The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เรื่องอิเหนา ตอน ศึกกะหมังกุหนัง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by 406501019, 2022-09-22 02:11:03

เรื่องอิเหนา ตอน ศึกกะหมังกุหนัง

เรื่องอิเหนา ตอน ศึกกะหมังกุหนัง

อิเหนา ตอน ศึกกะหมังกุหนิง

ตัวละคร

อิเหนา

เป็นโอรสของท้าวกุเรปันแห่งกรุงกุเรปัน อิเหนาเป็นชายรูปงาม
มีเสน่ห์ มีความเชี่ยวชาญในการใช้กริชและกระบี่เป็นอาวุธ
มีมเหสีถึง ๑o องค์

ลักษณะนิสัย
พูดจาอ่อนหวาน เป็นคนรอบคอบ มองการณ์ไกล

เป็นคนมีความรับผิดชอบ ดื้อดึงเเต่ยำเกรงต่อบิดา

ตัวละคร

บุษบา

เป็นพระธิดาของท้าวดาหาเเละเป็นคู่ตุนาหงันกับอิเหนา
ซึ่งพระบิดาหมั้นหมายไว้ตั้งแต่เด็ก

ลักษณะนิสัย
มีกิริยามารยาทเรียบร้อย คารมคมคาย เฉลียวฉลาด

ทันคน ใจกว้าง และมีเหตุผล

ตัวละคร

ท้าวกุเรปัน

กษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่งในวงศ์เทวา​มีโอรสธิดากับ
ประไหมสุหรีคือ อิเหนากับวิยะดา ท้าวกุเรปันมีน้องชาย​๓ องค์
คือ ท้าวดาหา ท้าวกาหลัง และท้าวสิงหัดส่าหรี

ลักษณะนิสัย
ท้าวกุเรปันเป็นคนถือยศศักดิ์ ไม่ไว้หน้าใคร เข้มเเข็ง

เด็ดขาด เเละเป็นคนรักเกียรติรักวงศ์ตระกูล

ตัวละคร

ท้าวดาหา

ท้าวดาหาเป็นอนุชาของท้าวกุเรปัน เป็นกษัตริย์ผู้ครองกรุง
ดาหา ท้าวดาหามีโอรสและธิดากับประไหมสุหรี ๒ องค์คือ
บุษบาหนึ่งหรัดกับสียะตรา

ลักษณะนิสัย

ท้าวดาหาเป็นผู้รักษาวาจาเเละมีความรอบคอบในการศึก

ตัวละคร

ท้าวหมันยา


ระตูหมันหยาเป็นโอรสของท้าวมังกัน​มีธิดาเพียงองค์เดียว

คือ จินตะหราวาตี​ระตูหมันหยาไม่ได้เป็นเชื้อสายวงศ์เทวัญ​

ลักษณะนิสัย

มีจิตใจอ่อนแอเเละไม่มีความเป็นนักสู้

ตัวละคร

ท้าวกะหมันกุหนิง

ท้าวกะหมังกุหนิงผู้ครองเมืองกะหมังกุหนิง มีน้องชาย ๒ คน
คือ ระตูปาหยังกับระตูประหมันและมีโอรสชื่อวิหยาสะกำ
ลักษณะนิสัย

เป็นคนตัดสินเด็ดขาด ประมาท ตามใจลูกทุกอย่าง
เเละเป็นผู้ที่รักลูกยิ่งกว่าชีวิต

ตัวละคร

วิหยาสะกำ

วิหยาสะกำเป็นโอรสของท้าวกะหมังกุหนิง เป็นหนุ่มรูปงาม

ผิวพรรณผุดผ่อง มีฝีมือในการใช้ทวนเป็นอาวุธ จึงเป็นที่สุด

สวาทของพระบิดา พระมารดาและมีความสามารถด้านการรบ

เหมือนพ่อ​

ลักษณะนิสัย
วิหยาสะกำมีนิสัยเอาเเต่ใจตนเอง เเละเป็นคนรักศักดิ์ศรี

ตัวละคร

จินตะหรา

จินตะหราวาตี เป็นธิดาของระตูหมันหยากับประไหมสุหรี

จินดาส่าหรีแห่งเมืองหมันหยา มีรูปโฉมงดงาม มีผิวสองสี

ลักษณะนิสัย
จินตรามีนิสัยเอาแต่ใจตัวเอง ขี้น้อยใจ ชอบพูดตัดพ้อ
ประชดประชันอย่างเช่น

ตัวละคร

สังคามาระตา

สังคามาระตา โอรสของระตูปรักมาหงันและเป็นน้องของ
มาหยารัศมี สังคามาระตาเป็นหนุ่มรูปงาม เป็นคู่คิดคู่ปรึกษา
และช่วยเตือนสติอิเหนาได้หลายครั้ง อิเหนารักสังคามาระตา
ดุจน้องชายแท้ๆ

ลักษณะนิสัย
มีความกล้าหาญและมั่นใจในตัวเอง อาสาต่อสู้กับวิหยาสะกำ
ถนัดการใช้ทวน

ตัวละคร

จรกา

จรกามีรูปร่างหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ ผิวคล้า ผมหยิก ผิวหน้าขรุขระ

ปากหนา จมูกใหญ่ เเต่หลงรักหญิงที่มีโฉมงามอย่างบุษบา

ลักษณะนิสัย

เป็นคนที่หวังกับสิ่งใดที่สูงมากๆ ไม่เจียมเนื้อเจียมตัว
รูปลักษณ์ขี้เหร่แต่หวังหญิงสาวสูงส่งงามพร้อมอย่างนางบุษบา

เนื้อเรื่องย่อ อิเหนา

ตอน ศึกกะหมังกุหนิง

ในแผ่นดินชวา มีกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่สืบเชื้อสายมาจากวงศ์เทวัญ (เทวดา) ๔ พระองค์
ได้แก่ ท้าวกุเรปัน ท้าวดาหา ท้าวกาหลัง และท้าวสิงหัดส่าหรี ทุกพระองค์ต่างเป็นกษัตริย์
ปกครองนคร ๔ นครตามชื่อของตนเอง ท้าวกุเรปันมีโอรสรูปงามนามว่า ‘อิเหนา’
ส่วนท้าวดาหาก็มีพระธิดาคือ ‘บุษบา’ ผู้ทรงโฉม ตามประเพณีของกษัตริย์วงศ์เทวัญ
ท้าวกุเรปันและท้าวดาหาจึงตุนาหงัน (หมั้นหมาย) อิเหนาและบุษบาไว้ตั้งแต่เกิด

แต่เมื่ออิเหนาโตเป็นหนุ่ม
อายุ ๑๕ ปีก็ไปพบรักกับ

จินตะหราวาตี
ธิดาของท้าวหมันหยาที่พบในงาน
พระเมรุของพระอัยยิกา (ยาย)
อิเหนาคลั่งไคล้นางจินตะหราวาตีมาก
เเละปฎิเสธการหมั้นหมายกับนาง

บุษบาด้วย

ท้าวดาหาจึงโกรธมากและประกาศว่าจะ
ยกบุษบาให้ใครก็ได้ที่มาสู่ขอ

เมื่อจรกาได้ทราบข่าวจึงไปสู่ขอนาง
บุษบา ท้าวดาหาก็ต้องยกให้แม้จะไม่
เต็มใจนักเพราะจรกานั้นรูปชั่วตัวดำ

ในขณะเดียวกัน ท้าวกะหมังกุหนิงจึงไปสู่ขอนาง
‘วิหยาสะกำ’ บุษบาจากท้าวดาหา แต่ก็ถูก
ปฎิเสธ เนื่องจากท้าวดาหายก
โอรสของท้าวกะหมังกุหนิง นางบุษบาให้จรกาไปแล้ว
ได้พบรูปวาดของนางบุษบา
ท้าวกะหมังกุหนิงโกรธมาก
ขณะออกประพาสป่าและ จึงยกทัพมาล้อมกรุงดาหา
หลงใหลในตัวบุษบา
เป็นอย่างมาก เพื่อชิงตัวนางบุษบา

ท้าวดาหาจึงได้ขอความช่วยเหลือจาก
ท้าวกุเรปัน ท้าวกาหลัง ท้าวสิงหัดส่าหรี
และจรกาให้ยกทัพมาช่วยกันรบ

ท้าวกุเรปันสั่งให​้อิเหนามาช่วยรบ
ที่กรุงดาหาและเป็นที่มาของอิเหนา
ตอน ศึกกะหมังกุหนิง

แต่เรื่องวุ่นวายก็ยังไม่จบเพียงเท่านี้ เพราะเมื่ออิเหนารบชนะก็ได้เข้าเฝ้าท้าวดาหาและได้
พบกับนางบุษบา อิเหนาเมื่อได้พบนางบุษบาก็หลงรักนางทันทีและรู้สึกเสียดายมาก จากที่
ก่อนหน้านี้อิเหนามีความเห็นว่าความหลงใหลในตัวบุษบาของจรกาและวิหยาสะกำนั้นนำไปสู่
การสู้รบแย่งชิงนางบุษบา ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นเลย แต่เมื่อได้พบนางบุษบาอิเหนาก็
กลับหลงรักนางเสียเอง แถมยังพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้นางบุษบามาครองจนนำไปสู่
ความวุ่นวายต่าง ๆ และเหตุการณ์นี้ก็เป็นที่มาของสำนวนที่ว่า ‘ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง’
ที่เราได้ยินกันอยู่บ่อย ๆ นั่นเอง

ฉาก

ฉากในพระราชวัง
ฉากในพระราชวังมีความสอดคล้องกับเหตุการณ์

ในเรื่อง บทสนทนาที่ใช้ฉากในวังมักจะเป็นบทที่มี
ความจริงจังจึงทำให้รู้สึกเข้าถึงเนื้อเรื่องเมื่อได้เห็ฉาก
อีกทั้งฉากมีความเหมาะสมตามความเป็นจริง

ฉาก

ฉากในป่า
ฉากในป่าเป็นฉากที่วิหยาสะกำได้เจอ

รูปนางบุษาแล้วหลงใหลซึ่งความหลงใหลนี้
เกี่ยวข้องกับความรักเมื่อบวกรวมกับฉากในป่า
ที่ร่มรื่นผู้อ่านมีอารมณ์ต่อการอ่านในทางบวก
อีกทั้งฉากมีความเหมาะสมตามเนื้อเรื่องที่
ควรจะเป็น

ฉาก

ฉากสนามรบ
ฉากสนามรบในฉากที่มีความเหมาะสมกับ

เรื่องราว เพราะมีการใช้สถานที่ที่ถูกกาลเทศะ
ตรงกับสภาพความเป็นจริง ฉากนี้ทำให้ผู้อ่าน
รู้สึกร่วมอยู่กับการรบนี้ด้วย เพราะมีสิ่งแวดล้อม
ที่ชวนให้เข้าถึงเรื่อง

แก่นเรื่อง



การทําอะไรโดยไม่ยั้งคิดหรือคำนึงถึงผลที่จะตามมา เราควรจะคิดและชั่งใจเสียก่อนว่า

เป็นการกระทำที่ถูกต้องหรือไม่ ทำแล้วเกิดผลอะไรบ้างแล้วผลที่เกิดขึ้นนั้นก่อความเดือดร้อน

ให้ผู้อื่นหรือไม่

ถ้าเราทําอะไรโดยไม่ยั้งคิดก็มีแต่จะเกิดปัญหาตามมามากมายเราจะเห็นตัวอย่างได้จาก
เรื่องอิเหนาในตอนที่อิเหนาได้ไปร่วมพิธีศพของพระอัยกีแทนพระมารดาที่เมืองหมันหยา
หลังจากที่อิเหนาได้พบกับจินตหราวาตีก็หลงรักมากไม่ยอมกลับบ้านเมืองของตนไม่สนใจ
พระบิดาและพระมารดา ไม่สนใจว่าตนนั้นมีคู่หมั้นอยู่แล้ว ซึ่งมิได้คำนึงถึงผลที่จะตามมาจาก
ปัญหาที่ตนได้ก่อขึ้น จากการกระทำของอิเหนาในครั้งนี้ก็ได้ทำให้เกิดปัญหาหลายอย่างตามมา

โครงเรื่อง

การนำเรื่อง

เป็นการกล่าวแนะนำตัวละครหลักในเรื่องโดยมีกษัตริย์จากวงศ์เทวัญทั้ง ๔ ที่มีหน้าที่
ปกครองเมืองต่างกันไป ซึ่งได้แก่ ท้าวกุเรปัน ท้าวดาหา ท้าวกาหลัง ท้าวสิงหัดส่าหรี
และได้มีการแนะนำพระเอกและนางเอกของเรื่อง ซึ่งก็คืออิเหนา(พระโอรสของท้าวกุเรปัน)
และบุษบา(พระธิดาของท้าวดาหา) ซึ่งได้มีการหมั้นหมายไว้ตั้งแต่เกิด

โครงเรื่อง

ปมเรื่อง

ปมแรก คือ ท้าวกุเรปันให้อิเหนาอภิเษกกับบุษบา แต่อิเหนาหลงรักจินตะหรา
ปมที่สอง คือ ท้าวดาหาเคืองอิเหนา ยกบุษบาให้จรกา
ปมที่สาม คือ ท้าวกะหมังกุหนิงมาสู่ขอบุษบาให้วิหยาสะกำแต่ท้าวดาหายกให้จรกา

ไปแล้ว

วิกฤตเรื่อง

การรบกันระหว่างฝ่ายกะหมังกุหนิงและฝ่ายอิเหนาซึ่งเกิดจากการแย่งชิงบุษบา

โครงเรื่อง

จบเรื่อง

ในตอนจบของเรื่องอิเหนา กะหมังกุหนิงและวิหยาสะกำได้ถูกฆ่าตายด้วยฝีมืออิเหนาและ

สังคามาระตา จึงทำให้การรบครั้งนี้อิเหนาเป็นฝ่ายชนะ เมื่อรบเสร็จอิเหนาต้องเข้าเฝ้า
ท้าวดาหาจึงทำให้อิเหนาได้พบเจอกับบุษบาเป็นครั้งแรกแล้วหลงรักในทันทีจากที่เคย
กล่าวหาวิหยาสะกำกับจรกาว่าหลงชอบนางได้อย่างไรทั้งที่นางทำให้ทุกอย่างวุ่นวาย
เหตุนี้จึงเป็นที่มาของสำนวนที่ว่า “ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง”

ผู้ประพันธ์

บทละครเรื่อง อิเหนา พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จ

พระพุทธเลิศหล้านภาลัย เป็นบทละครที่ได้รับการยกย่องจาก

วรรณคดีสโมสรให้เป็น “ยอดของบทละครรำ”

โดยมุ่งหมายให้รักษาจารีตประเพณีของราชสำนัก
ศิลปะการ ร่ายรำและท่าทาง เพลงที่ใช้และบทเจรจามีจังหวะ
นุ่มนวลไพเราะ เพื่อให้สมกับเป็นละครแบบฉบับ
อิเหนาจึงถือว่ามีความสำคัญใน ฐานะที่เป็นมรดกของชาติไทย

ลักษณะคำประพันธ์

เรื่องอิเหนานี้ใช้ลักษณะการแต่งแบบกลอนบทละคร โดยมีลักษณะบังคับเหมือน
กลอนสุภาพ แต่วรรคแรกมักจะขึ้นด้วย เมื่อนั้น บัดนั้น มาจะกล่าวบทไป ฯลฯ

-เมื่อนั้น ใช้กับตัวเอกของเรื่องหรือตัวละครกษัตริย์
-บัดนั้น ใช้กับตัวบทละครสามัญ หรือไม่สำคัญ
-มาจะกล่าวบทไป ใช้เมื่อขึ้นตอนใหม่ หรือความใหม่
ทั้งนี้จำนวนคำในแต่ละวรรคจะมีไม่เท่ากัน เพราะจะต้องให้เหมาะสมกับท่ารำและ
ทำนองเพลง นอกจากนี้ต้องมีการกำหนดเพลงหน้าพาทย์สำหรับประกอบกิริยาอาการ
ของตัวละครด้วยพร้อมทั้งบอกจำนวนคำในบทนั้นด้วย คือ ๒ วรรคเป็น ๑ คำกลอน

ลักษณะคำประพันธ์

กลอนบทละคร

เมื่อนั้น

บัดนั้น ดะหมังผู้มียศถา
นบนิ้วบังคมคัลวันทา ทูลถวายสาราพระภูมี

เมื่อนั้น ระตูหมันหยาเรืองศรี
รับสารมาจากเสนี แล้วคลี่ออกอ่านทันใด

คุณค่าด้านเนื้อหา

(๑.)แนวคิด แสดงให้เห็นถึงความรักของพ่อที่มีต่อลูก รักและตามใจทุกอย่าง
แม้กระทั่งตัวตายก็ยอม
(๒.)ฉาก ในเรื่องปรากฏฉากรบที่ชัดเจน มีการตั้งค่าย การใช้อาวุธ และการต่อสู้
ของตัวละครสำคัญ
(๓.)ตัวละคร : อิเหนา เชี่ยวชาญการรบ รอบคอบ อารมณ์อ่อน

จินตะหราวาตี เจ้าอารมณ์ เอาแต่ใจ ช่างพูด
วิหยาสะกำ ใจร้อน เคียดแค้น
ท้าวกะหมังกุหนิง รักลูกมาก

คุณค่าด้านสังคม

ประเพณีและความเชื่อ

แม้บทละครเรื่องอิเหนามีที่มาจากชวา แต่รัชกาลที่ ๒ ทรงดัดแปลงแก้ไขให้เข้ากับ

ธรรมเนียมประเพณีของบ้านเมืองของไทยเรา จึงสามารถหาความรู้เรื่องเหล่านี้จากวรรณคดี

เรื่องอิเหนาได้อย่างถูกต้อง เช่น ความเชื่อเรื่องโชคชะตา เรื่องคำทำนายต่างๆ เหมือนตอนที่
ท้าวกะหมังกุหนิงให้โหรมาทำนายก่อนจะยกทัพไปเมืองดาหา โหรก็ทำนายว่าแม้ตอนที่

อิเหนาจะยกทัพไปช่วยเมืองดาหาก็ต้องดูฤกษ์ยาม มีการทำพิธีตัดไม้ข่มนามหรือพิธีฟันไม้

ข่มนาม และยังมีพิธีเบิกโขลนทวาร ซึ่งทั้ง ๒ พิธีนี้ทำเพื่อความเป็นสิริมงคลและสร้าง
ขวัญกำลังใจให้

คุณค่าด้านวรรณศิลป์

การใช้คำและโวหาร เรื่องอิเหนาตอนศึกกะหมังกุหนิงมีการใช้ภาษาที่สละสลวยให้อารมณ์
อันลึกซึ้งกินใจอีกทั้งมีโวหารเปรียบเทียบให้เห็นภาพพจน์ให้เกิดความรู้สึกสะเทือนอารมณ์
ที่สำคัญยังแฝงด้วยข้อคิดที่มีคุณค่ายิ่งอีกมากมาย

การใช้ภาษาสละสลวยงดงามมีการเล่นคำเล่นสัมผัสพยัญชนะเพื่อให้เกิดความไพเราะ
เช่น ตอนอิเหนาชมดง

รสวรรณคดีไทยและสันสกฤต

๑.เสาวรจนี คือ เป็นการชมความงาม ชมโฉม พร่ําพรรณนาแลบรรยายถึง
ความงามแห่งนาง หรืออาจจะเป็นชมความงามของสถานที่ สิ่งของ

ตัวอย่างบทประพันธ์ : …หนุ่มน้อยโสภาน่าเสียดาย ควรจะนับว่าชายโฉมยง

ทนต์แดงดั่งแสงทับทิม เพริศพริ้มเพรารับกับขน…

จากบทประพันธ์ข้างต้น เป็นการกล่าวชมรูปโฉมขอ
งวิหยาสะกำกล่าวว่าวิหยาสะกำนั้น

เป็นชายหนุ่มรูปงาม ฟันนั้นเป็นแสงแวววาวสีแดงราวกับแสงของทับทิมซึ่งตัดรับกับคิ้ว

รสวรรณคดีไทยและสันสกฤต

๒.นารีปราโมทย์ คือ การทําให้ “นารี” นั้น ปลื้ม “ปราโมทย์” ซึ่งรูปแบบหนี่ง
ก็คือ การแสดงความรัก ผ่านการเกี้ยวและโอ้โลมปฏิโลม

ตัวอย่างบทประพันธ์ :
เมื่อนั้น พระสุริย์วงศ์เทวัญอสัญหยา

โลมนางพลางกล่าวว
าจา จงผินมาพาทีกับพี่ชาย…

จากบทประพันธ์ข้างต้น ก็คือบทที่อิเหนาได้บอกกล่าวกับจินตะหรา ว่าตนไปก็คง

ไปเพียงไม่นาน ขอจินตะหราอย่าร้องไห้โศกเศร้าเลย

รสวรรณคดีไทยและสันสกฤต

๓.พิโรธวาทัง คือ การแสดงความโกธรแค้นผ่านการใช้คําตัดพ้อต่อว่าให้สาใจ
ทั้งยังสําแดงความน้อยเนื้อต่ําใจ ความผิดหวัง ตัดพ้อและประชดประเทียดเสียด

ตัวอย่างบทประพันธ์ : …ตรัสพลางย่างเยื้องยุรยาตร จากอาสน์แท่นทองผ่องใส
พนักงานปิดม่านทันใด เสด็จเข้าข้างในฉับพลันฯ

จากบทประพันธ์ข้างต้น ท้าวกะหมังกุหนิงกล่าวไว้ว่าถ้าท้าวดาหาไม่ยอมยกบุษบาให้กับ
วิหยาสะกำ ก็ขอให้เตรียมบ้านเมืองไว้ให้ดีเพราะเมืองกะหมังกุหนิงจะยกทัพมารบ
เมื่อท้าวดาหาได้ฟังก็โกรธเดือดดาลทันใด จึงบอกไปว่าจะมารบก็มาแล้วก็ลุกออกไปทันที

รสวรรณคดีไทยและสันสกฤต

๔. สัลลาปังคพิไสย คือการโอดคร่ําครวญ หรือบทโศกอันว่าด้วยการจากพรากสิ่งอันเป็นที่รัก

ตัวอย่างบทประพันธ์ : …จากพรากจับจากจํานรรจา เหมือนจากนางสการะวาตี
แขกเต้าจับเต่าร้างร้อง เหมือนร้างห้องมาหยารัศมี…

จากบทประพันธ์ข้างต้น จะเห็นได้ว่าอิเหนากำลังโศกเศร้าอย่างหนัก จะเรียกว่าอยู่
ในขั้นสาหัสเลยก็ว่าได้ เพราะไม่ว่าจะมองอะไร ก็นึกถึงแต่นาง ทั้งสามที่ตนรัก อันได้แก่
จินตะหรา มาหยารัศมี และสการะวาตี มองสิ่งใด ก็สามารถเชื่อมโยงกับนางทั้งสามได้หมด

รสวรรณคดีไทยและสันสกฤต

๑.ศฤงคารรส (รสแห่งความรัก) เป็นการพรรณนาความรักระหว่างหนุ่มสาวระหว่าง

สามีภรรยา ฯลฯ สามารถทําให้ผู้อ่านเห็นคุณค่าของความรัก นึกอยากรักกับเขาบ้าง
ตัวอย่างบทประพันธ์ : ...ถึงไปก็ไม่อยู่นาน เยาวมาลย์อย่าโศกเศร้าหมอง

พระจุมพิตชิดเชยปรางทอง กรประคองนฤมลขึ้นบนเพลาฯ

จากบทประพันธ์ข้างต้น เนื้อความจะคล้ายกับตัวอย่างที่ยกไว้ในรสนารีปราโมทย์

คือ ตนก็ยังรักจินตะหราอยู่ไม่ได้หนีหน่ายไปไหนขอจินตะหราอย่าโศกเศร้า

เสียใจไปเลย

รสวรรณคดีไทยและสันสกฤต

๒. หาสยรส (รสแห่งความขบขัน) เป็นการพรรณนาที่ทําให้เกิดความร่าเริง ขบขัน
อาจทําให้ผู้อ่านผู้ดูยิ้มกับหนังสือ ยิ้มกับภาพที่เห็นถึงกับลืมทุกข์ดับกลุ้มไปชั่วขณะ

ตัวอย่างบทประพันธ์ : …บ้างบ่าวเข้าคนละบ่าพานายวิ่ง ประเจียดเครื่องเปลื้องทิ้งไว้เกลื่อกล่น

บ้างหนามเกี่ยวหัวหูไม่รู้ตน ซุกซนด้นไปแต่ลําพัง…

บทจากประพันธ์ข้างต้น กวีตั้งใจจะให้ดูแล้วตลกขบขัน คือเมื่อท้าวกะหมังกุหนิง
ถูกกริชแล้ว โดยปกติเมื่อแม่ทัพตาย ใครเล่าจะยังอยู่รบต่อ ก็ได้แต่แตกกระเจิง
หนีกันหัวซุกหัวซุน

รสวรรณคดีไทยและสันสกฤต

๓.กรุณารส (รสแห่งความเมตตากรุณาที่เกิดภายหลังความเศร้าโศก) เป็นบท
พรรณนาที่ทําให้ผู้อ่านหดหู่เหี่ยวแห้ง เกิดความเห็นใจถึงกับน้ําตาไหลพลอยเป็นทุกข์

ตัวอย่างบทประพันธ์ : …แต่การศึกครั้งนี้ไม่ควรเป็น เกิดเข็ญเพราะลูกอัปลักษณ์

จะมีคู่ผู้ชายก็ไม่รัก จึงหักให้สาสมใจ…

จากบทประพันธ์ข้างต้น เมื่ออ่านตรงช่วงนี้แล้ว เราจะรู้สึกสงสารท้าวดาหาขึ้นมาจับใจ
เพราะท้าวดาหาได้แต่ตัดพ้อต่อว่าน้อยใจ ว่าศึกสงครามนั้นมันไม่น่าเกิดขึ้นหรอก
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าลูกของตนนั้นหน้าตาอัปลักษณ์ ดูสิ ขนาดว่าจะแต่งงานทั้งที ผู้ชายเขายังไม่รักเลย
ซึ่งเป็นการกล่าวประชดประชันเพราะท้าวดาหานั้นกำลังน้อยใจอิเหนา

รสวรรณคดีไทยและสันสกฤต

๔.รุทรรส/เราทรรส (รสแห่งความโกรธเคือง) บทบรรยายหรือพรรณนาที่ทําให้

ผู้ดูผู้อ่านขัดใจฉุนเฉียว ขัดเคืองบุคคลบางคนในเรื่อง

ตัวอย่างบทประพันธ์ : เมื่อนั้น ท้าวกะหมังกุหนิงนเรนทร์สูร
ได้ฟังทั้งสองทูตทูล ให้อาดูรเดือดใจดั่งไฟฟ้า…

จากบทประพันธ์ข้างต้น เป็นตอนที่ท้าวกะหมังกุหนิงก็กำลังโกรธยิ่งนัก เพราะตนนั้น
ยอมอ่อนข้อส่งคนไปขอเจรจา แต่ท้าวดาหานั้นหาได้จะรับไว้แม้แต่นิดเดียวเลย

รสวรรณคดีไทยและสันสกฤต

๕.วีรรส (รสแห่งความกล้าหาญ) บทบรรยายหรือพรรณนาที่ทําให้ผู้อ่าน ผู้ดู ผู้ฟัง

พอใจผลงานและ หน้าที่ ไม่ดูหมิ่นงาน อยากเป็นใหญ่ อยากร่ํารวย อยากมีชื่อเสียง

ตัวอย่างบทประพันธ์ : ...จะตั้งหน้าอาสาชิงชัย มิได้ย่อท้อถอยหลัง
สู้ตายไม่เสียดายชีวัง กว่าจะสิ้นชีวังของข้านี้ฯ

จากบทประพันธ์ข้างต้น เป็นตอนที่เจ้าเมืองในปกครองของท้าวกะหมังกุหนิงนั้น
รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะอย่างดีว่า ตนยินดีร่วมรบร่วมต่อสู้อย่างสุดกำลัง
พร้อมจะสู้แม้ตัวจะตายก็ยอม

รสวรรณคดีไทยและสันสกฤต

๖.ภยานกรส (รสแห่งความกลัว ตื่นเต้นตกใจ) บทบรรยายหรือพรรณนาที่ทําให้ผู้อ่าน

ผู้ฟัง ผู้ดู เกิดความกลัว มองเห็นทุกข์เห็นโทษ เห็นภัยในบาปกรรมทุจริต

ตัวอย่างบทประพันธ์ : ...เห็นระตูถอยเท้าก้าวผิด พระกรายกริชแทงอกตลอดหลัง

ล้มลงด่าวดิ้นสิ้นกําลัง มอดม้วยชีวังปลดปลงฯ...

จากบทประพันธ์ข้างต้น บทข้างต้นนี้บรรยายให้เห็นภาพได้อย่างชัดเจน
ว่าท้าวกะหมังกุหนิงนั้น เพียงแค่ก้าวเท้าผิดเพียงก้าวเดียว ก็ถูกอิเหนาแทงกริชจากอก
ทะลุไปถึงหลัง ล้มลงนอนดิ้นลงไปเลยทีเดียว นึกแล้วคงสยดสยองมิใช่น้อย

รสวรรณคดีไทยและสันสกฤต

๗.พีภัตสรส (รสแห่งความชัง ความรังเกียจ) บทบรรยายหรือพรรณนาที่ทําให้ผู้อ่านผู้ดู
ผู้ฟังชังน้ําหน้า ตัวละครบางตัว เพราะจิตบ้าง เพราะความโหดร้ายของตัวละครบ้าง

ตัวอย่างบทประพันธ์ : ...ในลักษณ์นั้นว่าจรกา รูปชั่วต่ําช้าทั้งศักดิ์ศรี
ทรลักษณ์พิกลอดินทรรีย์ ดูไหนไม่มีจําเริญใจ...

จากบทประพันธ์ข้างต้น ได้กล่าวลักษณะของจรกาว่ารูปชั่ว ตัวดำ นามไม่เพราะ ตัวใหญ่

เป็นยักษ์เป็นมาร ขนดกดำ เสียงแหบแห้ง

รสวรรณคดีไทยและสันสกฤต

๘.อัพภูตรส (รสแห่งความพิศวงประหลาดใจ) บทบรรยายหรือพรรณนาที่ทําให้นึก
แปลกใจเอะใจอย่างหนัก ตื่นเต้นนึกไม่ถึงว่าเป็นไปได้เช่นนั้น

ตัวอย่างบประพันธ์ : ...จึงประสูติพระธิดายาใจ งามวิไลล้ําเลิศเพริศพราย
อันอัศจรรย์ที่บันดาด ก็อันตรธานสูญหาย

จากบทประพันธ์ข้างต้น กล่าวถึงความงามของนางถึงขั้นน่าอัศจรรย์ เพราะผู้ที่ได้เห็น

จะตะลึงจนลืมตัวหรือถึงกลับสลบสิ้นสติ

รสวรรณคดีไทยและสันสกฤต

๙.ศานติรส (รสแห่งความสงบ) อันเป็นอุดมคติของเรื่องอันเป็นผลมุ่งหมายทางโลก
และทางธรรม เป็นผลให้ผู้อ่าน ผู้ดู ผู้ฟัง เกิดความสุขสงบในขณะได้เห็น
ได้ฟัง ตอนนั้นด้วย

ตัวอย่างบทประพันธ์ : ไม่มี

จินตภาพ

จินตภาพด้านภาพ เช่น

บันดาลอัศจรรย์หวั่นหวาด กัมปนาทนี่นันต์สนั่นเสียง

อัสนีคะนองก้องสาเนียง เปรี้ยงเปรี้ยงปลาบปลาบแวบวับ

จากคำประพันธ์ข้างต้น เเสดงให้เห็นถึงจินตภาพด้านภาพที่ว่าเเสงของสายฟ้าที่

มีลักษณะเเวบวับ ผู้อ่านจึงเกิดจินตภาพในหัวถึงเเสงของสายฟ้าอย่างชัดเจน

จินตภาพ

จินตภาพด้านเสียง เช่น

แลบพรายเป็นสายอินทรธนู ไม้ไหล้ลู่ล้มระทมไป

เปรี้ยงเปรี้ยงเสียงฟ้าฟาดสาย เย็นทั่วฝูงราษฎ์ประชา

จากบทประพันธ์ข้างต้น เเสดงให้เห็นถึงจินตภาพของเสียงฟ้าร้องที่ดัง

เปรี้ยงเปรี้ยง ทำให้ผู้อ่านเกิดภาพในจินตนาการที่ชัดเจนยิ่งขึ้น

จินตภาพ

จินตภาพด้านการเคลื่อนไหว เช่น

...มะลิวัลย์พันพุ่มคัดเค้า ฤดูดอกออกขาวทั้งราวป่า
บ้างเลื้อยเลี้ยวเกี้ยวกิ่งเหมือนชิงช้า ลมพาพัดแกว่งดั่งแกล้งไกว

จากบทประพันธ์ข้างต้น เเสดงให้เห็นว่ามีจินตภาพการเคลื่อนไหวของไม้เลื้อย
ชนิดหนึ่งที่เลื้อยไปมา ทำให้ผู้อ่านเห็นภาพว่าพันธ์ไม้ชนิดนั้นเคลื่อนไหวได้

โวหารภาพพจน์

๑.อุปมา​​คือ ภาพพจน์เปรียบเทียบสิ่งที่เหมือนกัน โดยมีคำเชื่อมโยง เช่น คำว่า เหมือน
ดุจ ดัง ดั่ง ปาน ราว ประหนึ่ง เพียง เทียม อย่าง ฯลฯ

พระมเหสีห้าองค์ ดั่งอนงค์นางฟ้ากระยาหงัน
เลือกล้วนสุริยวงศ์พงศ์พันธุ์ กษัตริย์ครองเขตขัณฑ์สวรรยา
ตั้งแต่ตามตำแหน่งครบที่ คือประไหมสุหรีเสน่หา
มะเดหวีที่สองรองมา แล้วมะโตโสภานารี

จากคำประพันธข้างต้น ได้เปรียบเทียบถึงความงามพระมเหสีของกษัตริย์ทั้งห้าองค์
ว่างามเหมือนกับนางฟ้าบนสวรรค์

โวหารภาพพจน์

๒.อุปลักษณ์ ​คือ ภาพพจน์เปรียบเทียบที่นำลักษณะเด่นของสิ่งที่ต้องการเปรียบเทียบ
มากล่าวทันที โดยไม่มีคำเชื่อมโยงหรือบางครั้งอาจมีคำว่า เป็น คือ

เมื่อนั้น จึงองค์มิสาระปันหยี
เห็นระตูโรมรุกคลุกคลี พระแกล้งหนีทีท่าเป็นย่อท้อ
เยื้องไหล่ให้หลังรั้งรอรบ ชักสินธพหลบหลีกเลี้ยวล่อ
เวียนวงเป็นหงส์สองคอ กลับกลอกหลอกล่อกันไปมา

จากคำประพันธ์ข้างต้น:เปรียบท่าต่อสู้ขององค์มิสาระปันหยีเวียนเป็นวงหงส์กลับกลอกหลอก
ล่อไปมา ใช้คำว่าเป็น ในการเปรียบ “เวียนวงเป็นหงส์สองคอ”

โวหารภาพพจน์

๓.อติพจน์​คื​อ ภาพพจน์เปรียบเทียบเกินความจริง

อันเกิดพายุใหญ่ไม้ล้ม ระตูจะบังคมบทศรี
ซึ่งฝนตกเจ็ดวันเจ็ดราตรี บรรณาการจะมีเนืองมา
เมื่อพระชันษาสิบห้าขวบ พระเคราะห์ร้ายประจวบกันหนักหนา
จะพลัดพรากจากเมืองถึงสามครา
แต่ว่าเห็นไม่เป็นไรนัก

จากคำประพันธ์ข้างต้น:กล่าวถึงการทำนายฝันและตรวจดวงชะตาของโหราว่าความฝันนั้นไม่
เป็นอันตรายเพราะอนุภาพพระโอรสปรากฏแก่โลกทำให้เกิดซึ่งฟ้าร้องสนั่นชื่อเสียงจะกึกก้องไป
ทั่วทุกทิศจะเกิดพายุใหญ่ต้นไม้ล้มฝนตกเจ็ดวันเจ็ดคืนเปรียบพระโอรสเหมือนแสงพระอาทิตย์
ส่องแสงไปทั่วทุกหนแห่งมียศเหนือกษัตริย์ทั้งปวง

โวหารภาพพจน์

๔.สัทพจน์​คือ ภาพพจน์เปรียบเทียบโดยใช้คำเลียนเสียง

แลบพรายเป็นสายอินทรธนู สักครู่ก็เกิดพายุใหญ
ไม้ไหล้ลู่ล้มระทมไป แล้วฝนห่าใหญ่ตกลงมา
เปรี้ยงเปรี้ยงเสียงฟ้าฟาดสาย แต่มิได้อันตรายจักผ่า
เย็นทั่วฝูงราษฎ์ประชา ทั้งเจ็ดทิวาราตร

จากคำประพันธ์ข้างต้น:กล่าวถึงองค์ประไหมสุหรีเมื่อใกล้กำเนิดอิเหนาก็เกิดสิ่งอัศจรรย์มากมาย
แผ่นดินสะเทือนเป็นควันตลบอบอวลมืดปิดแสงพระอาทิตย์ ฟ้าร้องสนั่นลั่นไปทั่วฟ้าแล้วฝนก็ตกลงมา
ห่าใหญ่ สลับกับเสียงเปรี้ยงเปรี้ยงของสายฟ้าฟาดลงมาแต่ไม่ได้อันตรายใดๆ ฝนตกเย็นไปทั่วเมือง
ถึงเจ็ดคืนเจ็ดวัน


Click to View FlipBook Version