โครงสร้างและการเจริญเติบโตของพืชดอก จัดทำ โดย นางสาว ชนันทิตา ตราชู ชั้น ม. 5/3 เลขที่ 21
เนื้อเยื่อพืช มิลเดิลลาเมลลา ( Middle lamella) ทำ หน้าที่เชื่อมผนังเซลล์ปฐมภูมิของสอง เซลล์ให้ติดกัน พบได้ในทุกเซลล์พืช มีเพกตินเป็นส่วนประกอบหลัก ผนังเซลล์ปฐมภูมิ ( Primary cell wall ) อยู่ถัดจากมิลเดิลเมลลา เข้ามาด้าน ใน มีกลูโคสเป็นสส่วนประกอบหลัก พบได้ในพืชทุกชนิด ผนังเซลล์ทุติยภูมิ ( Secondary cell wall ) พบได้ในเซลล์พืชบางชนิด ประกอบด้วยเซลล์ลูโคซีนและลิกนิน โดยลิกนินเป็นส่วนสำ คัญที่ช่วยเพิ่มความแข็ง แรงให้แก่เซลล์ เป็นกลุ่มเซลล์ที่มีลักษณะคล้ายกัน มาอยู่รวมันและทำ งานร่วมกัน เนื้อเยื่อเจริญส่วนปลาย มี 2 บริเวณ เนื้อเยื่อเจริญปลายยอด พบที่ปลายยอด มีหน้าที่แบ่งแซลล์ทำ ให้ลำ ต้นและกิ่งยาว เนื้อเยื่อเจริญปลายราก พบที่ราก มีหน้าที่แบ่ง เซลล์ทำ ให้รากยาว เนื้อเยื่อบริเวณด้านข้าง ทำ ให้รากและลำ ต้นขยายใหญ่ขึ้นเรียกอีกชื่อว่า แคมเบียม เนื้อเยื่อเจริญ มีการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสเพื่อเพิ่มจำนวนได้ตลอดชีวิต ซึ่งแบ่งตามตำ แหน่งที่ อยู่ได้ 3 ประเภท คือ 1. 2. 3.เนื้อเยื่อเจริญเหนือข้อ ( Intercalary meristem ) ทำ ให้ปล้องของพืชใบเลี้ยงเดี่ยว ยืดยาว พบให้ลำ ต้นขของพืชใบเลี้ยงเดี่ยวทั่วไป เช่น ข้าว หญ้า ข้าวโพด อ้อย ใผ่ วาสคิวลาร์แคมเบียม ( Vascular cambium) ทำ ให้เกิดเนื้อเยื่อท่อลำ เลียง คอร์แคมเบียม ( Cork cambium ) มีหน้าที่แบ่งเซลล์ให้คอร์ก ทำ หน้าที่แทน เนื้อเยื่อผิวเดิมในการเติบโตทุติยภูมิในพืชดอก ระบบเนื้อเยื่อผิว ( Dermal tissue system ) ประกอบด้วยเอพิเดอร์มิสทำ หน้าที่ ป้องกันเนื้อเยื่อด้านในของพืช และแพริเดอร์มิสที่เจริญมากจากเอพิเดอร์มิสของทั้งรากและ ลำ ต้น ระบบเนื้อเยื่อพื้น ( Ground tissue system ) ประกอบด้วยเนื้อเยื่ออื่นที่ไม่ใช่เนื้อเยื่อ ผิวและเนื้อเยื่อท่อลำ เลียง ได้แก่ พาเรงคิดมา คอลเลงคิดมา สเกลอเรงคิมา ระบบเนืื้อเยื่่อท่อลำ เลียง (Vascular tissue system ) ประกอบด้วย ไซเล็มทำ หน้าที่ ลำ เลียงน้ำ และแร่ธาตุ โฟลเอ็มทำ หน้าที่ลำ เลียงอาหาร เนื้อเยื่อถาวร ( Permanent Tissue) เปลี่ยนแปลงมาจากเนื้อเยื่อเจริญ ประกอบด้วย เซลล์เจริญเจ็บที่ มีรูปร่างคงที่ มีหน้าที่ต่างๆตาลักษณะโครงสร้างชองเซลล์ ส่วนใหญ่ไม่สามารถ แบ่งเซลล์ได้อีก แบ่งตามหน้าที่ได้เป็น 3 ระบบ คือ 1. 2. 3.
เอพิเดอร์มิส ( Epidermis ) เป็นเนื้อเยื่อที่อยู่ชั้นนอกสุดของพืช ทำ หน้าที่ป้องกันเนื้อเยื่อ ด้านใน พาเรงคิมา ( Parenchyma ) เป็นเนื้อเยื่อที่พบได้ทั่วไปในส่วนต่างๆของพืช ถ้าเซลล์พา เรงคิมามีคลอโรพลาสต์จะทำ หน้าที่สังเคราะห์แสง คลอเลงคิมา ( Collenchyma ) อยู่ถัดจากเอพิเดอร์มิสของลำ ต้นส่วนที่ยังอ่อน ทำ หน้าท่ี่ พยุงและทำ ให้เกิดความแข็งแรงแก่โครงสร่างพืช สเกลอเรงคิมา ( Sclerenchyma ) พืชในเนือ้เยื่อพืชของลำ ต้น ใบ เปลือกไม้ เปลือกผล ทำ ให้เซลล์เกิดความแข็งแรงกับโครงสร้างของพืช ไซเล็ม ( Xylem ) ทำ หน้าที่ลำ เลียงน้ำ และแร่ธาตุอาหารจากราก ประกอบด้วยเซลล์ 4 ชนิด คือ เวสเซลเมมเบอร์ เซลล์พาเรงคิมา และไฟเบอร์ ทำ หน้าที่ในการลำ เลียงน้ำ แลธาตุอาหาร คือ เทรรีด และ เวสเวลเมมเบอร์ โฟลเอ็ม ( Phloem ) ทำ หน้าที่ลำ เลียงอาหารที่สังเคราะห์จากใบไปสู่ส่วนต่างๆ เนื้อเยื่อถาวรที่มีหน้าที่สำ คัญต่อการดำ รงชีวิตของพืช เช่น 1. 2. 3. 4. 5. 6.
หมวกราก ( Root cap ) เป็นส่วนที่อยู่บริเวณปลายสุดของราก ทำ หนาที่ป้องกันอันตราย ให้กับเนื้อเยื่อเจริญที่อยู๋ถัดไป บริเวณการแบ่งเซลล์ ( Region of cell division ) เป็นการแบ่งเซลล์แบบไมโอซอส บริเวณการยึดตามความยาวของเซลล์ ( Region of cell elongation ) เซลล์มีการยืด ตามยาวและขยายทางด้านข้าง ทำ ให้รากมีความยาวและขนาดเพิ่มขึ้น บริเวณการเปลี่ยนสภาพและการเจริญดต็มที่ของเซลล์ ( Region of cell differentiation and maturation ) เป็นบริเวณที่เซลล์มีการเปลี่ยนสภาพและการ เจริญเต็มที่ไปเป็นเซลล์ต่างๆ เพื่อทำ หน้าที่เฉพาะได้อย่างสมบูรณ์ โครงสร้างภายในของปลายราก เมื่อรากงอกออกจากเมล็ดจะมีการเจริญเติบโตโดยเพิ่มขนาดและจำ นวน การที่รากของพืช สามารถเจริญเติทโตเพิ่มขนาดได้เป็นเพราะเนื้อเยื่อบริเวณต่างๆของโครงสร้างปลายราก โครงสร้างปลายรากประกอบด้วย ดังนี้ 1. 2. 3. 4.
เอพิเดอร์มิส เป็นชั้นนอกสุด ประกอบด้วยเซลล์ผิวและเซลล์ขนรากที่เรียงตัวเป็น 1 แถว คอร์เทกซ์ ( Cortex ) เป็นชั้นที่อยู่ถัดจากเอพิเดอร์มิสเข้าไปประกอบด้วยพาเรงคิมาเป็น ส่วนใหญ่ ด้านในสุดมักเห็นเซลล์เรียงตัวเป็น 1แถวชัดเจนเรียกว่า เอนโดเดอร์มิส สตีล ( stele ) อยู่ถัดจากเอนโดเดอรืมิส ประกอบด้วยชั้นต่างๆดังนี้ โครงสร้างภายในขขงรากระยะที่มีการเติบโตปฐมภูมิ โครงสร้างของรากพืชใบเลี้ยงคู่และใบเลี้ยงเดี่ยวที่มีการเติบโตปฐมภูมิตัดตามขวางมีการแบ่งการ เรียงตัวของเนื้อเยื่อแตกต่างกันอย่างชัดเจน แบ่งออกได้ 3 ชั้น ดังนี้ 1. 2. 3. เพริไซเคิล ( Pericycle ) ประกอบด้วยเซลล์พาเรงคิมามาเรียงตัวเป็นวง ซึ่งอาจมีหลาย แถวแล้วแตชนิดของพืช เพรไซเคิลสามารถเปลี่ยนสภาพป็นคอร์กแคมเบียมได้ วาสคิวลาร์บันเดิล ( Vascular Bundle ) มีจำนวน 1 กลุ่ม ประกอบด้วย ไซเล็มปฐม ภูมิ อยู่ตรงกลางของราก กลุ่มเซลล์มีลักษณะเป็นแฉก และ โฟลเอ็ม ระอยู่ระหว่างแฉกของ ไซเล็มปฐมภูมิ จำนวนแฉกของไซเล็มในใบเลี้ยงคู่ จะมีประมาณ 4-6 แฉก และในใบเลี้ยงคู่ จะมีขนาดเล็กกว่าในใบเลี้ยงเดี่ยว พิธ ( Pith ) อยู่บริเวณตรงกลางของราก
เอพิเดอร์มิส ชั้นนอกสุดส่วนใหญ่จะประกอบด้วยเซลล์ผิวและเซลล์คุม อาจมีขนที่มีลักษณะ ต่างๆตามชนิดของพืช คอร์เทกซ์ เป็นถัดจากเอดิเดอร์มิส มีเซลล์จำ นวนน้อยอาจเห็นไม่ค่อยชัด ส่วนใหญ่จะพบ เนื้อเยื่อของพาเรงคิมา สตีล อาจแบ่งแยกชั้นสตีลออกจากคอร์เทกได้ไม่ชัดเจน โดยทั่วไปชั้นนี้จะกว้างมาก ประกอบ ด้วย โครงสร้างภายในของลำ ต้นระยะที่มีการเติบโตปฐมภูมิ การเติบโตปฐมภูมิของลำ ต้นจะคล้ายกับราก แบ่งเป็น 3บริเวณ ดังนี้ 1. 2. 3. วาสคิวลาร์บันเดิล ในพืชใบเลี้ยงคู่ที่เป็นพืชล้มลุกจะมีหลายกลุ่มเรียงตัวเป็นหนึ่งวง แต่ละกลุ่มจะประกอบด้วยไซเล็มปฐมภูมิอยู่ด้านในและโฟลเอ็มอยู่ด้านนอกโดยเรียงตัว ในแนวรัศมี ส่วนในพืชในเลี้ยงเดี่ยวจะเรียงตัวกระจายอยู่ทั่วเนื้อเยื่อ พิธ อยู่ชั้นในสุดที่กลางลำ ต้น ในใบเลี้ยงคู่สามารถเห็นพิธได้ชัดเจน ในพืชใบเลี้ยง เดี่ยววาสคิวลาร์บันเดิลเรียงตัวแบบประจายจึงไม่สามารถแยกบริเวณพิธได้ชัดเจน เอพิเดอร์มิส ประกอบด้วยเซลล์ผิว เซลล์คุม เซลล์ข้างเคียงเซลล์ และอาจมีขนหรือต่อม มีโซฟิลล์ ( Mesophyll ) อยู่ระหว่างั้นเอพิเดอร์มิสด้านบนและด้านล่าง ประกอบด้วยเซลล์ พาเรงคิมาที่มีคลอโรพลาส์จำนวนมาก จึงทำ หน้าที่สังเคราะห์แสง โดยทั่วไปพบเซลล์ในมีโซ ฟิลล์รูปร่างที่แตกต่างกัน 2 แบบ คือ โครงสร้างภายในของใบ โครงสร้างภายในของพืชใบเลี้ยงคู่และใบเลี้ยงเดี่ยว ประกอบด้วยเนื้อเยื่อ 3 กลุ่ม ดังนี้ 1. 2.
แพลิเซดมีโซฟิลล์ ( Palisade Mesophyll ) มักอยู่ติดกับเอพิเดอรืมิสด้านบน ประกอบด้วยเซลล์พาเรงคิมา รูปร่างยาว เรียงตัวเป็นแถวตั้งฉากกับผิวใบ ผนังเซลล์ ด้านข้างจะไม่สัมผัสกัน มีระยะห่างสม่ำ เสมอกัน อาจมี 1 แถบหรือมากกว่านั้น ภายใน เซลล์มีคลอโรพลาสต์หน้าแน่นมาก สปองจีมีโซฟิลล์ ( Spongy Mesophyll ) อยู่ถัดจากแพลิเซดมีโซฟิลล์ ประกอบ ด้วยเซลล์รูปร่างไม่แน่นอน ช่องระหว่างเซลล์กว้าง ภายในเซลล์มีคลอโรพลาสต์หนาแน่น แต่น้อยกว่าแพลิเซดมีโซฟิลล์ 3 . วาสคิวลาร์บันเดิล เส้นกลางใบของพืชใบเลี้ยงคู่และใบเลี้ยงเดี่ยวมีหลายกลุ่มเรียงกันเป็นแนว ระนาบเดียวตามแนวแผ่นบ มีขนาดกลุ่มแตกต่างกัน ขนาดใหญ่อยู่บริเวณกลางใบ และขนาดเล็กลด หลั่นกันไปอญุ่บริเวณเส้นใบและเว้นใบย่อย