กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนบ้านเด็กดี อ าเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต ๔ เอกสารประกอบการเรียน เร ื อ่งประวัติและผลงานสังค ี ตกว ีไทย เล่ม ๓ โดย นายชัชวาฬ เถาน้อย ครูวิทยฐานะครูช านาญการพิเศษ โรงเรียนเทศบาลวัดสระทอง
การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนตามแนวทางปฏิรูปการศึกษา โดยใช้เอกสาร ประกอบการเรียน เรื่อง ประวัติและผลงานสังคีตกวีไทย เป็นสื่อการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียน เป็นส าคัญโดยใช้กระบวนการการจัดการเรียนรู้ Active Learning ผู้เรียนสามารถใช้เป็น เอกสารอ้างอิงส าหรับการเรียนวิชาดนตรี ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เพื่อให้เกิดความเข้าใจใน เนื้อหาเรื่องสังคีตกวีไทย และให้เกิดความรู้สึกรักและเคารพคุณครูผู้สร้างสรรบทเพลงไทยเดิมและ รักษาไว้ให้ลูกหลานในอนาคต ผู้จัดท าจึงได้ศึกษาค้นคว้าจากหนังสือเอกสารต่าง ๆ และสอบถาม ผู้เชี่ยวชาญในเรื่อง ประวัติและผลงานของครูดนตรีไทยจากหลายๆ ท่าน เพื่อที่จะให้ผู้เรียนซึ่งอยู่ ในระดับมัธยมศึกษาเข้าใจได้ง่ายที่สุด หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเอกสารประกอบการเรียน เรื่องประวัติ และผลงานสังคีตกวีไทย เล่มที่ 3 เป็นประโยชน์ต่อนักเรียนในการเรียนรู้ทั้งในและนอกห้องเรียน ให้บรรลุตามวัตถุประสงค์และตรงตามมาตรฐานการเรียนที่ก าหนดและปฏิบัติกิจกรรมใน ชีวิตประจ าวันได้จริง ๆ ซึ่งนักเรียนสามารถค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเองได้เป็นอย่างดี
ประวัติครูสอน วงฆ้อง ครูสอน วงฆ้อง เป็นบุตรของนายขันและนางนิ่ม เกิดเมื่อ วันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๔๕ ที่บ้านเจ้าเจ็ด จังหวัด อยุธยา การศึกษาวิชาดนตรีของครูสอนนั้น เริ่มต้นกับ ครูทอง ฤทธิรณ ครูปี่พาทย์ในละแวกบ้าน ครั้นต่อมาจึงได้เป็นศิษย์ของพระยา เสนาะดุริยางค์ (แช่ม สุนทรวาทิน) เจ้ากรมปี่พาทย์หลวงใน รัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องด้วยครู สอนเป็นคนมีไหวพริบปฏิภาณและความเฉลียวฉลาดแม่นย า มั่นคงยิ่งนัก จึงได้วิชาความรู้ทางดนตรีจากพระยาเสนาะฯ มากที่สุด มีเป็นหลายครั้งที่พระยา เสนาะฯ บอกเพลงให้ครูสอนแล้วมอบหมายให้เป็นผู้สอนนักดนตรีคนอื่น ๆ ต่อไปอีกทอด หนึ่ง หน้าที่การงานของครูสอน เริ่มต้นตั้งแต่ เจ้าพระยาธรรมธิกรณาธิบดี เสนาบดีกระทรวง วังในรัชกาลที่ ๖ ไปขอตัวมาเป็นคนฆ้องประจ าวงปี่พาทย์ที่บ้านของท่าน ครั้นอายุครบเกณฑ์ ก็เข้ารับราชการเป็นทหารรักษาวังรุ่นเดียวกับครูเทียบ คงลายทอง ครูมิ ทรัพย์เย็น เป็นต้น พ้น ราชการทหารแล้วจึงเข้าถวายตัวเป็นมหาดเล็กในกรมปี่พาทย์และโขนหลวง เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๐ หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้วจึงได้โอนมาสังกัดกรมศิลปากรจน เกษียณอายุราชการ และได้รับการจ้างต่อให้เป็นครูพิเศษในวิทยาลัยนาฎศิลป จนถึงแก่กรรม เมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๑๘ ด้วยโรคหัวใจ สิริอายุได้ ๗๔ ปี ผลงานและความสามารถทางดนตรีของครูสอนยิ่งใหญ่ไม่น้อยไปกว่าครูเทียบ คงลายทอง ครู มิ ทรัพย์เย็น ครูพริ้ง ดนตรีรส และครูคนอื่น ๆ ที่เป็นศิษย์ร่วมส านักเดียวกัน ครูสอนเล่นเครื่อง ปี่พาทย์ได้อย่างดีทุกเครื่องมือยกเว้นปี่ แต่ที่ดีเด่นเป็นพิเศษคือฆ้องวงใหญ่ จนถึงกับ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวตรัสประทานนามสกุลให้ว่า “วงฆ้อง” เพราะตีฆ้องดี นัก ครูสอนมีความแม่นย าเป็นเลิศในคุณสมบัติของฆ้องวงใหญ่ คือ แม่นเพลง แม่นปุ่ม และ แม่นจังหวะ อันว่าเพลงไทยทั้งปวงนั้นมีจ านวนมิใช่น้อย ทั้งแต่ละเพลงก็มีความยาวยอกย้อน ประกอบด้วยเงื่อนง าหักต่อเป็นแห่ง ๆ ไป อีกประการหนึ่งดนตรีไทยไม่ใช้โน้ต แต่นิยมท่องจ า เพลงกันเป็นส าคัญ ทั้งเมื่อเวลาไปงานทั่วไปนั้นก็มิได้มีการซักซ้อมกันล่วงหน้า สุดแต่คน ระนาดจะนึกเพลงขึ้นตามปรารถนา ดังนั้นโอกาสที่คนตีฆ้องจะตีพลาดย่อมมีอยู่เสมอ ๆ แต่ ครูสอนไม่เป็นเช่นนี้
คนระนาดตั้งเพลงขึ้นเมื่อใด ครูสอนก็จะรับและบรรเลง ต่อไปจนหมดกระบวนโดยไม่ขาดไม่เกินหรือบกพร่อง แต่ประการใด ครูพริ้ง ดนตรีรส คนระนาดฝีมือเยี่ยม บอกกับผู้เขียนเสมอว่า “มีสอนไปด้วย ผมไม่กลัวใคร” ครั้นเมื่อสิ้นครูสอน ก็ปรารภว่า “หมดสอนเสียคนหนึ่ง ผมไม่อยากตีระนาด” เพราะครูสอนเป็นที่อุ่นใจ เป็น หลักของวงได้วิเศษนัก ที่ว่าแม่นปุ่มก็คือแม่นคู่แปด และตีลงถูกปุ่มฆ้องทุกครั้งไม่พลาดไปโดนฉัตรหรือที่อื่น ๆ ส าหรับการแม่นจังหวะนั้นเป็น คุณสมบัติของคนฆ้องซึ่งจะต้องยืนจังหวะไว้ให้มั่น ไม่รุกหน้าหรือล้าหลัง ไม่ว่าจะถูกเหลื่อมถูก ล้อเช่นไร เหล่านี้ครูสอนมีครบถ้วนอย่างดีเลิศ นอกจากนี้ครูสอนยังได้สมญาว่าเป็น “ตู้เพลง” ของวงการดุริยางค์ไทย เพราะไม่ว่าจะเรียกถามเพลงใด อันมีมาแต่โบราณ เป็นได้ครบจนถ้วนทุก เมื่อไม่มีพลาดเสมือนหนึ่งค้นหาหนังสือในตู้เก็บหรือจ่อเข็มลงบนแผ่นเสียงฉะนั้น ครูสอน เคย เล่าให้ผู้เขียนฟังว่ามีศาสตราจารย์ทางดนตรีจากประเทศอังกฤษท่านหนึ่งเดินทางมาประเทศไทย และได้มาติดต่อขอให้ครูสอนตีฆ้องให้ฟัง เมื่อตีจบ ศาสตราจารย์ผู้นั้นได้กล่าวขึ้น มีความว่า ดนตรีไทยเป็นสิ่งแสดงให้เห็นว่า ชาติไทยเป็นชาติที่มีอารยธรรมรุ่งเรืองมาก่อนตะวันตก ขอให้ รักษาแนวทางดนตรีอันวิเศษนี้ไว้ให้จงดี อย่าให้อิทธิพลของตะวันตกมาบิดเบือนให้เสียรูปไป ดังเช่นประเทศทั้งหลายในเอเชีย เมื่อครั้งมีการประชันวงปี่พาทย์ ณ วังบางขุนพรหม ใน พ.ศ. ๒๔๖๖ ครูสอนเข้าตีฆ้องใหญ่ ประชันกับครูช่อ สุนทรวาทิน คนฆ้องของท่านจางวางทั่ว พาทยโกศล ผลการตัดสินปรากฎว่าครู ช่อ ได้ที่ ๑ ความเรื่องนี้ครูพริ้ง ดนตรีรส เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า ได้ยินพระยาประสานดุริยางค์ศัพท์ (แปลก ประสานศัพท์) เจ้ากรมปี่พาทย์หลวงในรัชกาลที่ ๖ กล่าวว่า “นายสอนไม่แพ้ฝีมือ แต่แพ้ ที่ฆ้อง” ทั้งนี้เพราะวงจางวางทั่ว พาทยโกศล ใช้ฆ้องใหญ่ที่ชื่อ “เขียวหวาน” อันเป็นฆ้องเนื้อดี เลิศ เสียงเป็นยอด ใช้เฉพาะในการประชันเท่านั้นเข้าแข่งขัน ดังนั้นแม้ฝีมือจะก้ ากึ่งก็ยัง ได้เปรียบ ครั้งหลังสุด กรมศิลปากรได้เชิญครูสอนตีฆ้องเพลงเดี่ยวต่าง ๆ เก็บรักษาไว้เป็นสมบัติของชาติ ครูสอนก็ให้ความร่วมมือด้วยดี โดยมิได้ปิดบังอ าพรางความรู้แต่อย่างใด แม้จะปรารภกับผู้เขียน อยู่เป็นหลายครั้งว่า “เหนื่อยเหลือเกิน อยากให้เสร็จเสียที” โดยที่อายุมากแล้วในการอัดเสียงครั้ง สุดท้ายที่ห้องอัดเสียงของพลต ารวจตรีวิลาส หงสเวส ซอยนวลน้อย เอกมัย ครูสอนตั้งใจจะ อัดเสียงเพลงที่ยังค้างอยู่ให้เสร็จสิ้น จึงอัดเสียงตั้งแต่เช้าจนเหน็ดเหนื่อย เมื่ออัดถึงเพลงกราวใน ซึ่งเป็นเพลงที่ยาวและใช้ก าลังอย่างมาก ยังไม่ทันจบ ครูสอนก็สิ้นใจในวงฆ้องนั้นเอง
ผลงานคีตนิพนธ์ของครูสอน มีดังนี้ เดี่ยวฆ้องใหญ่เพลง นกขมิ้น ต่อยรูป ดอกไม้ไทร อาเฮีย สุดสงวน นารายณ์แปลง รูป ฉิ่งมุล่ง และทยอยเดี่ยว (แต่งร่วมกับพระยาเสนาะดุริยางค์) เดี่ยวระนาดเอกเพลง ลาวแพน ทยอยเดี่ยว ด้านชีวิตครอบครัว สมรสกับนางเยื้อน มีบุตรธิดา ๓ คน คือ สายหยุด (หญิง) พร ทิพย์ (หญิง) และชูเกียรติ (ชาย) พิชิต ชัยเสรี (เรียบเรียงจาก หนังสืออนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพนายสอน วงฆ้อง และค า บอกเล่าของ ครูพริ้ง ดนตรีรส)
ประวัติครูบุญยงค์ เกตุคง ครูบุญยงค์ เป็นบุตรชายคนโตของ นายเที่ยง และนางเขียน เกตุคง เกิดเมื่อวันอังคาร เดือน ๔ ปีวอก พ.ศ. ๒๔๖๓ ที่ ต าบลวัดสิงห์ เป็นหลานปู่หลานย่าของนายใจนางเพียร ชาวสวน ต าบลดาวคนอง เป็นหลานตาหลานยายของ นาย เปี่ยมและนางภู่ ศรีประเสริฐ ตากับยายและแม่เป็นคนอัมพ วา จังหวัดสมุทรสาคร มีน้องชาย ๒ คน ชื่อบุญยัง และทอง อยู่ มีน้องสาว ๑ คน ชื่อเบญจางค์ น้องชายชื่อบุญยัง เป็นนัก ดนตรีฝีมือดี เริ่มเรียนหนังสือที่บ้านตาและยาย จังหวัดสมุทรสาคร อายุได้ ๘ ขวบ เริ่มเรียนดนตรีกับครูละม้าย หรือทองหล่อ ที่บ้านข้าง วัดหัวแหลม พอตีฆ้องท าเพลงโหมโรงเช้า โหมโรงเย็นได้ก็เลิกเรียนขณะนั้นอายุได้ ๑๐ ปี ใน ระยะนั้น บิดา ของครูบุญยงค์ เป็นนายโรงลิเก ให้ชื่อในการแสดงว่า ”พยอม” มีชื่อเสียงว่าแสดง ดีทุกบทตั้งแต่บทพระเอก จนถึงตัวตลก แสดงอยู่กับคุณ “หมื่นสุขส าเริงสรวล” ประจ าอยู่ที่ วิกบางล าพู กรุงเทพฯ บิดามีภรรยาอีกคนหนึ่ง เป็นคนจีนชื่อ “กวย” มีบ้านอยู่ที่ถนนสิบสามห้าง บางล าพู ในวัยหนุ่มครูได้อยู่กับมารดาเลี้ยงคนนี้ ซึ่งรักและเมตตาครูมาก อายุได้ราว ๑๑ ปี ได้ไปเรียนดนตรีต่อกับครูหรั่ง พุ่มทองสุก ที่บ้านปากน้ า ภาษีเจริญ พร้อม ๆ กับ ครูสมาน ทองสุโชติ และครูบุญยัง ผู้น้องชาย ได้ต่อเพลงต่าง ๆ จนถึงเดี่ยวฆ้องเล็กได้ เรียน อยู่กับครูหรั่งประมาณ ๒ ปี ก็ย้ายไปเรียนกับอาจารย์เทิ้ม พระวัดช่องลม จังหวัดสมุทรสาคร จน อายุได้ ๑๖ ปี จึงไปช่วยบิดาตีระนาดอยู่กับคณะลิเกได้ต่อเพลงจาก ครูประสิทธิ์ เกตุคง ผู้เป็น อา อีกหลายเพลง ประเภทเพลง ๒ ชั้น ที่ลิเกชอบร้องอยู่เสมอ ๆ และได้เป็นศิษย์ของครูเพชร จรรย์นาฏ ครูดนตรีที่มีชื่อเสียงแห่งจังหวัดอยุธยา (ศิษย์หลวงประดิษฐไพเราะ) จนถึงออกวง ร่วมกับครูเพชร ประชันวงตามงานต่าง ๆ ทั้งยังได้ใกล้ชิดกับครูชื้น ครูชั้น ดุริยประณีต ซึ่งมาตี ระนาดให้กับวงลิเกของบิดา จึงได้เป็นศิษย์ของบ้านดุริยประณีต ได้ต่อเพลงกับครูสอน วงฆ้อง และเล่นดนตรีมากับครูสืบสุด (ไก่) ดุริยประณีต จนมีความสามารถท าเพลงส าหรับเดี่ยวระนาด ได้ ต่อมาได้น้องสาวของครูชื้น ดุริยประณีต คนหนึ่งเป็นภรรยา แต่ไม่มีบุตรด้วยกัน
พ.ศ. ๒๔๘๕ น้ าท่วมกรุงเทพมหานคร ครั้งใหญ่ท าให้การเล่นลิเกซบเซาลงมาก ครูจึงหันมายึดอาชีพแจวเรือจ้างจนหมด ฤดูน้ าท่วม แล้วไปอยู่เรียนดนตรีกับครูเท วาประสิทธิ์ พาทยโกศล เป็นเวลาอีกปี เศษ ความสามารถในทางดนตรีของครูบุญ ยงค์นั้นมีมาก สามารถบรรเลงปี่พาทย์ ได้ทุกประเภท ทั้งประกอบการแสดงโขน ละคร ลิเก จนถึงการประชันวงปี่พาทย์ เคยร่วมวงดนตรีกับ คณะทองใบ รุ่งเรือง คณะดุริย ประณีต คณะพาทยโกศล คณะครูเพชร จรรย์นาฏ เป็นต้น ครูบุญยงค์ แต่งเพลงครั้งแรก ตั้งแต่ เมื่อมีอายุได้ ๑๘ ปี แล้วได้น าไปบรรเลงในงานไหว้ครูครั้งหนึ่งที่บ้านหลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ได้รับค าชมเชยว่า ทางบรรเลงดี จึงมีก าลังใจ ต่อมาเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๙ อายุได้ ๒๖ ปี จึงร่วมมือกับครูบุญยัง น้องชาย หัดลิเก แสดงลิเกเป็นล่ าเป็นสัน จนถึงได้รับรางวัลชนะเลิศ การประกวดลิเก ทางวิทยุกระจายเสียง เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๐ ได้รับถ้วยทองค าหนัก ๕ บาท และ เงินรางวัล หนึ่งหมื่นบาท โดยมี พร ภิรมย์ และครูบุญยัง เกตุคง ร่วมแสดงด้วย ใช้ชื่อคณะว่า “เกตุคงด ารงศิลป์” เมื่อ พลโท ม.ล.ขาบ กุญชร เป็นอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ครูบุญยงค์ ได้เข้ารับราชการเป็น นักดนตรี พร้อมๆ กับครูสมาน ทองสุโชติ ครูประสงค์ พิณพาทย์ ครูระตี วิเศษสุรการ ครูฉลวย จิยะจันทน์ ครูจ าเนียร ศรีไทยพันธุ์ จึงมีโอกาสได้เป็นศิษย์ของครูพุ่ม บาปุยะวาส ได้ร่วมงาน แต่งเพลงกับครูพุ่มหลายเพลง รับการการอยู่ ณ กรมประชาสัมพันธ์ได้ประมาณ ๕-๖ ปี ก็ ลาออกไปเป็นนักดนตรีประจ าอยู่ไทยทีวีสีช่อง ๔ บางขุนพรหม ซึ่งเพิ่งเปิดด าเนินกิจการใหม่ อยู่ได้ประมาณ ๕ ปี ก็ลาออกมาเป็นนักดนตรีประจ าวงดนตรีไทยของ ส านักงาน กรุงเทพมหานคร จนเกษียณอายุเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๕
ผลงานทางด้านการแต่งเพลงของครูมีมากหลายเพลง อาทิ โหมโรงสามสถาบัน โหมโรง จุฬามณี โหมโรงสามจีน เพลงเงี้ยวร าลึกเถา เริงพลเถา ศรีธรรมราชเถา ชเวดากองเถา พิรุณสร่างฟ้าเถา เพชรน้อยเถา(ร่วมกับครูพุ่ม) สยามานุสติเถา เดือนหงายกลางป่าเถา น้ า ลอดใต้ทรายเถา เกษรส าอางค์เถา ศรีอโศกเถา เป็นต้น และยังมีทางเดี่ยวส าหรับเพลง ต่างๆ และเครื่องมือต่างๆ อีกเป็นอันมาก ผลงานของครูบุญยงค์มีความผูกพันอยู่กับ ครูพุ่ม บาปุยะวาส และครูจ าเนียร ศรีไทยพันธุ์ หลายเพลง ผลงานการแต่งเพลงและการเรียบเรียง เพลงของครูบุญยงค์ ในระยะหลังนี้ มีชื่อเสียงแพร่หลายไปยังต่างประเทศคือ ไปร่วมงานกับ นายบรู๊ซแกสตัน นักดนตรีเอกชาวเยอรมันจัดท าเพลงชุด เจ้าพระยาคอนแชร์โต้บรรเลง ด้วยเครื่องดนตรีไทยผสมกับเครื่องดนตรีฝรั่งเป็นที่นิยมชมชอบกันโดยทั่วไป ซึ่งผลงานนี้ เป็นเครื่องยืนยันว่า ครูบุญยงค์ เกตุคง เป็นอัจฉริยบุคคลทางด้านดนตรีของไทยอีกผู้หนึ่ง ในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๓๒ ครูได้เข้ารับพระราชทานโล่และเข็มเชิดชูเกียรติในฐานะเป็น ศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง(ดนตรีไทย) ประจ าปี ๒๕๓๑ นับเป็นเกียรติประวัติ สูงส่งในชีวิตของครู ครูบญยงค์เกตุคง ได้รับยกย่องสรรเสริญว่าเป็นระนาดเทวดา เพราะมีฝีมือบรรเลงระนาด เอกได้ยอดเยี่ยมที่สุดคนหนึ่งในยุคสมัยเดียวกัน และยังได้รับค ายกย่องอีกว่าเสียงระนาด ของท่านเปรียบได้กับเสียงของไข่มุกร่วงบนจานหยก ครูบุญยงค์ เกตุคง ถึงแก่กรรมเมื่อ วันที่ ๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๓๙ สิริรวมอายุ ๗๖ ปี พูนพิศ อมาตยกุล (เรียบเรียงจาก ค าให้สัมภาษณ์ของ ครูบุญยงค์ เกตุคง)
ประวัติครูเจริญใจ สุนทรวาทิน อาจารย์เจริญใจ สุนทรวาทิน เป็นบุตรีคนสุดท้องของพระยาเสนาะดุริยางค์ (แช่ม สุนทรวาทิน) กับคุณหญิงเสนาะดุริยางค์ (เรือน) เกิดเมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน พ.ศ.๒๔๕๘ ได้เรียนวิชาสามัญที่ โรงเรียนศึกษานารี จนจบชั้นมัธยมที่ ๑ จึงย้ายไปเรียนต่อที่โรงเรียนราชินี จนกระทั้งจบชั้นมัธยม ปีที่ ๔ พระยาเสนาะดุริยางค์ผู้เป็นบิดาได้สังเกตพิจารณาอย่างถ่องแท้จนรู้แน่ชัดว่าบุตรีมี ความสามารถ มีพรสวรรค์เป็นเลิศในการขับร้อง สามารถที่จะถ่ายทอดวิชาดนตรีได้ดีกว่าคนอื่น ๆ จึงให้ออกจากการศึกษาวิชาสามัญและทุ่มเทเวลาให้กับการศึกษาวิชาดนตรีอย่างเต็มที่ การเรียนดนตรีของอาจารย์เจริญใจ เรียกได้ว่าวันละสามเวลา คือตอนเช้าก่อนไปโรงเรียน ตอน เย็นกลับจากโรงเรียน และตอนค่ าก่อนจะเข้านอน โดยท่านบิดาจะค่อย ๆ สอนให้วันละเล็กละ น้อยอย่างช้า ๆ ซ้ าแล้วซ้ าอีก จนได้ความรู้ครบถ้วน ทั้งกลวิธีเม็ดพรายในการขับร้องไปจนถึง ความถูกต้องตามอารมณ์ของเพลง นับได้ว่าทุกวรรคทุกตอนนั้นขัดเกลาปลูกฝังกันโดยสมบูรณ์ ตามระเบียบวิธีแบบโบราณโดยแท้ ทั้งมิใช่จะเรียนแต่การขับร้องแต่เพียงอย่างเดียว ทางเครื่องก็ ต้องเรียนไปพร้อม ๆ กันด้วย อาจารย์เจริญใจสามารถตีระนาดเอกเพลงพญาโศกได้จนครบ ๔ เที่ยว ตามระเบียบวิธีการบรรเลงเดี่ยวระนาดเอก ทั้งรู้เนื้อฆ้องและปฏิบัติเครื่องสายได้ถึงเดี่ยว ทุกเครื่องมือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งซอสามสาย ซึ่งในขณะเขียนบันทึกนี้ (พ.ศ.๒๕๒๕) ฝีมือการ บรรเลงซอสามสายของท่าน นับได้ว่าเป็นเลิศ หน้าที่การงานของอาจารย์เจริญใจพอสรุปได้ดังนี้ รัชกาลที่ ๖ เข้าถวายตัวเป็นข้าหลวงเรือนนอก (ข้าหลวงไปกลับมิได้ประจ าอยู่ในวัง) ท าหน้าที่เป็น นักร้อง ได้รับพระราชทานเสมาทองค า ร.๖ รัชกาลที่ ๗ เข้าถวายตัวเป็นข้าหลวงสมเด็จพระนาง เจ้าร าไพพรรณี มีหน้าที่ขับร้องและบรรเลงดนตรี ประจ าวงดนตรีมโหรีหลวงในพระบาทสมเด็จ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้รับพระราชทานเหรียญ รพ. ในสมเด็จพระนางเจ้าร าไพพรรณี รัชกาลที่ ๘ โอนไปสังกัดส านักพระราชวัง กรมศิลปากร และโรงเรียนการเรือนพระนคร ตามล าดับ และสอนอยู่ที่โรงเรียนการเรือนพระนคร กับโรงเรียนอนุบาลละอออุทิศ จนเกิด สงครามโลก ครั้งที่ ๒ จึงออกจากราชการ
รัชกาลที่ ๙ เริ่มเข้าสอนดนตรีไทยที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปี พ.ศ. ๒๕๐๘ จนถึงปัจจุบัน (พ.ศ.๒๕๒๕) โดยมิได้รับค่าสอนเลยในระยะ ๑๒ ปีแรก ครั้นเมื่อสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ เสด็จเข้าทรงศึกษาระดับปริญญาตรี จึงได้ถวายการสอนส่วนพระองค์ต่อมา ผลงานทางดนตรีเรียงตามล าดับเวลาได้ดังนี้ ๑๙ มกราคม พ.ศ.๒๔๖๖ ประกวดปี่พาทย์ ณ วังบางขุนพรหม อายุได้ ๘ ปี เป็นนักดนตรีที่ อายุน้อยที่สุด ผลการประกวด ขับร้องได้ที่ ๓ พ.ศ. ๒๔๙๒ ประกวดขับร้องเพลงไทยทางวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยได้ที่ ๑ ส าเนียง และทางร้องนั้นไพเราะจนกระทั่งกรรมการต้องขอดูตัวเป็นพิเศษ พ.ศ. ๒๕๑๘ ได้รับเชิญจากกรมศิลปากรเพื่อบันทึกเสียงการขับร้อง และการเดี่ยวซอสาม สายเก็บรักษาไว้เป็นแบบฉบับของดุริยางคศาสตร์ต่อไป พ.ศ. ๒๕๒๑ ได้รับเชิญจากโครงการพัฒนาดนตรีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อบันทึกการ ขับรองเพลงเกร็ดโบราณและเพลงละครประเภทต่าง ๆ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญการขับร้องที่มี คุณค่าควรอนุรักษ์ พ.ศ. ๒๕๒๔ ได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาโครงการดนตรีไทย จากส านักงานเสริมสร้าง เอกลักษณ์ของชาติ ส านักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ผลงานทางดนตรีไทยของท่านนั้น มีอีกเป็นอันมาก ทั้งการบันทึกแผ่นเสียงตั้งแต่ปลายรัชกาลที่ ๗ เพลง แรกคือ เพลงอาถรรพ์ จนถึงปัจจุบัน การบรรเลงถวาย ในโอกาสส าคัญ ๆ ต่าง ๆ เช่น คราวรับเสด็จสมเด็จ พระราชินี มากาเร็ตเธ่อเสด็จเยือนประเทศไทยครั้งยัง เป็นมกุฎราชกุมารีก็ได้มีพระบรมราชโองการโปรด เกล้าฯ ให้อาจารย์เจริญใจเข้าเฝ้า ได้สีซอสามสาย และขับร้องพร้อมกันนับเป็นคนแรกในประวัติการ ดนตรีของสยามประเทศ การแต่งทางร้องเพลง ได้แก่ เพลงพญาสี่เสา จินตะหราวาตี สาวสุด สวย และฉลองพระนคร การเป็นกรรมการตัดสินการประกวดดนตรีไทยและการขับร้องต่าง ๆ รวมทั้งงานการสอนดนตรีตามมหาวิทยาลัย และสถาบันอันมีเกียรติอีกหลายแห่งจนได้ชื่อว่า เป็นผู้มีลูกศิษย์ลูกหาเป็นนักวิชาการและผู้ทรงคุณวุฒิมากที่สุดท่านหนึ่ง แต่ผลงานดนตรีซึ่งเป็น ความปลื้มปิติของท่านยิ่งนัก คือ การได้รับความไว้วางพระทัยจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ให้เป็นผู้ใส่เพลงขับร้องถวายในบทพระราชนิพนธ์ส่วนพระองค์ต่าง ๆ การได้ร่วมท างานละคร ต่าง ๆ ตามพระบัญชา การได้รับพระกรุณาพระราชทานพรในวันเกิดเป็นพระราชนิพนธ์ขับร้อง รวมทั้งที่มีพระเมตตาพระราชทานชื่อบ้านของท่านว่า “เรือนมโหรี” ดังลายพระหัตถ์ปรากฏว่า “ให้ชื่อเรือนของอาจารย์เจริญใจว่า “เรือนมโหรี” ขอจงเป็นสถานที่ยังความสุขแก่ใจ” ทั้งหลายนี้ เป็นก าลังใจและเป็นความประทับใจของท่านอย่างยิ่ง
ด้วยเกียรติคุณทั้งปวงของท่าน รัฐบาลไทยจึงยกย่องให้เป็นสตรีสากลคนแรกที่เป็นศิลปิน ในปีสตรีสากล เมื่อวันที่ ๑๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๘ แม้บัดนี้ (พ.ศ. ๒๕๒๕) ท่านจะมีอายุ มากแล้ว แต่ก็ยังมิได้ย่อท้อต่อการท านุบ ารุงรักษาดนตรีไทย ศิษย์ของท่านเข้าประกวด ร้องเพลงได้รางวัลชนะเลิศทั้งชายและหญิง ในการประกวดชิงรางวัลฆ้องทองค า ซึ่งจัด ประกวดโดย นายบุญเสริม ถาวรกุล เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๓ สมดังปณิธานของท่านที่ตั้งใจว่า จะพยายามสั่งสอนปรับปรุงในด้านคุณภาพให้คนเข้าใจความไพเราะของดนตรีไทย เพื่อให้สมกับราชทินนาม “เสนาะดุริยางค์” ของท่านบิดาผู้วางรากฐานอันมั่นคงให้แก่ ท่าน จนกล่าวได้ว่าปัจจุบันท่านเป็นผู้รอบรู้ในการขับเสภาการละครทั้งละครนอกละครใน และละครดึกด าบรรพ์โดยแตกฉาน ทั้งเป็นคลังแห่งความรู้ซึ่งไม่อาจหาได้ในที่อื่น ๆ ในปี พ.ศ. ๒๕๓๐ ท่านได้รับเกียรติสูงสุดให้รับพระราชทานปริญญาศิลปกรรมศาสตร ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (สาขาดุริยางค์ไทย) จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเป็น ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (คีตศิลป์) นับเป็นผู้ท าประโยชน์แก่ประเทศชาติ อย่างยิ่ง สมเป็นผู้สืบตระกูล “เสนาะดุริยางค์” โดยแท้ อาจารย์เจริญใจ สุนทรวาทิน ถึงแก่กรรมด้วยเส้นโลหิตในสมองแตก ณ โรงพยาบาล จุฬาลงกรณ์ เมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๔ สิริอายุได้ ๙๔ ปี ๖ เดือน ๒๕ วัน พิชิต ชัยเสรี (เรียบเรียงจากค าบอกเล่าของอาจารย์เจริญใจ สุนทรวาทิน)
ประวัติครูเฉลิม บัวทั่ง ครูเฉลิม บัวทั่ง เป็นบุตรของนายปั้นและนางถนอม บัวทั่ง เกิด เมื่อวันจันทร์ เดือน ๙ แรม ๙ ค่ า ปีจอ ตรงกับวันที่ ๒๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๕๓ เป็นบุตรคนที่ ๑๘ ของนายปั้น บิดาของครูเฉลิม เป็นนักดนตรีสังกัดอยู่ในวังพระองค์เจ้า เพ็ญพัฒนพงศ์ กรมหมื่นพิชัยมหินทโรดม และเป็นเพื่อนรักกับ พระยาประสานดุริยศัพท์ (แปลก ประสานศัพท์) เมื่อกรมหมื่น พิชัยฯ สิ้นพระชนม์ในปี พ.ศ. ๒๔๕๒ นั้น นักดนตรีในวงนี้ก็ แยกย้ายกันไป ครูปั้นกลับไปตั้งวงดนตรีเองที่บ้านคลองบาง ม่วง จังหวัดนนทบุรี ครูเฉลิมเล่าว่า ท่านได้ยินเสียงดนตรี ปี่พาทย์มาตั้งแต่เด็ก พออายุได้ ๖ ปี บิดาก็จับมือให้ตีระนาดแล้วฝึกสอนให้เรื่อยมาจนสามารถ เล่นได้รอบวงเมื่อครูอายุได้ ๑๑ ปี ครูปั้นจึงส่งตัวให้มาเรียนดนตรีไทยกับพระยาประสานดุริย ศัพท์ (แปลก ประสานศัพท์) ได้ฝึกปรืออยู่ไม่นาน พระยาประสานฯ ก็ส่งขึ้นไปตีระนาดถวาย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะทรงพระเครื่องใหญ่ได้รับค าชมเชยว่า ฝีมือดี จะ เก่งต่อไปข้างหน้าแต่ครูเฉลิมก็ได้อยู่กับ พระยาประสานฯ ไม่นานนัก ท่านพระยาฯ ก็ถึงแก่ กรรม ขณะนั้นครูมีอายุได้ ๑๔ ปี พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงมีรับสั่งให้พระ ยาอนิรุทธเทวา (ฟื้น พึ่งบุญ ณ อยุธยา) น าครูเฉลิมไปอยู่ด้วย ครูจึงได้ศึกษาหาความรู้ด้าน ดนตรีจากครูอื่นๆ อีกหลายส านักรวมทั้งที่ส านักท่านจางวางทั่ว พาทยโกศล ด้วย ครูเฉลิม ได้เรียนหนังสือในโรงเรียนพรานหลวง ตั้งแต่อายุได้ ๑๑ ปี จนอายุได้ ๑๕ ปี ก็ลาออก มารับราชการเป็นนักดนตรีอยู่ในกรมปี่พาทย์และโขนหลวง จนกระทั่งมีการเปลี่ยนแปลงการ ปกครองเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕ ต่อมาถึง พ.ศ. ๒๔๗๘ กรมปี่พาทย์และโขนหลวงก็ถูกยุบมารวมอยู่ ในกรมศิลปากร ในระยะนี้มีการปรับปรุงเศรษฐกิจของประเทศเป็นการใหญ่ ครูเฉลิม “ถูกดุลย์” ออกจากราชการไปเป็นครูสอนดนตรีไทยที่สโมสรบันเทิงของสามัคคยาจารย์สมาคม ประมาณ ๑ ปี แล้วไปสอนอยู่ที่กรมทหารอากาศ ดอนเมือง สมันหลวงกาจสงครามเป็นเสนาธิการ ประมาณ ๖ เดือน แล้วกลับเข้ารับราชการในกรมศิลปากรอีกระยะหนึ่ง ก็ลาออกไปประกอบ อาชีพดนตรีเป็นส่วนตัวระหว่างนี้เกิดสงครามอินโดจีนซึ่งประเทศไทยมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย เมื่อ สงครามสงบแล้ว ครูเฉลิมเข้ารับราชการอีก ในสังกัดกรมที่ดิน ไปประจ าอยู่ประเทศเขมร
ประมาณ ๔ เดือน ก็เกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ ครูจึงอพยพหนีสงครามและลาออกจาก ราชการอีก จนกระทั่งพลเอกไสว ไสวแสนยากร อธิบดีกรมต ารวจในขณะนั้น ได้เรียกตัว ครูให้ไปประจ าวงดนตรีของกรมต ารวจ ครูได้ฝากผลงานไว้ที่กรมต ารวจหลายเพลง อาทิ เพลงมอญอ้อยอิ่งเถา ขอมใหญ่เถา เขมรพายเรือเถา เขมรเหลืองเถา ลางเลียบค่ายเถา และได้น าเพลงหน้าพาทย์ของเก่า พรัอมกับแต่งบางส่วนขึ้นใหม่ใช้บรรเลงบรรเลงเป็น เพลงชุดประกอบเรื่อง “วานรินทร์ นิ้วเพชร และอารยวิถี” อันเป็นเรื่องพุทธประวัติตั้งแต่ ประสูติจนถึงนิพพาน แต่เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง ที่ผลงานของครูชุดนี้ไม่แพร่หลาย ต่อมาครูเฉลิมลาออกจากกรมต ารวจไปประกอบอาชีพส่วนตัว และรับสอนดนตรีไทย ตาม สถาบันการศึกษาต่างๆ อาทิเช่น สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า วิทยาเขตนนทบุรี คณะ แพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ธนาคารกรุงเทพ จ ากัด วิทยาลัยแพทย์พระมงกุฎเกล้าและ เป็นหัวหน้าวงดนตรีเสริมมิตรบรรเลง ท่านได้มีโอกาสประดิษฐ์เพลงไทยขึ้นอีกมากมาย เช่น โหม โรงประสานเนรมิตร โหมโรงจามจุรี โหมโรงสรรเสริญพระจอมเกล้า โหมโรงพิมานมาศ โหมโรง มหาปิยะ โหมโรงรามาธิบดี ลาวล าปางใหญ่เถา ลาวล าปางเล็กเถา ลาวกระแซเถา ลาวกระแต เล็กเถา ลาวเจริญศรีเถา สีนวลเถา ลาวครวญเถา ดอกไม้เหนือเถา เคียงมอญร าดาบเถา เขมร ใหญ่เถา สาวสอดแหวน ประพาสเภตรา หงส์ทอง (ทางวอลซ์) ล่องลม และได้แต่งเพลงพิเศษ เนื่องในโอกาสเฉลิมพระยศสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ประกอบด้วย “เกริ่นเจ้าฟ้า ต่อด้วยเพลงประชุมเทพ” ในปี พ.ศ. ๒๕๒๔ ครูได้รับการคัดเลือกจากคณะกรรมการ ของสมาคมดนตรีแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ เสนอชื่อให้ได้รับพระราชทานโล่ เกียรติยศจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ ในฐานะนักดนตรีไทยตัวอย่าง
ซึ่งมีนักดนตรีไทยที่ได้รับพระราชทานโล่ครั้งนี้เพียง ๔ คน คือ อาจารย์มนตรี ตราโมท ครู เฉลิม บัวทั่ง คุณหญิงไพฑูรย์ กิตติวรรณ และครูบุญยงค์ เกตุคง ซึ่งครูเฉลิมบอกว่าเป็น รางวัลที่ครูภูมิใจที่สุดในชีวิต นอกจากนี้เมื่อต้นปี พ.ศ. ๒๕๒๕ ครูได้แต่งเพลงเข้าประกวด รางวัลพิณทองซึ่งธนาคารกสิกรไทย เป็นผู้ด าเนินการจัดประกวดเพลงของครูก็ได้รับ รางวัลชนะเลิศ คือเพลงปิ่นนคเรศเถา ครูเฉลิมแต่งงานกับนางไสว มีบุตรธิดาด้วยกันทั้งสิ้น ๑๑ คน เสียชีวิตตั้งแต่ยังเล็ก ๔ คน บุตรธิดาของท่าน ที่มีฝีมือในทางดนตรีไทย ได้แก่ นายพัฒน์บัวทั่ง คน ระนาดเอก รับราชการอยู่ที่กองการสังคีต กรม ศิลปากร นางสุพัฒน์ บัวทั่ง นักร้องกองดุริยางค์ ทหารเรือ และนางสุธาร ศุขสายชล จะมีฝีมือจะเข้ดี มาก นอกจากจะมีวงปี่พาทย์และมโหรีของตัวเองแล้ว ครู เฉลิมยังท าอังกะลุงส่งออกขายด้วยท่านได้เขียน โน้ตเพลงเสียงประสานส าหรับอังกะลุงไว้มาก ผลงานทางด้านอังกะลุงส่วนใหญ่มีบันทึก ไว้ พักรักษาตัวที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า และพักฟื้นที่บ้าน ในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๓๐ ครูได้เข้ารับพระราชทานโล่และเข็มเชิดชูเกียรติในฐานะศิลปินแห่งชาติ สาขา ศิลปะการแสดง (ดนตรีไทย) ประจ าปี ๒๕๒๙ นับเป็นเกียรติสูงส่งและความปลื้มปิติ สูงสุดครั้งสุดท้ายในชีวิตของครู ครูถึงแก่กรรมในวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๓๐ รวมอายุได้ ๗๗ ปี จรวยพร สุเนตรวรกุล (เรียบเรียงจาก บทความสยามสังคีต ของนายแพทย์พูนพิศ อมาตยกุล และค าบอกเล่า ของครูเฉลิม บัวทั่ง)
แหล่งอ้างอิงข้อมูล ที่มา : นามานุกรมศิลปินเพลงไทย ในรอบ ๒๐๐ ปี แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยพูนพิศ อมาตยกุล, หัวหน้าโครงการ ; ผู้ร่วมโครงการ, พิชิต ชัยเสรี …[และคนอื่น ๆ]. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๒๖.
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนบ้านเด็กดี อ าเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต ๔