สื่ อ ส่ ง เ ส ริ ม ก า ร อ่ า น แ ล ะ ก า ร เ รี ย น รู้
ห้ อ ง ส มุ ด ป ร ะ ช า ช น จั ง ห วั ด ต ร า ด
หัวโขน เป็นเครื่องใช้สำหรับศีรษะและ
ปิดบังส่วนหน้าที่คล้ายกับหน้ากาก แต่
หัวโขนจะมีลักษณะที่แตกต่างออกไป
ตรงที่สร้างหุ่นจำลองรูปทรงใบหน้า
และศีรษะ ทั้งหมด โดยผู้แสดง
สามารถสวมครอบศีรษะจะห่อหุ้มส่วน
ใบหน้าและส่วนหัวมิดชิด และเจาะ
ช่องเป็นรูกลมที่ตาของหน้ากากให้
ตรงกับนัยน์ตาของผู้แสดง เพื่อให้นัก
แสดงมองเห็นการแสดง
หัวโขน อาจแบ่งตามประเภท
ของหัวโขนที่ใช้สวมอย่างละ 2
จำพวก คือ ยักษ์ยอด ยักษ์โล้น
และลิงยอด ลิงโล้น นอกจากนี้
หัวโขนก็ยังแบ่งออกได้ตามชนิด
ของหัวโขนซึ่งมีลักษณะต่างๆ
กัน ซึ่งจะแบ่งเป็นฝ่ายลงกา และ
ฝ่ายพลับเพลาดังนี้
พญาวานร ลักษณะหัวโขน หน้าวานรปากอ้า
สี ขาวผ่องหัวโล้นสวมมาลัยทองมี
หนุมาน เ ขี้ ย ว แ ก้ ว อ ยู่ ก ล า ง เ พ ด า น ป า ก
นอก จากนี้ยังมีการทำหนังโขน
หน้าหนุมานอีหลายแบบ คือตอน
แผลงฤทธิ์มีหน้า เป็นหน้าปกติ
ห น้ า แ ล ะ มี ห น้ า เ ล็ ก ห น้ า ที่ ด้ า น ห ลั ง
ต อ น ท า ร อ ง เ ค รื่ อ ง อ า ส า พ ร ะ ร า ม
ล่อลวง ทศกัณฐ์ สวมมงกุฎยอด
ชัยตอนออกบวชสวมชฎายอด
ฤๅษี นอกจากนี้ยังมีการทำหน้า
ห นุ ม า น เ ป็ น ห น้ า มุ ก อี ก ด้ ว ย
พญาวานร
ลักษณะหัวโขน หน้าวานรหากอ้า สุครีพ
สี แดง หรือสี แดงชาด สวมชฎา
ยอดบัด (บางแห่งว่าชฎายอด
เดินหน)
ต า ม ป ร ะ วั ติ ก ล่ า ว ว่ า เ ป็ น โ อ ร ส
พระอาทิตย์กับนางกาลอัจนาต้อง
คำสาปจากฤๅษี โคดมเช่นเดียวกับ
พญากากาศ บทบาทสำคัญ คือ
อาสาทำให้เขาพระสุ เมรุซึ่งเอียง
ด้วยรามสู รจับอรชุนฟาดให้ตั้ง
ต ร ง ดั้ ง เ ดิ ม
พญาวานร ลักษณะหัวโขน หน้าวานรปากอ้า
สี แดงชาด สวมมงกุฎชัย ในตอน
ชามพูวราช ที่แปลงกายเป็นหมีมีชื่อว่า ชมพู
หมี หัวโขนทำเป็นหน้าหมี สวม
เทริดยอดน้ำเต้า ตามประวัติ
ก ล่ า ว ว่ า พ ญ า ว า น ร นี้ มี กำ เ นิ ด จ า
ไม้ไผ่ซึ่งผุดขึ้นขณะฤๅษี สุ ขวัฒน
บำเพ็ญณาน ฤๅษี ได้นำไปถวาย
พระอิศวร ทรงนำไปทำธนู ครั้น
โก่งธนูหักเป็น ๒ ท่อน ต้นธนูเกิด
เป็นพญาอสู รชื่อเวรัมภ์ ปลายธนู
เ กิ ด เ ป็ น พ ญ า ว า น ร ชื่ อ นิ ล เ ก ส ร
หรือชามพู วราช
พญาวานร
ลักษณะหัวโขน หน้าวานรปากอ้าสี นิลพัท
น้ำรัก หรือสี ดำขลับ หัวโล้น สวมมาลัย
ทอง เป็นบุตรพระกาลซึ่งพระอิศวร
ประทานให้ไปอยู่ช่วยกิจการบ้านเมือง
ของท้าวมหาชมพู บทบาทของนิลพัทใน
เรื่องรามเกียรติ์ เป็นผู้คุมวานรเมือง
ชมพู จองถนนข้ามกรุงลงการ่วมกับ
หนุมาน ซึ่งคุมวานรเมืองขีดขิน เกิด
ทะเลาะวิวาทกัน พระรามลงโทษให้ไป
รักษาเมืองขีดขิน โดยส่ งเสบียงให้
กองทัพเดือนละครั้ง อาสาเป็นทัพหน้า
ครั้งกบฏกรุงลงกา เสด็จศึกได้ศักดิ์
เ ป็ น พ ญ า อ ภั ย พั ท ว ง ศ์ อุ ป ร า ช เ มื อ ง ช ม พู
พญายักษ์ ลักษณะหัวโขน ทำเป็นหน้ายักษ์ 3 ชั้น คือ ชั้น
แรกมีหน้าปกติ 1 หน้า และมีหน้าเล็ก ๆ เรียงกัน
ทศกัณฐ์ 3 หน้า ตรงท้ายทอง ชั้นที่ 2 ทำหน้าเป็น
หน้าเล็ก ๆ 4 หน้า เรียงสี ด้าน ชั้น 3 ทำเป็น หน้า
พรหมด้านหน้า หน้ายักษ์ด้านหลัง ปากแสยะตา
โพลง สวมมงกุฎยอดขัย หน้าทศกัณฐ์ มี 3 สี คือ
ปกติใช้หน้าสี เขียว ตอนนั่งเมืองใช้หน้าสี ทอง
และมีทำหน้าสี น้ำรักยังไม่มีปรากฏใช้ใน การ
แสดง นอกจากนี้ยังมีหัวโขนทศกัณฐ์ แปลงเป็น
พระอินทร์ในการรบครั้งสุ ดท้าย ลักษณะทำเป็น
หน้าพระ 3 ชั้น สี เขียว มีเขี้ยว ซึ่งเป็นหัวโขน
เพียงหัวเดียวในเมืองไทยมีประดิษฐ์ ขึ้นในสมัย
รัชการที่ 2 และยัง มีหัวโขนหน้าทศกัณฐ์ ที่ทำ
ด้วยทองแดงปิดทองประดับกระจกอีก 1 หัว
เป็นยักษ์ กายสี เขียว เป็นน้องร่วมมารดา พญายักษ์
คนสุ ดท้องของทศกัณฑ์ สามีชื่อชิวหา ต่อ
มาชิวหาถูกทศกัณฑ์ขว้างจักรตัดลิ้นขาด นางสำมนักขา
ถึงแก่ความตาย นางสำมนักขาจึงเป็นม่าย
มีความว้าเหว่ ออกเที่ยวไปจนได้พบพระ
ราม นางเห็นพระรามรูปงามก็นึกรักอยาก
ได้เป็นคู่ครอง ถึงกับตบตีนางด้วยความ
หึงหวง จึงถูกพระลักษณ์ตัดหู จมูก มือ
และเท้าแล้วไล่ไป นางสำมนักขากลับไป
ฟ้องพี่ชาย คือ ทูษณ์ ขร และตรีเศียร ว่า
ถูกพระรามข่มเหง แต่ยักษ์ทั้ง 3 ตน ก็ถูก
พระรามสั งหาร นางสำมนักขาจึงไปหาทศ
กัณฑ์ ชมโฉมนางสี ดาให้ฟั ง จนทศกัณฑ์
นึกอยากได้เป็นชายา จนกระทั่งไปลักพา
นางสี ดามา
พญายักษ์ เทพบุตรเวสสุ ญาณ จุติลงมาเกิดเพื่อช่วย
พระรามปราบทศกัณฐ์ พิเภกเป็นยักษ์มี
พิเภก กายสี เขียว เป็นน้องของทศกัณฐ์ มีความรู้
ทางโหราศาสตร์อย่างยอดเยี่ยม สามารถ
ทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำ
เมื่อทศกัณฐ์ ลักพานางสี ดามา พิเภกได้ทูล
ตักเตือนและแนะนำให้ส่ งนางสี ดาคืนไป
ทำให้ทศกัณฐ์ โกรธมาก จนขับไล่พิเภก
อ อ ก ไ ป จ า ก เ มื อ ง พิ เ ภ ก จึ ง ไ ป ส ว า มี ภั ก ดิ์กั บ
พระราม ให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์จน
กระทั่งพระรามชนะสงคราม หลังจาก
เสร็จศึกแล้ว พระรามได้สถาปนาให้พิเภก
เป็นกษั ตริย์ครองกรุงลงกา มีพระนามว่า
ท้าวทศคีรีวงศ์
ตัวพระ ลักษณะหัวโขน หน้าพระสี เขียวนวล
ตอนครองเมืองสามมงกุฎยอดชัยหรือ
พระราม พระมหามงกุฎ ตอนเดินดงสวมมงกุฎ
ยอดเดิน ตอนทรงพรตสวมชฎายอด
ฤๅษี กษั ตริย์กรุงศรีอยุธยาองค์ที่ 4
กายสี เขียวนวล 1 พักตร์ 2 กร คือพระ
นารายณ์อวตาร ลงมาเกิดเป็นโอรส
ของท้าวทศรถกับนาง
ปกติพระรามทรงศรเป็นอาวุธ เวลา
สำแดงอิทธิฤทธิ์ปรากฏเป็น ๔ กร ทรง
เทพอาวุธเช่นเดียวกับพระนารายณ์ คือ
ตรี คทา จักร และสั งข์
มี มเหสี ชื่อนางสี ดา ซึ่งได้แก่ ตัวพระ
พระลักษมีเทวีแบ่งภาคมาช่วยพระราม
ปราบปรามเหล่าอสู รร้ายผู้คอยทำลาย พระราม
ความสงบสุ ขของโลกมี โอรสชื่อพระ
มงกุฎ ออกเดินดงตามที่นางไกยเกษี ขอ
พรเป็นเวลา ๑๔ ปี ในขณะเดินดงนั้น
ทศกัณฐ์ มาลัดนางสี ดา และเป็นเหตุให้
เกิดสงครามล้างพวกยักษ์ เมื่อเสร็จศึก
กรุงลงกาแล้วพระรามยัง ต้อง
พลัดพรากจากนางสี ดาอีก ด้วยเหตุ
เข้าใจผิดและระแวง จนกระทั่งพระ
อิ ศ ว ร ต้ อ ง ม า ไ ก ล่ เ ก ลี่ ย
ตัวพระ ลักษณะหัวโขน หน้าพระสี ทอง สวม
มงกุฎยอดเดินหน มงกุฎยอดชัยหรือพระ
พระลักษณ์ มหามงกุฎ ตอนทรงพรตสวมชฎาหรือ
ชฎายอดฤๅษี เป็นอนุชาของพระราม
กายสี ทอง ๑ พักตร์ ๒ กร คือ บัลลังก์
นาคและสั งค์ของพระนารายณ์อวตาร
ล ง ม า เ กิ ด เ ป็ น โ อ ร ส ท้ า ว ท ศ ร ถ กั บ น า ง
สมุทรชา เมื่อพระรามออกเดินดง
ขอตามเสด็จด้วย ตรากตรำทำศึก
ขับเคี่ยวกับเหล่าอสู รตลอดระยะเวลา
๑๔ ปี
หัวโขน เป็นงานศิลปะชั้นสูง ใเป็นศิลปวัตถุประเภทประณีตศิลป์ และ
งานศิลปะที่ได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นอย่างวิจิตรตระการตาเช่นเดียว
กับเครื่องแต่งกาย ประณีตบรรจงตามแบบ ช่างไทย มีรูปลักษณะ
สวยงาม ลักษณะคล้ายหน้ากาก แตกต่างตรงที่เป็นการสร้างจำลอง
รูปทรงใบหน้าและศีรษะทั้งหมด สร้างขึ้นด้วยกรรมวิธีแบบโบราณ
ตามเอกลักษณ์ของหัวโขนที่ถูกต้องและสมบูรณ์แบบ
ของศิลปะไทย และหัวโขนที่ใช้สำหรับเป็นของประดับตกแต่งหรือ
ของที่ระลึก หมายความถึงหัวโขนที่ทำขึ้นโดยการหล่อ ปั้ น ฉีดและ
ขึ้นรูปด้วย พลาสติก หรือกรรมวิธีอื่น ๆ ลงรักปิดทอง ประดับกระจก
ขอบคุณที่มาจาก
https://sites.google.com/site/
suraphat230441/laksna-hawkhon
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%
B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A
7%E0%B9%82%E0%B8%82%E0%B8%99
จัดทำโดย
นางสาวลักษมีกานต์ เรืองศิลป์
สื่ อ ส่ ง เ ส ริ ม ก า ร อ่ า น แ ล ะ ก า ร เ รี ย น รู้
ห้ อ ง ส มุ ด ป ร ะ ช า ช น จั ง ห วั ด ต ร า ด