ใบความรู้ท่ี 3.5
เร่อื ง การปฏิรูปบ้านเมอื งในสมยั รชั กาลที่ 5
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยหู่ ัว (พ.ศ. 2411 - 2453) เป็นสมยั ที่มกี ารปฏิรูปบ้านเมือง
ในด้านต่างๆ เกือบทุกด้าน ต่อจากรัชสมัยพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2394 - 2411) พระราช
บิดา ที่ทรงเริ่มปรับปรุงประเทศมาบ้างแล้ว การปฏิรูปประเทศของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าอยู่หัวทำให้
ไทยก้าวสู่ยุคใหม่ เป็นประเทศที่ทันสมัย ทำให้ไทยรอดพ้นจากยุคจักรวรรดินิยมมาได้ซึ่งเป็นเพียงชาติเดียวใน
ภมู ิภาคเอเชยี ตะวนั ออก เฉยี งใต้ และยังสง่ ผลอย่างสำคัญต่อความเจริญของประเทศไทยในปัจจบุ ันอีกดว้ ย
1. สาเหตุของการปฏิรูปบ้านเมอื ง
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นช่วงเวลาที่ชาติตะวันตกในยุคจักรวรรดินิยม
กำลงั แสวงหาอาณานิคม ซึ่งรฐั เพ่อื นบ้านของไทยหลายแห่งตกอยู่ใตอ้ ิทธิพลของชาติตะวันตก เชน่ พม่าอยู่ภายใต้
การปกครองขององั กฤษ เวียดนามตกเป็นของฝรัง่ เศส นอกจากน้ี องั กฤษและฝรง่ั เศสยังพยายามขยายอำนาจเข้า
มาในดินแดนไทย และบริเวณรอบๆ ดินแดนไทย ทำให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงรับรู้
เรื่องราวการขยายอำนาจของชาตติ ะวันตก และความเจริญของชาติตะวันตก ต้องการปฏิรูปบ้านเมอื งให้ทันสมยั
แบบเดียวกบั ยโุ รป เพอื่ ไม่ใหช้ าตติ ะวันตกใช้เปน็ ข้ออา้ งว่าไทยป่าเถือ่ น ดอ้ ยความเจริญ แลว้ ถือโอกาสเข้ายึดครอง
นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตอ้ งการรวมอำนาจ ใหม้ นั คงและสร้างรัฐในรูปแบบใหม่ที่
เรียกว่า “รัฐชาติ" (Nation State) คือ มีรัฐบาลที่มีอำนาจ อธิปไตย มีประชาชนภายใต้การปกครอง ประเทศมี
ดนิ แดนหรอื เขตแดนทช่ี ดั เจนเพอื่ ไมใ่ ห้ ชาวตะวันตกอา้ งเหตเุ ขา้ ยึดครองดินแดน จงึ ทรงดำเนนิ การปฏริ ูปบ้านเมอื ง
ทัง้ ในด้านการเมอื งการปกครอง เศรษฐกจิ สังคมและวัฒนธรรมพรอ้ มกัน
2. การปฏิรปู บา้ นเมือง
การปฏิรูปบ้านเมอื งมหี ลายด้าน ดงั นี้
1) ปฏิรูปการปกครอง ก่อนที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรง ปกครองบ้านเมืองดว้ ย
พระองค์เอง ใน พ.ศ. 2516 การบริหารบ้านเมืองอยู่ภายใต้อำนาจของขนุ นางตระกูลบุนนาค ภายใต้การนำของ
สมเดจ็ เจ้าพระยาบรมมหาศรีสรุ ิยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) และวงั หน้าคอื กรมพระราชวงั บวรวไิ ชยชาญก็ทรงมีพระราช
อำนาจมาก มีกำลงั ทหาร อาวธุ และ ไพรส่ ่วนพระองค์ นอกจากน้ี บรรดาขุนนางผูใ้ หญ่ และเจ้านายต่างก็มีบทบาท
ในการคุมผลประโยชนท์ างเศรษฐกิจ เช่น การเกบ็ ภาษี ควบคุมไพร่ ทำให้พระราชอำนาจพระมหากษตั รยิ ์ ไม่ม่ันคง
ดังนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงปฏิรูปการปกครอง โดยเริ่มตั้งแต่เมื่อทรงมี
พระราชอำนาจเต็มที่ภายหลังพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งที่ 2 เมื่อ พ.ศ. 2416 โดยใน พ.ศ. 2417 ได้ทรงต้งั
สภาที่ปรึกษา 2 สภา คือ สภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน ( (เคาน์ซิลออฟสเตต) และสภาที่ปรึกษาในพระองค์
(ปรีวีเคานซ์ ลิ ) สภาทป่ี รกึ ษาราชการแผ่นดิน ทำหนา้ ทท่ี ป่ี รกึ ษา มที ่ีปรึกษา 12 คน ซึ่งมีหนา้ ท่ีดังนี้
(1) ทำหนา้ ท่ีตรวจตรากฎหมายและข้อราชการต่างๆ ทเ่ี ป็นอยใู่ นเวลานัน้ และในอนาคตให้เป็นประโยชน์
ตอ่ ราษฎรและบ้านเมือง
(2) คัดคา้ นพระราชดำรใิ ดๆ ทีจ่ ะทำให้ราษฎรเดือดรอ้ น
ส่วนสภาที่ปรึกษาในพระองค์ (ปรีวีเคาน์ซิล) มีที่ปรึกษา 49 คน ทำหน้าที่ ช่วยพระองค์คิดในเรื่องการ
ปรับปรุงบา้ นเมือง และเปน็ กรรมการไปดำเนนิ การตา่ งๆ ใหส้ ำเรจ็ ลลุ ่วงตามทพ่ี ระองคท์ รงมอบหมาย
ต่อมาใน พ.ศ. 2430 รัชกาลที่ 5 ทรงมีพระราชดำรัสทรงแถลงพระบรมราชาธิบายแก้ไขการปกครอง
แผ่นดิน เพื่อปฏิรูปการปกครองส่วนกลางใหม่ให้เหมาะสมกับสภาพบ้านเมือง เพื่อให้บ้านเมืองมีความมั่นคง
สามารถรักษาเอกราชไว้ได้ และให้เกิดความสุขแก่ราษฎร เพราะรูปแบบการปกครองที่ใช้ในเวลานั้นไม่มีความ
เหมาะสม และล้าสมัย อีกทั้งระบบงานสับสน บางหน่วยงานมีงานมากจนล้นมือ บางหน่วยงานไม่มีงานจะทำ
งานพลเรือนไปอยู่กับฝ่ายทหารก็มี งานทหารไปอยู่กับฝ่ายพลเรือนก็มี ดังนั้น จึงโปรดเกล้าฯ ให้แบ่งหน่วยงาน
ราชการส่วนกลางออกเปน็ กระทรวง ต่างๆ 12 กระทรวง โดยมกี ารจดั สรรอำนาจ หน้าที่ และความรับผดิ ชอบของ
แตล่ ะกระทรวงอย่างเป็นสัดส่วน เพ่อื ให้การบรหิ ารราชการดำเนนิ ไปอย่างมีประสิทธภิ าพ โดยทงั้ 12 กระทรวง มี
หนา้ ที่ ความรบั ผดิ ชอบ ดังต่อไปนี้
กระทรวง หน้าที่
1. กระทรวงมหาดไทย บังคับบญั ชาหัวเมืองฝ่ายเหนือและเมอื งลาวประเทศราช
2. กระทรวงกลาโหม บังคบั บญั ชาหัวเมอื งปักษใ์ ต้ฝ่ายตะวันตก ตะวนั ออก และเมืองมลายู
ประเทศราช
3. กระทรวงการต่างประเทศ ดแู ลเกย่ี วกับต่างประเทศโดยเฉพาะ
4. กระทรวงวงั ดูแลพระราชวงั และกิจการเกีย่ วกบั ต่างประเทศโดยเฉพาะ
5. กระทรวงเมือง ภายหลงั เรียกวา่ กระทรวงนครบาล ดูแลกิจการตำรวจ นกั โทษ และ
บัญชคี น
6. กระทรวงเกษตราธิการ ดแู ลด้านการเพาะปลกู การคา้ ขาย ป่าไม้ และเหมอื งแร่
7. กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ดแู ลด้านภาษอี ากร และเงนิ รายรบั -รายจ่ายของแผน่ ดนิ
8. กระทรวงยุตธิ รรม บังคับบัญชาด้านการศาลทว่ั ราชอาณาจกั ร
9. กระทรวงยทุ ธนาธกิ าร ตรวจตราจัดการในกรมทหารบก ทหารเรือ
10. กระทรวงธรรมการ ดแู ลกจิ การเกย่ี วกบั พระสงฆ์ โรงเรยี น และโรงพยาบาลท่วั ราชอาณาจักร
11. กระทรวงโยธาธิการ ดแู ลการกอ่ สรา้ ง ขุดคลอง ไปรษณีย์ โทรเลข รถไฟ และการข่างทว่ั ไป
12. กระทรวงมุรธาธกิ าร ดแู ลรักษาพระราชลัญจกร พระราชกำหนดกฎหมาย และหนังสอื ราชการ
ตาราง 1 หน่วยงานราชการ 12 กระทรวง และอำนาจหนา้ ทีใ่ น พ.ศ. 2430 สมยั รชั กาลที่ 5
ภาพ 1 หนงั สอื พระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จ-
พระจุลจอมเกลา้ เจ้าอยูห่ วั
ทรงแถลงพระบรมราชาธบิ ายแก้ไขการปกครอง
แผ่นดิน
ท่มี า : https://www.rimkhobfabooks.com/
book-division/politics/978-974-603-
675-7
สบื ค้นเม่อื : 29 เมษายน 2562
ในเวลาต่อมายังมีการปรับปรงุ งานหน้าที่ของกระทรวงต่างๆ เพื่อให้มีประสิทธภิ าพมากขึ้นด้วย ท้ายสุด
ปรบั เหลือ 10 กระทรวง
นอกจากรชั กาลท่ี 5 ทรงปฏริ ูปการปกครองสว่ นกลางแล้ว ยังทรงปฏริ ปู การปกครองส่วนภูมิภาค แต่เดิม
สว่ นภมู ภิ าคมลี ักษณะการปกครองทคี่ ่อนข้างเนน้ อสิ ระจากส่วนกลาง เจ้าเมืองสำคญั บางเมืองได้รับการแต่งต้ังจาก
ส่วนกลาง แต่เมืองส่วนใหญ่มีเจ้าเมืองที่เป็นขุนนางท้องถิ่นสืบตระกูลกันมา จึงมีอำนาจมาก ทั้งทางการควบคุม
ไพร่พลในหัวเมืองและการควบคุมผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ดังนั้น เพื่อให้ภูมิภาคมีความสัมพันธ์กับส่วนกลาง
อย่างใกล้ชดิ จึงทรงรวมอำนาจเขา้ สู่ศนู ย์กลาง โดยทรงจดั ตั้ง "มณฑลเทศาภิบาล" ขึน้ ใน พ.ศ. 2437 ให้อยู่ในการ
ปกครองของข้าหลวงเทศาภิบาล หรือสมุหเทศาภิบาล ซึ่งส่งไปจากกรุงเทพฯ นอกจากนี้ ยังทรงเปลี่ยนแปลง
อำนาจการปกครองของกระทรวงมหาดไทย ให้ปกครองหัวเมืองทั้งประเทศ ยกเว้นเขตนครบาล แทนแต่เดิมที่
ปกครองเฉพาะหัวเมืองเหนือ ส่วนกระทรวงกลาโหมให้มีอำนาจในเรื่องการทหารและอาวุธทั้งหลาย ไม่ต้อง
ปกครองหัวเมืองปักษ์ใตด้ ังที่เคยทำมา ส่วนกรมท่าหรอื กระทรวงต่างประเทศก็ให้ทำหน้าท่ีการต่างประเทศอย่าง
เดียว ไม่ตอ้ งปกครอง หวั เมอื งชายทะเลรอบอา่ วไทยอกี ต่อไป
การปฏริ ูปการปกครองทัง้ ในส่วนกลางและสว่ นภมู ภิ าค ทำให้การปกครองของไทยมีระบบท่ีชัดเจน มีงาน
ที่เหมาะสมกับเจ้าหน้าที่ มีเอกภาพ เป็นการปกครองเพื่อให้ราษฎร ไม่เดือดร้อน และมีความสุขดังอุดมคติของ
กระทรวงมหาดไทยทว่ี า่ "บำบัดทุกข์ บำรงุ สขุ "
ในช่วงครึ่งหลังของรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงปรับปรุงการทำงานของสภาท่ี
ปรึกษาราชการแผ่นดินและสภาที่ปรึกษาในพระองค์ให้เหมาะสมโดยสภาที่ปรึกษาในพระองค์เปลี่ยนชื่อเป็น
"องคมนตรีสภา" สภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน เปลี่ยนชื่อเป็น "รัฐมนตรีสภา" และทรงตั้ง "เสนาบดีสภา" ขึ้นมา
ดว้ ย เพ่อื ให้เป็นที่ประชมุ ของเสนาบดที ง้ั หลาย
ภาพ 2 พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอย่หู ัวทรงเป็นประธานในการประชมุ เทศาภิบาล
ทพี่ ระราชวังบางปะอิน พ.ศ. 2446
ที่มา : http://www.vajiravudh.ac.th/OVtoVC/OVtoVC_97.htm
สบื ค้นเมอื่ : 29 เมษายน 2562
นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรงริเริ่มการปกครองส่วนท้องถิ่นขึ้นมาด้วย
โดยทรงตั้งสุขาภิบาล 2 แห่ง คือ สุขาภิบาลที่ตำบลท่าฉลอม เมืองสมุทรสาคร และสุขาภิบาลที่ตำบล
พระบรมมหาราชวงั กรงุ เทพมหานคร ทงั้ น้ีแตเ่ ดมิ ไม่มีหนว่ ยงานของรฐั ทดี่ ูแลในระดบั ท้องถ่ินโดยตรง สุขาภิบาลที่
ทรงตั้งขึ้นนอกจากดูแลด้านการปกครองแล้วยังดูแลเรื่องสุขอนามัยของประชาชน การพัฒนาและรักษาความ
สะอาดของถนนหนทางบ้านเรอื น และชุมชนดว้ ย
การปฏริ ูปการปกครองทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมภิ าค และสว่ นท้องถ่นิ ในสมยั รัชกาลที่ 5 ได้เปน็ รากฐานสำคัญ
ของการปกครองทง้ั 3 สว่ นในปัจจุบัน
2) การปฏิรูปสังคม ได้แก่ การเลิกทาส การเลิกไพร่ การปฏิรูปการศึกษา และการปรับปรงุ บ้านเมืองให้
ทนั สมัย
(1) การเลกิ ทาส ทาสในเมืองไทยเรม่ิ มีมาต้ังแต่สมยั ใดไม่ปรากฏแน่ชัด แต่มีหลกั ฐานเปน็ ลายลักษณ์อักษร
ในสมัยอยุธยา ทาสที่มีมาก คือ ทาสสินไถ่ ทาสในเรือนเบี้ย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรง
ดำเนินการเลิกทาสใน พ.ศ. 2417 แต่ให้มีผลย้อนหลังไปถึง พ.ศ. 2411 ซึ่งเป็นปีที่พระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์-
สมบัติ โดยให้ลูกทาสทีเ่ กิดใน พ.ศ. 2411 มีค่าตัวลดลงเรื่อยๆ จนอายุย่างเข้าปีท่ี 21 ก็หมดค่าตัวเป็นไทหรือเป็น
อสิ ระได้ ดงั นน้ั ลูกทาสรุ่นแรกท่เี ปน็ ไท คอื ลูกทาสทีเ่ กิดเมื่อ พ.ศ. 2411 โดยเป็นไทเม่ือ พ.ศ. 2432 ต่อจากน้ันลูก
ทาสรุน่ ตอ่ ๆ มาก็คอ่ ยๆ เป็นไทตามลำดับ จนใน พ.ศ. 2448 พระองค์ทรงประกาศยกเลิกระบบทาสในไทย โดยให้
ลกู ทาสท้งั หลายท่ีมีอยู่เป็นไทท้ังหมด หา้ มคนทีเ่ ปน็ ไทขายตวั เปน็ ทาสอกี ต่อไป สว่ นผูเ้ ป็นทาสให้ลดค่าตัวลงเดือน
ละ 4 บาท จนหมดค่าตวั หรอื หมดหน้ี
พระราชกรณียกิจในเรื่องการเลิกทาสของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้นทรงทำได้อยา่ งดี
ยงิ่ ท้ังยงั นมุ่ นวลและไมม่ เี หตุยุ่งยากเปน็ เรอ่ื งใหญ่โตเหมอื นในบางประเทศ
(2) การเลิกไพร่ ก็เป็นเรื่องสำคัญมากเช่นกนั เพราะไพร่ คือ ราษฎรสามัญทั้ง หลาย ส่วนหนึง่ คือ "ไพร่
หลวง” เป็นคนของพระมหากษัตรยิ ์ และอกี สว่ นหนง่ึ คอื "ไพร่สม" เปน็ คนของมลู นาย หรอื ผู้มศี กั ดินาเกิน 400 ไร่
ไพร่มหี นา้ ทที่ ำงานใหก้ บั ทางราชการเรยี กว่า "รับราชการหรอื เข้าเดอื น" ในสมัยรชั กาลที่ 5 ไพร่หลวงเขา้ เดือนปีละ
3 เดือน ไพรส่ มเข้าเดือน “ ปีละ 1 เดอื น แตไ่ พรอ่ าจเสยี เงนิ แทนได้ในอัตราเดอื นละ 6 บาท หรอื เสยี เป็นสิ่งของท่ี
เรียกว่า "สว่ ย" ซึ่งเปน็ สง่ิ ของทท่ี างราชการกำหนดใหเ้ สยี กไ็ ด้
ในระบบไพร่ ทำใหไ้ พร่ไม่มอี สิ ระในการประกอบอาชพี การโยกย้าย และการตั้งถ่ินฐาน เพราะตอ้ งอยู่ตาม
สังกัด และต้องมาเข้าเตอื นตามกำหนด พระบาทสมเด็จพระจลุ จอม เกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเริ่มผ่อนคลายระบบไพร่
โดยลดเวลาเขา้ เดือนเหลอื ปีละ 1 เดอื น หรอื เสียเงนิ เพยี ง 6 บาท กำหนดหลักเกณฑ์คนขนึ้ ทะเบยี นไพร่ เมื่ออายุ
18 ปี และปลดชราเมื่ออายุ 60 ปี และใน พ.ศ. 2443 กำหนดว่า ถ้ามีการเกณฑ์แรงงานให้จ้างแทน จนถึง พ.ศ.
2448 มีการเปล่ียนแปลงขนั้ สดุ ทา้ ย คอื หนา้ ทกี่ ารทำงานใหก้ บั บา้ นเมืองของชายฉกรรจ์ท้ังหลายคือ เปน็ ทหารก่ีปี
เมื่อปลดประจำการแล้วก็ไม่ตอ้ งเสียเงินค่าราชการจนตลอดชวี ิต ดังนั้น ระบบไพร่จึงสิ้นสุดลงดว้ ยดี เช่นเดียวกับ
การเลิกทาส
(3) การปฏิรูปการศึกษา รัชกาลที่ 5 ทรงต้องการพัฒนาคนไทยให้มีการศึกษา เพื่อใช้ในการปฏิรูป
บ้านเมือง จึงทรงขยายการศึกษาโดยการตั้งโรงเรียนสำหรับราชการทุกชนชั้น การตั้งโรงเรียนเฉพาะทาง เช่น
โรงเรยี นแพทย์ โรงเรยี นกฎหมาย การส่งเสริมให้วัดเข้าช่วยจดั การศึกษาขัน้ พน้ื ฐานสำหรบั ราษฎรทวั่ ประเทศ และ
การพระราชทานทุนการศึกษาให้แกน่ กั เรยี นท่ีเรียนดมี ีโอกาสไปศกึ ษาตา่ งประเทศ
(4) การปรบั ปรุงบา้ นเมอื งให้ทนั สมัย รัชกาลที่ 5 ทรงปรบั ปรุงบา้ นเมอื งให้ทันสมยั ในหลายด้าน ท้ังนี้เพ่ือ
พัฒนาบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้า และยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎรให้ดีขึ้น โดยทรงรับวิทยาการความ
เจรญิ และวฒั นธรรมของชาติตะวันตกมาใช้ปรบั ปรุงบ้านเมอื ง เช่น การพัฒนาการคมนาคม มกี ารตดั ถนนสายใหม่
สรา้ งทางรถไฟ รถราง สร้างสะพานขา้ มคลอง นำระบบโทรเลข ไฟฟ้า น้ำประปามาใช้ รวมทงั้ ทรงยกเลกิ การหมอบ
กราบ เปลยี่ นมาเป็นการคำนบั แบบตะวันตก ทรงเปลี่ยนแปลง เครอื่ งแตง่ กาย ทรงผมใหเ้ ป็นแบบตะวันตก เพ่ือให้
เกิดความทนั สมยั เป็นต้น การปรบั ปรุงบ้านเมอื งของรชั กาลท่ี 5 ทำให้ไทยเป็นประเทศสมยั ใหม่และได้เป็นพ้ืนฐาน
ความเจริญต่อเนอื่ งมาถึงปจั จุบนั
ภาพ 3 ภาพกจิ การไปรษณยี ใ์ นสมัย
รัชกาลที่ 5
ท่มี า : https://www.sanook.com/news/
2088350/
สบื คน้ เมื่อ : 2 พฤษภาคม 2562
3) การปฏิรูปดา้ นเศรษฐกจิ ในสมัยรัชกาลท่ี 5 มีการปฏิรูปดา้ นเศรษฐกจิ ภาษี และการคลงั เพื่อให้การ
บรหิ ารจดั การคลงั มีประสิทธิภาพ การปฏิรูปตา่ งๆ เช่น การตั้งหอรษั ฎากรพิพฒั น์ใน พ.ศ. 2416 เพื่อเป็นสถานท่ี
รวบรวมพระราชทรัพย์ในท้องพระคลังใหร้ ู้จำนวนเงนิ ที่มีอยู่ และเป็นหนว่ ยงานรวบรวมภาษอี ากรเพียงแหง่ เดียว
เพื่อไม่ให้เงินภาษีรั่วไหล ใน พ.ศ. 2433 กรมพระคลังมหาสมบัติถูกยกขึ้นเป็นกระทรวง มีกรมต่างๆ ที่มีหน้าที่
เฉพาะ เช่น กรมสรรพากร กรมอากรที่ดิน กรมศุลกากร การปฏิรูปการเก็บภาษีและการคลังทำให้เงินภาษี ไม่
ร่วั ไหล เกบ็ ภาษไี ด้เพ่ิมขนึ้ ทำให้มีเงินมาใชป้ ฏิรปู บ้านเมือง
นอกจากนี้ มีการจัดทำงบประมาณแผ่นดินเป็นครั้งแรก ใน พ.ศ. 2439 เพื่อวางระเบียบการใช้จ่ายเงิน
แผ่นดิน มีการกำหนดเงินค่าใช้จ่ายส่วนพระองค์และเงินเดือนข้าราชการที่แน่นอน แยกเงินของแผ่นดินและเงนิ
สว่ นพระองคอ์ อกจากกนั มกี ารกำหนดมาตราเงินใหม่ เหลือเพียง 2 หนว่ ย คอื บาทกบั สตางค์ โดย 1 บาท เท่ากับ
100 สตางค์ มีการใช้ธนบัตรแทนเงินเหรียญ มีการตั้งธนาคารขึ้นเรียกว่า "บุคคลัภย์" (Book Club) หรือแบงก์
สยามกมั มาจล ต่อมาเปลีย่ นช่ือเป็นธนาคารไทยพาณชิ ย์ ซึ่งปจั จุบนั ก็ยงั คงดำเนินกจิ การอยู่
ภาพ 4 บคุ คลมั กยใ์ นอดีต คือธนาคารไทย
พาณชิ ย์
ในปจั จบุ นั ตัง้ อยทู่ ถ่ี นนรชั ดาภิเษก
เขตจตุจกั ร กรงุ เทพมหานคร
ทม่ี า : https://voicetv.co.th/read/
sn2x_tce5
สบื คน้ เม่ือ : 2 พฤษภาคม 2562
ในด้านเกษตรกรรม รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้ขุดคลอง สร้างทำนบและประตูน้ำ โดยบริษัทเอกชน
ชื่อ "บริษัทคลองแลคูนาสยาม" รับสัมปทานขุดคลองทั่วประเทศ และบุกเบิกที่รกร้างบริเวณคลองรังสิตให้เป็นที่
เพาะปลูก ส่งเสริมการคัดเลือกพันธุ์ข้าวโดยมีการจัดประกวดพันธุ์ข้าว ตั้งกรมเลี้ยงไหม ตั้งโรงเรียนช่างไหม
เป็นต้น
4) การเสด็จประพาสต่างประเทศ และการเสด็จประพาสในประเทศ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้
เจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสต่างประเทศหลายครั้ง โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อทอดพระเนตรความเจริญของต่างประเทศ
เพ่อื นำมาดดั แปลงปรับปรงุ ประเทศ เพอื่ เจริญสมั พนั ธไมตรกี ับผนู้ ำต่างประเทศ เสรมิ สรา้ งความเข้าใจอันดีต่อกัน
รวมท้ังการเจรจาแกไ้ ขปัญหาความขัดข้อง และเพื่อรกั ษาพลานามยั ของพระองค์
(1) การเสด็จประพาสต่างประเทศ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเสด็จประพาส
ตา่ งประเทศ ท้ังในทวปี เอเชยี และทวีปยุโรป ดงั น้ี
ทวปี ยุโรป รวม 2 ครงั้
ครั้งท่ี 1
ประเทศท่เี สด็จเยือน ไดแ้ ก่ อติ าลี สวติ เซอรแ์ ลนด์ ออสเตรยี ฮังการี รัสเซยี สวีเดนนอร์เวย์ (ปัจจุบันแยก
เป็น 2 ประเทศ คอื สวีเดน และนอรเ์ วย์) เดนมารก์ อังกฤษ เบลเยียม เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ ฝร่ังเศส สเปน และ
โปรตุเกส
วัตถุประสงค์ เพื่อทอดพระเนตรความเจริญของยุโรปและเพื่อแสวงหาพันธมิตร รวมทั้งการเจรจากับ
ฝรัง่ เศสซงึ่ คกุ คามไทยอยา่ งหนกั โดยเฉพาะในวกิ ฤตการณ์ ร.ศ. 112
ผลจากการเสด็จประพาส ทรงสร้างสัมพันธไมตรีกับรัสเซียในสมัยซาร์นิโคลัสที่ 2 ทรงเจรจากับฝรั่งเศส
เพือ่ แก้ปัญหาระหวา่ งกัน รวมทั้งทรงนำความเจรญิ ของยุโรปมาใช้ปรบั ปรุงในบ้านเมอื ง
ครั้งที่ 2
ประเทศที่เสด็จเยือน ได้แก่ อิตาลี มอนติคาร์โล สวิตเซอร์แลนด์ เยอรมนี ฝรั่งเศส อังกฤษ เดนมาร์ก
นอร์เวย์ และเบลเยียม
วัตถุประสงค์ เพื่อรักษาพระองค์และปฏิบัติพระราชกรณียกิจเกี่ยวกับฝรั่งเศสซึ่งคุกคามไทยอยู่ตั้งแต่
วกิ ฤตการณ์ ร.ศ. 112 ทรงใหส้ ตั ยาบัน หรอื ยอมรับสนธิสญั ญากับฝร่ังเศส ฉบับ ร.ศ. 125
ผลจากการเสด็จประพาส ทรงเจรจากับชาติตะวันตก เช่น เรื่อง สิทธิสภาพนอกอาณาเขต ปัญหาคนใน
บงั คับฝรง่ั เศส ปญั หาอำนาจการปกครองเหนือเมืองหลวงพระบาง และเขตปลอดทหาร (ไทย) ระยะ 25 กโิ ลเมตร
บนฝั่งขวาของแมน่ ้ำโขงตลอดแนวชายแดน ระหว่างสยามกับอาณานิคมอนิ โดจีนของฝรง่ั เศส เปน็ ตน้
ทวีปเอเชยี รวม 4 ครัง้
ครงั้ ที่ 1
ประเทศท่ีเสดจ็ เยือน คือ สิงคโปร์ (อาณานิคมของอังกฤษ) และชวา (อาณานิคมของฮอลันดา)
วัตถุประสงค์ เพื่อทอดพระเนตรความเจริญ ดินแดนอาณานิคมของชาติตะวันตกโดยที่สิงคโปร์
ทอดพระเนตรการไปรษณีย์ โรงเรียน ศาล โรงพยาบาล อู่เรอื ท่ปี ัตตาเวยี (ปจั จบุ นั คอื จาการต์ า) ทอดพระเนตรท่ี
ทำการของรัฐบาล โรงงานทำปืนไรเฟิล ศาล พพิ ธิ ภัณฑ์ กจิ การรถไฟ เปน็ ตน้
ภาพ 5 รัชกาลที่ 5 เม่อื ครง้ั เสด็จประพาสทสี่ ิงคโปร์ (17.05.1896)
ทมี่ า : https://www.pinterest.de/pin/474074298274696069/
สืบค้นเมื่อ : 2 พฤษภาคม 2562
ครั้งท่ี 2
ประเทศท่ีเสดจ็ เยือน คือ อินเดีย (อาณานคิ มขององั กฤษ)
วตั ถปุ ระสงค์ เพอ่ื ทอดพระเนตรความเจรญิ เชน่ อูต่ อ่ เรอื ประปา เคร่อื งกลไฟ เรอื รบกลไฟ เป็นตน้
ครั้งท่ี 3
ประเทศท่เี สดจ็ เขียน คอื ชวา (ครงั้ ท่ี 2)
วัตถุประสงค์ เพื่อรักษาพระองค์และทอดพระเนตรความเจริญ เช่น โรงเรียน โรงทหาร โรงพิมพ์
บโุ รพุทโธ ตลาด รา้ นค้า เปน็ ตน้
ครง้ั ที่ 4
ประเทศที่เสด็จเยือน คือ ชวา (คร้ังท่ี 3)
วัตถุประสงค์ เพื่อรักษาพระองค์และทอดพระเนตรความเจริญ เช่น สโมสรคองคอเดีย สนามม้า
โรงงานผลิตยาควินิน ไร่ยางพารา ไรก่ าแฟ เปน็ ตน้
(2) การเสด็จประพาสในประเทศ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดการเสด็จประพาส
หัวเมือง เพื่อทรงตรวจการจัดการปกครอง และเพื่อสำราญพระอิริยาบถ ทรงเสด็จประพาสหัวเมืองต่างๆ เกือบ
ทุกภาค ยกเว้นภาคอีสาน บางส่วนของภาคกลางและภาคเหนอื
ผลจากการเสด็จประพาส ทำให้รัชกาลที่ 5 ทรงเห็นสภาพความเป็นอยู่ การประกอบอาชีพของราษฎร
สิ่งใดที่ไมด่ ีไม่เหมาะสมก็โปรดเกล้าฯ ให้แก้ไข และยังทำให้เกิดความตืน่ ตัว ความสนใจ ในประวัติศาสตร์ รวมถงึ
โบราณวัตถุและศลิ ปวตั ถุดว้ ย เพราะทรงเคยมีพระบรมราชโองการใหข้ า้ หลวง
ส่วนการเสดจ็ ประพาสเพ่ือสำราญพระอริ ิยาบถ เป็นการเสด็จประพาสส่วนพระองค์อยา่ งคนสามัญ ไมใ่ หม้ ี
การรบั เสด็จ การเสดจ็ ประพาสลักษณะนีเ้ รียกว่า “การเสดจ็ ประพาสตน้ มีข้นึ ครัง้ แรกเมือ่ พ.ศ. 2447 และคร้ังที่
2 เมื่อ พ.ศ. 2449 ทำให้ทรงรับรูช้ ีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านโดยตรง อย่างไรกต็ ามแม้ว่าจะปลอมพระองค์เป็น
คนธรรมดาสามญั แต่ก็มีคนจำพระองค์ได้ ทำใหพ้ ระองค์ได้ “เพอ่ื นตน้ ” คอื เพอื่ นจากการเสด็จประพาสตน้ ดว้ ย
ภาพ 6 พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกล้าเจา้ อยหู่ ัวทรงพกั เสวยพระกระยาหารบรเิ วณรมิ แม่นำ้ เมืองกำแพงเพชร
ที่มา : https://pantip.com/topic/38192796
สืบคน้ เมอื่ : 2 พฤษภาคม 2562
3. ผลการปฏริ ูปบ้านเมอื ง
การปฏริ ูปบ้านเมอื งในสมยั พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยหู่ วั ทำใหบ้ ้านเมืองเปลยี่ นแปลงไปและ
ทันสมัย ซ่ึงเปน็ พื้นฐานความเจรญิ ในปัจจบุ นั ราษฎรมีชวี ติ ความเป็นอย่ดู ีขนึ้ ทำใหก้ ุลบุตร แม้แต่ลูกทาสท่ีเป็นไท
ได้เรียนหนังสือในโรงเรียนท่ีโปรดเกล้าฯ ให้สรา้ งขน้ึ การคมนาคม โปรดเกล้าฯ ใหม้ กี ารตัดถนน สร้างทางรถไฟ ให้
มกี ิจการไปรษณีย์ โทรเลข ซง่ึ ทำใหก้ ารติดต่อสอื่ สาร การเดนิ ทางไปมาหาส่กู นั มีความสะดวก ปลอดภัย และเป็น
ผลดีต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ ส่วนการปฏิรูปกฎหมาย มีการประกาศใช้ประมวลกฎหมาย
สมัยใหมบ่ างลกั ษณะ ทำให้กฎหมายไทยมีความทันสมัย ไมถ่ กู ต่างชาติกล่าวหาว่ากฎหมายไทยล้าหลัง การปฏิรูป
กฎหมายทำให้มีการเจรจาเพื่อยกเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขตบางส่วนและยกเลิกได้ทั้งหมดในเวลาต่อมา
การสำรวจและทำแผนท่ีประเทศไทย เป็นการแสดงเขตแดนหรืออาณาเขตของประเทศไทยที่ชัดเจน ที่สำคัญคือ
ทำให้ไทยรกั ษาเอกราชไว้ได้ นับเปน็ ความภาคภมู ิใจสูงสุดของคนไทย ทอี่ งค์ “พระปยิ มหาราช” มอบให้เปน็ มรดก
แก่ประเทศและคนไทย
ภาพ 7 รัชกาลที่ 5 เสด็จพระราชดำเนินพรอ้ มดว้ ยสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ไปทรงเปิดการเดนิ รถไฟหลวง
สายกรุงเทพฯ - นครราชสีมา เมอ่ื วันท่ี 27 มีนาคม พ.ศ. 2439
ทมี่ า : https://www.silpa-mag.com/history/article_7765
สบื คน้ เมอ่ื : 2 พฤษภาคม 2562
ภาพ 8 พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงประกอบพระราชกรณียกิจทีย่ ่งิ ใหญ่ตอ่ บา้ นเมอื ง
และประชาชนชาวไทย ทำให้ทรงไดร้ บั การเทดิ พระเกียรตเิ ป็น "พระปยิ มหาราช"
ที่มา : http://www.memohall.chula.ac.th/article/%E0%B8%A3-5/
สบื คน้ เมอ่ื : 2 พฤษภาคม 2562