12 ปัญญา ลักษณะ ประเภทของบุคคล 8. ด้านธรรมชาติ (Naturalist Intelligence) 1. เข้าใจการเปลี่ยนแปลงของ ธรรมชาติและ ปรากฏการณ์ธรรมชาติ 2. เข้าใจความสำคัญของ ตนเองกับ สิ่งแวดล้อม ที่เป็นกายภาพ 3. ตระหนักถึง ความสามารถของตนที่ จะมีส่วนช่วยในการอนุรักษ์ ธรรมชาติ 4. เข้าใจถึงพัฒนาการของ มนุษย์และ การดำรงชีวิตของ มนุษย์ตั้งแต่เกิดจน ตาย 5. จดจำเข้าใจจำแนก แยกแยะหา ความสัมพันธ์ของสิ่งที่เหมือนกัน และ ต่างกัน 1. นักวิทยาศาสตร์ 2. นักธรรมชาติ 3.นักธรณีวิทยา เป็นต้น 9. ด้านการดำรงอยู่ของชีวิต (Existential Intelligence) 1. ความไวและ ความสามารถในการ จับประเด็น 2. คำถามที่เกี่ยวกับการ ดำรงอยู่ของ มนุษย์เช่น ความหมายของชีวิต 3. ทำไมคนเราจึงตาย 4. เรามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร 5. เรียนรู้บริบทของการ ดำรงคงอยู่ ของมนุษย์มักจะ ถามคำถามว่า “ทำไมเราจึง อยู่ที่นี่” “เรามีบทบาท อะไร กันบ้างในโลกนี้” 6. เข้าใจความสัมพันธ์ของโลกที่เป็น กายภาพ และโลกของจิตใจ 7. มีความรักในผู้อื่น 8. การตื่นตัวในการแสดงออกใน สถานการณ์บางอย่างในการเข้าใจ วัฒนธรรมแสดงออกในด้าน อารมณ์ สังคมจริยธรรม 1. นักคิด 2. ผู้นำทางศาสนา 3. นักปราชญ์ เป็นต้น 14 แนวทาง การพัฒนาพหุปัญญา ในสถานศึกษา
13 ปัญญา ลักษณะ ประเภทของบุคคล 9. เข้าใจหลักปรัชญาหลักของศาสนา ต่าง ๆ 10. ความเข้าใจที่ลึกซึ้ง เกี่ยวกับ ตัวเอง (Deep Self Awareness) 11. ความเข้าใจ ความสัมพันธ์ของ ร่างกาย จิตใจและจิตวิญญาณ 12. เข้าใจสัจธรรม ของโลกและชีวิต แนวทาง การพัฒนาพหุปัญญา ในสถานศึกษา 15
14 5. ประโยชน์ของทฤษฎีพหุปัญญา 1. ช่วยให้นักเรียนเข้าใจความสามารถของตนเองและผู้อื่น 2. ช่วยให้นักเรียนใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของตนและปรับปรุงจุดอ่อนของตน 3. ช่วยเสริมความมั่นใจในตนเองของนักเรียนซึ่งจะช่วยให้นักเรียนกล้าทำงานที่มากกว่าเดิม 4. ช่วยให้นักเรียนเรียนได้ดีขึ้นเพราะทำให้เกิดการจดจำไม่ลืม โดยเฉพาะบทเรียนที่ใช้ฝึกหลาย ปัญญา 5. ช่วยให้การประเมินทักษะพื้นฐานและระดับของนักเรียนได้อย่างแม่นยำ 6. การวัด และประเมินผลพหุปัญญา เนื่องจากเด็กแต่ละคนยังมีศักยภาพด้านต่างๆ ในตัวเองไม่เท่ากัน เด็กบางคนอาจมีลักษณะของ ความสามารถบางด้านสูงกว่าคนอื่นๆ และเด็กจํานวนไม่น้อยที่มีความสามารถพิเศษบางประการ ที่โดดเด่นกว่า เด็กคนอื่นๆ คุณลักษณะพิเศษดังกล่าวอาจซ่อนอยู่ไม่แสดงออกมาให้ผู้อื่นเห็น และถ้าไม่มีใครเห็นความ สามารถ นั้นโอกาสที่เด็กจะได้รับการพัฒนาให้เต็มตามศักยภาพที่มีอยู่จะหายไปอย่างน่าเสียดาย ผู้ที่มีความสามารถใน การค้นพบและพัฒนาความสามารถพิเศษของเด็ก คือ พ่อแม่ผู้ปกครอง ซึ่งหากมีความเข้าใจและรู้จักสังเกตบุตร หลานลูกน้อย ตั้งแต่ยังเยาว์จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการส่งเสริมสนับสนุนให้ความสามารถในด้านนั้นๆ มีความ โดดเด่นในอนาคต ดังนั้นเพื่อสามารถส่งเสริม สนับสนุน และให้เด็กที่มีความสามารถพิเศษ ได้รับการพัฒนาอย่าง เต็มตามศักยภาพ การวัดแววความสามารถพิเศษหรือแววพหุปัญญา รวมถึงการประเมินพหุปัญญาจึงมีความ จำเป็นและควรมีการดำเนินการในสองส่วน คือ 1. การสำรวจแววความสามารถพิเศษพหุปัญญา 2. การประเมินแววความสามารถพิเศษพหุปัญญา การสำรวจแววความสามารถพิเศษพหุปัญญาหรือการวัดแววความสามารถพิเศษ เป็นการอ่านแววแต่ละด้านตามแบบสํารวจแววด้านต่างๆของเด็กที่ผู้เชี่ยวชาญได้สร้างไว้หากผู้ปกครอง หรือครูผู้สอนทราบความถนัดหรือแววความสามารถของเด็กแต่ละคน หรือพบว่าเคยมีพฤติกรรมมากกว่าร้อยละ 80 ของแต่ละด้าน ให้สังเกตว่าพฤติกรรมนั้นแสดงออกนานแค่ไหน หรือเพียงครั้งเดียว หากแสดงออกเป็นระยะ เวลานานพอสมควร เช่น หลายๆ เดือนติดต่อกัน ก็ให้สงสัยว่าอาจมีความ สามารถด้านนั้นแฝงอยู่ ผู้ปกครองและ ครูผู้สอน ควรวางแผนส่งเสริมการเรียนหรือพัฒนาความสามารถของแต่ละคน ให้เจริญเติบโตในด้านที่ตนเองถนัด นั้นโดยเร็ว ก่อนที่จะหายไปเนื่องจากไม่ได้รับการกระตุ้นอย่างเพียงพอ ควรให้เด็กได้ร่วมกิจกรรมพิเศษต่าง ๆ ตามที่ ได้สำรวจพบแววความสามารถพิเศษด้านนั้น ๆ ซึ่งคือตัวตนที่เขาปรารถนาอยากเป็นในอนาคตนั่นเอง 16 แนวทาง การพัฒนาพหุปัญญา ในสถานศึกษา
15 การประเมินแววความสามารถพิเศษพหุปัญญา เป็นการประเมินพัฒนาการของผู้เรียนที่มี แววความสามารถพิเศษในด้านต่างๆ ที่ได้รับการส่งเสริมและพัฒนาในด้านนั้นๆ ตามที่มีความสามารถพิเศษแล้ว ผ่านการจัดการเรียนการสอน หรือการทำกิจกรรมต่างๆ ที่สอดคล้องกับ แววความสามารถพิเศษที่มีในตัวผู้เรียน ซึ่ง Gardner (1999 : 103) เคย กล่าวว่า ควรจะเลิกใช้แบบทดสอบทั้งหลาย รวมทั้งสหสัมพันธ์ระหว่าง แบบทดสอบ ทฤษฎีพหุปัญญา จึงได้เสนอแนวทางการประเมินผลผู้เรียนแบบใหม่ ซึ่งจะไม่ใช้ระบบแบบทดสอบ มาตรฐานแบบอิงกลุ่ม แต่จะเน้นการวัดผลตามสภาพจริง ได้แก่ แบบทดสอบที่อิงเกณฑ์ อิงมาตรฐานและวัดผล งานจริงๆ ซึ่งจะเปรียบเทียบความก้าวหน้าในผลงานของแต่ละบุคคล ปรัชญาการประเมินผลของทฤษฎีพหุปัญญา สอดคล้องกับแนวโน้มของการประเมินแบบใหม่ที่ลดคำถามแบบเลือกตอบ แต่จะเน้นการประเมินผลงานตาม สภาพจริง การประเมินผลจากประสบการณ์ในสภาพจริง การประเมินผลจากประสบการณ์ในสภาพ ความเป็น จริง จำเป็นต้องมีเครื่องประเมินและวิธีการประเมินหลากหลาย เครื่องมือที่สำคัญ คือ การสังเกต โดยได้กล่าวย้ำ ว่าเราจะสามารถประเมินพหุปัญญาของเด็ก โดยการสังเกต การกระทำของนักเรียนที่บ่งบอกว่านักเรียนมีความ ถนัด ปัญญาด้านใด เช่น เด็กชอบเล่นเกมคณิตศาสตร์หรือชอบร้องรำทำเพลงหรือดูจากวิธีการ ที่เด็กแก้ปัญหา หรือผลิตสิ่งใดในสภาพที่เป็นจริงในชีวิตประจำวันอย่างเป็นธรรมชาติอันจะช่วยให้เราเข้าใจและรู้ถึงปัญญาด้าน เด่นของนักเรียน องค์ประกอบสำคัญของการประเมินในสภาพความเป็นจริง (Authentic Assessment) การ จัดเก็บเอกสารข้อมูล (Documentation) ของผลงานและกระบวน การแก้ปัญหาของนักเรียน ซึ่งมีวิธีการ แนวทางในการเก็บเอกสารข้อมูลดังต่อไปนี้ 1. ระเบียนพฤติการณ์ (Anecdotal Record) เช่น มีสมุดบันทึกประจำวัน และบันทึกพฤติกรรมของ นักเรียนทั้งด้านวิชาการและไม่ใช่วิชาการ ตลอดจนสัมพันธภาพ กับเพื่อน ๆ ของนักเรียนทุกคน 2. ตัวอย่างผลงาน (Work Sample) เก็บตัวอย่างผลงานของนักเรียนไว้ใน แฟ้มตัวอย่างนี้อาจจะเป็นรูป ถ่ายสำเนาของผลงาน ถ้านักเรียนต้องการเก็บต้นฉบับของตนเอง 3. แถบเสียง (Audio Cassettle) ใช้แถบเสียงบันทึกการอ่านหรือการพูด ตลอดจนการเล่าเรื่อง การ อภิปราย หรือการเล่นดนตรีของนักเรียน 4. วิดีโอเทป (Video tape) ใช้วิดีโอเทปบันทึกพฤติกรรมและกิจกรรมของ นักเรียนไว้ เช่น การแสดง ละคร การแข่งกีฬา การประดิษฐ์สิ่งของ การทำงานแกะสลัก เป็นต้น 5. ถ่ายภาพ (Photography) ครูควรมีกล้องถ่ายภาพไว้ประจำเพื่อ ถ่ายภาพผลงานที่เก็บไว้ไม่ได้ เช่น ผลงานโครงงานวิทยาศาสตร์ ผลงานศิลปะ เป็นต้น 6. บันทึกประจำวันนักเรียน (Student Journal) นักเรียนเขียนบันทึก ประจำวันทุกวันถึงสภาพโรงเรียน ความรู้สึก การขีดเขียนต่าง ๆ ในสมุดบันทึก แนวทาง การพัฒนาพหุปัญญา ในสถานศึกษา 17
16 7. บันทึกความก้าวหน้าในการเรียน (Student-Kept Chart) นักเรียนมีสมุดบันทึกความก้าวหน้าในการ เรียน เช่น จำนวนหนังสือที่ได้อ่าน จุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้และการบรรลุถึงจุดมุ่งหมาย เป็นต้น 8. สังคมมิติ (Socio gram) ครูสังเกตและบันทึกความสัมพันธ์ระหว่าง นักเรียนทั้งด้านบวกและด้านลบ 9. การทดสอบแบบไม่เป็นทางการ (Informal Test) สร้างแบบทดลอง เพื่อจะทราบว่านักเรียนได้รู้อะไร มิใช่แบบทดสอบว่านักเรียนไม่รู้อะไร 10. การใช้แบบทดสอบมาตรฐานอย่างไม่เป็นทางการ (Informal Use of Standardized Test) ครูอาจ จำแบบทดสอบมาตรฐานใช้ทดสอบอย่างไม่เป็นทางการ โดยยืดหยุ่นเวลา มีการอ่านคำถามและให้มีการซักถาม และการตอบอาจจะให้เป็นรูปแบบ เคลื่อนไหว เพลง วาดภาพ หรืออื่น ๆ จุดประสงค์ใหญ่คือ เพื่อจะทราบว่า นักเรียนมีความรู้จริง ๆ อย่างไร คำตอบที่ผิดก็ควรช่วยให้ครูค้นหาว่าทำไมจึงคิดเช่นนั้น การใช้แบบทดสอบ มาตรฐานก็เพื่อกระตุ้นให้เด็กตื่นตัวในวิชานั้น ๆ 11. การประเมินแบบอิงเกณฑ์ (Criteria-referenced Assessment) ใช้ประเมินแบบอิงเกณฑ์ ไม่อิง กลุ่มเหมือนเปรียบเทียบกันในกลุ่ม แต่ทดสอบเด็กว่าทำได้ในเรื่องอะไร เช่น บวกลบสองหลักโดยมีทดได้ เขียน เรียงความได้ 3 หน้า เป็นต้น 12. แบบสำรวจ (Checklist) ครูทำแบบสำรวจถึงสิ่งที่ทำได้ หรือเนื้อหา ที่เข้าใจแล้วเพื่อตรวจสอบว่า นักเรียนทำได้ถึงขั้นใด 13. ทำแผนที่ห้องเรียน (Classroom Map) ครูทำแผนที่ห้องเรียนไว้และแต่ละวันครูบันทึกว่าใครทำ อะไรตรงไหนกับใครเป็นรายวัน 14. บันทึกปฏิทินประจำวัน (Calendar Record) ให้นักเรียนทั้งชั้นช่วยกัน ทำปฏิทินประจำวันว่าในวัน หนึ่ง ๆ ได้ทำอะไร เมื่อครบเดือนครูก็จะเก็บไว้ และทำเช่นนี้ตลอดปี 18 แนวทาง การพัฒนาพหุปัญญา ในสถานศึกษา
17 7. เครื่องมือสำหรับวัดและประเมินพหุปัญญา ยุทธวิธีการเรียนหลากหลายที่นำมาใช้กระตุ้นพหุปัญญา นับเป็นแหล่งสร้างโอกาสมหาศาลให้กับการวัด และประเมินการเรียนของนักเรียน หลังจากเลือกวิธีการที่จะใช้เป็นกิจกรรรมการสอนตามหลักสูตรแล้วครู สามารถเลือกวิธีวัดและประเมินที่มีอยู่มากมายมาใช้กับกิจกรรม และครูควรใช้ความรอบคอบในการเลือกเลือกวิธี วัดและประเมินจะช่วยให้ครูได้ข้อมูลว่านักเรียนได้เรียนอะไรและอย่างไรมากกว่าการใช้แบบทดสอบมาตรฐาน ทั่วไป ซึ่งได้มีการเสนอเครื่องมือสำหรับการวัดและประเมินพหุปัญญา Gardner (1995 : 215) ดังนี้ 1. แบบสังเกตพฤติกรรม (Observation check lists) ครูสามารถใช้แบบสังเกตพฤติกรรมนี้ประเมินตาม เกณฑ์นักเรียนในระหว่างทำงานช่วงใดช่วงหนึ่ง หรืออาจให้นักเรียนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้สังเกตได้ใช้ประเมิน เพื่อน ตามทฤษฎีของการ์ดเนอร์แบบพฤติกรรมนี้จะต้องเน้นกระบวนการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นมากกว่าผลงานที่ได้ใน ตอนท้าย 2. บัตรสังเกตพฤติกรรม (Observation note cards) เป็นแผ่นบัตรสำหรับครูเพื่อพกพาไปพร้อมกับ สมุดลงคะแนน ใช้สำหรับจดบันทึกการสังเกตนักเรียนประมาณ 5-7 คนในแต่ละวันโดยสังเกตความสามารถพิเศษ ด้านใดด้านหนึ่งของนักเรียน ในขณะทำงานที่ได้รับมอบหมาย ครูสามารถเจาะจงการสังเกตความสามารถเพียง ด้านเดียว ในแต่ละครั้ง หลังการสังเกตให้มอบให้นักเรียนอ่านและเก็บเข้าแฟ้มสะสมงาน 3. แบบถาม – ตอบปลายเปิดและแนวทาง (Open – ended and guided responses) แบบถาม-ตอบ ปลายเปิดและแนวทางเป็นวิธีการที่จะช่วยกระตุ้นผู้เรียนให้คิดเองมากขึ้น ไม่เพียงแค่พูดไปเรื่อยเฉื่อยตามที่คิดว่า ครูอยากได้ยิน ในกรณีที่ครูต้องการประเมินออกมาเป็นคะแนน อาจใช้วิธีใช้วิธีการประเมินแบบ fluidity standard ผนวกกับวิธีการแบบ insight standard 4. แบบทดสอบที่ครูสร้างแบบทดสอบย่อย (Teacher – made tests and quizzes) แบบทดสอบต้อง เป็นโจทย์คำถามที่ผู้เรียนต้องใช้ทักษะความคิดระดับสูง ในการตอบอาจมีลักษณะเป็นความเรียง 5. ผังและแบบจัดระบบความคิด (Graphic organizers and designs) ผังและแบบจัดระบบความคิด นอกจากจะช่วยให้นักเรียนได้เรียนในขณะที่จัดการกับข้อมูลแล้ว ยังช่วยในการวางแผนและประเมินผลด้วย การวัดความสามารถด้านพหุปัญญาของเด็กนั้น เราจะไม่ใช้ระบบ แบบทดสอบมาตรฐานแบบอิงกลุ่มแต่ จะเน้นการวัดผลตามสภาพจริง ได้แก่ แบบทดสอบที่อิงเกณฑ์ โดยมาตรฐานและวัดผลงานจริง ๆ ซึ่งจะ เปรียบเทียบความก้าวหน้าในผลงานของแต่ละบุคคล การประเมินผลจากประสบการณ์ในสภาพความเป็นจริง จำเป็นต้องมีเครื่องมือประเมินและวิธีการประเมินหลากหลาย เครื่องมือที่สำคัญ คือ การสังเกตจะทำให้สามารถ บ่งบอกว่านักเรียนมีความถนัดปัญญาด้านใด แนวทาง การพัฒนาพหุปัญญา ในสถานศึกษา 19
18 8. แนวทางการส่งเสริมความสามารถทางพหุปัญญา การส่งเสริมความสามารถทางพหุปัญญาให้กับเด็กนั้นต้องเข้าใจว่า เด็กทุกคนไม่ใช่อัจฉริยะแต่เด็กทุกคน มีความสามารถถึงขีดสูงสุดของแต่ละบุคคล การเปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงออกถึง ความรู้สึกของตนเอง จาก ประสบการณ์ที่ได้รับด้วยการสื่อสารด้านต่างๆ เช่น การพูดแสดงความคิดเห็น การวาดภาพสิ่งที่ตนเองประทับใจ เป็นต้น ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้จะทำให้เด็กได้แสดงความสามารถของตนเองได้อย่างแท้จริง ทั้งนี้ การ์ดเนอร์ได้ให้แนวทางการจัดการกิจกรรมการเรียนรู้ที่ส่งเสริมพหุปัญญาเพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิด การพัฒนาการด้านต่าง ๆ ประกอบด้วยกิจกรรม 5 กิจกรรม ดังนี้(Gardner. 1995 อ้างถึงใน ประเสริฐ แซ่เอี๊ยบ, 2561 : 20) 1. กิจกรรมการเรียนรู้ทั่วไป 7.1 เชาว์ปัญญา : ด้านภาษา กิจกรรมการเรียนรู้ทั่วไป - การอ่านหนังสือ อ่านนิทาน เรื่องเล่า - การเขียนเรื่องสั้นสำหรับจดหมายข่าวในชั้นเรียน - การเขียนบทความสารคดีสำหรับหนังสือ/วารสารโรงเรียน - พูด/ตอบคำถามอย่างกะทันหัน - อภิปราย - เขียนเรียงความ บทกลอน หรือเขียนข่า - เขียนและนำเสนอทฤษฎีและหลักการต่าง ๆ - เล่นเกมที่เน้นการพูดและการสะกดคำ - เขียนบทความหรือสมุดบันทึกประจำวัน 20 แนวทาง การพัฒนาพหุปัญญา ในสถานศึกษา
19 7.2 เชาว์ปัญญา : ด้านตรรกะและคณิตศาสตร์ กิจกรรมการเรียนรู้ทั่วไป - แก้ปัญหาต่าง ๆ - ทำการทดลองภายใต้ทฤษฎีต่าง ๆ - ต่อภาพจิ๊กซอ - พัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ - สร้างโปรแกรมตารางสำหรับการคำนวณ - เล่นเกมที่เกี่ยวกับเงิน - เรียนรู้เกี่ยวกับรูปแบบทางวิทยาศาสตร์และอภิปราย - รวบรวมข้อมูลและจัดกลุ่มข้อมูล - สร้างโมเดลการทำนายโดยอาศัยทฤษฎีต่าง ๆ - สร้างโมเดลทางวิทยาศาสตร์สำหรับวัดผล 7.3 เชาว์ปัญญา : ด้านมิติสัมพันธ์ กิจกรรมการเรียนรู้ทั่วไป - สาธิตชิ้นส่วนของงาน - สร้างงานสามมิติ - วาดภาพ ระบายสี - สร้างผังความคิด - ต่อภาพจิ๊กซอ - เล่นเกมจำภาพ - วาดภาพตามความคิด - นำเสนองานให้เป็นภาพ แนวทาง การพัฒนาพหุปัญญา ในสถานศึกษา 21
20 7.4 เชาว์ปัญญา : ด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว กิจกรรมการเรียนรู้ทั่วไป - แสดงบทบาทสมมติ - สร้างโครงสร้างของรูปทรงต่าง ๆ - ซ่อมแก้ไขเครื่องจักรกล - สาธิตกิจกรรมการเรียนรู้ที่ต้องลงมือกระทำ - เต้นรำ - เล่นเกม - ออกกำลังกาย 7.5 เชาว์ปัญญา : ด้านดนตรี กิจกรรมการเรียนรู้ทั่วไป - ร้องเพลง - เล่นดนตรี - เขียนเนื้อเพลง - กิจกรรมเข้าจังหวะ - เล่นดนตรีที่แตกต่างกันในวงดนตรี - ฮัมเพลงหรือเต้นรำ - สาธิตการทำงานของเครื่องดนตรี - อธิบายความเหมือนและแตกต่างของเสียง - ฝึกร้องเพลงร่วมกับกลุ่ม 22 แนวทาง การพัฒนาพหุปัญญา ในสถานศึกษา
21 7.6 ความฉลาดด้านมนุษยสัมพันธ์ กิจกรรมการเรียนรู้โดยทั่วไป 1. ร่วมกับกลุ่มทำโครงงาน 2. ร่วมอภิปรายกลุ่ม 3. จัดการประชุมเพื่อแก้ปัญหา 4. ระดมสมองในกระเด็นที่กำหนดขึ้น 5. จัดกิจกรรมร่วมกัน 6. ระบายความรู้สึกแก่กันและกัน 7. อ่านหนังสือร่วมกันเป็นกลุ่มและแลกเปลี่ยนความเห็น 7.7 ความฉลาดด้านการเข้าใจตนเอง กิจกรรมการเรียนรู้โดยทั่วไป 1. กำหนดเป้าหมายใหม่ๆ 2. แบ่งปันประสบการณ์ส่วนตัว 3. เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับการรับรู้ของตนเอง 4. สะท้อนผลที่แสดงถึงการกระทำของตน 5. พิจารณาจุดอ่อนของตนเองเพื่อปรับปรุงให้ดีขึ้น 6. ศึกษาด้วยตนเอง 7. ทำโครงงานด้วยตนเอง แนวทาง การพัฒนาพหุปัญญา ในสถานศึกษา 23
22 7.8 ความฉลาดด้านความฉลาดด้านธรรมชาติ กิจกรรมการเรียนรู้โดยทั่วไป 1. เลี้ยงสัตว์เลี้ยงปลาและปลูกพืช 2. ร่วมกิจกรรมกลุ่มทางธรรมชาติ 3. สร้างบ้านสำหรับนก 4. เข้าร่วมโครงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม 5. เก็บรวบรวมหินต่าง ๆ มาทำการศึกษา 6. อธิบายความสำคัญของการรีไซเคิล 7. วิจัยเกี่ยวกับพืชหรือสัตว์ 8. อธิบาย เขียนวัฏจักรทางธรรมชาติ 7.9 ความฉลาดทางด้านการดำรงอยู่ของชีวิต กิจกรรมการเรียนรู้โดยทั่วไป 1. วางแผนจัดกิจกรรมการกุศล 2. ค้นหาและอ่านบทกวี 3. จดบันทึกเหตุการณ์เรื่องราว 4. วิเคราะห์ข่าว เหตุการณ์จากหนังสือพิมพ์ 5. ร่วมและศึกษาจากประเพณีปฏิบัติศาสนกิจ 24 แนวทาง การพัฒนาพหุปัญญา ในสถานศึกษา
21 7.6 ความฉลาดด้านมนุษยสัมพันธ์ กิจกรรมการเรียนรู้โดยทั่วไป 1. ร่วมกับกลุ่มทำโครงงาน 2. ร่วมอภิปรายกลุ่ม 3. จัดการประชุมเพื่อแก้ปัญหา 4. ระดมสมองในกระเด็นที่กำหนดขึ้น 5. จัดกิจกรรมร่วมกัน 6. ระบายความรู้สึกแก่กันและกัน 7. อ่านหนังสือร่วมกันเป็นกลุ่มและแลกเปลี่ยนความเห็น 7.7 ความฉลาดด้านการเข้าใจตนเอง กิจกรรมการเรียนรู้โดยทั่วไป 1. กำหนดเป้าหมายใหม่ๆ 2. แบ่งปันประสบการณ์ส่วนตัว 3. เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับการรับรู้ของตนเอง 4. สะท้อนผลที่แสดงถึงการกระทำของตน 5. พิจารณาจุดอ่อนของตนเองเพื่อปรับปรุงให้ดีขึ้น 6. ศึกษาด้วยตนเอง 7. ทำโครงงานด้วยตนเอง แนวทาง การพัฒนาพหุปัญญา ในสถานศึกษา 25
24 ➢ เชาว์ปัญญา : ด้านการเข้าใจระหว่างบุคคล • การแข่งขันเป็นทีม การเล่นเป็นทีม • การอภิปรายและทำงานเป็นกลุ่ม ➢ เชาว์ปัญญา : ด้านการเข้าใจตนเอง การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และงานอดิเรก ➢ เชาว์ปัญญา : ด้านธรรมชาติวิทยา การสะสม จัดหมวดหมู่ หรือดูแลสัตว์และพืช การทำนายชนิด สายพันธุ์ หรือจำแนกหมวดหมู่สัตว์ และพืช ➢ เชาว์ปัญญา : ด้านการดำรงอยู่ของชีวิต เกมที่ช่วยสร้างความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของโลกและจักรวาล หรือความสัมพันธ์ ของโลกและจักรวาล 26 แนวทาง การพัฒนาพหุปัญญา ในสถานศึกษา
25 3. กิจกรรมการเรียนรู้แบบกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ กิจกรรมการเรียนรู้แบบกระบวนการทางวิทยาศาสตร์คือ กิจกรรม การเรียนรู้ที่มีการประยุกต์จาก แนวคิดของ Gagne (1977) ร่วมกับกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งมี 6 ขั้นตอน 1. การสะท้อนตนเอง (Self-reflection) ซึ่งผู้เรียนจะสะท้อนความคิดเกี่ยวกับตนเอง พฤติกรรม การเรียน และงานอดิเรกของผู้เรียน 2. ครูแนะนำแนวคิดเกี่ยวกับการฝึกกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (Practices science process skill : SPS) 3. ผู้เรียนจะตั้งประเด็นคำถามเกี่ยวกับเนื้อหาในรายวิชาที่จะเรียน 4. ครูตั้งคำถามเชิงลึกเชื่อมโยงกับศักยภาพด้านพหุปัญญาผ่านการปฏิบัติกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 5. จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้มีความรู้ความเข้าใจที่สอดคล้องด้วยพหุปัญญาของผู้เรียนด้วยรูปแบบที่เน้น การฝึกปฏิบัติร่วมกัน เช่น การทำโครงงาน ชิ้นงาน การสำรวจ การออกแบบ การเขียนสารคดี เป็นต้น โดย แบ่งกลุ่มฝึกปฏิบัติกิจกรรมตามลักษณะของพหุปัญญาที่เนชัดในด้านต่าง ๆ ได้แก่ ด้านภาษา ด้านตรรกะ คณิตศาสตร์ ด้านมิติสัมพันธ์ ด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว ด้านดนตรี ด้านการเข้าใจระหว่างบุคคล ด้านการ เข้าใจตนเอง ด้านธรรมชาตวิทยา และด้านการดำรงอยู่ของชีวิต 6. สรุปบทเรียน กิจกรรมในขั้นตอนที่ 1 ถึง 4 จัดเป็นกิจกรรมกลุ่ม ในขั้นตอนที่ 5 จะจัดกลุ่มแยก ตามลักษณะทางพหุปัญญา และในขั้นตอนที่ 6 จะเป็นการนำเสนอรายบุคคล แนวทาง การพัฒนาพหุปัญญา ในสถานศึกษา 27
26 4. กิจกรรมการเรียนรู้บทบาทสมมุติ กิจกรรมการเรียนรู้แบบบทบาทสมมุติ เป็นกิจกรรมจากประสบการณ์ของผู้เรียนหรือสิ่งที่ผู้เรียนสนใจ เช่น ความสัมพันธ์กับเพื่อนหรือความขัดแย้งกับคนในครอบครัว ครูจะแนะนำให้นักเรียนแสดงบทบาทหลาย ๆ แบบ กระตุ้นให้ผู้เรียนรู้จักใช้คำพูดของตนเอง่วมกับอภิปราย และแสดงความคิดเห็น โดยใช้คำถามเป็นตัวกระตุ้น นอกจากจะทำให้ผู้เรียนรู้จักแสดง ความคิดเห็นแล้วยังทำให้ผู้เรียน รู้จักรับฟังความคิดเห็นของผู้เรียนคนอื่น ๆ ด้วย กระบวนการเหล่านี้ช่วยให้ผู้เรียนมีความเข้าใจผู้ที่มีความคิดและประสบการณ์ที่แตกต่างจากตนเองมากขึ้น กลยุทธ์ที่ครูใช้ คือ การพูดการเขียน การแสดงท่าทาง กระตุ้นให้ผุ้เรียนมีส่วนร่วมและมีใจจดจ่อ มีความสนใจ ต่อเนื่อง ในด้านการอภิปราย ครูใช้วิธีการตั้งคำถาม และเล่าเรื่องของตนเอง หรือแกล้งทำตัวเป็นคนอื่นใช้แผ่น ป้ายผ้า หรือใช้ตุ๊กตา ในขณะที่ผู้เรียนจะแสดงออกทั้งการพูดและการแสดงท่าทาง ในบางครั้งจะมี Field trip (การทัศนศึกษา) เพื่อให้คนในชุมชนให้ความสนใจและมีส่วนร่วม ในช่วง 5 นาที สุดท้ายของคาบจะเป็นเวลาใน การสะท้อนว่าผู้เรียนได้ทำอะไรบ้าง ผู้เรียนชอบอะไรมากที่สุด ผู้เรียนสนใจอะไรมากที่สุดในระหว่างการทำ กิจกรรม แม้ว่าการเชื่อมโยงประสบการณ์กับการแสดงออกอาจทำได้ยาก แต่การที่ผู้เรียนได้พูดจะทำให้ผู้เรียน สามารถเปลี่ยนประสบการณ์ให้เป็นคำพูดที่มีความเป็นรูปธรรมมากขึ้นและเสริมพหุปัญญาด้านการเข้าใจตนเอง ของผู้เรียน ❖ กิจกรรม : จิตใจของฉัน (My Mind) จุดมุ่งหมาย : เข้าใจความคิดและความรู้สึกของคนอื่นและผู้เรียนเอง และคิดถึงวิธีการที่จะทำให้คนอื่นมี ความสุข เนื้อหา/รายละเอียด : สร้างจินตนาการว่ามีร้านที่ผู้เรียนสามารถซื้ออะไรก็ได้ตามที่คิดจากนั้นก็วาดรูป หรือปั้นแป้งสิ่งของที่ผู้เรียนต้องการซื้อ แบ่งปันความคิดกับสิ่งของที่ผู้เรียนซื้อกับเพื่อน ๆ ❖ กิจกรรม : ระหว่างเพื่อน จุดมุ่งหมาย : เข้าใจจิตใจของเพื่อและให้สิ่งที่เพื่อนต้องการ เนื้อหา/รายละเอียด : สร้างอภิปรายเกี่ยวกับตัวละครจากเรื่องราวบนแผ่นป้ายผ้าและค้นหาวิธีการ แก้ปัญหาที่ตัวละครต้องการเผชิญ ผู้เรียนรู้สึกอย่างไรหลังจากสวมบทบาทและแบ่งปันกับเพื่อนผู้เรียนว่าได้พบ เจอเหตุการณ์เหมือนกันหรือไม่ 28 แนวทาง การพัฒนาพหุปัญญา ในสถานศึกษา
27 ❖ กิจกรรม : ฉันชอบเธอ จุดมุ่งหมาย : แสดงความรู้สึกชอบที่มีต่อผู้อื่นอย่างเหมาะสม เนื้อหา/รายละเอียด : ให้นึกถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและลองใช้วิธีแก้ปัญหาที่ผู้เรียนคิดขึ้น แล้วอภิปราย สิ่งที่ผู้เรียนคิดและได้แสดงบทบาทและแบ่งปันวิธีที่เหมาะสมในการแสดงความรักต่อเพื่อนของผู้เรียน ❖ กิจกรรม : มาชื่นชมกันเถอะ จุดมุ่งหมาย : ชมเพื่อนและตนเองที่มีความเข้มแข็ง เนื้อหา/รายละเอียด : ชมและให้กำลังใจเพื่อนของผู้เรียน ซ่อนเด็กคนหนึ่งไว้หลังแผ่นกระดานผ้า และให้ เด็กที่เหลือพูดให้กำลังใจเด็กที่ซ่อนตัวอยู่ แบ่งปันความรู้สึกของผู้เรียนเมื่อได้ยินคำชม ❖ กิจกรรม : ถึงเพื่อนของฉัน จุดมุ่งหมาย : ลองคิดดูว่าทำไมผู้เรียนถึงชอบเพื่อนบางคน และแสดงความรู้สึกที่มีกับเพื่อน คนนั้น เนื้อหา/รายละเอียด : วาดภาพดูว่าผู้เรียนคิดว่าเพื่อน ๆ เป็นใครและลองพูดคุยกับพวกเขาว่าทำไมคุณถึง ชอบหรือไม่ชอบพวกเขา และอภิปรายถึงการที่ผู้เรียนได้สารภาพความรู้สึกที่มีต่อเพื่อน และทำอย่างไรจึงจะทำให้ ผู้เรียนได้คบกับเพื่อน ๆ ต่อไป ❖ กิจกรรม : โตขึ้นฉันอยากเป็นอะไร จุดมุ่งหมาย : อภิปรายว่าผู้เรียนชอบทำงานแบบไหนในอนาคตและถ้าจะทำงานนั้นผู้เรียนต้องมี คุณสมบัติอะไรบ้าง เนื้อหา/รายละเอียด : ทำกระดาษคาดศีรษะที่เขียนว่า “อนาคตของฉัน” และแนะนำตัวตนในอนาคต ของผู้เรียน อภิปรายกับเพื่อนผู้เรียนถึงงานที่พ่อแม่ ผู้ปกครองทำและถ้าโตเป็นผู้ใหญ่ผู้เรียนชอบหรืออยากทำงาน อะไร ❖ กิจกรรม : กอดฟรี จุดมุ่งหมาย : สัมผัสว่าการกอดกันด้วยความรักและการปลอบใจนั้นเป้นอย่างไร เนื้อหา/รายละเอียด : อ่านหนังสือ “กอดฟรี” และให้ผู้เรียนทำตัวแบบตัวละครตัวเอกที่ถือป้าย “กอดฟรี” และกอดคนทั่วไปบนถนน แบ่งปันความรู้สึกของผู้เรียน เมื่อผุ้เรียนกอดกับผู้เรียนคนอื่น แนวทาง การพัฒนาพหุปัญญา ในสถานศึกษา 29
28 กลไกการพัฒนาและการส่งเสริมพหุปัญญา เพื่อการพัฒนาศักยภาพผู้เรียน กลไก (Mechanisms) ที่ขับเคลื่อนรูปแบบการพัฒนาและส่งเสริมพหุปัญญาของผู้เรียนได้อย่างต่อเนื่อง จากผลการศึกษามีทั้งสิ้น 8 กลไก กลไก 1 สายสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับครูหรือผู้ปกครอง หมายถึง ความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างผู้เรียนกับครูหรือผู้ปกครอง เป็นสิ่งที่ทำให้ครูหรือผู้ปกครองได้สามารถรับรู้ และเข้าใจถึงศักยภาพผู้เรียน สิ่งที่ผู้เรียนชื่นชอบรวมทั้งความต้องการในการพัฒนาตนเองของผู้เรียน กลไกที่ 2 สภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรม หมายถึง สมรรถภาพในการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ของคนรุ่นหนึ่งที่ถูกถ่ายทอดไปยังคนรุ่นต่อ ๆ ไป ผู้ที่มี วัฒนธรรมแตกต่างกันจะมีความคิดและทักษะการแก้ปัญหาที่แตกต่างกันด้วย กลไกที่ 3 พีระมิดการเรียนรู้ หมายถึง ผลลัพธ์การเรียนรู้ที่ได้จากวิธีการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน กล่าวคือ ผู้เรียนที่เรียนรู้เชิงลึกจากการสอนผู้อื่น อัตราการคงอยู่ของสิ่งที่ได้เรียนรู้และเพิ่มสูงถึงร้อยละ 95 ถ้าได้ทดลองปฏิบัติ (Practice doing) จะช่วยให้อัตรา การคงอยู่ได้ร้อยละ 75 ถ้าหากได้ร่วมอภิปรายในห้องเรียน (Discussion) จะช่วยให้อัตราการคงอยู่ได้ร้อยละ 50 แต่ถ้ามีการผสมผสานการเรียนรู้หลาย ๆ วิธีจะทำให้อัตราการคงอยู่ของความรู้เพิ่มสูงขึ้น กลไก 4 การเรียนรู้เชิงรุกของผู้เรียน หมายถึง การลงมือปฏิบัติและมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้ด้วยตนเอง เมื่อผู้เรียนมีความเข้าใจความสมดุลทาง พหุปัญญาของตนเองแล้ว ผู้เรียนจะเป็นผู้ริเริ่มจัดการเรียนรู้ของตนเองและให้คุณค่ากับจุดแข็งของตนเอง กลไก 5 แรงจูงใจในการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ หมายถึง กระบวนการที่เกิดขึ้นภายในตัวผู้เรียน ที่มีส่วนในการผลักดันให้ผู้เรียนไปสู่เป้าหมาย แรงจูงใจส่งผลทั้ง ความทุ่มเท ความคิด อารมณ์ และพฤติกรรมไปในทางที่สร้างสรรค์ มี 2 แบบ คือ 1) แรงจูงใจแบบบูรณาการ (Integrative motivation) จะทำให้ผู้เรียนมีความสนใจที่จะเรียนรู้และสร้างสรรค์เกี่ยวกับวัฒนธรรมและภาษา และ 2) แรงจูงใจแบบเครื่องมือ (Instrumental motivation) จะทำให้ผู้เรียนมีความสนใจเรียนรู้และสร้างสรรค์ การทำงาน เช่น สนใจที่จะสร้างรายได้เพิ่มขึ้น เป็นต้น กลไก 6 การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มย่อย หมายถึง การแบ่งผู้เรียนที่เข้าร่วมทกลุ่มกิจกรรมออกเป้นกลุ่มย่อย ๆ ที่มีขนาดไม่เกิน 4-6 คน เพื่อให้ผู้เรียนเข้า ร่วมกิจกรรมอย่างทั่วถึง เกิดการเรียนรู้แบบร่วมมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ (Effective collaborators) ครูผู้สอน สามารถจัดกลุ่มตามความสามารถของผู้เรียน ถ้าหากครูผู้สอนต้องการพัฒนาผู้เรียนตามความสามารถ ครูผู้สอน สามารถอนุญาตให้ผู้เรียนจัดกลุ่มด้วยตนเอง เพื่อให้ผู้เรียนสามารถทำงานตามความชอบและความถนัดเพราะ ผู้เรียนจะรู้ว่าเพื่อนแต่ละคนจะทำงานช่วยเหลือกันในแต่ละบทบาทได้อย่างไร 30 แนวทาง การพัฒนาพหุปัญญา ในสถานศึกษา
29 กลไก 7 การใช้เทคโนโลยีในการทำกิจกรรม หมายถึง การนำสื่อเทคโนโลยีประเภทต่าง ๆ มาผสมผสานรวมกัน ซึ่งประกอบด้วยตัวอักษร (Text) ภาพนิ่ง (Image) การเคลื่อนไหว (Animation) เสียง (Sound) และ วีดีโอ (Video) โดยผ่านกระบวนการทางระบบ คอมพิวเตอร์ เพื่อสื่อความหมายกับผู้ใช้ในการทำกิจกรรม และสนับสนุนการเรียนรู้อย่างมีปฏิสัมพันธ์ (Interactive multimedia) และส่งเสริมเชาว์ปัญญาแต่ละด้าน กลไล 8 การประเมินการเรียนรู้ของผู้เรียน หมายถึง ความเข้าใจของครูเกี่ยวกับขั้นตอนการประเมินการเรียนรู้ของผู้เรียน ซึ่งมีการประเมินการเรียนรู้ 6 ขั้น คือ ขั้น 1 จำ (Remember) หมายถึง การระลึกได้ หรือการดึงข้อมูลจากความจำที่มีอยู่มาใช้ในการนิยาม ให้ข้อเท็จจริง หรือรายการข้อมูลต่าง ๆ หรือท่องสิ่งที่เคยเรียนรู้มาก่อนให้ฟัง ขั้น 2 เข้าใจ (Understanding) หมายถึง การให้ความหมายด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น การเขียนหรือวาด กราฟ หรือการใช้วิธีการอื่น ๆ ในการตีความ การยกตัวอย่าง การจัดจำแนก การสรุปความ การเปรียบเทียบ หรือ การอธิบายการให้ความหมาย หรือ ใช้วิธีการอื่น ๆ ในการตีความ การยกตัวอย่าง การจัดจำแนก การสรุปความ การเปรียบเทียบหรือการใช้วิธีการต่าง ๆ ขั้นที่ 3 ประยุกต์ใช้ (Applying) หมายถึง การดำเนินการหรือการใช้กระบวนการที่คิดขึ้นเองเพื่อนำเอา ผลผลิตจาการเรียนรู้ เช่น แบบจำลอง รูปแบบการนำเสนอ การสัมภาษณ์ หรือต้นแบบ มาปรับใช้ ขั้นที่ 4 วิเคราะห์ (Analyzing) การแยกเนื้อหาหรือความคิดรวบยอดออกเป็นส่วน ๆ แล้วจึงพิจารณา ว่ามีส่วนใดสัมพันธ์กัน หรือเกี่ยวข้องกันด้วยส่วนใดหรือตลอดทั้งโครงสร้าง มีการแยกแยะ จัดระบบ พร้อมให้ เหตุผลประกอบ รวมทั้งแยกความแตกต่างระหว่างองค์ประกอบหรือส่วนใดส่วนหนึ่ง เมื่อผู้เรียนวิเคราะห์สมองก็ จะทำงานด้วยการสร้างแผนภาพความคิด ผังภาพ หรือแผนภูมิ ขั้นที่ 5 ประเมิน (Evaluating) หมายถึง การตัดสินใจภายใต้เกณฑ์การตัดสินและมาตรฐาน ผ่านการ ตรวจและวิพากษ์ ซึ่งการวิพากษ์ แนะนำ การรายงานเป็นผลผลิตเพียงบางส่วนที่สามารถสร้างขึ้นเพื่อแสดงให้ เห็นถึงกระบวนการประเมินผลซึ่งมาขั้นการสร้างสรรค์ ขั้นที่ 6 สร้างสรรค์(Creating) หมายถึง การนำเอาส่วนประกอบที่มีอยู่มาเชื่อสัมพันธ์กันทำให้เกิด สิ่งใหม่ รูปแบบใหม่ โครงสร้างใหม่ หรือระบบใหม่ที่แตกต่างจากเดิม การเชื่อมสัมพันธ์ในการสร้างสรรค์จะต้องใช้ วิธีการใหม่ หรือมีการสังเคราะห์ส่วนใดส่วนหนึ่งไปเป็นสิ่งใหม่ ทำให้เกิดรูปแบบใหม่หรือผลิตภัณฑ์ใหม่ แนวทาง การพัฒนาพหุปัญญา ในสถานศึกษา 31
30 เงื่อนไขสู่ความสำเร็จ การส่งเสริมและพัฒนาพหุปัญญาที่หลากหลายของผู้เรียนมีความสำคัญต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ของประเทศอย่างยิ่ง เพื่อพัฒนาคนไทยให้มีศักยภาพ มีการส่งเสริมความถนัด และสร้างความเป็นเลิศหรือความ เชี่ยวชาญใยสาขาต่าง ๆ ให้เกิดขึ้นอย่างหลากหลาย ซึ่งจำเป็นที่สถานศึกษาในทุกระดับการศึกษาต้องตระหนักให้ ความสำคัญและร่วมกันพัฒนาผู้เรียนให้ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพโดยการนำไปสู่การปฏิบัติและพัฒนาใน สถานศึกษา ควรสร้างทัศนคติและปัจจัยที่จะทำให้เกิดความสำเร็จ ดังนี้ ➢ มีความเชื่อมั่นในศักยภาพของตนเอง ผู้บริหารสถานศึกษา ครู และผู้ปกครอง ต้องเชื่อว่าเด็กทุกคนมีศักยภาพ ความเชื่อนี้จะส่งผลต่อทัศนคติ ในการส่งเสริมและพัฒนาให้ผู้เรียนได้ค้นพบตัวเอง มีความสุขในการเรียนรู้ และได้รับการพัฒนาตามพหุปัญญาที่ แท้จริง ผู้บริหารสถานศึกษา ครู และผู้ปกครอง ควรมีมุมมองเกี่ยวกับศักยภาพของผู้เรียนเป็นองค์รวมอย่าง กว้างขวางทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ทั้งวิชาการ วิชาชีวิต วิชาชีพ คุณธรรม และสุนทรียะต่าง ๆ มีความเข้าใจ ในความแตกต่างหลากหลายของผู้เรียน และเชื่อว่าผู้เรียนทุกคนมีศักยภาพในการเรียนรู้และพัฒนาได้ตามวัย ตามความพร้อม และบริบทที่กระตุ้นสนับสนุน ➢ จัดการเรียนรู้ตามความถนัด การจัดการเรียนรู้ตามความถนัดเป็นปัจจัยสำคัญต่อการพัฒนาพหุปัญญาของผู้เรียน สถานศึกษาควร จัดทำสารสนเทศและแผนพัฒนาผู้เรียนเป็นรายบุคคล มีการคัดกรองพหุปัญญาของผู้เรียน มีการเก็บข้อมูล ความชอบ ความสนใจ ความถนัด และความต้องการของผู้เรียนเป็นรายบุคคลทุกปีการศึกษา และนำสารสนเทศ มาวางแผนจัดหลักสูตรและกิจกรรมการเรียนรู้อย่างหลากหลายให้สอดคล้องตามความถนัดและความสนใจของ ผู้เรียนให้ได้มากที่สุด ➢ พัฒนาครูสู่การจัดการเรียนรู้ใหม่ ครูจำเป็นต้องปรับบทบาทเป็นโค้ชการเรียนรู้ของผู้เรียน สามารถดึงศักยภาพที่โดดเด่นของผู้เรียนออกมาพัฒนา ให้เต็มที่ และเสริมส่วนที่เป็นจุดอ่อนให้ได้รับการพัฒนาอย่างเหมาะสม โดยสถานศึกษาและหน่วยงานเกี่ยวข้อง ควรเร่งพัฒนาครูผู้สอนให้มีความรู้ ทักษะ และเทคนิควิธีการจัดการเรียนรู้แนวใหม่ การจัดการเรียนรู้บนฐาน สมรรถนะ การจัดการเรียนรู้เชิงรุก และมีจิตวิทยาการเรียนการสอนผู้เรียนยุคใหม่ ➢ ประยุกต์ใช้เทคโนโลยี สื่อและเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทต่อการจัดการเรียนรู้ยุคใหม่เพิ่มมากขึ้น สถานศึกษาจำเป็นต้องประยุกต์ใช้สื่อ และเทคโนโลยีทางการศึกษา หรือสื่อดิจิทัลต่าง ๆ เข้ามาใช้ในการจัดการเรียนรู้อย่างเหมาะสมและเกิดประโยชน์ ต่อการพัฒนาทักษะและสมรรถนะที่สำคัญของผู้เรียน สื่อและเทคโนโลยีสามารถกระตุ้นความสนใจในการเรียนรู้ เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้เพื่อพัฒนาพหุปัญญาด้านต่าง ๆ ได้ตามความสนใจและบริบทของเนื้อหาวิชา ก่อให้เกิด การพัฒนาพหุปัญญาที่หลากหลายบนฐานเทคโนโลยีที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียนได้ 32 แนวทาง การพัฒนาพหุปัญญา ในสถานศึกษา
31 ➢ มีความร่วมมือกับผู้ปกครองและทุกภาคส่วน การพัฒนาผู้เรียนให้เกิดสัมฤทธิผลอย่างองค์รวม ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สติปัญญา สังคม อารมณ์และ คุณธรรมจริยธรรมนั้น สถานศึกษาไม่สามารถทำบทบาทนี้สำเร็จได้ตามลำพัง จำเป็นต้องร่วมมือกับพ่อแม่ ผู้ปกครอง และผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการดูแล สนับสนุน และช่วยเหลือให้ผู้เรียนได้รับการ พัฒนาอย่างเต็มตามศักยภาพ ผ่านกิจกรรมความร่วมมือในสถานศึกษา ที่บ้าน ในชุมชน และแหล่งการเรียนรู้ต่าง ๆ รวมทั้งมหาวิทยาลัย สถาบันการศึกษา และสถานประหกอบการ ที่จะรับผู้เรียนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานไป ศึกษาต่อในระดับการศึกษาที่สูงขึ้น หรือไปประกอบอาชีพ ควรเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาระดับ การศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อสนับสนุนและพัฒนาผู้เรียนให้ได้รับการพัฒนาตามความถนัดผ่านหลักสูตรและกิจกรรม ที่ออกแบบร่วมกันกับสถานศึกษา เพื่อการส่งต่อผู้เรียนสู่สถาบันการศึกษาในสาขาที่ตรงกับความต้องการ หรือเพื่อให้ผู้เรียนได้มีทักษะประกอบอาชีพตามความถนัดต่อไป แนวทาง การพัฒนาพหุปัญญา ในสถานศึกษา 33
32 9. บทบาทของผู้เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาทฤษฎีพหุปัญญา การ์ดเนอร์เสนอว่าบทบาทของนักการศึกษาและผู้เกี่ยวข้องที่ควรเปลี่ยนแปลง ดังนี้ 8.1 บทบาทนักการศึกษา 8.1.1 โรงเรียนควรจะมีผู้เชี่ยวชาญทางการวัดและประเมิน ที่จะเข้าใจและวัดความสนใจและ ความสามารถของเด็กที่มีความถนัดต่าง ๆ กัน โดยใช้เครื่องมือวัดความสามารถทางปัญญา (Intelligence-fair Instrument) แต่ละด้าน ซึ่งจะบอก ได้ว่านักเรียนคนไหนมีความถนัดด้านไหน และควรแลกเปลี่ยนความคิดเห็น กับนักเรียน ครูและผู้ปกครองเกี่ยวกับผลการเรียนของเด็ก 8.1.2 โรงเรียนควรมีผู้ดูแลทางหลักสูตรที่นักเรียนเป็นศูนย์กลาง (Student- curriculum Broker) ซึ่งจะ ช่วยให้นักเรียนสามารถจัดหลักสูตร หรือแผนการ เรียนรู้ที่สอดคล้องกับความสนใจ เป้าหมาย พัฒนาการและ ลีลาการเรียนของตน โดยใช้นวัตกรรมต่าง ๆ เข้ามาช่วย 8.1.3 โรงเรียนควรจะมีผู้ดูแลโรงเรียนและชุมชน (Schoolcommunity Broker) ที่จะจัดโอกาสการ เรียนรู้ให้นักเรียนได้สัมผัสในวงกว้าง โดยควรเป็น บุคคลที่รู้ความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ในชุมชน ที่หาไม่ได้จาก โรงเรียน โดยเฉพาะเด็กพิเศษ ที่ความสามารถทางสมองไม่ปกติ เด็กเหล่านี้ควรมีบุคคลที่เรียกว่าเป็นผู้ฝึก (Apprenticeship) ผู้ช่วยเหลือ (Mentorship) หรือ ผู้ฝึกงาน (Internship) ซึ่งเป็นผู้ที่เด็ก รู้สึกปลอดภัยที่จะอยู่ ด้วย และผู้ดูแลทางการศึกษาควรจัดให้เด็กเหล่านี้ได้มีโอกาสเติบโต ในสังคม 8.3 บทบาทของครู สำหรับครูและครูต้นแบบ (Master Teacher) 8.3.1 ครูควรมีอิสระในการสอน โดยใช้ลีลาการสอนเฉพาะตน 8.3.2 ครูต้นแบบควรมีบทบาทในการนิเทศติดตามครูใหม่ และจัดให้มีความสมดุลระหว่างหลักสูตร การ สอน การวัด และประเมินผล นักเรียนและชุมชน 8.4 ผลกระทบจากสังคม Gardner เชื่อว่า สังคมปัจจุบัน ได้รับผลกระทบจาก 3 สิ่งต่อไปนี้ คือ 8.4.1 การนำวัฒนธรรมตะวันตก (Westist) มาใช้ หมายถึง แนวความคิดจากนักปรัชญาตะวันตก เช่น การเน้นสติปัญญาด้านใดด้านหนึ่งแต่เพียง อย่างเดียว เช่น ด้านตรรกะหรือ การคิดอย่างมีเหตุผล เป็นสิ่งที่ดี แต่ ไม่ใช่สิ่งเดียว ที่ควรเน้น 8.4.2 การทดสอบ (Testing) หมายถึงการทดสอบทางจิตวิทยา ที่วัดความ สามารถความพร้อมและการ จัดอันดับบุคคล การทดสอบน่าจะเน้นในเรื่อง ของความเป็นมนุษย์ให้มากกว่าการวัดความสามารถและความ พร้อมของบุคคล หรือการจัดอันดับบุคคลเท่านั้น 8.4.3 ความเป็นเลิศ (Bestist) ความเป็นเลิศไม่ได้หมายถึงสิ่งที่ดีที่สุด และฉลาดที่สุด (The Best and Brightness) แต่ความเก่งควรเป็นการผสมผสานสิ่งที่ดีที่สุดหลายอย่าง เข้าด้วยกัน ไม่ใช่ความเก่งด้านใดด้านหนึ่ง แต่เพียงอย่างเดียว 34 แนวทาง การพัฒนาพหุปัญญา ในสถานศึกษา
33 บรรณานุกรม ประเสริฐ แซ่เอี๊ยบ,กฤช สินธนะกุล และจิรพันธุ์ศรีสมพันธุ์. (2559) “กรอบแนวคิดในการออกแบบ กระบวนการเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมกับอีเลิร์นนิ่งแบบปรับเหมาะสำหรับนักศึกษาที่มีความแตกต่าง ทางพหุปัญญา.” วารสารศึกษาศาสตร์มสธ. ปีที่ 9 ฉบับที่ 2 (2559) : 116-130. เยาวพา เดชะคุปต์. (2551). รายงานการวิจัย การศึกษาผลการดําเนินการวิจัยและพัฒนาเพื่อปฏิรูป การเรียนรู้ตามรูปแบบพหุปัญญาเพื่อการเรียนรู้สําหรับการศึกษาปฐมวัยในบริบทของ สังคมไทย. กรุงเทพมหานคร : คณะศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลยศรีนครินทรวิโรฒ. ถ่ายเอกสาร. สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2564). คู่มือการคัดกรองและพัฒนาพหุปัญญา. สมุทรปราการ. บริษัท เอส.บี.เค การพิมพ์ จำกัด. Gardner, Howard. (1995). Multiple Intelligence: The Theory in Practice. New York: Basic Book. __________. (1999). Intelligence reframed: Multiple Intelligences for the 21st Century. New York: Basic Book. แนวทาง การพัฒนาพหุปัญญา ในสถานศึกษา 35
34 คณะผู้จัดทำ ที่ปรึกษา นายมนัส เจียมภูเขียว ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ชัยภูมิ เขต 2 นายโกละเม็ด วรรรพิมพ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ชัยภูมิ เขต 2 นายเชษฐา พลธรรม ผู้อำนวยการกลุ่มนิเทศ ติดตาม และประเมินผลการจัดการศึกษา รวบรวม/เรียบเรียง/รูปเล่ม นางเทียนทอง ประทีปเมือง ศึกษานิเทศก์ชำนาญการพิเศษ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชัยภูมิ เขต 2 นางสาวณัฏฐ์ฎาพร บัวสระ ศึกษานิเทศก์ชำนาญการพิเศษ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชัยภูมิ เขต 2 ออกแบบปก นางธิดารัตน์ จิตรธร นักวิเคราะห์นโยบายและแผนปฏิบัติการ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชัยภูมิ เขต 2 36 แนวทาง การพัฒนาพหุปัญญา ในสถานศึกษา