The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Mappakskiz inxj, 2022-01-26 07:04:25

พุทธประวัติ

พุทธประวัติ

พุทธประวัติ

สมาชิกในกลุ่ม

นางสาว ฐิดายุ เสาะสูงเนิน ม.4/6 เลขที่ 1
นางสาว ณัฐณิชา นาวัลย์ ม.4/6 เลขที่ 14
นางสาว นัฐชา แก้วสิทธิ์ ม.4/6 เลขที่ 23
เด็กหญิง ชาลิสสา ศรีสูงเนิน ม.4/6 เลขที่ 44
นางสาว กัญญาณี เรืองฤทธิ์ ม.4/6 เลขที่ 45

การประสูติ

Born

01 02 03

พระพุทธเจ้า ทรงมีพระนามเดิมว่า ในคืนที่พระพุทธเจ้าเสด็จปฏิสนธิในครรภ์ ทันทีที่ประสูติ เจ้าชายสิทธัตถะทรงดำเนิน
"สิทธัตถะ" หมายถึง ผู้ที่สำเร็จความมุ่ง พระนางสิริมหามายา พระนางทรงพระสุบิน ด้วยพระบาท 7 ก้าว และมีดอกบัวผุดขึ้นมาร
หมายแล้ว หรือผู้ปรารถนาสิ่งใด ย่อมได้ นิมิตว่า มีช้างเผือกมีงาสามคู่ได้เข้ามาสู่พระ องรับพระบาท พร้อมเปล่งพระวาจาว่า "เรา
สิ่งนั้น ทรงเป็นพระราชโอรสของพระ ครรภ์ ณ ที่บรรทม ก่อนที่พระนางจะมีพระ เป็นเลิศที่สุดในโลก ประเสริฐที่สุดในโลก
เจ้าสุทโธทนะ กษัตริย์ผู้ครองกรุงกบิล ประสูติกาล ที่ใต้ต้นสาละ ณ สวนลุมพินีวัน การเกิดครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายของเรา"
พัสดุ์ แคว้นสักกะ และ "พระนางสิริมหา เมื่อวันศุกร์ ขึ้น 15 ค่ำ เดือนวิสาขะ ปีจอ 80
มายา" พระราชธิดาของกษัตริย์ ปี ก่อนพุทธศักราช (ปัจจุบันสวนลุมพินีวัน
ราชสกุลโกลิยวงศ์แห่งกรุงเทวทหะ อยู่ในประเทศเนปาล)
แคว้นโกลิยะ

ชีวิตวัยเด็ก childhood

หลังจากเจ้าชายสิทธัตถะประสูติกาลได้แล้ว 7 วัน พระนางสิริมหามายาก็เสด็จสู่สวรรคาลัย เจ้าชายสิทธัตถะจึงอยู่ในความ
ดูแลของพระนางประชาบดีโคตมี ซึ่งเป็นพระกนิษฐาของพระนางสิริมหามายา ทั้งนี้ พราหมณ์ทั้ง 8 ได้ทำนายว่า เจ้าชายสิทธัตถะมี
ลักษณะเป็นมหาบุรุษ คือ หากดำรงตนในฆราวาสจะได้เป็นจักรพรรดิ ถ้าออกบวชจะได้เป็นศาสดาเอกของโลก แต่โกณฑัญญะพราหมณ์
ผู้อายุน้อยที่สุดในจำนวนนั้น ยืนยันหนักแน่นว่า พระราชกุมารสิทธัตถะจะเสด็จออกบวช และจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน

เจ้าชายสิทธัตถะทรงศึกษาเล่าเรียนจนจบศิลปศาสตร์ทั้ง 18 ศาสตร์ ในสำนักครูวิศวามิตร และเนื่องจากพระบิดาทรงไม่มีพระ
ประสงค์ให้เจ้าชายสิทธัตถะเป็นศาสดาเอกของโลก จึงพยายามทำให้เจ้าชายสิทธัตถะพบเห็นแต่ความสุข โดยการสร้างปราสาท 3 ฤดู
ให้ประทับ และจัดเตรียมความพร้อมสำหรับการราชาภิเษกให้เจ้าชายขึ้นครองราชย์ เมื่อมีพระชนมายุ 16 พรรษา ทรงอภิเษกสมรสกับ
พระนางพิมพา หรือยโสธรา พระธิดาของพระเจ้ากรุงเทวทหะ ซึ่งเป็นพระญาติฝ่ายพระมารดา จนเมื่อมีพระชนมายุ 29 พรรษา พระนาง
พิมพาได้ประสูติพระราชโอรส มีพระนามว่า "ราหุล" ซึ่งหมายถึง "บ่วง"

เสด็จออกผนวจ Tonsure

01 วันหนึ่งเจ้าชายสิทธัตถะทรงเบื่อความจำเจในปราสาท 3 ฤดู จึงชวนสารถีทรงรถม้าประพาสอุทยาน
ครั้งนั้นได้ทอดพระเนตรเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย และนักบวช โดยเทวทูต (ทูตสวรรค์) ที่แปลงกาย
มา พระองค์จึงทรงคิดได้ว่า นี่เป็นธรรมดาของโลก ชีวิตของทุกคนต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น ไม่มี
ใครสามารถหลีกเลี่ยงเกิด แก่ เจ็บ ตายได้ จึงทรงเห็นว่าความสุขทางโลกเป็นเพียงภาพมายาเท่านั้น
และวิถีทางที่จะพ้นจากความทุกข์ คือต้องครองเรือนเป็นสมณะ

02 พระองค์จึงใคร่จะเสด็จออกบรรพชา ในขณะที่มีพระชนมายุ 29 พรรษา ครานั้นพระองค์ได้เสด็จไป
พร้อมกับนายฉันทะ สารถี ซึ่งเตรียมม้าพระที่นั่ง นามว่า กัณฑกะ มุ่งตรงไปยังแม่น้ำอโนมานที ก่อน
จะประทับบนกองทราย ทรงตัดพระเมาลีด้วยพระขรรค์ และเปลี่ยนชุดผ้ากาสาวพัตร์ (ผ้าย้อมด้วย
รสฝาดแห่งต้นไม้) และให้นายฉันทะนำเครื่องทรงกลับพระนคร ก่อนที่พระองค์จะเสด็จออกมหา
ภิเนษกรมณ์ (การเสด็จออกเพื่อคุณอันยิ่งใหญ่) เพียงลำพัง เพื่อมุ่งพระพักตร์ไปยังแคว้นมคธ

01 บำเพ็ญทุกรกิริยา
practicing self-mortfication

หลังจากทรงผนวชแล้ว พระองค์มุ่งไปที่แม่น้ำคยา แคว้นมคธ ได้พยายามเสาะแสวงทางพ้นทุกข์ ด้วยการ
ศึกษาค้นคว้าทดลองในสำนักอาฬารดาบส กาลามโคตร และอุทกดาบส รามบุตร แต่เมื่อเรียนจบทั้ง 2 สำนัก
แล้ว ทรงเห็นว่านี่ยังไม่ใช่ทางพ้นทุกข์

02 จากนั้นพระองค์ได้เสด็จไปที่แม่น้ำเนรัญชรา ในตำบลอุรุเวลาเสนานิคม และทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา ด้วยการขบ
ฟัน กลั้นหายใจและอดอาหาร จนร่างกายซูบผอม แต่หลังจากทดลองได้ 6 ปี ทรงเห็นว่านี่ยังไม่ใช่ทางพ้นทุกข์
จึงทรงเลิกบำเพ็ญทุกรกิริยา และหันมาฉันอาหารตามเดิม ด้วยพระราชดำริตามที่ท้าวสักกเทวราชได้เสด็จลง
มาดีดพิณถวาย 3 วาระ คือ ดีดพิณสายที่ 1 ขึงไว้ตึงเกินไป เมื่อดีดก็จะขาด ดีดพิณวาระที่ 2 ซึ่งขึงไว้หย่อน
เสียงจะยืดยาดขาดความไพเราะ และวาระที่ 3 ดีดพิณสายสุดท้ายที่ขึงไว้พอดี จึงมีเสียงกังวานไพเราะ ดังนั้น
จึงทรงพิจารณาเห็นว่า ทางสายกลางคือไม่ตึงเกินไป และไม่หย่อนเกินไป นั่นคือทางที่จะนำสู่การพ้นทุกข์

03 หลังจากพระองค์เลิกบำเพ็ญทุกรกิริยา ทำให้พระปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ได้แก่ โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานา
มะ อัสสชิ ที่มาคอยรับใช้พระองค์ด้วยความคาดหวังว่าเมื่อพระองค์ค้นพบทางพ้นทุกข์จะได้สอนพวกตนให้
บรรลุด้วย เกิดเสื่อมศรัทธาที่พระองค์ล้มเลิกความตั้งใจ จึงเดินทางกลับไปที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน
ตำบลสารนาถ เมืองพาราณสี

ตรัสรู้ Enlighten

ครานั้นพระองค์ทรงประทับนั่งขัดสมาธิใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ณ อุรุเวลาเสนานิคม เมืองพาราณสี หันพระพักตร์ไป
ทางทิศตะวันออก และตั้งจิตอธิษฐานด้วยความแน่วแน่ว่าตราบใดที่ยังไม่บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ ก็จะไม่ลุกขึ้นจาก

สมาธิบัลลังก์ แม้จะมีหมู่มารเข้ามาขัดขวาง แต่ก็พ่ายแพ้พระบารมีของพระองค์กลับไป
จนเวลาผ่านไปในที่สุดพระองค์ทรงบรรลุรูปฌาน คือ

ยามต้น หรือปฐมยาม ทรงบรรลุปุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือ สามารถระลึกชาติได้

ยามสอง ทางบรรลุจุตูปปาตญาณ (ทิพยจักษุญาณ) คือ รู้เรื่องการเกิดการตายของสัตว์ทั้งหลายว่าเป็นไป
ตามกรรมที่กำหนดไว้

ยามสาม ทรงบรรลุอาสวักขยญาณ คือ ความรู้ที่ทำให้สิ้นอาสวะ หรือกิเลส ด้วยอริยสัจ 4 ได้แก่ ทุกข์ สมุทัย
นิโรธ และมรรค และได้ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเป็นศาสดาเอกของโลก ซึ่งวัน
ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ ตรงกับวันเพ็ญ เดือน 6 ขณะที่มีพระชนมายุ 35 พรรษา

ปฐมเทศนา
First sermon

หลังจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ทรงพิจารณาธรรมที่พระองค์ตรัสรู้มาเป็นเวลา 7
สัปดาห์ และทรงเห็นว่าพระธรรมนั้นยากต่อบุคคลทั่วไปที่จะเข้าใจและปฏิบัติได้ พระองค์

จึงทรงพิจารณาว่าบุคคลในโลกนี้มีหลายจำพวกอย่าง บัว 4 เหล่า ที่มีทั้งผู้ที่สอนได้ง่าย
และผู้ที่สอนได้ยาก พระองค์จึงทรงระลึกถึงอาฬารดาบสและอุทกดาบส ผู้เป็นพระ
อาจารย์ จึงหวังเสด็จไปโปรด แต่ทั้งสองท่านเสียชีวิตแล้ว พระองค์จึงทรงระลึกถึง

ปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ที่เคยมาเฝ้ารับใช้ จึงได้เสด็จไปโปรดปัญจวัคคีย์ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน

01 ธรรมเทศนากัณฑ์แรกที่พระองค์ทรงแสดงธรรมคือ "ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร" แปลว่า สูตรของการหมุน
วงล้อแห่งพระธรรมให้เป็นไป ซึ่งถือเป็นการแสดงพระธรรมเทศนาครั้งแรก ในวันเพ็ญ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8
ซึ่งตรงกับวันอาสาฬหบูชา

02 ในการนี้พระโกณฑัญญะได้ธรรมจักษุ คือดวงตาเห็นธรรมเป็นคนแรก พระพุทธองค์จึงทรงเปล่งวาจาว่า
"อัญญาสิ วตโกณฑัญโญ" แปลว่า โกณฑัญญะได้รู้แล้ว ท่านโกณฑัญญะจึงได้สมญาว่า อัญญาโกณ
ฑัญญะ และได้รับการบวชเป็นพระสงฆ์องค์แรกในพระพุทธศาสนา โดยเรียกการบวชที่พระพุทธเจ้า
บวชให้ว่า "เอหิภิกขุอุปสัมปทา"

03 หลังจากปัญจวัคคีย์อุปสมบททั้งหมดแล้ว พุทธองค์จึงทรงเทศน์อนัตตลักขณสูตร ปัญจวัคคีย์จึงสำเร็จ
เป็นอรหันต์ในเวลาต่อมา

การเผยแผ่พระพุทธศาสนา

01 ต่อมาพระพุทธเจ้าได้เทศน์พระธรรมเทศนาโปรดแก่ยสกุลบุตร รวมทั้งเพื่อนของยสกุลบุตร จนได้สำเร็จ
เป็นพระอรหันต์ทั้งหมด รวม 60 รูป พระพุทธเจ้าทรงมีพระประสงค์จะให้มนุษย์โลกพ้นทุกข์ พ้นกิเลส จึง
ตรัสเรียกสาวกท

02 พระพุทธเจ้าทรงประชวรหนัก แต่ทรงอดกลั้นมุ่งหน้าไปยังเมืองกุสินารา ประทับ ณ ป่าสาละ เพื่อเสด็จ
ดับขันธ์ปรินิพพาน โดยก่อนที่จะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานนั้น พระองค์ได้อุปสมบทแก่พระสุภัททะปริพา
ชก ซึ่งถือได้ว่า "พระสุภภัททะ" คือสาวกองค์สุดท้ายที่พระพุทธองค์ทรงบวชให้ ท่ามกลางคณะสงฆ์ทั้งที่
เป็นพระอรหันต์ และปุถุชนจากแคว้นต่าง ๆ รวมทั้งเทวดา ที่มารวมตัวกันในวันนี้

03 ในครานั้นพระองค์ทรงมีปัจฉิมโอวาทว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราขอบอกเธอทั้งหลาย สังขารทั้งปวงมี
ความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา พวกเธอจึงทำประโยชน์ตนเอง และประโยชน์ของผู้อื่นให้สมบูรณ์ด้วย
ความไม่ประมาทเถิด" (อปปมาเทน สมปาเทต)

04 จากนั้นได้เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ใต้ต้นสาละ ณ สาลวโนทยาน ของเหล่ามัลลกษัตริย์ เมืองกุสินารา
แคว้นมัลละ ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 รวมพระชนมายุ 80 พรรษา และวันนี้ถือเป็นการเริ่มต้นของ
พุทธศักราช


Click to View FlipBook Version