก็บกลมุ่ Ethic ไวร้ ว่ มกันเพยี ง ๘ คา และคากลมุ่ Moral เกบ็ ไว้รว่ มกัน ๒๔ คา เม่ือหกั คาท่ี
ใช้ร่วมกันแล้วก็เหลือคาที่ Routledge ใช้สว่ นตัวคอื Ethic ๑๕ คา และ Moral ๒๗ คา ส่วน
Macmillan ใชส้ ่วนตวั คือ Ethic ๒๓ คา และ Moral ๕๔ คา
คาว่า”คุณธรรมจริยธรรม” นี้ เป็นคาท่ีคนส่วนใหญ่จะกลา่ วควบคกู่ นั เสมอ จนทาใหเ้ ขา้ ใจผิดได้วา่
คาท้งั สองคามีความหมายอยา่ งเดียวกันหรอื มีความหมายเหมอื นกัน แทท้ ่จี รงิ แล้วคาวา่
“คุณธรรม” กบั คาวา่ ”จรยิ ธรรม” เปน็ คาแยกออกได้ 2 คา และมคี วามหมายแตกต่างกันคาวา่ “
คุณ” แปลวา่ ความดี เป็นคาทมี่ ีความหมายเปน็ ทางนามธรรม ส่วนคาว่า “จริย” แปลว่า ความ
ประพฤติกริยาทค่ี วรประพฤติเปน็ คาทีม่ ีความหมายทางรูปธรรม ดงั นั้น จึงควรที่ผู้บรหิ ารจะต้อง
ทาความเขา้ ใจเกยี่ วกบั ความหมายของคาสองคานใ้ี ห้ถ่องแทก้ อ่ น
พจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 (2538 : 189) ใหค้ วามหมายว่า” คุณธรรม
หมายถงึ สภาพคุณงามความดี”
พระธรรมปิฎก (ป.อ.ยุตโต ) (2540: 14) ไดก้ ลา่ วว่าคุณธรรมเปน็ ภาพของจติ ใจกลา่ วคอื
คณุ สมบตั ิที่เสรมิ สร้างจิตใจให้ดงี าม ให้เปน็ จติ ใจทีส่ ูง ประณีตและประเสรฐิ เชน่
เมตตา คือ ความรักปรารถนาดี เป็นมติ ร อยากใหผ้ อู้ น่ื มคี วามสุข
กรณุ า คือ ความสงสารอยากช่วยเหลอื ผู้อนื่ มีความสุข
มทุ ติ า คือ ความพลอยยนิ ดพี รอ้ มทีจ่ ะสง่ เสริมสนบั สนนุ ผ้ทู ่ปี ระสบความสาเรจ็ ใหม้ คี วามสุขหรอื
ก้าวหนา้ ในการทาส่ิงท่ีดีงาม
อุเบกขา คือ การวางตวั วางใจเป็นกลาง เพ่อื รกั ษาธรรมเม่อื ผอู้ นื่ ควรจะตอ้ งรบั ผดิ ชอบตอ่ การ
กระทาของเขาตามเหตแุ ละผล
จาคะ คอื ความมนี า้ ใจเสยี สละ เออ้ื เฟ้อื เผื่อแผ่ ไมเ่ หน็ แก่ตวั
วศิน อินทสระ (2541: 106,113) กล่าวตามหลกั จริยศาสตร์วา่ คณุ ธรรม คือ อปุ นิสัยอันดีงามซึ่ง
สง่ั สมอยู่ในดวงจติ อปุ นิสัยอนั น้ีไดม้ าจากความพยายามและความประพฤติตดิ ตอ่ กันมาเป็น
เวลานาน... คณุ ธรรมสัมพันธ์กับหนา้ ทีอ่ ยา่ งมาก เพราะการทาหน้าทจ่ี นเปน็ นสิ ยั จะกลายเปนํ
อปุ นสิ ยั อนั ดีงามทส่ี ั่งสมในดวงจิตเป็นบารมี มลี กั ษณะอย่างเดยี วกันน้ี ถ้าเป็นฝา่ ยชว่ั เรยี กว่า “อา
สวะ” คอื กเิ ลสท่ีหมกั หมมในดวงจติ ยอ้ มจติ ใหเ้ ศร้าหมองเกรอะกรังด้วยความชว่ั นานาประการ
กลายเปน็ สันดานชวั่ ทาใหแ้ ก้ไขยากสอนยาก กล่าวโดยสรปุ คุณธรรมคือความล้าเลิศแห่งอปุ นิสยั
ซ่ึงเปน็ ผลของการการะทาหน้าท่ีจนกลายเป็นนสิ ัยนั่นเอง
พระเมธธี รรมาภรณ์ (ประยรู ธมมจติ โต) (2538: 15-16) กล่าวว่า คณุ ธรรมคอื คุณสมบตั ทิ ่ดี ขี อง
จติ ใจ ถา้ ปลกู ฝงั เรื่องคุณธรรมไดจ้ ะเป็นพน้ื ฐานจรรยาบรรณ... จรรยาบรรณนเ้ี ปน็ เรือ่ งพฤติกรรม
ในการทจ่ี ะพฒั นาตอ้ งตีความออกไปว่า พฤตกิ รรมเหลา่ นม้ี ีพน้ื ฐานจากคณุ ธรรมข้อใด เช่น เบญจ
ศีลเปน็ จรยิ ธรรม เบญจธรรมเปน็ คุณธรรมคอื ความเมตตากรุณา ถ้ามีความเมตตากรณุ าจะมีฐาน
ของศีลขอ้ ที่ 1 เป็นต้น ส่วนจริยธรรม พจนานกุ รมฉบับราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ.2525 (2538 :
216 ) ให้ความหมายว่า “จรยิ ธรรมหมายถงึ ธรรมที่เปน็ ข้อประพฤตปิ ฏบิ ัติ ศีลธรรม กฎศีลธรรม”
พระเมธธี รรมาภรณ์ (ประยูร ธมมจิตโต) (2535: 81-82) กล่าวว่าจริยธรรม คือ หลกั แห่งความ
ประพฤติ หรอื แนวทางการปฏิบตั ิ หมายถงึ แนวทางของการปฏบิ ตั ิ หมายถึง แนวทางของการ
ประพฤติปฏบิ ตั จิ นให้เป็นคนดีเพื่อประโยชน์สขุ ของตนเองและสว่ นรวม
นอกจากน้ีพระเมธีธรรมาภรณ์ (ประยรู ธมมจิตโต) (2538: 2) ยงั ให้แนวคดิ ว่าจรยิ ธรรมคือหลกั
แหง่ ความประพฤติดีงามสาหรับทุกคนในสงั คม ถ้าเป็นขอ้ ปฏิบัตทิ ั่วไป เรียกว่าจรยิ ธรรม ถา้ เป็นขอ้
ควรประพฤติทม่ี สี าสนาเข้ามาเกยี่ วข้อง เราเรียกว่า ศีลธรรม แตท่ ัง้ น้ีมไิ ด้หมายความว่า จริยา
ธรรมองิ อย่กู ับหลกั คาสอนทางศาสนาเพยี งอยา่ งเดยี ว แท้ทจ่ี ริงน้ันยังหยัง่ รากอยู่บน
ขนบธรรมเนียมประเพณี แม้นักปราชญค์ นสาคญั เช่น อรสิ โตเติล คานท์ มหาตมะคานธี กม็ ีสว่ น
สรา้ งจรยิ ธรรมสาหรับเปน็ แนวทางในการดารงชีวิตของคนจานวนหน่ึง
จากทศั นะของพระเมธีธรรมภรณ์ดังกลา่ วข้างตน้ นี้ จะเห็นได้วา่ จริยธรรมไม่แยกเด็ดขาดจาก
ศลี ธรรม แตม่ ีความหมายกวา้ งกว่าศีลธรรม ศีลธรรมเป็นหลักคาสอนท่วี ่าด้วยความประพฤตชิ อบ
สว่ นจริยธรรม หมายถึง หลักแห่งความประพฤติดีประพฤตชิ อบอันวางรากฐานอยบู่ นหลักคาสอน
ของศาสนา ปรชั ญาและขนบธรรมเนียมประเพณี ทา่ นผูน้ ี้มองจริยธรรมในฐานะที่เปน็ ระบบ อนั มี
ศีลธรรมเป็นส่วนประกอบสาคญั แต่กม็ ีแนวคิดปรัชญา คา่ นิยม ตลอดจนธรรมเนยี มประเพณีเขา้
มาเกยี วขอ้ งด้วยจากทีก่ ลา่ วมาท้งั หมดพอสรปุ ไดว้ ่า คาว่า คุณธรรม จรยิ ธรรม สองคาน้ีเปน็ คาทม่ี ี
ความหมายเก่ยี วขอ้ งกนั ในด้านคณุ งามความดี กลา่ วคือ จริยธรรมคอื ความประพฤติที่ถกู ตอ้ งดีงาม
ท้งั กายและวาจา สมควรทบ่ี ุคคลจะประพฤติปฏิบตั ิ เพอื่ ให้ตนเองและคนในสังคมรอบขา้ งมี
ความสุข สงบ เยือกเย็น จรยิ ธรรมเป็นเรื่องของการฝึกนิสัยที่ดี โดยกระทาอย่างต่อเน่อื งสม่าเสมอ
จนเปน็ นสิ ยั ผมู้ คี วามประพฤติดีงามอย่างแท้จริงจะต้องเป็นผ้มู คี วามรู้สึกในด้านดอี ยูต่ ลอดเวลา
คอื มี “คุณธรรม “ อยู๋ในจิตใจหรืออาจกลา่ วได้วา่ จริยธรรมเป็นเรอื่ งของการประพฤตปิ ฏบิ ัติเป็น
พฤติกรรมภายนอก ส่วนคณุ ธรรมเปน็ สภาพคณุ งามความดภี ายในจติ ใจ ซง่ึ ทงั้ สองส่วนตอ้ ง
เกีย่ วขอ้ งสมั พันธ์กัน พฤติกรรมของคนทีแ่ สดงออกมาทัง้ ทางกายและวาจาน้ัน ย่อมเกีย่ วเนื่อง
สัมพนั ธ์และเปน็ ไปตามความรูส้ กึ นึกคิดทางจิตใจและสติปัญญา การพฒั นาคณุ ธรรมจริยธรรมของ
บคุ คลจงึ ตอ้ งพัฒนาทั้ง 3 ดา้ น ควบคกู่ ันไป คอื การพฒั นาด้านสตปิ ญั ญา ดา้ นจติ ใจและดา้ น
พฤติกรรม
ความสาคัญของคณุ ธรรมจรยิ ธรรม
คุณธรรมจรยิ ธรรมนบั วา่ เป็นพืน้ ฐานทส่ี าคญั ของคนทุกคนและทุกวชิ าชพี หากบุคคลใดหรอื
วชิ าชพี ใดไม่มีคณุ ธรรมจรยิ ธรรมเป็นหลักยึดเบือ้ งต้นแล้วกย็ ากท่ีจะก้าวไปสู่ความสาเร็จแห่งตน
และแหง่ วชิ าชีพน้นั ๆ ทย่ี ิ่งกวา่ น้ันก็คอื การขาดคุณธรรมจริยธรรมทง้ั ในส่วนบคุ คลและในวิชาชพี
อาจมีผลร้ายตอ่ ตนเอง สงั คมและวงการวชิ าชพี ในอนาคตไดอ้ กี ด้วย ดังจะพบเหน็ ไดจ้ ากการเกิด
วิกฤตศิ รัทธาในวิชาชีพหลายแขนงในปัจจบุ นั ทงั้ วงการวิชาชีพครู แพทย์ ตารวจ ทหาร
นกั การเมอื งการปกครอง ฯลฯ จงึ มคี ากล่าวว่าเราไม่สามารถสร้างครดู ีบนพนื้ ฐานของคนไม่ดี และ
ไม่สามารถสรา้ งแพทย์ ตารวจ ทหารและนักการเมืองทด่ี ี ถา้ บุคคลเหล่านั้นมพี ื้นฐานทางนิสัยและ
ความประพฤติทไี่ มด่ ี ดงั พระบรมราโชวาทพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ ัวภูมิพลอดลุ ยเดชฯ ในพระ
ราชพิธบี วงสรวงสมเดจ็ พระมหากษตั ริ-ยาธริ าช ณ ท้องสนามหลวง เมือ่ วนั จันทร์ที่ 5 เมษายน พ.
ศ.2525 ไว้ ดังน้ี
“.....การจะทางานใหส้ ัมฤทธิ์ผลท่ีพึงปรารถนา คอื ใหเ้ ป็นประโยชน์และเปน็ ธรรมดว้ ยน้ัน จะอาศัย
ความรแู้ ตเ่ พยี งอยา่ งเดยี วมิได้ จาเป็นตอ้ งอาศยั ความสจุ ริต ความบริสทุ ธ์ใิ จ และความถกู ต้องเป็น
ธรรม ประกอบดว้ ย เพราะเหตวุ ่าความรู้น้ัน เสมอื นเครอื่ งยนต์ทีท่ าใหย้ วดยานเคลื่อนทไ่ี ปได้
ประการเดียว ส่วนคุณธรรมดังกล่าวแล้ว เป็นเสมอื นหน่งึ พวงมาลยั หรอื หางเสือ ซ่งึ เป็นปจั จยั ที่นา
ทางให้ยวดยานดาเนนิ ไปถกู ทางด้วยความสวสั ดี คอื ปลอดภยั บรรลุจุดประสงค.์ .”
จรยิ ธรรมจึงเปน็ ส่ิงสาคัญในสงั คม ทจี่ ะนาความสขุ สงบและความและความเจริญก้าวหน้ามาสู่
สงั คมน้ันๆ เพราะเมื่อคนในสงั คมมจี รยิ ธรรม จติ ใจกย็ ่อมสงู สง่ มคี วามสะอาด และสวา่ งในจิตใจ
จะทาการงานใดก็ไมก่ ่อให้เกิดความเดือดรอ้ น ไมกอ่ ใหเ้ กดิ ทกุ ขแ์ ก่ตนเองและผู้อน่ื เปน็ บุคคลมี
คุณค่ามีประโยชน์ และสร้างสรรค์คุณงามความดี อันเป็นประโยชน์ตอ่ บา้ นเมืองต่อไป
วศนิ อินทสระ (2541 : 6-9) ได้กลา่ วถงึ ความสาคญั และประโยชนข์ องจริยธรรมดงั จะกลา่ วโดยยอ่
ดงั นี้
1. จริยธรรมเป็นรากฐานอันสาคญั แห่งความเจริญรุ่งเรอื ง ความม่ันคงและความสงบสขุ ของปจั เจก
ชน สังคมและประเทศชาตอิ ยา่ งยง่ิ รัฐควรส่งเสริมประชาชนให้มจี รยิ ธรรมเปน็ อันดบั แรก เพอื่ ให้
เปน็ แกนกลางของการพัฒนาด้านอ่นื ๆ ทง้ั เศรษฐกจิ การศกึ ษา การเมอื งการปกครอง ฯลฯ การ
พัฒนาทีข่ าดจริยธรรมเปน็ หลักยดึ ย่อมเกดิ ผลร้ายมากกว่าดี เพราะผมู้ ีความร้แู ตข่ าดคุณธรรม
ย่อมกอ่ ให้เกดิ ความเสอ่ื มเสยี ได้มากกวา่ ผ้ดู ้อยความรู้ โดยท่านกล่าวว่า “ ผู้มีความรแู้ ตไ่ มร่ ู้วิธที จี่ ะ
ประพฤตติ น ย่อมก่อให้เกดิ ความเสื่อมเสยี ได้มากกวา่ ผู้มีความร้นู อ้ ย ถ้าเปรียบความรู้เหมอื นดิน
จริยธรรมยอ่ มเป็นเหมอื นนา้ ดนิ ท่ีไมม่ นี า้ ยดึ เหนี่ยวเกาะกุมยอ่ มเปน็ ฝุ่นละอองให้ความราคาญ
มากกวา่ ให้ประโยชน์ คนที่มีความรู้แต่ไม่มีจรยิ ธรรมจึงมกั เปน็ คนที่กอ่ ความราคาญหรือเดือดร้อน
ให้แก่ผ้อู ่นื อยเู่ นอื งๆ”
2. การพฒั นาบ้านเมือง ต้องพัฒนาจติ ใจคนกอ่ น หรืออยา่ งน้อยก็ใหพ้ รอ้ มๆไปกบั การพฒั นา
เศรษฐกจิ สงั คม การศึกษาวชิ าการอ่ืนๆ เพราะการพฒั นาทีไ่ ม่มีจรยิ ธรรมเป็นแกนนาน้ันจะสูญ
เปล่าและเกิดผลเสียเป็นอนั มากทาใหบ้ คุ คลลุ่มหลงในวตั ถุและอบายมุข การทีเ่ ศรษฐกจิ ต้องเส่ือม
โทรม ประชาชนทกุ ข์ยาก เพราะคนในสงั คมละเลยจริยธรรม กอบโกยทรพั ยส์ นิ เป็นประโยชน์
สว่ นตัวมากเกินไปขาดความเมตตาปราณี แล้งนา้ ใจในการดาเนินชีวิตซึง่ กันและกนั
3. จริยธรรม มิได้หมายถึง การถอื ศลี กินเพล เข้าวดั ฟังธรรม จาศลี ภาวนา โดยไม่ชว่ ยเหลือทา
ประโยชนใ์ หแ้ กส่ งั คม แตจ่ รยิ ธรรมหมายถงึ ความประพฤติ การกระทาและความคดิ ทีถ่ ูกต้อง
เหมาะสมการทาหนา้ ทข่ี องตนอยา่ งถกู ตอ้ งสมบูรณ์ เว้นส่งิ ควรเว้น ทาสิง่ ควรทา ดว้ ยความฉลาด
รอบคอบ รเู้ หตุรผู้ ลถกู ตอ้ งตามกาลเทศะและบคุ คล ดังน้นั จะเหน็ ว่าจริยธรรมจงึ จาเป็นและมี
คุณค่าสาหรบั ทกุ คนในทุกวชิ าชพี ทกุ สงั คม สงั คมจะอยรู่ อดด้วยจริยธรรม
4.การทุจริต คดโกง การเบยี ดเบยี นกันในรูปแบบต่างๆอนั เปน็ เหตุใหส้ งั คมเสอ่ื มโทรม มีสาเหตุมา
จากการขาดจริยธรรมของคนในสงั คม ทรพั ยากรธรรมชาตใิ นโลกนน้ี า่ จะพอเล้ยี งชาวโลกไปได้อีก
นาน ถ้าชาวโลกชว่ ยกันละทง้ิ ความละโมบโลภมาก แล้วมามีชวี ติ อย่อู ยา่ งเรยี บง่าย ช่วยกนั
สรา้ งสรรค์สังคม ยึดเอาจรยิ ธรรมเป็นทางดาเนินชวี ิต ไมใ่ ชย่ ึดเอาลาภยศความมีหน้ามีตาในสังคม
เป็นจุดหมาย ถา้ สง่ิ นัน้ จะเกิดข้ึนก็ถอื เป็นเพยี งผลพลอยได้และนามาใชเ้ ป็นเครอ่ื งมอื ในการ
ประพฤตธิ รรม เชน่ อาศัยลาภผลเปน็ เครอ่ื งมอื ในการบาเพ็ญสาธารณประโยชน์อาศัยยศและความ
มีหน้ามเี กยี รตใิ นสังคมเป็นเครอื่ งมือในการจูงใจคนผเู้ คารพนับถอื เขา้ หาธรรม
5. จรยิ ธรรมสอนใหเ้ ราเลิกดหู มิ่นกดขี่คนจน ใหเ้ อาใจใสด่ แู ลเอ้อื อาทรต่อผู้สงู อายุ ซึง่ เปน็ บุพการี
ของชาติ สอนให้เราถ่อมตัวเพอื่ เขา้ หากนั ไดด้ กี ับคนท้ังหลาย และไมว่ างโตโอหงั อวดดหี รอื ก้าวร้าว
ผอู้ ่ืน สอนให้เราลดทิฏฐมิ านะลงใหม้ ากๆเพ่อื จะไดม้ องเหน็ ส่งิ ตา่ งๆตามความจริง ไม่หลงสาคัญตวั
ว่ารู้ดกี วา่ มคี วามสามารถกวา่ ใคร ผ้นู าทม่ี ีจรยิ ธรรมสงู ยอ่ มเปน็ ทเ่ี คารพกราบไหว้ของทั้งหลายได้
อยา่ งสนทิ ใจ เราควรเลือกผู้นาที่สามารถนาความสงบสขุ ทางใจมาสู่มวลชนไดด้ ้วย เพ่ือสนั ติสขุ จะ
เกดิ ขึน้ ทงั้ ภายในและภายนอก ความแขง็ แกร่งทางกาลังกายกาลังทรพั ย์และอาวธุ น้ัน ถ้าปราศจาก
ความแข็งแกรง่ ทางจรยิ ธรรมเสยี แล้ว บุคคลหรือประเทศชาติจะม่นั คงอยไู่ ด้ไมน่ าน สังคมที่เจริญ
มนั่ คงต้องมีจริยธรรมเปน็ เครื่องรับรอบหรือเป็นแกนกลาง เหมอื นถนนทมี่ ัน่ คงหรือตึกท่ีแข็งแรง
เขาใชค้ อนกรีตเสริมเหล็กแม้เหลก็ จะไม่ปรากฏออกมาใหเ้ ห็นภายนอก แต่มีความสาคัญอยภู่ ายใน
นายช่างยอ่ มรู้ดี ทานองเดียวกันกับบณั ฑิตย่อมมองเหน็ อยา่ งแจ่มแจง้ ว่าจรยิ ธรรมมีความสาคัญใน
สงั คมเพียงใด
จากข้อความทกี่ ลา่ วมาทง้ั หมดนี้ พอสรปุ ไดว้ า่ คุณธรรมจรยิ ธรรมเป็นรากฐานสาคัญในการพัฒนา
คน ปญั หาของสังคมไทยทป่ี ระสบพบเหน็ อยู่ทกุ วนั นเี้ กดิ จาก “คน” ปัญหาเริ่มต้นที่ “คน” และมี
ผลกระทบถงึ “คน “ การแกป้ ัญหาสังคมไทยจึงต้องแก้ดว้ ย “การพัฒนาคน” เพอื่ ให้คนมีปญั ญา
มีความรมู้ คี ุณธรรมและมที กั ษะในการแก้ปญั หาชวี ิต ปญั หาจงึ อยทู่ ่วี า่ เราจะพฒั นาคนอย่างไร
เพื่อให้คนมีชีวิตท่ีดงี ามสามารถใช้ความรแู้ ละแกป้ ัญหาได้ สรา้ งสรรคไ์ ด้ ปฏิบัติตอ่ เทคโนโลยอี ย่าง
ถูกต้อง อยใู่ นระบบการแข่งขนั ทางเศรษฐกิจได้ บรโิ ภคผลผลติ ดว้ ยปญั ญา รู้อะไรดี อะไรชว่ั มี
ทัศนคติทางจรยิ ธรรมที่เหมาะสม ฯลฯ ท้ังหมดน้ีเป็นคุณสมบัตขิ องคนท่มี คี ุณธรรม การจัดการ
ศกึ ษาคงตอ้ งยดึ หลกั สาคัญคอื “ให้ความรูค้ ู่คุณธรรม “ สงั คมไทยจงึ จะมสี มาชกิ ของสงั คมท่เี ปน็ ท้ัง
คนเกง่ และคนดี
ดังคากลอนของอาไพ สจุ รติ กลุ (2534 : 186) กล่าวไว้ดังน้ี
เมอื่ ความรู้ยอดเย่ียมสงู เทียมเมฆ
แต่คณุ ธรรมตา่ เฉกยอดหญ้านั่น
อาจเสกสรา้ งมจิ ฉาสารพนั
ดว้ ยจติ อันไรอ้ ายในโลกา
แม้คุณธรรมเย่ียมถึงเทียมเมฆ
แตค่ วามรู้ตา่ เฉกเพยี งยอดหญา้
ยอ่ มเป็นเหย่ือทรชนจนระอา
ด้วยปัญญาอ่อนดอ้ ยน่าน้อยใจ
หากความรสู้ งู ล้าคณุ ธรรมเลศิ
แสนประเสริฐกอปริกจิ วนิ จิ ฉัย
จะพัฒนาประชาราษฎร์ท้งั ชาติไทย
ต้องฝึกให้ความรู้คคู่ ุณธรรม
อาไพ สุจริตกุล (2534: 186)
คณุ ธรรมพน้ื ฐานของผนู้ า
“....ในฐานทีเ่ ป็นครอู าจารย์ หัวหน้างาน
จาเปน็ ตอ้ งมคี วามสจุ ริต ยตุ ธิ รรม
ทาตวั ให้เป็นตัวอย่าง เป็นที่พึ่ง
ของผูอ้ ยูใ่ ต้บงั คับบัญชา
ไม่ยอมแพพ้ ่ายต่อความโลภ
ความลมื ตัว ความรษิ ยา ความแตกร้าว
ต้องมุ่งมน่ั ในประโยชนอ์ ันรุ่งเรืองไพศาล
ของสว่ นรวมเป็นเป้าหมาย
จึงจะไดช้ ื่อวา่ ประสบความสาเร็จ
และมชี ือ่ เสียงเกยี รติคณุ ทุกประการ
ดงั ทีป่ รารถนา.........”
พระบรมราโชวาท
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ วั ภูมิพลอดลุ ยเดชมหาราช
คณุ ธรรมพนื้ ฐานของผนู้ า
“... ในฐานะทเ่ี ป็นครูอาจารย์ หวั หนา้ งาน
จาเป็นต้องมีความสจุ รติ ยตุ ธิ รรม
ทาตวั ให้เป็นตัวอยา่ ง เป็นที่พ่ึง
ของผอู้ ยูใ่ ต้บังคบั บญั ชา
ไมย่ อมพ่ายแพ้ตอ่ ความโลภ
ความลืมตัว ความริษยา ความแตกรา้ ว
ต้องม่งุ มน่ั ในประโยชนอ์ ันรงุ่ เรอื งไพศาล
ของส่วนรวมเป็นเปา้ หมาย
จงึ จะไดช้ ่ือวา่ ประสบความสาเร็จ
และมชี อื่ เสยี งเกยี รติคณุ ทกุ ประการ
ดังทป่ี รารถนา……”
พระบรมราโชวาท
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมพิ ลอดลุ ยเดชมหาราช
แนวคดิ หลกั การ ทฤษฏีทางคณุ ธรรมจริยธรรม
แนวคิด หลกั การ ทฤษฏี รวมท้งั หลักคาสอนทางศาสนาต่างๆ มีอยู่มากมาย ผบู้ ริหารควรศึกษา
นอ้ มนามาพิจารณาเป็นแนวทางปฏิบัติตนและการดาเนนิ งาน หลกั คาสอนท่จี ะนามาพอเป็น
ตัวอยา่ งต่อไปนม้ี ีท้งั จากคาสอนทางศาสนา หลกั ปรัชญา แนวคิดของนกั ปราชญท์ งั้ ในอดีตกาล
และแนวใหม่ ทง้ั ของทางตะวนั ตก และตะวันออก รวมทง้ั ของไทยดงั นี้
โสคราตสี (Socrates) กล่าวถงึ คุณธรรมวา่ คณุ ธรรมคอื ความรู้ (virtue is knowledge) การ
แสวงหาความรเู้ ก่ยี วกับศลี ธรรม จริยธรรม คือการแสวงหาคณุ ธรรม เพราะคุณธรรมคอื ความร้ทู ่ี
แท้จริง ถ้าบุคคลรแู้ ละเข้าใจถึงธรรมชาติของความดีจริงๆ แลว้ เขาจะไมพ่ ลาดจากการประกอบ
ความดลี ะเว้นความชวั่ คุณธรรมทที่ าใหค้ นเป็นมนษุ ย์มี 5 ประการ คือ
1. ปญั ญา หรอื ความรู้ (wisdom) หมายถึง รู้วา่ อะไรดี อะไรไม่ดี
2. การปฏบิ ตั ิหน้าทีท่ างศาสนา (duty) คือ การทาความดี การเคารพยกยอ่ งสิง่ ท่คี วรเคารพ เช่น
พระผู้เปน็ เจา้ พระธรรม การปฏิบตั ิตามคาสอนของศาสนา
3. ความกลา้ หาญ (courage) คือกลา้ ในสง่ิ ควรกลา้ และกลวั ในส่งิ ควรกลัว
4.การควบคุมตนเอง (self control หรือ temperance) คือ การใช้ปัญญาควบคมุ อารมณ์
ความรูส้ ึก
5.ยุตธิ รรม (justice) คอื การปฏิบัติต่อผ้อู ื่น และต่อตนเองอย่างเหมาะสม ไม่เบยี ดเบียนตนเอง
และผอู้ นื่
เพลโต ( Plato) กลา่ วว่า คณุ ธรรม คอื การปฏิบตั ิท่ดี ีตามหนา้ ทขี องวิญญาณ และคุณธรรมไมส่ า
รถเกดิ ขึ้นได้โดยบงั เอิญ เพราะมนษุ ยจ์ ะต้องรู้ว่าเขากาลงั ทาอะไร เพือ่ อะไร และทาอยา่ งไร
คุณธรรมจึงเกดิ ขน้ึ จากความรู้ ไม่ใช่ความรู้ทฤษฏี แต่เป็นความรู้ทีม่ าจากการปฏิบัติจรงิ
คุณธรรมตามแนวคดิ ของเพลโต มี 4 ประการ คือ
1. ปัญญาหรอื ความรู้ (wisdom) คอื การหยง่ั รูว้ า่ อะไรถูก อะไรผดิ อะไรดี อะไรไม่ดี อะไรควร
ประพฤติหรือไมค่ วรประพฤติ
2. ประมาณ (temperance) คือ การรู้จักควบคมุ ตัวเองใหอ้ ยู่ในขอบเขตของจดุ มุ่งหมายชีวิต มี
ความรบั ผิดชอบ รจู้ กั บทบาทหนา้ ทีข่ องตนเอง
3. กลา้ หาญ (courage) คอื กล้าเสี่ยงตอ่ ความยากลาบาก อันตราย เพอ่ื อุดมการณข์ องตนเอง
หรือดว้ ยความมั่นใจว่าได้กระทาดที ีส่ ดุ แล้ว
4. ยตุ ิธรรม (justice) คอื การใหแ้ กท่ ุกคนอยา่ งเหมาะสม เช่น การให้แก่ตนเอง ครอบครัว มิตร
สหาย ผบู้ ังคับบัญชา ผู้ใตบ้ ังคับบัญชา อยา่ งมเี หตุผลอันควร
อริสโตเติล (Aristotle) ไดน้ าคณุ ธรรมของเพลโต ( Plato) มาอธบิ ายว่าคณุ ธรรม ไดแ้ ก่ การ
เดินสายกลางระหว่างความไม่พอดีกบั ความพอดี หรอื คุณธรรมคอื ความพอดีพองาม ไมเ่ อียงสดุ ไป
ทางดา้ นใดดา้ นหนึง่ เช่น ความกลา้ หาญจะอยูร่ ะหวา่ งความบ้าบิ่นกับความขลาด ความสุภาพอยู่
ระหว่างความขีอ้ ายกับความไรย้ างอาย และความเอื้อเฟื้ออยู่ระหวา่ งความฟุม่ เฟือยกับความ
ตระหนี่ คณุ ธรรมจึงแบง่ ออกเปน็ 2 ประเภทคือ
1. คณุ ธรรมทางสติปญั ญา เปน็ เรอื่ งของความร้ทู ั้งภาคทฤษฏีและภาคปฏิบตั ิ เป็นส่วนหน่งึ ของ
วิญญาณทมี่ เี หตุผล และหน้าที่ของวิญญาณคือการรแู้ ละคน้ หาความจรงิ นั่นเอง
2. คณุ ธรรมทางศลี ธรรม เป็นสว่ นหน่ึงของวญิ ญาณ อยใู่ นรปู คาสอน ละม่งุ เพ่ือความดงี าม คนมี
คณุ ธรรมกค็ ือคนท่มี ีความพอดี ทาด้วยเจตนาดี มีเหตุผล เห็นแก่ส่วนรวม อรสิ โตเตลิ เสนอ
คณุ ธรรมพิเศษไว้ 4 ประการ คอื มิตรภาพ ประมาณ กลา้ หาญ และยุตธิ รรม
จริยธรรมท้งั สองระดบั นี้ ความสาคัญอยทู่ ก่ี ารประพฤติปฏบิ ัติ การปฏิบตั ิตามหลักโลกียธรรม
โดยเฉพาะสว่ นทีเ่ ป็นพทุ ธโอวาทอย่างสมบรู ณโ์ ดยชอบ กส็ ามารถยกข้นึ สโู่ ลกุตตรธรรมได้ อาจถือ
ไดว้ า่ โลกียธรรมนน้ั เป็นธรรมขนั้ ตน้ หากคอ่ ยปฏบิ ตั ฝิ ึกฝนไปตามลาดับกจ็ ะบรรลถุ งึ โลกตุ ตรธรรม
ดงั ท่ีพระพทุ ธทาสภกิ ขุ (2529 : 203-204) ได้อธิบายว่า “คาวา่ โลกียธรรมกับโลกุตตรธรรม
มักจะยดึ ถอื กันเปน็ หลกั ตายตวั ว่า โลกยิ ะอยู่ในโลกอกี ระบบหน่ึงต่างจากโลกุตตระอยนู่ อกโลกอีก
ระบบหน่ึงตา่ งหากอย่างนี้ไม่ถูก โลกยิ ะ มนั เปน็ ช้ันต้น เป็นของมีอยแู่ ลว้ ของบุคคลทยี่ ังไมร่ ้อู ะไร
อยู่ในวิสยั ของโลกอยูแ่ ลว้ มีแตจ่ ะเลอ่ื นไปหาโลกตุ ตระ ไม่ใชห่ ันหลังให้กันแลว้ เดินกันไปคนละทิศ
ละทาง โลกิยะก็แปลวา่ มนั ยังทาอะไรมากไม่ได้ มันยังอยบู่ ้านมนั ยงั มีความรู้ตา่ ยงั มีตวั ตน ยังมี
ของตน แตแ่ ล้วมนั คอ่ ย ๆ ไปทางของโลกุตตะเพอ่ื จะไมม่ ีตัวตน เพ่ือจะอยูเ่ หนอื ปญั หาท้งั ปวงคือ
เหนือโลก”
องคป์ ระกอบของจรยิ ธรรม
กรมวชิ าการ (2535 : 5 ) ได้จัดทาเอกสารการประชมุ เกี่ยวกับจรยิ ธรรมไทย สรุปวา่ จรยิ ธรรมของ
บคุ คลมอี งคป์ ระกอบ 3 ประการ คอื
ดา้ นความรู้ (moral reasoning) คอื ความเขา้ ใจในเหตุผลของความถูกต้องดีงาม สามารถ
ตัดสนิ แยกความถกู ตอ้ งออกจากความไม่ถกู ตอ้ งได้ด้วยการคดิ
ดา้ นอารมณค์ วามร้สู ึก (moral attitude and belief) คอื ความพงึ พอใจ ความศรทั ธาเลอ่ื มใส
ความนิยมยินดี ที่จะรบั จรยิ ธรรมมาเปน็ แนวทางในการประพฤติปฏิบตั ิตน
ดา้ นพฤตกิ รรม (moral conduct) คือการกระทาหรอื หารแสดงออกของบคุ คลในสถานการณ์
ตา่ งๆ ซึง่ เช่ือว่าเกิดจากอทิ ธิพลของท้ังสององค์ประกอบข้างต้น
เนอื่ งจากองค์ประกอบของจริยธรรมประกอบดว้ ย 3 สว่ น ดงั กลา่ วขา้ งตน้ การพฒั นาคนในดา้ น
จริยธรรมจงึ ตอ้ งพฒั นา 3 ดา้ นไปด้วยกัน ในการดาเนินชวี ติ ของคนน้ัน องค์ประกอบทั้ง 3
ประการเกี่ยวข้องสมั พนั ธ์กันอย่างใกล้ชดิ กล่าวคือ พฤติกรรมของคนที่แสดงออกมาท้ังทางกาย
และทางวาจานนั้ จะมีความสัมพนั ธ์กบั ทางจติ ใจและสตปิ ัญญา คนท่ีมีอารมณโ์ กรธจะแสดง
พฤติกรรมออกมาทางการก้าวรา้ วรนุ แรง และย่งิ เปน็ คนที่มีปัญญานอ้ ยด้วยแล้ว พฤตกิ รรมที่
แสดงออกกจ็ ะกา้ วร้าวรนุ แรงย่ิงกว่าบุคคลทม่ี สี ติปัญญาซง่ึ จะสามารถควบคุมจิตใจของตนได้โดย
ไมแ่ สดงพฤติกรรมไม่ดใี ห้ออกมาปรากฏ นั่นก็แสดงว่าผู้มีสติปญั ญาดียอ่ มสามารถควบคมุ อารมณ์
และความประพฤติได้ดกี ว่าผดู้ ้อยปญั ญาน่ันเอง