The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สรุปการอบรม สัปดาห์แรก ( 20 -24 พค.67)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by yotsaphat1010, 2024-06-05 04:25:53

สรุปการอบรม สัปดาห์แรก ( 20 -24 พค.67)

สรุปการอบรม สัปดาห์แรก ( 20 -24 พค.67)

เอกสารสรุปการอบรมหลักสูตรผู้บริหารการสาธารณสุขระดับต้น( ผ.บ.ต.) รุ่นที่ 33 (อบรม รุ่น 1 ) วิทยาลัยนักบริหารสาธารณสุขร่วมกับวิทยาลัยพยาบาลบรมราชนนีพุทธชินราช 51 - เครื่องมือ - ข้อมูล 2. Process - โครงสร้างองค์กร/มอบหมายงาน - กฎหมาย - ระบบงาน - การบริหารจัดการ - การสื่อสาร/ประสานงาน/ประชาสัมพันธ์ - เทคโนโลยี (เพียงพอ เหมาะสม ปฏิบัติงานได้จริง) 3. Output - ปริมาณ - คุณภาพ ตัวอย่างการวิเคราะห์ความเสี่ยง เกณฑ์การประเมินระดับโอกาสที่จะเกิดความเสี่ยง ความถี่ของโอกาสที่จะเกิด ระดับคะแนน โอกาสที่จะเกิดความเสี่ยง มากกว่า 15 ครั้ง/ปี 5 สูงมาก 11-15 ครั้ง/ปี 4 สูง 6-10 ครั้ง/ปี 3 ปานกลาง 3-5 ครั้ง/ปี 2 น้อย 1-2 ครั้ง/ปี 1 น้อยมาก ** หรือจะใช้ความถี่ของโอกาสที่จะเกิด เป็น ร้อยละ, มูลค่าผลกระทบ หรือ อื่นๆ** ความเสี่ยงที่จะเกิดการทุจริต องค์ประกอบที่เกิดการทุจริต 1. มีโอกาส 2. การใช้เหตุผลที่เข้าข้างตนเอง 3. มีแรงกดดัน 3. กิจกรรมการควบคุม (Control Activities) หมายถึง การปฏิบัติที่กำหนดไว้ในนโยบายและกระบวนการดำเนินงาน เพื่อให้มั่นใจว่าการปฏิบัติตามการสั่งการจะลดหรือควบคุมความเสี่ยงได้ **ควรนำไปปฏิบัติให้ทั่วทุกระดับ ทุกกระบวนการปฏิบัติงาน หรือขั้นตอนการดำเนินงาน รวมถึงนำเทคโนโลยีมาใช้ในการดำเนินงาน** 1. นโยบาย


เอกสารสรุปการอบรมหลักสูตรผู้บริหารการสาธารณสุขระดับต้น( ผ.บ.ต.) รุ่นที่ 33 (อบรม รุ่น 1 ) วิทยาลัยนักบริหารสาธารณสุขร่วมกับวิทยาลัยพยาบาลบรมราชนนีพุทธชินราช 52 2. การวางแผน 3. การกำกับดูแล 4. การสอบทาน เช่น หัวหน้ารพ.สต.สอบทานกรณีลูกน้องจัดทำแผนฯ 5. การรายงาน เพื่อควบคุมก่อนการส่งว่ามีการตรวจควบคุมหรือยัง 6. การสั่งการ การสื่อสาร เมื่อจัดทำกระบวนงานแล้วต้องมีการสื่อสารให้รับทราบ การมอบหมายหน้าที่ เพื่อมอบหมายงานและปิดจุดเสี่ยงที่เกิดในองค์กร การแบ่งแยกหน้าที่ เพื่อให้ถูกคนถูกงาน ตามปริมาณงานที่เหมาะสม การอนุมัติ อนุญาต ตามลำดับชั้นเพื่อควบคุมความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น การให้ความเห็นชอบ แนวทางการปฏิบัติงาน คู่มือ การให้ความรู้ ความเข้าใจ การจัดเก็บเอกสารอย่างเป็นระบบ มีตัวชี้วัด ดรรชนีบ่งบอกแฟ้มเพื่อให้ง่านต่อการจัดเก็บหรือค้นหา การจดบันทึก การประมวลผลข้อมูล การตรวจนับ เป็นต้น กิจกรรมควบคุม ประกอบด้วย 3 หลักการ 1. ระบุและพัฒนากิจกรรมการควบคุม 2. ระบุและพัฒนากิจกรรมการควบคุม 3. กำหนดกิจกรรมการควบคุม ประเภทของกิจกรรมการควบคุม (Control Activities) 1. การป้องกันPreventive : แบ่งแยกหน้าที่ คุมด้วยรหัส กำหนดระดับอนุมัติ การเก็บรักษาทรัพย์สินมีค่า 2. การค้นพบDetective : สอบทานรายงานผลลัพธ์ รายงานสิ่งผิดปกติ และกระทบยอด ตรวจนับ 3. การลดความเสี่ยงMitigate : การควบคุมอัตโนมัติ 4. การแก้ไขDirective : กำหนดนโยบาย แนวทางคู่มือปฏิบัติงาน ฝึกอบรม และจูงใจ ตัวอย่างกิจกรรมการควบคุมตามการจัดการความเสี่ยง 1. การยอมรับความเสี่ยง ไม่มีกิจกรรมการควบคุม 2. การป้องกัน/ควบคุมความเสี่ยง 3. โอน/การกระจายความเสี่ยง 4. การหลีกเลี่ยงความเสี่ยง 4. สารสนเทศและการสื่อสาร (Information and Communication) หมายถึง สารสนเทศเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับหน่วยงานของรัฐที่จะช่วยให้มีการดำเนินการตามการควบคุมภายใน


เอกสารสรุปการอบรมหลักสูตรผู้บริหารการสาธารณสุขระดับต้น( ผ.บ.ต.) รุ่นที่ 33 (อบรม รุ่น 1 ) วิทยาลัยนักบริหารสาธารณสุขร่วมกับวิทยาลัยพยาบาลบรมราชนนีพุทธชินราช 53 ที่กำหนดเพื่อสนับสนุนให้บรรลุวัตถุประสงค์ของหน่วยงานรัฐ การสื่อสารเกิดขึ้นได้ทั้งจากภายในและภายนอกและเป็นช่องทางเพื่อให้ทราบถึงสารสนเทศที่สำคัญในการควบ คุมการดเนินงาน ของหน่วยงานของรัฐ **การสื่อสารจะช่วยให้บุคลากรในหน่วยงานมีความเข้าใจถึงความรับผิดชอบและความสำคัญของการควบคุมภ ายใน สารสนเทศและการสื่อสาร ประกอบด้วย 3 หลักการ 1. จัดทำหรือหรือจัดหาโดยใช้สารสนเทศที่เกี่ยวข้องและมีคุณภาพเพื่อสนับสนุนการควบคุมภายใน 2. มีการสื่อสารภายในเกี่ยวกับสารสนเทศ รวมถึงวัตถุประสงค์และความรับผิดชอบที่มีต่อการควบคุมภายใน 3. มีการสื่อสารกับบุคคลภายนอกเกี่ยวกับเรื่องที่มีผลกระทบต่อการปฏิบัติตามการึควบคุมภายในที่กำหนด 5. กิจกรรมการติดตามผล(Monitoring and Evaluation) ประกอบด้วย 2 หลักการ 1. ระบุ พัฒนา และดำเนินการประเมินผลระหว่างการปฏิบัติงาน หรือประเมินผลเป็นรายครั้ง 2. ประเมินผลและสื่อสารข้อบกพร่อง ประโยชน์ของการควบคุมภายใน 1. การปฏิบัติ 2. การบริหาร 3. ข้อมูลรายงานทางการเงิน 4. การดำเนินงานขององค์กร ตัวอย่าง ตัวชี้วัด 46 ร้อยละของส่วนราชการและหน่วยงานสังกัดกระทรวงสาธารณสุขผ่านเกณฑ์การตรวจสอบและประเมินผลระบ บการควบคุมภายใน เกณฑ์เป้าหมาย ร้อยละ 84 การดำเนินงานในพื้นที่ 1. การตรวจสอบภายใน โดย ผลการตรวจสอบตามแผนการตรวจสอบภายในประจำปี 2567 หน่วยงานสังกัดกระทรวงสาธารณสุข 2. ประเมินผลระบบการควบคุมภายใน 3. รายงานผล ตัวชี้วัด 45 ร้อยละของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขผ่านเกณฑ์การประเมิน ITA


เอกสารสรุปการอบรมหลักสูตรผู้บริหารการสาธารณสุขระดับต้น( ผ.บ.ต.) รุ่นที่ 33 (อบรม รุ่น 1 ) วิทยาลัยนักบริหารสาธารณสุขร่วมกับวิทยาลัยพยาบาลบรมราชนนีพุทธชินราช 54 เกณฑ์เป้าหมาย ร้อยละ 94 การดำเนินงานในพื้นที่ 1. หน่วยงานต้อง log in เข้าระบบ MITAS เพื่อเข้าประเมินในทุกโครงการ 2. หน่วยงานต้องบันทึก URL เวปไซด์ของหน่วยงานที่ ขั้นตอนการจัดวางระบบควบคุมภายในสำหรับส่วนงานย่อยในส่วนภูมิภาค 1. จัดทำคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการจัดวางระบบการควบคุมภายใน คณะกรรมการติดตามและประเมินผลระบบการควบคุมภายใน คำสั่งต้องเป็นปัจจุบัน 2. จัดทำ Flowchart การปฏิบัติงานตามระบบการควบคุมภายใน 3. จัดทำและประเมินผลแบบสอบถามการควบคุมภายในสำหรับส่วนงานย่อย ประเมินได้ตลอดปี ส่งภายใน 30 วันหลังสิ้นปีงบประมาณ 4. ประเมินองค์ประกอบของการควบคุมภายใน ประเมินได้ตลอดปี ส่งภายใน 30 วันหลังสิ้นปีงบประมาณ 5. สรุปผลการประเมินองค์ประกอบของการควบคุมภายใน เพื่อจัดทำรายงานการประเมินองค์ประกอบของการควบคุมภายใน ประเมินตามแบบ ปค. 4 ส่วนงานย่อย สรุปให้ครบทั้ง 5 องค์ประกอบ ส่งภายใน 30 วันหลังสิ้นปีงบประมาณ 6. นำความเสี่ยงที่มีความจำเป็นต้องได้รับการปรับปรุงแก้ไข จาก Flow Chart แบบสอบถามการควบคุมภายใน และการประเมิน องค์ประกอบของการควบคุมภายในเข้าตารางวิเคราะห์ความเสี่ยง ส่งภายใน 50 วันหลังสิ้นปีงบประมาณ 7. นำความเสี่ยงที่อยู่ในระดับสูงและสูงมากเข้าสู่รายงาน การประเมินผลการควบคุมภายใน (แบบ ปค. 5 ส่วนงานย่อย) ส่งภายใน 60 วันหลังสิ้นปีงบประมาณ 8. สรุปรายงานผลการประเมินการควบคุมภายในภาพรวม ส่วนงานย่อย (แบบ ปค. 5 ภาพรวมส่วนงานย่อย) ส่งภายใน 65 วันหลังสิ้นปีงบประมาณ 9. หัวหน้าหน่วยงานพิจารณาลงนามในแบบ ปค. 4 ส่วนงานย่อย และแบบ ปค. 5 ส่วนงานย่อย ภาพรวม ต้องลงนามให้ครบถ้วนภายใน 2 วันทำการ 10. จัดส่งรายงานผลการประเมินการควบคุมภายใน ประกอบด้วย แบบ ปค. 4 ส่วนงานย่อย แบบ ปค. 5 ส่วนงานย่อยภาพรวมต่อสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด จัดส่งภายใน 1 วันนับจากลงนามครบ 11. จัดทำรายงานการประเมินองค์ประกอบของการควบคุมภายใน (แบบ ปค. 4 ส่วนงานย่อย) และรายงานการประเมินผล การควบคุมภายใน (แบบ ปค. 5 ส่วนงานย่อย) ภาพรวมของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ต้องจัดทำให้แล้วเสร็จภายใน 80 วันหลังสิ้นปีงบประมาณ 12. นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดพิจารณาลงนามในแบบ ปค. 4 ส่วนงานย่อย และแบบ ปค. 5 ส่วนงานย่อยภาพรวมของสาธารณสุขจังหวัด ลงนามภายใน 2 วันทำการ


เอกสารสรุปการอบรมหลักสูตรผู้บริหารการสาธารณสุขระดับต้น( ผ.บ.ต.) รุ่นที่ 33 (อบรม รุ่น 1 ) วิทยาลัยนักบริหารสาธารณสุขร่วมกับวิทยาลัยพยาบาลบรมราชนนีพุทธชินราช 55 13. จัดส่งแบบ ปค. 4 ส่วนงานย่อย และแบบ ปค. 5 ส่วนงานย่อย ภาพรวมต่อผู้ว่าราชการจังหวัด ภายใน 90 วันหลังสิ้นปังบประมาณ 14. จัดเก็บสำเนาเอกสารหลักฐานต่างๆ เข้าแฟ้ม โดยเรียงตามลำดับเหตุการณ์ แบบรายงานการประเมินผลการควบคุมภายในสำหรับส่วนภูมิภาค 1. รายงานการประเมินองค์ประกอบของการควบคุมภายใน (แบบ ปค. ๔ ส่วนงานย่อย) 2. รายงานการประเมินผลการควบคุมภายใน (แบบ ปค. ๕ ส่วนงานย่อย) ช่วงบ่าย วิทยากร : ผศ.ดร.อัศนี วันชัย วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี พุทธชินราช คณะพยาบาลศาสตร์ สถาบันพระบรมราชชนก ขอบเขตการบรรยาย : การพัฒนางานประจำสู่งานวิจัย ผู้บริการกับงานวิจัย R2R - ผู้บริการไม่ต้องลงมือทำวิจัยเอง แต่ต้องรู้วิธีการเพื่อเป็นที่ปรึกษาทีม - เป็นผู้กระตุ้นคนทำงานด้วยการสร้างคำถามวิจัย - คำถามการวิจัยมาจากปัญหาที่องค์กรกำหลังเผชิญและเป็นปัญหาของคนจากหน้างาน เช่น ถ้าองค์กรเจอปัญหาแบบนี้แต่ละคนจะแก้ปัญหาอย่างไร องค์ประกอบการขับเคลื่อนและบริหารงานวิจัย R2R องค์ประกอบของ R2R “Routine to Research” 1. โจทย์วิจัย มาจากงานประจำ ที่กำลังปฏิบัติหน้างาน เช่น รพ.สต. ปฏิบัติงานด้านส่งเสริม ป้องกัน 2. ผู้ทำวิจัย เป็นผู้ทำงานประจำนั้นๆ เช่น เภสัชกร ทำงานหน้างาน ควรเป็นวิจัยเกี่ยวกับยา 3. ผลลัพธ์ การวิจัย วัดที่ตัวผู้ป่วย/ผู้รับบริการ ซึ่ง การวัดผลด้วยความพึงพอใจ ยังไม่ได้ตอบโจทย์ถึงคนไข้ แต่ผลลัพธ์ควรวัดที่ผลที่ผู้รับบริการได้รับโดยตรง 4. ประโยชน์วนกลับไปมีผลต่อการให้บริการ ผู้ป่วย/ผู้รับบริการ ลักษณะ R2R ที่ดี 1. เป็นงานที่ผู้วิจัยทำเองและเป็นจริง โดยดูจากระยะเวลาการทำวิจัย 2. เกิดการพัฒนาที่มีหลักฐานยืนยัน (วัดผลที่ผู้รับบริการ) 3. ใช้ระยะเวลาดำเนินการอย่างต่อเนื่องเกินกว่า 1 ปี 4. เปรียบเทียบผลการดำเนินงานในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว 5. เป็นผลงานวิจัยที ่มีคุณค่าต่อทุกฝ่าย โดยเฉพาะผู้รับบริการ


เอกสารสรุปการอบรมหลักสูตรผู้บริหารการสาธารณสุขระดับต้น( ผ.บ.ต.) รุ่นที่ 33 (อบรม รุ่น 1 ) วิทยาลัยนักบริหารสาธารณสุขร่วมกับวิทยาลัยพยาบาลบรมราชนนีพุทธชินราช 56 การขยับงาน CQI ให้เป็น R2Rทำได้หรือไม่ ทำอย่างไร CQI R2R -เห็นปัญหาแล้วหาทางแก้ไข -ไม่ต้องใช้หลักการเชิงทฤษฎีมาก ไม่ต้องผ่าน Ethics -เน้นการวัดผลลัพธ์ที่ตัวผู้รับบริการ -ไม่ต้องสร้างเครื่องมือใหม่ -ใช้ KPIที่มีอยู่มาวัด -ใช้หลักการเชิงทฤษฎีมาอ้างอิง -ไม่เน้นระเบียบวิธีวิจัยที่ยุ่งยาก -ไม่ต้องใช้สถิติขั้นสูง หลักการพิจารณางานที่นำมาเป็นโจทย์วิจัย 1. ปัจจุบันมีปัญหาอะไร 2. จะปรับให้ดีขึ้นได้อย่างไร 3. ประมวลความคิด เสนอขายหัวข้อ ด้วยหลัก “โชว์ ชี้ เสนอ สรุป” การขยายแนวคิด R2R : โชว์ ชี้ เสนอ สรุป คำถาม คำตอบ -ปัญหาหน้างานที่ต้องการแก้ไข คือ อะไร รุนแรงแค่ไหน -ปัญหานั้นสำคัญแค่ไหน ถ้าไม่แก้ไขจะเป็นอย่างไร -มีวิธีการแก้ไขอย่างไร -ก -โชว์สถิติตัวเลขที่แสดงให้เห็นปัญหาที่ต้องการแก้ไข -ชี้ ประเด็นผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ถ้าปัญหาไม่ได้รับการแก้ไข -เสนอวิธการแก้ปัญหาที่ควรเป็น - สรุปเหตุผลในการวิจัยจะเอาไปใช้ประโยชน์ต่อไปอย่า งไร การวางแผนการดำเนินงานวิจัย R2R: โดยใช้หลัก PICOS *วิเคราะห์ตัวเอง POI โชว์และชี้ประเด็นปัญหาที่จะทำ *เหลียวมองผู้อื่น CS เสนอแนวทางที่จะทำ วิเคราะห์ตัวเอง การเลือกประเด็นที่จะทำวิจัยด้วยหลัก POI โชว์และชี้ 1. เริ่มจากงานที่ตนเองรับผิดชอบมาเป็นโจทย์วิจัย P : กลุ่มตัวอย่าง/กลุ่มผู้ป่วย - ประเภทผู้ป่วยที่ผู้วิจัยรับผิดชอบมีจำนวนมาก ต่อเนื่อง พอที่จะเก็บข้อมูล


เอกสารสรุปการอบรมหลักสูตรผู้บริหารการสาธารณสุขระดับต้น( ผ.บ.ต.) รุ่นที่ 33 (อบรม รุ่น 1 ) วิทยาลัยนักบริหารสาธารณสุขร่วมกับวิทยาลัยพยาบาลบรมราชนนีพุทธชินราช 57 O : ผลลัพธ์/ตัวแปรตาม - เป้าหมายในการดูแลผู้ป่วยเหล่านั้นคืออะไร - 3-5 ปีที่ผ่านมางานที่ทำในการดูแลผู้ป่วยเหล่านี้มีปัญหาอะไรบ้าง ผลกระทบ I : การปฏิบัติ/การดำเนินการ/ตัวแปรต้น - ที่ผ่านมาเราปฏิบัติอย่างไร/ปัญหาอุปสรรคที่ทำให้งานไม่บรรลุเป้าหมาย - ถ้างานไม่มีปัญหา การปฏิบัติแบบเดิมที่ทำอยู่สามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นได้หรือไม่ 2. ค้นคว้าความรู้เพิ่มเติมจากวารสารในประเด็นที่เราสนใจ เป้าหมายการอ่านวารสารและงานวิจัยที่ตีพิมพ์แล้ว - มีใครศึกษาวิจัยในเรื่องที่เราสนใจหรือไม่ ทำไปถึงไหน รูปแบบวิจัยที่เขาทำแบบใด ผลเป็นอย่างไร ช่องว่างความรู้อยู่ตรงไหน และควรจะทำอะไรต่อ - แนวคิดทฤษฎีที่จะเป็นกรอบแนวคิดประเด็นการวิจัยที่สนใจ แหล่งสืบค้นที่มาตรฐาน เช่น https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pov/pubmed/ https://tdc.thailis.or.th การเขียนหลักการและเหตผล เขียน 1.5-2 หน้าเท่านั้น 4ย่อหน้า แหล่งหาข้อมูลมาเขียน ย่อหน้าที่ 1(P) สถิติในประเด็นปัญหาที่ต้องการแก้ไข -ระดับชาติ เขต จังหวัด รพ. -จำนวนผู้ป่วยที่มารับบริการ -ข้อมูลKPIที่ไม่ผ่านเกณฑ์(ย้อนหลัง3ปีจะดีมาก) ย่อหน้าที่ 2(O) -เป้าหมายที่ต้องการ -ปัญหาที่เกิดจากการไม่บรรลุเป้าหมาย (กายใจ สังคม เศรษฐกิจ) ย่อหน้าที่ 3(I/C) -วิธีการที่คิดว่าจะเอามาแก้ไขปัญหาหน้างาน -ใครทำอะไร ผลเป็นอย่างไร -สำนักสถิติ/กองยุทธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุข -หน่วยสถิติเวชระเบียน รพ. -ทะเบียนของกลุ่มงานที่เก็บไว้ - ค้นข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตจากคนที่ทำวิจัยคล้ายๆเรา(T haijo, pubmed) - ค้นจากข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตจากคนที่มีปัญหาคล้ายเร า


เอกสารสรุปการอบรมหลักสูตรผู้บริหารการสาธารณสุขระดับต้น( ผ.บ.ต.) รุ่นที่ 33 (อบรม รุ่น 1 ) วิทยาลัยนักบริหารสาธารณสุขร่วมกับวิทยาลัยพยาบาลบรมราชนนีพุทธชินราช 58 ย่อหน้าที่ 4 -สรุปเหตุผลที่ทำวิจัย - จากการพูดคุยกันในกลุ่มงานเพื่อหาวิธีทำงานแบบใหม่ ๆ - คิดด้วยตนเองโดยมองไปข้างหน้าว่าเมื่อวิจัยเสร็จแล้วจ ะเกิดประโยชน์อย่างไร เราจะเอาไปใช้อย่างไรต่อไป การประกอบร่างเพื่อเขียนความเป็นมา ● P: สถิติ ของผู้ป่วยที่เราสนใจศึกษาระดับประเทศ เขต จังหวัด ● O: ผลลัพธ์ที่ต้องการให้เกิดกับผู้ป่วยคืออะไร ถ้าไม่แก้ไข จะเกิดผลกระทบอะไรกับใครบ้าง ตัวเขาเอง ครอบครัว ชุมชน สังคม ● I: รพ. มีนโยบายเรื่องนี้อย่างไร/ขอบเขตหน้าที่ในการดูแลผู้ป่วยที่สนใจทำวิจัยอย่างไร... ● C:การทบวน... รูปแบบวิจัยที่เหมาะสม R2R 1. การวิจัยแบบไม่ทดลอง 2. วิจัยแบบทดลอง (วิจัย R2Rที่ดี) การเริ่มต้นเลือกรูปแบบการวิจัย 1. ถ้ายังไม่รู้ชัดเจนว่าปัญหาที่เกิดหน้างานนั้นเกิดจากอะไร เลือกรูปแบบการวิจัยแบบไม่ทดลอง 1.1 เชิงสำรวจ 1.2 เชิงพรรณนา 1.3 การศึกษาที่จุดเวลาใดเวลาหนึ่ง 1.4ศึกษาย้อนหลัง 2. รู้สาเหตุปัญหาหน้างานแล้ว ต้องการหาทางแก้ไขปัญหานั้น 2.1 กึ่งทดลอง เหมาะกับ ลูกน้องที่ต้องการทำชำนาญการ * ผู้วิจัยออกแบบ/พัฒนานวัตกรรม, intervention, แนวทางที่จะทำแก้ไขปัญหาหน้างานของตนเอง * ทดลองใช้ *ประเมินผลเปรียบเทียบก่อนและหลังพัฒนา รูปแบบการวิจัยแบบทดลอง


เอกสารสรุปการอบรมหลักสูตรผู้บริหารการสาธารณสุขระดับต้น( ผ.บ.ต.) รุ่นที่ 33 (อบรม รุ่น 1 ) วิทยาลัยนักบริหารสาธารณสุขร่วมกับวิทยาลัยพยาบาลบรมราชนนีพุทธชินราช 59 ชนิดวิจัย ลักษณะที่ผู้วิจัยอยากรู้ หนึ่งกลุ่มวัดก่อนหลัง กลุ่มที่จะศึกษามีจำนวนจำกัด ไม่พอที่จะเปรียบเทียบ 2 กลุ่ม เช่น ผู้ป่วยสูงอายุที่ตั้งครรภ์ สองกลุ่มวัดหลังอย่างเดียว มีจำนวนกลุ่มที่จะศึกษาเพียงพอที่จะนำมาเปรียบเทียบกันได้ แต่สิ่งที่จะศึกษา(ตัวแปร)บางอย่างเกิดหลังอย่างเดียว เช่น ความเจ็บป่วย หลังผ่าตัด จะวัดก่อนผ่าตัดไม่ได้ สองกลุ่มวัดก่อนหลัง มีจำนวนที่จะศึกษาเพียงพอ และไม่มีข้อจำกัดเรื่องตัวแปรที่จะวัดสามารถวัดได้ทั้งก่อนและหลัง อนุกรมเวลา ผู้วิจัยต้องการดูว่าสิ่งที่ทดลองนั้นคงทนถาวรในการแก้ไขปัญหาหน้างานนั้นเพี ยงใด 2.2 วิจัยและพัฒนา (R&D) กระบวนการทั้งหมดเกิดจากนักวิจัย * การวิเคราะห์สภาพปัญหาให้ชัดเจน (R1) * พัฒนาต้นแบบ (D1) * ทดลองใช้ต้นแบบที่พัฒนาขึ้นในกลุ่มเล็กๆ (R2) * ปรับปรุงต้นแบบให้เหมาะสม (D2) * นำต้นแบบที่สมบูรณ์ไปใช้กับกลุ่มตัวอย่างที่มีขนาดใหญ่ขึ้น (R3) * ประเมินประสิทธิผลของต้นแบบ และเผยแพร่ (D3) 2.3 การวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) กระบวนการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย ทั้งผู้วิจัยและคนที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับปัญหาที่เกิดขึ้น เหมาะกับผู้ที่ทำงานอยู่ปฐมภูมิหรือรพ.สต. ขั้นตอน (Kemmis & McTaggart, 1988) 1. การวางแผน(Plan) 2. การปฏิบัติ (Action) 3. การสังเกตผล (Observation) 4. การสะท้อนผล (Reflection) ขั้นตอน(Demming,2009) 1. การวางแผน(Plan) 2. การปฏิบัติ(Do)


เอกสารสรุปการอบรมหลักสูตรผู้บริหารการสาธารณสุขระดับต้น( ผ.บ.ต.) รุ่นที่ 33 (อบรม รุ่น 1 ) วิทยาลัยนักบริหารสาธารณสุขร่วมกับวิทยาลัยพยาบาลบรมราชนนีพุทธชินราช 60 3. การประเมินผล(Check) 4. การนำผลไปปรับปรุง (Act) ใบงาน กลุ่ม PBL1 กลุ่มที่ 6 1. ประเด็นปัญหาที่ต้องการทำวิจัย 1.1 ปัญหาหน้างานที่ต้องการแก้คืออะไร รุนแรงแค่ไหน - ผู้ป่วยเบาหวานควบคุมน้ำตาลไม่ได้รุนแรงสูงมีภาวะแทรกซ้อนถึงแก่ชีวิต 1.2 ปัญหานั้นสำคัญแค่ไหน ถ้าไม่แก้ไขจะเป็นอย่างไร - ภาวะแทรกซ้อนทำให้ทุกข์ทรมาน เสียงเงิน เสียเวลา เสียอวัยวะและเสียชีวิต 1.3 มีวิธีการแก้ไขอย่างไร - มีวิธีการแก้ไข โดยเพิ่ม Service มีพยาบาลดูแลโดยตรง/เพิ่มการติดตามใช้เทคโนโลยีติดตามใช้ระบบ 3 หมอเข้าร่วมดำเนินงาน 1.4 ทำแล้วมีประโยชน์อย่างไร - ทำแล้วมีประโยชน์ทำให้ผู้ป่วย poor Control สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและควบคุมน้ำตาลได้ดีขึ้น และ HbA1Cลดลง 2. รูปแบบการวิจัยที่จะเลือกใช้ 2.1 รูปแบบ : กึ่งทดลองเปรียบเทียบระหว่างกลุ่ม Pre-Post 2.2 วางแผนดำเนินการ โดย 1) ผู้ป่วยได้รับคำแนะนำในการรับประทานยาและดูแลตนเอง 2) เพิ่มความเชี่ยวชาญให้ จนท.รับผิดชอบ 3) ฉลากยา น่าสนใจ อ่านง่าย มีสี สัญลักษณ์ 4) ติดตามผู้ป่วยใช้โปรแกรม JHCIS โทรติดตาม 5) ระบบ3หมอติดตามผู้ป่วย ใบงาน กลุ่ม PBL1 กลุ่มที่4 1. ประเด็นปัญหาที่ต้องการทำวิจัย ความดันโลหิตสูง พื้นที่รพ.สต.ท่าหนามแก้ว อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม 1.1 ปัญหาหน้างานที่ต้องการแก้คืออะไร รุนแรงแค่ไหน - มีแนวโน้มอัตราป่วยเพิ่มสูงขึ้นจากค่าเป้าหมาย (ร้อยละ 4,8,10/3ปีย้อนหลัง) - ทำให้เพิ่มอัตราการเกิดทุพลภาพ และเสียชีวิตของผู้ป่วยความดันฯที่เกิดจากภาวะแทรกซ้อนต่างๆ 1.2 ปัญหานั้นสำคัญแค่ไหน ถ้าไม่แก้ไขจะเป็นอย่างไร


เอกสารสรุปการอบรมหลักสูตรผู้บริหารการสาธารณสุขระดับต้น( ผ.บ.ต.) รุ่นที่ 33 (อบรม รุ่น 1 ) วิทยาลัยนักบริหารสาธารณสุขร่วมกับวิทยาลัยพยาบาลบรมราชนนีพุทธชินราช 61 - ผู้ป่วยภาวะแทรกซ้อนเพิ่มขึ้น เกิดความพิการทางสมอง ไตวายเรื้อรัง ฯลฯ - ถ้าไม่แก้ไขจะเป็นอย่างไร 1.3 มีวิธีการแก้ไขอย่างไร - ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมกลุ่มเสี่ยงที่จะเป็นความดันโลหิตสูงโดยใช้โปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรม - วิธีการที่จะทำการศึกษาวิจัย 1.4 ทำแล้วมีประโยชน์อย่างไร - ลดอัตราการเกิดผู้ป่วยความดันโลหิตสูง - ลดอัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อนในผู้ป่วยความดันโลหิตสูง - ทราบปัจจัยเสี่ยงที่เกิดจากพฤติกรรมของคนในพื้นที่ - กลุ่มแนะนำควรเพิ่มเรื่องการนำไปใช้ต่ออย่างไร -เชิงบริหารสามารถนำไปใช้อย่างไร -เชิงบริการ ประชาชนสามารถนำไปใช้ประโยชน์อื่นได้อย่างไร -โปรแกรมที่ได้จากการศึกษานี้สามารถนำไปใช้กับคนไข้กลุ่มอื่นหรือไม่ 2. รูปแบบการวิจัยที่จะเลือกใช้ 2.1 รูปแบบใด เพราะเหตุใด - กึ่งทดลอง Quasi-Experimental Research (one group) เหตุผล 1) เพื่อศึกษาผลของการใช้โปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรม 2) เพื่อเปรียบเทียบผลของค่าความดันโลหิตก่อนและหลังการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม 2.2 วางแผนดำเนินการอย่างไร 1) ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมกลุ่มเสี่ยงความดันโลหิตสูง 2) ประเมินความเสี่ยงของผู้ป่วย 3) เข้าโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรม 4) ประเมินก่อน/หลัง 1,3และ6เดือน ใบงาน กลุ่ม PBL1 กลุ่มที่5 1. ประเด็นปัญหาที่ต้องการทำวิจัย การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะจากการคาสายสวนปัสสาวะเป็นเวลานาน 1.1 ปัญหาหน้างานที่ต้องการแก้คืออะไร รุนแรงแค่ไหน 1.2 ปัญหานั้นสำคัญแค่ไหน ถ้าไม่แก้ไขจะเป็นอย่างไร


เอกสารสรุปการอบรมหลักสูตรผู้บริหารการสาธารณสุขระดับต้น( ผ.บ.ต.) รุ่นที่ 33 (อบรม รุ่น 1 ) วิทยาลัยนักบริหารสาธารณสุขร่วมกับวิทยาลัยพยาบาลบรมราชนนีพุทธชินราช 62 1.3 มีวิธีการแก้ไขอย่างไร - รพ.มีนโยบายใช้แนวปฏิบัติ bundle CAUTI แต่ปัญหาการติดเชื้อไม่ลดลงยังคงติดเชื้อเท่าเดิม และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จึงมีการทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องและวิเคราะห์ปัจจัยงานวิจัยที่ผ่านมา พบว่าหลังคาสายสวนจะเกิดการติดเชื้อหลังจากคาสายสวน 5 วันมีโอกาสเกิดการติดเชื้อสูง เลยเอา 5 วันมาเป็นตัวกำหนดในการถอด สายสวนเพื่อลดการเกิดการติดเชื้อ 1.4 ทำแล้วมีประโยชน์อย่างไร - ลดอัตราการติดเชื้อของผู้ป่วยที่คาสายสวนปัสสาวะ ลดระยะเวลาในการนอนรพ. - ประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทางและ 2. รูปแบบการวิจัยที่จะเลือกใช้ 2.1 รูปแบบใด เพราะเหตุใด - วิจัยเชิงปฏิบัติการ(Action Research) โดยใช้ขั้นตอน PD CA 2.2 วางแผนดำเนินการอย่างไร - วิเคราะห์อัตราการครองเตียงของผู้ป่วยในการใช้แนวทาง bundle CAUTI ปรับใช้แนวทาง ใบงาน กลุ่ม PBL1 กลุ่มที่ 1 1. ประเด็นปัญหาที่ต้องการทำวิจัย PICOS P: ผู้ป่วยเบาหวานที่ยังควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้ ในเขต รพ.สต.บ้านหนองกระทุ่ม อ.กลไกรลาส จ.สุโขทัย มีจำนวนมากขึ้น O: ผู้ป่วยต้องควบคุมน้ำตาลได้ร้อยละ 40ขึ้นไป โชว์: ข้อมูล 3 ปีย้อนหลังพบว่าผู้ป่วยเบาหวานควบคุมน้ำตาลไม่ได้มีภาวะแทรกซ้อนมากขึ้น โดยภาวะแทรกซ้อน ได้แก่ ไตเสื่อม/แผลที่เท้า/จอประสาทตาเสื่อม ชี้: ภาวะแทรกซ้อนเพิ่มขึ้น/มีความรุนแรงมากขึ้น - เสียทรัพยากร - ระยะเวลารักษามากขึ้น เสนอ: สำรวจปัญหา/ สาเหตุของการคุมน้ำตาลไม่ได้ สรุป ประโยชน์ :เป็นฐานข้อมูลเพื่อแก้ไขปัญหาเพื่อให้ผู้ป่วยควบคุมน้ำตาลได้ตามเกณฑ์ 2. รูปแบบวิจัย : Survey research เพราะต้องการหาสาเหตุของปัญหาของการควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้ เพื่อนำไปวางแผนการให้ intervention ได้เหมาะสม วางแผน: ศึกษาทะเบียน


เอกสารสรุปการอบรมหลักสูตรผู้บริหารการสาธารณสุขระดับต้น( ผ.บ.ต.) รุ่นที่ 33 (อบรม รุ่น 1 ) วิทยาลัยนักบริหารสาธารณสุขร่วมกับวิทยาลัยพยาบาลบรมราชนนีพุทธชินราช 63 - เลือกกลุ่มตัวอย่าง (ผู้ป่วยโรคเบาหวานทุกคนที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสะสม HBA1C มากกว่าร้อยละ 7) **การวิจัยเชิงปริมาณ ต้องการคนปริมาณมาก ** วิจัยเชิง Servey research เป็นวิจัยเชิงปริมาณ ซึ่งเป็นวิจัยพื้นฐาน ยังไม่มีความ***ซับซ้อน ไม่สามารถนำไปใช้ในการประเมินเลื่อนชั้นชำนาญการพิเศษได้ วิจัยเชิง Servey research เป็นการศึกษาปัจจจัยที่เกี่ยวของ เช่น จำนวนปีที่เป็น อายุ เพศ การศึกษา สถานภาพสมรส เป็นต้น **การสัมภาษณ์เชิงลึก (indept interview) เป็นการสัมภาษณ์เชิงลึกใช้กับการวิจัยเชิงคุณภาพ (qualitative research) ถ้าเป็นการ servey ใช้แบบสัมภาษณ์ (interview) ใบงาน กลุ่ม PBL1 กลุ่มที่ 3 1. ประเด็นปัญหาที่ต้องการทำวิจัย หญิงวัยเจริญพันธุ์ได้รับการฝากครรภ์ไม่ครบ 5 ครั้งตามเกณฑ์คุณภาพ คิดเป็นร้อยละ 15.6 1.1 ปัญหาหน้างานที่ต้องการแก้คืออะไร รุนแรงแค่ไหน 1.2 ปัญหานั้นสำคัญแค่ไหน ถ้าไม่แก้ไขจะเป็นอย่างไร ส่งผลกระทบทุกด้าน -ร่างกาย มารดาไม่ได้รับการคัดกรองLAB -เด็ก พบpreterm,Low birth weight ,BBA -ด้านสังคม ไปอยู่สงเคราะห์ -เศรษฐกิจ - สุขภาพจิต 1.3 มีวิธีการแก้ไขอย่างไร - สร้างสื่อและลงให้ความรู้ ในกลุ่มวัยรุ่น การป้องกัน/ทักษะการปฏิบัติ ฯลฯ - จัดตั้งกลุ่มไลน์ให้คำปรึกษา ในกลุ่มที่ต้องการคำปรึกษาจากจนท. โดยตรงแต่ไม่กล้ามา - พบด้วยตัวเอง 1.4 ทำแล้วมีประโยชน์อย่างไร 2. รูปแบบการวิจัยที่จะเลือกใช้ 2.1 รูปแบบใด เพราะเหตุใด - Action Reserch ชื่อ เรื่อง “ความตระหนักของหญิงวัยเจริญพันธุ์ต่อการเข้ารับบริการฝากครรภ์ครบ 5 ครั้งคุณภาพ 2.2 วางแผนดำเนินการอย่างไร


เอกสารสรุปการอบรมหลักสูตรผู้บริหารการสาธารณสุขระดับต้น( ผ.บ.ต.) รุ่นที่ 33 (อบรม รุ่น 1 ) วิทยาลัยนักบริหารสาธารณสุขร่วมกับวิทยาลัยพยาบาลบรมราชนนีพุทธชินราช 64 - ดำเนินการโดยใช้เครือข่าย ดึงให้ 3 หมอ ครอบครัว ชุมชน และหน่วยงานต่างๆมามีส่วนร่วมในการดำเนินการ แนะนำ - ปรับแก้ชื่อเรื่องเป็น “การพัฒนาการมีส่วนร่วมของชุมชนในการดูแลหญิงตั้งครรภ์วัยรุ่น เขต รพ.สต. …..” ใบงาน กลุ่ม PBL1 กลุ่มที่ 2 1. ประเด็นปัญหาที่ต้องการทำวิจัย ผลของการพัฒนาโปรแกรมสารสนเทศสำหรับการตรวจสุขภาพประจำปี 1.1 ปัญหาหน้างานที่ต้องการแก้คืออะไร รุนแรงแค่ไหน 1.2 ปัญหานั้นสำคัญแค่ไหน ถ้าไม่แก้ไขจะเป็นอย่างไร 1.3 มีวิธีการแก้ไขอย่างไร 1.4 ทำแล้วมีประโยชน์อย่างไร 2. รูปแบบการวิจัยที่จะเลือกใช้ 2.1 คือ แบบใด เพราะเหตุใด 2.2 วางแผนดำเนินการอย่างไร การประยุกต์นำไปใช้สำหรับผู้บริหารระดับต้น รุ่นที่ 33 / 1 ประจำวันที่ 24 พ.ค. 2567 1. ได้เรียนรู้หลักกการบริหารความเสี่ยงด้านการควบคุมภายใน วิธีการเขียนรายงาน รูปแบบและตัวอย่างการเขียนรายงาน และทราบขั้นตอนการเขียนรายงานความเสี่ยงด้านการควบคุมภายใน ซึ่งผู้บริหารต้องบริหารความเสี่ยงให้ครบถ้วนทั้งกระบวนการ input process และ output โดยต้องครอบคลุมและโปร่งใสตรวจสอบได้ 2. ทำให้เข้าใจรูปแบบและกระบวนการพัฒนางานประจำสู่งานวิจัยมากขึ้น เช่น การใช้ทฤษฎีในการวิจัย - การวิจัยแบบไม่ทดลอง สามารถนำทฤษฎีมาใช้ในงานวิจัยได้ โดยหาทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับตัวแปรที่สนใจศึกษามาใช้เป็นทฤษฎีในการวิจัย - การวิจัยแบบ R&D / AR การนำทฤษฎีมาใช้ ต้องใช้ตั้งแต่เริ่มต้นกระบวนการวิจัย และสามารถใช้ได้ทุกๆขั้นตอนของกระบวนการวิจัย ขึ้นกับโครงสร้างและข้อกำหนดของทฤษฎีด้วย 3. การเขียนรายงานวิจัย ควรสรุปจากเนื้อหาของบทความที่ทบทวนแล้วนำมาสรุปเป็นภาษาเขียนของผู้วิจัยเอง เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบอักขราวิสุทธิ์ที่ไม่ควรเกิน 20%


เอกสารสรุปการอบรมหลักสูตรผู้บริหารการสาธารณสุขระดับต้น( ผ.บ.ต.) รุ่นที่ 33 (อบรม รุ่น 1 ) วิทยาลัยนักบริหารสาธารณสุขร่วมกับวิทยาลัยพยาบาลบรมราชนนีพุทธชินราช 65 4. ทำให้เข้าใจหลักการค้นหาปัญหาจากงานประจำเพื่อพัฒนาเป็นงานวิจัย โดยใช้หลัก PICO (โชว์ ชี้ เสนอ สรุป) สามารถนำมาเขียนหลักการและเหตุผลที่ถูกต้อง โดยโชว์ความข้อมูลของปัญหา ชี้ให้เห็นความรุนแรงถ้าปัญหาดังกล่าวไม่ได้รับการแก้ไข เสนอแนวทางใหม่ๆในการแก้ปัญหาซึ่งได้จากการทบทวนวรรณกรรม และสรุปเป็นแนวทางแก้ไขในการดำเนินการ ซึ่งจะได้รูปแบบการวิจัยและวิธีการดำเนินการวิจัยเบื้องต้นได้ 5. การเข้ากลุ่มเพื่อวิเคราะห์ปัญหาที่จะนำเสนอเป็นหัวข้อโครงการวิจัยตามแผนงาน ทำให้ได้ฝึกทักษะการทำงานเป็นทีม ฝึกทักษะการเป็นผู้นำกลุ่ม การร่วมแสดงความคิดเห็น การรับฟังความคิดเห็น และการสรุปโครงการร่วมกัน 6. การได้รับฟังการนำเสนอโครงการของแต่ละกลุ่ม ทำให้ได้ฝึกวิเคราะห์โครงการวิจัย โดยนำความรู้เรื่องการพัฒนางานประจำสู่งานวิจัยมาเป็นแนวทาง ทำให้เกิดความเข้าใจงานวิจัยแบบต่างๆ การเขียนหลักการและเหตุผล การเขียนวัตถุประสงค์ ตัวแปร ทฤษฎีที่จะนำมาศึกษา และวิธีการดำเนินการในของแต่ละงานวิจัยมากขึ้น ซึ่งผู้บริหารสามารถนำไปใช้พัฒนาผลงานคนเองและให้คำปรึกษาแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาได้ 7. ได้รับความรู้เกี่ยวกับการสร้างผลงานวิจัยที่เหมาะสำหรับผลงานวิชาการ ว.2 ซึ่งมีระเบียบข้อบังคับที่เคร่งครัดมากขึ้น เพื่อให้ผ่านการพิจารณาในระดับประเทศ ผู้บริหารสามารถนำไปให้คำแนะนำแก่ผู้ใต้บังคับบัญชา ในประเด็นต่างๆดังนี้ 1) งานวิจัยต้องตรงกับงานที่ปฏิบัติมากที่สุด 2) สถิติข้อมูลที่ใช้ประกอบการเขียนหลักการและเหตุผลตั้งมีผลกระทบขนาดระดับโลก ประเทศ โรงพยาบาล และหน่วยงาน และต้องมีความชัดเจน 3) ตัวชี้วัดเรื่องผลลัพท์ของการศึกษาต้องชัดเจน เห็นภาพของเป้าหมายในการดูแลผู้ป่วยที่ชัดเจน และมีเอกสารอ้างอิง 4) วิเคราะห์ปัญหาให้เห็นว่าเป็นปัญหาจากงานประจำที่ปฏิบัติอยู่จริง และหากไม่ได้รับการแก้ไขจะมีผลกระทบรุนแรงต่อผู้ป่วยอย่างไร กรณีพัฒนาแนวทาง ห้ามเขียนว่าไม่มีแนวทาง แต่ให้เขียนว่ามีแนวทาง 1 2 3 4 … แต่ยังไม่สามาถแก้ปัญหาได้ ต้องดำเนินการแบใหม่จึงคาดว่าจะแก้ปัญหาได้ โดยมีเอกสารอ้างอิงชัดเจน 5) การทบทวน ต้องมีกรอบแนวคิดที่ชัดเจน 6) Methado ต้องเป็นรูปแบบตั้งแต่กึ่งทดลอง สองกลุ่มเป็นต้นไป R&D AR 7) ข้อเสนอแนวคิด ต้องเชื่อมกับงานวิจัยที่เราจะพัฒนา ต้องมีความสัมพันธ์กับงานวิจัยที่เราได้ดำเนินการศึกษามา


เอกสารสรุปการอบรมหลักสูตรผู้บริหารการสาธารณสุขระดับต้น( ผ.บ.ต.) รุ่นที่ 33 (อบรม รุ่น 1 ) วิทยาลัยนักบริหารสาธารณสุขร่วมกับวิทยาลัยพยาบาลบรมราชนนีพุทธชินราช 66


Click to View FlipBook Version