ใบความรู้ท่ี 3.3
เรอื่ ง รฐั ไทยในดนิ แดนไทย
1. แควน้ โยนกเชียงแสน (ประมาณพุทธศตวรรษที่ 12 - 16)
แคว้นโยนกเชียงแสนอาจเปน็ รฐั ไทยทเี่ ก่าแก่ที่สุด เรอ่ื งราวของแควน้ น้ปี รากฏในตำนานสงิ หนวตั ิ ซ่ึงกล่าว
ว่า พระเจ้าสิงหนวัติสร้างเมืองนาคพันธส์ ิงหนวัตินครบนฝั่งนำ้ แม่กก (ในจังหวัดเชียงรายปัจจุบัน) เมื่อประมาณ
พทุ ธศตวรรษท่ี 12 การตั้งบา้ นเมอื งรมิ แม่น้ำกเ็ พ่ือความสะดวกในการทำการเกษตรและใช้แม่นำ้ เป็นเส้นทางสัญจร
บรเิ วณทีพ่ ระเจา้ สิงหนวตั ิมาสร้างบ้านเมือง เดมิ มพี วกกล๋อมดำและพวกลวั ะปกครองอยู่ พระเจ้าสงิ หนวัติ
กุมารทรงปราบปรามคนพื้นเมืองพวกนี้ให้อยู่ในอำนาจได้ เมืองนาคพันธ์สิงหนวัตินครต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นโยนก
นครธานีศรีช้างแส่น และภายหลังเรียกว่า เชียงแสน แคว้นโยนกเชียงแสนมีกษัตริย์ปกครองสืบต่อกันมาถึง 45
พระองค์
สมัยพระเจ้าพังคราช กษัตริย์องค์ที่ 36 พวกกล๋อมดำจากเมืองอุโมงคเสลายกทัพมาตีและยึดเมืองเชียง
แสนไว้ได้ พระเจ้าพังคราชถูกส่งไปเป็นนายบ้านเวียงสีทวง และต้องส่งส่วยเป็นทองคำให้พวกกล๋อมดำเป็นเวลา
หลายปี จนกระทงั่ เจา้ พรหมกุมารพระราชโอรสของพระเจ้าพังคราช นำกำลังขับไลพ่ วกกล๋อมดำออกไปได้ คนไทย
จงึ กลับเป็นอสิ ระอีกครงั้ หนึง่
ประมาณพุทธศตวรรษที่ 16 แคว้นโยนกเชียงแสนถูกคุกคามจากอาณาจักรพุกาม ประกอบกับเกิด
แผ่นดินไหวและเกิดอุทกภัยคร้ังใหญ่ ทำให้เมืองเชียงแสนถล่มจมลงกลายเป็นหนองน้ำขนาดใหญ่ ผู้คนล้มตายไป
จำนวนมาก พระเจ้าไชยศิรทิ รงพาผู้คนท่ีเหลือไปสร้างเมืองใหม่ทีเ่ มืองแปบ (อยู่ในจังหวัดกำแพงเพชร) ตั้งชื่อวา่
เมอื งไตรตรงึ ษ์
2. แควน้ หิรญั นครเงินยาง (ประมาณพทุ ธศตวรรษท่ี 12 - 16 พ.ศ. 1983)
แคว้นหิรัญนครเงินยาง หรือแคว้นเงินยาง หรือแคว้นเงินยางเชยี งแสน เกิดขึ้นเม่ือปู่จ้าวลาวจงหรือปู่เจา้
ลาวจก หัวหน้ากลุ่มคนบนดอยตุง นำบริวารมาสร้างเมืองเงินยางในบริเวณลุ่มน้ำกก และตั้งราชวงศ์ลวจักราช
หรือลวจักราชขึ้น ตำนานพื้นเมืองเชียงแสนระบุว่าสมัยของปู่จ้าวลาวจงอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 12 แต่จาก
การศึกษาหลักฐานทางโบราณคดีพบว่า ราชวงศ์ลวจังกราชน่าจะเริ่มประมาณพุทธศตวรรษที่ 16 ประชาชนของ
แคว้นนี้ส่วนใหญ่มีอาชีพทำนา กษัตริย์ราชวงศ์ลวจังกราชขยายอำนาจทางการเมืองด้วยการส่งพระราชโอรสไป
สร้างเมืองใหม่ และการให้พระราชโอรสอภิเษกสมรสกับพระราชธิดาของรัฐอื่น เป็นการสร้างความสัมพันธ์ทาง
เครอื ญาติ
ตำนานเมอื งเชยี งใหมร่ ะบุว่า ราชวงศล์ วจังกราชปกครองแควน้ มาถงึ กษตั รยิ ์องค์ที่ 24 คือ พระยาลาวเม็ง
มพี ระราชโอรส คือ พระยามงั ราย
พระยามังรายเสวยราชย์เป็นกษตั ริยอ์ งคท์ ี่ 25 มพี ระราชประสงค์จะสรา้ งแควน้ หริ ญั นครเงนิ ยางใหย้ ิง่ ใหญ่
จึงได้รวบรวมเมืองใกล้เคียงไว้ในอำนาจ ทรงสร้างเมืองเชยี งรายเป็นราชธานีใหม่ และสร้างเมืองฝางเป็นราชธานี
ใหมใ่ นลุม่ น้ำปงิ
แคว้นหิรัญนครเงินยางเปน็ ศนู ย์กลางการค้าที่มีความมัน่ คงทางเศรษฐกิจ พระยามงั รายยึดได้เมืองลำพูน
เมื่อ พ.ศ. 1835 ประทับอยู่ 2 ปี ก็สร้างเมืองหลวงใหม่ คือ เวียงกุมกาม ต่อมาสร้างเมืองนพบุรีศรีนครพิงค์
เชียงใหม่ เป็นราชธานีแหง่ ใหมเ่ มอ่ื พ.ศ. 1839 ถือเป็นปีเรม่ิ ตน้ อาณาจกั รลา้ นนา
3. แควน้ พะเยา (พ.ศ. 1640 - 1881)
แคว้นพะเยาอยู่ในลุ่มนำ้ แม่อิง มีเมืองพะเยาเปน็ ราชธานี ตั้งขึ้นประมาณ พ.ศ. 1640 ผู้สร้างเมืองพะเยา
ได้แก่ ขนุ จอมธรรม เชอ้ื สายของปเู่ จ้าลาวจงซง่ึ เป็นผสู้ รา้ งเมอื งเงนิ ยาง
ต่อมาตำนานเมอื งพะเยาเล่าว่า พระยาลาวเงินหรือขุนเงิน กษัตริยแ์ คว้นหิรญั นครเงนิ ยางผู้สืบเช้ือสายปู่
จ้าวลาวจง มพี ระราชโอรส 2 องค์ องคแ์ รกมพี ระนามว่า ขนุ ชิน องคท์ สี่ องมีพระนามวา่ ขุนจอมธรรมหรือจอมผา
เรอื ง พระยาลาวเงนิ ได้มอบราชสมบัตใิ ห้ขนุ ชนิ พระโอรสองค์แรกปกครองแคว้นหริ ญั นครเงินยาง ทรงแบ่งพระราช
ทรพั ย์กบั จำนวนผูค้ นส่วนหนง่ึ ให้ขุนจอมธรรม พระโอรสองคท์ ี่ 2 ไปสร้างเมอื งใหม่
ขุนจอมธรรมซึ่งขณะนั้นมีพระชนมายุ 25 พรรษา ได้พาบริวารไปถึงเชิงดอยด้วนใกล้น้ำแม่อิง เห็นว่ามี
ชัยภูมิเหมาะสมจึงสร้างเมืองพะเยาขึ้นและเสวยราชย์สมบัติเป็นกษัตริย์ ต่อมามีคนจากเมืองต่างๆ รวมทั้งจาก
แคว้นหิรญั นครเงินยางบางส่วนอพยพมาตั้งถิน่ ฐานในเมอื งพระเยา ขนุ จอมธรรมจดั ท่ดี ินทำกินให้ราษฎรโดยเสมอ
ภาคกัน ทรงยึดมั่นศรทั ธาในพระพทุ ธศาสนา และใชห้ ลกั ทศพิธราชธรรมในการปกครอง บา้ นเมอื งจึงเจริญร่งุ เรือง
ด้วยความสันตสิ ุข
กษัตริย์องค์ที่ 11 ของแคว้นพะเยา คือ พระยางำเมือง ประสูติเมื่อ พ.ศ. 1781 เมื่อพระชนมายุได้ 16
พรรษา พระบิดาส่งไปเรียนวิชาที่สำนักสุกันตฤๅษที ี่กรงุ ละโว้ ได้เป็นศิษย์ร่วมสำนักกบั พอ่ ขุนรามคำแหงมหาราช
แหง่ อาณาจกั รสโุ ขทยั และพระยามังรายแหง่ แคว้นหิรัญนครเงนิ ยาง พระยางำเมืองไดเ้ สวยราชยต์ ่อจากพระบิดาที่
สวรรคตเมอ่ื พ.ศ. 1801 ทรงสามารถรวบรวมบ้านเล็กเมืองนอ้ ยใหเ้ ปน็ อนั หนึง่ อนั เดียวกัน และทรงขยายอำนาจไป
ถงึ เมอื งน่าน
ตำนานสิบห้าราชวงศ์กลา่ วว่า ใน พ.ศ. 1819 พระยามังรายยกทพั มาพะเยาหมายจะยึดไวใ้ นอำนาจ แต่ไม่
มีการรบกัน พระยางำเมืองใช้วิธีการเจรจาต่อรองและทรงยอมยกเขตแดน มีคน 500 หลังคาเรือนให้ จึงรักษา
แคว้นพะเยาไวไ้ ด้
ชินกาลมาลีปกรณ์ กล่าววา่ ใน พ.ศ. 1830 พระยางำเมอื ง พระยามังราย และพ่อขุนรามคำแหงมหาราช
ทำสัญญาเป็นมิตรร่วมสาบานต่อกัน ต่อมาใน พ.ศ. 1839 เมื่อพระยามังรายสร้างเมืองเชียงใหม่ได้ทรงเชิญพระ
สหายทัง้ สองไปปรึกษาหารือกันด้วย
พระยางำเมืองสวรรคตใน พ.ศ. 1861 พระยาคำลอื ซึง่ เปน็ พระราชโอรสขนึ้ ครองราชยต์ อ่ มา ความสมั พันธ์
ระหว่างรัฐท้ังสาม คือ พะเยา ลา้ นนา และสุโขทยั ก็เสอื่ มคลายลง
ประมาณ พ.ศ. 1881 พระยาคำฟูแหง่ ลา้ นนาได้ชกั ชวนพระยากาวนา่ นยกกองทัพมาตีแควน้ พะเยา ทำให้
แควน้ พะเยาถกู รวมเข้ากบั อาณาจักรลา้ นนา
๔. อาณาจักรลา้ นนา (พ.ศ. 1839 - 2442)
พระยามังราย กษัตริย์องที่ 25 แห่งแคว้นหริ ัญนครเงินยาง ได้สร้างเมืองนพบุรีศรีนครพิงคเ์ ชียงใหม่เปน็
ราชธานีของอาณาจักรลา้ นนาใน พ.ศ. 1839 และทรงสถาปนาราชวงศ์มงั รายขึน้ ส่วนแคว้นหิรญั นครเงนิ ยางทที่ รง
ปกครองอยู่เดมิ กผ็ นวกเข้าเปน็ สว่ นหน่ึงของอาณาจกั รลา้ นนา
พระยามงั รายเป็นสหายร่วมในสำนกั เรยี นและเปน็ มิตรร่วมสาบานกับพระยางำเมืองแห่งแควน้ พะเยาและ
พ่อขุนรามคำแหงมหาราชแห่งอาณาจักรสุโขทยั ความสัมพันธ์อนั แน่นแฟน้ ระหว่างรัฐทง้ั สามนี้ช่วยให้คนไทยรอด
พ้นจากการรกุ รานของจนี สมยั ราชวงศห์ ยวนหรอื มองโกล
ภาพ 1 พระบรมราชานุสาวรยี ์สามกษตั ริย์
(พระยางำเมือง พระยามงั ราย และพ่อขุนรามคำแหงมหาราช)
ทจี่ งั หวัดเชียงใหม่ แสดงเหตุการณ์ตอนที่สามกษตั ริย์ปรกึ ษากนั เรอ่ื งการสร้างเมอื งเชยี งใหม่
ทม่ี า : https://sites.google.com/site/travelnorth99/xnusawriy-sam-ksatriy
สบื คน้ เมอ่ื : 25 เมษายน 2562
เมื่อพระยามังรายจะสร้างเมอื งเชียงใหมไ่ ด้ทรงเชิญพระสหายท้ังสองไปปรึกษาหารอื ด้วย เมืองเชียงใหม่
ต้ังอยรู่ ะหวา่ งทร่ี าบลมุ่ แม่นำ้ ปิงกับดอยสุเทพ สามารถใชแ้ มน่ ้ำปงิ เปน็ เส้นทางติดต่อค้าขายกบั หวั เมืองตอนบนและ
หวั เมืองตอนล่างไดโ้ ดยสะดวก เชยี งใหมจ่ ึงเป็นศูนย์กลางการคา้ นอกจากนเ้ี ชียงใหม่ยังมีทร่ี าบขนาดใหญ่ติดต่อไป
ถึงเมืองลำพูน ซึ่งเหมาะแก่การตั้งชุมชนเกษตรกรรมขนาดใหญ่ เชียงใหม่ได้เป็นราชธานีถาวรของล้านนามาโดย
ตลอด สว่ นเมอื งลำพูนเปน็ ศนู ย์กลางทางพระพุทธศาสนาและเมอื งเชียงใหมเ่ ปน็ เมืองอุปราช
ภาพ 2 แผนท่อี าณาจักรล้านนา
ทม่ี า : https://www.chiangmainews.co.th/page/archives/880641/
สืบคน้ เมื่อ : 25 เมษายน 2562
อาณาจักรล้านนาในสมัยพระยามังราย ทิศเหนือติดเชียงร่งุ เชยี งตุง ทิศตะวนั ออกจดแม่น้ำโขง แต่ไม่รวม
เมอื งปวั น่าน และแพร่ ทิศใต้ถงึ ลำปาง และทศิ ตะวนั ตกถงึ แม่นำ้ สาละวนิ
พระราชกรณียกิจของพระยามังรายนอกจากการสถาปนาอาณาจักรล้านนาและการขยายอำนาจของ
อาณาจักรแล้ว ในด้านการปกครองบา้ นเมืองทรงตรากฎหมายที่เรียกว่า มังรายศาสตร์ เพื่อใช้ควบคุมสงั คม ด้าน
ศาสนาทรงสร้างเจดยี ก์ ู่คำหลวง วดั เจดียเ์ หลี่ยมที่เวียงกุมกาม สรา้ งพระอารามวัดการโถม หรือวัดช้างคำและทรง
ให้ก่อสร้างเจดียท์ รงกลมครอบมณฑปพระบรมธาตหุ ริภุญชยั ทีส่ ร้างมาตั้งแต่สมยั หริภญุ ชัย ทางด้านก่อสร้างเพอื่
สาธารณะประโยชน์ พระยามังรายทรงสร้างตลาดและสะพานข้ามแม่นำ้ ปิงทีเ่ วียงกุมกาม สร้างเหมืองฝายหลาย
แห่งเพื่อนำน้ำไปใช้ในการเกษตร สร้างทำนบกั้นน้ำขนาดใหญ่เพื่อป้องกันน้ำท่วมเวียงกุมกามพระยามังราย
สิ้นพระชนมเ์ มอ่ื พ.ศ. 1854
ภาพ 3 เจดีย์กคู่ ำหลวง วัดเจดยี เ์ หลี่ยม เวียงกมุ กาม สร้างสมัยพระยามงั ราย
ท่ีมา : http://qr.wiangkumkam.com/th/view-attraction-1/
สบื ค้นเมื่อ : 25 เมษายน 2562
หลังจากผ่านระยะการกอ่ ตั้งอาณาจักรมาแล้ว เมื่อถึงสมัยพระเจ้ากือนา กษัตริย์ราชวงศ์มังรายองค์ที่ 6
(พ.ศ. 1898 - 1928) ล้านนากเ็ รมิ่ เขา้ สู่ยุคเจริญรงุ่ เรือง พระยากือนาทรงพระปรีชาสามารถในด้านศิลปศาสตร์ทุก
แขนง ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ทรงรับพระพุทธศาสนาแบบลังกาวงศ์จากสุโขทัย โดยอาราธนาพระสุมน
เถระจากสโุ ขทัยมาเผยแผ่ศาสนาในเชียงใหมพ่ ระสุมนเถระได้อญั เชิญพระบรมสารีรกิ ธาตุจากสโุ ขทัยมาด้วย พระ
เจา้ กอื นาทรงสร้างพระเจดยี บ์ รรจพุ ระบรมสารรี กิ ธาตบุ นดอยสุเทพเมอ่ื พ.ศ. 1916
ล้านนามีความเจรญิ สูงสุดในสมัยพระเจ้าติโลกราช กษตั ริยอ์ งคท์ ่ี 9 (พ.ศ.1984 - 2030) พระเจา้ ตโิ ลกราช
ทรงเป็นกษัตริย์ทีท่ รงพระเดชานภุ าพมากท่ีสุดของอาณาจักรล้านนา ทรงขยายอาณาเขตออกไปอย่างกว้างขวาง
และสามารถทำสงครามต่อเนื่องกบั อาณาจกั รอยุธยาได้นานถึง 14 ปี ตงั้ แต่ พ.ศ. 2003 - 2017 ในด้านศาสนาทรง
สรา้ งวดั ปา่ แดงวดั มหาโพธาราม (วดั เจ็ดยอด) และจดั สังคายนาพระไตรปิฎกทว่ี ัดน้ใี น พ.ศ. 2020 อีกทัง้ ไดอ้ ญั เชิญ
พระแกว้ มรกตจากลำปางมาประดษิ ฐานที่เชียงใหมด่ ว้ ย ส่วนที่เมืองลำพูนทรงสร้างเจดียท์ รงกลมครอบเจดีย์พระ
บรมธาตุหริภุญชัยองค์เดมิ ซงึ่ เป็นแบบท่ีเหน็ ในปจั จุบนั
ในระยะท่ลี า้ นนาเจริญรุง่ เรืองนม้ี ีการเขยี นคัมภีร์ทางศาสนาไวม้ าก จนกล่าวได้วา่ เชียงใหม่เป็นศูนย์กลาง
การเขยี นคมั ภีร์ทางพระพทุ ธศาสนา ซงึ่ แพร่หลายสู่ดนิ แดนใกล้เคยี ง เชน่ พม่า ล้านชา้ ง อยธุ ยานอกจากนี้ยังมีการ
เขียนตำนานและชาดก ตามอย่างลังกา เช่น จามเทวีวงศ์ สิงหิงคนิทาน ชินกาลมาลีปกรณ์ ตำนานมูลศาสนา
ตำนานพ้ืนเมืองเชยี งใหม่ ปัญญาสชาดก
อาณาจักรล้านนาเข้าสู่ยุคเสื่อมในตอนปลายสมัยราชวงศ์มังราย เริ่มตั้งแต่พระยาเกศเชษฐราชขึ้น
ครองราชย์ใน พ.ศ. 2068 จนตกเปน็ ประเทศราชของพมา่ ใน พ.ศ. 2101 สาเหตสุ ำคญั ของความเส่อื มมาจากปัจจัย
ภายใน ล้านนาเป็นรัฐที่อยู่ในหุบเขาเมืองต่างๆ ที่กระจัดกระจายกันจึงมีโอกาสมากที่จะแยกตัวเป็ นอิสระ
ความสัมพันธ์ในระบบเครือญาติลดความสำคัญลง และต้องสร้างระบบราชการขึ้นแทนทำให้ขุนนางมีอำนาจมาก
ข้นึ แตส่ ถาบันกษัตรยิ ์ออ่ นแอลง ในขณะเดียวกนั ขุนนางก็แตกแยกกนั บางครง้ั ถึงกับตกลงกนั ไม่ได้ว่าจะให้ใครเป็น
กษัตริย์ ประกอบกับเศรษฐกิจของล้านนาตกต่ำลงมากในช่วงนี้นอกจากนี้ยังมีปัจจัยภายนอก ได้แก่การขยาย
อำนาจของราชวงศต์ องอู ในทส่ี ดุ ล้านนาก็ถกู กองทัพของพระเจ้าบุเรงนองเขา้ ยึดครองใน พ.ศ. 2101
ในช่วงเวลาท่ีพม่าปกครองลา้ นนา บางครั้งกองทพั จากอยธุ ยาได้ยกทัพไปโจมตีเชียงใหม่ได้สำเรจ็ เช่นใน
สมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชและสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ในบางช่วงไทยกับพม่าเกิดปัญหาภายใน
อาณาจกั รล้านนาก็ตัง้ ตนเป็นอิสระ เชน่ ระหว่าง พ.ศ. 2270 - 2306 หากชว่ งใดพม่ากลับมาเขม้ แข็งใหม่ พม่าจะ
ยกทพั ไปยดึ อาณาจักรล้านนาอีก จนถงึ พ.ศ. 2317 ในสมัยธนบรุ ี ผ้นู ำลา้ นนามาสวามิภกั ด์ติ ่อสมเด็จพระเจ้าตาก
สินมหาราช และขอกำลังสนับสนุนไปตีเชียงใหม่ได้สำเร็จ ล้านนาจึงเป็นประเทศราชของไทยมาตั้งแต่นั้น
จนกระท่งั ถูกรวมเขา้ เป็นสว่ นหนึ่งของราชอาณาจกั รไทยเม่ือ พ.ศ. 2442 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจ้าอยู่หวั แหง่ กรงุ รตั นโกสนิ ทร์
5. อาณาจกั รสโุ ขทัย (ประมาณ พ.ศ. 1792 - 2006)
1. การสถาปนาราชวงศพ์ ระรว่ ง
อาณาจกั รสโุ ขทยั ตัง้ อยู่ในเขตภาคกลางตอนบนเปน็ ลุ่มแมน่ ้ำเจ้าพระยาตอนบนและลำน้ำสาขา เรื่องราว
ของอาณาจักรสุโขทัยก่อนราชวงศ์พระร่วง ปรากฏหลักฐานในจารึกหลักที่ 2 ศิลาจารึกวัดศรีชุม สรุปได้ว่าเมือง
สุโขทัยศรีสัชนาลัยมีพ่อขุนศรีนาวนำถมปกครอง เมื่อพ่อขุนศรีนาวนำถมสวรรคต ขอมสบาดโขลญลำพงซึ่งเป็น
เขมรได้ยดึ ครองสุโขทัยไว้
พ่อขุนผาเมืองเจ้าเมืองราด ซึ่งเป็นพระราชโอรสองค์ใหญข่ องพ่อขุนศรีนาวนำถม และเป็นพระราชบุตร
เขยของกษัตริย์เขมร ได้ร่วมมือกับพระสหาย คือ พ่อขุนบางกลางหาว โจมตีขอมสบาดโขลญลำพง จนยึดเมือง
ทั้งหมดกลับมาได้ พ่อขุนผาเมืองทรงอภิเษกพ่อขุนบางกลางหาวขึ้นครองกรุงสุโขทัย ทรงพระนามว่า พ่อขุนศรี
อินทราทิตย์ นบั เป็นต้นราชวงศพ์ ระรว่ ง
อาณาจักรสุโขทัยมีฐานะเป็นผนู้ ำของกลุม่ คนไทยอย่รู ะยะหนึ่ง มปี จั จยั ทีส่ ง่ เสรมิ ดงั นี้
1. ปจั จยั ภายใน ได้แก่
1) ทำเลท่ตี ้งั ดนิ แดนที่รวมกนั เป็นอาณาจักรสุโขทัยเปน็ ชมุ ทางการค้าขาย โดยมเี สน้ ทางการค้าท่ีมาจาก
เมืองท่าเมาะตะมะ ล้านนา หลวงพระบาง เวียดนาม ดินแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่อยู่ในอำนาจของเขมร
และจากภาคกลางมาตามลำน้ำสายต่างๆ นอกจากนี้ยังอยู่ในจุดที่มีอิทธิพลอารยธรรมพม่า มอญ และเขมรมา
บรรจบกนั
2) ความสามัคคีของคนไทย เชน่ กรณที ี่พอ่ ขุนผาเมอื งและพอ่ ขนุ บางกลางหาวรว่ มมือกันขับไล่ ขอมสบาดโขลญ
ลำพงได้สำเรจ็ ต่อจากนนั้ พอ่ ขุนผาเมืองยงั ยอมเสียสละอภิเษกพอ่ ขุนบางกลางหาวข้นึ เปน็ กษัตริย์สโุ ขทัย
3) ความสามารถของผู้นำ กษัตริย์สุโขทัยที่เป็นทั้งนักรบและนักปราชญ์ เช่น พ่อขุนรามคำแหงมหาราช
ทรงทำสงครามขยายอาณาเขตได้กว้างขวางยิ่งกว่ากษัตริย์สุโขทัยทุกพระองค์ และทรงวางรากฐานทาง
พระพุทธศาสนา พระมหาธรรมราชาที่ 1 (ลิไทย) ทรงเป็นปราชญ์ทางพระพุทธศาสนา ทรงนำหลักธรรมทาง
พระพทุ ธศาสนามาเปน็ ศนู ย์รวมจติ ใจของคนไทย
2. ปัจจยั ภายนอก ได้แก่
1) การเสื่อมอำนาจของเขมร เขมรอ่อนแอลงเพราะทำสงครามยดื เยื้อกับอาณาจักรจัมปาและอาณาจักร
ไดเวยี ดอยเู่ ปน็ เวลานาน ประกอบกบั เขมรทุม่ เทสร้างเทวสถานขนาดใหญ่และสาธารณูปโภคต่างๆทำให้สูญเสียทั้ง
ทางเศรษฐกิจและกำลังคน การเสื่อมอำนาจของเขมรทำให้กลุ่มคนไทยในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งตอนบนและ
ตอนล่างตง้ั รฐั อสิ ระขน้ึ มาได้
2) การสร้างความสัมพันธ์กับจีน ในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราชเป็นระยะที่กุบไลข่าน จักรพรรดิ
ราชวงศ์หยวนหรือมองโกลปกครองจีน และขยายอำนาจเข้ามาในเอเชีย พ่อขุนรามคำแหงมหาราชจึงติดต่อกับจีน
ในระบบบรรณาการ ทำให้จนี ยอมรบั สุโขทยั และไมข่ ัดข้องทส่ี ุโขทยั จะขยายอำนาจออกไปโดยไมก่ ระทบกระเทือน
จีน
2. การเมืองสมยั สโุ ขทยั
ประวัติศาสตร์อาณาจักรสุโขทัยตลอดสมัย แบ่งเป็น 2 ระยะ ระยะแรกประมาณ พ.ศ. 1792 - 1921 เป็นสมัยที่
สุโขทัยมีฐานะเป็นรัฐอิสระ ระยะที่ 2 นับจากหลัง พ.ศ.1921 - 2006 เป็นสมัยที่สุโขทัยตกเป็นประเทศราชของ
อาณาจักรอยุธยาโดยมชี ่วงเวลาส้ันๆ ทส่ี ามารถแยกตวั เป็นอสิ ระได้
อาณาจกั รสโุ ขทยั แผ่ขยายอาณาเขตครั้งสำคญั ใน 2 สมยั ไดแ้ ก่ ครั้งแรกในสมัยพ่อขนุ รามคำแหงมหาราช
จารึกหลักที่ 1 ระบุว่า สุโขทัยมีอาณาเขตครอบคลุมจากตะวันตกของลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาต่อลงไปถึงเมือง
นครศรีธรรมราชและสุดคาบสมุทรมลายู ทางตะวันตกถึงเมืองหงสาวดี เมาะตะมะ และตะนาวศรี ทาง
ตะวันออกเฉียงเหนอื ถึงฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงในเขตเมืองเวียงจันทน์และหลวงพระบาง ส่วนครั้งที่ 2 ในสมัยพระมหา
ธรรมราชาที่ 1 (ลิไทย) อาณาเขตของสุโขทัยแผ่ขยายออกไปได้เกือบครึ่งหนึ่งของสมัยพ่อขนุ รามคำแหงมหาราช
จารกึ หลกั ที่ 8 ระบวุ ่า อาณาจักรสโุ ขทยั สมยั พระมหาธรรมราชาที่ 1 ครอบคลุมจากแมน่ ำ้ ปงิ ไปทางทิศตะวันออก
ถึงแม่น้ำน่านและแม่นำ้ ป่าสกั และจากหลวงพระบาง น่าน แพร่ ลงไปทางใต้ถึงเมืองพระบาง (นครสวรรค์) จะเห็น
ได้ว่าอาณาเขตของอาณาจักรสุโขทยั มีความไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับพระปรีชาสามารถและอำนาจทางการเมืองของ
พระมหากษัตรยิ แ์ ตล่ ะพระองค์
ภาพ 4 พระบรมราชานุสาวรยี ์พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ผทู้ รงทำนบุ ำรุงอาณาจักรสโุ ขทยั ใหเ้ จรญิ รุง่ เรอื ง
ทม่ี า : http://www.remawadee.com/sukhothai/KingRamkhamhaeng.html
สบื คน้ เมอื่ : 25 เมษายน 2562
ในสมัยสโุ ขทยั หัวเมืองต่างๆ ไดร้ วมตัวกันอย่างหลวมๆ ความสมั พันธ์ระหวา่ งพระมหากษัตรยิ ก์ บั เจ้าเมือง
ในอาณาจักรเป็นลักษณะความสัมพันธแ์ บบเครอื ญาติ ดังน้ันความสมั พันธร์ ะหว่างเมอื งสุโขทัยกบั หัวเมืองจึงข้ึนอยู่
กับพระมหากษัตริย์สุโขทัยแต่ละพระองค์เป็นสำคัญ เมื่อพระมหากษัตริย์ที่ทรงพระปรีชาสามารถ สวรรคต หัว
เมืองต่างๆ ที่เคยขึ้นกับสุโขทัยก็จะแยกตัวเป็นอิสระ ดังเช่นท่ีปรากฏหลังสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช หัวเมือง
ต่างๆ ของอาณาจกั รสุโขทัยแยกตัวออกไปเกือบทงั้ หมด นอกจากนี้ ความไมม่ ีเสถยี รภาพในการเมืองการปกครอง
ของสุโขทัยยังเปดิ โอกาสให้อาณาจักรข้างเคียงเข้ามาแทรกแซงไดง้ า่ ย ดงั ทีอ่ าณาจักรอยธุ ยาไดแ้ ทรกแซงการเมือง
ของอาณาจักรสุโขทัยตลอดช่วงพุทธศตวรรษที่ 20 จนกระทั่งอาณาจักรอยุธยาสามารถผนวกสุโขทัยได้อย่าง
สมบูรณใ์ น พ.ศ. 2006
ภาพ 5 แผนที่แสดงอาณาเขตของอาณาจกั รสุโขทัยสมยั พ่อขนุ รามคำแหงมหาราช
ทีม่ า : https://darakiki.blogspot.com/2019/09/blog-post.html
สบื คน้ เมอ่ื : 25 เมษายน 2562
3. เศรษฐกจิ สมยั สโุ ขทัย
พ้ืนฐานทางเศรษฐกจิ ของอาณาจกั รสโุ ขทัยข้ึนอยู่กับการเกษตร การค้า และหัตถกรรม
1. การเกษตร อาณาจกั รสโุ ขทัยมพี ้นื ฐานหลกั ทางเศรษฐกิจอยู่ทกี่ ารเกษตร แต่สโุ ขทยั ตง้ั อยู่บนท่ีราบเชิง
เขา ซง่ึ เปน็ ที่ลาดมีปัญหาในการกกั น้ำเพ่ือใชใ้ นการบริโภคและการเพาะปลกู การเกษตรของสโุ ขทยั จงึ ต้องใช้ระบบ
ชลประทานเข้ามาช่วยเพ่อื ควบคุมน้ำทไ่ี หลบา่ จากบริเวณภูเขา โดยสร้างแนวคนั ดนิ และสร้างทำนบก้ันน้ำ สำหรับ
ในเขตที่ลุ่มมีการสร้างเหมืองฝายและขุดคูคลองส่งน้ำเป็นแนวยาว ทำให้พื้นที่รอบเมืองสุโขทัยและพื้นที่ระหวา่ ง
เมอื งศรสี ชั นาลยั สโุ ขทัย และกำแพงเพชรเพาะปลูกได้ แต่เขา้ ใจว่าสโุ ขทัยมีผลผลิตพอเลยี้ งตนเองได้
2. การค้า การค้าของสุโขทัยแบ่งกว้างๆ ออกเป็นการค้าระหว่างเมืองต่างๆ กับการค้าต่างประเทศ
หลักฐานเกี่ยวกับการค้าภายในมีน้อยมาก ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราช กล่าวถึง ตลาดปสาน ซึ่งแปลว่า
ตลาดที่มีห้องหรือร้านเป็นแถวติดต่อกัน มาจากคำว่า บาซาร์ ในภาษาเปอร์เซีย แสดงว่าสุโขทัยในตลาดให้
ประชาชนมาซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าและผลผลิต ในด้านการค้าภายในอาณาจักรนั้น ผู้ปกครองสุโขทัยส่งเสริม
มาก เช่น ไม่มีการเก็บภาษีผ่านด่าน ดังปรากฏในศิลาจารึกว่า “เจ้าเมืองบ่เอาจกอบในไพร่ลูท่าง” คำว่า จกอบ
เป็นภาษาเขมร หมายถึง ภาษผี ่านด่านนอกจากนี้สุโขทัยยงั เปิดใหม้ กี ารค้าเสรี ดงั พบขอ้ ความในจารกึ วา่ “เพ่ือนจูง
วัวไปค้า ข่มี ้าไปขาย ใครจกั ใครค่ ้าช้าง ค้า ใครจักใคร่ค้าม้า ค้า ใครจักใคร่ค้าเงือนค้าทอง ค้า” สันนิษฐานว่าการค้า
ระหว่างอาณาจักรสุโขทัยกับดินแดนใกล้เคียงคงมีความเจริญรุ่งเรือง โดยสุโขทัยเป็นศูนย์กลางการค้าภายใน
ภูมิภาค นอกจากนย้ี ังมีการค้ากบั จีน เสน้ ทางการคา้ ภายนอกประเทศ ได้แก่ เส้นทางตะวนั ตกทางเมอื งเมาะตะมะ
และทางใต้ ได้แก่ อ่าวไทยและนครศรธี รรมราช
ภาพ 6 ภาพแสดงการค้าเสรีสมยั พอ่ ขุนรามคำแหงมหาราชตามขอ้ ความในจารึกหลกั ท่ี 1
ท่ีมา : https://th.wikipedia.org/wiki/พระบรมราชานสุ าวรีย์พ่อขุนรามคำแหงมหาราช
สืบค้นเมอื่ : 25 เมษายน 2562
3. หัตถกรรม หตั ถกรรมในแควน้ สุโขทัยท่ีสำคญั คือ การทำเคร่อื งสังคโลก ซง่ึ สร้างช่อื เสียงและทำรายได้
ให้แก่สุโขทัย เตาเผาสังคโลก เรียกว่า เตาทุเรียง แหล่งผลิตสังคโลกของสุโขทัยมีอยู่ 3 แหล่ง คือ เตา
ทุเรียงสโุ ขทัย เตาทเุ รียงป่ายาง ทางตะวนั ตกเฉียงเหนือของเมืองศรีสัชนาลยั และเตาทุเรียง เกาะน้อยท่ีศรีสัชนา
ลยั ริมแมน่ ำ้ ยมเปน็ แหลง่ ผลิตทีใ่ หญท่ ่ีสดุ
หลักฐานทางโบราณคดีพบว่า เตาเผาเครื่องสังคโลกที่พบที่สโุ ขทัยและศรีสัชนาลัยมีอายมุ ากกวา่ สุโขทยั
แสดงใหเ้ ห็นวา่ ชุมชนในสุโขทัยและศรีสัชนาลัยมพี ื้นฐานทางเศรษฐกิจดอี ย่กู อ่ นแลว้ ในระดบั หนึง่ การค้าเคร่อื งสังค
โลกคงเป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สำคัญของสุโขทัย และการค้นพบเครื่องสังคโลกร่วมกับเหรียญเงนิ ของจีนใน
ซากเรอื สำเภาที่อบั ปางในอ่าวไทย ระบุช่วงเวลาในสมยั อยุธยา แสดงใหเ้ ห็นว่าเม่อื สโุ ขทัยถกู ผนวกเข้าเปน็ สว่ นหนึ่ง
ของอยุธยาแล้ว เครอื่ งสังคโลกกย็ งั คงเปน็ สนิ คา้ ออกทส่ี ำคัญอย่ตู ่อมาถงึ สมัยอยุธยา
ภาพ 7 เตาทุเรียงท่ีขุดคน้ พบจำนวนมากในจงั หวัดสโุ ขทัย
ที่มา : http://www.info.ru.ac.th/province/sukhotai/natsttl.htm
สืบคน้ เมือ่ : 25 เมษายน 2562
4. สังคมสมยั สุโขทัย
สังคมไทยสมัยสุโขทัยมีรากฐานมาจากสังคมเผ่าหรือสังคมบ้าน แล้วคลี่คลายมาสู่สังคมเมืองและสังคม
ระดบั อาณาจักร เปน็ สังคมทีน่ บั ถอื พระพุทธศาสนา ประชากรมีจำนวนไม่มากและอาศยั อยู่ในพ้นื ทีไ่ ม่กว้างขวางนกั
สามารถตดิ ต่อกนั ได้สะดวก ผนู้ ำหรือผ้ปู กครองจงึ สามารถดแู ลประชาชนได้อยา่ งใกล้ชิด ความแตกตา่ งของวิถีชีวิต
ระหว่างผู้ปกครองกบั ประชาชนมไี มม่ ากนัก
อย่างไรกต็ าม สงั คมสุโขทัยยงั ไมม่ ีความซับซ้อน เป็นสังคมทผ่ี ู้คนมีวฒั นธรรมคล้ายคลึงกัน ชนชั้นในสมัย
สุโขทยั ประกอบด้วยพระมหากษตั ริย์ เจ้านาย ขุนนาง เป็นชนชน้ั ปกครอง ไพรแ่ ละทาส เป็นชนชั้นใตป้ กครอง และ
ยังมีพระสงฆ์เปน็ ชนชั้นทเ่ี ป็นท่เี คารพของชนชั้นอน่ื ๆ
5. การสิน้ สดุ อาณาจักรสุโขทัย
หลังจากที่พระมหาธรรมราชาที่ 4 (บรมปาล) สวรรคตใน พ.ศ. 1981 ทางอยุธยาไมต่ ้ังผูใ้ ดเป็น พระมหา
ธรรมราชาอีก แต่ให้ผู้ที่มีเชื้อสายรางวงศ์พระร่วงปกครองเมืองพิษณุโลกในฐานะประเทศราชของอยุธยา จนถึง
พ.ศ. 2006 สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถซึ่งมีเชื้อสายรางวงศ์พระร่วง เสด็จไปประทับที่เมืองพิษณุโลก ถือว่า
อาณาจกั รสโุ ขทยั ถกู รวมเขา้ กบั อาณาจักรอยุธยาตั้งแตน่ น้ั
สาเหตุความเสอื่ มของอาณาจักรสโุ ขทัย ได้แก่
1. ปัจจยั ภายใน ที่สำคญั คือ
1) การแก่งแยง่ อำนาจของผ้นู ำ ปรากฏชัดเม่ือพระมหาธรรมราชาที่ 1 (ลิไทย) ยังทรงเป็นมหาอุปราช
ครองเมอื งศรสี ัชนาลัย ต้องทรงยกทพั ไปปราบศัตรูท่ีกรุงสุโขทยั แลว้ ปราบดาภิเษกขนึ้ เปน็ กษตั รยิ ์ และอีกครั้งเมื่อ
พระมหาธรรมราชาที่ 3 (ไสลือไทย) สวรรคต เกิดสงครามแย่งชิงราชสมบัติระหว่างพระยาบาลเมืองและพระยา
ราม
2) ความไม่เข้มแขง็ ของผู้นำ กษัตริยส์ ุโขทัยนอกจากพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ พ่อขุนรามคำแหงมหาราช
และพระมหาธรรมราชาที่ 1 (ลิไทย) แล้ว กษัตริย์สุโขทัยองค์อื่นๆ ล้วนแต่ขาดความเข้มแข็ง จนสุโขทัยตกอยู่ใน
อำนาจของอยธุ ยา
3) การถูกตัดเส้นทางการค้า เดิมสุโขทัยลำเลียงสินค้ามายังอ่าวไทยได้ แต่เมื่อมีการตั้งอาณาจักร
อยุธยาขึ้น เส้นทางการคา้ ผ่านไปตามแม่นำ้ เจ้าพระยาตอนล่างจึงถูกปิดกัน้ ไป เป็นผลให้สุโขทัยเกดิ ความอ่อนแอ
ทางเศรษฐกจิ
2. ปัจจัยภายนอก การขยายอำนาจขึ้นไปทางเหนือของอาณาจักรสุโขทัย โดยการใช้กำลังทหาร การ
แทรกแซงกิจการภายใน และการสร้างความสัมพันธ์ทางเครือญาติ ทำให้อาณาจักรสุโขทัยอ่อนแอลงเรื่อยๆ จน
ส้นิ สุดลง
6. แคว้นสุพรรณภูมิ (พทุ ธศตวรรษท่ี 18 – พ.ศ. 1893)
แคว้นสพุ รรณภูมิมศี ูนยก์ ลางการปกครองอยู่ท่ีเมืองสพุ รรณภูมิ ซงึ่ อยูร่ มิ ฝั่งแมน่ ้ำสุพรรณบุรีติดต่อกับอ่าว
ไทยได้สะดวก เมืองนี้ยังปรากฏชื่ออยู่ในจารึกหลักที่ 1 ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ซึ่งทำขึ้นเมื่อ พ.ศ.
1826
สุพรรณภูมเิ ปน็ แคว้นขนาดใหญ่ มเี มอื งในล่มุ นำ้ น้อย ท่าจีน แมก่ ลอง เพชรบุรี อย่ใู นอำนาจ เมืองสำคัญ
ได้แก่ เมืองแพรกศรีราชา (อยู่ในจงั หวดั ชยั นาท) เมอื งสิงหบ์ ุรี เมอื งราชบุรี และเมอื งเพชรบรุ ี สำหรับเมืองเพชรบุรี
นี้เป็นเมืองท่าติดต่อค้าขายกับแคว้นทางใต้และต่างประเทศ จดหมายเหตุของจีนระบุว่าใน พ.ศ. 1777 มีทูต
สุพรรณภมู เิ ดินทางออกจากเพชรบุรไี ปติดต่อกบั จนี
ชาวสุพรรณภูมิส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท ซึ่งรับอิทธิพลจากแคว้นนครชัยศรี มีการ
สรา้ งพระพุทธรปู ท่วี ดั ปา่ เลไลยก์ในจงั หวัดสุพรรณบรุ ี พระสถูปเจดยี ์ท่ีเมืองแพรกศรรี าชาหรอื สวรรคบุรีในจังหวัด
ชัยนาท แต่ก็ยังมีชาวสุพรรณภูมิบางส่วนที่นับถือนิกายมหายาน ดังปรากฏหลักฐาน เช่น การสร้างปรางค์แบบ
ลพบรุ ีทว่ี ดั มหาธาตุ จังหวัดสุพรรณบุรี
ภาพ 8 พระพทุ ธรูปท่วี ดั ปา่ เลไลยก์ จังหวดั สพุ รรณบรุ ี
ทม่ี า : https://www.thailandtopvote.com/ท่ีเทย่ี ว/ที่เท่ยี ว-77-จงั หวัด/43980/
สบื ค้นเมื่อ : 25 เมษายน 2562
ตอนปลายพทุ ธศตวรรษที่ 19 พระเจา้ อ่ทู องได้สรา้ งความสมั พนั ธอ์ นั ดกี ับแควน้ สพุ รรณภมู ิและแคว้นละโว้
นำไปสู่การรวมแคว้นทั้งสอง และสถาปนาอาณาจักรอยุธยาขึ้นใน พ.ศ. 1893 ชื่อเมืองสุพรรณภูมิมาเปลี่ยนเปน็
สุพรรณบรุ ตี ้งั แต่เมอ่ื ยงั ไม่พบหลักฐานยืนยัน แต่เมื่อสมเดจ็ พระบรมราชาธริ าชที่ 1 (ขุนหลวงพ่องว่ั ) ข้นึ เสวยราชย์
ใน พ.ศ. 1913 พระราชพงศาวดารกรุงเก่าฉบับหลวงประเสริฐฯ บันทึกว่า “....ครั้นถึงศักราช 732 จอศอ สมเด็จ
พระราชาธริ าชเจ้าเสดจ็ มาแต่เมอื งสุพรรณภูมิ ข้ึนเสวยราชสมบตั ิพระนครศรีอยุธยา....” นับเป็นหลกั ฐานชิ้นแรกท่ี
เรียกสพุ รรณภมู วิ า่ สุพรรณบุรี
7. อาณาจกั รอยธุ ยา (พ.ศ. 1893 - 2310)
2.1 การสถาปนาอาณาจักรอยธุ ยา
พระเจา้ อ่ทู องสถาปนากรงุ ศรอี ยุธยาเปน็ ราชธานใี น พ.ศ. 1893 แลว้ เสวยราชยเ์ ปน็ ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์อู่
ทองแห่งอาณาจกั รอยุธยา ทรงพระนามวา่ สมเดจ็ พระรามาธบิ ดีท่ี 1
พระราชพงศาวดารกรุงเก่าฉบบั หลวงประเสริฐฯ กล่าวว่า พระพทุ ธรูปวัดพระนญั เชิงสรา้ งใน พ.ศ. 1867
ก่อนต้งั กรุงศรีอยธุ ยาถงึ 26 ปี แสดงวา่ บรเิ วณนีน้ า่ จะเป็นเมืองมาก่อน ส่วนพระราชประวัตขิ องพระเจ้าอู่ทองก็ยัง
คลุมเครือหาข้อสรุปไม่ได้ แต่สันนิษฐานวา่ พระเจ้าอู่ทองมีความสมั พันธ์อันดีกับแคว้นละโว้และแคว้นสุพรรณภมู ิ
จนสามารถรวมแควน้ ท้ังสองต้ังเป็นอาณาจักรอยุธยาขึ้น
ภาพ 9 การวาดกรุงศรอี ยุธยา ฝีมือชาวฮอลนั ดาท่ีเขา้ มาสมยั สมเดจ็ พระนารายณ์มหาราช
ทีม่ า : https://pantip.com/topic/30465369
สบื ค้นเมอ่ื : 25 เมษายน 2562
กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีที่มีความเจริญรุ่งเรือง มั่นคง มั่งคั่ง และมีความยิ่งใหญ่ในภูมิภาคเอเชีย
ตะวันออกเฉยี งใต้ นานถงึ 417 ปี ด้วยมปี ัจจัยสนบั สนนุ ดังน้ี
1. ปัจจัยภายใน
1) กรุงศรีอยุธยามีภูมิสถานอันเหมาะสม คือ ที่ตั้งเมืองมีแม่น้ำล้อมรอบ 3 ด้าน ได้แก่ แม่น้ำลพบุรี
ทางด้านเหนือ แม่น้ำเจ้าพระยาทางด้านตะวันตกและทางใต้ ส่วนทางด้านตะวันออกได้ขุดคูเชื่อมกับแม่น้ำ
(ปัจจุบันคือแม่น้ำป่าสัก) กรุงศรีอยุธยาจึงมลี ำน้ำล้อมโดยรอบ นับเป็นชัยภมู ิที่ม่ันคง ป้องกันการโจมตีของข้าศึก
ไดด้ ี
2) กรุงศรีอยุธยามีดินดีและน้ำท่าอุดมสมบูรณ์ ทำการเกษตรได้ผลดีมาโดยตลอด สัตว์น้ำธรรมชาติ
เช่น ปลา ก็มชี กุ ชุม จงึ ไม่ขาดแคลนอาหาร
3) กรุงศรีอยุธยาตั้งอยู่บริเวณที่ราบภาคกลาง มีลำน้ำสายต่างๆ จากทางเหนือไหลผ่านไปลงทะเลยัง
อ่าวไทย จึงสามารถควบคมุ เสน้ ทางคมนาคม เส้นทางการค้า และเส้นทางยุทธศาสตร์ระหว่างรัฐที่อยูเ่ หนือขึ้นไป
ตอนในกบั เมืองท่าชายฝัง่ ทะเล
2. ปจั จยั ภายนอก ในช่วงเวลาน้ันเขมรหมดอิทธพิ ลท่ีเคยมีในดนิ แดนไทย จนกระท่งั ไม่สามารถต้านทาน
กองทพั ไทยทีเ่ ข้าไปโจมตีเขมรในสมยั สมเดจ็ พระรามาธิบดีที่ 1 ได้
2.2 การเมืองสมัยอยุธยา
ในสมยั อยุธยาตอนตน้ (พ.ศ. 1893 - 1991) สมเดจ็ พระรามาธิบดีที่ 1 ทรงขยายอำนาจไปยงั เขมรยดึ เมอื ง
นครธมของเขมรได้ใน พ.ศ. 1896 แตย่ ังรักษาสมั พันธไมตรีกับอาณาจักรสุโขทัยแม้จะยึดเมืองพิษณุโลก (ชัยนาท)
ของสุโขทัยไปไดแ้ ต่กย็ อมคืนให้
หลงั สมเดจ็ พระรามาธิบดที ่ี 1 สวรรคต สมเด็จพระราเมศวร พระราชโอรสครองราชยไ์ ดป้ ีเดยี วก็ถกู สมเด็จ
พระบรมราชาธิราชท่ี 1 (ขนุ หลวงพอ่ ง่วั ) จากเมืองสุพรรณภูมยิ กทัพมาชงิ ราชสมบัตแิ ละต้งั ราชวงศ์สุพรรณภูมิข้ึน
สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 ทรงขยายอำนาจไปทางเหนือยึดสโุ ขทัยเป็นประเทศราชได้ใน พ.ศ. 1921 และทำ
สงครามกบั อาณาจกั รล้านนา
ในชว่ ง พ.ศ. 1931 - 1951 ราชวงศ์อทู่ องกลับมามีอำนาจอกี ในสมัยสมเด็จพระราเมศวร (ครองราชย์คร้ัง
ท่ี 2 ) และสมเดจ็ พระรามราชาธริ าชพระราชโอรส หลังจากนัน้ ราชวงศ์สุพรรณภูมิก็กลับครองอำนาจมาจนถึงสมัย
สมเด็จพระมหินทราธิราช พ.ศ. 2111 - 2112 ราชวงศ์สโุ ขทัยจึงข้นึ มามอี ำนาจ
การเมืองสมัยอยุธยาตอนต้นมีการปล่อยให้เมืองลูกหลวง ซึ่งพระบรมวงศานุวงศ์เป็นเจ้าเมืองมอี ิสระใน
การปกครองตนเอง จึงเป็นช่องทางให้เกิดการสะสมกำลังคนและสรา้ งไมตรกี ับเมืองอื่นเพ่ือแข็งข้อเป็นอิสระจาก
เมืองหลวง หรอื ไม่ก็ยกกำลังมาชงิ ราชสมบตั เิ มือ่ ส้นิ สมัยกษตั รยิ อ์ งคก์ อ่ น
การปฏิรูปการปกครองในสมยั สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ แสดงถึงความพยายามของพระมหากษัตริย์ใน
การควบคุมอำนาจและบทบาททางการเมอื งของพระบรมวงศานวุ งศ์ ขณะที่กลุม่ เจา้ นายถกู ลดอำนาจทางการเมือง
แต่กลมุ่ ขุนนางกลับไดร้ ับการเสรมิ สรา้ งให้มคี วามเขม้ แข็งม่ันคง เพื่อถว่ งดลุ อำนาจของพระบรมวงศานุวงศ์ กล่มุ ขุน
นางกลายเป็นสถาบันการเมืองที่เข้มแข็งและมีบทบาททางการเมืองสูงมาก จนสามารถชิงอำนาจจาก
พระมหากษัตริย์ได้ในเวลาต่อมา หลังจากเสียกรุงเสียอยุธยาครั้งที่ 1 ใน พ.ศ. 2112 ไม่นานอยุธยาค่อยๆ ฟื้นฟู
กลับคืนสู่ความมีเสถียรภาพและความมั่นคงทางการเมืองในสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช ด้วยความ
ช่วยเหลือของพระราชโอรสทั้งสองพระองค์ คือ สมเด็จพระนเรศวรกับสมเด็จพระเอกาทศรถ อยุธยาประกาศ
อิสรภาพจากพม่าใน พ.ศ. 2127 และได้ทำสงครามต่อต้านการรุกรานของพม่าได้ชัยชนะสงครามครั้งสำคัญ คือ
สงครามยุทธหตั ถใี น พ.ศ. 2135 ทำใหก้ รุงศรีอยธุ ยาไมม่ กี องทพั ข้าศึกมาโจมตเี มอื งหลวงต่อมาอกี นานถงึ เกือบสอง
ศตวรรษ
ภาพ 10 ภาพจติ รกรรมสมเดจ็ พระนเรศวรมหาราชทรงกระทำยุทธหตั ถกี บั พระมหาอุปราชา พ.ศ. 2135
ทม่ี า : https://www.silpa-mag.com/this-day-in-history/article_26128
สืบคน้ เมอ่ื : 25 เมษายน 2562
สภาพการณ์ทางการเมืองของอาณาจักรอยุธยาในสมยั สมเด็จพระนเรศวรมหาราช (พ.ศ. 2133 – 2148)
มีความเปน็ ปกึ แผ่น ศนู ย์กลางอำนาจที่เมืองหลวงมีความมั่นคง ทำใหเ้ จา้ เมืองไม่มโี อกาสส่ังสมกำลังยกกองทัพมา
แย่งชิงอำนาจทีก่ รุงศรีอยธุ ยา พระบรมวงศานุวงศ์ถูกจำกัดอำนาจและบทบาท นอกจากบางพระองค์ที่ทรงไวว้ าง
พระราชหฤทัย ส่วนขุนนางถูกควบคุมด้วยระเบียบและการบังคับบัญชาที่เข้มงวดเด็ดขาดพระราชอำนาจและ
สถานภาพของพระมหากษัตรยิ จ์ งึ สูงมาก
อย่างไรกต็ าม เสถียรภาพทมี่ ั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริยอ์ ยุธยาดำรงอยู่ช่ัวระยะเวลาหนึ่งจนถึงสมัย
สมเด็จพระเจา้ ทรงธรรม (พ.ศ. 2154 – 2171) ทรงขึน้ เสวยราชย์โดยการสนบั สนุนของเหล่าขุนนาง ทำให้พระองค์
ทรงถ่วงดลุ อำนาจทางการเมืองระหวา่ งกลุม่ ขนุ นางด้วยกัน โดยทรงอนุญาตให้ขุนนางแสวงหาผลประโยชน์อย่าง
กว้างขวางจากการค้ากับต่างประเทศ เท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้ขุนนางกลุ่มต่างๆ แสวงหาความมั่งคั่งและ
อำนาจ ขณะเดียวกันกบั ท่ีภาวะสงครามที่อยุธยาตอ้ งเผชิญมาหลายทศวรรษได้ยุติลง สง่ ผลใหก้ ารค้าต่างประเทศ
ของอยุธยาฟื้นตัวสูภ่ าวะปกติ ขุนนางผู้ใหญ่สามารถสะสมโภคทรพั ย์จนมีฐานะม่ังคั่ง เกิดการรวมกลุม่ เพ่ือพิทักษ์
ปกป้องผลประโยชน์
วิกฤตการณ์ทางการเมอื งเกิดขึ้นเมื่อสิน้ สมัยสมเดจ็ พระเจา้ ทรงธรรม ในช่วงระหวา่ ง พ.ศ. 2171 - 2172
ขนุ นางกลุม่ ตา่ งๆ ไดต้ อ่ สแู้ ย่งชงิ อำนาจกันจนกระทงั่ ในท่ีสุดออกญากลาโหมสามารถปราบปรามขุนนางกลุ่มต่างๆ
พรอ้ มท้ังปลดพระอาทิตยวงศ์ออกจากราชสมบัติ แล้วปราบดาภิเษกเปน็ สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง (พ.ศ. 2172 –
2199)
สมเด็จพระเจา้ ปราสาททองและสมเด็จพระนารายณม์ หาราชมกี ารควบคมุ ขนุ นางอยา่ งเข้มงวดดว้ ยวิธีการ
ตา่ งๆ และมกี ารรับขนุ นางชาวต่างชาตเิ ขา้ รบั ราชการ
สมัยอยธุ ยาตอนปลายมีการแย่งชงิ ราชสมบัติเกือบทุกรัชกาล ผชู้ นะกจ็ ะไดเ้ ปน็ พระมหากษัตริย์และกำจัด
ฝา่ ยทพี่ ่ายแพ้ หมนุ เวียนเช่นนจ้ี นกระท่งั สน้ิ สุดสมยั อยุธยาใน พ.ศ. 2310
2.3 เศรษฐกิจสมัยอยธุ ยา
พื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ก่อให้เกิดรายได้หลักของอาณาจักรอยุธยาขึ้นอยูก่ ับการเกษตร การค้า และการ
เก็บภาษอี ากร
1. การเกษตร เปน็ กจิ กรรมทางเศรษฐกจิ ทส่ี ำคัญของอยธุ ยา ประชาชนส่วนใหญเ่ ป็นชาวนา ข้าวเปน็ พชื ท่ี
สำคัญที่สุด การปลูกข้าวทำกันในบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่และความ
เออ้ื อำนวยของธรรมชาติทำให้การปลกู ข้าวในแถบน้ไี ด้ผลิตผลมาก
นอกจากเศรษฐกิจของอยธุ ยาจะอาศยั ผลิตผลจากขา้ ว รฐั ยังมีรายได้จากอากรค่านา ซึ่งประชาชนจะจ่าย
เปน็ ขา้ วเปลือกให้แก่ฉางหลวงทุกปี เรียกวา่ หางข้าว ไมม่ ีหลกั ฐานแนช่ ดั ว่าในสมยั อยุธยาตอนตน้ เก็บในอตั ราไร่ละ
กีถ่ ัง ต่อมาในสมยั สมเดจ็ พระนารายณ์มหาราชเปลย่ี นจากการเกบ็ หางข้าวมาเกบ็ เปน็ เงนิ โดยเกบ็ ไร่ละ่ สลงึ
ขา้ วยงั เปน็ สินค้าสง่ ไปขายต่างประเทศอีกดว้ ย ปรากฏหลักฐานว่าอยุธยาส่งข้าวและพืชพนั ธธ์ุ ัญญาหารไป
ขายท่มี ะละกา บริษทั อนิ เดยี ตะวนั ออกของฮอลันดาที่เมอื งปัตตาเวยี เปน็ ลูกคา้ ข้าวรายสำคัญ และมีการสง่ ขา้ วขาย
ให้จนี ในสมัยอยุธยาตอนปลาย นอกจากนี้รัฐยงั เก็บขา้ วเปน็ เสบียงไวใ้ ชใ้ นเวลาสงคราม
2. การค้า การค้าภายในและการค้าต่างประเทศเป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สร้างความมั่งคั่งให้รัฐ ทั้ง
พระมหากษัตริย์ พระราชวงศ์ และขุนนาง
เนื่องจากเศรษฐกิจของอยุธยาเป็นแบบพอยังชีพ การค้าภายในจึงทำกันอย่างจำกัดแบบแลกเปลี่ยนซ้ือ
ขายระหว่างผู้มีผลิตผลอย่างหนึ่งกับผู้มีผลิตผลอีกอย่างหนึ่ง ประชาชนส่วนใหญ่ยังคงผลิตเครื่องยังชีพเกือบทกุ
ชนดิ ขนึ้ ใชเ้ อง การค้าภายในเปน็ ระบบแลกเปล่ียนสินค้าท่ีขาดแคลนภายในทอ้ งถ่นิ และระหว่างท้องถ่ินนอกจากนี้
ยังมีการนำเงนิ ตรามาใช้ซ้ือขายแลกเปลี่ยนสนิ ค้ากนั มากข้ึน
ในด้านการค้ากับต่างประเทศรัฐใช้วิธีผูกขาดการค้าโดยผ่านพระคลังสินค้า มีการกำหนดรายการสินค้า
ผูกขาดและสินค้าต้องห้าม แต่รัฐไม่ได้เข้าไปควบคุมการผลิตโดยตรง เพียงแต่ราษฎรต้องขายผลิตผลที่เป็น
สินค้าออกเกือบทัง้ หมดให้รัฐ และรัฐเป็นผู้ขายสินคา้ ต่างประเทศทุกชนิดให้แก่ราษฎร แต่ราษฎรสามารถซ้ือขาย
สนิ ค้าท่ีไม่ใช่สนิ คา้ สง่ ออกหรือสินคา้ ต้องห้ามได้คอ่ นข้างอสิ ระ
การคา้ ต่างประเทศของไทยสมัยอยธุ ยาผกู พันอยู่กับสินค้าประเภทของป่าเปน็ สำคัญ และมสี ินค้าประเภท
อน่ื ๆ เชน่ อาหาร แร่ เครอ่ื งสงั คโลก
การค้าที่เฟื่องฟูในสมัยอยุธยานำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม ทำให้ ชนช้ัน
ปกครองซึ่งเป็นผู้ดำเนินการค้ากับต่างประเทศมีความมั่งคั่งร่ำรวย มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี มีโอกาสได้ใช้ของ
ฟุ่มเฟือย และช่วยเสริมสรา้ งอำนาจทางการเมือง แต่สำหรับชนช้ันล่างในสังคมอยุธยาชวี ิตไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก
เพราะมีฐานะเป็นเพียงผ้ผู ลิตเท่านน้ั
ภาพ 11 เงนิ ตราในสมยั อยุธยา
ท่ีมา : https://money.kapook.com/view190402.html
สืบค้นเม่ือ : 25 เมษายน 2562
3. การเก็บภาษีอากร ราษฎรหรอื ไพรใ่ นสมัยอยุธยาจะมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับพระมหากษัตรยิ ์
หรือรัฐผา่ นการเสียภาษอี ากร โดยราษฎรหรือไพร่มีหน้าที่ที่จะตอ้ งเสียภาษีอากรให้พระมหากษัตริย์เป็นการตอบ
แทนที่พระองค์ได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ราษฎรเข้าไปทำมาหากินในที่ดินของพระองค์ เพราะตาม
ความคิดของสังคมไทยในสมัยนั้นถือว่าพระมหากษัตริย์ทรงเป็นเจ้าของที่ดินทั้งหมดในราชอาณาจักร นอกจาก
ภาษีอากรแล้ว รัฐจะมีรายได้จากจกอบ สวย ฤชา ภาษีหรือสินค้าขาเข้าและภาษีสินค้าขาออกจากการค้ากับ
ตา่ งประเทศ
2.4 สังคมสมยั อยุธยา
ในสมัยอยุธยา โครงสร้างทางสังคมเป็นแบบเจ้าขนุ มูลนาย มีการจัดระบบที่มีผลให้เกิดการแบ่งชนชัน้ ใน
สังคมเป็น 2 ระบบ อยา่ งชัดเจน คือ ระบบไพรแ่ ละระบบศกั ดนิ า
ระบบไพร่ เปน็ วธิ ีการทร่ี ฐั ควบคมุ แรงงานของประชาชนตามระดบั ช้นั โดยการใหม้ ูลนายระดบั ต่างๆควบคมุ ไพร่ทุก
คนจะต้องข้ึนทะเบยี นสังกัดกับหัวหน้าของตน ถ้าไพร่ไร้สังกัดจะถูกส่งเข้าเปน็ คนของหลวง คือสังกัดกรมกองใน
ราชธานมี ีอคั รมหาเสนาบดี เสนาบดี และขุนนางเป็นหวั หนา้ ควบคุม แยกเปน็ กรมตา่ งๆ ข้ึนตรงต่อพระมหากษัตรยิ ์
เมอื่ มกี ารปฏิรูปการปกครองในสงั คมสมัยสมเด็จพระบรมมาไตรโลกนาถ มีการรวมอำนาจเขา้ สู่ศูนย์กลาง
มากขึ้น เจ้านายและขุนนางตามหัวเมืองจะถูกควบคุมโดยเสนาบดีที่เมืองหลวง ไพร่ตามหัวเมืองจึงต้องขึน้ สังกดั
กรมกองในราชธานีด้วย ทำให้ไพร่ส่วนใหญ่กลายเป็นไพร่สังกัดกรมต่างๆ หรือเป็นไพร่หลวง ส่วนไพร่ที่
พระมหากษัตรยิ ์พระราชทานใหข้ ุนนาง เรยี กว่า ไพรส่ ม
ระบบศักดินา เป็นการจัดระเบียบทางสังคมด้วยการจำแนกฐานะทางสังคมของประชาชนตั้งแต่สูงสุด
จนถงึ ต่ำสดุ กำหนดหน้าท่ี ความรบั ผดิ ชอบ อภิสทิ ธ์ิ และสทิ ธิตา่ งๆ ทบ่ี ุคคลในแต่ละระดับช้นั ในสังคมสามารถจะมี
ไดต้ ามกฎหมาย โดยมีจำนวนทน่ี าและศกั ดินามากน้อยเปน็ เครอื่ งแสดงบง่ ชฐ้ี านะสูงต่ำตามลำดับ เชน่ เจา้ นายหรือ
พระบรมวงศานุวงศ์ กำหนดศักดินาระหวา่ ง 1,500 - 100,000 ขุนนางศักดินาระหว่าง 400 – 1,000 ข้าราชการ
หรือขนุ หม่นื ศักดินาต่ำกว่า 400 ลงมาพระสงฆ์ศักดนิ าระหวา่ ง 100 – 2,400
คนทุกคนและทกุ ระดับช้ันจะมีศกั ดินาประจำตวั ยกเวน้ พระมหากษตั ริยเ์ พยี งพระองคเ์ ดียวทรงเป็นสมมติ
เทพ เปน็ เจ้าชีวติ และเจ้าแผ่นดินอกี ทั้งทรงเป็นผูพ้ ระราชทานศกั ดนิ าให้แก่ข้าแผ่นดนิ ทกุ คน
สงั คมไทยสมยั อยธุ ยาแบง่ คนในสังคมออกเปน็ 2 ชนชนั้ ใหญๆ่ คือ ชนชั้นปกครองกบั ชนชนั้ ทีถ่ ูกปกครอง
1. ชนชนั้ ปกครอง ประกอบดว้ ย
1) พระมหากษัตริย์ มีฐานะเป็นผู้ปกครองและผู้นำสูงสุด ทรงมีหน้าที่ดูแลทุกข์สุขของไพร่ฟ้าอาณา
ประชาราษฎร์ รกั ษาความสงบเรยี บรอ้ ยของสังคมดว้ ยการตราพระราชกำหนดกฎหมาย จัดวางระเบียบสังคมและ
ตัดสินกรณีพิพาทต่างๆ ทำนุบำรุงพระศาสนาตลอดจนศิลปวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของสังคม และหน้าที่
สำคญั ทส่ี ดุ อกี ประการหนึ่งของพระมหากษตั รยิ ์ คอื ทรงเป็นผนู้ ำในการต่อสูป้ อ้ งกนั การรุกรานจากศัตรูภายนอก
2) พระราชวงศ์หรือเจ้านาย หมายถึง ผู้สืบเชื้อสายใกล้ชิดของพระมหากษัตริย์ซึ่งมีตำแหน่งลดหลั่นกันลงมา มี
หน้าที่ช่วยพระมหากษตั ริย์ในการปกครอง เจ้านายมีสิทธิเหนือสามัญชนหลายประการ เช่น ไม่ถูกเกณฑ์แรงงาน
ไม่ต้องเสียภาษี ไดร้ ับผลประโยชนจ์ ากไพร่ในสงั กดั และไดร้ ับพระราชทานเบ้ยี หวัดประจำปี เม่อื เจา้ นายมีคดีความ
ศาลกรมวงั เท่าน้นั ท่จี ะพิจารณาคดี
3) ขุนนางหรือข้าราชการ คือ กลุ่มสามัญชนที่ไดร้ ับราชการในตำแหน่งตา่ งๆ สามัญชนที่รับราชการและ
ไดร้ ับพระราชทานศกั ดินาตง้ั แต่ 400 – 10,000 จะไดร้ บั การยกย่องว่าเป็น ขนุ นาง ถา้ ศกั ดินาต่ำกวา่ 400 ยงั ไม่ถือ
วา่ เป็นขุนนาง
ขุนนางมอี ำนาจหน้าที่บังคบั บัญชากรมกองต่างๆ ที่ได้รับมอบหมาย ควบคุมไพรพ่ ล จัดเก็บภาษีจากไพร่
พลในสงั กัด และภาษีทอ่ี ยู่ในบังคับบัญชาของกรมกองรวมไปถงึ การพจิ ารณาอรรถคดีต่างๆ ท่ีอยใู่ นอำนาจของกรม
กองที่ตนเองบังคับบัญชา ในยามสงครามขุนนางต้องเกณฑ์ไพร่พลในกรมกองให้ครบตามจำนวนออกไปรบตาม
คำสั่งดว้ ย
รายได้หลักของขุนนางมาจากการปฏิบตั ิหน้าที่ เช่น ค่าธรรมเนียม ภาษีอากรที่เก็บจากประชาชนอาชีพ
ต่างๆ รวมทงั้ พอ่ ค้าชาวต่างชาติ ทีน่ ำเขา้ ท้องพระคลงั หลวง สว่ นทีเ่ หลือนำมาจัดแบ่งเฉล่ียกนั เอง
สำหรับสิทธิของขุนนางนัน้ ทั้งตัวขุนนางและครอบครัวได้รับการยกเว้นไม่ต้องถูกเกณฑ์แรงงาน ไม่ต้อง
เสียภาษี มีไพร่ในสังกัดตามฐานันดรศักดิ์ ไม่ต้องไปศาลเอง มีสิทธิใช้ทนายไปให้การในศาลแทน ขุนนางจะถูก
สอบสวนต่อเมื่อพระมหากษัตริย์ทรงอนุญาต ขุนนางมีสิทธิเข้าเฝ้าตามลำดับยศศักดิ์ มีเสมียนทนาย มีเครื่องยศ
ต่างๆ เช่น หีบหมากเงิน หีบหมากทอง ช้าง ข้าคน ที่ดิน แต่สิ่งเหล่านีจ้ ะต้องถวายคืนเมื่อถึงแก่กรรมหรือลาออก
จากราชการ
4) พระสงฆ์ เปน็ บคุ คลทมี่ ลี ักษณะพิเศษกว่าบคุ คลอืน่ ในสังคมไทย กลา่ วคือ เปน็ ผทู้ ม่ี ฐี านะอนั ศกั ด์ิสทิ ธใ์ิ น
สงั คม สามัญชนไมว่ ่าตำแหน่งฐานะใด หรือแม้แต่พระมหากษัตริยก์ ็ต้องให้ความเคารพพระสงฆด์ ้วยการกราบไหว้
คณะสงฆ์ยังดำรงฐานะเป็นผู้นำทางจิตใจของชนชั้นสามัญชนชั้นสูง สถาบันสงฆ์เป็นที่พึ่งพิงของคนทุกชนชั้นใน
สังคม ท้ังทางจิตใจและพิธีกรรมทุกๆ อย่างตัง้ แต่เกิดจนตาย เทศนาส่ังสอนอบรมศีลธรรมจรรยาและแนวทางการ
ดำเนนิ ชีวิต ตลอดจนเป็นแหลง่ ถา่ ยทอดศิลปวิทยาการหรือความรูแ้ ขนงตา่ งๆ
พระสงฆไ์ ด้รบั การยกเวน้ จากทางราชการไม่ต้องถูกเกณฑ์แรงงานหรือเข้าเวรทำงานให้มูลนายตลอดเวลา
ท่ีอุปสมบทอยู่ นอกจากนวี้ ัดต่างๆ มที ด่ี ินไร่นาซึง่ ผมู้ ีศรัทธาถวายไว้ เรยี กว่า ทด่ี ินกลั ปนา และมขี า้ พระคอยทำงาน
บนท่ดี นิ ของสงฆใ์ หเ้ กดิ ประโยชน์ ผลประโยชน์บนทีด่ นิ กลั ปนาน้ันวดั ไมต่ ้องเสียภาษี หลายวดั จึงม่ังคง่ั ร่ำรวย
2. ชนช้ันท่ีถูกปกครอง ประกอบดว้ ย
1) ไพร่หรือสามัญชน ในสังคมสมัยอยุธยา รัฐกำหนดให้ไพร่หรือสามัญชนทุกคนมีสังกัดอยู่ในการ
ควบคุมดแู ลของมลู นาย ต้องเสยี ภาษแี ละถูกเรยี กเกณฑแ์ รงงานรับใช้ในกจิ การของรฐั แต่ทง้ั นี้รัฐจะตอบแทนโดย
การให้ความคมุ้ ครองชวี ิต ทรัพย์สิน และสทิ ธิทไี่ พรพ่ ึงมีตามกฎหมาย
ไพร่ในสมยั อยธุ ยาแบง่ ได้เปน็ 2 ชนดิ คือ
ไพร่หลวง คือ ไพร่ที่สังกัดพระมหากษัตริย์แต่มิได้ทรงควบคุมเอง ทรงแบ่งปันแจกจ่ายให้ไปประจำกรม
กองตา่ งๆ และใหข้ นุ นางทีก่ ำกับกรมกองนัน้ ๆ เป็นผู้ดแู ลบงั คับบญั ชาแทนพระองค์ ไพร่หลวงจะต้องมาเข้าเวรรับ
ราชการตามกรมกองท่ตี นเองสงั กดั ตามกำหนดระยะเวลา คอื ปีละ 6 เดือน หรอื ท่เี รียกกนั วา่ เขา้ เดอื นออกเดือน
ไพร่สม เป็นไพร่ที่พระมหากษัตริย์พระราชทานให้แก่มูลนาย คือเจ้านายและขุนนาง ไพร่สมจึงเป็นไพร่
ของมูลนายโดยตรงมหี นา้ ที่คอยรับใชม้ ูลนายในกิจการตา่ งๆ
ในดา้ นสถานะและสทิ ธทิ างสงั คมของไพร่ซึง่ เปน็ คนสว่ นใหญข่ องสังคม มีหน้าทที่ ำการผลติ เพื่อเล้ียงสังคม
ผลติ ผลจากแรงงานไพร่เปน็ สินค้าสง่ ไปขายต่างประเทศ ไพรย่ งั ต้องถูกเกณฑ์แรงงาน เสยี ภาษีอากรให้แก่รัฐ และ
เปน็ ทหารในยามท่ีบ้านเมอื งมีศึกสงคราม หรือแม้เม่ือเกิดการแยง่ ชิงอำนาจในหมู่ชนชั้นปกครองกำลังไพร่พลของ
แต่ละฝ่ายนับเป็นส่วนสำคัญในการวัดฐานะอำนาจของเจา้ นายและขนุ นาง
ภาพ 12 ไพรส่ มัยสมเดจ็ พระนารายณม์ หาราช
ท่ีมา : http://huexonline.com/knowledge/19/151/
สืบคน้ เมอื่ : 25 เมษายน 2562
2) ขา้ หรอื ทาส เป็นกลุ่มคนท่ีมฐี านะต่ำทีส่ ดุ ของสังคม ถือเปน็ ทรพั ยส์ ินและสามารถตกทอดเปน็ มรดกและ
เป็นแรงงานทำหน้าทีร่ บั ใช้เจา้ นาย มูลนาย และราชการ ข้าหรือทาสแบ่งเปน็ หลายประเภท เช่น ทาสเชลย ทาส
สินไถ่ สำหรับการควบคุมข้าหรือทาสนั้นไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด ในสมัยอยุธยาถ้าถูกกำหนดศักดินาไว้เพียง 5
และถกู ควบคุมอย่างเครง่ ครดั โดยมีการตราเปน็ กฎหมายลกั ษณะทาส
ทาสทกุ ประเภท ยกเวน้ ทาสเชลย ความเป็นทาสมไิ ดถ้ าวรตลอดไป เพราะสงั คมอยธุ ยาเปดิ ชอ่ งทางให้ทาส
มีโอกาสที่จะเป็นไทได้ คือ เมื่อทาสนำเงินค่าตัวมาไถ่ถอนตนเองกจ็ ะเป็นอิสระ และอีกทางหนึ่ง คือ การหลุดพน้
ตามบทบญั ญัติกฎหมาย
สว่ นทาสเชลย รวมท้งั ลูกทาสเชลย ไม่มสี ทิ ธทิ ี่จะซ้ืออิสรภาพของตนเอง และไมม่ สี ิทธิอนื่ ๆ ในสงั คมด้วย
การแบ่งแยกชนชั้นต่างๆ ของสังคมอยุธยา ไม่ได้เป็นการแบ่งแยกอย่างตายตัว การเลื่อนชั้นทางสังคมจากชน
ชั้นหนึ่งไปสู่อีกชนชั้นหนึ่งเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ ถ้าเป็นผู้มีความรู้ความสามารถและทำความดีความชอบต่อ
บ้านเมืองโอกาสในการเลื่อนชั้นทางสังคมจะมีมากในภาวะที่บ้านเมืองมีศึกสงคราม เพราะทางเจ้านาย ขุนนาง
ขา้ ราชการ และไพร่ถูกเกณฑเ์ ข้ากองทพั มโี อกาสแสดงฝมี อื และความสามารถประกอบความดีความชอบได้มากกว่า
เวลาปกติ อย่างไรก็ตามโอกาสที่ไพร่จะได้เลื่อนฐานะมีน้อยมาก ชนชั้นสูงมีโอกาสที่จะเข้ารับราชการและเลื่อน
ฐานะให้สูงขน้ึ ได้มากกว่า
ภาพ 13 ขนุ นางกบั ไพรส่ มยั อยธุ ยา
ทม่ี า : https://www.trueplookpanya.com/learning/detail/31346
สืบค้นเม่ือ : 25 เมษายน 2562
2.5 ความเสอื่ มของอาณาจักรอยธุ ยา
ในสมัยสมเดจ็ พระท่นี ง่ั สรุ ิยาศน์อมรินทร์ (พระเจ้าเอกทัศ) ซ่ึงครองราชย์นาน 9 ปี กรงุ ศรีอยุธยาก็เสียแก่
พมา่ เปน็ ครั้งท่ี 2 ใน พ.ศ. 2310
ปัจจัยท่ีทำใหอ้ าณาจักรอยธุ ยาเสอ่ื มสลายลง ไดแ้ ก่
1. ปัจจัยภายใน ที่สำคัญคอื
1) การแยง่ ชงิ อำนาจทางการเมืองในหมู่เจ้านายและขุนนาง การรบพ่งุ แยง่ ชิงอำนาจกันทำให้เสียกำลังคน
และเม่ือชงิ อำนาจมาได้หรอื ต้งั ราชวงศ์ใหมไ่ ด้แล้ว กม็ ีการกำจดั ผทู้ ่ีมีความรู้ความสามารถของราชวงศ์ก่อนอีกด้วย
จงึ เป็นทางหน่งึ ที่ทำให้อยธุ ยาออ่ นแอลง
2) ความอ่อนแอของผู้นำ สมเด็จพระท่ีนั่งสุริยาศน์อมรินทร์ไมท่ รงพระปรีชาสามารถแต่ใคร่จะได้รับราช
สมบัติ จนพระอนุชา คือ สมเด็จพระเจ้าอุทุมพรต้องถวายให้ เมื่อเกิดศึกสงครามก็มิได้ทรงเตรียมการป้องกัน
บ้านเมอื งให้ดี จงึ เสยี กรงุ แก่พม่า
2. ปัจจัยภายนอก ได้แก่ การขยายอำนาจของพม่า ในระยะนั้นพม่ามีความเข้มแข็ง สามารถยกทัพมา
ล้อมกรุงศรอี ยุธยาตัง้ แต่ พ.ศ. 2308 จนฝ่ายไทยพ่ายแพใ้ น พ.ศ. 2310
8. อาณาจักรธนบุรี (พ.ศ. 2310 - 2325)
ใน พ.ศ. 2309 ก่อนเสียกรงุ ศรอี ยุธยาแกพ่ ม่าครั้งที่ 2 พระตาก (สิน) ซึ่งเข้ามาช่วยรกั ษาพระนครเหน็ ว่า
กรุงศรีอยธุ ยาจะต้องเสียแก่พมา่ แน่ จงึ นำกำลังทหารประมาณ 500 คน ตีฝ่าวงล้อมของพม่าหนไี ปทางตะวันออก
ไปตัง้ ม่ันทเี่ มอื งจนั ทบุรี เมือ่ รวบรวมผคู้ นและตอ่ เรือไดม้ ากพอ พระยาตากก็ยกกองทพั มาตพี ม่าท่ีธนบุรีและกรุงศรี
อยุธยาสามารถกู้เอกราชได้สำเร็จ พระยาตากปราบดาภิเษกเป็นกษัตริย์ทรงพระนามว่าสมเดจ็ พระบรมราชาที่ 4
แต่คนทว่ั ไปเรยี กพระองค์ว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินบา้ ง สมเด็จพระเจา้ กรงุ ธนบุรีบา้ งและต่อมาทรงไดร้ ับการยกย่อง
เปน็ สมเด็จพระเจ้าตากสนิ มหาราช
ภาพ 14 แผนทก่ี รุงธนบุรี สองฟากแม่น้ำเจา้ พระยา
ทม่ี า : https://alisuasaming.org/main/mlayubangkok18151/
สบื คน้ เมื่อ : 25 เมษายน 2562
สำหรับการต้ังราชธานีใหม่ สมเดจ็ พระเจา้ ตากสนิ มหาราชทรงเห็นวา่ กรงุ ศรีอยธุ ยาถกู ทำลายเสียหายมาก
จนบรู ณะไม่ไหว จงึ ทรงยา้ ยราชธานีมาตงั้ ท่เี มืองธนบรุ ี ซงึ่ มบี รเิ วณครอบคลุมทงั้ สองฝัง่ แม่นำ้ เจ้าพระยาเหตุผลกค็ อื
1. เมอื งธนบุรเี ปน็ เมืองหน้าด่านควบคุมการเดินเรอื ในอ่าวไทย จึงป้องกนั ไม่ใหห้ ัวเมืองทางเหนือซื้ออาวุธ
จากต่างชาตไิ ด้
2. เมอื งธนบรุ ตี ั้งอยู่ในทำเลที่จะทำการค้ากับต่างประเทศได้สะดวก และหากมขี ้าศึกมาโจมตีก็อาจหนีไป
ทางหัวเมอื งชายทะเลได้
3. เมืองธนบุรมี ีดินและนำ้ อดุ มสมบรู ณ์ทำการเกษตรไดผ้ ลดี
4. เมืองธนบรุ ีมีป้อมปราการทส่ี ร้างสมยั อยธุ ยาอยู่ 2 แหง่ แลว้ ใชป้ ้องกันขา้ ศกึ ทจี่ ะยกทัพมาทางเรอื ได้
5. เมอื งธนบุรมี ขี นาดไม่ใหญ่มากนกั เพราะเหมาะกับกำลังคนทม่ี อี ยู่
สมยั ธนบุรีเปน็ ระยะของการกอบกู้บ้านเมืองให้พ้นจากสภาพความแตกแยกทางการเมอื งภายในและมีศึก
สงครามเกิดขึ้นเกือบตลอดสมัย สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชและบรรดาชนชั้นนำไม่ว่าจะเปน็ พระบรมวงศานุ
วงศ์ที่ทรงแต่งตั้งขุนนางทุกระดับชั้นและร่วมกันต่อสู้และแก้ไขปัญหาต่างๆ เพื่อนำบ้านเมืองกลับสู่ความมั่นคง
โดยเร็ว โดยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชพยายามเน้นพระองค์ เป็นธรรมราชาเพื่อสร้างความเป็นผู้นำของ
พระองค์ และทรงส่งคณะทตู ไปจีนหลายคร้ังเพื่อทำให้จนี ยอมรับฐานะพระมหากษัตรยิ ข์ องพระองคจ์ นถงึ ปีสุดท้าย
ในรัชสมยั จึงทรงประสบความสำเรจ็
ตอนปลายสมัย เกิดกบฏขึ้นที่เขมร สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้กรมขุนอินทรพิทักษ์
พระราชโอรส พร้อมดว้ ยสมเดจ็ เจา้ พระยามหากษตั รยิ ์ศึกและเจา้ พระยาสรุ สีห์นำกองทัพไปปราบกบฏ ทำให้กำลัง
ส่วนใหญ่ไมไ่ ดป้ ระจำอยู่ในกรุง จงึ เกิดจลาจลข้ึนทก่ี รงุ เก่าแลว้ ลุกลามกลายเปน็ กบฏพระยาสรรค์ หัวหน้ากบฏเข้า
ยึดกรุงธนบุรีและบังคับให้พระองค์ทรงผนวช พระยาสุริยอภัย เจ้าเมืองนครราชสีมาได้นำกองกำลังลงมา
ปราบปรามกบฏและยึดกรุงธนบุรีไว้ได้แล้วอัญเชิญสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกให้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็น
พระมหากษัตริย์
9. อาณาจักรรัตนโกสินทร์ (พ.ศ.2325 - ปัจจุบัน)
2.1 การสถาปนากรงุ รัตนโกสนิ ทร์
เมื่อสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกขึ้นครองราชย์เป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี มีพระนามปรากฏ
ตอ่ มาว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และภายหลังได้รบั การยกย่องว่าเปน็ พระบาทสมเด็จ
พระพุทธยอดฟ้าจฬุ าโลกมหาราช พระองคโ์ ปรดเกล้าฯ ใหย้ ้ายราชธานีมาตั้งท่ีตำบลบางกอก ทางฟากตะวันออก
ของแม่น้ำเจ้าพระยาตรงข้ามกับฝั่งพระราชวังเดิมของกรุงธนบุรี พระราชทานนามว่า กรุงเทพมหานครบวร
รัตนโกสินทรฯ์ ชื่อนี้ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยูห่ ัวทรงเปลี่ยนสร้อยนามเป็น “อมรรัตนโกสินทร์”
และเน่ืองจากเปน็ ราชธานีของอาณาจักรรตั นโกสินทร์ จึงมชี ่อื เรียกอีกอยา่ งหน่ึงว่า “กรุงรตั นโกสนิ ทร์”
เหตุผลที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชย้ายราชธานี เพราะทรงเห็นข้อบกพร่องของ
กรุงธนบุรี ดงั นี้
1. กรงุ ธนบรุ เี ปน็ เมืองอกแตก คือ ประกอบดว้ ยอาณาเขตทง้ั สองฝ่งั แม่น้ำเจ้าพระยา เมื่อเกิดสงครามจะ
เกดิ ความลำบากในการลำเลยี งอาหารและอาวธุ ยุทโธปกรณ์ข้ามแม่นำ้
2. กรงุ ธนบรุ ตี ้งั อย่บู นท้องคุ้ง น้ำเซาะตลงิ่ พังไปเรื่อยๆ ประกอบกับพระราชวังเดมิ อยูใ่ นทีค่ บั แคบเพราะมี
วดั ขนาบอยู่ท้ังสองข้าง
เหตผุ ลท่ีทรงเลอื กตำบลบางกอกเปน็ ท่ตี ง้ั ราชธานใี หม่ ไดแ้ ก่
1. ที่ตั้งราชธานีใหม่สามารถใช้แม่น้ำเจ้าพระยาเป็นคูเมืองด้านตะวันตกและด้านใต้ ส่วนคูเมืองด้าน
ตะวันออกและดา้ นเหนอื มคี ลองคเู มอื งเดิมอยูแ่ ลว้ หากบา้ นเมืองขยายตวั ขึ้นกข็ ุดคลองใหม่ได้
2. ฝั่งพระนครมีอาณาบริเวณกว้างขวาง ขยายบา้ นเมอื งออกไปไดส้ ะดวก
2.2 การเมืองสมัยรัตนโกสนิ ทร์
ลักษณะทางการเมืองสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีลักษณะของความร่วมมือและการประนีประนอมทาง
การเมือง โดยรัชกาลที่ 1 ทรงเคยรับราชการเป็นขุนนางมาก่อนและทรงมคี วามผูกพันทางเครอื ญาติกบั ขุนนาง
ตระกูลอื่นๆ จึงเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้ลักษณะการเมืองในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นดำเนินไปภายใต้ลักษณะ
ของความร่วมมือและการประนีประนอม
ในสมัยรัชกาลที่ 2 ได้ทรงแต่งตั้งพระบรมวงศานุวงศ์กำกับราชการกรมสำคัญๆ ทำให้เกิดการร่วมมือ
ระหว่างกันในหมพู่ ระบรมวงศานวุ งศแ์ ละขนุ นาง ดงั ท่กี รมหมื่นเจษฎาบดินทร์ได้ขึ้นครองราชย์ก็เป็นผลมาจากการ
ประนปี ระนอมและการตกลงร่วมกันระหว่างกลมุ่ พระบรมวงศานุวงศ์กับกล่มุ ขนุ นาง
นอกจากน้ีการที่พระมหากษัตริย์ทรงดำเนนิ นโยบายผ่อนปรนให้พระบรมวงศานุวงศ์และขุนนางสามารถ
ทำการค้ากับต่างประเทศได้ เปิดโอกาสให้แสวงหาโภคทรัพย์และความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจนับเป็นการตอบแทน
ความดีความชอบอย่างหนึ่งและยังมีผลต่อการรักษาสัมพันธภาพตลอดจนเป็นการสร้างดุลอำนาจทางการเมือง
ระหว่างพระมหากษตั ริยก์ บั กล่มุ พระบรมวงศานวุ งศแ์ ละกลมุ่ ขุนนางไปด้วย
ความมีเสถียรภาพและความมั่นคงของระบบการเมืองของกรุงรัตนโกสินทร์อันเกิดจากความร่วมมือการ
ประนปี ระนอมและการประสานประโยชนร์ ะหวา่ งกลมุ่ ผ้นู ำทำให้ไทยฟื้นฟสู ่คู วามม่นั คงและรุ่งเรืองอยา่ งรวดเร็ว
ในสมัยรัชกาลที่ 4 ไทยประสบปัญหาเผชิญหน้ากับการขยายอทิ ธิพลของชาติมหาอำนาจจักรวรรดินิยม
ตะวันตก ได้แก่ องั กฤษและฝรงั่ เศส เปน็ สาเหตุสำคญั ท่ที ำให้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพยายาม
ทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมอำนาจทางการเมืองและสังคมไทย เช่น โปรดเกล้าฯ ให้มีการแก้ไข
ระเบียบประเพณบี างอย่างท่ที รงเหน็ ว่าล้าสมยั ให้ประชาชนได้เข้าเฝ้าพระองค์อย่างใกล้ชิดขณะพระองค์เสด็จผ่าน
เวลาเข้าเฝ้าให้ขุนนางและข้าราชการสวมเสื้อ ให้ประชาชนถวายฎีการ้องทุกข์ได้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่าง
พระมหากษัตรยิ ก์ บั ประชาชนมคี วามใกลช้ ิดกนั มากกว่าแต่ก่อน
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยูห่ ัวเสด็จขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ. 2411 มีพระชนมพรรษาได้
เพยี ง 15 พรรษา โดยมีเจา้ พระยาศรีสุรยิ วงศ์เปน็ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ อำนาจการปกครองสว่ นใหญ่อยู่ใน
มือของขุนนางสกุลบุนนาค เห็นได้จากการแต่งตั้งวังหน้า เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์เรียกประชุมพระราชวงศ์และ
เสนาบดแี ต่งตงั้ กรมหมื่นบวรวไิ ชยชาญพระราชโอรสของสมเดจ็ พระปนิ่ เกลา้ เจ้าอยูห่ วั ให้ดำรงตำแหนง่ วังหน้าโดย
ไมค่ อยรับสนองพระบรมราชโองการตามประเพณี
ภาพ 15 สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)
ทมี่ า : https://www.baanjomyut.com/library_2/extension-1/chung_boonnak/index.html
สบื ค้นเม่ือ : 25 เมษายน 2562
ด้วยเหตุที่สภาพทางการเมืองภายในราชสำนักมีลักษณะดังกล่าว จึงทำให้รัชกาลที่ 5 ทรงตระหนักและ
ทรงพยายามดึงอำนาจรวมศูนย์เข้าสู่สถาบันพระมหากษัตริย์ เหตุการณ์วิกฤตการณ์วังหน้าใน พ.ศ. 2417 ก็เป็น
เหตกุ ารณ์ที่เกิดขึ้นจากความขัดแยง้ กล่าวคอื ไดเ้ กดิ การวิวาทขนึ้ ระหว่างฝ่ายวงั หลวงกับฝ่ายวังหน้า เหตุการณ์มี
ความรุนแรงถึงขนาดวงั หนา้ ต้องเสด็จล้ีภัยทางการเมืองไปอยูใ่ นสถานกงสุลอังกฤษ เหตกุ ารณ์คลี่คลายเมื่อวังหน้า
ยอมลดพระราชอำนาจลงและเสด็จไปประทับ ณ พระราชวังบวรสถานมงคล จนเสด็จทิวงคตใน พ.ศ. 2428
ตำแหนง่ วงั หนา้ ยกเลกิ ไปในสมยั รัชกาลที่ 5 โดยมีตำแหน่งสยามมกฎุ ราชกุมารข้ึนมาแทน
ใน พ.ศ. 2413 หลังจากเสด็จขึ้นครองราชย์ได้ 2 ปี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรง
วางรากฐานทางอำนาจดว้ ยการต้งั กรมทหารมหาดเล็กข้ึนเพือ่ สรา้ งฐานพระราชอำนาจของกษัตริย์ และในต้นพ.ศ.
2416 ได้ทรงออกพระราชบัญญัติหอรัษฎากรพิพัฒน์ รวมการเก็บภาษีเข้าสู่ศูนยก์ ลาง จึงเป็นการลิดรอนอำนาจ
ของกรมกองต่างๆ ที่เคยมีหน้าที่เก็บภาษีหลังพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจ้าอย่หู วั ทรงพยายามรวมอำนาจเขา้ สู่สถาบนั พระมหากษตั ริย์ ดว้ ยการตราพระราชบัญญตั ขิ นึ้ หลายฉบบั เป็นการ
ปฏิรูปด้านกฎหมาย การคลัง และสังคม แต่การปฏิรูปดังกล่าวก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างฝ่ายวังหลวงกับวงั
หน้า รัชกาลที่ 5 จึงต้องทรงชะลอการปฏิรูปในด้านต่างๆ จนกระท่ังกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญเสด็จทวิ งคตใน
พ.ศ. 2428 รชั กาลที่ 5 จึงทรงดึงอำนาจเข้าสสู่ ถาบนั พระมหากษตั ริย์ได้
ภาพ 16 กรมพระราชวังบวรวไิ ชยชาญ ในสมยั รชั กาลท่ี 5 เปน็ วงั หน้าองค์สดุ ทา้ ยของไทย
ท่มี า : https://www.komchadluek.net/news/today-in-history/385431
สบื ค้นเม่ือ : 25 เมษายน 2562
ต่อมากล่มุ เจ้านายและข้าราชการซง่ึ ไดร้ ับการศึกษาจากทวีปยุโรป ซงึ่ เรยี กว่า กลุม่ ก้าวหนา้ ร.ศ. 103 ได้
นำความกราบบังคมทูลต่อสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวให้ปรับปรุงการปกครองของประเทศให้เป็นแบบ
พระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ รัชกาลที่ 5 ทรงตอบว่าเมืองไทยในขณะนั้นขัดสนคนมีความรู้ และยังไม่
พร้อมที่จะปกครองภายใต้รัฐธรรมนูญสิ่งสำคัญสำหรับประเทศไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง แต่เป็นการ
ปฏิรูปการบรหิ ารราชการ
ในช่วงระหว่าง พ.ศ. 2417 - 2428 กลุ่มขุนนางเก่าเริ่มหมดบทบาททางการเมือง ขณะเดียวกัน พระ
ราชโอรสและพระอนุชาของรัชกาลท่ี 5 มีพระชนมายมุ ากขึ้น ต่างเป็นกำลังสำคัญที่จะชว่ ยในการบรหิ ารราชการ
ปรากฏว่าระหว่าง พ.ศ. 2418 - 2432 รชั กาลที่ 5 ทรงตัง้ พระอนชุ าหลายพระองค์ขึ้นทรงกรม นอกจากน้ีในช่วงนี้
พระองคย์ งั ทรงมีกำลงั ทหารมากข้ึน สถาบันพระมหากษตั รยิ ์จงึ มคี วามมั่นคง
ในสมัยรัชกาลที่ 6 เหตุการณ์สำคัญทางการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วงต้นรัชกาล คือ กบฏ ร.ศ. 130 (พ.ศ.
2454) เกิดขึ้นจากกลุ่มนายทหารหนุ่มและพลเรอื นกลุ่มหนึ่งได้ตั้งขบวนการที่ก่อการปฏิวัติเพื่อเปลี่ยนแปลงการ
ปกครองจากระบอบสมบรู ณาญาสทิ ธิราชยม์ าเป็นระบอบประชาธิปไตยแบบรฐั สภาสภา แต่ก็ประสบความล้มเหลว
เนอ่ื งจากถกู จบั กุมเสยี กอ่ น
หลงั กบฏ ร.ศ. 130 พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกลา้ เจ้าอยู่หวั ทรงพยายามชใี้ หเ้ หน็ วา่ ระบอบราชาธิปไตย
เหมาะสมท่ีสุดสำหรบั เมืองไทย ทรงช้ีใหเ้ ห็นความย่งุ ยากของการปกครองระบอบประชาธิปไตยและสาธารณรัฐไว้
ในพระราชนิพนธ์หลายเรื่อง ทรงปลุกความรู้สึกชาตินิยมโดยเน้นให้เห็นถึงความสำคัญของชาติ ศาสนา และ
พระมหากษัตริย์ ขณะเดียวกันก็ทรงพยายามพัฒนาความรู้ความคิดของพลเมืองให้มากขึ้น เช่น การตรา
พระราชบญั ญัติประถมศึกษา พ.ศ. 2464 และการให้สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นแก่วงการหนังสือพิมพ์
และทรงจัดตง้ั ดุสติ ธานเี พอ่ื ฝกึ ให้ขนุ นางและขา้ ราชการทดลองปกครองและบริหารราชการทอ้ งถิน่
ในสมัยรัชกาลที่ 7 ทรงสนับสนุนการปกครองที่มาจากประชาชน แต่พระองค์มีพระราชวินิจฉัยว่าการ
ปกครองระบอบนั้นจะต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยฝึกหัดประชาชนให้รู้จักใช้สิทธิในการออกเสี ยงควบคุม
กจิ การท้องถนิ่ เป็นลำดบั แรก กอ่ นทจี่ ะเข้ามาควบคุมกิจการของรฐั ในรปู ของรัฐสภา พระองคจ์ งึ ทรงให้ความสำคัญ
ต่อการปกครองส่วนท้องถิ่นในรูปของเทศบาลใน พ.ศ. 2470 ได้จัดตั้งคณะกรรมการเพือ่ ศึกษาปรับปรงุ แก้ไขการ
สุขาภบิ าลที่ตั้งขนึ้ ในสมัยรชั กาลท่ี 5 ใหเ้ ปน็ รปู เทศบาลมากข้นึ
รัชกาลท่ี 7 ทรงมีแผนท่ีจะพระราชทานรัฐธรรมนญู ปรากฏวา่ ในรชั กาลนมี้ กี ารรา่ งรัฐธรรมนญู ทั้ง 2 ฉบับ
แต่ยงั มผี ู้ไมเ่ ห็นด้วยกบั การท่จี ะทรงประกาศใช้ ด้วยเหน็ วา่ ยงั ไมถ่ งึ เวลา ควรใหป้ ระชาชนได้มีประสบการณ์ในการ
ปกครองตนเองมากกวา่ ทเ่ี ป็นอยู่กอ่ น แผนพัฒนาการปกครองของรัชกาลท่ี 7 สิน้ สดุ ลงเมอ่ื มกี ารเปลี่ยนแปลงการ
ปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ
เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 และมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยาม
ชวั่ คราวพทุ ธศกั ราช 2475 ในวนั ที่ 27 มถิ นุ ายน พ.ศ. 2475
ในช่วงเวลา 1 ปีหลังการปฏิวัติ พ.ศ. 2475 เป็นช่วงเวลาของการประนีประนอมทางการเมืองระหว่าง
คณะราษฎรกับกลุ่มเจ้านายและกลุ่มขุนนางเก่า โดยคณะราษฎรได้เชิญพระยามโนปกรณ์นิติธาดา (ก้อน
หุตะสงิ ห์) เป็นหัวหน้าคณะรฐั บาลและนายกรัฐมนตรี ซึง่ พระยามโนปกรณน์ ติ ิธาดาเปน็ ท่ียอมรบั ของทกุ ฝ่าย และ
รัฐธรรมนูญฉบับถาวรวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 ก็เป็นรัฐธรรมนูญที่ถวายพระราชอำนาจแก่สถาบัน
พระมหากษตั ริย์มากกว่ารัฐธรรมนญู ฉบับช่ัวคราววนั ท่ี 27 มิถุนายน พ.ศ. 2475
หลังจากนัน้ มเี หตุการณส์ ำคญั เกิดข้ึน 2 เหตกุ ารณ์ เหตกุ ารณแ์ รก คอื พลเอก พระวรวงศ์เธอ พระองคเ์ จ้า
บวรเดช อดีตเสนาบดีกระทรวงกลาโหม และนายทหารผู้ใหญ่อีกหลายคนได้ก่อการกบฏขึ้นเพื่อแย่งชิงอำนาจ
กลับมาสู่สถาบนั พระมหากษัตริย์ในวนั ท่ี 10 ตลุ าคม พ.ศ. 2476 แตใ่ นทส่ี ดุ กองทหารฝ่ายรัฐบาลสามารถปราบได้
เหตุการณ์ที่สอง คือ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงขอให้คณะราษฎรคำนึงถึงความต้องการอัน
แท้จริงของประชาชน และให้ปกครองประเทศตามหลักสากล แต่ไม่เป็นไปตามพระราชประสงค์ จึงทรงประกาศ
สละราชสมบตั ิในวันท่ี 2 มีนาคม พ.ศ. 2477 ขณะท่เี สด็จฯ ไปประทบั อยู่ที่ประเทศอังกฤษ
รัฐบาลและสภาผู้แทนราษฎรในขณะนั้นกราบทูลอัญเชิญพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล
พระโอรสในสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ (พระราชโอรสพระองค์หน่ึงในรัชกาลท่ี 5)
ขึ้นครองราชยเ์ ป็นรชั กาลท่ี 8 ทรงพระนามวา่ พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยูห่ วั อานันทมหิดล
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จสวรรคตด้วยอาวุธปืนในวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489
รัฐบาลไดอ้ ญั เชิญพระเจา้ นอ้ งยาเธอ เจา้ ฟ้าภูมิพลอดลุ ยเดชเสดจ็ ขึ้นของราชสมบตั ิสืบราชสนั ตติวงศต์ ่อมา
ลกั ษณะการปกครองแบบเผด็จการทหารอำนาจเด็ดขาดเริม่ ต้นเม่ือจอมพล สฤษดิ์ ธนะรชั ตย์ ดึ อำนาจครั้ง
ที่ 2 ใน พ.ศ. 2501 ช่วงเวลาก่อนหน้านั้นจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ยงั ยินยอมให้มีระบบรัฐสภาอยู่ได้ พอหลังจาก
พ.ศ. 2501 เป็นต้นมา จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ก็ปกครองประเทศโดยการใช้อำนาจเด็ดขาดตามธรรมนูญการ
ปกครองราชอาณาจกั รพุทธศักราช 2502 ท่ีใหอ้ ำนาจแกน่ ายกรฐั มนตรีอยา่ งมาก
ภาพ 17 จอมพล สฤษด์ิ ธนะรชั ต์ ผูท้ ำการรฐั ประหาร พ.ศ. 2500 ต่อมาได้เป็นนายกรัฐมนตรคี นท่ี 11
ทม่ี า : https://th.wikipedia.org/wiki/สฤษด์ิ_ธนะรัชต์
สบื คน้ เมือ่ : 25 เมษายน 2562
หลังจากจอมพล สฤษดิ์ ธนะรชั ต์ถึงแกอ่ สัญกรรม จอมพล ถนอม กติ ตขิ จรได้สืบทอดรูปแบบการปกครอง
แบบเผด็จการทหารของ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์แต่การเมืองในช่วงเวลาดังกล่าวไดเ้ ปลี่ยนแปลงไปจนทำให้ไมม่ ี
ความมั่นคงเหมือนสมยั จอมพล สฤษด์ิ ธนะรัชตอ์ าจแบง่ ยุคสมยั ทางการเมืองในสมยั รฐั บาล จอมพล ถนอม กิตติ
ขจร ออกได้เป็น 2 ช่วงเวลา ได้แก่ สมัยการปกครองแบบเผด็จการทหาร (พ.ศ. 2506 – 2511) ซึ่งคงใช้รูปแบบ
การปกครองที่จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ได้วางไว้ และสมัยของความขัดแย้งระหว่างฝ่ายทหารกับนักศึกษาและ
ประชาชน (พ.ศ. 2512 – 2516) ช่วงเวลานี้เกิดกลุ่มพลังทางการเมืองนอกระบบ อันได้แก่กลุ่มปัญญาชน
โดยเฉพาะกลมุ่ นักศึกษา ซึ่งสามารถเปลย่ี นแปลงการเมืองของไทยในสมัยต่อมา
ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2516 มีเหตุการณ์การจับกุมผู้เรียกร้องรัฐธรรมนูญ เป็นเหตุให้นักเรียน นิสิต
นักศึกษา และประชาชนจำนวนมากประท้วงรัฐบาล ในเช้าวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 รัฐบาลได้ส่งกำลังทหาร
เข้าปราบปรามจนเกิดจลาจลมผี ู้บาดเจ็บและเสียชีวิต เมื่อเหตุการณ์คลี่คลาย จอมพล ถนอม กิตติขจรได้ลาออก
จากตำแหนง่ และเดนิ ทางไปต่างประเทศ
หลังจากนั้นประเทศไทยมีรัฐบาลพลเรือนกับรัฐบาลทหารสลับกันเรื่อยมา มีการทำรัฐประหารอีกหลาย
ครงั้ จนกระท่ัง พ.ศ. 2534 ได้เกิดรฐั ประหารข้ึน ซง่ึ การรฐั ประหารในครั้งนน้ั เปน็ จุดเรมิ่ ตน้ ไปสู่เหตุการณ์พฤษภา
ทมิฬใน พ.ศ. 2535 มีการใช้กำลังทหารเข้าปราบปรามผู้ชุมนุมจนมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก ก่อนท่ี
เหตุการณ์จะคลคี่ ลายลงดว้ ยพระบารมีของพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หวั เมื่อเหตุการณพ์ ฤษภาทมฬิ คล่คี ลายลงไป
ประเทศไทยมีการปฏิรปู การเมอื งจนเกดิ รัฐธรรมนูญฉบบั ประชาชนข้ึน คอื รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พ.ศ.
2540 ซึง่ ถือเปน็ รฐั ธรรมนูญฉบบั ท่เี ป็นประชาธปิ ไตยมากทส่ี ดุ ฉบับหน่งึ ของไทย
พ.ศ. 2549 ประเทศไทยเกิดรัฐประหารขึ้นอีกครั้งหนึ่ง โดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบ
ประชาธิปไตยอันมพี ระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมขุ มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญชัว่ คราวและต่อมาไดป้ ระกาศใช้
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพทุ ธศักราช 2550 ซึ่งเป็นรฐั ธรรมนูญที่มีบัญญัตเิ กี่ยวกับสิทธแิ ละเสรีภาพของ
ประชาชนเป็นจำนวนมาก ซ่งึ ในช่วงนเี้ องไดเ้ กดิ ความขดั แย้งในหมู่คนไทยอย่างท่ีไมเ่ คยมมี าก่อน เกิดการแบ่งเป็น
ฝักเป็นฝ่าย ฝ่ายหนึ่งคือ ฝ่ายท่ีไม่พอใจการบริหารราชการของพันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร กับอีกฝ่ายหนึ่งท่ี
สนบั สนุนพันตำรวจโท ทกั ษิณ ชนิ วตั ร ท้งั 2 ฝา่ ยต่างก็ใชพ้ ลังมวลชนของฝา่ ยตนเรียกร้อง ประทว้ งหรอื ดำเนนิ การ
อื่นๆ เพื่อให้การบริหารประเทศเป็นไปตามความต้องการของฝ่ายตน บางครั้งเกิดการปะทะกัน เกิดเหตุการณ์
รุนแรงข้นึ หลายครง้ั และกไ็ ดท้ วีความรุนแรงข้ึนเรอ่ื ยๆ จนกลายเปน็ วกิ ฤตการณท์ างการเมอื งของไทยท่ีไม่มีท่าทีว่า
จะยุตติลงง่ายๆ จนกระท่ังในวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2557 ได้เกิดการรัฐประหารขึ้นอีกคร้ังหนึ่ง โดยคณะรักษา
ความสงบแห่งชาตเิ พ่อื ยุติปัญหาความขัดแย้งและความแตกแยกทีเ่ กิดขึ้นในหมปู่ ระชาชนชาวไทย
2.3 เศรษฐกิจสมัยรตั นโกสนิ ทร์
สมยั รตั นโกสินทรต์ อนต้นก่อนทำสนธิสัญญาเบาว์ริงสภาพเศรษฐกิจยังคงอยูใ่ นรูปแบบของเศรษฐกิจแบบ
พอยังชีพ ราษฎรมีที่ทำการเกษตรเป็นหลัก พืชผลสำคัญ คือ ข้าว นอกจากนั้นก็มีฝ้าย ยาสูบ อ้อย ผักผลไม้ มี
หตั ถกรรมและอุตสาหกรรมพื้นบ้านแบบเกา่ ทที่ ำด้วยมือ เชน่ ทอผ้า ทำเคร่อื งปนั้ ดินเผา ทำนำ้ ตาล ทำกระเบื้องอฐิ
เม่อื ได้ผลิตผลก็นำมาแลกเปลี่ยนกัน
ส่วนรายไดข้ องรัฐที่จะต้องนำมาใช้จ่ายในการปอ้ งกนั และทะนุบำรุงประเทศได้มาจากหลายแหล่งทั้งจาก
ภาษอี ากร เงินขา้ ราชการของไพร่ เงินคา่ ผูกป้ีของชาวจนี รวมทง้ั ผลกำไรจากการคา้ กบั ต่างประเทศในสมัยรัชกาลท่ี
2 รัฐประสบปัญหารายไดไ้ ม่พอกับรายจ่ายจงึ เพ่มิ ภาษีอากรอกี หลายอย่าง
ครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ 3 เศรษฐกิจของประเทศมีการเจริญเติบโตขึ้น และการขยายตัวทางการค้ากับ
ต่างประเทศมีปริมาณสูงขึ้น รัฐจึงปรับปรงุ ระบบการจัดเก็บภาษี โดยเพ่ิมภาษอี กี 38 ชนดิ สว่ นการเก็บภาษีก็ต่าง
จากสมัยอยุธยา กล่าวคือ นับจากสมัยรัชกาลที่ 3 เป็นต้นมา รัฐเปิดโอกาสให้เอกชนซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวจีนรับ
สมั ปทานการจัดเก็บภาษีโดยวธิ ปี ระมลู ผู้ดำเนินการจดั เก็บภาษีหรือเรยี กวา่ เจ้าภาษนี ายอากร
การค้ากับประเทศต่างๆ ในเอเชียโดยเฉพาะการค้ากับประเทศจีน หรือที่เรียกว่า การค้าสำเภา
เจรญิ รงุ่ เรอื งที่สดุ ในสมัยรัตนโกสนิ ทร์ตอนต้น สินค้าออกสว่ นใหญ่ได้มาจากส่วยที่เรียกเก็บจากราษฎรจึงเป็นของ
พ้ืนเมืองหายาก เชน่ ทองคำ ผงเงนิ ปา่ น กระวาน ครงั่ ฝาง ไม้แดง งาชา้ ง นอแรด
ส่วนสินค้าเข้าส่วนใหญ่จะเป็นประเภทสินค้าฟุ่มเฟือย ซึ่งบริโภคในกลุ่มชนชั้นสูง ได้แก่ ผ้าฝ้าย ผ้าแพร
เคร่อื งลายคราม ใบชา การบรู หบี ประดับมุก เคร่อื งแกว้
ผู้ประกอบการค้าสำเภามีทั้งภาครัฐบาลซึ่งนำโดยพระมหากษัตริย์และหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง คือ
กรมท่า และภาคเอกชน มีเจา้ นาย ขุนนาง และพ่อค้าชาวจีน ในสมยั รชั กาลท่ี 3 การค้าสำเภาเพมิ่ ขึ้นมาก ในปลาย
รัชกาลการคา้ ทางเรือไดเ้ ปลีย่ นจากใช้เรอื สำเภามาเปน็ เรือกำปน่ั เพราะเดนิ ทางได้เรว็ กวา่ นอกจากนพี้ ระองค์ยังได้
โปรดเกล้าฯ ใหต้ ่อเรือกำปั่นขนาดใหญ่ขึน้ หลายลำ
การเผชิญหนา้ กบั จักรวรรดินิยมตะวันตกในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเก้าเจ้าอยู่หัวได้ส่งผลกระทบ
ตอ่ ระบบเศรษฐกิจของไทยอย่างมาก เมอ่ื เซอรจ์ อห์น เบาว์รงิ (Sir John Boring) เขา้ มาทำสนธิสญั ญาทางการค้า
กับไทยใน พ.ศ. 2398 สนธสิ ัญญาฉบับน้ีเรียกวา่ สนธสิ ัญญาเบาว์รงิ (Bowring Treaty) เน้ือหาของสนธิสัญญาเป็น
การกำหนดรปู แบบและวิธีการตดิ ตอ่ ค้าขายระหว่างไทยกับองั กฤษ ทีส่ ำคญั คือ ให้ยกเลกิ ระบบการค้าผูกขาดของ
พระคลังสินคา้ และอนุญาตให้ส่งออกข้าว ปลา เกลอื ได้ ยกเวน้ ปีที่เกิดขาดแคลน ไทยเก็บภาษีขาเข้าได้ไม่เกินร้อย
ละสาม และไทยตอ้ งใหค้ วามสะดวกแกค่ นในบงั คับองั กฤษใหส้ ามารถเดินทางค้าขายได้ทวั่ ราชอาณาจกั ร
หลงั จากทีไ่ ทยทำสนธิสัญญาเบาวร์ ิงกับอังกฤษใน พ.ศ. 2398 แลว้ ในเวลาตอ่ มาไดม้ ีชาติอนื่ ๆ อีก 13 ชาติ
สง่ ทตู เข้ามาเจรจาทำสนธิสัญญากบั ไทยทำนองเดยี วกบั สนธสิ ัญญาเบาวร์ ิง
สนธิสัญญาเบาวร์ ิงมผี ลตอ่ การเปล่ยี นแปลงทางเศรษฐกิจของไทย ดังนี้
1. การค้าขยายตัว จากการที่ไทยยกเลิกระบบการค้าผูกขาดของพระคลังสินค้ามาเป็นการคา้ เสรี ทำให้
การค้าของไทยเจริญก้าวหนา้ ไปอย่างรวดเร็ว เพียง 1 ปี หลังการทำสนธิสัญญามีเรือสินค้าต่างชาติเข้ามาติดตอ่
ค้าขายเปน็ จำนวนมาก
2. เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการผลิต สนธิสัญญาเบาวร์ ิงที่ทำกับอังกฤษและกับชาติอื่นๆ ทำให้มี
การเปล่ยี นแปลงสำคัญในโครงสรา้ งการผลิตของไทย กลา่ วคอื ไดเ้ ปลย่ี นจากการผลิตเพอ่ื ยังชพี มาเป็นการผลติ เพื่อ
การคา้ ภายใต้การเปล่ยี นแปลงดังกลา่ วน้ที ำให้ข้าวกลายเป็นพืชเศรษฐกิจท่มี ีความสำคัญอยา่ งยิ่งข้นึ มา รัฐบาลเอง
ก็ใหก้ ารสนบั สนนุ การส่งขา้ วไปขายพร้อมกบั สง่ เสรมิ การทำนา
นอกจากข้าวยงั มสี นิ ค้าอกี 2 อย่างท่ีมคี วามสำคัญข้นึ มาแทนทีน่ ้ำตาลทเ่ี คยมีความสำคัญในสมัยรัชกาลท่ี
3 คือ ดีบุกและไมส้ ัก แรด่ ีบุกมีอยใู่ นภาคใต้ สว่ นไมส้ ักมีมากทางภาคเหนอื ของประเทศ
3. เศรษฐกิจไทยเข้าสู่ระบบทุนนิยมโลก การทำสนธิสัญญาเบาว์ริงถือเป็นการนำเศรษฐกิจไทยเข้าสู่
ระบบทุนนิยมโลก ทำให้การผลิตในภาคการเกษตรขยายตัวมากขึน้ เช่น เกิดการขยายตัวในการเพาะปลูกข้าวแต่
คนไทยสว่ นใหญ่ยงั มีฐานะเป็นเพยี งผ้ผู ลิตขน้ั ปฐมภูมิ ซ่งึ เปน็ การเปิดโอกาสใหน้ ายทุนต่างชาติ เชน่ นายทนุ ชาวจีน
และนายทุนชาวตะวนั ตกเข้ามามีบทบาทควบคุมระบบเศรษฐกิจของไทย
4. เกิดระบบเศรษฐกิจแบบเงินตรา เงินตราที่ใช้กันอยู่เดิม คือ เบี้ยและเงินพดด้วงเร่ิมขาดแคลนในการ
ซื้อขายแลกเปล่ยี น นอกจากน้ีเบ้ียยังแตกงา่ ยและเงินพดด้วงทำปลอมได้ง่าย รชั กาลท่ี 4 จึงทรงตัง้ โรงกษาปณ์ เพื่อ
ผลติ เงนิ เหรียญชนิดและราคาตา่ งๆ ข้นึ ใน พ.ศ. 2403
5. เกิดการปฏิรูประบบภาษีอากรและการคลัง อีกด้านหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจหลัง
สนธสิ ญั ญาเบาว์ริง คือ การปรบั ปรุงภาษีอากร ซงึ่ เป็นจดุ เรมิ่ ของการเปลี่ยนแปลงไปส่กู ารคลงั ท่ีเป็นระบบในสมัย
ต่อมา
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 (พ.ศ. 2457 – 2461) ได้เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างรุนแรงใน พ.ศ.
2472 โดยเริ่มต้นในยุโรปก่อน ต่อมาภาวะเศรษฐกิจตกต่ำได้ขยายไปทั่วโลกและกระทบกระเทือนมาถึงประเทศ
ไทยด้วย ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรง เครื่องอุปโภคมีราคาแพงส่งผลให้ประชาชนไทยเดือดร้อนอย่างยิ่ง
รัฐบาลแกไ้ ขปญั หาดว้ ยการตัดทอนรายจ่ายของประเทศอย่างจรงิ จงั เช่น ยบุ เลกิ กระทรวง ทบวง กรมที่ไม่จำเป็น
ปลดข้าราชการออกจากงานจำนวนมาก นอกจากนน้ั พระบาทสมเดจ็ พระปกเกล้าเจ้าอยูห่ ัวต้องทรงตดั งบประมาน
สว่ นพระองค์ แตก่ ็ไมส่ ามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกจิ ของประเทศได้
ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างรุนแรงของประเทศในครั้งนั้นเป็นสาเหตุประการหนึ่งที่ คณะราษฎรใช้เป็น
ข้ออา้ งในการกอ่ การปฏวิ ัติ
หลงั การเปลีย่ นแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ได้ 9 เดือน หลวงประดษิ ฐ์มนญู ธรรม (ปรีดี พนมยงค)์ เสนอ
เค้าโครงเศรษฐกิจตอ่ รัฐบาลดว้ ยจุดประสงคจ์ ะจัดเศรษฐกิจของชาติให้ดีข้ึนตามเจตนารมณข์ องคณะราษฎรในหลัก
6 ประการ โดยเสนอให้รัฐเป็นผู้ประกอบการเศรษฐกิจเสียเอง ให้ราษฎรทุกคนเป็นข้าราชการหรือลูกจ้างของ
รัฐบาล แต่เค้าโครงเศรษฐกิจนี้มีความเห็นไปในทางสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ค่อนข้างรุนแรง ทำให้บุคคลในคณะ
รฐั บาลบางคนไมพ่ อใจ รวมทงั้ พระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ เจา้ อยูห่ ัวก็ไม่ทรงเหน็ ดว้ ยคณะรัฐมนตรีจงึ ไม่ยอมรับเค้า
โครงเศรษฐกจิ ของหลวงประดิษฐ์มนธู รรม
อย่างไรกต็ ามสภาพเศรษฐกิจโดยรวมหลงั การเปล่ียนแปลงการปกครองเรมิ่ ดขี ึ้นเนือ่ งจากสภาพเศรษฐกิจ
ทวั่ โลกดีขน้ึ และจากการท่ไี ทยถอนตวั จากมาตรฐานทองคำโลกเม่ือ พ.ศ. 2475 ก็ชว่ ยใหไ้ ทยส่งเสริมสนิ ค้าออกคือ
ข้าวได้มาก นอกจากนี้รัฐบาลชุดหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองยังได้ปรบั ปรุงภาษีใหม้ ีความเป็นธรรมมากข้นึ
เชน่ ยกเลิกเงนิ รัชชปู การ อากรคา่ นา ค่าสวน และใช้ระเบียบภาษีใหม่ทีเ่ รียกว่า ประมวลรัษฎากร ซึง่ เก็บภาษีเงิน
ไดต้ ามฐานะของราษฎร
รัฐบาลสมยั จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ใชน้ โยบายเศรษฐกิจแบบชาตนิ ยิ ม รฐั บาลจัดตัง้ รัฐวสิ าหกิจข้ึนมา
เปน็ จำนวนมาก แต่รฐั วสิ าหกจิ เหล่าน้ปี ระสบภาวะขาดทุนเน่อื งจากการบริหารใช้รูปแบบราชการ มีการฉ้อราษฎร์
บงั หลวง ความไร้ประสทิ ธภิ าพของพนกั งาน ตลอดจนไมม่ คี วามรู้ทางดา้ นการจัดการการแข่งขนั ในเรอื่ งตลาด
เมื่อสงครามมหาเอเชยี บรู พาเกดิ ขึน้ ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2484 มีผลกระทบกับเศรษฐกิจของไทยอย่าง
มาก คนไทยเดือดรอ้ นเร่ืองภาวะค่าครองชีพ ก่อนสงครามไทยส่ังซ้ือสินค้าส่วนใหญ่จากยุโรป เมื่อการค้ากับยุโรป
หยดุ ชะงัก พ่อค้าจะส่ังซอื้ ได้เฉพาะจากญ่ีปุน่ สินค้าทุกประเภทจึงขาดตลาดอย่างรวดเร็วและมรี าคาสูงเกินรายได้
ของประชาชน และมีสนิ ค้าหลายอย่างหาซื้อไมไ่ ด้โดยเฉพาะนำ้ มนั เกิดการค้าตลาดมดื การกกั ตนุ สนิ ค้า และการ
ฉอ้ ราษฎร์บังหลวง สว่ นคา่ ครองชพี สงู ขน้ึ มาก
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อ จอมพล ป. พิบูลสงคราม กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งที่ 2 นโยบายของ
รัฐบาลที่มีสัมพันธภาพกับโลกเสรี โดยมีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำเริ่มก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อเศรษฐกิจไทย
ภาวะเศรษฐกจิ ของไทยเตบิ โตขนึ้ รัฐบาลยงั ดำเนนิ นโยบายเศรษฐกิจแบบชาตินยิ ม โดยเข้ามามีบทบาทท้ังในฐานะ
ผู้ประกอบการรฐั วสิ าหกิจเอง และในฐานะผ้สู ่งเสริมธุรกจิ ภาคเอกชน
การดำเนินงานด้านเศรษฐกิจแบบชาติตะวันตกได้ถูกยกเลิกเมื่อจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เข้ายึดอำนาจ
จากรัฐบาลจอมพล ป. พิบูรสงคราม ใน พ.ศ. 2500 หลังจากนั้นรัฐบาลคณะปฏิวัติได้ดำเนนิ นโยบายเปิดเสรีด้าน
การลงทุนทางเศรษฐกิจ โดยการประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติใน พ.ศ. 2504 พัฒนาการของระบบ
เศรษฐกิจไทยก็เปลี่ยนแปลงไปเปน็ ระบบทนุ นยิ มเสรอี ยา่ งเตม็ ที่
2.4 สงั คมสมัยรัตนโกสนิ ทร์
โครงสร้างสังคมสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นยังคงเป็นแบบอยุธยา ขณะเดียวกันสภาพเศรษฐกิจที่เร่ิม
ขยายตวั ทำให้มีความต้องการผลผลิตเพ่อื การค้าเพม่ิ ข้นึ ชาวจนี หลัง่ ไหลเข้ามาเปน็ แรงงานรับจ้างจำนวนมากและ
ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง ความต้องการและความจำเป็นในการใช้แรงงานเกณฑ์จากไพร่พลน้อยลง
ตามลำดับ ฐานะของไพรจ่ ึงไดร้ บั การปรับปรุง มีการเปลย่ี นเวลาเข้าเวรของไพรใ่ หมจ่ ากปลี ะ 6 เดือนในสมยั อยุธยา
มาเป็นปลี ะ 4 เดอื นในสมยั รชั กาลท่ี 1 ตอ่ มาในสมยั รชั กาลท่ี 2 ลดการทำงานลงอีกเป็นปีละ 3 เดือนสำหรับไพร่ที่
ไม่ต้องการเขา้ เวรในเวลาปกตสิ ามารถสง่ เงินแทนได้ เรียกว่า เงินค่าราชการ
ชนชาติอื่นนอกจากจนี กม็ ีมอญ ลาว พม่า ญวน เขมร มลายูซึ่งถูกกวาดต้อนเข้ามาเนือ่ งจากสงครามบ้าง
และเข้ามาด้วยความสมัครใจบ้าง แต่แยกย้ายประกอบอาชีพตามจังหวัดต่างๆ พวกเชลยเหล่านี้กลายเป็นไพร่ มี
สงั กัดมลู นายและถกู สกั ข้อมือเป็นไพร่เหมือนคนไทย นอกจากน้ยี งั มีชาวยุโรปและอเมริกาซ่ึงเข้ามาเผยแพร่คริสต์
ศาสนาดว้ ย แตม่ จี ำนวนน้อยมาก อยา่ งไรกต็ ามชนกลมุ่ น้อยนก้ี ลับมีบทบาทมากในสงั คมไทยในฐานะผู้บุกเบิกการ
พฒั นาประเทศด้วยการแพทย์และการศกึ ษา
ในสมัยรัชกาลที่ 4 แม้ว่าโครงสร้างทางสังคมโดยทั่วไปยังคงเหมือนเดิม แต่เกิดความเปลี่ยนแปลงทาง
สังคมหลายอย่างจากยุคสมัยแบบจารีตไปสู่ยุคสมัยใหม่ จากประกาศต่างๆ ในสมัยรัชกาลที่ 4 แสดงว่ามีความ
พยายามจะปรับปรุงฐานะของสามัญชนหรือไพร่ให้มีเสรีภาพมากขึ้นในหลายๆ ด้าน และองค์พระมหากษัตริย์
พยายามวางพระองค์ใกล้ชิดกับราษฎรมากขึ้น เช่น ประกาศยกเลิกการลงโทษราษฎรที่แอบดูการเสด็จพระราช
ดำเนิน ออกหมายประกาศรับฎีกาของราษฎรเดือนละ 4 ครั้ง ให้สิทธิแก่ผู้หญิงในด้านการศึกษาและการสมรส
ประกาศให้ราษฎรทำงานกับชาวตา่ งชาตไิ ด้
การดำเนินการปรับปรงุ ประเทศเริ่มต้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นครองราชย์แต่การ
ปฏิรูปสงั คมไทยเริม่ ขน้ึ อยา่ งจริงจังใน พ.ศ. 2416 อันเป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงบริหาร
ราชการแผ่นดนิ ด้วยพระองคเ์ องอยา่ งสมบรู ณ์ อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงเริ่มจากองค์พระมหากษตั ริย์ และมี
ลักษณะแบบค่อยเป็นค่อยไป รัชกาลที่ 5 ทรงเปลี่ยนแปลงสถานะของไพร่ให้เป็นพลเมือง ปลดปล่อยลูกทาสซึ่ง
นำไปสู่การเลกิ ทาส และปฏิรูปการศึกษาโดยการตั้งโรงเรยี นในวัดสำหรบั ราษฎรขึน้
เม่อื ส้นิ รชั กาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจ้าอยูห่ วั โครงสร้างของสังคมไทยเปลี่ยนแปลงไปมากและ
ยงั คงเปลย่ี นอยู่ต่อมาโดยเฉพาะภายหลงั มกี ารประกาศใช้พระราชบญั ญตั ิประถมศึกษา พ.ศ. 2464 ในสมัยรัชกาล
ท่ี 6 เม่ือคนร่นุ ใหมไ่ ด้รับการศึกษามากขึ้นเร่ือยๆ ชนชั้นปญั ญาชนขยายตัวมากข้ึน ทำให้วทิ ยาการและวัฒนธรรม
ตะวันตกเข้าสู่เมืองไทยทั้งโดยตรงและผ่านทางการเรียนภาษาอังกฤษมากขึ้น ประกอบกับรัชกาลที่ 6 ทรงเป็น
กษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่ได้รับการศึกษาโดยตรงจากอังกฤษ จึงทรงมีบทบาทสำคัญในการนำไทยเข้าสู่สังคม
วัฒนธรรมสากลมากยิง่ ขึน้
สภาพสังคมในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ในทางปฏิบัติยังคงมีการแบ่งชนชั้นตามลักษณะการครองชพี
เป็นเกณฑ์ ได้แก่ กลุ่มแรก พระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ ซึ่งทำหน้าที่ปกครองประเทศ กลุ่มขุนนาง
ข้าราชการ กลุ่มพ่อค้า กลุ่มราษฎรทั่วไปที่เป็นเกษตรกรกลุ่มผู้ใช้แรงงาน และกลุ่มวิชาชีพเฉพาะด้านอื่นๆ เช่น
แพทย์ วศิ วกร สภาพสงั คมมีการแบง่ ชนชนั้ อย่างเด่นชัดระหว่างเจ้านายกับสามญั ชน ความแตกตา่ งระหว่างชนชั้น
เกีย่ วกับสิทธอิ ำนาจทแี่ ตกต่างกนั ทำให้เกดิ ความรู้สกึ แปลกแยกและความรู้สึกต่อต้านของสามัญชนที่มีต่อเจ้านาย
จนนำไปสูก่ ารปฏวิ ัติ พ.ศ. 2475
ในสมยั รฐั บาลจอมพล ป. พบิ ลู สงคราม มกี ารออกรัฐนิยมรวม 12 ฉบับ รฐั นยิ มเหลา่ นี้นำความแปลกใหม่
มาสู่สังคมไทย เช่น เปลี่ยนชื่อประเทศ เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่ นอกจากนี้ยังปรับปรุงวิถีชีวิตของคนในสังคม เช่น
กำหนดใหป้ ระชาชนเคารพธงชาติ ออกกำลงั กาย ทำสวนครวั เลี้ยงสัตว์ ปลกู ตน้ ไม้ ฟงั วทิ ยกุ รมโฆษณา การ อ่าน
หนังสือ ฟังเทศน์ ผู้หญิงผู้ชายเลิกนุ่งโสร่ง โจงกระเบน หันมานุ่งกางเกงขายาว กระโปรง และสวมหมวก เลิกกิน
หมากกินพลู เลิกรับประทานอาหารด้วยมือใหใ้ ช้ช้อนสอ้ มแทน
หลงั สงครามโลกคร้งั ที่ 2 สถานการณข์ องโลกตึงเครยี ดจากการขยายตวั ของลัทธคิ อมมวิ นิสต์ขณะเดียวกัน
ประเทศเพอ่ื นบ้านของไทย เช่น พมา่ มลายู อนิ โดนีเซยี ฟลิ ิปปินส์ และอนิ โดจีน เรียกร้อง เอกราชและดำเนินการ
ขบวนการใต้ดนิ ต่อต้านรัฐบาล จีนกลายเปน็ ประเทศคอมมิวนสิ ต์ใน พ.ศ. 2492 รัฐบาลไทยจึงดำเนินนโยบายเรง่
พฒั นาเศรษฐกิจและสงั คม เพอื่ ต่อต้านภัยคอมมิวนสิ ตด์ ้วยการมีสัมพันธภาพกับโลกเสรีโดยเฉพาะกบั สหรฐั อเมริกา
นโยบายดังกล่าวสร้างการเปลี่ยนแปลงทางสังคมหลายประการ คือ มีการฟื้นฟูฐานะและบทบาทของสถาบัน
พระมหากษัตริย์ให้มีความศกั ดิ์สิทธติ์ ั้งแตส่ มัยรัฐบาลจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัตน์ เป็นตน้ มา มีการขยายการศึกษาภาค
บังคับ และตั้งมหาวิทยาลัยในภมู ิภาคตา่ งๆ เศรษฐกิจในภาคอุตสาหกรรมขยายตัวทำให้แรงงานภาคเกษตรกรรม
ยา้ ยไปเปน็ แรงงานภาคอตุ สาหกรรม รัฐบาลดำเนินนโยบายผูกขาดกบั สหรัฐอเมริกา เพื่อมุง่ รบั ความชว่ ยเหลือด้าน
การทหารและเศรษฐกิจ และเกิดชนชั้นลา่ งข้ึนในสงั คมไทย เชน่ นักธุรกจิ ทัว่ ไป และการธนาคาร