kms.ago.go.th Knowledge Management System : KMS ส ำนักงำนวิชำกำร ศูนย์กฎหมำยและเอกสำรวิชำกำร คลังควำมรู้ แหล่งรวมควำมรู้เพื่อกำรท ำงำน ศูนย์รำชกำรเฉลิมพระเกียรติฯ อำคำรรำชบุรีดิเรกฤทธิ์ช้นั3 เลขที่ 120 หมู่ 3 ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหำนคร 10210 โทร 0 2142 1499 โทรสำร 0 2143 9475 เรื่องที่ 87/2566 /2563 ---------------------------- เรื่อง ตัวอย่ำงวิวัฒนำกำรกำรใช้ดุลพินิจในกำรถอนฟ้ องคดีอำญำ คดีกบฏแบ่งแยกดินแดน 4 จังหวัดชำยแดนภำคใต้ นอกจากกรณีที่สั่งไม่ฟ้ องแล้ว ส านักงานอัยการสูงสุดได้ให้ความร่วมมือตามนโยบายรัฐบาลโดยใช้ดุลพินิจถอนฟ้ อง ข้อเท็จจริงปรากฏว่า เมื่อประมาณปีพ.ศ. 2489 - 2490 นายหะยีสุหรง อับดุลกาเดร์ประธานสภาอิสลาม จังหวัดปั ตตานี กับพวกได้สมคบคิดกันกระท าการเพื่อแบ่งแยกดินแดน 4จังหวัดภาคใต้อันประกอบด้วยจังหวัดยะลา ปัตตานีนราธิวาส และสตูล ออกจากการปกครองของรัฐบาลไทย โดยด าเนินการปลุกปั่นยุยงราษฎรในจังหวัดดังกล่าว ให้กระด้างกระเดื่อง และเกลียดชังรัฐบาลและข้าราชการไทย จนกระทั่งในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2490 รัฐบาลไทยได้จัดส่ง คณะกรรมการชุดหนึ่งไปยังจังหวัดปัตตานีเพื่อสอบสวนข้อเท็จจริงและรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ในโอกาสนี้ นายหะยีสุหรง อับดุลกาเดร์ได้ยื่นข้อเรียกร้องสิทธิต่างๆ 7 ประการ คือ 1. ขอให้ทางรัฐบาลไทยจัดให้มีเจ้าหน้าที่ชั้นสูง และมีอ านาจเต็มปกครอง 4 จังหวัดภาคใต้คือ ยะลา ปัตตานี นราธิวาส และสตูล แต่งตั้งจากชาวอิสลามซึ่งเกิดในดินแดน 4 จังหวัดนี้ โดยการเลือกของประชาชน ผู้ที่ได้รับการแต่งตั้ง ให้อยู่ในต าแหน่งตลอดกาลไม่สับเปลี่ยนโยกย้าย 2. ภาษีอากรที่เก็บได้ใน 4 จังหวัดนี้ ให้ใช้จ่ายภายใน 4 จังหวัดนี้ เท่านั้น 3. ขอให้ทางราชการเปิดสอนภาษามลายูในโรงเรียนประชาบาลใน 4 จังหวัดนี้จนถึงประถมปีที่ 4 4. ข้าราชการใน 4 จังหวัดนี้ร้อยละ 80 ให้เป็ นชาวอิสลามที่เกิดใน 4 จังหวัดนี้ 5. ให้ทางราชการอนุญาตให้คณะกรรมการอิสลามออกกฎหมายอันเกี่ยวกับขนบธรรมเนียมประเพณีของศาสนา อิสลามเอง โดยความเห็นชอบของผู้มีอ านาจเต็ม 6. ให้ทางราชการใช้ภาษามลายูและภาษาไทยควบคู่กันไป 7. ขอให้ทางราชการแยกศาลพิจารณาคดีแพ่งเกี่ยวกับศาสนาอิสลามออกต่างหาก และมีอิสระในการพิจารณา ด าเนินคดี เนื่องจากความเคลื่อนไหวดังกล่าวเห็นได้ชัดเจนว่า เป็ นการเตรียมการแบ่งแยกดินแดน ซึ่งเป็ นการท าลาย อธิปไตยและบูรณภาพแห่งราชอาณาจักร หลังจากนั้นในเดือนมกราคม พ.ศ. 2491 ทางเจ้าหน้าที่จึงได้ท าการจับกุม นายหะยีสุหรง อับดุลการเดร์กับพวก ด าเนินคดีโดยส่งฟ้ องยังศาลจังหวัดปั ตตานีท าให้บางส่วนหลบหนีออกไป นอกประเทศ จึงท าให้สถานการณ์จังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่น่าไว้วางใจ แต่ต่อมาได้โอนคดีไปพิจารณาที่ศาลจังหวัด นครศรีธรรมราช เพราะเกรงว่าหากพิจารณาคดีที่ศาลจังหวัดปัตตานีแล้วจะเป็ นเหตุการณ์กระทบกระเทือนความรู้สึกของ ประชาชนชาวไทยมุสลิม และอาจก่อให้เกิดความไม่สงบขึ้ นได้หลังจากที่ได้มีการต่อสู้คดีจนถึงศาลฎีกา ศาลก็ได้พิพากษา จ าคุกนายหะยีสุหรง อับดุลการเดร์ มีก าหนด 7 ปีลดโทษฐานปรานี1 ใน 3 คงจ าคุกไว้มีก าหนด 4 ปี8 เดือน พรรคพวก อีก 3 คน ถูกจ าคุกคนละ 3 ปีนอกจากนั้นปล่อยตัวพ้นข้อหา ต่อมาปี พ.ศ. 2495 นายหะยีสุหรง อับดุลการเดร์ ได้รับการ KM : Perfect Public Prosecutor (KM : 3P) ส ำนักงำนอัยกำรพิเศษฝ่ ำยบริหำรจัดกำรควำมรู้ ขอเสนอเทคนิค ข้อสังเกตกำรว่ำต่ำง แก้ต่ำง คดีอำญำ คดีแพ่ง เป็ นเกร็ดควำมรู้ เพื่อทบทวนและเพิ่มศักยภำพ ในกำรปฏิบัติหน้ำที่ของพนักงำนอัยกำร ประจ ำวันที่ 3 เมษำยน 2566
kms.ago.go.th Knowledge Management System : KMS ส ำนักงำนวิชำกำร ศูนย์กฎหมำยและเอกสำรวิชำกำร คลังควำมรู้ แหล่งรวมควำมรู้เพื่อกำรท ำงำน ศูนยร์ำชกำรเฉลิมพระเกียรตฯิอำคำรรำชบุรีดิเรกฤทธิ์ช้นั3 เลขที่ 120 หมู่ 3 ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหำนคร 10210 โทร 0 2142 1499 โทรสำร 0 2143 9475 อภัยโทษปลดปล่อยก่อนครบก าหนด จึงกลับมาอยู่ที่บ้านเดิมจังหวัดปัตตานี ภายหลังเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2497 นายหะยีสุหรง อับดุลการเดร์ได้หายสาบสูญไปโดยไม่ทราบว่าไปอยู่ ณ ที่ใด ท าให้ความเคลื่อนไหวในการแบ่งแยกดินแดน หยุดชะงักลงไประยะหนึ่ง แต่ขณะเดียวกันก็ได้สร้างความไม่พอใจในหมู่ชาวไทยมุสลิมที่มีหัวรุนแรง ประกอบกับ ทางรัฐบาลอังกฤษได้มอบเอกราชให้แก่สหพันธ์รัฐมลายูเมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2500 ก็ได้เป็ นสาเหตุหนึ่งที่กระตุ้นให้ ชาวไทยมุสลิมมีความตื่นตัวและหันเหจิตใจไปทางมลายูมากขึ้ น เหตุการณ์เหล่านี้ ได้ช่วยส่งเสริมให้นายหะยีอามีน โต๊ะมีนาล์ซึ่งเป็ นบุตรของนายหะยีสุหรง อับดุลการเดร์ได้รับการยกย่องแทนนายหะยีสุหรง อับดุลการเดร์ ผู้เป็ นบิดา ในระหว่างเดือนเมษายน พ.ศ. 2501 นายหะยีอามีน โต๊ะมีนาล์ได้จัดพิมพ์หนังสือภาษามลายูขึ้ นเล่มหนึ่ง แปลเป็ นไทยว่า “รวมแสงแห่งสันติ” อ้างว่าเป็ นต้นฉบับของนายหะยีสุหรง อับดุลการเดร์เพื่อหวังเผยแพร่และจูงใจชาวไทย มุสลิมให้รื้ อฟื้ นความคิดเห็นของนายหะยีสุหรง อับดุลการเดร์ ขึ้ นมาอีก และได้ชักจูงให้ชาวไทยมุสลิมระลึกถึงความเป็ นมา ของประวัติศาสตร์เกี่ยวกับดินแดน เชื้ อชาติศาสนา และขนบธรรมเนียมประเพณีโดยเริ่มบทบาทด าเนินนโยบายต่อจาก บิดาอย่างเปิ ดเผย การด าเนินงานดังกล่าวนี้ นายหะยีอามีน โต๊ะมีนาล์รับช่วงการด าเนินงานก่อตั้งรัฐปัตตานีตามแผนการ ของตวนกูยะลา นาเซร์เพื่อจะก่อตั้งปัตตานียะลา นราธิวาส สตูล ขึ้นเป็ นรัฐอิสระ จากการสืบทราบของเจ้าหน้าที่ได้ความว่า ระหว่างวันที่ 17-18 มีนาคม พ.ศ. 2504 ซึ่งเป็ นวันออกบวชของ ชาวไทยมุสลิม พรรคพวกของนายหะยีอามีน โต๊ะมีนาล์ มีการนัดประชุมกันเป็ นกลุ่มๆ ตามสถานที่ต่างๆ หลายจุดด้วยกัน เพื่อจะวางแผนก่อการร้ายขึ้ นในวันออกบวช เมื่อถึงเวลาไปนมาชก็พากันเดินขบวนแต่ละจุดทุกจังหวัดในจังหวัดชายแดน ภาคใต้หากต ารวจเข้าขัดขวางการเดินขบวนก็ให้ลงมือใช้อาวุธยิงต ารวจทันทีซึ่งถ้าเหตุการณ์เป็ นไปในรูปนี้ คาดว่าต ารวจ จะใช้มาตรการปราบปรามในขั้นรุนแรง และอาจเป็ นเหตุให้ชาวไทยมุสลิมที่เดินขบวนเนื่องในการปฏิบัติทางศาสนา ถูกต ารวจยิงตาย เมื่อรูปการณ์เป็ นเช่นนี้ แล้วก็จะฉวยโอกาสโฆษณาว่าทางเจ้าหน้าที่รัฐบาลกระท ารุนแรงต่อชาวไทยมุสลิม เบียดเบียนศาสนา อีกพวกหนึ่งก็เข้ายึดสถานีต ารวจและสถานที่ราชการส าคัญๆ แต่ทางราชการได้ป้ องกันไม่ให้เหตุการณ์ ดังกล่าวเกิดขึ้นตามแผนการของพวกนี้ หลังจากที่ได้ท าการสืบสวนสอบสวนจนได้หลักฐานแน่ชัด ทางเจ้าหน้าที่จึงได้ท าการจับกุมนายหะยีอามีน โต๊ะมีนาล์ กับพรรคพวก ระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคม พ.ศ. 2504 โดยกล่าวหาว่าสมคบกับพวกกระท าการเป็ นขบถ เพื่อแบ่งแยกราชอาณาจักร กระท าการสะสมก าลังและอาวุธเพื่อท าการขบถ กระท าการโฆษณาโดยทางวาจาและหนังสือ ให้ประชาชนเกิดการกระด้างกระเดื่อง เพื่อก่อการขบถ และได้ท าการยื่นฟ้ องต่อศาลทหารกรุงเทพฯ อย่างไรก็ตาม ระหว่างการพิจารณาชั้นศาล คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้อัยการสูงสุดพิจารณาถอนฟ้ อง ในที่สุด พนักงานอัยการได้ถอนฟ้ อง เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง นายหะยีอามีน โต๊ะมีนาล์ จึงได้รับการปล่อยตัวและ กลับภูมิล าเนาจังหวัดปัตตานีเมื่อปี พ.ศ. 25081 ต่อมาในปีพ.ศ. 2528 ส านักงานอัยการสูงสุด (กรมอัยการในสมัยนั้น) ได้จัดท าระเบียบกรมอัยการว่าด้วยการ ด าเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ พ.ศ. 2528 ขึ้ น และได้ก าหนดหลักการใช้ดุลพินิจสั่งไม่ฟ้ องไว้ในระเบียบ ข้อ 51 ดังนี้ คือ “ข้อ 51 (หลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการใช้ดุลพินิจสั่งไม่ฟ้ อง) ถ้าพนักงานอัยการเห็นว่าการฟ้ องคดีใดจะไม่เป็ นประโยชน์แก่สาธารณชน หรือจะขัดต่อความสงบเรียบร้อยและ ศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือจะมีผลกระทบต่อความปลอดภัยหรือความมั่นคงแห่งชาติหรือต่อผลประโยชน์อันส าคัญ ของประเทศ ให้เสนอความเห็นพร้อมส านวนไปยังอัยการสูงสุด(อธิบดีกรมอัยการในขณะนั้น) เพื่อสั่ง” ในปี พ.ศ. 2538 ส านักงานอัยการสูงสุดได้ออกหนังสือเวียนไปยังพนักงานอัยการว่าในขณะนั้นได้เกิดเหตุการณ์ภัยธรรมชาติน ้าท่วมหลาย KM : Perfect Public Prosecutor (KM : 3P)
kms.ago.go.th Knowledge Management System : KMS ส ำนักงำนวิชำกำร ศูนย์กฎหมำยและเอกสำรวิชำกำร คลังควำมรู้ แหล่งรวมควำมรู้เพื่อกำรท ำงำน ศูนยร์ำชกำรเฉลิมพระเกียรตฯิอำคำรรำชบุรีดิเรกฤทธิ์ช้นั3 เลขที่ 120 หมู่ 3 ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหำนคร 10210 โทร 0 2142 1499 โทรสำร 0 2143 9475 องค์ควำมรู้ที่เผยแพร่ใน Line KM : 3P ท้งัหมด อัยกำรพิเศษฝ่ ำยบริหำรจัดกำรควำมรู้ KMS : คลังควำมรู้ คลังกฎหมำยและเอกสำร ควำมรู้ ตอบข้อหำรือ คลังสมอง กำรเข้ำใช้งำนระบบสำรสนเทศกำรจัดกำรควำมรู้ (KMS) : kms.ago.go.th จังหวัดเกือ บทั่ว ร า ชอ า ณ าจักร ท าใ ห้ป ระ ช า ชนส่ ว นใหญ่ ที่ ได้รับ ผลร้า ยจา กเหตุ กา ร ณ์ภัยธ รร มช า ติ ในปีพ.ศ. 2538 ส านักงานอัยการสูงสุดได้ออกหนังสือเวียนไปยังพนักงานอัยการว่า ในขณะนั้น ได้เกิดเหตุการณ์ ภัยธรรมชาติน ้าท่วมหลายจังหวัดเกือบทั่วราชอาณาจักร ท าให้ประชาชนส่วนใหญ่ที่ได้รับผลร้ายจากเหตุการณ์ ภัยธรรมชาติน ้าท่วมดังกล่าวเกิดความเครียดและกระท าความผิดอาญาขึ้ นโดยสาเหตุสืบเนื่องจากภัยน ้าท่วม เพื่อไม่ให้ ประชาชนได้รับความเดือดร้อนเพิ่มขึ้ น ส านักงานอัยการสูงสุดได้เล็งเห็นถึงความเดือดร้อนของประชาชนดังกล่าว จึงได้ให้ นโยบายแก่พนักงานอัยการทั่วประเทศว่า ให้พนักงานอัยการให้ความสนใจเป็ นพิเศษเกี่ยวกับคดีอาญาที่เกิดขึ้ นโดยสาเหตุ เช่นว่านั้น โดยให้พิจารณาว่าการฟ้ องคดีใดจะไม่เป็ นประโยชน์ต่อสาธารณชน หรือจะขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรม อันดีของประชาชน หรือจะมีผลกระทบต่อความปลอดภัยหรือความมั่นคงแห่งชาติหรือต่อผลประโยชน์อันส าคัญ ของประเทศ หากคดีใดมีลักษณะดังกล่าวให้เสนอความเห็นพร้อมส านวนไปยังอัยการสูงสุดเพื่อสั่งตามระเบียบกรมอัยการ ว่าด้วยการด าเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ พ.ศ. 2538 ข้อ 512 ซึ่งต่อมาได้เกิดเหตุลักษณะคดีดังกล่าวเกิดขึ้ นจริง ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ____________________ 1 อายุธ สมานเดชา. [“อ านาจหน้าที่ของอัยการสูงสุด : ศึกษาเปรียบเทียบกับสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่ น”. (วิทยานิพนธ์ นิติศาสตร มหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์).2534,] หน้า 154-157. 2 ส านักงานอัยการสูงสุด. “หนังสือด่วนที่สุด ที่ อส(สอก.) 0001/ว 204 เรื่อง การใช้ดุลพินิจสั่งคดีซึ่งเกิดโดยเหตุสืบเนื่องจาก ภัยธรรมชาติน ้าท่วม”. 1 พฤศจิกายน 2538. ที่มำ : ดร.อดิศร ไชยคุปต์ผู้ตรวจการอัยการ. แนวทางการสั่งคดีอาญาที่จะไม่เป็ นประโยชน์แก่สาธารณชน หรือจะมีผลกระทบ ต่อความปลอดภัยหรือความมั่นคงของชาติ หรือต่อผลประโยชน์อันส าคัญของประเทศ เพื่อการพัฒนากระบวนการยุติธรรมไทย ชั้นพนักงานอัยการ, มกราคม 2566, หน้า 37. นำงสำวณฤดี เกียรติคงยิ่ง อัยกำรอำวุโส ส ำนักงำนอัยกำรพิเศษฝ่ ำยบริหำรจัดกำรควำมรู้ KM : Perfect Public Prosecutor (KM : 3P) แนวทำงกำรสั ่งคดีอำญำที่จะไม่เป็ นประโยชน์แก่สำธำรณชน หรือมีผลกระทบต่อควำมปลอดภัยหรือควำมมั ่นคงของชำติ หรือต่อผลประโยชน์อันส ำคัญของประเทศ เพื่อกำรพฒันำกระบวนกำรยุตธิรรมไทยช้ันพนักงำนอยักำร
kms.ago.go.th Knowledge Management System : KMS ส ำนักงำนวิชำกำร ศูนย์กฎหมำยและเอกสำรวิชำกำร คลังควำมรู้ แหล่งรวมควำมรู้เพื่อกำรท ำงำน ศูนย์รำชกำรเฉลิมพระเกียรติฯ อำคำรรำชบุรีดิเรกฤทธิ์ช้นั3 เลขที่ 120 หมู่ 3 ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหำนคร 10210 โทร 0 2142 1499 โทรสำร 0 2143 9475 เรื่องที่ 88/2566 /2563 ---------------------------- เรื่อง ตัวอย่ำงวิวัฒนำกำรกำรใช้ดุลพินิจในกำรถอนฟ้ องคดีอำญำ คดีกบฏ 9 กันยำยน พ.ศ. 2528 ปีพ.ศ. 2530 ส ำนักงำนอัยกำรสูงสุดได้ให้ควำมร่วมมือตำมนโยบำยรัฐบำลโดยใช้ดุลพินิจถอนฟ้ อง ดังนี้ ข้อเท็จจริงปรำกฏว่ำเมื่อวันที่ 9กันยำยน พ.ศ. 2528คณะทหำรและพลเรือนกลุ่มหนึ่ง น ำโดยพลเอกเสริม ณ นคร ได้กระท ำกำรยึดอ ำนำจกำรปกครองแผ่นดิน แต่กระท ำไม่ส ำเร็จ จึงถูกจับกุมด ำเนินคดีในควำมผิดฐำนกบฏ พนักงำนอัยกำร ได้ฟ้ องบุคคลดังกล่ำว รวมจ ำนวน 40คน เป็ นจ ำเลยต่อศำลอำญำ ต่อมำในเดือนพฤศจิกำยน พ.ศ. 2530จ ำเลยรวม 33 คน ได้มีหนังสือร้องขอควำมกรุณำต่อ ฯพณฯ นำยกรัฐมนตรีว่ำได้ถูกคุมขังมำกว่ำ 2 ปี แล้ว ท ำให้ตนเองและครอบครัวได้รับ ควำมเดือดร้อนอย่ำงแสนสำหัส ฯพณฯ นำยกรัฐมนตรีได้พิจำรณำแล้วเห็นว่ำ ผู้ร้องเป็ นข้ำรำชกำรทหำรและพลเรือน ชั้นผู้น้อย กำรที่ต้องถูกด ำเนินคดีและควบคุมอยู่เป็ นเวลำนำนเช่นนี้ย่อมได้รับควำมเดือดร้อนไม่แต่เฉพำะตัวจ ำเลยเท่ำนั้น แต่มีผลถึงครอบครัวของจ ำเลยด้วยเป็ นที่น่ำเวทนำยิ่งนัก ฯพณฯ นำยกรัฐมนตรีจึงได้แจ้งส ำนักงำนอัยกำรสูงสุด (กรมอัยกำรในขณะนั้น) ให้พิจำรณำด ำเนินคดีบุคคลดังกล่ำวให้เสร็จสิ้ นยุติไปโดยรวดเร็ว ซึ่งส ำนักงำนอัยกำรสูงสุด (กรมอัยกำรในขณะนั้น) ได้ตอบแจ้งไปว่ำ วิธีกำรที่จะให้กำรด ำเนินคดีนี้ เสร็จสิ้ นไปโดยรวดเร็ว มีอยู่ 3 วิธีคือ 1. เร่งรัดกำรด ำเนินคดีให้เร็วที่สุด แต่ก็คงยังต้องใช้เวลำอีกหลำยเดือน เพื่อสืบพยำนโจทก์ซึ่งเมื่อรวมทั้ง กำรสืบพยำนของฝ่ำยจ ำเลยเองอีกด้วยแล้ว ก็อำจจะต้องใช้เวลำถึง 1 ปี 2. ออกกฎหมำยนิรโทษกรรม 3. ยุติกำรด ำเนินคดีหำกเป็ นนโยบำยของรัฐบำล เพื่อควำมสงบเรียบร้อยและควำมสำมัคคีของบ้ำนเมือง รัฐบำลในขณะนั้นได้พิจำรณำแล้วเห็นว่ำ ผู้ร้องถูกคุมขังระหว่ำงด ำเนินคดีเป็ นเวลำกว่ำ 2 ปี แล้ว ตัวผู้ร้องและ ครอบครัวได้รับควำมทุกข์ยำกมำนำนพอสมควรแล้ว ผู้ร้องเหล่ำนี้ เป็ นข้ำรำชกำรทหำรและพลเรือนชั้นผู้น้อยเป็ น ผู้ใต้บังคับบัญชำที่ต้องปฏิบัติตำมค ำสั่งของผู้บังคับบัญชำตำมระเบียบวินัย มิได้เป็ นผู้ริเริ่มก่อกำรขึ้นด้วยควำมคิดของตนเอง รัฐบำลมีนโยบำยที่จะสมัครสมำนควำมสำมัคคีของคนในชำติเพื่อควำมสงบเรียบร้อยของบ้ำนเมือง ประกอบกันในวันที่ 5 ธันวำคม 2530 จะเป็ นวันมหำมงคลเฉลิมพระชนมพรรษำ 5 รอบ ของพระบำทสมเด็จพระเจ้ำอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัฐบำลเห็นควรยุติกำรด ำเนินคดีกับผู้ร้อง จึงได้แจ้งกระทรวงมหำดไทยขอให้แจ้งส ำนักงำนอัยกำรสูงสุด(กรมอัยกำร ในขณะนั้น) ส ำนักงำนอัยกำรสูงสุด(กรมอัยกำรในขณะนั้น) ได้แจ้งควำมประสงค์และนโยบำยของรัฐบำลให้พนักงำนอัยกำร ผู้ด ำเนินคดีทรำบ พนักงำนอัยกำรพิจำรณำแล้วเห็นว่ำ คดีนี้ เป็ นคดีควำมผิดทำงกำรเมือง เมื่อเป็ นนโยบำยของรัฐบำลที่จะ ให้ยุติกำรด ำเนินคดีกับผู้ร้อง เพื่อสมัครสมำนควำมสำมัคคีของคนในชำติและเพื่อควำมสงบเรียบร้อยของบ้ำนเมือง เนื่องจำกส ำนักงำนอัยกำรสูงสุด (กรมอัยกำรในขณะนั้น) เป็ นหน่วยงำนหนึ่งของฝ่ำยบริหำรขณะนั้นสังกัดกระทรวงมหำดไทย KM : Perfect Public Prosecutor (KM : 3P) ส ำนักงำนอัยกำรพิเศษฝ่ ำยบริหำรจัดกำรควำมรู้ ขอเสนอเทคนิค ข้อสังเกตกำรว่ำต่ำง แก้ต่ำง คดีอำญำ คดีแพ่ง เป็ นเกร็ดควำมรู้ เพื่อทบทวนและเพิ่มศักยภำพ ในกำรปฏิบัติหน้ำที่ของพนักงำนอัยกำร ประจ ำวันที่ 4 เมษำยน 2566
kms.ago.go.th Knowledge Management System : KMS ส ำนักงำนวิชำกำร ศูนย์กฎหมำยและเอกสำรวิชำกำร คลังควำมรู้ แหล่งรวมควำมรู้เพื่อกำรท ำงำน ศูนยร์ำชกำรเฉลิมพระเกียรตฯิอำคำรรำชบุรีดิเรกฤทธิ์ช้นั3 เลขที่ 120 หมู่ 3 ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหำนคร 10210 โทร 0 2142 1499 โทรสำร 0 2143 9475 องค์ควำมรู้ที่เผยแพร่ใน Line KM : 3P ท้งัหมด อัยกำรพิเศษฝ่ ำยบริหำรจัดกำรควำมรู้ KMS : คลังควำมรู้ คลังกฎหมำยและเอกสำร ควำมรู้ ตอบข้อหำรือ คลังสมอง กำรเข้ำใช้งำนระบบสำรสนเทศกำรจัดกำรควำมรู้ (KMS) : kms.ago.go.th ซึ่งมีนำยกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่ำกำรกระทรวงมหำดไทยเป็ นผู้บังคับบัญชำ เมื่อรัฐบำลประสงค์จะให้ยุติกำรด ำเนินคดี กับผู้ร้อง เพรำะผู้ร้องได้รับควำมทุกข์ยำกมำพอสมควร และผู้ร้องเป็ นข้ำรำชกำรทหำรและพลเรือนชั้นผู้น้อย และจำกกำร สืบพยำนในศำลก็ปรำกฏว่ำ จ ำเลยเหล่ำนี้ เป็ นผู้ใต้บังคับบัญชำที่ต้องปฏิบัติตำมค ำสั่งของผู้บังคับบัญชำตำมระเบียบวินัย มิได้เป็ นผู้ริเริ่มก่อกำรขึ้ นด้วยควำมคิดของตนเอง กำรด ำเนินคดีกับผู้ร้องดังกล่ำวต่อไปจึงไม่เป็ นประโยชน์แก่สำธำรณชน เห็นสมควรยุติกำรด ำเนินคดีกับผู้ร้องโดยกำรขอถอนฟ้ อง จึงได้มีค ำสั่งถอนฟ้ องผู้ร้อง 33 คน และเสนอผู้บัญชำกำรต ำรวจ แห่งชำติ(อธิบดีกรมต ำรวจในขณะนั้น) ตำมประมวลกฎหมำยวิธีพิจำรณำควำมอำญำ มำตรำ 145 ซึ่งผู้บัญชำกำรต ำรวจ แห่งชำติ (อธิบดีกรมต ำรวจในขณะนั้น) ได้เห็นชอบโดยมิได้มีควำมเห็นแย้งค ำสั่งของพนักงำนอัยกำร คดีจึงเป็ นที่สุดและ พนักงำนอัยกำรจึงได้ยื่นค ำร้องขอถอนฟ้ องจ ำเลยที่เป็ นผู้ร้อง รวม 33 คน ต่อศำลอำญำ เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกำยน พ.ศ. 2530 ศำลอำญำอนุญำตและออกหมำยปล่อยจ ำเลยจ ำนวน 33 คนดังกล่ำว1 เห็นว่ำกำรถอนฟ้ องดังกล่ำวเป็ นดุลพินิจของพนักงำนอัยกำรที่ให้ควำมร่วมมือกับรัฐบำลซึ่งเป็ นฝ่ ำยบริหำร เพื่อจะให้เกิดควำมสงบเรียบร้อยในบ้ำนเมืองและควำมสมัครสมำนสำมัคคีของคนในชำติถือได้ว่ำเป็ นนโยบำย เพื่อประโยชน์สำธำรณะ (Public Policy) ในเรื่องควำมสงบเรียบร้อยของประชำชน (Public Order) ประเภทควำมสงบ เรียบร้อยภำยในประเทศ ซึ่งแสดงให้เห็นว่ำกำรด ำเนินคดีอำญำหรือไม่เป็ นอ ำนำจหน้ำที่ของฝ่ำยบริหำร และแสดงถึง หลักกำรฟ้ องคดีตำมดุลพินิจของพนักงำนอัยกำรในประเทศไทยอย่ำงชัดเจน อย่ำงไรก็ตำม นโยบำยของรัฐบำลที่ขอควำม ร่วมมือให้พนักงำนอัยกำรปฏิบัตินั้น นอกจำกจะเป็ นนโยบำยเพื่อประโยชน์สำธำรณะแล้ว นโยบำยดังกล่ำวจะต้องไม่ขัดต่อ กฎหมำยและจะขัดต่องำนในหน้ำที่ หรืออำจท ำให้งำนในหน้ำที่พนักงำนอัยกำรเสื่อมทรำมลงไม่ได้2 หลังจำกที่ระเบียบกรมอัยกำรว่ำด้วยกำรด ำเนินคดีอำญำของพนักงำนอัยกำร พ.ศ. 2528 ใช้บังคับแล้ว กำรใช้ดุลพินิจในกำรสั่งคดีอำญำเริ่มมีกำรใช้กันอย่ำงกว้ำงขวำงมำกขึ้ น แต่เมื่อเทียบกับสถิติคดีทั้งหมดทั่วประเทศที่ส่งมำ ให้พนักงำนอัยกำรพิจำรณำนับว่ำน้อยมำก อันแสดงว่ำพนักงำนอัยกำรได้ใช้ดุลพินิจอย่ำงจ ำกัดมำโดยตลอด ____________________ 1 อำยุธ สมำนเดชำ. [“อ ำนำจหน้ำที่ของอัยกำรสูงสุด : ศึกษำเปรียบเทียบกับสหรัฐอเมริกำและญี่ปุ่ น”. (วิทยำนิพนธ์ นิติศำสตร มหำบัณฑิต, มหำวิทยำลัยธรรมศำสตร์).2534,] หน้ำ 154-157. 2 พระรำชบัญญัติพนักงำนอัยกำร พ.ศ. 2498 มำตรำ 17. ที่มำ : ดร.อดิศร ไชยคุปต์ผู้ตรวจกำรอัยกำร. แนวทำงกำรสั่งคดีอำญำที่จะไม่เป็ นประโยชน์แก่สำธำรณชน หรือจะมีผลกระทบ ต่อควำมปลอดภัยหรือควำมมั่นคงของชำติ หรือต่อผลประโยชน์อันส ำคัญของประเทศ เพื่อกำรพัฒนำกระบวนกำรยุติธรรมไทย ชั้นพนักงำนอัยกำร, มกรำคม 2566, หน้ำ 37-39. นำงสำวณฤดี เกียรติคงยิ่ง อัยกำรอำวุโส ส ำนักงำนอัยกำรพิเศษฝ่ ำยบริหำรจัดกำรควำมรู้ KM : Perfect Public Prosecutor (KM : 3P) แนวทำงกำรสั ่งคดีอำญำที่จะไม่เป็ นประโยชน์แก่สำธำรณชน หรือมีผลกระทบต่อควำมปลอดภัยหรือควำมมั ่นคงของชำติ หรือต่อผลประโยชน์อันส ำคัญของประเทศ เพื่อกำรพฒันำกระบวนกำรยุตธิรรมไทยช้ันพนักงำนอยักำร
kms.ago.go.th Knowledge Management System : KMS ส ำนักงำนวิชำกำร ศูนย์กฎหมำยและเอกสำรวิชำกำร คลังควำมรู้ แหล่งรวมควำมรู้เพื่อกำรท ำงำน ศูนย์รำชกำรเฉลิมพระเกียรติฯ อำคำรรำชบุรีดิเรกฤทธิ์ช้นั3 เลขที่ 120 หมู่ 3 ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหำนคร 10210 โทร 0 2142 1499 โทรสำร 0 2143 9475 เรื่องที่ 89/2566 /2563 ---------------------------- เรื่อง ตัวอย่ำงกำรใช้ดุลพินิจสั ่งไม่ฟ้ องคดีอำญำ อัยการสูงสุดพิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ต้องหาเป็ นหญิง อายุ 21 ปีก าลังมีครรภ์แก่ ต้องการเงิน ไปใช้ในการคลอดลูก จึงใช้ค้อนทุบกระจกด้านหน้าธนาคาร เพื่อจะเข้าไปลักเงินสดแต่ถูกจับได้เสียก่อน ผู้ต้องหาได้ลงมือกระท าความผิดแล้วแต่กระท าไปไม่ตลอด จึงเป็ นการพยายามกระท าความผิด แต่มีปัญหา ต้องพิจารณาว่าควรจะฟ้ องให้ผู้ต้องหาถูกลงโทษหรือไม่ ในทางหลักวิชาอาชญาวิทยาและทัณฑวิทยา การด าเนินคดีอาญาเพื่อลงโทษจ าเลย จะต้องมี จุดประสงค์ที่มีคุณค่าต่อสังคม โดยมีเป้ าหมายการลงโทษ 4 ประการ คือ เพื่อแก้แค้นทดแทน เพื่อการข่มขู่ เพื่อคุ้มครองสังคมให้พ้นอันตราย และเพื่อปรับปรุงแก้ไขผู้กระท าผิด หากคดีใดที่การลงโทษไม่อาจบรรลุ วัตถุประสงค์ข้อหนึ่งข้อใดดังกล่าวแล้ว การลงโทษนั้นย่อมไม่เป็ นประโยชน์ต่อสังคมและไม่สมควรกระท า ผู้ต้องหาในคดีนี้ เป็ นหญิงเพิ่งบรรลุนิติภาวะไม่นานนักและก าลังมีครรภ์แก่ มีความขัดสน ต้องการเงินเพื่อไปคลอดลูก น่าเชื่อว่าสภาพจิตใจอยู่ในภาวะถูกกดดันไม่เป็ นปกติอีกทั้งการกระท ามิได้มี การวางแผนมาก่อนและกระท าความผิดอย่างไม่มีเล่ห์กล ซึ่งแสดงถึงการที่ผู้ต้องหาไม่มีสันดานโจร กรณีเช่นนี้ สังคมคงไม่ประสงค์จะแก้แค้นหญิงคนนี้ รวมทั้งคงไม่ประสงค์จะน ามาเป็ นตัวอย่างลงโทษเพื่อข่มขู่ บุคคลอื่นมิให้เอาเยี่ยงอย่าง เพราะบุคคลซึ่งมีสภาวะจิตใจอยู่ภายใต้ความกดดันเช่นเดียวกับผู้ต้องหานี้ คือ ขัดสนและต้องการเงินเพื่อไปคลอดลูก น่าจะมีไม่มากนัก และหากจะพิจารณาว่าการลงโทษจะเป็ นการ ปรับปรุงแก้ไขผู้ต้องหาคนนี้ ก็คงไม่มีประโยชน์เพราะผู้ต้องหาไม่ได้มีสันดานเป็ นโจรและกระท าไปภายใต้ ภาวะยากจนและถูกกดดันทางจิตใจ นอกจากนี้ ผู้ต้องหายังถูกควบคุมตัวเป็ นระยะเวลาหนึ่งแล้ว ในชั้นสอบสวนก่อนที่จะมีผู้ให้ความช่วยเหลือประกันตัวออกไปย่อมท าให้ผู้ต้องหาหลาบจ าแล้ว ส าหรับปัญหาเรื่องความเสียหายที่ผู้ต้องหาก่อขึ้ น ก็คงเป็ นสิทธิของผู้เสียหายที่จะต้องฟ้ องร้อง ทางแพ่งได้ แต่มิใช่เหตุผลที่จะน ามาพิจารณาว่าจะด าเนินคดีอาญาแก่ผู้ต้องหาหรือไม่ KM : Perfect Public Prosecutor (KM : 3P) ส ำนักงำนอัยกำรพิเศษฝ่ ำยบริหำรจัดกำรควำมรู้ ขอเสนอเทคนิค ข้อสังเกตกำรว่ำต่ำง แก้ต่ำง คดีอำญำ คดีแพ่ง เป็ นเกร็ดควำมรู้ เพื่อทบทวนและเพิ่มศักยภำพ ในกำรปฏิบัติหน้ำที่ของพนักงำนอัยกำร ประจ ำวันที่ 5 เมษำยน 2566
kms.ago.go.th Knowledge Management System : KMS ส ำนักงำนวิชำกำร ศูนย์กฎหมำยและเอกสำรวิชำกำร คลังควำมรู้ แหล่งรวมควำมรู้เพื่อกำรท ำงำน ศูนยร์ำชกำรเฉลิมพระเกียรตฯิอำคำรรำชบุรีดิเรกฤทธิ์ช้นั3 เลขที่ 120 หมู่ 3 ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหำนคร 10210 โทร 0 2142 1499 โทรสำร 0 2143 9475 องค์ควำมรู้ที่เผยแพร่ใน Line KM : 3P ท้งัหมด อัยกำรพิเศษฝ่ ำยบริหำรจัดกำรควำมรู้ KMS : คลังควำมรู้ คลังกฎหมำยและเอกสำร ควำมรู้ ตอบข้อหำรือ คลังสมอง กำรเข้ำใช้งำนระบบสำรสนเทศกำรจัดกำรควำมรู้ (KMS) : kms.ago.go.th เมื่อพิจารณาจากพฤติการณ์แวดล้อมทั้งหมดแล้ว เห็นว่าแม้ผู้ต้องหาจะกระท าความผิด แต่การ ด าเนินคดีกับผู้ต้องหารายนี้จะไม่เป็ นประโยชน์สาธารณะและสังคมจะไม่ได้ประโยชน์แต่อย่างใด และควรให้ โอกาสผู้กระท าความผิดกลับตัว จึงสั่งไม่ฟ้ องผู้ต้องหาฐานพยายามลักทรัพย์ในเวลากลางคืน โดยท าอันตราย สิ่งกีดกั้นตามที่ถูกกล่าวหา ที่มำ : ดร.อดิศร ไชยคุปต์ผู้ตรวจการอัยการ. แนวทางการสั่งคดีอาญาที่จะไม่เป็ นประโยชน์แก่สาธารณชน หรือจะมีผลกระทบ ต่อความปลอดภัยหรือความมั่นคงของชาติ หรือต่อผลประโยชน์อันส าคัญของประเทศ เพื่อการพัฒนากระบวนการยุติธรรมไทย ชั้นพนักงานอัยการ, มกราคม 2566, หน้า 52-53. นำงสำวณฤดี เกียรติคงยิ่ง อัยกำรอำวุโส ส ำนักงำนอัยกำรพิเศษฝ่ ำยบริหำรจัดกำรควำมรู้ KM : Perfect Public Prosecutor (KM : 3P) แนวทำงกำรสั ่งคดีอำญำที่จะไม่เป็ นประโยชน์แก่สำธำรณชน หรือมีผลกระทบต่อควำมปลอดภัยหรือควำมมั ่นคงของชำติ หรือต่อผลประโยชน์อันส ำคัญของประเทศ เพื่อกำรพฒันำกระบวนกำรยุตธิรรมไทยช้ันพนักงำนอยักำร
kms.ago.go.th Knowledge Management System : KMS ส ำนักงำนวิชำกำร ศูนย์กฎหมำยและเอกสำรวิชำกำร คลังควำมรู้ แหล่งรวมควำมรู้เพื่อกำรท ำงำน ศูนย์รำชกำรเฉลิมพระเกียรติฯ อำคำรรำชบุรีดิเรกฤทธิ์ช้นั3 เลขที่ 120 หมู่ 3 ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหำนคร 10210 โทร 0 2142 1499 โทรสำร 0 2143 9475 เรื่องที่ 90/2566 /2563 องค์ควำมรู้ที่เผยแพร่ใน Line KM : 3P ท้งัหมด อัยกำรพิเศษฝ่ ำยบริหำรจัดกำรควำมรู้ KMS : คลังควำมรู้ คลังกฎหมำยและเอกสำร ควำมรู้ ตอบข้อหำรือ คลังสมอง กำรเข้ำใช้งำนระบบสำรสนเทศกำรจัดกำรควำมรู้ (KMS) : kms.ago.go.th ---------------------------- เรื่อง ตัวอย่ำงกำรใช้ดุลพินิจสั ่งไม่ฟ้ องคดีอำญำ ข้อเท็จจริงได้ความว่า คดีนี้ เจ้าพนักงานต ารวจจับกุมผู้ต้องหาที่ 1 และผู้ต้องหาที่ 2 ในข้อหาร่วมกัน ลักทรัพย์ซาลาเปาไส้ครีม จ านวน 1 ใบ ในเวลากลางคืน พนักงานสอบสวนมีความเห็นควรสั่งฟ้ อง อัยการสูงสุดพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ ผู้ต้องหาที่ 2 ให้การว่าน้องชายชอบกินซาลาเปา เมื่อแม่ ผู้ต้องหาที่ 1 มาซื้ อซาลาเปา 1 ใบ จึงแถมซาลาเปาที่เหลือจากการขายแล้วให้อีก 1 ใบ ส่วนผู้ต้องหาที่ 1 ซึ่งเป็ นแม่ของผู้ต้องหาที่ 2 นั้น ตามข้อเท็จจริงก็เป็ นเพียงผู้รับซาลาเปาจากลูก คือผู้ต้องหาที่ 2 ฝากให้น้องชาย มิได้เป็นผู้ก่อหรือสั่งให้ ผู้ต้องหาที่ 2 ท าการลักทรัพย์ และเห็นเจตนา ของพี่ชายที่ฝากซาลาเปาที่เหลือจากการขายให้น้อง ผู้ต้องหาที่ 1 มิได้มีจิตใจเป็ นอาชญากรโดยสันดาน สังคมไม่ควรซ ้าเติมความรู้สึกของแม่เช่นนี้ สมควรให้โอกาสประพฤติตนเป็ นพลเมืองดีในสังคมต่อไป การฟ้ องคดีผู้ต้องหาทั้งสองไม่เป็ นประโยชน์แก่สาธารณชน จึงสั่งไม่ฟ้ อง ผู้ต้องหาทั้งสองฐานร่วมกัน ลักทรัพย์ในเวลากลางคืน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335, 83 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2525 มาตรา 11 และตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและ ครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534 (พระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัว และวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553) มาตรา 63 อนึ่ง คดีนี้ ได้แยกเป็ น 2 ส านวน เนื่องจากผู้ต้องหาที่ 1 เป็ นผู้ใหญ่ ส่วนผู้ต้องหาที่ 2 เป็ นเด็ก ที่มำ : ดร.อดิศร ไชยคุปต์ผู้ตรวจการอัยการ. แนวทางการสั่งคดีอาญาที่จะไม่เป็ นประโยชน์แก่สาธารณชน หรือจะมีผลกระทบ ต่อความปลอดภัยหรือความมั่นคงของชาติ หรือต่อผลประโยชน์อันส าคัญของประเทศ เพื่อการพัฒนากระบวนการยุติธรรมไทย ชั้นพนักงานอัยการ, มกราคม 2566, หน้า 53. นำงสำวณฤดี เกียรติคงยิ่ง อัยกำรอำวุโส ส ำนักงำนอัยกำรพิเศษฝ่ ำยบริหำรจัดกำรควำมรู้ KM : Perfect Public Prosecutor (KM : 3P) ส ำนักงำนอัยกำรพิเศษฝ่ ำยบริหำรจัดกำรควำมรู้ ขอเสนอเทคนิค ข้อสังเกตกำรว่ำต่ำง แก้ต่ำง คดีอำญำ คดีแพ่ง เป็ นเกร็ดควำมรู้ เพื่อทบทวนและเพิ่มศักยภำพ ในกำรปฏิบัติหน้ำที่ของพนักงำนอัยกำร ประจ ำวันที่ 7 เมษำยน 2566 แนวทำงกำรสั ่งคดีอำญำที่จะไม่เป็ นประโยชน์แก่สำธำรณชน หรือมีผลกระทบต่อควำมปลอดภัยหรือควำมมั ่นคงของชำติ หรือต่อผลประโยชน์อันส ำคัญของประเทศ เพื่อกำรพฒันำกระบวนกำรยุตธิรรมไทยช้ันพนักงำนอยักำร
kms.ago.go.th Knowledge Management System : KMS ส ำนักงำนวิชำกำร ศูนย์กฎหมำยและเอกสำรวิชำกำร คลังควำมรู้ แหล่งรวมควำมรู้เพื่อกำรท ำงำน ศูนย์รำชกำรเฉลิมพระเกียรติฯ อำคำรรำชบุรีดิเรกฤทธิ์ช้นั3 เลขที่ 120 หมู่ 3 ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหำนคร 10210 โทร 0 2142 1499 โทรสำร 0 2143 9475 เรื่องที่ 91/2566 /2563 ---------------------------- เรื่อง ตัวอย่ำงกำรใช้ดุลพินิจสั ่งไม่ฟ้ องคดีอำญำ ข้อเท็จจริงได้ความว่า ผู้ต้องหาทั้งสามเป็ นนิสิตของมหาวิทยาลัยบูรพา ขณะเกิดเหตุผู้ต้องหาทั้งสาม ได้ฝึกกีฬาอเมริกันเชียร์โดยได้ท าการโยนผู้ตายขึ้ นไปบนอากาศแล้วให้ผู้ตายตีลังกาลงมา ปรากฏว่าเมื่อผู้ตาย ตกลงมาศีรษะของผู้ตายกระแทกเข้ากับตัวผู้ต้องหาที่ 1 ผู้ตายรู้สึกมึนและหมดสติในเวลาต่อมา ได้มีการ น าตัวส่งโรงพยาบาลชลบุรีแพทย์แจ้งว่าจากการเอ็กซเรย์สมอง แกนสมองของผู้ตายขาด สมองบวม บิดา และมารดาของผู้ตายจึงน าความเข้าแจ้งต่อพนักงานสอบสวนเพื่อให้ด าเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้งสาม ต่อมา ผู้ตายถึงแก่ความตาย พนักงานสอบสวนสรุปความเห็นว่า การกระท าของผู้ต้องหาทั้งสามในคดีนี้ เป็ นการกระท าโดยประมาท ซึ่งเป็ นความผิดตามกฎหมาย ฐานกระท าโดยประมาท การกระท านั้นเป็ นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย อันเป็ นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 เห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้งสามตามฐาน ที่กล่าวอ้างข้างต้น อธิบดีอัยการเขต ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า การกระท าของผู้ต้องหาทั้งสามดังกล่าวเป็ นการกระท าโดย ประมาทปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้น จะต้องมีตามวิสัยและเป็ นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ ความตาย อันเป็ นความผิดตามข้อกล่าวหา อย่างไรก็ตาม การด าเนินการฟ้ องร้องผู้ต้องหาทั้งสามในคดีนี้ เห็นว่าจะไม่เป็ นประโยชน์แก่สาธารณชน เนื่องจากผู้ต้องหาทั้งสามซึ่งมีสถานะเป็ นนักศึกษามหาวิทยาลัย บูรพา ได้ท าการซ้อมการเชียร์ลีดเดอร์ให้แก่ผู้ตาย ตามเหตุคดีนี้ เพื่อร่วมกิจกรรมประกวดการแข่งขัน การเชียร์ขึ้ นเป็ นประจ าทุกปี เป็ นเรื่องสร้างสรรค์ด้วยเจตนาดี สภาพจิตใจของผู้ต้องหาทั้งสามได้รับความ กระทบกระเทือนด้วยความเสียใจจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้ นอย่างไม่ตั้งใจดังกล่าว ผู้ต้องหาทั้งสามได้รู้ส านึก ในความผิดและได้สวดอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ตาย บิดา มารดา ของผู้ตายก็เห็นใจผู้ต้องหาทั้งสามและไม่ได้ ติดใจเอาความแก่ผู้ต้องหาทั้งสาม ผู้ต้องหาทั้งสามเป็ นนักศึกษามหาวิทยาลัยบูรพา ยังมีอายุน้อยยังมีโอกาส กระท าการอันเป็ นประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติในอนาคต ทั้งยังไม่ปรากฏว่าเคยกระท าความผิดใดๆ มาก่อน การฟ้ องผู้ต้องหาทั้งสามในคดีนี้ นอกจากไม่เป็ นประโยชน์ต่อสาธารณะแล้ว ยังอาจท าให้ผู้ต้องหา ทั้งสามเสียโอกาสที่ดีในอนาคตได้ จึงเห็นควรสั่งไม่ฟ้ องผู้ต้องหาทั้งสามในข้อหากระท าโดยประมาทเป็ นเหตุ ให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 ตามระเบียบส านักงานอัยการสูงสุด KM : Perfect Public Prosecutor (KM : 3P) ส ำนักงำนอัยกำรพิเศษฝ่ ำยบริหำรจัดกำรควำมรู้ ขอเสนอเทคนิค ข้อสังเกตกำรว่ำต่ำง แก้ต่ำง คดีอำญำ คดีแพ่ง เป็ นเกร็ดควำมรู้ เพื่อทบทวนและเพิ่มศักยภำพ ในกำรปฏิบัติหน้ำที่ของพนักงำนอัยกำร ประจ ำวันที่ 10 เมษำยน 2566
kms.ago.go.th Knowledge Management System : KMS ส ำนักงำนวิชำกำร ศูนย์กฎหมำยและเอกสำรวิชำกำร คลังควำมรู้ แหล่งรวมควำมรู้เพื่อกำรท ำงำน ศูนยร์ำชกำรเฉลิมพระเกียรตฯิอำคำรรำชบุรีดิเรกฤทธิ์ช้นั3 เลขที่ 120 หมู่ 3 ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหำนคร 10210 โทร 0 2142 1499 โทรสำร 0 2143 9475 องค์ควำมรู้ที่เผยแพร่ใน Line KM : 3P ท้งัหมด อัยกำรพิเศษฝ่ ำยบริหำรจัดกำรควำมรู้ KMS : คลังควำมรู้ คลังกฎหมำยและเอกสำร ควำมรู้ ตอบข้อหำรือ คลังสมอง กำรเข้ำใช้งำนระบบสำรสนเทศกำรจัดกำรควำมรู้ (KMS) : kms.ago.go.th ว่าด้วยการด าเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ พ.ศ. 2547 ข้อ 78 (พระราชบัญญัติองค์กรอัยการและ พนักงานอัยการ พ.ศ. 2553 มาตรา 21 ประกอบระเบียบส านักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการสั่งคดีอาญา ที่จะไม่เป็ นประโยชน์แก่สาธารณชน หรือจะมีผลกระทบต่อความปลอดภัยหรือความมั่นคงของชาติหรือ ต่อผลประโยชน์อันส าคัญของประเทศ พ.ศ. 2554) ต่อมาอัยการสูงสุดได้พิจารณาแล้ว เห็นพ้องด้วยกับความเห็นของอธิบดีอัยการเขต จึงส่งส านวนคืน เพื่อให้อธิบดีอัยการเขต มีค าสั่งและด าเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145 ต่อไป ที่มำ : ดร.อดิศร ไชยคุปต์ผู้ตรวจการอัยการ. แนวทางการสั่งคดีอาญาที่จะไม่เป็ นประโยชน์แก่สาธารณชน หรือจะมีผลกระทบ ต่อความปลอดภัยหรือความมั่นคงของชาติ หรือต่อผลประโยชน์อันส าคัญของประเทศ เพื่อการพัฒนากระบวนการยุติธรรมไทย ชั้นพนักงานอัยการ, มกราคม 2566, หน้า 53-54. นำงสำวณฤดี เกียรติคงยิ่ง อัยกำรอำวุโส ส ำนักงำนอัยกำรพิเศษฝ่ ำยบริหำรจัดกำรควำมรู้ KM : Perfect Public Prosecutor (KM : 3P) แนวทำงกำรสั ่งคดีอำญำที่จะไม่เป็ นประโยชน์แก่สำธำรณชน หรือมีผลกระทบต่อควำมปลอดภัยหรือควำมมั ่นคงของชำติ หรือต่อผลประโยชน์อันส ำคัญของประเทศ เพื่อกำรพฒันำกระบวนกำรยุตธิรรมไทยช้ันพนักงำนอยักำร
kms.ago.go.th Knowledge Management System : KMS ส ำนักงำนวิชำกำร ศูนย์กฎหมำยและเอกสำรวิชำกำร คลังควำมรู้ แหล่งรวมควำมรู้เพื่อกำรท ำงำน ศูนยร์ำชกำรเฉลิมพระเกียรตฯิอำคำรรำชบุรีดิเรกฤทธิ์ช้นั3 เลขที่ 120 หมู่ 3 ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหำนคร 10210 โทร 0 2142 1499 โทรสำร 0 2143 9475 เรื่องที่ 92/2566 /2563 องค์ควำมรู้ที่เผยแพร่ใน Line KM : 3P ท้งัหมด อัยกำรพิเศษฝ่ ำยบริหำรจัดกำรควำมรู้ KMS : คลังควำมรู้ คลังกฎหมำยและเอกสำร ควำมรู้ ตอบข้อหำรือ คลังสมอง กำรเข้ำใช้งำนระบบสำรสนเทศกำรจัดกำรควำมรู้ (KMS) : www.km.ago.go.th ---------------------------- ทฤษฎีเกี่ยวกับภำวะผู้น ำ : กลุ่มแนวคิดทำงพฤติกรรม : ทฤษฎีภำวะผู้น ำเชิงพฤติกรรมนิยม : ทฤษฎีตำข่ำยภำวะผู้น ำ (Leadership grid) ตอนที่ 1 ทฤษฎีตาข่ายภาวะผู้น า (Leadership Grid) (Blakeand Mouton, 1964) เป็ นแนวคิดที่บ่งชี้ ให้เห็นถึงแบบพฤติกรรม ของผู้น าที่ดีที่สุด ในตาข่ายการจัดการ จะประกอบไปด้วยพฤติกรรมผู้น า 2 มิติคือ มิติที่ผู้น ามุ่งให้ความสนใจเกี่ยวกับ การผลิต (Concern for Production) และมิติที่ผู้น ามุ่งให้ความสนใจต่อคนผลิตหรือต่อผู้ปฎิบัติงาน (Concern for People) ดังนี้ 1. มุ่งสนใจการผลิต (Concern for Production) มีความหมายถึงการที่ผู้น าสนใจในสิ่งต่าง ๆ เช่น คุณภาพ ของการตัดสินใจ เลือกนโยบาย วิธีการและกระบวนการผลิต การให้มีงานวิจัยเกี่ยวกับการผลิต คุณภาพของการบริการ งานที่มีประสิทธิภาพ และปริมาณของผลผลิต 2. มุ่งสนใจคนผลิต (Concern for People) คือการที่ผู้น าท าให้ผู้ตามเต็มใจยอมรับในเป้ าหมายของงาน ผู้น ายอมรับ และยกย่อง ในเกียรติของลูกน้อง ศรัทธาในความรับผิดชอบระหว่างลูกน้องกับตนเอง จัดสภาพการท างานที่ดีให้ และ พยายามสร้างความพอใจในการมีความสัมพันธ์ ที่มำ : รายงานผลการวิจัย โครงการศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาภาวะผู้น าและเสริมสร้างทักษะการน าตนเองของผู้บริหาร เสนอ ส านักงานอัยการสูงสุด โดยศูนย์บริการวิชาการ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ นำงสมสุข มีวุฒิสม อัยกำรอำวุโส ส ำนักงำนอัยกำรพิเศษฝ่ ำยบริหำรจัดกำรควำมรู้ KM : Perfect Public Prosecutor (KM : 3P) ส ำนักงำนอัยกำรพิเศษฝ่ ำยบริหำรจัดกำรควำมรู้ ขอเสนอเทคนิค ข้อสังเกตกำรว่ำต่ำง แก้ต่ำง คดีอำญำ คดีแพ่ง เป็ นเกร็ดควำมรู้ เพื่อทบทวนและเพิ่มศักยภำพ ในกำรปฏิบัติหน้ำที่ของพนักงำนอัยกำร ประจ ำวันที่ 11 เมษำยน 2566
kms.ago.go.th Knowledge Management System : KMS ส ำนักงำนวิชำกำร ศูนย์กฎหมำยและเอกสำรวิชำกำร คลังควำมรู้ แหล่งรวมควำมรู้เพื่อกำรท ำงำน ศูนยร์ำชกำรเฉลิมพระเกียรตฯิอำคำรรำชบุรีดิเรกฤทธิ์ช้นั3 เลขที่ 120 หมู่ 3 ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหำนคร 10210 โทร 0 2142 1499 โทรสำร 0 2143 9475 เรื่องที่ 93/2566 /2563 องค์ควำมรู้ที่เผยแพร่ใน Line KM : 3P ท้งัหมด อัยกำรพิเศษฝ่ ำยบริหำรจัดกำรควำมรู้ KMS : คลังควำมรู้ คลังกฎหมำยและเอกสำร ควำมรู้ ตอบข้อหำรือ คลังสมอง กำรเข้ำใช้งำนระบบสำรสนเทศกำรจัดกำรควำมรู้ (KMS) : kms.ago.go.th ---------------------------- กำรตรวจพิจำรณำส ำนวนเกี่ยวกับกำรกันผู้ต้องหำเป็ นพยำน กรณีที่พนักงานสอบสวนกันผู้ต้องหาคนหนึ่ งคนใดซึ่งได้ร่วมกระท าผิดด้วยเป็ นพยาน ให้พนักงานอัยการพิจารณาโดยรอบคอบ โดยค านึงถึงว่าถ้าไม่กันผู้ต้องหาคนหนึ่งคนใดเป็ นพยานแล้ว พยานหลักฐานที่มีอยู่เพียงพอแก่การที่จะด าเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้งหมดหรือไม่ และอาจแสวงหา พยานหลักฐานอื่นแทนเพื่อให้เพียงพอแก่การที่จะด าเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้งหมดนั้นได้หรือไม่ ถ้อยค าของ บุคคลนั้นรับฟังเป็ นความสัตย์ได้เพียงใด รวมทั้งความคาดหมายในการที่ผู้นั้นจะเบิกความเป็ นประโยชน์ ในการพิจารณาหรือไม่ด้วย และการกันผู้ต้องหาเป็ นพยานนั้นให้พิจารณากันผู้กระท าผิดน้อยที่สุดเป็ นพยาน เมื่อพนักงานอัยการได้วินิจฉัยดังกล่าวข้างต้นแล้ว และพนักงานอัยการเห็นควรกันผู้ต้องหาคนหนึ่ง คนใดเป็ นพยาน ให้พนักงานอัยการออกค าสั่งไม่ฟ้ องผู้ต้องหานั้น และเมื่อมีค าสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้ องผู้ต้องหา ดังกล่าวแล้ว ให้พนักงานอัยการสั่งให้พนักงานสอบสวนท าการสอบสวนถ้อยค าผู้ที่กันไว้เป็ นพยานนั้น เป็ นพยานประกอบส านวน (ระเบียบส านักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการด าเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ พ.ศ. 2563 ข้อ 81) ที่มำ : คู่มือการด าเนินคดีอาญาส าหรับพนักงานอัยการ พ.ศ. 2546 คลังกฎหมายและเอกสาร ระบบสารสนเทศการจัดการความรู้ ส านักงานอัยการสูงสุด นำยปริญญำ จิตรกำรนทีกิจ อัยกำรอำวุโส ส ำนักงำนอัยกำรพิเศษฝ่ ำยบริหำรจัดกำรควำมรู้ KM : Perfect Public Prosecutor (KM : 3P) ส ำนักงำนอัยกำรพิเศษฝ่ ำยบริหำรจัดกำรควำมรู้ ขอเสนอเทคนิค ข้อสังเกตกำรว่ำต่ำง แก้ต่ำง คดีอำญำ คดีแพ่ง เป็ นเกร็ดควำมรู้ เพื่อทบทวนและเพิ่มศักยภำพ ในกำรปฏิบัติหน้ำที่ของพนักงำนอัยกำร ประจ ำวันที่ 12 เมษำยน 2566
ประจ ำวันที่ 18 เมษำยน 2566 kms.ago.go.th Knowledge Management System : KMS ส ำนักงำนวิชำกำร ศูนย์กฎหมำยและเอกสำรวิชำกำร คลังควำมรู้ แหล่งรวมควำมรู้เพื่อกำรท ำงำน ศูนยร์ำชกำรเฉลิมพระเกียรตฯิอำคำรรำชบุรีดิเรกฤทธิ์ช้นั3 เลขที่ 120 หมู่ 3 ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหำนคร 10210 โทร 0 2142 1499 โทรสำร 0 2143 9475 เรื่องที่ 94/2566 /2563 ---------------------------- แนววินิจฉัยคดีส ำนวนรับรองฎีกำ กรณีส ำนักงำนคดีศำลสูงภำค ขอให้รับรองฎีกำคดี นำย ศ. โจทก์ร่วม นำย ส. กับพวกรวม 5 คน จ ำเลย ควำมผิดฐำน ร่วมกันพยำยำมฆ่ำผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน คดีนี้ อัยการสูงสุดพิจารณาแล้ว เห็นว่า กรณีจ าเลยที่ 3 และที่ 5 ที่ศาลจังหวัด พิพากษาว่า จ าเลย ที่ 3 และที่ 5 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(8), 298 ประกอบ มาตรา 83 และให้ ลงโทษจ าเลยที่ 3 และที่ 5 แต่ศาลอุทธรณ์ภาค พิพากษากลับให้ยกฟ้ องจ าเลยที่ 3 และ ที่ 5 ในความผิดฐาน ดังกล่าว จึงเป็ นกรณีที่ศาลอุทธรณ์ภาค พิพากษากลับค าพิพากษาศาลชั้นต้น คดีจึงไม่ต้องห้ามฎีกาในส่วน ของจ าเลยที่ 3 และที่ 5 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218, 219, 220 แต่อย่างใด ส าหรับจ าเลยที่ 2 การที่ศาลอุทธรณ์ภาค พิพากษาแก้ค าพิพากษาศาลชั้นต้นเป็ นว่าให้ยกฟ้ อง จ าเลยที่ 2 ในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(8), 298 แต่ให้ลงโทษจ าเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(8) ถือเป็ นการแก้ไขเล็กน้อย จึงต้องห้ามฎีกาตามประมวล กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 (เทียบเคียงค าพิพากษาศาลฎีกาที่ 4451/2542) คดีจึงมี ประเด็นต้องวินิจฉัยว่าการกระท าของจ าเลยที่ 2 เป็ นความผิดฐานร่วมกันท าร้ายร่างกายผู้อื่นเป็ นเหตุ ให้ได้รับอันตรายสาหัสโดยไตร่ตรองไว้ก่อนหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้ ผู้เสียหาย (โจทก์ร่วม) ได้เบิกความยืนยันว่า จ าเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 5 ได้เคยซื้ อสินค้าจากห้างสรรพสินค้าที่เกิดเหตุมาก่อน และรู้ว่าผู้เสียหายท างานที่ห้าง ดังกล่าว ตามวันเวลาเกิดเหตุ จ าเลยที่ 2 ได้ขับรถยนต์กระบะมาพร้อมกับจ าเลยที่ 3 และที่ 5 โดยเตรียม แท่งเหล็กมาในรถยนต์คันดังกล่าว แล้วจอดรอผู้เสียหายบริเวณที่จอดรถของห้าง เมื่อผู้เสียหายเลิกงานและ เดินผ่านบริเวณที่เกิดเหตุ จ าเลยที่ 2 ได้ใช้ท่อนเหล็กที่เตรียมมาตีท าร้ายผู้เสียหาย โดยจ าเลยที่ 3 และที่ 5 คอยวิ่งกันล้อมมิให้ผู้เสียหายหลบหนี สอดคล้องกับค าเบิกความของพยาน 3 ปาก ทั้งมีภาพจากกล้องวงจรปิ ด ที่บันทึกภาพขณะเกิดเหตุประกอบค าเบิกความ ดังนี้ การที่จ าเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 5 รู้ว่าผู้เสียหายท างานที่ ห้างดังกล่าว แล้วได้เตรียมแท่งเหล็กมาดักรอผู้เสียหายที่ห้าง และเมื่อพบผู้เสียหาย จ าเลยที่ 2 ได้ใช้แท่งเหล็ก ตีผู้เสียหายจนได้รับอันตรายสาหัส โดยจ าเลยที่ 3 และ ที่ 5 คอยวิ่งกันล้อมมิให้ผู้เสียหายหลบหนีไป KM : Perfect Public Prosecutor (KM : 3P) ส ำนักงำนอัยกำรพิเศษฝ่ ำยบริหำรจัดกำรควำมรู้ ขอเสนอเทคนิค ข้อสังเกตกำรว่ำต่ำง แก้ต่ำง คดีอำญำ คดีแพ่ง เป็ นเกร็ดควำมรู้ เพื่อทบทวนและเพิ่มศักยภำพ ในกำรปฏิบัติหน้ำที่ของพนักงำนอัยกำร
อัยกำรพิเศษฝ่ ำยบริหำรจัดกำรควำมรู้ KMS : คลังควำมรู้ คลังกฎหมำยและเอกสำร ควำมรู้ ตอบข้อหำรือ คลังสมอง กำรเข้ำใช้งำนระบบสำรสนเทศกำรจัดกำรควำมรู้ (KMS) : kms.ago.go.th kms.ago.go.th Knowledge Management System : KMS ส ำนักงำนวิชำกำร ศูนย์กฎหมำยและเอกสำรวิชำกำร คลังควำมรู้ แหล่งรวมควำมรู้เพื่อกำรท ำงำน ศูนยร์ำชกำรเฉลิมพระเกียรตฯิอำคำรรำชบุรีดิเรกฤทธิ์ช้นั3 เลขที่ 120 หมู่ 3 ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหำนคร 10210 โทร 0 2142 1499 โทรสำร 0 2143 9475 องค์ควำมรู้ที่เผยแพร่ใน Line KM : 3P ท้งัหมด พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าจ าเลยที่ 2 ได้คิดไตร่ตรองไว้ล่วงหน้าและได้ตระเตรียมแท่งเหล็กเพื่อใช้ ท าร้ายผู้เสียหาย อันเป็ นความผิดฐานร่วมกันท าร้ายร่างกายผู้อื่น เป็ นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสโดยไตร่ตรอง ไว้ก่อน ดังนั้นค าพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ที่ให้ลงโทษจ าเลยที่ 2 เฉพาะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(8) จึงคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และ พยานหลักฐานในส านวน และเป็ นกรณีที่ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแตกต่างกันในสาระส าคัญ กรณี มีเหตุอันควรที่ศาลสูงสุดจะได้วินิจฉัย อัยการสูงสุดจึงมีค าสั่งรับรองฎีกาของโจทก์เฉพาะในส่วนของจ าเลยที่ 2 ที่มำ : แนววินิจฉัยคดีส านวนรับรองฎีกาที่ รฎ 39/2565 ของส านักงานคดีอัยการสูงสุด จาก ระบบจัดการความรู้ (Knowledge Management System : KMS) ส านักงานอัยการสูงสุด นำงศิริอร มณีสินธุ์ อัยกำรอำวุโส ส ำนักงำนอัยกำรพิเศษฝ่ ำยบริหำรจัดกำรควำมรู้ KM : Perfect Public Prosecutor (KM : 3P)
kms.ago.go.th Knowledge Management System : KMS ส ำนักงำนวิชำกำร ศูนย์กฎหมำยและเอกสำรวิชำกำร คลังควำมรู้ แหล่งรวมควำมรู้เพื่อกำรท ำงำน ศูนย์รำชกำรเฉลิมพระเกียรติฯ อำคำรรำชบุรีดิเรกฤทธิ์ช้นั3 เลขที่ 120 หมู่ 3 ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหำนคร 10210 โทร 0 2142 1499 โทรสำร 0 2143 9475 เรื่องที่ 95/2566 ---------------------------- แนวทำงกำรสั ่งคดีอำญำที่จะไม่เป็ นประโยชน์แก่สำธำรณชน หรือจะมีผลกระทบต่อควำมปลอดภัย หรือควำมมั ่นคงของชำติหรือต่อผลประโยชน์อันส ำคัญของประเทศ เพื่อกำรพฒันำกระบวนกำรยตุิธรรมไทยช้นัพนกังำนอยักำร (ตอนที่ 1) หลังจากที่ระเบียบกรมอัยการว่าด้วยการด าเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ พ.ศ. 2528 ใช้บังคับแล้ว การใช้ดุลพินิจ ในการสั่งคดีอาญาเริ่มมีการใช้กันอย่างกว้างขวางมากขึ้นแต่เมื่อเทียบกับสถิติคดีทั้งหมดทั่วประเทศที่ส่งมาให้พนักงานอัยการ พิจารณานับว่าน้อยมาก อันแสดงว่าพนักงานอัยการได้ใช้ดุลพินิจอย่างจ ากัดมาโดยตลอด การใช้ดุลพินิจสั่งไม่ฟ้ องคดีอาญาที่ไม่เป็ นประโยชน์แก่สาธารณชน หรือจะมีผลกระทบต่อความปลอดภัยหรือ ความมั่นคงของชาติหรือต่อผลประโยชน์อันส าคัญของประเทศ ทั้ง ๆ ที่มีพยานหลักฐานเชื่อว่าผู้ต้องหาได้กระท าความผิด ตามข้อกล่าวหาจริง คณะผู้วิจัยได้รวบรวมในคดีความผิดฐานต่าง ๆ ที่อัยการสูงสุดใช้ดุลพินิจสั่งไม่ฟ้ อง เพื่อให้เห็นถึง แนวทางการใช้ดุลพินิจดังกล่าวว่าพนักงานอัยการนั้นให้เหตุผลไว้อย่างไรบ้าง ดังนี้ ตัวอย่างที่ 1 ข้อเท็จจริงได้ความว่าขณะเกิดเหตุคดีนี้ ได้เกิดเหตุการณ์ภัยธรรมชาติน ้าท่วมที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาและจังหวัด ใกล้เคียงรวมทั้งบริเวณที่เกิดเหตุ ผู้เสียหายและผู้ต้องหามีบ้านอยู่ในซอยเดียวกันที่ซอยชัยมงคล 4 ต าบลไผ่ลิง อ าเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยาซึ่งน ้าได้ท่วมซอยสูงประมาณ 50 ซ.ม. ขณะเกิดเหตุนาย ส. ผู้ต้องหา ก าลังดู แนวกระสอบทรายซึ่งท าเป็ นท านบป้ องกันน ้าท่วมบริเวณหน้าบ้าน ระดับน ้าต ่ากว่าขอบกระสอบทรายประมาณ 5 ซ.ม. ผู้เสียหายได้ขับรถยนต์กระบะจะเข้าบ้าน โดยมี นาย ว. นั่งโดยสารมาด้วยเมื่อรถจะผ่านหน้าบ้านผู้ต้องหา ผู้ต้องหาได้กระโดด ขวางหน้ารถยนต์โดยถือพลั่วติดตัวมาด้วย พร้อมใช้มือทุบกระโปรงรถแล้วเดินมาทางด้านที่ นาย ว. นั่งอยู่ใช้มือทุบกระจกเรียกให้ มาพูดกัน เมื่อนาย ว. เปิ ดกระจกผู้ต้องหาได้ลอดศีรษะเข้ามาในรถ และใช้มือดึงคอเสื้อผู้เสียหายที่นั่งขับรถอยู่ ผู้เสียหายใช้มือ ปัดแขนของผู้ต้องหาหลุดออกไปแล้วบอกให้นาย ว. ปิดกระจกจากนั้นผู้เสียหายได้ขับรถเข้าไปในบ้าน เมื่อถึงบ้านได้เล่าเหตุการณ์ ให้นาย ช. พี่ชายฟัง แล้วผู้เสียหายจึงได้ขับรถออกมาอีกพร้อมด้วย นาย ช. เพื่อจะไปแจ้งความ เมื่อผ่านมาทางบ้าน ผู้ต้องหา ผู้ต้องหาได้ถือฉมวกยาวประมาณ 2 เมตร กระโดดเข้าขวางหน้ารถผู้ต้องหาเงื้ อฉมวกขึ้ นเหนือศีรษะคล้ายจะพุ่งใส่ รถผู้เสียหาย ผู้เสียหายจึงรีบขับรถออกไปแจ้งความกับพนักงานสอบสวนให้ด าเนินคดีกับผู้ต้องหาฐานท าให้เสื่อมเสียเสรีภาพ โดยมีและใช้อาวุธ พนักงานสอบสวน เห็นควรสั่งฟ้ องผู้ต้องหาฐานท าให้เสื่อมเสียเสรีภาพโดยมีและใช้อาวุธ ตาม ป.อ. มาตรา 309 วรรคสอง อัยการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เสนอความเห็นให้อัยการสูงสุดเพื่อสั่งกรณีการฟ้ องคดีจะไม่เป็ นประโยชน์ แก่สาธารณชน อันมีมูลคดีสืบเนื่องจากภัยธรรมชาติน ้าท่วม ตามความในระเบียบกรมอัยการว่าด้วยการด าเนินคดีอาญาของ พนักงานอัยการ พ.ศ. 2528 ข้อ 51 และตามหนังสือส านักงานอัยการสูงสุด ด่วนที่สุด ที่ อส (สอก.) 0001/ว 204 ลงวันที่ 1 พฤศจิกายน 2538 เรื่อง การใช้ดุลยพินิจสั่งคดีซึ่งเกิดโดยเหตุสืบเนื่องจากภัยธรรมชาติน ้าท่วม KM : Perfect Public Prosecutor (KM : 3P) ส ำนักงำนอัยกำรพิเศษฝ่ ำยบริหำรจัดกำรควำมรู้ ขอเสนอเทคนิค ข้อสังเกตกำรว่ำต่ำง แก้ต่ำง คดีอำญำ คดีแพ่ง เป็ นเกร็ดควำมรู้ เพื่อทบทวนและเพิ่มศักยภำพ ในกำรปฏิบัติหน้ำที่ของพนักงำนอัยกำร ประจ ำวันที่ 19 เมษำยน 2566
องค์ควำมรู้ที่เผยแพร่ใน Line KM : 3P ท้งัหมด อัยกำรพิเศษฝ่ ำยบริหำรจัดกำรควำมรู้ KMS : คลังควำมรู้ คลังกฎหมำยและเอกสำร ควำมรู้ ตอบข้อหำรือ คลังสมอง กำรเข้ำใช้งำนระบบสำรสนเทศกำรจัดกำรควำมรู้ (KMS) : kms.ago.go.th kms.ago.go.th Knowledge Management System : KMS ส ำนักงำนวิชำกำร ศูนย์กฎหมำยและเอกสำรวิชำกำร คลังควำมรู้ แหล่งรวมควำมรู้เพื่อกำรท ำงำน ศูนย์รำชกำรเฉลิมพระเกียรติฯ อำคำรรำชบุรีดิเรกฤทธิ์ช้นั3 เลขที่ 120 หมู่ 3 ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหำนคร 10210 โทร 0 2142 1499 โทรสำร 0 2143 9475 อัยการสูงสุดพิจารณาแล้ว เห็นว่าการกระท าของผู้ต้องหาที่ออกมายืนขวางทางเดินรถของผู้เสียหายแล้วใช้มือคว้าคอเสื้ อ ผู้เสียหายแล้วกระชากในตอนแรกและท าท่าเงื้ อฉมวกจะพุ่งใส่รถผู้เสียหายในตอนที่สองนั้น มีเจตนาเพื่อให้ผู้เสียหายขับรถช้าลง ด้วยเกรงว่าคลื่นจะกระแทกท านบกระสอบทรายพังอันจะเป็ นเหตุให้น ้าไหลบ่าเข้าท่วมบ้านผู้ต้องหาเท่านั้น มิได้มีเจตนาที่จะข่มขืน ใจผู้เสียหายให้กระท าการใด ไม่กระท าการใด หรือจ ายอมต่อสิ่งใด อันจะเป็ นความผิดต่อเสรีภาพ เทียบตามนัยค าพิพากษาฎีกา ที่ 1717/2527 การกระท าของผู้ต้องหาจึงไม่เป็ นความผิดต่อเสรีภาพตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 จึงสั่งไม่ฟ้ อง ผู้ต้องหาฐานท าให้เสื่อมเสียเสรีภาพโดยมีและใช้อาวุธ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคสอง แต่การที่ผู้ต้องหาได้ใช้มือจับคอเสื้ อผู้เสียหายกระชากนั้นถือเป็ นการท าร้ายผู้เสียหายแล้ว การกระท าของผู้ต้องหา จึงเป็ นความผิดฐานใช้ก าลังท าร้ายร่างกายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็ นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจอันเป็ นความผิดลหุโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 และการที่ผู้ต้องหาได้เงื้ อฉมวกท าท่าจะพุ่งเข้าใส่ผู้เสียหายนั้น เห็นว่าการกระท าดังกล่าวเป็นการแสดงว่าจะท าให้ เกิดภัยอันตรายแก่ผู้เสียหาย การกระท าดังกล่าวเป็ นการขู่เข็ญผู้เสียหายให้เกิดความกลัวหรือความตกใจ การกระท าของ ผู้ต้องหาจึงเป็ นความผิดฐานท าให้ผู้อื่นเกิดความกลัวหรือความตกใจโดยการขู่เข็ญอันเป็ นความผิดลหุโทษ ตามประมวล กฎหมายอาญา มาตรา 392 เช่นกัน แต่ความผิดดังกล่าวพนักงานสอบสวนไม่ได้แจ้งข้อหาแก่ผู้ต้องหา และเห็นว่าความผิดดังกล่าวนั้นเป็ นความผิดลหุโทษ เป็ นความผิดเพียงเล็กน้อย เมื่อพิจารณาสาเหตุของการกระท าความผิดครั้งนี้ น่าจะเกิดจากการที่ผู้ต้องหาเกิดความเครียดเนื่องจาก ประสบภัยธรรมชาติน ้าท่วมเป็นระยะเวลานาน รวมทั้งเกรงว่าการที่ผู้เสียหายขับรถผ่านไปมาหน้าบ้านผู้ต้องหา โดยไม่ใช้ ความระมัดระวังจะท าให้เกิดคลื่นน ้ากระแทกกระสอบทรายพังอันจะท าให้น ้าไหลบ่าเข้าท่วมบ้านผู้ต้องหาได้รับความเสียหายได้ เมื่อค านึงถึงว่าการที่ผู้ต้องหาได้กระท าความผิดดังกล่าว ซึ่งเป็ นความผิดเล็กน้อยและกระท าไปด้วยความเครียดอันเนื่องมาจาก ประสบภัยธรรมชาติน ้าท่วม และผู้ต้องหาได้รับความเดือดร้อนอันเนื่องมาจากภัยธรรมชาติดังกล่าวมาเป็ นระยะเวลานาน และ ยังมาถูกด าเนินคดีนี้ ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 ท าให้ได้รับความเดือดร้อน และความทุกข์ ที่ถูกด าเนินคดีมาเพียงพอแล้ว ถ้าจะด าเนินคดีกับผู้ต้องหาต่อไปย่อมจะเป็ นการซ ้าเติมผู้ต้องหาให้ได้รับความเดือดร้อนยิ่งขึ้ นอีก ซึ่งส านักงานอัยการสูงสุดได้เล็งเห็นว่าเหตุการณ์ภัยธรรมชาติน ้าท่วมท าให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน และเกิดความเครียด อาจจะกระท าความผิดทางอาญาขึ้ นโดยสาเหตุสืบเนื่องจากเหตุการณ์ดังกล่าว จึงได้มีนโยบายที่จะไม่ให้ประชาชนได้รับ ความเดือดร้อนเพิ่มขึ้ น โดยให้พิจารณาคดีที่เกิดขึ้ นจากสาเหตุดังกล่าวด้วยความสนใจเป็ นพิเศษตามหนังสือเวียน ที่ อส (สอก.) 0001/ว 204 ลงวันที่ 1 พฤศจิกายน 2538 การด าเนินคดีจึงไม่เป็ นประโยชน์แก่สาธารณชน ประกอบกับ พนักงานสอบสวนมิได้แจ้งข้อหาดังกล่าวแก่ผู้ต้องหา จึงให้งดการแจ้งข้อหาฐานใช้ก าลังท าร้ายร่างกายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็ นเหตุ ให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ และฐานท าให้ผู้อื่นเกิดความกลัวหรือความตกใจโดยการขู่เข็ญ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 และมาตรา 392 แก่ผู้ต้องหา(ส านักงานอัยการสูงสุด “หนังสือที่ อส (สฝอส.1) 0015/3988 เรื่อง ส านวนงานคดีอาญา ซึ่งเกิดโดยเหตุสืบเนื่องจากภัยธรรมชาติน ้าท่วม” .19 มีนาคม 2540.) ที่มำ : - “แนวทางการสั่งคดีอาญาที่จะไม่เป็ นประโยชน์แก่สาธารณชน หรือจะมีผลกระทบต่อความปลอดภัยหรือความมั่นคงของชาติ หรือต่อผลประโยชน์อันส าคัญของประเทศ เพื่อการพัฒนากระบวนการยุติธรรมไทยชั้นพนักงานอัยการ”, ดร. อดิศร ไชยคุปต์, หน้า 39-41. นำยวิรัช เนติธรรมำภิมุข อัยกำรอำวุโส ส ำนักงำนอัยกำรพิเศษฝ่ ำยบริหำรจัดกำรควำมรู้ KM : Perfect Public Prosecutor (KM : 3P)
kms.ago.go.th Knowledge Management System : KMS ส ำนักงำนวิชำกำร ศูนย์กฎหมำยและเอกสำรวิชำกำร คลังควำมรู้ แหล่งรวมควำมรู้เพื่อกำรท ำงำน ศูนย์รำชกำรเฉลิมพระเกียรติฯ อำคำรรำชบุรีดิเรกฤทธิ์ช้นั3 เลขที่ 120 หมู่ 3 ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหำนคร 10210 โทร 0 2142 1499 โทรสำร 0 2143 9475 เรื่องที่ 96/2566 ---------------------------- แนวทำงกำรสั ่งคดีอำญำที่จะไม่เป็ นประโยชน์แก่สำธำรณชน หรือจะมีผลกระทบต่อควำมปลอดภัย หรือควำมมั ่นคงของชำติหรือต่อผลประโยชน์อันส ำคัญของประเทศ เพื่อกำรพฒันำกระบวนกำรยุตธิรรมไทยช้นัพนกังำนอยักำร (ตอนที่ 2) หลังจากที่ระเบียบกรมอัยการว่าด้วยการด าเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ พ.ศ. 2528 ใช้บังคับแล้ว การใช้ดุลพินิจในการสั่งคดีอาญาเริ่มมีการใช้กันอย่างกว้างขวางมากขึ้ นแต่เมื่อเทียบกับสถิติคดีทั้งหมด ทั่วประเทศที่ส่งมาให้พนักงานอัยการพิจารณานับว่าน้อยมาก อันแสดงว่าพนักงานอัยการได้ใช้ดุลพินิจ อย่างจ ากัดมาโดยตลอด การใช้ดุลพินิจสั่งไม่ฟ้ องคดีอาญาที่ไม่เป็ นประโยชน์แก่สาธารณชน หรือจะมีผลกระทบต่อ ความปลอดภัยหรือความมั่นคงของชาติหรือต่อผลประโยชน์อันส าคัญของประเทศ ทั้ง ๆ ที่มีพยานหลักฐาน เชื่อว่าผู้ต้องหาได้กระท าความผิดตามข้อกล่าวหาจริง คณะผู้วิจัยได้รวบรวมในคดีความผิดฐานต่าง ๆ ที่อัยการสูงสุดใช้ดุลพินิจสั่งไม่ฟ้ อง เพื่อให้เห็นถึงแนวทางการใช้ดุลพินิจดังกล่าวว่าพนักงานอัยการนั้น ให้เหตุผลไว้อย่างไรบ้าง ดังนี้ ตัวอย่างที่ 2 อัยการสูงสุดพิจารณาแล้ว เห็นว่าขณะเกิดเหตุผู้เสียหายอายุ 14 ปี 4 เดือนเศษ การที่ผู้ต้องหาร่วม เพศกระท าช าเราผู้เสียหาย แม้ผู้เสียหายจะยินยอม ก็ยังเป็ นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคแรก การกระท าของผู้ต้องหาเป็ นความผิดตามข้อกล่าวหา แต่มีประเด็นต้องพิจารณาว่า การด าเนินคดี กับผู้ต้องหาจะเป็ นประโยชน์แก่สาธารณชนหรือไม่ เนื่องจากหลังเกิดเหตุผู้เสียหายกับผู้ต้องหาได้อยู่กิน ฉันสามีภรรยากันจนมีบุตรหญิง 1 คน อายุ 1 ปี 7 เดือน แต่ยังมิได้จดทะเบียนสมรสกัน เห็นว่าผู้เสียหาย และผู้ต้องหารักใคร่ชอบพอกันฉันชู้สาวมาก่อนเกิดเหตุ เหตุที่ยังมิได้จดทะเบียนสมรสน่าจะมีสาเหตุจาก การที่ผู้เสียหายอายุยังไม่บรรลุนิติภาวะ และมารดาไม่ยินยอม เพราะขณะนี้ ผู้เสียหายอายุเพียง 18 ปี จะท าการสมรสได้ ต้องได้รับความยินยอมจากบิดามารดาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1454 เมื่อค านึงถึงว่าผู้ต้องหาและผู้เสียหายได้อยู่กินฉันสามีภรรยากันจนมีบุตรด้วยกันและขณะนี้ ยังอยู่กินฉันสามีภรรยากันอยู่ และประกอบกับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคท้าย บัญญัติว่า “ถ้าศาลอนุญาตให้ชายและเด็กหญิงสมรสกัน ผู้กระท าผิดไม่ต้องรับโทษ” จึงเห็นว่า แม้จะฟ้ องผู้ต้องหา KM : Perfect Public Prosecutor (KM : 3P) ส ำนักงำนอัยกำรพิเศษฝ่ ำยบริหำรจัดกำรควำมรู้ ขอเสนอเทคนิค ข้อสังเกตกำรว่ำต่ำง แก้ต่ำง คดีอำญำ คดีแพ่ง เป็ นเกร็ดควำมรู้ เพื่อทบทวนและเพิ่มศักยภำพ ในกำรปฏิบัติหน้ำที่ของพนักงำนอัยกำร ประจ ำวันที่ 20 เมษำยน 2566
องค์ควำมรู้ที่เผยแพร่ใน Line KM : 3P ท้งัหมด อัยกำรพิเศษฝ่ ำยบริหำรจัดกำรควำมรู้ KMS : คลังควำมรู้ คลังกฎหมำยและเอกสำร ควำมรู้ ตอบข้อหำรือ คลังสมอง กำรเข้ำใช้งำนระบบสำรสนเทศกำรจัดกำรควำมรู้ (KMS) : kms.ago.go.th kms.ago.go.th Knowledge Management System : KMS ส ำนักงำนวิชำกำร ศูนย์กฎหมำยและเอกสำรวิชำกำร คลังควำมรู้ แหล่งรวมควำมรู้เพื่อกำรท ำงำน ศูนยร์ำชกำรเฉลิมพระเกียรตฯิอำคำรรำชบุรีดิเรกฤทธิ์ช้นั3 เลขที่ 120 หมู่ 3 ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหำนคร 10210 โทร 0 2142 1499 โทรสำร 0 2143 9475 ต่อศาล ถ้าศาลอนุญาตให้ผู้ต้องหาและผู้เสียหายสมรสกัน ผู้ต้องหาก็ไม่ต้องรับโทษ การฟ้ องคดีไปจะท าให้ ครอบครัวของผู้เสียหายเดือดร้อนและจะเกิดปมด้อยกับบุตรของผู้เสียหายด้วย จึงไม่เป็ นประโยชน์ แก่สาธารณชน จึงสั่งไม่ฟ้ องผู้ต้องหาฐานกระท าช าเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกิน 15 ปีซึ่งมิใช่ภรรยาของตน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 ตามระเบียบกรมอัยการว่าด้วยการด าเนินคดีอาญาของ พนักงานอัยการ พ.ศ. 2528 ข้อ 51 ที่มำ : - “แนวทางการสั่งคดีอาญาที่จะไม่เป็ นประโยชน์แก่สาธารณชน หรือจะมีผลกระทบต่อความปลอดภัยหรือ ความมั่นคงของชาติหรือต่อผลประโยชน์อันส าคัญของประเทศ เพื่อการพัฒนากระบวนการยุติธรรมไทย ชั้นพนักงานอัยการ”, ดร. อดิศร ไชยคุปต์, หน้า 39, 41-42. นำยวิรัช เนติธรรมำภิมุข อัยกำรอำวุโส ส ำนักงำนอัยกำรพิเศษฝ่ ำยบริหำรจัดกำรควำมรู้ KM : Perfect Public Prosecutor (KM : 3P)
kms.ago.go.th Knowledge Management System : KMS ส ำนักงำนวิชำกำร ศูนย์กฎหมำยและเอกสำรวิชำกำร คลังควำมรู้ แหล่งรวมควำมรู้เพื่อกำรท ำงำน ศูนย์รำชกำรเฉลิมพระเกียรติฯ อำคำรรำชบุรีดิเรกฤทธิ์ช้นั3 เลขที่ 120 หมู่ 3 ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหำนคร 10210 โทร 0 2142 1499 โทรสำร 0 2143 9475 เรื่องที่ 97/2566 ---------------------------- แนวทำงกำรสั ่งคดีอำญำที่จะไม่เป็ นประโยชน์แก่สำธำรณชน หรือจะมีผลกระทบต่อควำมปลอดภัย หรือควำมมั ่นคงของชำติหรือต่อผลประโยชน์อันส ำคัญของประเทศ เพื่อกำรพฒันำกระบวนกำรยุตธิรรมไทยช้นัพนกังำนอยักำร (ตอนที่ 3) หลังจากที่ระเบียบกรมอัยการว่าด้วยการด าเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ พ.ศ. 2528 ใช้บังคับแล้ว การใช้ดุลพินิจในการสั่งคดีอาญาเริ่มมีการใช้กันอย่างกว้างขวางมากขึ้ นแต่เมื่อเทียบกับสถิติคดีทั้งหมด ทั่วประเทศที่ส่งมาให้พนักงานอัยการพิจารณานับว่าน้อยมาก อันแสดงว่าพนักงานอัยการได้ใช้ดุลพินิจ อย่างจ ากัดมาโดยตลอด การใช้ดุลพินิจสั่งไม่ฟ้ องคดีอาญาที่ไม่เป็ นประโยชน์แก่สาธารณชน หรือจะมีผลกระทบต่อ ความปลอดภัยหรือความมั่นคงของชาติหรือต่อผลประโยชน์อันส าคัญของประเทศ ทั้ง ๆ ที่มีพยานหลักฐาน เชื่อว่าผู้ต้องหาได้กระท าความผิดตามข้อกล่าวหาจริง คณะผู้วิจัยได้รวบรวมในคดีความผิดฐานต่าง ๆ ที่อัยการสูงสุดใช้ดุลพินิจสั่งไม่ฟ้ อง เพื่อให้เห็นถึงแนวทางการใช้ดุลพินิจดังกล่าวว่าพนักงานอัยการนั้น ให้เหตุผลไว้อย่างไรบ้าง ดังนี้ ตัวอย่างที่ 3 อัยการสูงสุดพิจารณาแล้ว เห็นว่าการที่ผู้ต้องหาได้ชักชวนผู้เสียหายให้ออกจากบ้านผู้ปกครองไปอยู่ กับผู้ต้องหา แม้จะฟังว่าเพื่อไปอยู่กินฉันสามีภรรยาก็ตาม แต่เมื่อไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ปกครองของผู้เสียหาย การกระท าดังกล่าวจึงเป็ นการกระท าโดยปราศจากเหตุอันสมควร เพราะเจตนารมณ์ของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 นั้น มุ่งประสงค์ที่จะคุ้มครองสิทธิในการใช้อ านาจปกครองผู้เยาว์ของบิดามารดา ผู้ปกครอง ผู้ดูแล มิให้ผู้ใดมาละเมิด การกระท าของผู้ต้องหาจึงเป็ นความผิดฐานพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปีไปเสียจาก บิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 นอกจากนั้นการที่ผู้ต้องหาได้ ร่วมประเวณีกับผู้เสียหายอายุไม่เกิน 14 ปีซึ่งมิใช่ภรรยาของตน จึงเป็ นการกระท าความผิดฐานกระท าช าเรา เด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี ซึ่งมิใช่ภรรยาของตนโดยเด็กหญิงนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ตามประมวล กฎหมายอาญา มาตรา 277 ด้วย แต่เนื่องจากหลังเกิดเหตุคดีนี้ ผู้ต้องหาและผู้เสียหายได้อยู่กินฉันสามีภรรยาจนเกิดบุตรด้วยกัน 1 คน คือ เด็กชาย ด. ปัจจุบันอายุ 1 ปีแต่ขณะนี้ ยังมิได้จดทะเบียนสมรสกัน เพราะยังเป็ นผู้เยาว์ด้วยกันทั้งคู่ คดีจึงมีประเด็นที่จะต้องพิจารณาว่า การสั่งฟ้ องผู้ต้องหาจะเป็ นประโยชน์แก่สาธารณชนหรือไม่ เห็นว่า KM : Perfect Public Prosecutor (KM : 3P) ส ำนักงำนอัยกำรพิเศษฝ่ ำยบริหำรจัดกำรควำมรู้ ขอเสนอเทคนิค ข้อสังเกตกำรว่ำต่ำง แก้ต่ำง คดีอำญำ คดีแพ่ง เป็ นเกร็ดควำมรู้ เพื่อทบทวนและเพิ่มศักยภำพ ในกำรปฏิบัติหน้ำที่ของพนักงำนอัยกำร ประจ ำวันที่ 21 เมษำยน 2566
องค์ควำมรู้ที่เผยแพร่ใน Line KM : 3P ท้งัหมด อัยกำรพิเศษฝ่ ำยบริหำรจัดกำรควำมรู้ KMS : คลังควำมรู้ คลังกฎหมำยและเอกสำร ควำมรู้ ตอบข้อหำรือ คลังสมอง กำรเข้ำใช้งำนระบบสำรสนเทศกำรจัดกำรควำมรู้ (KMS) : kms.ago.go.th kms.ago.go.th Knowledge Management System : KMS ส ำนักงำนวิชำกำร ศูนย์กฎหมำยและเอกสำรวิชำกำร คลังควำมรู้ แหล่งรวมควำมรู้เพื่อกำรท ำงำน ศูนยร์ำชกำรเฉลิมพระเกียรตฯิอำคำรรำชบุรีดิเรกฤทธิ์ช้นั3 เลขที่ 120 หมู่ 3 ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหำนคร 10210 โทร 0 2142 1499 โทรสำร 0 2143 9475 ในกรณีผู้ต้องหาและผู้เสียหายยังมิได้จดทะเบียนสมรสกันนั้นน่าจะมีสาเหตุมาจากการที่ผู้เสียหายยังเป็ น ผู้เยาว์อยู่ และไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองของผู้เสียหายให้ท าการสมรส โดยได้ความจาก นาย บ. บิดาผู้ต้องหาซึ่งให้การไว้ว่าหลังเกิดเหตุได้ไปเจรจากับ นาย ช. ผู้ปกครองผู้เสียหาย เพื่อให้ผู้เสียหายแต่งงาน กับผู้ต้องหา แต่ นาย ช. ได้เรียกเงินจ านวน 100,000 บาท จึงจะยินยอมให้ผู้เสียหายแต่งงานและ จดทะเบียนสมรสได้แต่ฝ่ายผู้ต้องหาไม่มีเงินจึงไม่อาจตกลงกันได้ในการกระท าผิดฐานกระท าช าเราเด็กหญิง อายุไม่เกิน 15 ปี โดยหญิงยินยอม นั้น ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสี่ ได้บัญญัติไว้ว่า ผู้กระท าผิดไม่ต้องรับโทษถ้าศาลอนุญาตให้ชายและเด็กหญิงสมรสกัน จึงเห็นว่าขณะเกิดเหตุผู้ต้องหา อายุเพียง 16 ปี ยังขาดวิจารณญาณถึงการใดควรไม่ควร จึงได้กระท าไปตามอารมณ์ความรักใคร่ที่มีต่อ ผู้เสียหาย โดยได้พาผู้เสียหายหนีไปอยู่กินฉันสามีภรรยาจนเกิดบุตร และการที่ได้ร่วมประเวณีผู้เสียหาย ก็เกิดจากความสมัครใจยินยอมของผู้เสียหาย หาได้เกิดจากการหลอกลวงบังคับข่มขืนของผู้ต้องหาไม่ เมื่อได้ผู้เสียหายเป็ นภรรยาแล้วก็มิได้ทิ้ งขว้าง กับได้ประกอบสัมมาชีพเพื่อหารายได้มาเลี้ ยงครอบครัว และด าเนินชีวิตอยู่ร่วมกันกับผู้เสียหายเป็ นอย่างดีตลอดมา ทั้งพยายามจะจดทะเบียนสมรสกับผู้เสียหาย แต่ไม่อาจท าได้เพราะบิดาของผู้เสียหายเรียกร้องเงินจ านวนสูงเกินส าหรับการยินยอมให้ท าการสมรส ดังนั้นการที่จะสั่งฟ้ องและยื่นฟ้ องผู้ต้องหานั้น จะเห็นว่าไม่เป็ นประโยชน์ต่อผู้ใด แต่กลับจะสร้าง ความเดือดร้อนให้กับผู้เสียหายและบุตร การฟ้ องคดีนี้ จะไม่เป็ นประโยชน์แก่สาธารณชน จึงสั่งไม่ฟ้ อง ผู้ต้องหา ที่มำ : - “แนวทางการสั่งคดีอาญาที่จะไม่เป็ นประโยชน์แก่สาธารณชน หรือจะมีผลกระทบต่อความปลอดภัยหรือ ความมั่นคงของชาติหรือต่อผลประโยชน์อันส าคัญของประเทศ เพื่อการพัฒนากระบวนการยุติธรรมไทย ชั้นพนักงานอัยการ”, ดร. อดิศร ไชยคุปต์, หน้า 39, 42-43. นำยวิรัช เนติธรรมำภิมุข อัยกำรอำวุโส ส ำนักงำนอัยกำรพิเศษฝ่ ำยบริหำรจัดกำรควำมรู้ KM : Perfect Public Prosecutor (KM : 3P)
kms.ago.go.th Knowledge Management System : KMS ส ำนักงำนวิชำกำร ศูนย์กฎหมำยและเอกสำรวิชำกำร คลังควำมรู้ แหล่งรวมควำมรู้เพื่อกำรท ำงำน ศูนย์รำชกำรเฉลิมพระเกียรติฯ อำคำรรำชบุรีดิเรกฤทธิ์ช้นั3 เลขที่ 120 หมู่ 3 ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหำนคร 10210 โทร 0 2142 1499 โทรสำร 0 2143 9475 เรื่องที่ 98/2566 องค์ควำมรู้ที่เผยแพร่ใน Line KM : 3P ท้งัหมด อัยกำรพิเศษฝ่ ำยบริหำรจัดกำรควำมรู้ KMS : คลังควำมรู้ คลังกฎหมำยและเอกสำร ควำมรู้ ตอบข้อหำรือ คลังสมอง กำรเข้ำใช้งำนระบบสำรสนเทศกำรจัดกำรควำมรู้ (KMS) : kms.ago.go.th ---------------------------- แนวทำงกำรสั ่งคดีอำญำที่จะไม่เป็ นประโยชน์แก่สำธำรณชน หรือจะมีผลกระทบต่อควำมปลอดภัย หรือควำมมั ่นคงของชำติหรือต่อผลประโยชน์อันส ำคัญของประเทศ เพื่อกำรพฒันำกระบวนกำรยตุิธรรมไทยช้นัพนกังำนอยักำร (ตอนที่ 4) หลังจากที่ระเบียบกรมอัยการว่าด้วยการด าเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ พ.ศ. 2528 ใช้บังคับแล้ว การใช้ดุลพินิจ ในการสั่งคดีอาญาเริ่มมีการใช้กันอย่างกว้างขวางมากขึ้นแต่เมื่อเทียบกับสถิติคดีทั้งหมดทั่วประเทศที่ส่งมาให้พนักงานอัยการ พิจารณานับว่าน้อยมาก อันแสดงว่าพนักงานอัยการได้ใช้ดุลพินิจอย่างจ ากัดมาโดยตลอด การใช้ดุลพินิจสั่งไม่ฟ้ องคดีอาญาที่ไม่เป็ นประโยชน์แก่สาธารณชน หรือจะมีผลกระทบต่อความปลอดภัยหรือ ความมั่นคงของชาติหรือต่อผลประโยชน์อันส าคัญของประเทศ ทั้ง ๆ ที่มีพยานหลักฐานเชื่อว่าผู้ต้องหาได้กระท าความผิด ตามข้อกล่าวหาจริง คณะผู้วิจัยได้รวบรวมในคดีความผิดฐานต่าง ๆ ที่อัยการสูงสุดใช้ดุลพินิจสั่งไม่ฟ้ อง เพื่อให้เห็นถึง แนวทางการใช้ดุลพินิจดังกล่าวว่าพนักงานอัยการนั้นให้เหตุผลไว้อย่างไรบ้าง ดังนี้ ตัวอย่างที่ 4 อัยการสูงสุดพิจารณาแล้ว เห็นว่า คดีมีนาย ว. ผู้เสียหาย เป็ นประจักษ์พยานให้การยืนยันว่าเห็นผู้ต้องหายืนอยู่ข้าง รถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายโดยในมือผู้ต้องหามีน๊อตแกนโช๊คหน้ารถของผู้เสียหายและกุญแจเลื่อน และผู้ต้องหาให้การรับ สารภาพว่าได้ใช้กุญแจเลื่อนดังกล่าวลักถอดเอาน็อตแกนโช๊คจากรถของผู้เสียหาย พยานหลักฐานเพียงพอแก่การพิสูจน์ ความผิดของผู้ต้องหา แต่ปรากฏว่าผู้ต้องหามีอายุ 16 ปี เศษ ยังมีสภาพเป็ นเด็กก าลังเรียนหนังสือ และผู้ใหญ่บ้านท้องที่ ที่ผู้ต้องหาอยู่อาศัยรับรองว่าผู้ต้องหามีความประพฤติเรียบร้อย ไม่เคยกระท าผิดมาก่อน ทั้งทรัพย์ของกลางที่ลักก็มีราคา เล็กน้อยเพียง 200 บาท และผู้เสียหายไม่ติดใจเอาความ ประกอบกับในระหว่างสอบสวนผู้ต้องหาถูกควบคุมตัวอยู่ 4 วัน นับว่าได้รับโทษเพียงพอให้เกิดการเข็ดหลาบแล้ว เห็นว่าการฟ้ องคดีไม่เป็ นประโยชน์แก่สาธารณชน สั่งไม่ฟ้ องผู้ต้องหา ฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร ที่มำ : - “แนวทางการสั่งคดีอาญาที่จะไม่เป็ นประโยชน์แก่สาธารณชน หรือจะมีผลกระทบต่อความปลอดภัยหรือความมั่นคงของชาติ หรือต่อผลประโยชน์อันส าคัญของประเทศ เพื่อการพัฒนากระบวนการยุติธรรมไทยชั้นพนักงานอัยการ”, ดร. อดิศร ไชยคุปต์, หน้า 39, 43. นำยวิรัช เนติธรรมำภิมุข อัยกำรอำวุโส ส ำนักงำนอัยกำรพิเศษฝ่ ำยบริหำรจัดกำรควำมรู้ KM : Perfect Public Prosecutor (KM : 3P) ส ำนักงำนอัยกำรพิเศษฝ่ ำยบริหำรจัดกำรควำมรู้ ขอเสนอเทคนิค ข้อสังเกตกำรว่ำต่ำง แก้ต่ำง คดีอำญำ คดีแพ่ง เป็ นเกร็ดควำมรู้ เพื่อทบทวนและเพิ่มศักยภำพ ในกำรปฏิบัติหน้ำที่ของพนักงำนอัยกำร ประจ ำวันที่ 24 เมษำยน 2566
kms.ago.go.th Knowledge Management System : KMS ส ำนักงำนวิชำกำร ศูนย์กฎหมำยและเอกสำรวิชำกำร คลังควำมรู้ แหล่งรวมควำมรู้เพื่อกำรท ำงำน ศูนย์รำชกำรเฉลิมพระเกียรติฯ อำคำรรำชบุรีดิเรกฤทธิ์ช้นั3 เลขที่ 120 หมู่ 3 ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหำนคร 10210 โทร 0 2142 1499 โทรสำร 0 2143 9475 เรื่องที่ 99/2566 ---------------------------- แนวทำงกำรสั ่งคดีอำญำที่จะไม่เป็ นประโยชน์แก่สำธำรณชน หรือจะมีผลกระทบต่อควำมปลอดภัย หรือควำมมั ่นคงของชำติหรือต่อผลประโยชน์อันส ำคัญของประเทศ เพื่อกำรพฒันำกระบวนกำรยุตธิรรมไทยช้นัพนกังำนอยักำร (ตอนที่ 5) หลังจากที่ระเบียบกรมอัยการว่าด้วยการด าเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ พ.ศ. 2528 ใช้บังคับแล้ว การใช้ดุลพินิจในการสั่งคดีอาญาเริ่มมีการใช้กันอย่างกว้างขวางมากขึ้ นแต่เมื่อเทียบกับสถิติคดีทั้งหมด ทั่วประเทศที่ส่งมาให้พนักงานอัยการพิจารณานับว่าน้อยมาก อันแสดงว่าพนักงานอัยการได้ใช้ดุลพินิจ อย่างจ ากัดมาโดยตลอด การใช้ดุลพินิจสั่งไม่ฟ้ องคดีอาญาที่ไม่เป็ นประโยชน์แก่สาธารณชน หรือจะมีผลกระทบต่อ ความปลอดภัยหรือความมั่นคงของชาติหรือต่อผลประโยชน์อันส าคัญของประเทศ ทั้ง ๆ ที่มีพยานหลักฐาน เชื่อว่าผู้ต้องหาได้กระท าความผิดตามข้อกล่าวหาจริง คณะผู้วิจัยได้รวบรวมในคดีความผิดฐานต่าง ๆ ที่อัยการสูงสุดใช้ดุลพินิจสั่งไม่ฟ้ อง เพื่อให้เห็นถึงแนวทางการใช้ดุลพินิจดังกล่าวว่าพนักงานอัยการนั้น ให้เหตุผลไว้อย่างไรบ้าง ดังนี้ ตัวอย่างที่ 5 ข้อเท็จจริงได้ความว่า พื้ นที่ที่ซึ่งผู้ต้องหาเข้าไปยึดถือครอบครองนั้นอยู่ในเขตพื้ นที่ซึ่งได้ขึ้ นทะเบียน ที่ดินสาธารณประโยชน์โดยใช้เป็ นทุ่งเลี้ ยงสัตว์สาธารณประโยชน์ด้วย และในขณะที่ผู้ต้องหาและราษฎรอื่น ขอใช้สิทธิในการปฏิรูปที่ดิน สุขาภิบาลห้วยข้าวก ่าได้ร้องคัดค้านว่าพื้ นที่ดังกล่าวเป็ นที่สาธารณประโยชน์ ที่พลเมืองใช้ร่วมกันไม่อาจปฏิรูปที่ดินให้ราษฎรได้โดยแสดงหลักฐานว่าพื้ นที่ดังกล่าวเป็ นที่สาธารณประโยชน์ พลเมืองใช้ร่วมกัน ข้อคัดค้านดังกล่าวเห็นว่า ตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2532 มาตรา 26 รัฐอาจจัดที่ดินแปลงอื่นให้พลเมืองใช้ร่วมกันแทนได้ เมื่อที่ดินดังกล่าวอยู่ในเขต ปฏิรูปที่ดิน ส านักงานคณะกรรมการการปฏิรูปที่ดินย่อมน าที่ดินนั้นมาปฏิรูปได้ประกอบกับนาย ส. ขณะด ารงต าแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ไปพบปะราษฎรที่จังหวัดพะเยา ได้แจ้งหลักเกณฑ์และนโยบายให้ชะลอการจับกุมราษฎรที่ได้เข้าไปอยู่อาศัยครอบครองที่ดินที่จะด าเนินการ ปฏิรูปมาก่อนดังกล่าวข้างต้น และผู้ต้องหาทั้ง 16 คน ก็อยู่ในข่ายที่จะได้รับที่ดินจากการปฏิรูป เหตุที่ผู้ต้องหาทั้ง 16 คน ถูกจับกุมเพราะที่ดินที่เข้าไปยึดถือครอบครองนั้น สภ.อ.จุน ก าลังขออนุญาต จากกรมป่ าไม้ใช้ท าสนามยิงปื นและสนามบิน และผู้ต้องหาทั้ง 16 คน กับพวกได้ร้องเรียนต่อจังหวัด KM : Perfect Public Prosecutor (KM : 3P) ส ำนักงำนอัยกำรพิเศษฝ่ ำยบริหำรจัดกำรควำมรู้ ขอเสนอเทคนิค ข้อสังเกตกำรว่ำต่ำง แก้ต่ำง คดีอำญำ คดีแพ่ง เป็ นเกร็ดควำมรู้ เพื่อทบทวนและเพิ่มศักยภำพ ในกำรปฏิบัติหน้ำที่ของพนักงำนอัยกำร ประจ ำวันที่ 25 เมษำยน 2566
องค์ควำมรู้ที่เผยแพร่ใน Line KM : 3P ท้งัหมด อัยกำรพิเศษฝ่ ำยบริหำรจัดกำรควำมรู้ KMS : คลังควำมรู้ คลังกฎหมำยและเอกสำร ควำมรู้ ตอบข้อหำรือ คลังสมอง กำรเข้ำใช้งำนระบบสำรสนเทศกำรจัดกำรควำมรู้ (KMS) : kms.ago.go.th kms.ago.go.th Knowledge Management System : KMS ส ำนักงำนวิชำกำร ศูนย์กฎหมำยและเอกสำรวิชำกำร คลังควำมรู้ แหล่งรวมควำมรู้เพื่อกำรท ำงำน ศูนยร์ำชกำรเฉลิมพระเกียรตฯิอำคำรรำชบุรีดิเรกฤทธิ์ช้นั3 เลขที่ 120 หมู่ 3 ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหำนคร 10210 โทร 0 2142 1499 โทรสำร 0 2143 9475 จึงถูกจับกุม ทั้งที่ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้แจ้งต่อประชาชนแล้วว่าจะชะลอ การจับกุม แม้จะฟังได้ว่าการกระท าของผู้ต้องหาทั้ง 16 คน เป็ นความผิด แต่การฟ้ องผู้ต้องหาทั้ง 16 คน ย่อมไม่เป็ นประโยชน์แก่สาธารณชน ทั้งอาจก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยหรือผลกระทบต่อความปลอดภัย และความมั่นคงแห่งชาติขึ้ นได้เพราะผู้บุกรุกมีเป็ นจ านวนมากและเข้าใจว่าตนได้ท ากินในที่ดินดังกล่าวมา เป็ นเวลานานแล้ว และที่ดินบริเวณดังกล่าวต้องน ามาปฏิรูปให้แก่ประชาชนอยู่แล้ว แต่ผู้ที่เข้าท ากินมาก่อน ในที่ดินนั้นกลับต้องถูกด าเนินคดี ด้วยเหตุดังกล่าวอัยการสูงสุดจึงสั่งไม่ฟ้ องผู้ต้องหา ฐานเข้าไปยึดถือ ครอบครองที่ดินของรัฐอันเป็ นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกัน ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9 มาตรา 108 ทวิ วรรคหนึ่ง และวรรคสอง ที่แก้ไขแล้ว ที่มำ : - “แนวทางการสั่งคดีอาญาที่จะไม่เป็ นประโยชน์แก่สาธารณชน หรือจะมีผลกระทบต่อความปลอดภัยหรือความมั่นคงของชาติ หรือต่อผลประโยชน์อันส าคัญของประเทศ เพื่อการพัฒนากระบวนการยุติธรรมไทยชั้นพนักงานอัยการ”, ดร. อดิศร ไชยคุปต์, หน้า 39, 43-44. นำยวิรัช เนติธรรมำภิมุข อัยกำรอำวุโส ส ำนักงำนอัยกำรพิเศษฝ่ ำยบริหำรจัดกำรควำมรู้ KM : Perfect Public Prosecutor (KM : 3P)
kms.ago.go.th Knowledge Management System : KMS ส ำนักงำนวิชำกำร ศูนย์กฎหมำยและเอกสำรวิชำกำร คลังควำมรู้ แหล่งรวมควำมรู้เพื่อกำรท ำงำน ศูนย์รำชกำรเฉลิมพระเกียรติฯ อำคำรรำชบุรีดิเรกฤทธิ์ช้นั3 เลขที่ 120 หมู่ 3 ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหำนคร 10210 โทร 0 2142 1499 โทรสำร 0 2143 9475 เรื่องที่ 100/2566 /2563 ---------------------------- วิธีปฏิบัติกำรขออนุญำตฎีกำในควำมผิดเกี่ยวกับยำเสพติด ข้อเท็จจริงตามส านวนคดี ส.1 ของส านักงานอัยการจังหวัด ฟ้ องจ าเลยในความผิดฐาน กระท าให้เกิดเพลิงไหม้ โดยประมาทเป็ นเหตุให้ทรัพย์สินผู้อื่นเสียหาย และสูดดมสารระเหยเพื่อบ าบัดความต้องการของร่างกายหรือจิตใจ คดีนี้ โจทก์ฟ้ อง เมื่อวันที่..................... เวลากลางวัน จ าเลยกระท าความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกันกล่าวคือ จ าเลยกระท าด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้น จักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ กล่าวคือ จ าเลยได้สูบบุหรี่อยู่บริเวณที่ดินของผู้เสียหาย ซึ่งปลูกอ้อย จ านวน 7 ไร่ ในขณะนั้นอ้อยทั้งหมดอยู่ในระหว่างที่จะ เก็บเกี่ยวผลผลิตได้ และต้นอ้อยบางส่วนมีสภาพแห้งติดไฟได้ง่าย จ าเลยสูบบุหรี่จนเป็ นที่พอใจแล้วและจะทิ้ งบุหรี่ที่มีไฟติดอยู่ จ าเลยควรใช้ความระมัดระวังในการที่จะทิ้งบุหรี่ภายหลังจากที่สูบเสร็จแล้ว โดยจ าเลยจะต้องดับไฟที่ติดบุหรี่ก่อน แล้วจึงทิ้ งบุหรี่ในบริเวณที่ไม่มีเชื้ อเพลิงที่จะติดไฟได้ ทั้งนี้ เพื่อป้ องกันมิให้มีไฟที่ติดบุหรี่ที่จ าเลยสูบและทิ้ งนั้นเกิดเป็ นเชื้ อไฟ ลุกลามไหม้วัสดุที่สามารถติดไฟได้ง่าย ซึ่งจ าเลยอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ ภายหลังจากที่ จ าเลยสูบบุหรี่ดังกล่าวเสร็จแล้ว ในขณะที่มีไฟติดอยู่กับบุหรี่ที่จ าเลยสูบนั้น จ าเลยได้ทิ้ งบุหรี่ไปในที่ดินของผู้เสียหาย โดยมิได้ดับเชื้ อเพลิงไฟที่บุหรี่ให้ดับสนิทก่อน อันเป็ นการกระท า โดยประมาทท าให้บุหรี่ซึ่งมีไฟติดอยู่เกิดเพลิงไหม้ต้นอ้อย ที่มีสภาพแห้งติดไฟได้ง่ายและลุกลามไหม้ต้นอ้อยผู้เสียหายทั้งหมดรวม 7 ไร่ คิดค่าเสียหายเป็ นเงิน 150,000 บาท อันเป็ นการกระท าให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาทเป็ นเหตุให้ทรัพย์สินของผู้เสียหายได้รับความเสียหาย และจ าเลยบ าบัด ความต้องการของร่างกายและจิตใจโดยสูดดมทินเนอร์ ซึ่งเป็ นผลิตภัณฑ์สารเคมี อันเป็ นการฝ่ าฝืนต่อกฎหมาย เหตุเกิดที่..................... เจ้าพนักงานจับจ าเลยได้พร้อมขวดทินเนอร์1 ขวด ที่จ าเลยใช้สูดดม เป็ นของกลาง ก่อนคดีนี้ เมื่อวันที่..................... จ าเลยต้องค าพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจ าคุก 1 เดือน ฐานท าร้ายร่างกายผู้อื่น จ าเลยพ้นโทษแล้วกลับมา กระท าความผิดในคดีนี้ ภายในเวลาห้าปี นับแต่วันพ้นโทษ ขอให้ลงโทษตามพระราชก าหนดป้ องกันการใช้สารระเหย พ.ศ.2533 มาตรา 3, 4, 17, 24, 31 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 91, 92, 225 ริบของกลาง และเพิ่มโทษจ าเลย หนึ่งในสามตามกฎหมาย ศาลชั้นต้น พิพากษาว่า จ าเลยมีความผิดตามพระราชก าหนดป้ องกันการใช้สารระเหย พ.ศ. 2533 มาตรา 17, 24 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 225 การกระท าของจ าเลยเป็ นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็ นกระทง ความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานใช้สารระเหยบ าบัดความต้องการของร่างกายและจิตใจ จ าคุก 4 เดือน ฐานกระท าให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาทและเป็ นเหตุให้ทรัพย์ของผู้อื่นเสียหาย จ าคุก 1 ปี เพิ่มโทษ หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 ฐานใช้สารระเหยบ าบัดความต้องการของร่างกาย KM : Perfect Public Prosecutor (KM : 3P) ส ำนักงำนอัยกำรพิเศษฝ่ ำยบริหำรจัดกำรควำมรู้ ขอเสนอเทคนิค ข้อสังเกตกำรว่ำต่ำง แก้ต่ำง คดีอำญำ คดีแพ่ง เป็ นเกร็ดควำมรู้ เพื่อทบทวนและเพิ่มศักยภำพ ในกำรปฏิบัติหน้ำที่ของพนักงำนอัยกำร ประจ ำวันที่ 26 เมษำยน 2566
www.kmcenter.ago.go.th Knowledge Management System : KMS ส ำนักงำนวิชำกำร ศูนย์กฎหมำยและเอกสำรวิชำกำร คลังควำมรู้ แหล่งรวมควำมรู้เพื่อกำรท ำงำน ศูนยร์ำชกำรเฉลิมพระเกียรตฯิอำคำรรำชบุรีดิเรกฤทธิ์ช้นั3 เลขที่ 120 หมู่ 3 ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหำนคร 10210 โทร 0 2142 1499 โทรสำร 0 2143 9475 และจิตใจ เป็ นจ าคุก 5 เดือน 10 วัน ฐานกระท าให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาทและเป็ นเหตุให้ทรัพย์ของผู้อื่นเสียหาย จ าคุก 1 ปี 4 เดือน จ าเลยให้การรับสารภาพฐานใช้สารระเหยบ าบัดความต้องการของร่างกายและจิตใจ และทางน าสืบ เป็ นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้กึ่งหนึ่งและหนึ่งในสาม ตามล าดับ ฐานใช้สารระเหยบ าบัดความต้องการของร่างกายและจิตใจ คงจ าคุก 2 เดือน 20 วัน ฐานกระท าให้เกิดเพลิงไหม้ โดยประมาทและเป็ นเหตุให้ทรัพย์ของผู้อื่นเสียหาย คงจ าคุก 1 ปี รวมจ าคุก 1 ปี 2 เดือน 20 วัน ริบของกลาง จ าเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติด พิพากษาแก้เป็ นว่า ฐานใช้สารระเหยบ าบัดความต้องการของร่างกายและจิตใจ ให้ลงโทษปรับ 3,000 บาท อีกสถานหนึ่ง เพิ่มโทษหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 เป็ นปรับ 4,000 บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงปรับ 2,000 บาท เมื่อรวมกับโทษจ าคุกในความผิดฐาน ดังกล่าวตามค าพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว เป็ นจ าคุก 2 เดือน 20 วัน และปรับ 2,000 บาท โทษจ าคุกให้รอการลงโทษไว้ 1 ปี นับแต่วันที่อ่านค าพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จ าเลยฟัง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ช าระค่าปรับให้จัดการ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ยกฟ้ องฐานกระท าให้เกิดเพลิงไหมโดยประมาทและเป็ นเหตุให้ทรัพย์ของผู้อื่น เสียหาย นอกจากที่แก้ให้เป็ นไปตามค าพิพากษาศาลชั้นต้น อัยการศาลสูง เห็นควรฎีกา คัดค้านค าพิพากษาศาลอุทธรณ์ แผนกคดียาเสพติด และโดยที่ความผิดฐาน ใช้สารระเหยบ าบัดความต้องการของร่างกายหรือจิตใจส าหรับจ าเลยต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงมีความเห็น ควรส่งเรื่องให้รับรองฎีกา ในความผิดฐานใช้สารระเหยบ าบัดความต้องการของร่างกายหรือจิตใจ ตามล าดับชั้น ถึงอัยการสูงสุด ตามระเบียบว่าด้วยการด าเนินคดีอาญาชั้นศาลสูงของพนักงานอัยการ พ.ศ.2563 ข้อ 36 ต่อมาส่วนสนับสนุนงานอัยการศาลสูงจังหวัด ได้ส่งส านวนไปให้ส านักงานคดีศาลสูงภาค เพื่อพิจารณาเสนออัยการ สูงสุดรับรองฎีกา ตามระเบียบฯ จากนั้นส านักงานคดีศาลสูงภาค แจ้งว่า อัยการสูงสุดพิจารณาแล้ว เห็นว่า ความผิดฐานใช้สารระเหยบ าบัดความ ต้องการของร่างกายและจิตใจ เป็ นความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด หากคู่ความประสงค์จะฎีกาให้ยื่นค าขอโดยท าเป็ นค าร้อ ง ไปพร้อมกับฎีกาต่อศาลฎีกาเพื่อให้ศาลฎีการับไว้วินิจฉัยได้ตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 19 ซึ่งก าหนดการฎีกาความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดไว้เป็ นการเฉพาะ จึงไม่อาจน าบทบัญญัติว่าด้วยการฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาใช้บังคับได้ จึงส่งส านวนดังกล่าวคืนมาเพื่อให้ด าเนินการจัดท าค าฟ้ องฎีกา และค าร้องขออนุญาตฎีกาให้ครบถ้วนและยื่นฎีกาต่อศาลภายในระยะเวลาฎีกา ต่อมาอัยการศาลสูงจังหวัดได้ยื่นค าร้องขออนุญาตฎีกาและฎีกา คัดค้านค าพิพากษาศาลอุทธรณ์แผนกคดี ยาเสพติด ต่อศาลฎีกา ศาลฎีกาได้อนุญาตให้โจทก์ฎีกาในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดเป็ นปัญหาส าคัญที่ศาลฎีกาควรจะได้ วินิจฉัย ศาลฎีกาพิพากษาว่า จ าเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 105, 163 ส่วนก าหนดโทษและ นอกจากที่แก้ให้เป็ นไปตามค าพิพากษาศาลอุทธรณ์ KM : Perfect Public Prosecutor (KM : 3P)
องค์ควำมรู้ที่เผยแพร่ใน Line KM : 3P ท้งัหมด อัยกำรพิเศษฝ่ ำยบริหำรจัดกำรควำมรู้ KMS : คลังควำมรู้ คลังกฎหมำยและเอกสำร ควำมรู้ ตอบข้อหำรือ คลังสมอง กำรเข้ำใช้งำนระบบสำรสนเทศกำรจัดกำรควำมรู้ (KMS) kms.ago.go.th www.kmcenter.ago.go.th Knowledge Management System : KMS ส ำนักงำนวิชำกำร ศูนย์กฎหมำยและเอกสำรวิชำกำร คลังควำมรู้ แหล่งรวมควำมรู้เพื่อกำรท ำงำน ศูนยร์ำชกำรเฉลิมพระเกียรตฯิอำคำรรำชบุรีดิเรกฤทธิ์ช้นั3 เลขที่ 120 หมู่ 3 ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหำนคร 10210 โทร 0 2142 1499 โทรสำร 0 2143 9475 ข้อสรุปสาระส าคัญ/แก่นความรู้ อัยการสูงสุด มีความเห็นว่า ความผิดฐานใช้สารระเหยบ าบัดความต้องการของร่างกายและจิตใจ เป็ นความผิด เกี่ยวกับยาเสพติด หากคู่ความประสงค์จะฎีกาให้ยื่นค าขอโดยท าเป็ นค าร้องไปพร้อมกับฎีกาต่อศาลฎีกาเพื่อให้ศาลฎีกา รับไว้วินิจฉัยได้ตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 19 ซึ่งก าหนดการฎีกาความผิดเกี่ยวกับ ยาเสพติดไว้เป็ นการเฉพาะ จึงไม่อาจน าบทบัญญัติว่าด้วยการฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาใช้บังคับได้ เพื่อให้การยื่นฎีกาในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด อันเป็ นคดีที่มีความส าคัญเป็ นไปด้วยความถูกต้อง ตามระเบียบและกฎหมาย สมควรปฏิบัติตามที่อัยการสูงสุดมีความเห็นดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ เพื่อให้การฎีกาในความผิด เกี่ยวกับยาเสพติดเป็ นไปด้วยความสะดวก รวดเร็ว ถูกต้องตามระเบียบและกฎหมาย ท าให้ไม่เกิดความเสียหายแก่คดี ในโอกาสต่อไปจึงเห็นควรต่อยอดความรู้โดยมีหนังสือแจ้งเวียนให้อัยการศาลสูงที่เกี่ยวข้องทราบและถือปฏิบัติโดยทั่วกัน กฎหมายหรือระเบียบที่เกี่ยวกับความรู้นี้ - พระราชก าหนดป้ องกันการใช้สารระเหย พ.ศ.2533 มาตรา 3, 4, 17, 24, 31 - ประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 105, 163 พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตร 19 - ระเบียบที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการยื่นค าขอ การพิจารณาและมีค าสั่งอนุญาตให้ฎีกา ในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2551 ที่มำ : - การท า KCJ (Knowledge Capturing on Job) จากการท า Workshop ของโครงการอบรมหลักสูตรนักบริหารงานยุติธรรมระดับสูง “หลักสูตรการอบรมอัยการพิเศษฝ่าย” รุ่นที่ 10 (พ.ศ. 2566) ในหัวข้อวิชา การบริหารจัดการความรู้เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะ ผู้บริหาร เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2566 ที่มำ : - ผู้จัดท า KCJ : ว่าที่ร้อยตรีชาญณรงค์ เนื้ อนุ่ม ต าแหน่ง อัยการผู้เชี่ยวชาญพิเศษ สังกัด ส านักงานคดีศาลสูงภาค 3 นำงสมสุข มีวุฒิสม อัยกำรอำวุโส ส ำนักงำนอัยกำรพิเศษฝ่ ำยบริหำรจัดกำรควำมรู้ KM : Perfect Public Prosecutor (KM : 3P)
kms.ago.go.th Knowledge Management System : KMS ส ำนักงำนวิชำกำร ศูนย์กฎหมำยและเอกสำรวิชำกำร คลังควำมรู้ แหล่งรวมควำมรู้เพื่อกำรท ำงำน ศูนย์รำชกำรเฉลิมพระเกียรติฯ อำคำรรำชบุรีดิเรกฤทธิ์ช้นั3 เลขที่ 120 หมู่ 3 ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหำนคร 10210 โทร 0 2142 1499 โทรสำร 0 2143 9475 เรื่องที่ 101/2566 /2563 ---------------------------- กำรประสำนงำนตำมพระรำชบัญญัติควำมร่วมมือระหว่ำงประเทศในทำงแพ่ง เกี่ยวกับกำรละเมิดสิทธิควบคุมดูแลเด็ก พ.ศ. 2555 ส ำนักงำนต่ำงประเทศ ส ำนักงำนอัยกำรสูงสุดได้รับกำรประสำนจำกผู้ประสำนงำนกลำง แจ้งว่ำชำย ชำวนอร์เวย์ต้องกำรที่จะยื่นค ำร้องขอให้ศำลมีค ำสั่งให้ส่งตัวบุตรกลับคืนสู่ประเทศนอร์เวย์เนื่องจำกถูก แม่ของเด็กกับพวกน ำตัวเด็กมำยังประเทศไทยโดยไม่ได้รับควำมยินยอม อันเป็ นกำรด ำเนินกำรตำม พระรำชบัญญัติควำมร่วมมือทำงประเทศเกี่ยวกับ กำรละเมิดสิทธิควบคุมดูแลเด็ก พ.ศ. 2562 ขณะอยู่ในระหว่ำงติดตำมหำที่อยู่ของเด็ก ผู้ประสำนงำนกลำงพบว่ำทำงแม่เด็กได้ยื่นฟ้ องหย่ำพ่อเด็ก และขอมีอ ำนำจปกครองเด็ก ต่อศำลเยำวชนและครอบครัวกลำงจังหวัดกลำง ซึ่งเป็ นกำรกระท ำอื่นใด อันอำจเป็ นอุปสรรคต่อกำรด ำเนินกำรตำมพระรำชบัญญัติดังกล่ำว ในกรณีดังกล่ำวกฎหมำยก ำหนดให้ พนักงำนอัยกำรยื่นค ำขอต่อศำลเยำวชนและครอบครัวกลำงให้มีค ำสั่งอนุญำตให้พนักงำนด ำเนินกำร ตำมที่จ ำเป็ น แต่กำรด ำเนินกำรดังกล่ำวไม่อำจท ำได้ทันเนื่องจำกทำงศำลเยำวชนและครอบครัว กลำง นัดชี้ สองสถำนและสืบพยำนแล้ว ทำงส ำนักงำนอัยกำรคุ้มครองสิทธิฯจึงได้ด ำเนินกำรยื่นค ำแถลง เพื่อให้ศำลทรำบถึงเหตุขัดข้องดังกล่ำว และขอให้ศำลมีค ำสั่งจ ำหน่ำยคดีเพื่อรอผลกำรด ำเนินกำร ตำมพระรำชบัญญัติดังกล่ำวต่อไป สภำพปัญหำที่เกิดขึ้ น ในประกำรแรก ทำงส ำนักงำนต่ำงประเทศ ติดต่อทำงส ำนักงำนอัยกำร ในท้องที่ แต่ถูกปฏิเสธว่ำไม่มีอ ำนำจในกำรด ำเนินกำร ส ำนักงำนอัยกำรคุ้มครองสิทธิฯเห็นว่ำกรณีดังกล่ำว เป็ นอ ำนำจหน้ำที่ของส ำนักงำนอัยกำรคุ้มครองสิทธิฯ ที่มีอ ำนำจหน้ำที่ให้ควำมช่วยเหลือทำงกฎหมำย แก่ประชำชนภำยในเขตท้องที่จังหวัดของตน และกรณีไม่ใช่เรื่องที่ต้องห้ำมมิให้รับด ำเนินกำร ทำงส ำนักงำน อัยกำรคุ้มครองสิทธิฯจึงรับเรื่องดังกล่ำวไว้ด ำเนินกำร ประกำรที่สอง ในประเด็นเรื่องของรูปแบบในกำรให้ควำมช่วยเหลือ แม้ทำงส ำนักงำนอัยกำรคุ้มครอง สิทธิฯ จะมิใช่คู่ควำมในคดี และไม่ได้รับมอบหมำยหรือได้รับกำรแต่งตั้งให้เป็ นทนำยควำมของคู่ควำมในคดี แต่พนักงำนอัยกำรคุ้มครองสิทธิฯ ใช้วิธีกำรในกำรน ำเสนอข้อเท็จจริงดังกล่ำวต่อศำลเยำวชนและ ครอบครัวกลำง ซึ่งเป็ นอ ำนำจของศำลที่จะรับฟังข้อเท็จจริงดังกล่ำวและมีค ำสั่งตำมที่เห็นสมควร KM : Perfect Public Prosecutor (KM : 3P) ส ำนักงำนอัยกำรพิเศษฝ่ ำยบริหำรจัดกำรควำมรู้ ขอเสนอเทคนิค ข้อสังเกตกำรว่ำต่ำง แก้ต่ำง คดีอำญำ คดีแพ่ง เป็ นเกร็ดควำมรู้ เพื่อทบทวนและเพิ่มศักยภำพ ในกำรปฏิบัติหน้ำที่ของพนักงำนอัยกำร ประจ ำวันที่ 26 เมษำยน 2566
องค์ควำมรู้ที่เผยแพร่ใน Line KM : 3P ท้งัหมด อัยกำรพิเศษฝ่ ำยบริหำรจัดกำรควำมรู้ KMS : คลังควำมรู้ คลังกฎหมำยและเอกสำร ควำมรู้ ตอบข้อหำรือ คลังสมอง กำรเข้ำใช้งำนระบบสำรสนเทศกำรจัดกำรควำมรู้ (KMS) kms.ago.go.th www.kmcenter.ago.go.th Knowledge Management System : KMS ส ำนักงำนวิชำกำร ศูนย์กฎหมำยและเอกสำรวิชำกำร คลังควำมรู้ แหล่งรวมควำมรู้เพื่อกำรท ำงำน ศูนยร์ำชกำรเฉลิมพระเกียรตฯิอำคำรรำชบุรีดิเรกฤทธิ์ช้นั3 เลขที่ 120 หมู่ 3 ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหำนคร 10210 โทร 0 2142 1499 โทรสำร 0 2143 9475 กฎหมำยหรือระเบียบที่เกี่ยวกับควำมรู้นี้ - อนุสัญญำว่ำด้วยลักษณะทำงแพ่งในกำรลักพำเด็กข้ำมชำติ (The Convention on the Civil Aspects of International Child Abduction 1980) - พระรำชบัญญัติควำมร่วมมือระหว่ำงประเทศในทำงแพ่งเกี่ยวกับกำรละเมิดสิทธิควบคุมดูแลเด็ก พ.ศ. 2555 - ระเบียบส ำนักงำนอัยกำรสูงสุดว่ำด้วยกำรคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทำงกฎหมำยแก่ประชำชน พ.ศ. 2562 ที่มำ : - กำรท ำ KCJ (Knowledge Capturing on Job) จำกกำรท ำ Workshop ของโครงกำรอบรมหลักสูตรนักบริหำร งำนยุติธรรมระดับสูง “หลักสูตรกำรอบรมอัยกำรพิเศษฝ่ำย” รุ่นที่ 10 (พ.ศ. 2566) ในหัวข้อวิชำ กำรบริหำรจัดกำรควำมรู้เพื่อเสริมสร้ำงสมรรถนะ ผู้บริหำร เมื่อวันที่ 2 มีนำคม 2566 ที่มำ : - ผู้จัดท ำ KCJ : นำยนพพล กฤษณะเศรณีต ำแหน่ง อัยกำรผู้เชี่ยวชำญพิเศษ สังกัด ส ำนักงำนอัยกำรพิเศษฝ่ำยกำรบังคับคดี 2 นำยปริญญำ จิตรกำรนทีกิจ อัยกำรอำวุโส ส ำนักงำนอัยกำรพิเศษฝ่ ำยบริหำรจัดกำรควำมรู้ KM : Perfect Public Prosecutor (KM : 3P)
kms.ago.go.th Knowledge Management System : KMS ส ำนักงำนวิชำกำร ศูนย์กฎหมำยและเอกสำรวิชำกำร คลังควำมรู้ แหล่งรวมควำมรู้เพื่อกำรท ำงำน ศูนย์รำชกำรเฉลิมพระเกียรติฯ อำคำรรำชบุรีดิเรกฤทธิ์ช้นั3 เลขที่ 120 หมู่ 3 ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหำนคร 10210 โทร 0 2142 1499 โทรสำร 0 2143 9475 เรื่องที่ 102/2566 /2563 ---------------------------- ระยะเวลำกำรฟ้ องทำยำทในคดีพิพำทเกี่ยวกับกำรท ำละเมิดของเจ้ำหน้ำที่ของรัฐ อนัเกิดจำกกำรใชอ้ำ นำจตำมกฎหมำย และมลูละเมิดน้นัอนัเป็นควำมผิดมีโทษตำมกฎหมำยลกัษณะอำญำ และมีกำ หนดอำยคุวำมที่ยำวกว่ำ ใหเ้อำอำยคุวำมที่ยำวกวำ่น้นัมำบงัคบั จากการปฏิบัติงานในการรับว่าต่างให้ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้ นฐาน โดยส านักงานคดีปกครอง อุบลราชธานี ผู้รับมอบอ านาจ ผู้ฟ้ องคดี นาง ว. ผู้มีสิทธิรับมรดกของนาย วช. ตามพินัยกรรม ผู้ถูกฟ้ องคดีที่ 1 นาย วน. พี่น้องร่วมบิดามารดาและผู้จัดการมรดกของนาย วช. ผู้ถูกฟ้ องคดีที่ 2 เป็ นคดีหมายเลขด า ที่ 243/2565 หมายเลขแดง ที่ 192/2565 ของศาลปกครองอุบลราชธานี ฟ้ องเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2565 ศาลปกครองอุบลราชธานี (ศาลปกครองชั้นต้น) มีค าสั่งไม่รับค าฟ้ องของผู้ฟ้ องคดีไว้พิจารณาและให้จ าหน่ายคดี ออกจากสารบบความโดยวินิจฉัยว่าผู้ฟ้ องคดีน าคดีมาฟ้ องเมื่อพ้นก าหนด 10 ปี นับแต่วันที่ 23 กันยายน 2554 ซึ่งเป็ นวันที่ นาย วช. ได้ลงนามในสัญญาซื้ อขาย เลขที่ 1/2554 ที่ถือว่ามีการกระท าละเมิด ตามมาตรา 448 วรรคหนึ่ง แห่งประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ผู้ฟ้ องคดีอุทธรณ์ค าสั่งของศาลปกครองอุบลราชธานี (ศาลปกครองชั้นต้น) ต่อศาลปกครองสูงสุด ศาลปกครองสูงสุด มีค าสั่งกลับค าสั่งของศาลปกครองอุบลราชธานี (ศาลปกครองชั้นต้น) เป็ นค าสั่งศาลปกครองสูงสุด ค าร้องที่ 1195/2565 ค าสั่งที่ 72/2566 ลงวันที่ 13 มกราคม 2566 อ่านเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2566 ข้อสรุปสาระส าคัญ/แก่นความรู้ คดีมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่า ผู้ฟ้ องคดียื่นฟ้ องคดีภายในระยะเวลาการฟ้ องคดีหรือไม่ เห็นว่า มาตรา 448 วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บัญญัติว่า สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดนั้น ท่านว่าขาดอายุความ เมื่อพ้นปี หนึ่งนับแต่วันที่ผู้ต้องเสียหายรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือเมื่อพ้นสิบปี นับแต่ วันท าละเมิด วรรคสอง บัญญัติว่า แต่ถ้าเรียกร้องค่าเสียหายในมูลอันเป็ นความผิดมีโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา และ มีก าหนดอายุความทางอาญายาวกว่าที่กล่าวมานั้นไซร้ ท่านให้เอาอายุความที่ยาวกว่านั้นมาบังคับ มาตรา 1754 วรรคสาม บัญญัติว่า ภายใต้บังคับแห่งมาตรา 193/27 แห่งประมวลกฎหมายนี้ ถ้าสิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้ อันมีต่อเจ้ามรดกมีก าหนด อายุความยาวกว่าหนึ่งปี มิให้เจ้าหนี้ นั้นฟ้ องร้องเมื่อพ้นก าหนดหนึ่งปี นับแต่เมื่อเจ้าหนี้ ได้รู้ หรือควรได้รู้ถึงความตาย ของเจ้ามรดก มาตรา 51 วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา บัญญัติว่า ถ้าไม่มีผู้ใดฟ้ องทางอาญา สิทธิของผู้เสียหายที่จะฟ้ องทางแพ่งเนื่องจากความผิดนั้นย่อมระงับไปตามก าหนดเวลาดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมาย อาญาเรื่องอายุความฟ้ องคดีอาญา แม้ถึงว่า ผู้เยาว์หรือผู้วิกลจริตในมาตรา 193/20 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จะเป็ นผู้ฟ้ องหรือได้ฟ้ องต่างหากจากคดีอาญาก็ตาม มาตรา 10 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของ เจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 บัญญัติว่า ในกรณีที่เจ้าหน้าที่เป็ นผู้กระท าละเมิดต่อหน่วยงานของรัฐไม่ว่าจะเป็ นหน่วยงานของรัฐ ที่ผู้นั้นอยู่ในสังกัดหรือไม่ ถ้าเป็ นการกระท าในการปฏิบัติหน้าที่ การเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากเจ้าหน้าที่ ให้น าบทบัญญัติมาตรา 8 มาใช้บังคับ โดยอนุโลม แต่ถ้ามิใช่การกระท าในการปฏิบัติหน้าที่ ให้บังคับตามบทบัญญัติ KM : Perfect Public Prosecutor (KM : 3P) ส ำนักงำนอัยกำรพิเศษฝ่ ำยบริหำรจัดกำรควำมรู้ ขอเสนอเทคนิค ข้อสังเกตกำรว่ำต่ำง แก้ต่ำง คดีอำญำ คดีแพ่ง เป็ นเกร็ดควำมรู้ เพื่อทบทวนและเพิ่มศักยภำพ ในกำรปฏิบัติหน้ำที่ของพนักงำนอัยกำร ประจ ำวันที่ 27 เมษำยน 2566
www.kmcenter.ago.go.th Knowledge Management System : KMS ส ำนักงำนวิชำกำร ศูนย์กฎหมำยและเอกสำรวิชำกำร คลังควำมรู้ แหล่งรวมควำมรู้เพื่อกำรท ำงำน ศูนยร์ำชกำรเฉลิมพระเกียรตฯิอำคำรรำชบุรีดิเรกฤทธิ์ช้นั3 เลขที่ 120 หมู่ 3 ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหำนคร 10210 โทร 0 2142 1499 โทรสำร 0 2143 9475 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ วรรคสอง บัญญัติว่า สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากเจ้าหน้าที่ทั้งสองประการ ตามวรรคหนึ่ง ให้มีก าหนดอายุความสองปี นับแต่วันที่หน่วยงานของรัฐรู้ถึงการละเมิด และรู้ตัวเจ้าหน้าที่ผู้จะพึงต้องใช้ ค่าสินไหมทดแทน และกรณีที่หน่วยงานของรัฐเห็นว่าเจ้าหน้าที่ผู้นั้นไม่ต้องรับผิด แต่กระทรวงการคลังตรวจสอบแล้วเห็นว่า ต้องรับผิด ให้สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนนั้นมีก าหนดอายุความหนึ่งปีนับแต่วันที่หน่วยงานของรัฐมีค าสั่งตามความเห็น ของกระทรวงการคลัง จากบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้นจะเห็นได้ว่า มำตรำ 10 แห่งพระรำชบัญญัติควำมรับผิดทำงละเมิดของเจ้ำหน้ำที่ พ.ศ. 2539 บัญญัติเกี่ยวกับอำยุควำมกำรใช้สิทธิเรียกร้องไว้เป็ นกำรเฉพำะ ซึ่งมีผลเป็ นกำรยกเว้นบทบัญญัติ มำตรำ 448 วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ เฉพำะในส่วนที่ก ำหนดให้สิทธิเรียกร้องค่ำเสียหำย อันเกิดแต่มูลละเมิดขำดอำยุควำมเมื่อพ้นหนึ่งปี นับแต่วันที่ผู้เสียหำยรู้ถึงกำรละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่ำสินไหม ทดแทนเทำ่น้นั แต่มิได้ยกเว้น หรือมีข้อความขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติในส่วนที่บัญญัติว่า สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายอันเกิด แต่มูลละเมิดขาดอายุความเมื่อพ้นก าหนดสิบปี นับแต่วันท าละเมิด และมิได้มีข้อความขัดหรือแย้งกับมาตรา 448 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายดังกล่าว แต่อย่างใด แม้ต่อมา มาตรา 51 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณา คดีปกครอง พ.ศ. 2542 จะบัญญัติว่า การฟ้ องคดีตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (3) ให้ยื่นฟ้ องภายในหนึ่งปี นับแต่วันที่รู้ หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้ องคดี แต่ไม่เกินสิบปี นับแต่วันที่มีเหตุแห่งการฟ้ องคดี แต่บทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว ซึ่งเป็ นกฎหมายทั่วไปก็มิได้มีเจตนารมณ์ที่จะให้ยกเลิกมาตรา 10 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิด ของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 ซึ่งเป็ นกฎหมายพิเศษ และยกเลิกมาตรา 448 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แต่อย่างใด ดังนั้น กรณีที่เจ้าหน้าที่ตามนัยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 และเป็ นเจ้าหน้าที่ของรัฐตามนัยมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 กระท าละเมิดต่อหน่วยงานของรัฐ ไม่ว่าจะเป็ นการใช้อ านาจตามกฎหมาย ออกกฎ ค าสั่งทางปกครอง หรือค าสั่งอื่น หรือกระท าการอื่นใด หรือเป็ นการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายก าหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้า เกินสมควร หน่วยงานของรัฐที่เสียหายอาจอาศัยอ านาจตามมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของ เจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 โดยออกค าสั่งให้เจ้าหน้าที่ช าระค่าสินไหมทดแทนภายในสองปี นับแต่วันที่หน่วยงานของรัฐที่เสียหาย รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวเจ้าหน้าที่จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือภายในหนึ่งปี นับแต่วันที่หน่วยงานของรัฐมีค าสั่ง ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐเห็นว่าเจ้าหน้าที่ไม่ต้องรับผิด แต่กระทรวงการคลังตรวจสอบ แล้วเห็นว่าต้องรับผิด แต่ทั้งนี้ ต้องไม่เกินสิบปี นับแต่วันท าละเมิดเว้นแต่การเรียกร้องค่าเสียหายในมูลอันเป็ นความผิดมีโทษ ตามกฎหมายลักษณะอาญาและมีก าหนดอายุความทางอาญายาวกว่าที่กล่าวมานั้น ก็ต้องเอาอายุความที่ยาวกว่านั้น มาบังคับตามมาตรา 448 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แต่ในกรณีที่เจ้าหน้าที่ผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหม ทดแทนถึงแก่ความตาย หน่วยงานของรัฐที่เสียหายไม่อาจออกค าสั่งให้ทายาทของเจ้าหน้าที่ผู้นั้นชดใช้ค่าสินไหมทดแทน โดยการอาศัยอ านาจตามมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 ได้ หน่วยงาน ของรัฐจึงต้องใช้สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากทายาทของเจ้าหน้าที่ผู้นั้นโดยการฟ้ องขอให้ศาลปกครองมีค าพิพากษา หรือค าสั่งให้ทายาทของเจ้าหน้าที่ผู้นั้นช าระค่าสินไหมทดแทนภายในหนึ่งปี นับแต่วันที่หน่วยงานของรัฐที่เสียหายได้รู้หรือ ควรได้รู้ถึงความตายของเจ้าหน้าที่ผู้นั้นตามมาตรา 1754 วรรคสาม แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ คดีนี้ ข้อเท็จจริงปรากฏว่า เมื่อส านักตรวจเงินแผ่นดินจังหวัดอุบลราชธานีตรวจพบว่า การจัดซื้ออุปกรณ์ปรับปรุง สนามกีฬาของโรงเรียน ผ. ประจ าปี งบประมาณ พ.ศ. 2554 ตามสัญญาเลขที่ 1/2554 ลงวันที่ 23 กันยายน 2554 มีการใช้วัสดุแผ่นยางสังเคราะห์ (EVA) ไม่เหมาะสมกับการใช้งานกลางแจ้ง จึงไม่เป็ นไปตามวัตถุประสงค์และไม่คุ้มค่า ท าให้ทางราชการได้รับความเสียหาย ซึ่งผู้ฟ้ องคดีได้มีหนังสือสั่งการให้ผู้อ านวยการส านักงานเขตพื้ นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 29 แต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดเพื่อหาตัวผู้รับผิดชอบชดใช้เงินกรณีดังกล่าวแล้ว KM : Perfect Public Prosecutor (KM : 3P)
kms.ago.go.th Knowledge Management System : KMS ส ำนักงำนวิชำกำร ศูนย์กฎหมำยและเอกสำรวิชำกำร คลังควำมรู้ แหล่งรวมควำมรู้เพื่อกำรท ำงำน ศูนยร์ำชกำรเฉลิมพระเกียรตฯิอำคำรรำชบุรีดิเรกฤทธิ์ช้นั3 เลขที่ 120 หมู่ 3 ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหำนคร 10210 โทร 0 2142 1499 โทรสำร 0 2143 9475 ผลการสอบข้อเท็จจริงของคณะกรรมการดังกล่าว สรุปได้ว่าการจัดซื้ ออุปกรณ์ปรับปรุงสนามกีฬาตามสัญญาดังกล่าว ส่อไปในทางไม่สุจริตหรือมีการใช้อ านาจหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องหลายรายรวมถึงนาย วช. ด้วย และ เป็ นการกระท าการโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ก่อให้เกิดความเสียหายแก่หน่วยงานของรัฐอันเป็ นการกระท าละเมิด จึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่รัฐตามผลแห่งละเมิด ซึ่งการกระท าละเมิดดังกล่าว ส านักงานคณะกรรมการป้ องกันและ ปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ส านักงาน ป.ป.ช.) ได้มีการด าเนินการไต่สวนในส่วนคดีอาญา กรณีกระท าความผิดฐาน เป็ นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้น การปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตตามมาตรา 157 แห่งประมวลกฎหมายอาญา หรือกระท าความผิดตามพระราชบัญญัติ ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 ด้วย ดังนั้น การที่ผู้ฟ้ องคดีซึ่งเป็ นผู้เสียหาย โดยตรงจากการกระท าดังกล่าว น าคดีมาฟ้ องต่อศาลขอให้ผู้ถูกฟ้ องคดีทั้งสองซึ่งเป็ นทายาทของนาย วช. ชดใช้ค่าสินไหม ทดแทนให้แก่ผู้ฟ้ องคดี จึงเป็ นการฟ้ องคดีละเมิดในมูลอันเป็ นความผิดที่มีโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา ซึ่งความผิดตาม มาตรา 157 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ต้องระวางโทษจ าคุกตั้งแต่หนึ่งปี ถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจ าทั้งปรับ แต่โดยที่มาตรา 95 วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายอาญา บัญญัติว่า ในคดีอาญา ถ้ามิได้ฟ้ องและ ได้ตัวผู้กระท าความผิดมายังศาลภายในก าหนดดังต่อไปนี้ นับแต่วันกระท าความผิด เป็ นอันขาดอายุความ (2) สิบห้าปี ส าหรับความผิดต้องระวางโทษจ าคุกกว่าเจ็ดปี แต่ยังไม่ถึงยี่สิบปี เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ขณะที่ผู้ฟ้ องคดียื่นฟ้ องคดีนี้ ยังไม่มีการฟ้ องนาย วช. เป็ นคดีอาญาในฐานความผิดดังกล่าว สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนของผู้ฟ้ องคดีตามกรณีพิพาทนี้ จึงย่อมระงับไป ตามก าหนดเวลาดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญาเรื่องอายุความฟ้ องคดีอาญาตามมาตรา 51 วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ผู้ฟ้ องคดีจึงต้องใช้สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากการกระท าของนาย วช. ภายในสิบห้าปี นับแต่วันที่นาย วช. ได้กระท าให้เกิดความเสียหายดังกล่าว ดังนั้น การที่คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง ความรับผิดทางละเมิดได้รายงานผลการสอบข้อเท็จจริง ลงวันที่ 30 สิงหาคม 2562 ต่อผู้อ านวยการส านักงานเขตพื้ นที่ การศึกษามัธยมศึกษา เขต 29 ซึ่งเป็ นผู้แต่งตั้งคณะกรรมการดังกล่าว และผู้อ านวยการส านักงานเขตพื้ นที่การศึกษา มัธยมศึกษา เขต 29 มีค าสั่งเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2562 เห็นชอบ และให้รายงานกรมบัญชีกลาง จึงถือว่าวันที่ 30 กันยายน 2562 เป็ นวันที่ผู้ฟ้ องคดีได้รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวเจ้าหน้าที่ผู้ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแล้ว ซึ่งในระหว่างรอความเห็นของ กรมบัญชีกลาง ส านักงานเขตพื้ นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุบลราชธานี อ านาจเจริญ ได้มีค าสั่งที่ 208/2564 ลงวันที่ 3 สิงหาคม 2564 ให้นาย วช. รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน จ านวน 141,360 บาท ให้แก่ส านักงานเขตพื้ นที่การศึกษา มัธยมศึกษาอุบลราชธานี อ านาจเจริญ จะเห็นได้ว่าแม้ค าสั่งดังกล่าวจะเป็ นการใช้สิทธิเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ผู้กระท าละเมิด ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนภายในอายุความสองปี ตามมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 ก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านาย วช. ได้ถึงแก่ความตายตั้งแต่ วันที่ 4 มิถุนายน 2564 ซึ่งเป็ นวันก่อน ที่ผู้ฟ้ องคดีจะมีค าสั่งเรียกให้นาย วช. รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน อีกทั้งผู้ถูกฟ้ องคดีที่ 2 ได้ยื่นหนังสือลงวันที่ 23 กรกฎาคม 2564 ขอรับเงินช่วยพิเศษกรณีข้าราชการถึงแก่ความตาย ซึ่งในใบสั่งจ่าย ลงวันที่ 31 สิงหาคม 2564 ระบุว่า ผู้อ านวยการส านักงานเขตพื้ นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุบลราชธานี อ านาจเจริญ มีค าสั่งอนุมัติการจ่ายเงินดังกล่าว แก่ผู้ถูกฟ้ องคดีที่ 2 แล้ว ค าสั่งเรียกให้นาย วช. รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจึงไม่ก่อให้เกิดสิทธิแก่ผู้ฟ้ องคดีหรือ มีผลบังคับกับนาย วช. หรือทายาทของนาย วช. แต่ผู้ฟ้ องคดีต้องใช้สิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้ อันมีต่อเจ้ามรดกโดยเรียกให้ ทายาทของนาย วช. รับผิดภายในหนึ่งปี นับแต่วันที่ผู้ฟ้ องคดีได้รู้หรือควรได้รู้ถึงความตายของนาย วช. เจ้ามรดก ตามมาตรา 1754 วรรคสาม แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ KM : Perfect Public Prosecutor (KM : 3P)
องค์ควำมรู้ที่เผยแพร่ใน Line KM : 3P ท้งัหมด อัยกำรพิเศษฝ่ ำยบริหำรจัดกำรควำมรู้ KMS : คลังควำมรู้ คลังกฎหมำยและเอกสำร ควำมรู้ ตอบข้อหำรือ คลังสมอง กำรเข้ำใช้งำนระบบสำรสนเทศกำรจัดกำรควำมรู้ (KMS) kms.ago.go.th kms.ago.go.th Knowledge Management System : KMS ส ำนักงำนวิชำกำร ศูนย์กฎหมำยและเอกสำรวิชำกำร คลังควำมรู้ แหล่งรวมควำมรู้เพื่อกำรท ำงำน ศูนยร์ำชกำรเฉลิมพระเกียรตฯิอำคำรรำชบุรีดิเรกฤทธิ์ช้นั3 เลขที่ 120 หมู่ 3 ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหำนคร 10210 โทร 0 2142 1499 โทรสำร 0 2143 9475 กรณีจึงถือว่าผู้ฟ้ องคดีได้รู้หรือควรได้รู้ถึงความตายของนาย วช. และรู้ว่าตนมีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจาก นาย วช. อย่างช้าที่สุด เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2564 ซึ่งเป็ นวันที่มีการอนุมัติให้จ่ายเงินช่วยพิเศษกรณีข้าราชการ ถึงแก่ความตายแก่ผู้ถูกฟ้ องคดีที่ 2 ดังนั้น การที่ผู้ฟ้ องคดีน าคดีมาฟ้ องต่อศาลปกครองชั้นต้นเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2565 จึงเป็ นการยื่นฟ้ องคดีภายในหนึ่งปี นับแต่วันที่ผู้ฟ้ องคดีได้รู้หรือควรได้รู้ถึงความตายของนาย วช. ตามมาตรา 1754 วรรคสาม แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ อีกทั้งเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านาย วช. ได้กระท าละเมิดต่อผู้ฟ้ องคดี ในการปฏิบัติหน้าที่ซึ่งเป็ นเหตุแห่งการฟ้ องคดีตั้งแต่วันที่ 23 กันยายน 2554 อันเป็ นวันที่นาย วช. ได้ลงนามท าสัญญา เลขที่ 1/2554 ลงวันที่ 23 กันยายน 2554 การที่ผู้ฟ้ องคดีน าคดีมาฟ้ องต่อศาลปกครองชั้นต้น เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2565 จึงเป็ นการใช้สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายภายในอายุความสิบห้าปี ตามมาตรา 448 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ ประกอบกับมาตรา 51 วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และมาตรา 95 วรรคหนึ่ง (2) แห่งประมวลกฎหมายอาญา การที่ศาลปกครองชั้นต้นมีค าสั่งไม่รับค าฟ้ องไว้พิจารณาและให้จ าหน่ายคดีออกจากสารบบความกับคืน ค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดแก่ผู้ฟ้ องคดี นั้น ศาลปกครองสูงสุดไม่เห็นพ้องด้วย จึงมีค าสั่งกลับค าสั่งของศาลปกครองชั้นต้น เป็ นให้ศาลปกครองชั้นต้นน าค าฟ้ องคดีนี้ มาด าเนินกระบวนพิจารณา ต่อไปตามขั้นตอนที่พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 และระเบียบของที่ประชุมใหญ่ ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2543 ก าหนดและหากเห็นว่าการฟ้ องคดีนี้ เป็ นไปตาม เงื่อนไขแห่งการฟ้ องคดีครบถ้วนตามที่กฎหมายและระเบียบดังกล่าวก าหนดไว้ ก็ให้รับค าฟ้ องนี้ ไว้พิจารณา กฎหมายหรือระเบียบที่เกี่ยวกับความรู้นี้ - ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448, 1754 - ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 51 - พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 มาตรา 4, 10, 12 - พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 มาตรา 3, 9 วรรคหนึ่ง (3), 51 ที่มำ : - การท า KCJ (Knowledge Capturing on Job) จากการท า Workshop ของโครงการอบรมหลักสูตรนักบริหารงานยุติธรรมระดับสูง “หลักสูตรการอบรมอัยการพิเศษฝ่าย” รุ่นที่ 10 (พ.ศ. 2566) ในหัวข้อวิชา การบริหารจัดการความรู้เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะ ผู้บริหาร เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2566 ที่มำ : - ผู้จัดท า KCJ : นายสมบูรณ์ ทองอุ่น ต าแหน่ง อัยการผู้เชี่ยวชาญพิเศษ สังกัด ส านักงานคดีปกครองอุบลราชธานี นำยวิรัช เนติธรรมำภิมุข อัยกำรอำวุโส ส ำนักงำนอัยกำรพิเศษฝ่ ำยบริหำรจัดกำรควำมรู้ KM : Perfect Public Prosecutor (KM : 3P)
kms.ago.go.th Knowledge Management System : KMS ส ำนักงำนวิชำกำร ศูนย์กฎหมำยและเอกสำรวิชำกำร คลังควำมรู้ แหล่งรวมควำมรู้เพื่อกำรท ำงำน ศูนย์รำชกำรเฉลิมพระเกียรติฯ อำคำรรำชบุรีดิเรกฤทธิ์ช้นั3 เลขที่ 120 หมู่ 3 ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหำนคร 10210 โทร 0 2142 1499 โทรสำร 0 2143 9475 เรื่องที่ 103/2566 /2563 ---------------------------- กำรปฏิบัติหนำ้ที่เวรช้ีของพนกังำนอยักำรผปู้ฎิบตัหินำ้ที่เวรช้ีกรณีตรวจสอบผลค ำพิพำกษำในกำรจัดท ำ อ.ก.14 พนักงานอัยการผู้ปฎิบัติหน้าที่เวรชี้ ประจ าวัน มีหน้าที่ตรวจค าฟ้ องและค าขอท้ายฟ้ องของโจทก์ว่ามีองค์ประกอบ ความผิดและให้มีรายละเอียดถูกต้องครบถ้วน จากนั้นมีหน้าที่จัดท า รายงานการคดีตามแบบ อ.ก.13 และ ผลค าพิพากษา ตามแบบ อ.ก.14 แล้วส่งต่อให้พนักงานอัยการเจ้าของส านวนด าเนินการต่อไป ซึ่งในการจัดท าผลค าพิพากษา ตามแบบ อ.ก.14 นี้ พนักงานอัยการผู้ปฎิบัติหน้าที่เวรชี้ ประจ าวันก็จะต้องตรวจสอบว่า ผลค าพิพากษาให้มีรายละเอียดถูกต้องครบถ้วน ตามค าฟ้ อง มาตราตัวบทกฎหมาย ตลอดจนศาลได้สั่งตามค าขอท้ายฟ้ องของโจทก์ครบถ้วนหรือไม่ อย่างไร ในอดีตพนักงานอัยการผู้ปฎิบัติหน้าที่เวรชี้ ประจ าวันจะต้องด าเนินการปฏิบัติหน้าที่เวรชี้ ประจ าวันด้วยตนเอง แต่ปัจจุบันนี้ ส านักงานอัยการสูงสุดได้บรรจุนิติกรมาปฏิบัติงานเป็ นจ านวนมากขึ้นแล้ว ในทางปฏิบัตินิติกรที่ได้รับมอบหมาย จะเป็ นผู้ไปด าเนินการจดค าพิพากษามาจัดท ารายงานการคดีตามแบบ อ.ก.13 และ ผลค าพิพากษา ตามแบบ อ.ก.14 จากนั้นจึงน ามามอบให้พนักงานอัยการผู้ปฎิบัติหน้าที่เวรชี้ ประจ าวันนั้น ๆ ลงลายมือชื่อ แล้วจึงส่งต่อให้พนักงานอัยการ เจ้าของส านวนด าเนินการต่อไป ซึ่งการที่มีนิติกรมาช่วยแบ่งเบาภาระหน้าที่ของพนักงานอัยการ น่าจะท าให้พนักงานอัยการ ปฏิบัติหน้าที่ได้ละเอียดรอบคอบและมีความถูกต้องมากขึ้น แต่กลับเป็ นว่า ผลค าพิพากษาในแบบ อ.ก.14 ยังคงไม่ถูกต้อง ครบถ้วนตามค าฟ้ องและตามค าขอท้ายฟ้ องของโจทก์ บางครั้งเคยตรวจพบว่า คดีลักทรัพย์และเสพยาเสพติด ในค าพิพากษา ปรากฏว่า มีการจ่ายสินบนน าจับด้วย หรือบางคดีในค าขอท้ายฟ้ องขอให้บวกโทษ แต่ในค าพิพากษาปรากฏว่า ศาลให้นับโทษต่อ ซึ่งเมื่อส่งกลับไปให้คัดค าพิพากษาจากศาลแล้ว ปรากฏว่า เป็ นความผิดพลาดของการท าเวรชี้ ของพนักงานอัยการผู้ปฎิบัติ หน้าที่เวรชี้ ประจ าวัน ซึ่งมิได้ตรวจสอบว่า ค าพิพากษาของศาลนั้นถูกต้องตรงกับค าฟ้ อง มาตราตัวบทกฎหมาย ตลอดจน ตามค าขอท้ายฟ้ องของโจทก์หรือไม่ และเมื่อได้ไปสอบถามข้อเท็จจริงแล้วได้ทราบว่า ในการปฏิบัติหน้าที่เวรชี้ ประจ าวัน นิติกรจะไปจดค าพิพากษาและจัดท ารายงานการคดีตามแบบ อ.ก.13 และ ผลค าพิพากษา ตามแบบ อ.ก.14 มาให้พนักงานอัยการ ผู้ปฎิบัติหน้าที่เวรชี้ ประจ าวันลงลายมือชื่อ โดยมิได้แนบรายงานการคดีตามแบบ อ.ก.13 และ ผลค าพิพากษา ตามแบบ อ.ก.14 มากับส านวนคดีนั้น ๆ ด้วย ท าให้พนักงานอัยการผู้ปฎิบัติหน้าที่เวรชี้ ประจ าวันไม่ได้ตรวจสอบความ ถูกต้องของค าพิพากษา ซึ่งเป็ นข้อบกพร่องของพนักงานอัยการผู้ปฎิบัติหน้าที่เวรชี้ ประจ าวันที่อาจถูกแนะน าการ ปฏิบัติ ราชการและรายงานส านักงานอัยการสูงสุดเพื่อพิจารณาได้ ตามระเบียบส านักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการด าเนินคดีอาญา ของพนักงานอัยการ พ.ศ. 2563 ข้อ 99 และระเบียบส านักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการด าเนินคดีอาญาชั้นศาลสูง ของพนักงานอัยการ พ.ศ. 2563 ข้อ 37 และข้อ 38 KM : Perfect Public Prosecutor (KM : 3P) ส ำนักงำนอัยกำรพิเศษฝ่ ำยบริหำรจัดกำรควำมรู้ ขอเสนอเทคนิค ข้อสังเกตกำรว่ำต่ำง แก้ต่ำง คดีอำญำ คดีแพ่ง เป็ นเกร็ดควำมรู้ เพื่อทบทวนและเพิ่มศักยภำพ ในกำรปฏิบัติหน้ำที่ของพนักงำนอัยกำร ประจ ำวันที่ 27 เมษำยน 2566
องค์ควำมรู้ที่เผยแพร่ใน Line KM : 3P ท้งัหมด อัยกำรพิเศษฝ่ ำยบริหำรจัดกำรควำมรู้ KMS : คลังควำมรู้ คลังกฎหมำยและเอกสำร ควำมรู้ ตอบข้อหำรือ คลังสมอง กำรเข้ำใช้งำนระบบสำรสนเทศกำรจัดกำรควำมรู้ (KMS) kms.ago.go.th www.kmcenter.ago.go.th Knowledge Management System : KMS ส ำนักงำนวิชำกำร ศูนย์กฎหมำยและเอกสำรวิชำกำร คลังควำมรู้ แหล่งรวมควำมรู้เพื่อกำรท ำงำน ศูนยร์ำชกำรเฉลิมพระเกียรตฯิอำคำรรำชบุรีดิเรกฤทธิ์ช้นั3 เลขที่ 120 หมู่ 3 ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหำนคร 10210 โทร 0 2142 1499 โทรสำร 0 2143 9475 ข้อสรุปสาระส าคัญ/แก่นความรู้ การปฏิบัติหน้าที่เวรชี้ ประจ าวันของพนักงานอัยการผู้ปฎิบัติหน้าที่เวรชี้ ประจ าวัน เป็ นหน้าที่ขั้นพื้ นฐานของ พนักงานอัยการทุกท่าน ดังนั้นหากปฏิบัติหน้าที่ด้วยความตั้งใจ เข้มแข็ง ละเอียดรอบคอบแล้ว ก็จะไม่เกิดความผิดพลาดของ ค าพิพากษา และท าให้มีการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานอัยการถูกต้อง ครบถ้วน กฎหมายหรือระเบียบที่เกี่ยวกับความรู้นี้ - ระเบียบส านักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการด าเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ พ.ศ. 2563 ข้อ 99 - ระเบียบส านักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการด าเนินคดีอาญาชั้นศาลสูงของพนักงานอัยการ พ.ศ. 2563 ข้อ 37 และข้อ 38 ที่มำ : - การท า KCJ (Knowledge Capturing on Job) จากการท า Workshop ของโครงการอบรมหลักสูตรนักบริหารงานยุติธรรมระดับสูง “หลักสูตรการอบรมอัยการพิเศษฝ่าย” รุ่นที่ 10 (พ.ศ. 2566) ในหัวข้อวิชา การบริหารจัดการความรู้เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะ ผู้บริหาร เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2566 ที่มำ : - ผู้จัดท า KCJ : นายอานนท์ ปราการรัตน์ต าแหน่ง อัยการผู้เชี่ยวชาญพิเศษ สังกัด ส านักงานคดีศาลสูงภาค 5 (เชียงใหม่) นำงสำวณฤดี เกียรติคงยิ่ง อัยกำรอำวุโส ส ำนักงำนอัยกำรพิเศษฝ่ ำยบริหำรจัดกำรควำมรู้ KM : Perfect Public Prosecutor (KM : 3P)
kms.ago.go.th Knowledge Management System : KMS ส ำนักงำนวิชำกำร ศูนย์กฎหมำยและเอกสำรวิชำกำร คลังควำมรู้ แหล่งรวมควำมรู้เพื่อกำรท ำงำน ศูนย์รำชกำรเฉลิมพระเกียรติฯ อำคำรรำชบุรีดิเรกฤทธิ์ช้นั3 เลขที่ 120 หมู่ 3 ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหำนคร 10210 โทร 0 2142 1499 โทรสำร 0 2143 9475 เรื่องที่ 104/2566 /2563 ---------------------------- กำรพิจำรณำส ำนวน และด ำเนินกำรยื่นค ำร้องเพื่อขอให้ศำลสั ่งให้ทรัพย์สินที่ร ่ำรวยผิดปกติตกเป็ นของแผ่นดิน (ส ำนวนคดีแพ่ง ส.5 ก.) เนื่องจากการทุจริตและประพฤติมิชอบมีผลกระทบต่อเสถียรภาพความมั่นคงทางสังคมและเป็ นอุปสรรคส าคัญต่อ การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ประกอบกับการทุจริตและประพฤติมิชอบในระยะที่ผ่านมาได้ทวีความรุนแรงและก่อให้เกิด ความเสียหายต่อทรัพย์สินของแผ่นดินเป็ นจ านวนมาก และจากการด าเนินนโยบายในการแก้ไขปัญหาการทุจริตและประพฤติ มิชอบอย่างจริงจัง ส่งผลให้มีคดีทุจริตและประพฤติมิชอบขึ้ นสู่ศาลมากขึ้ น จึงจ าเป็ นต้องจัดตั้งศาลอาญาคดีทุจริต และ ประพฤติมิชอบเพื่อให้การอ านวยความยุติธรรมในคดีทุจริตและประพฤติมิชอบเป็ นไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น พระราชกฤษฎีกา ก าหนดจ านวน ที่ตั้ง เขตศาล และวันเปิ ดท าการของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค พ.ศ. 2560 ให้เปิดท าการศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 3 ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2560 และส านักงานอัยการ สูงสุดได้เปิดท าการส านักงานคดีปราบปรามการทุจริตภาค 3 เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ.2560 ตามค าสั่งส านักงานอัยการ สูงสุดที่ 517/2560 ลงวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2560 โดยมีสถานที่ตั้งอยู่ที่อาคารส านักงานอัยการจังหวัดสุรินทร์ ชั้นที่ 3 ถนนจิตรบ ารุง ต าบลในเมือง อ าเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ ส านักงานคดีปราบปรามการทุจริตภาค 3 และส านักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 1 ภาค 3 เป็ น หน่วยงานภายใต้การบริหารของส านักงานอัยการสูงสุด จัดตั้งขึ้นตามประกาศคณะกรรมการอัยการ เรื่องการแบ่งหน่วยงาน และการก าหนดอ านาจและหน้าที่ของหน่วยงานภายในของส านักงานอัยการสูงสุด (ฉบับที่ 22) พ.ศ. 2560 ที่ได้ก าหนดให้ มีการจัดตั้ง “ส านักงานคดีปราบปรามการทุจริตภาค” ซึ่งประกอบไปด้วย (ก) ส านักอ านวยการ (ข) ส านักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 1 ภาค (ค) ส านักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 2 ภาค โดยให้มีอ านาจและหน้าที่ ดังต่อไปนี้ (ก) รับผิดชอบการด าเนินคดีอาญาทั้งปวงตามที่กฎหมายก าหนดให้เป็ นอ านาจและหน้าที่ ของพนักงานอัยการหรือส านักงานอัยการสูงสุด ซึ่งอยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของศาลอาญา เว้นแต่คดีเกี่ยวกับเศรษฐกิจ และทรัพยากร คดีเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ และคดีเกี่ยวกับการป้ องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ (ข) รับผิดชอบเฉพาะการด าเนินคดีแก้ต่างคดีทุจริตและประพฤติมิชอบตามที่กฎหมายก าหนดให้เป็ นอ านาจและ หน้าที่ของพนักงานอัยการ ซึ่งอยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง (ค) รับผิดชอบการด าเนินคดีอาญาทั้งปวงตามที่กฎหมายก าหนดให้เป็ นอ านาจและหน้าที่ของพนักงานอัยการหรือ ส านักงานอัยการสูงสุด ซึ่งอยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของศาลจังหวัดมีนบุรี เว้นแต่คดีเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ (ง) รับผิดชอบการด าเนินคดีทั้งปวงตามที่กฎหมายก าหนดให้เป็ นอ านาจและหน้าที่ของพนักงานอัยการหรือ ส านักงานอัยการสูงสุด ซึ่งอยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เว้นแต่ การด าเนินคดีแก้ต่างคดีทุจริตและประพฤติมิชอบตามที่กฎหมายก าหนดให้เป็ นอ านาจและหน้าที่ของพนักงานอัยการ KM : Perfect Public Prosecutor (KM : 3P) ส ำนักงำนอัยกำรพิเศษฝ่ ำยบริหำรจัดกำรควำมรู้ ขอเสนอเทคนิค ข้อสังเกตกำรว่ำต่ำง แก้ต่ำง คดีอำญำ คดีแพ่ง เป็ นเกร็ดควำมรู้ เพื่อทบทวนและเพิ่มศักยภำพ ในกำรปฏิบัติหน้ำที่ของพนักงำนอัยกำร ประจ ำวันที่ 28 เมษำยน 2566
www.kmcenter.ago.go.th Knowledge Management System : KMS ส ำนักงำนวิชำกำร ศูนย์กฎหมำยและเอกสำรวิชำกำร คลังควำมรู้ แหล่งรวมควำมรู้เพื่อกำรท ำงำน ศูนยร์ำชกำรเฉลิมพระเกียรตฯิอำคำรรำชบุรีดิเรกฤทธิ์ช้นั3 เลขที่ 120 หมู่ 3 ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหำนคร 10210 โทร 0 2142 1499 โทรสำร 0 2143 9475 (จ) ปฏิบัติงานร่วมกับหรือสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องหรือที่ได้รับมอบหมาย ส านักงานคดีปราบปรามการทุจริตภาค มีอธิบดีอัยการเป็ นผู้บังคับบัญชาและรับผิดชอบในการปฏิบัติราชการ มีอ านาจและหน้าที่ (ก) รับผิดชอบการด าเนินคดีทั้งปวงตามที่กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้ องกันและปราบปรามการ ทุจริตก าหนดให้เป็ นอ านาจและหน้าที่ของอัยการสูงสุด ซึ่งประธานคณะกรรมการป้ องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ส่งส านวนมาให้ด าเนินคดีตามที่อัยการสูงสุดมอบหมาย (ข) รับผิดชอบการด าเนินคดีทั้งปวงตามที่กฎหมายก าหนดให้เป็ นอ านาจและหน้าที่ของพนักงานอัยการหรือ ส านักงานอัยการสูงสุด ซึ่งอยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค (ค) ปฏิบัติงานร่วมกับหรือสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องหรือที่ได้รับมอบหมายให้หน่วยงาน ราชการในส านักงานคดีปราบปรามการทุจริตภาค มีอ านาจและหน้าที่ ดังต่อไปนี้ (ก) ส านักอ านวยการ มีอ านาจและหน้าที่ 1) รับผิดชอบงานธุรการ งานสารบบคดี งานบริหารงานบุคคล งานเลขานุการนักบริหาร งานงบประมาณ งานการเงินและบัญชี และงานเกี่ยวกับอาคารสถานที่ พัสดุ และยานพาหนะ ของส านักงานคดีปราบปรามการทุจริตภาค 2) ปฏิบัติงานร่วมกับหรือสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องหรือที่ได้รับมอบหมาย (ข) ส านักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 1 ภาค และส านักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปราม การทุจริต 2 ภาค มีอัยการพิเศษฝ่ายเป็ นผู้บังคับบัญชาและรับผิดชอบในการปฏิบัติราชการ มีอ านาจและหน้าที่ 1)รับผิดชอบงานส านักงานคดีปราบปรามการทุจริตภาคตามที่ส านักงานอัยการสูงสุดก าหนด 2)ปฏิบัติงานร่วมกับหรือสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องหรือที่ได้รับมอบหมาย ส านวนคดีที่อยู่ในอ านาจพิจารณาของส านักงานคดีปราบปรามการทุจริตภาค 3 ได้แก่ 1. ส านวนการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. 2. ส านวนการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ท. 3. ส านวนการสอบสวนของพนักงานสอบสวนที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ส่งเรื่องให้ด าเนินการตามประมวล กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 4. ส านวนการสอบสวนของพนักงานสอบสวนที่คณะกรรมการ ป.ป.ท.ส่งเรื่องให้ด าเนินการตามประมวล กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 5. ส านวนการสอบสวนของพนักงานสอบสวนที่ได้ด าเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ อาญาหรือตามกฎหมายอื่น 6. ส านวนการสอบสวนคดีทุจริตและประพฤติมิชอบของพนักงานสอบสวนที่เกี่ยวกับการกระท าความผิด ฐานฟอกเงิน หรือการกระท าความผิดตามกฎหมายว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ กฎหมายว่า ด้วยการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ หรือกฎหมายอื่นที่มีวัตถุประสงค์ในการป้ องกันและปราบปรามการทุจริตหรือ ประพฤติมิชอบ 7. ส านวนการสอบสวนคดีทุจริตและประพฤติมิชอบของพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่เกี่ยวกับการกระท า ความผิดฐานฟอกเงิน หรือการกระท าความผิดตามกฎหมายว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ กฎหมายว่าด้วยการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ หรือกฎหมายอื่นที่มีวัตถุประสงค์ในการป้ องกันและปราบปรามการ ทุจริตหรือประพฤติมิชอบ KM : Perfect Public Prosecutor (KM : 3P)
www.kmcenter.ago.go.th Knowledge Management System : KMS ส ำนักงำนวิชำกำร ศูนย์กฎหมำยและเอกสำรวิชำกำร คลังควำมรู้ แหล่งรวมควำมรู้เพื่อกำรท ำงำน ศูนยร์ำชกำรเฉลิมพระเกียรตฯิอำคำรรำชบุรีดิเรกฤทธิ์ช้นั3 เลขที่ 120 หมู่ 3 ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหำนคร 10210 โทร 0 2142 1499 โทรสำร 0 2143 9475 8. ส านวนแก้ต่างคดีอาญาให้กับหน่วยงานของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐหรือราษฎร ส านักงานคดีปราบปรามการทุจริตภาค 3 และส านักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 1 ภาค 3 มีหน้าที่รับผิดชอบด าเนินคดีในเขตอ านาจของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 3 มีอ านาจครอบคลุม 8 จังหวัด ได้แก่ 1. จังหวัดชัยภูมิ 2. จังหวัดยโสธร 3. จังหวัดนครราชสีมา 4. จังหวัดบุรีรัมย์ 5. จังหวัดศรีสะเกษ 6. จังหวัดสุรินทร์ 7. จังหวัดอุบลราชธานี และ8. จังหวัดอ านาจเจริญ พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ.๒๕๕๙ มาตรา ๓ ว่า “ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ” หมายความว่า ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง และศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค “คดีทุจริตและประพฤติมิชอบ” หมายความว่า คดีดังต่อไปนี้ ไม่ว่าจะมีข้อหาหรือความผิดอื่นที่เกี่ยวข้อง กันรวมอยู่ด้วยหรือไม่ก็ตาม (1) คดีอาญาที่ฟ้ องให้ลงโทษเจ้าหน้าที่ของรัฐในความผิดต่อต าแหน่งหน้าที่ราชการหรือความผิดต่อ ต าแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรมตามประมวลกฎหมายอาญา ความผิดต่อต าแหน่งหน้าที่หรือทุจริตต่อหน้าที่ตามกฎหมายอื่น หรือความผิดอื่นอันเนื่องมาจากการประพฤติมิชอบ (2) คดีอาญาที่ฟ้ องให้ลงโทษเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือบุคคลที่กระท าความผิดฐานฟอกเงินที่เกี่ยวเนื่องกับ ความผิดตาม (1) หรือกระท าความผิดตามกฎหมายว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ กฎหมายว่า ด้วยการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ หรือกฎหมายอื่นที่มีวัตถุประสงค์ในการป้ องกันและปราบปรามการทุจริตหรือ ประพฤติมิชอบ (3) คดีอาญาที่ฟ้ องให้ลงโทษบุคคลในความผิดเกี่ยวกับการเรียก รับ ยอมจะรับ หรือให้ ขอให้ รับว่าจะให้ ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด หรือการใช้ก าลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้ก าลังประทุษร้าย หรือใช้อิทธิพลเพื่อจูงใจหรือข่มขืน ใจให้เจ้าหน้าที่ของรัฐกระท าการ ไม่กระท าการ หรือประวิงการกระท าใดตามประมวลกฎหมายอาญาหรือกฎหมายอื่น (4) คดีอาญาที่ฟ้ องขอให้ลงโทษเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือบุคคลตามกฎหมายที่ก าหนดให้เป็ นคดีทุจริตและ ประพฤติมิชอบ (5) คดีอาญาที่ฟ้ องขอให้ลงโทษบุคคลที่ร่วมกระท าความผิดกับเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือบุคคลตาม (1) ถึง (4) ไม่ว่าในฐานะตัวการ ผู้ใช้ ผู้สนับสนุน หรือผู้สมคบ (6) คดีเกี่ยวกับการจงใจไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้ สินและเอกสารประกอบ หรือจงใจยื่น บัญชีและเอกสารดังกล่าวด้วยข้อความอันเป็ นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ (7) คดีร้องขอให้ทรัพย์สินตกเป็ นของแผ่นดินเพราะเหตุร ่ารวยผิดปกติหรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติ (8) กรณีที่มีการขอให้ศาลด าเนินกระบวนพิจารณาอย่างหนึ่งอย่างใดก่อนยื่นฟ้ องหรือยื่นค าร้องขอตาม (1) ถึง (7) ความในวรรคหนึ่งมิให้รวมถึง (1) คดีที่อยู่ในอ านาจของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ด ารงต าแหน่งทางการเมือง (2) คดีที่อยู่ในอ านาจของศาลเยาวชนและครอบครัวตามกฎหมายว่าด้วยศาลเยาวชนและครอบครัวและ วิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว KM : Perfect Public Prosecutor (KM : 3P)
องค์ควำมรู้ที่เผยแพร่ใน Line KM : 3P ท้งัหมด อัยกำรพิเศษฝ่ ำยบริหำรจัดกำรควำมรู้ KMS : คลังควำมรู้ คลังกฎหมำยและเอกสำร ควำมรู้ ตอบข้อหำรือ คลังสมอง กำรเข้ำใช้งำนระบบสำรสนเทศกำรจัดกำรควำมรู้ (KMS) kms.ago.go.th www.kmcenter.ago.go.th Knowledge Management System : KMS ส ำนักงำนวิชำกำร ศูนย์กฎหมำยและเอกสำรวิชำกำร คลังควำมรู้ แหล่งรวมควำมรู้เพื่อกำรท ำงำน ศูนยร์ำชกำรเฉลิมพระเกียรตฯิอำคำรรำชบุรีดิเรกฤทธิ์ช้นั3 เลขที่ 120 หมู่ 3 ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหำนคร 10210 โทร 0 2142 1499 โทรสำร 0 2143 9475 ข้อสรุปสาระส าคัญ/แก่นความรู้ ในการพิจารณาตรวจส านวนคดีจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อด าเนินการยื่นค าร้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและ ประพฤติชอบภาค 3 ขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินที่ร ่ารวยผิดปกติตกเป็ นของแผ่นดิน มีข้อควรพิจารณาดังนี้ 1.เมื่อได้รับส านวนคดีร ่ารวยผิดปกติ หรือทรัพย์สินเพิ่มขึ้ นผิดปกติ ต้องตรวจสอบรายงานและส านวนการไต่สวน พร้อมเอกสารประกอบว่า ต้นฉบับและส าเนาครบถ้วนหรือไม่ มีแฟลชไดร์ฟบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับรายงานและส านวนการ ไต่สวนและส าเนาอิเล็กทรอนิกส์หรือไม่ 2. ตรวจสอบวันครบก าหนด 90 วันนับแต่วันที่ได้รับเรื่องจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามพระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้ องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 122, 119 3. เสนอส านวนพร้อมท าความเห็น และร่างค าร้องขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินที่ร ่ารวยผิดปกติตกเป็ นของแผ่นดิน ไปยังอัยการสูงสุด ตามล าดับชั้นถึงให้อัยการสูงสุด เพื่อให้อัยการสูงสุดมอบหมายให้พนักงานอัยการ ส านักงานอัยการพิเศษ ฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 1 ภาค 3 รับผิดชอบด าเนินคดีแทนอัยการสูงสุด 4. จัดท าหนังสือแจ้งไปยังประธานกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อให้จัดส่งเงินค่าใช้จ่ายในการด าเนินคดี 5. เมื่ออัยการสูงสุด มีค าสั่งมอบหมายให้พนักงานอัยการด าเนินคดีเฉพาะเรื่อง มอบฉันทะ และลงนามในค าร้อง ขอให้ศาลมีค าสั่งให้ทรัพย์สินที่ร ่ารวยผิดปกติตกเป็ นของแผ่นดินแล้ว พนักงานอัยการ ส านักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดี ปราบปรามการทุจริต 1 ภาค 3 ยื่นค าร้องขอให้ศาลมีค าสั่งให้ทรัพย์สินที่ร ่ารวยผิดปกติตกเป็ นของแผ่นดิน ค าร้องขอส่ง ส าเนาค าร้องขอให้ศาลมีค าสั่งให้ทรัพย์สินที่ร ่ารวยผิดปกติตกเป็ นของแผ่นดิน ปิ ดหมาย และวางเงินค่าน าหมาย ค าแถลง ยืนยันที่อยู่ผู้ครอบครองทรัพย์ ต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 3 6. ศาลก าหนดวันนัดพร้อมเพื่อก าหนดวันนัดตรวจพยานหลักฐาน นัดตรวจพยานหลักฐานโดยเจ้าพนักงานคดี นัดตรวจพยานศาล นัดสืบพยานผู้ร้อง นัดสืบพยานผู้ถูกกล่าวหา และนัดสืบพยานผู้คัดค้าน ตามล าดับ กฎหมายหรือระเบียบที่เกี่ยวกับความรู้นี้ - พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้ องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 75, 77, 119, 122, 125 - พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ.2559 มาตรา 3(7) - ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1(3) - ระเบียบส านักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการด าเนินคดีของพนักงานอัยการในคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. 2562 ที่มำ : - การท า KCJ (Knowledge Capturing on Job) จากการท า Workshop ของโครงการอบรมหลักสูตรนักบริหารงานยุติธรรมระดับสูง “หลักสูตรการอบรมอัยการพิเศษฝ่าย” รุ่นที่ 10 (พ.ศ. 2566) ในหัวข้อวิชา การบริหารจัดการความรู้เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะ ผู้บริหาร เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2566 ที่มำ : - ผู้จัดท า KCJ : นายรังสฤษฏ์ จารุจิตร ต าแหน่ง อัยการผู้เชี่ยวชาญพิเศษ สังกัด ส านักงานคดีปราบปรามการทุจริต 1 ภาค 3 นำงสมสุข มีวุฒิสม อัยกำรอำวุโส ส ำนักงำนอัยกำรพิเศษฝ่ ำยบริหำรจัดกำรควำมรู้ KM : Perfect Public Prosecutor (KM : 3P)
kms.ago.go.th Knowledge Management System : KMS ส ำนักงำนวิชำกำร ศูนย์กฎหมำยและเอกสำรวิชำกำร คลังควำมรู้ แหล่งรวมควำมรู้เพื่อกำรท ำงำน ศูนย์รำชกำรเฉลิมพระเกียรติฯ อำคำรรำชบุรีดิเรกฤทธิ์ช้นั3 เลขที่ 120 หมู่ 3 ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหำนคร 10210 โทร 0 2142 1499 โทรสำร 0 2143 9475 เรื่องที่ 105/2566 /2563 องค์ควำมรู้ที่เผยแพร่ใน Line KM : 3P ท้งัหมด อัยกำรพิเศษฝ่ ำยบริหำรจัดกำรควำมรู้ KMS : คลังควำมรู้ คลังกฎหมำยและเอกสำร ควำมรู้ ตอบข้อหำรือ คลังสมอง กำรเข้ำใช้งำนระบบสำรสนเทศกำรจัดกำรควำมรู้ (KMS) kms.ago.go.th ---------------------------- หน้ีภำษีบำ รุงทอ้งที่ที่เกิดหลงัจำกผเู้ป็นเจำ้ของที่ดินถกูพิทกัษท์รพัยเ์ด็ดขำดแลว้ พระราชบัญญัติภาษีบ ารุงท้องที่ พ.ศ. 2508 มาตรา 7 ก าหนดให้ผู้เป็ นเจ้าของที่ดินในวันที่ 1 มกราคม ของปี ใด มีหน้าที่เสียภาษีบ ารุงท้องที่ส าหรับปี นั้น แสดงว่าผู้เป็ นเจ้าของที่ดินต้องเสียภาษีที่ดินทุกปี เมื่อบริษัทยังเป็ นเจ้าของที่ดิน ก็ต้องมีหน้าที่เสียภาษี กรณีต้องตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 22 ซึ่งมิได้ก าหนดห้ามฟ้ องเกี่ยวกับหนี้ ที่เกิดขึ้ นโดยผลของกฎหมายหลังจากถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงต้องเข้าด าเนินการช าระหนี้ ภาษีบ ารุงท้องที่แทนบริษัท เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์โต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์ย่อมมีอ านาจฟ้ องให้ช าระหนี้ ภาษีบ ารุงท้องที่ ข้อสรุปสาระส าคัญ/แก่นความรู้ หนี้ ภาษีบ ารุงท้องที่ที่เกิดขึ้ นโดยผลของกฎหมายหลังจากผู้เจ้าของที่ดินถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว เจ้าพนักงาน พิทักษ์ทรัพย์จึงต้องเข้าด าเนินการช าระหนี้ ภาษีบ ารุงท้องที่แทนผู้เป็ นเจ้าของที่ดิน การฟ้ องคดีจึงฟ้ องเจ้าพนักงานพิทักษ์ ทรัพย์ให้ช าระหนี้ ภาษีบ ารุงท้องที่ค้างช าระ ปัจจุบันมีค าสั่งกรมบังคับคดี ที่ 498/2564 แจ้งให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแจ้งรายการภาษีค้างช าระส าหรับที่ดินและ สิ่งปลูกสร้าง (ตามพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562) เฉพาะส่วนที่เกิดขึ้ นหลังวันที่ศาลมีค าสั่งพิทักษ์ ทรัพย์มายังเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์กันเงินค่าภาษีค้างช าระไว้ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่อไป กฎหมายหรือระเบียบที่เกี่ยวกับความรู้นี้ - พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 22, 94 - พระราชบัญญัติภาษีบ ารุงท้องที่ พ.ศ. 2508 มาตรา 7 ที่มำ : - การท า KCJ (Knowledge Capturing on Job) จากการท า Workshop ของโครงการอบรมหลักสูตรนักบริหารงานยุติธรรมระดับสูง “หลักสูตรการอบรมอัยการพิเศษฝ่าย” รุ่นที่ 10 (พ.ศ. 2566) ในหัวข้อวิชา การบริหารจัดการความรู้เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะผู้บริหาร เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2566 ที่มำ : - ผู้จัดท า KCJ : นายศรชัย เดชคง ต าแหน่ง อัยการผู้เชี่ยวชาญพิเศษ สังกัด ส านักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีภาษีอากร 4 นำยปริญญำ จิตรกำรนทีกิจ อัยกำรอำวุโส ส ำนักงำนอัยกำรพิเศษฝ่ ำยบริหำรจัดกำรควำมรู้ KM : Perfect Public Prosecutor (KM : 3P) ส ำนักงำนอัยกำรพิเศษฝ่ ำยบริหำรจัดกำรควำมรู้ ขอเสนอเทคนิค ข้อสังเกตกำรว่ำต่ำง แก้ต่ำง คดีอำญำ คดีแพ่ง เป็ นเกร็ดควำมรู้ เพื่อทบทวนและเพิ่มศักยภำพ ในกำรปฏิบัติหน้ำที่ของพนักงำนอัยกำร ประจ ำวันที่ 28 เมษำยน 2566