การประเมินหลกั ฐาน เป็นขัน้ ตอนสาคัญขนั้ ตอนหน่งึ ของวธิ ีการ
ทางประวัตศิ าสตร์เพราะหลักฐานทางประวตั ศิ าสตรม์ ีจาานวนมากและ
หลากหลายทัง้ ยงั มีขอ้ มูลท่ีสอดคลอ้ งและขัดแยง้ กัน
ผู้ศึกษาจึงต้องเลอื กใช้หลกั ฐานท่ีเก่ียวขอ้ งดว้ ยการประเมนิ
หลักฐานเพื่อใหไ้ ด้ข้อเท็จจริงท่ีนา่ เช่ือถอื และได้รับการยอมรบั มากท่สี ุด
โดยมีการประเมนิ หลกั ฐานทงั้ ภายในและภายนอก
การประเมนิ หลักฐานภายนอก
การประเมนิ หลักฐานภายนอกเป็นการประเมินตัวหลักฐานจาก
ภายนอกวา่ ใครเป็นผู้บันทกึ หลกั ฐานนัน้ ผูบ้ นั ทกึ หลักฐานมสี ถานภาพใดใน
ขณะนนั้ บันทึกขนึ้ โดยจุ ดมุ่งหมายใด มคี วามเป็นกลางเพยี งใด ทัง้ นี้
เพราะบางครงั้ ผูบ้ นั ทึกอาจบันทึกขึน้ โดยคาสงั่ ของผูม้ อี าานาจ หรอื บนั ทกึ
จากอคติส่วนตวั โดยยดึ ผลประโยชนแ์ ละมุมมองของตนเป็นสาคัญ
การประเมนิ หลกั ฐานภายใน
การประเมินหลกัฐานภายในเป็นการประเมินเนือ้ หาของขอ้ มูลท่ีปรากฏ
ในหลักฐานนนั้ ๆ ว่าน่าเชื่อถือ หรือมีอคติหรือไม่ ผู้ศึกษาตอ้ งตรวจสอบ
วิธีการนาาเสนอผลงานของผูเ้ ขยี นว่าตรงกบั ข้อเท็จจรงิ หรือมกี ารบิดเบอื น
ขอ้ มูลหรือไม่ การวิเคราะห์ การตคี วาม หรอื ขอ้ สันนิษฐานของผูเ้ ขยี นใน
ผลงานชิน้ นนั้ มกี ารใช้วธิ ีการทางประวตั ศิ าสตร์หรอื ไม่ อย่างไรทงั้ นี้
ผูศ้ ึกษาหลกั ฐานสามารถตรวจสอบ ความถกู ต้องของผลงานนัน้ กบั
หลักฐานอน่ื ๆ ทงั้ ประเภทปฐมภูมแิ ละทุติยภูมิ
วธิ กี ารประเมินความนา่ เช่ือถอื ของหลักฐาน
ทางประวัตศิ าสตรไ์ ทยในลักษณะตา่ งๆ
1. เป็นของแทห้ รอื ของทาเลยี นแบบ ซ่ึงดูไดจ้ ากวสั ดทุ ่ีใช้เขยี น รูปแบบตัวเขยี น สานวนภาษา
2. การศึกษาภมู หิ ลงั ของผู้ทาหรอื ผูท้ ่ีเก่ยี วขอ้ ง เช่น เป็นพวกเดยี วกันหรอื เป็นศตั รูกัน หรอื เป็น
บุคคลทัว่ ไปมีความใกลช้ ิดกบั เหตุการณ์เพยี งใด
3. วตั ถุประสงคข์ องการจดั ทา มขี อ้ พจิ ารณาคอื เพราะเหตใุ ดจงึ มีการบันทกุ เร่อื งนนั้ ๆ
เป็นหลักฐานทางราชการ
4. ช่วงระยะเวลาทจ่ี ดั ทาหลกั ฐาน มขี ้อควรพจิ ารณาคอื หลกั ฐานนนั้ ๆจดบันทกึ ในทันทแี บบ
จดหมายเหตรายวัน หรือบนั ทึกรายวัน
5. รูปลักษณข์ องหลกั ฐาน มีขอ้ พจิ ารณา คอื หากเป็นของทางราชการจะมเี นอื้ หาท่ีสนั้ กระชบั
ถา้ เป็นบนั ทึกสว่ นตัวจะเขียนตามท่รี ู้สึก
การแยกแยะหลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตร์
1. การแยกแยะความแตกต่างระหว่างข้อเทจ็ จริงกับความคดิ เห็น
ข้อเทจ็ จรงิ เปน็ ข้อมูลหลกั ฐานต่างๆ ซ่งึ อาจตรงกันบ้าง ไมต่ รงกัน หรอื ขดั แยง้
กนั บา้ งแต่ความคิดเห็น เป็นส่วนทผ่ี เู้ ขยี น ผู้บนั ทึก หรือผู้แต่ง ผูใ้ ชห้ ลกั ฐาน คิดว่าขอ้ มูล
ทีถ่ กู ต้องน่าจะเป็นอย่างไร
ดงั นนั้ เมอื่ นักเรียนอา่ นหนังสอื ใดๆกต็ าม ไมใ่ ช่เฉพาะหนงั สือประวัติศาสตร์
จะต้องรู้จักแยกแยะ ขอ้ เท็จจรงิ กบั ความคิดเห็น เพื่อจะได้นาไปศกึ ษาค้นคว้าต่อไปใหไ้ ด้
ความจรงิ หรือใกล้ความเป็นจรงิ ทส่ี ุด
การแยกแยะหลกั ฐานทางประวัติศาสตร์
2. การแยกแยะระหวา่ งความจรงิ กบั ข้อเทจ็ จรงิ
ข้อมูลหรอื เร่อื งราวทางประวัตศิ าสตร์ เรยี กว่า ขอ้ เทจ็ จรงิ แยกออกเป็น ข้อเทจ็ กบั
ข้อจริงเร่อื งราวทางประวตั ศิ าสตรจ์ ึงประกอบดว้ ย ขอ้ เท็จจรงิ กับข้อจริงหรอื ความจริง เช่น
เรอ่ื งราวการเสยี กรุงศรีอยุธยา ครงั้ ท่ี 1 การเสียกรุงศรอี ยุธยาครั้งที่ 2 ความจรงิ คอื ไทยเสีย
กรงุ ศรีอยธุ ยาใน พ.ศ. 2112 และ พ.ศ. 2310 ส่วนขอ้ เทจ็ จริง คือ ข้อมูลทเ่ี ป็นคาอธบิ ายที่
ปรากฏในหลักฐานทง้ั หลายว่า ทาไมไทยจึงเสยี กรุงศรอี ยธุ ยา
ดงั นนั้ ในการศกึ ษาเร่ืองราวทางประวัติศาสตร์ นกั เรียนจึงตอ้ งค้นคว้าข้อมูลจาก
หลกั ฐานหลายแหลง่ หรืออา่ นหนงั สือหลายเลม่ เพอื่ จะไดส้ ามารถแยกแยะวา่ เรือ่ งใดเปน็
ความจรงิ เร่อื งใดเปน็ ขอ้ เท็จจรงิ
ตวั อย่างการประเมนิ ความนา่ เชือ่ ถอื
ของหลกั ฐานทางประวตั ิศาสตร์ไทย
การศกึ ษาประวัติศาสตร์ตอ้ งใช้หลกั ฐานจากหลายทาง หลายแหลง่
หลายฝ่าย โดยเฉพาะฝา่ ยทเี่ กย่ี วข้องกบั เหตกุ ารณน์ ้นั ๆ เช่น ในเร่อื งการคา้ ขาย
ของอยุธยากับชาตติ ะวนั ตก หลักฐานไทยในพระราชพงศาวดาร
ในกฎหมายตราสามดวง เปน็ ต้น กล่าวถึงบา้ งไหม บันทกึ ไวอ้ ย่างไร หลกั ฐานของ
ชาตติ ะวันตก ซึ่งเขา้ มาติดต่อคา้ ขายกับไทยหลายชาตกิ ล่าวไวว้ ่าอย่างไรบ้าง
ท้ังโปรตุเกส อังกฤษ ฮอลันดา
ตัวอยา่ งการประเมนิ ความนา่ เชื่อถอื
ของหลักฐานทางประวตั ิศาสตรไ์ ทย
เมื่อนาข้อมลู มาใช้นกั เรยี นควรคานึงถึงวา่ คนตา่ งชาติมคี วามแตกต่าง
ทางดา้ นวฒั นธรรมมีทัศนคติในหลายเรื่องแตกต่างกนั กบั คนไทย
อย่างไรกด็ ี มีหลกั ฐานทางประวัตศิ าสตรข์ องไทยหลายเร่อื งที่ไมม่ ีข้อมลู
เพยี งพอ จึงมคี วามจาเปน็ ตอ้ งใชห้ ลกั ฐานของชาวตา่ งชาติ แต่ก็ไมค่ วรเช่อื ถอื
ในทันทหี รือเชอื่ วา่ เปน็ เร่ือจรงิ ขอใหถ้ อื วา่ เปน็ ข้อเท็จจรงิ และตอ้ งตรวจสอบกบั
หลักฐานอื่นๆในเรือ่ งเดยี วกนั ด้วย
ตวั อย่างการประเมนิ ความน่าเช่อื ถอื
ของหลกั ฐานทางประวัติศาสตรไ์ ทย
ตัวอย่าง ช่วงเวลาการครองราชสมบัตขิ องกษตั ริยส์ มยั อยุธยา
ซึง่ เปน็ เรื่องท่ีมีความสาคัญมาก แต่หลักฐานท่เี กย่ี วขอ้ ง คือ พระราชพงศาวดาร
สมยั อยธุ ยาหลายเล่มกล่าวถึงไมต่ รงกนั ชว่ งเวลาการครองราชสมบัติของกษัตริย์มี
ความสาคัญมาก เพราะมีความสมั พันธก์ ับเหตกุ ารณ์และพระราชกรณียกจิ ถ้าชว่ งเวลา
การครองราชสมบตั ิไม่ถกู ต้อง เหตุการณ์หรือพระราชกรณียกิจกอ็ าจกลายเปน็ ของ
กษตั ริย์พระองคอ์ น่ื ได้ ในการตรวจสอบเรื่องน้ถี า้ หลกั ฐานของไทยขัดแยง้ กัน
กอ็ าจหาหลกั ฐานของชาวตา่ งชาตมิ าชว่ ยตรวจสอบ
ตัวอย่างการประเมินความน่าเช่อื ถือ
ของหลกั ฐานทางประวตั ิศาสตร์ไทย
ดังตวั อยา่ ง ชว่ งเวลาการครองราชสมบตั ขิ องพระเจ้าทรงธรรม
พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาระบุว่า ครองราชสมบัติ
ระหวา่ ง พ.ศ.2145-2170 เปน็ เรื่องที่ควรสงสยั เพราะปีทีข่ ้ึนครองราชสมบัติ คอื
พ.ศ.2145 ยังอยู่ในสมยั สมเด็จพระนเรศวรมหาราช หลกั ฐานของไทยหลายฉบบั
กล่าวไม่ตรงกัน
ดงั นัน้ จึงตอ้ งนาหลกั ฐานของชาวตา่ งชาติมาชว่ ยตรวจสอบ ทสี่ าคัญ คอื
หลักฐานของพอ่ คา้ ฮอลนั ดาทเ่ี ข้ามาตั้งห้างค้าขายท่ีพระนครศรอี ยธุ ยาจดบนั ทกึ
ไว้ ทาให้ไดข้ อ้ สรปุ ว่าช่วงเวลการครองราชสมบตั ขิ องพระเจ้าทรงธรรม คือ
ระหวา่ งพ.ศ.2154-2173 รวมเวลา 17 ปี