The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

บทเรียนออนไลน์หน่วยที่ 1

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Seetee Neenie, 2021-05-25 00:25:02

บทเรียนออนไลน์หน่วยที่ 1

บทเรียนออนไลน์หน่วยที่ 1

บทเรียนออนไลนห์ นว่ ยท่ี 1
วชิ า วิวฒั นาการเคร่ืองแต่งกาย รหัสวิชา 3401-2002

หน่วยท่ี 1

ความหมายและความเป็นมาของเคร่อื งแต่งกาย

ความหมายและความเปน็ มาของเคร่ืองแต่งกาย วชิ าววิ ฒั นาการเครอื่ งแต่งกาย เปน็ วิชาทวี่ า่ ด้วย
การทาความเข้าใจในเรือ่ งเกี่ยวกบั การแต่งกายของมนษุ ยแ์ ละเผา่ พันธุ โดยอาศัยหลักฐานจากประวตั ิศาสตร์
และวรรณคดีเป็นเครื่องมือในการรับรู้และเข้าใจ อกี ท้ัง ยังสะท้อนถึงสภาพของการดารงชวี ติ มนษุ ยใ์ นยุคน้ันๆ

มนุษย์ในยุคก่อนประวตั ศิ าสตรแ์ ต่งกายดว้ ยเครื่องห่อหมุ้ รา่ งกายท่ีไดม้ าจากธรรมชาติ เช่น ใบไม้ ใบหญ้า หนงั
สตั ว์ ขนนก ดนิ สี ฯลฯ มนษุ ย์บางเผา่ พนั ธ์ุใช้สีจากพืชนามาเขยี น มาสกั เพอ่ื เป็นเคร่อื งตกแต่งแทนการห่อหุ้ม
รา่ งกาย ระยะต่อมามนุษย์รู้จักวิธีดัดแปลงสงิ่ ทม่ี ีตามธรรมชาตมิ าใชท้ าเป็นเคร่ืองห่อหมุ้ รา่ งกายให้เหมาะสม
เชน่ การผูก มดั สาน ถัก ทอ ฯลฯ ตลอดจนถงึ การใช้วธิ ีการตดั และเย็บในปจั จบุ ัน จากปรากฎการณด์ งั กล่าว
ข้างตน้ พอจะสรุปความหมายของคาวา่ “เครอ่ื งแตง่ กาย” หมายถงึ ส่ิงทม่ี นุษย์นามาใช้เป็นเครือ่ งห่อหุม้
ร่างกาย โดยทมี่ นุษยม์ คี วามจาเป็นต้องแต่งกายด้วยเหตผุ ลทส่ี าคญั คือ

1. ใช้ปกปดิ รา่ งกาย

2. ให้ความอบอุน่

3. เพอื่ ป้องกนั สัตว์ และแมลง

สาเหตุทม่ี นุษยม์ ีการแตง่ กาย

ในทางฟสิ ิกสม์ นุษยเ์ ปน็ สตั วโ์ ลกทีอ่ ่อนแอท่สี ดุ ผวิ หนังมนุษย์จะบอบบางกวา่ สตั ว์อน่ื ๆจงึ มีความ
จาเปน็ ต้องมีสงิ่ มาปกปิดร่างกายเพื่อการดารงชีวติ อย่ไู ด้ (พวงผกา คุโรวาท, 2540: 2)สง่ิ น้ี จึงเป็นแรง
กระตุน้ ทสี่ าคญั ท่ีให้มนษุ ย์ขวนขวายทจ่ี ะแต่งกายเพื่อสนองความตอ้ งการของตนเอง สงั คม และอนื่ ๆ
ประกอบกัน ซง่ึ ความต้องการของมนษุ ยน์ ักออกแบบได้แบง่ ความต้องการของมนุษย์ออกเป็น 3 ลักษณะ คือ

1. ความต้องการพื้น ฐานของมนุษย์ (Biological Needs) ได้แก่ ปจั จัย 4 คอื อาหาร เครื่องนงุ่ ห่ม
ที่อยู่อาศยั และยารักษาโรค

2. ความตอ้ งการด้านร่างกาย (Physical Needs) เป็นกระบวนการที่เกิดข้ึนเพ่ือตอบสนองความ
ต้องการพน้ื ฐาน เพื่อให้ไดม้ าซ่งึ สงิ่ ทมี่ นษุ ย์ตอ้ งการ

3. ความตอ้ งการด้านจติ วิทยา (Psychological Needs) เปน็ ความต้องการทางด้านจติ ใจ

ของมนษุ ย์ดา้ นความงาม นอกจากน้ีอาจกล่าวได้วา่ มนุษย์ในยุคโบราณต้องแก้ปญั หาพ้ืนฐานในเรื่องปัจจัย 4
เป็นอยา่ งมาก(พวงผกา คุโรวาท, 2540: 2) และเปน็ ความพยายามในการควบคมุ สิง่ แวดล้อมใหเ้ หมาะสมกบั
ตนเอง ดงั นั้นการแต่งกายของมนษุ ย์กจ็ ะแตกต่างกนั ออกไปตามมูลเหตตุ ่อไปน้ี

1. สภาพภูมิอากาศ

ภูมิอากาศของประเทศเปน็ เหตใุ หญ่ท่ีทาให้การแต่งกายของแต่ละประเทศมคี วามแตกต่าง

กัน คนท้องถิ่นอยูใ่ นประเทศที่มีอากาศหนาวมากจะแตง่ กายเพื่อห่อหมุ้ รา่ งกายจากสภาพอากาศ พวกที่อาศยั
อยูใ่ นเขตอากาศร้อน กจ็ ะแต่งกายดว้ ยเส้ือ ผา้ ทที่ าจากใยฝ้ายเพอ่ื ชว่ ยใหร้ ะบายความร้อนได้ดี หรือไมก่ ็จะหา
วธิ ีเพอื่ ปอ้ งกนั ความรอ้ นจากดวงอาทติ ยโ์ ดยใชเ้ ชอื กย้อมดว้ ย สีเข้มมาพนั ตัว เชน่ ชนเผ่า Blue men ใชเ้ งา
ของเขาใหญ่บังแสงอาทติ ย์ หรอื ใชค้ บไฟป้องกันความหนาวแทน การสวมใสเ่ ส้ือผ้า ชนเผ่าบางเผา่ มักถูกสัตว์
และแมลงรบกวนจงึ หาวธิ ีพอกร่างกายดว้ ยโคลน เพื่อป้องกันแมลงศัตรทู างธรรมชาติ ชาวฮาไวเอยี นและพวก
โมชนั่ นิคใชห้ ญ้ามาทากระโปรงเพ่อื ปอ้ งกนั แมลง ชนเผ่าไอนุซ่ึงเป็นชาวพ้ืนเมืองญ่ปี นุ่ ใชก้ างเกงขายาวปอ้ งกนั
สัตวแ์ ละแมลงได้

2. สภาพงานและอาชพี

ในการปฏบิ ัตงิ านของแตล่ ะอาชีพ ความตอ้ งการเสื้อผ้า สวมใส่ในการทางานจะมีลกั ษณะท่แี ตกต่าง
กัน ในแตล่ ะอาชีพ มนุษย์จึงคิดประดษิ ฐ์เสน้ ใยต่างข้ึนมาเพ่ือให้มีคุณสมบตั ติ ่าง ๆเพือ่ ให้เหมาะสมกับแตล่ ะ
อาชพี นั้นๆ เชน่ การทนตอ่ สารเคมี ไมเ่ ปน็ สอ่ื ไฟฟา้ และ ไม่นาความร้อน

3. ขนบธรรมเนยี ม ประเพณี และวฒั นธรรม

การท่ีมนุษย์อย่รู ่วมกันอย่างเป็นหมู่ จึงจาเปน็ ตอ้ งมี กฎ ระเบยี บ เพอ่ื ให้การเปน็ อยูร่ ว่ มกนั อยา่ งสงบสุข ไม่มี
การรกุ รานซ่งึ กันและกนั การปฏบิ ัตสิ บื ต่อกันมาน้ีเองจึงกลายเปน็ ขนบธรรมเนียม ประเพณี และวฒั นธรรม
มนุษยเ์ ริม่ รู้จกั การเข้าสงั คม ร้จู กั แต่งตวั ซ่งึ มีมาตง้ั แตส่ มัยโบราณแลว้ เชน่ การทาสี การสัก การทาลวดลาย
ตามสว่ นต่าง ๆ ของรา่ งกาย ดังจะเหน็ ไดจ้ ากการทาสรี ่างกาย ได้เป็นการประดบั รา่ งกายอย่างหน่ึงของหญิง
สาวนิวกนี จี ะเขยี นลวดลายบนใบหนา้ ถือวา่ งาม นักรบชาวเกาะนวิ กีนี ใชส้ ีทาหนา้ จนดา แสดงความแข็งแรง
และความเป็นลูกผูช้ าย จากพัฒนาการดงั กลา่ วจนถึงปจั จบุ ันไดม้ กี ารนี้นามาประยกุ ต์ในการแต่งหน้า โดยผลติ
เป็นเคร่อื งสาอางที่มีสีสัน เชน่ ลิปสตกิ อายแชร์โดว์ เป็นต้น

นอกจากนกี้ ารสกั ตามร่างกายก็ถอื วา่ เป็นศิลปะในสมยั อยี ิปตโ์ บราณและจนปัจจุบันนี้ การสักก็เปน็ แฟช่นั ของ
การแต่งกายอย่างหน่ึงเหมือนกัน เชน่ หญิงสาว “เผา่ มาคอนด์” จะทาลวดลายบนแผ่นหลงั โดยการแหวะ
ผิวหนังให้เปน็ ร่องแลว้ อัดดว้ ยหินให้นูนขึ้นมาเหมือนผืนผ้าท่ีปักดว้ ยไหม หญงิ สาวท่ีมลี วดลาย เช่นนี้ถือว่าเปน็
คนสวยของชนเผา่ เดยี วกัน หรือการสักใบหนา้ ของหญิงสาวเผ่ามาคอนด์เพ่ือให้ดุน่าเกลียด และป้องกันพวกคา้
ทาสจบั ตวั ไปทาทารุณทางเพศ (พวงผกา คโุ รวาท, 2540: 4)

4. ศาสนา

ศาสนามบี ทบาทสาคัญในการแตง่ กายเชน่ กนั ดังจะเหน็ ได้จากการเกดิ สงครามศาสนาในยโุ รปท่ี
เรียกว่า “สงครามครเู สด” อันเป็นสงครามทส่ี ู้รบแบบยดื เยื้อมาเป็นเวลานานกวา่ 300 ปี มีการรบพงุ่ กัน
ตลอด เวลา (พวงผกา คุโรวาท, 2540: 5) การปะทะกันตัวตอ่ ตัวและกินระยะเวลายาวนานมากความสมั พนั ธ์
ระหว่างข้าศึกก็ เกิดขึ้นมกี ารแลกเปลย่ี นความคิดและวฒั นธรรมซ่งึ กันและกนั และเม่อื เหตกุ ารณส์ งบลงผลจา
สงครามทาให้ทรัพยากรต่างๆ สญู เสยี ไปมาก ทางประวัติศาสตร์จึงเรยี กยุโรป สมยั น้ันว่า “สมยั มดื ” กลา่ วคือ

วฒั นธรรมต่างๆ ศิลปะ วิชาการตลอดจนความเจริญในด้านตา่ งๆได้ปิดเงียบลง และกลบั มาเฟื่องฟอู ีกครั้งใน
สมยั ศตวรรษที่ 16 ความเจริญในดา้ นตา่ ง ๆ ดงั กลา่ วได้ววิ ฒั นาการขึ้นรวมทั้งการแต่งกายกเ็ ฟื่องฟมู ากใน
สมัยน้ี

5. ความตอ้ งการดึงดดู เพศตรงขา้ ม

มนุษย์เราเม่ือเริม่ เติบโตเข้าในวยั ร่นุ หนมุ่ สาว มีความสมบรู ณ์ทางเพศเป็นธรรมชาติที่ต้องการมคี วามงดงามขึ้น
เพอ่ื ท่จี ะดงึ ดูดใจแก่เพศตรงข้าม ซง่ึ เป็น สิ่งสาคัญทม่ี นุษยต์ ้องการการยอมรบั จากบุคคลอืน่ ด้วย โดยเฉพาะ
ด้านร่างกาย เพอื่ สนองความตอ้ งการน้ี จงึ ได้มีววิ ฒั นาการของการออกแบบเครื่องแต่งกายของมนุษย์ เพือ่
ตอบสนองความต้องการของสังคมทเ่ี ปลี่ยนไปอยู่เสมอวัสดทุ ่ีนามาใชก้ ็มีการเปลย่ี นแปลงปรบั ปรุงให้เขา้ กับ
ความเจรญิ ด้านเทคโนโลยแี ละเศรษฐกจิ ผู้ท่มี ีบทบาทท่ีจะสนองความต้องการเหล่าน้ีคือ บรรดานกั ออกแบบ
(Designers) เขาเหลา่ นี้เป็นผู้คอยกาหนดรปู แบบ และแนวทางการแตง่ กายใหก้ ับมนษุ ย์ เพ่อื เลือกใช้ใหเ้ หมาะ
กบั ลกั ษณะที่แตกตา่ งกนั ออกไปตามระดบั ของสงั คม และเศรษฐกจิ

6. สถานภาพทางสงั คมและเศรษฐกิจ

สภาพของสงั คมและเศรษฐกจิ ของแต่ละแห่งแตล่ ะประเทศมคี วามไมเ่ หมือนกัน และมี

บทบาทต่อการแตง่ กายทต่ี า่ งไปด้วย สงั คมทวั่ ไป ในขณะนี้มีหลายระดบั ชั้น และแบง่ กนั ตามฐานะทางเศรษฐ
กิจอกี ดว้ ย เชน่ ชนชั้นระดับเจา้ นาย ชาวบา้ น กรรมกร ซึ่งแตล่ ะลกั ษณะจะบ่งชดั วา่ ผแู้ ต่งนั้น อยใู่ นฐานะระดับ
ใด และยงั บ่งถึงสภาพสงั คมของเขาด้วย ความเจรญิ ทางดา้ นวฒั นธรรมและการแต่งกายมีการวิวฒั นา การมา
เร่อื ย ๆ ชนชาตแิ รกทีถ่ ือว่าเป็นตน้ ฉบบั การแตง่ กาย คือ ชาวอยี ปิ ต์ รองลงมา คอื กรกี โรมนั ซ่ึงจะได้กลา่ วถึง
ตอ่ ไป

ประวตั ิการแต่งกายของไทย

การแต่งกายไทยตามสมยั ประวตั ิศาสตร์และโบราณคดี

การแตง่ การไทยตามสมัยประวัตศิ าสตร์และโบราณคดใี นบทน้ีได้อ้างองิ การจัดแบ่งลาดับเครื่องแตง่ กายตาม
เอกสารทางวชิ าการ“สมุดภาพแสดงเคร่ืองแต่งกายตามสมัยประวตั ศิ าสตร์และโบราณคดี” ของกรมศลิ ปากร
เนือ่ งในงานฉลองครบรอบ 20 ปี สภาการพิพิธภัณฑร์ ะหวา่ งชาติ (2511) โดยจดั แบง่ ลาดับออกเป็น 7 สมัย
(กรมศิลปากร, 2511: 3) ดังตอ่ ไปน้ี

1. สมัยทวารวดี ระหว่างพุทธศตวรรษท่ี 11-16

2. สมัยศรีวิชยั ระหวา่ งพุทธศตวรรษที่ 13 - 18

3. สมัยลพบรุ ี ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 16 – 19

4. สมยั เชียงแสน ระหวา่ งพุทธศตวรรษที่ 17 – 25

5. สมยั สโุ ขทัย ระหวา่ งพุทธศตวรรษท่ี 19 – 20

6. สมยั อยุธยา ต้งั แต่ พ.ศ. 1893 – 2310

7. สมัยรตั นโกสินทร์ ต้ัง แต่ พ.ศ. 2310 – รชั กาลปัจจบุ นั

ทง้ั นี้ได้แยกศึกษาสมัยรัตนโกสนิ ทร์ ไวใ้ นบทท่ี 3 เนอ่ื งจากมรี ายละเอยี ดและเน้ือหาของเคร่อื งแต่งกายที่
นา่ สนใจ รวมทงั้ มีพัฒนาการของเครือ่ งแตง่ การรว่ มสมัย

สมัยทวาราวดี (พุทธศตวรรษที่ 11-16)

“ทวารวดี” เป็นอาณาจักรที่นักโบราณคดีเรยี กดนิ แดนระหวา่ งศรเี กษตร (ประเทศพมา่ ) และอิศานปรุ ะ
(ประเทศกัมพชู า) (คณะอนุกรรมการแตง่ กายไทย, 2543: 64) มีศูนยก์ ลางอยู่บรเิ วณลมุ่ แม่นา้ เจ้าพระยาตอน
ล่าง เปน็ อาณาจักรขนาดใหญ่ท่ีมปี ระชาชนนับถือศาสนาพุทธและฮนิ ดู ได้รบั อิทธิพลทางด้านศลิ ปะ วัฒนธรรม
และการแตง่ กายจากอนิ เดยี เขา้ มาผสมกับอารยธรรมพื้นเมืองของตน จนมีความเจริญก้าวหน้า (โอม รชั เวทย์,
2543: 4) ลกั ษณะของการแต่งการได้บง่ บอกถึงฐานะของผ้คู น เปน็ ต้นวา่ พระเจ้าแผน่ ดินนุ่งผา้ ยกดอกได้ ขุน
นางธรรมดาใช้ได้แตผ่ า้ ยกดอกสองชาย สว่ นราษฎรสามญั จะใชผ้ ้ายกดอกได้ แต่ผ้หู ญงิ เท่านนั้
(คณะอนุกรรมการแต่งกายไทย, 2543: 64) อย่างไรก็ตาม มหี ลักฐานแสดงใหเ้ หน็ ถึงการแตง่ การของคนใน
สมัยทวารวดี ปรากฏอยบู่ นงานปฎิมากรรมตา่ งๆ เชน่ ท่ี พระเจดีย์จุลประโทน อาเภอเมือง จงั หวัดนครปฐม
ขุดพบภาพสลกั ลายเสน้ บนแผ่นหนิ เปน็ รปู เจ้านายชั้นสงู ไม่สวมเส้ือ น่งุ โจงกระเบน รอบตัวมีหมอ้ น้าหอยสงั ข์
เงนิ ตรา และดาว (โอม รัชเวทย์, 2543: 4) สว่ นลกั ษณะการแตง่ กายโดยท่ัวไปมดี ังน้ี

ลักษณะการแต่งกายของหญิง

ผม ทาผมเกลา้ มวย หรือถกั เปยี เป็นจอมสงู เหนือศีรษะ ใช้ผ้าสลับสรี ดั เกลา้ ไว้ตรงกลางแล้วปล่อยชายผมลงมา
หรอื เกลา้ แลว้ รัดเกลา้ ไวไ้ ม่ปล่อยชายผมหรอื ถักเปียเป็นจอมสงู เหนอื ศีรษะรดั ตรงกลางใหต้ อนบนสยายออก

เครอื่ งประดับ ต่างหเู ป็นแผน่ กลม หรือเป็นหว่ งกลม สายสร้อยทาเป็นแผน่ ทบั ทรวงรูปสีเ่ หลีย่ มขนมเปียกปนู
เป็นลวดลายนก ตน้ แขนประดับดว้ ยกาไลเลก็ ๆ ทาดว้ ยทองคาสาริด และลูกปดั สตี า่ ง ๆ สวมกาไลมือหลาย
เส้น

การแต่งกายสมัยทวาราวดี

ภาพเขียนเลยี นแบบจากกรมศิลปากร (2511: 9)
เคร่ืองแต่งกาย นุง่ ผา้ ซ่ินจบี พ้ืน หรือลวดลาย ยอ้ มสีกรกั (สีจากแก่นขนุน) ทบซ้อนกนั ข้างหนา้ ท้ิง ชายแนบ
ลาตวั ไมส่ วมเส้อื หม่ ผ้าสไบเฉยี ง บ่าซา้ ยไพล่มาข้างขวา เปน็ ผ้าฝ้ายบางจบี ไมส่ วมรองเทา้
ลักษณะการแต่งกายของชาย
ผม ถักเปียเป็นหลอดยาวประบ่า หรือเกล้าสงู รดั ด้วยผ้า หรอื เคร่ืองประดับแลว้ ปลอ่ ยชายผมกลับลงมา เกลา้
เปน็ จุกกม็ ี
เครื่องประดับ ใส่กรองคอ กาไลแขน ตา่ งหู เขม็ ขัดโลหะคาดเอว
เครื่องแตง่ กาย มีผ้าเฉลียงบา่ บาง ๆ นุ่งผา้ จบี ชายผ้าด้านหน้าท้ิง ลงไปคล้ายผ้าถงุ ครึ่งแข้ง ชายขมวดทิ้ง ลงไป
ข้างซ้าย คาดเขม็ ขัด ไมส่ วมเสอ้ื

การแตง่ กายรปู แบบหนงึ่ ของชายสมัยทวาราวดี

ภาพเขียนเลยี นแบบจากกรมศลิ ปากร (2511: 9)
สมัยศรีวิชัย (ระหว่างพทุ ธศตวรรษท่ี 13-18)

“ศรีวิชยั ” เป็นรัฐทเ่ี กิดข้นึ ทางภาคใต้ โดยถูกอิทธิพลจาก “รฐั ฟนู นั ” ประเทศจนี ทีเ่ คยมี อานาจ
ควบคมุ ทะเลจีนใต้ นอกจากน้ี“รัฐศรีวชิ ัย” ยงั ต้ังอยู่ ในทาเลค้าขายทีส่ าคญั โดยมกี ารคา้ ขายกบั จีน อนิ เดีย
และประเทศในตะวนั ออกกลาง (คณะอนุกรรมการแต่งกายไทย, 2543: 74) ดงั น้ัน การแต่งกายของคนสมยั
ศรวี ชิ ัย จงึ ได้รับอิทธิพลดา้ นการใช้ผ้าจากจีน และเครื่องประดบั จากชาวอนิ เดยี (คณะอนกุ รรมการแตง่ กาย
ไทย, 2543: 79-80)
ลักษณะการแต่งกายของหญิง
ผม เกลา้ มวยสงู ทาเป็นพุม่ ทรงขา้ วบณิ ฑ์ สวมกลบี รวบดว้ ยรัดเกลา้ ปลอ่ ยชายปรกลง มาด้านหน้า บางทีม่นุ
มวยเป็นทรงกลมเหนือศรี ษะใชร้ ดั เกลา้ เป็นชน้ั ๆ แลว้ ปล่อยชายผมลงประบา่ ท้ัง 2 ขา้ ง หรือถกั เปยี

การแตง่ กายของหญิงสมยั ศรีวชิ ัย

ภาพเขียนเลียนแบบจาก กรมศลิ ปากร (2511: 26)
เครอื่ งประดับ ประดบั ด้วยรัดเกล้า ต้มุ หแู ผ่นกลมเปน็ กลบี ดอกไม้ ใสก่ รองคอทบั ทรวง ใสก่ าไรต้นแขนทาดว้ ย
โลหะ หรือลกู ปดั ร้อยเป็นพวงอุบะ ใส่กาไลมือและเท้า
เคร่อื งแตง่ กาย นงุ่ ผา้ ครึง่ แขง้ ปลายบานยกขอบ ผ้าผนื เดยี วบางแนบเนอื้ คล้ายผ้ชู าย ขอบผา้ ช้นั บนทาเปน็ วง
โค้งเห็นส่วนท้อง คาดเข็มขดั ปลอ่ ยชายผา้ ลงทางดา้ นขวา
สมัยลพบรุ ี (ระหวา่ งพุทธศตวรรษที่ 16-19)

“เมืองลวปรุ ะหรือละโวห้ รอื ลพบุรี” เคยเป็นเมืองสาคญั มาแตส่ มัยรฐั ทวารวดีเมอื่ ครั้ง อานาจของ
รฐั ทวารวดีในดนิ แดนภาคกลางของประเทศไทยเส่ือมลงไปแลว้ ละโวจ้ ึงได้ปรับเปล่ยี น คตินิยมไปเปน็ แบบขอม
(คณะอนุกรรมการแต่งกายไทย, 2543: 86) ดงั นั้น ศลิ ปะลพบุรีไดร้ ับ รูปแบบมาจากศิลปะของขอมเป็นส่วน
ใหญ่ รูปหล่อสาริดท่มี ีอยเู่ ปน็ จานวนมากสะท้อนให้เห็นถึง การแตง่ กายของชาวลพบรุ ีทร่ี ับเอาวัฒนธรรมมา
จากขอม (โอม รัชเวทย์, 2543: 22) ลักษณะการ แตง่ กายสมยั ลพบรุ ีโดยท่วั ไปมีลักษณะดังน้ี
ลักษณะการแต่งกายของผหู้ ญิง
ผม ผมแสกกลาง ตอนบนมนุ่ เป็นมวย ปักดว้ ยป่นิ ยอดแหลม
เครอ่ื งประดับ สวมกาไลตน้ แขน ข้อมอื ท้ัง 2 มีป่ิน เขม็ ขัดมีลวดลาย สวมเทรดิ ที่ ศรี ษะมีกรองคอทาลวดลาย
เป็นแผน่ ใหญ่ ตุ้มหทู าเปน็ หวั เป็ดคว่า
เครอื่ งแตง่ กาย ไมส่ วมเสื้อ นุ่งผ้าใหช้ ายซ้อนกนั ตรงหน้า แล้วปลอ่ ยชายออก 2 ข้าง เปน็ ปลี บางทปี ลอ่ ยชาย
ยาวลงถงึ สะโพกทัง้ ขวาและซ้าย เป็นชายไหว คาดเขม็ ขดั ปลายทาเป็น พคู่ ลา้ ยกรวยเชิงหอ้ ยเรยี งเปน็ แถว ไม่
สวมรองเทา้

การแต่งกายของหญิง สมัยลพบรุ ี

ภาพเขยี นเลียนแบบจากกรมศิลปากร (2511: 39, 41, 42)

สมัยเชียงแสน (ระหวา่ งพุทธศตวรรษที่ 18 – 24)
“เชียงแสน” ปัจจุบันเป็นอาเภอหนง่ึ ในจังหวดั เชียงราย ปัจจบุ นั นักวชิ าการนยิ มเรียกรฐั เชียง

แสนว่า รัฐล้านนา ซ่งึ มอี ารยธรรมและวัฒนธรรมเป็นแบบหน่ึงโดยเฉพาะ (คณะอนุกรรมการ แตง่ กายไทย,
2543: 91) เชยี งแสนมดี ินแดนต่อกบั ดินแดนทางภาคเหนือของอาณาจกั รสโุ ขทัย ชาวเชียงแสนมีความเจริญ
ทางดา้ นศลิ ปวฒั นธรรมและวิทยาการต่างๆ โดยได้รบั อทิ ธิพลทางศลิ ปะ จากอินเดยี สมยั ราชวงศ์ปาละ ผา่ น
ทางมาทางประเทศพมา่ และได้พัฒนาใหม้ ีลักษณะของตัวเอง จนกลายเป็นรปู แบบของศลิ ปะ ไทยแท้ในยุค
แรก มหี ลกั ฐานกล่าวถึงผ้าหลายชนดิ ทง้ั ทีท่ อขนึ้ เป็น ของตัวเองและทอขน้ึ เพ่ือเป็นสินค้าขายใหแ้ ก่อาณาจกั ร
ใกลเ้ คียง เช่นผา้ สีจนั ทร์ขาว ผ้าสจี ันทร์ แดง ผ้าสีดอกจาปา แสดงวา่ มกี ารย้อมสีจากธรรมชาติ (โอม รชั เวทย์,
2543: 40) ทางดา้ นการ แต่งกายจึงเปน็ การแต่งกายเป็นการผสมผสานระหวา่ ง พม่า และขอมลักษณะการ
แตง่ กาย โดยทว่ั ไปมีดังน้ี

ลักษณะการแต่งกายของผู้หญิง
ผม ผมทรงสงู เกลา้ ผมไว้ตรงกลาง
เครอื่ งประดับ สวมเคร่ืองประดับศีรษะ มีรดั เกล้า สวมสร้อยสังวาล รดั แขน กาไลมือ กาไลเท้า ใสตุม้ หู
เครอื่ งแต่งกาย นงุ่ ผา้ ถุงยาวแบบตา่ ที่ระดบั ใต้สะดือ มผี า้ คาดทิง้ ชายยาว ปล่อยชาย พกห้อยออกมาที่ด้านหนา้
เปน็ แฉก ไม่สวมเส้ือ มีสไบแพรบางสาหรับรัดอกใหก้ ระชับขณะทางาน

ลกั ษณะการแต่งกายของผู้ชาย
ผม ไวผ้ มทรงสูง สวมเครอ่ื งประดบั ศีรษะ
เครือ่ งประดับ สวมกรองคอ สร้อยสังวาล กาไลมือ และกาไลเทา้
เครื่องแตง่ กาย นุ่งผา้ สองชาย จับจีบลงมาเกือบถงึ ขอ้ เทา้ ด้านหน้าซ้อนผา้ หลายชัน้ รดั ชายออกเป็นปลีทาง
ด้านข้างคล้ายชายไหวชายแครง มีผ้าขา้ วม้าเคยี นเอว หรอื พาดบา่ อากาศ หนาว จะสวมเส้อื แขนยาว

การแตง่ กายสมัยเชยี งแสน

ภาพวาดเลยี นแบบจากจิตรกรรมฝาพนังวดั ภมู นิ ทรจ์ งั หวัดน่าน
แสดงรูปแบบการแตง่ กายของชาว เชยี งแสนลา้ นนาในชว่ งปลาย
พทุ ธศตวรรษที่ 25 (คณะอนุกรรมการแต่งกายไทย, 2543: 92-95)
สมยั สุโขทยั (ระหวา่ งพุทธศตวรรษที่ 19 – 20)
เมอื่ คร้ังท่ี “พ่อขุนศรอี นิ ทราทิตย์” ทรงสถาปนากรงุ สโุ ขทัยขนึ้ เป็นราชธานี แห่งอาณาจกั ร
สุโขทยั เมอ่ื พ.ศ.1762 ได้มีหัวเมืองต่างๆทม่ี ีคนไทยปกครองกห็ ันมายอมรับเอากรุงสุโขทยั เป็น ศนู ย์กลาง
อานาจ ทาให้มอี าณาเขตแผ่กวา้ งออกไป มีความเจรญิ กา้ วหน้าในทุกด้านทั้ง ศลิ ปวฒั นธรรมและวิทยาการ
(โอม รชั เวทย์, 2543:44) การแตง่ กายของชาวสุโขทยั อาจเทยี บเคยี ง ได้จากภาพเขียนลายเส้นบนแผน่ ศลิ า
จากวัดศรชี ุม ภาพลายเส้นบนรอยพระพุทธบาทท่ีทาด้วย สาริด รปู หลอ่ สารดิ และตุ๊กตาสังคโลก
(คณะอนุกรรมการแต่งกายไทย, 2543: 102-103) ทแี่ สดง ใหเ้ หน็ ทง้ั ทรงผม เสื้อ ผ้าห่ม เครอ่ื งประดบั และ
เครอื่ งหอม
ลกั ษณะการแต่งกายของผหู้ ญิง
ผม ผมยาวเกลา้ มวยบนศีรษะ มพี วงดอกไม้หรอื พวงมาลยั สวมรอบมวย หรอื ไวผ้ มแสก กลาง รวบผมไว้ท้าย
ทอย มีเกยี้ วหรือห่วงกลมคลอ้ งตรงที่รวบ
เครือ่ งประดบั กรองคอ รัดแขน กาไลมือและกาไลเทา้ เคร่ืองปักผมเป็นเขม็ เงิน เข็ม ทอง ใส่แหวน รัดเกลา้
เคร่อื งแตง่ กาย นงุ่ ผ้าซิ่นหรือผา้ ถุงยาวกรอมถึงขอ้ เทา้

การแตง่ กายของหญิง สมยั สุโขทยั

ภาพเขียนเลียนแบบจาก กรมศลิ ปากร (2511: 70, 72, 75)
ลักษณะการแต่งกายของผ้ชู าย
ผม มุน่ ผม หรือปลอ่ ยผมเมื่อยามพักผอ่ นอยูบ่ า้ น
เครือ่ งประดบั กษตั รยิ จ์ ะสวมเทริด กาไล เพชร พลอยสี
เครือ่ งแตง่ กาย นงุ่ กางเกงคร่ึงน่อง แล้วน่งุ ผา้ ถกเขมร หรือหยักรัง้ ทบั กางเกงอีกที ตอ่ มาประยุกต์เป็นนุ่งสน้ั
และทงิ้ หางเหนบ็ เรียกวา่ กระเบนเหนบ็ หรือนุ่งแบบโรยเชิง สวมเสอื้ คอ กลมหรือไม่สวม

การแต่งกายสมัยสโุ ขทัย (ชาย)

ภาพเขยี นเลียนแบบจาก กรมศิลปากร (2511: 79, 81)

สมยั อยุธยา (พ.ศ. 1893 ถึง พ.ศ. 2310)
ราวสมัย พ.ศ. 1893 สมัยพระเจ้าอู่ทองสร้างกรงุ ศรอี ยธุ ยา ชาวบ้านปลดกางเกงหรือ สนับเพลาออกบ้างแลว้
คงใชเ้ ฉพาะขนุ นางข้าราชสานกั แบบขัดเขมรจึงถูกปล่อยให้ยาวลงมาถึง ใตเ้ ขา่ เป็น “นุง่ โจงกระเบน” เสื้อคอ
กลมแขนกรอมศอก สตรนี ุ่งผ้าและผ้ายกหม่ สไบเฉยี ง สวมเสอื้ บา้ งโดยมากเปน็ แขนกระบอก
การแต่งกายของสมัยอยธุ ยามกี ารเปลย่ี นแปลงตามเหตุการณบ์ ้านเมือง ซึ่งมี 3 แบบ ดงั น้ี

1. การแต่งกายตามกฎมณเฑยี รบาล เป็นแบบของเจา้ นาย ข้าราชการช้ัน ผใู้ หญ่ ทั้ง ผ้ชู าย
และผู้หญงิ ตลอดจนพวกมฐี านะจะแต่งตามไปด้วย ผหู้ ญิงยังมีการเกลา้ มวยอยู่ การแตง่ กายแบบ
ชาวบ้าน (ระยะกลางของสมัยอยธุ ยา) มกี ารนุ่งโจงกระเบนทางแถบ เมอื งเหนือ ผชู้ ายอาจไวผ้ มยาว
ส่วนทางใต้ลงมาตดั ผมสนั้ ลงคร้นั สมยั สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ไดม้ ีการไวผ้ มมหาดไทย ผู้หญิงยงั
คงไว้ผมยาวนิยมหม่ สไบ ยุคสงคราม (สมัยอยุธยาตอนปลาย) ทง้ั ผ้ชู ายและผหู้ ญงิ ต้องช่วยกนั ตอ่ สกู้ ับ
ศตั รู ผ้หู ญิงตดั ผมสนั้ ลง เพ่ือปลอมเป็นผชู้ าย และสะดวกในการหลบหนี เสอ้ื ผ้าอาภรณ์จึงตดั ทอน
ไมใ่ หร้ ุ่มร่าม เปน็ อุปสรรคตอ่ การเคลื่อนท่แี ละเคลือ่ นไหว มกี ารหม่ ผ้าตะเบงมานคือห่มไขวก้ ัน บรเิ วณ
หน้าอกแลว้ รวบไปผูกไว้หลงั คอ สว่ นผชู้ ายไม่มีการเปลยี่ นแปลง (อภิโชค แซ่โคว้ , 2542: 22) การ
แต่งกายยุคกรุงศรีอยธุ ยา จึงแบ่งออกเปน็ 4 สมยั ดังน้ี (สมภพ จันทรประภา, 2526: 28)
สมัยท่ี 1 พ.ศ. 1893 ถงึ พ.ศ. 2031
หญิง

2. ผม ยังคงเกล้าผม การเกล้ามี 2 แบบ คอื เกลา้ ไว้ท้ายทอย และเกลา้ สูงบน (หนูนหยกิ ) ศีรษะมี
เครื่องประดับเรียกว่า เกี้ยว เป็นเครื่องรดั มวยผม
เครอ่ื งประดับ สรอ้ ยตัว สรอ้ ยขอ้ มือ กาไล ต่างหู
เคร่ืองแต่งกาย นงุ่ ซ่นิ จบี หนา้ สวมเส้ือ แขนกระบอก คอกลม ผ่าหนา้ เสอ้ื ยาวเข้ารูป มีผา้ คลมุ
สะโพกไวด้ ้านในของตวั เสือ้ แต่ปล่อยชายออกด้านนอก ต่อมาได้ต่อเขา้ กับตวั เสื้อ เป็น ชายเสอ้ื ลงมา
อีกทีหน่ึง

ชาย
ผม มหาดเล็กและคนรับใชต้ ัดผมสน้ั ชายยงั คงเกล้าผมกลางกระหม่อมเช่นเดยี วกบั หญิง
เครื่องแตง่ กาย นุ่งกางเกงยาวลงมาแคห่ นา้ แขง้ ปลายขาเรียวเลก็ กว่าเดิม นงุ่ ผา้ หยกั ร้งั แบบเขมร
ซอ้ นทับกางเกง ชายผา้ ยาวเสมอเข่า ใช้ผ้าคาดเอว สวมเส้อื คอแหลม แขนยาวจรดข้อมือ ผา่ อก สาบ
ซ้ายทบั สาบขวา มีผา้ กนุ๊ ตรงปลายแหลม คอ สาบหน้า และชายเสอ้ื
เครอื่ งประดบั จากหลกั ฐานการขุดกรใุ ต้พระปรางค์วดั ราชบูรณะพบวา่ สว่ นบนของ มงกฎุ ทค่ี รอบ
มวยพระเศียรของกษัตรยิ ์ พาหรุ ัดหรือทองกร เคร่ืองประดับศรี ษะถกั ด้วยลวดทองคา

การแต่งกายสมัยอยุธยา (สมัยท่ี 1)

ภาพเขยี นเลยี นแบบจากพวงผกา คโุ รวาท (2535: 55)
สมยั ท่ี 2 พ.ศ. 2034-2171
หญงิ
ผม ตดั ผมส้ัน หวเี สยข้ึน ไปเป็นผมปกี บ้างก็ยังไวผ้ มยาวเกล้าบนศรี ษะ เลกิ เกล้าเมื่อ พ.ศ. 2112 เพราะตอ้ ง
ทางานหนกั ไม่มเี วลาเกลา้ ผม
เครอ่ื งแตง่ กาย นุง่ กางเกงหรือโจงกระเบน สวมเส้ือแขนกระบอก คอกลมผ่าอก ไมน่ ิยมสไบ ผู้หญิงช้นั สูงสวม
เส้ือคอแหลม มผี า้ คล้องไหล่ 2 ข้าง
การห่มสไบมีหลายแบบ
1. พนั รอบตัวเหน็บทิ้งชาย ห่มแบบสไบเฉยี ง คือ พันรอบอก 1 รอบแลว้ เฉวียงขน้ึ บา่ ปล่อยชายไวข้ า้ ง
หลังเพยี งขาพบั แบบสะพัก สองบ่า ใชผ้ ้าพนั รอบตวั ทบั กันที่อกแล้วจงึ สะพักไหล่ท้ังสองปล่อยชายไป
ข้าง หลัง ท้ัง 2 ขา้ ง แบบคล้องไหล่ เอาชายไวข้ า้ งหลังท้ังสองชาย แบบคล้องคอห้อยชายไว้ข้างหน้า
แบบห่มคลมุ
ชาย
ผม ตดั ผมสัน้ แสกกลาง
เครอ่ื งแต่งกาย นุ่งโจงกระเบน ไม่สวมเสื้อ มผี า้ คล้องไหล่

การแตง่ กายสมัยอยุธยา (สมัยท่ี 2)

ภาพเขียนเลยี นแบบจากพวงผกา กโุ รวาท (2535: 56)
สมยั ท่ี 3 พ.ศ. 2173 – พ.ศ. 2275
หญงิ
ผม สตรีในสานกั ไวผ้ มแบบหญงิ พมา่ และลา้ นนาไทย คือ เกล้าไวบ้ นกระหม่อมแล้ว คล้องดว้ ยมาลัย ถดั ลงมา
ปลอ่ ยผมสยายยาว สว่ นหญิงชาวบา้ นตัดผมสน้ั ตอนบนแล้วถอนไรผม รอบ ๆ ผมตอนที่ถัดลงมาไวย้ าวประบา่
เรียกวา่ “ผมปีก” บางคนโกนทา้ ยทอย คนรนุ่ สาวไวผ้ ม ดอกกระทุ่มไม่โกนท้ายทอยปล่อยยาวเปน็ รากไทร
การแตง่ กาย หญิงในราชสานักนุ่งผา้ ซิน่ สวมเสือ้ ผ่าอก คอแหลม (เดมิ นยิ ม คอกลม) แขนกระบอกยาวจรด
ข้อมือหญิงชาวบา้ นนงุ่ ผ้าจีบห่มสไบ มี 3 แบบ คือ รัดอก สไบเฉยี ง และหม่ ตะเบงมาน (หม่ ไขว้กนั แล้วรวบไป
ผูกไว้หลังคอ) เหมาะสาหรบั เวลาทางาน บุกปา่ ออกรบ
เคร่ืองประดบั ปกั ปิ่นทองท่ีมวยผม สวมแหวนหลายวง สรอ้ ยคอ สร้อยข้อมือ
การแตง่ หน้า หญงิ ชาววัง ผัดหนา้ ย้อมฟัน และเลบ็ เปน็ สีดา ไวเ้ ล็บยาวทางปากแดง หญิงชาวบ้าน ชอบประ
แปง้ ลายพร้อย ไม่ไวเ้ ลบ็ ไมท่ าแก้ม ปาก
ชาย
ผม ตดั สั้น ทรงมหาดไทย (คงไว้ตอนบนศีรษะรอบๆ ตดั ส้ัน และโกนทา้ ยทอย)
การแต่งกาย น่งุ โจงกระเบน ใช้ผา้ ขาวม้าคลอ้ งคอ แลว้ ตลบไปห้อยชายไวท้ างด้านหลงั สวมเสื้อคอกลม ผ่าอก
แขนยาวจรดข้อมอื ในงานพธิ ีสวม เสื้อ ยาวถงึ หวั เข่า ตดิ กระดมุ ดา้ นหนา้ 8 – 10 เม็ด แขนเส้อื กว้าง และ
สนั้ มาก ไม่ถงึ ศอก นยิ มสวมหมวกแบบต่าง ๆ ขุนนางจะสวม ลอมพอกยอดแหลม ไปงานพิธจี ะสวมรองเทา้
แตะปลายแหลมแบบแขกมวั ร์

การแต่งกายสมัยอยุธยา(สมัยที่ 3)

ภาพเขยี นเลยี นแบบจากพวงผกา คุโรวาท (2535: 58,60)

สมัยท่ี 4 พ.ศ. 2275 ถงึ พ.ศ. 2310
หลักฐานจากวัดใหญ่สวุ รรณารามจงั หวดั เพชรบรุ เี ป็นลกั ษณะเครื่องทรงในพระมหา กษัตริยแ์ ละคนช้ัน สงู
หญิง การแตง่ ผม มี 3 แบบ คือ

1. ทรงผมมวยกลางศีรษะ
2. ทรงผมปีกมจี อนผม
3. ทรงหนูนหยกิ รกั แครง (เกล้าพับสองแล้วเกี้ยว กระหวดั ไว้ทโ่ี คน รกั แครง เกล้า ผมมวยกลมเฉียงไว้

ด้านซา้ ยหรอื ขวา)
4. ทรงผมประบา่ มักจะรวมผมปีกและผมประป่าอย่ใู นทรงเดียวกันและผมปีกทา เป็นมวยด้วย

เครอื่ งประดับ นยิ มสวมเทรดิ สวมกาไลข้อมอื หลายอนั มีสรอ้ ยข้อมอื ท่ใี หญ่กวา่ สมัยใด สร้อยตวั สวมเฉียงบา่ มี
ลวดลายดอกไม้ สง่ิ ท่ีใหม่กวา่ สมยั ใดคือ สวมแหวนก้อยชนิดต่าง ๆ และ แหวนงรู ดั ต้นแขน
การแต่งหน้าแต่งตวั ทาขม้นิ ให้ตวั เหลืองดงั ทอง ผดั หนา้ ขาว ย้อมฟนั ดา ย้อมนว้ิ และเล็บดว้ ยดอกกรรณกิ าร์
ให้สีแดง
การแตง่ กาย ของคนชนั้ สงู นงุ่ ซิน่ ยก จบี หนา้ ห่มตาด สวมเสื้อร้ิวทอง (ทาดว้ ยผ้าไหม สลบั ดว้ ยเสน้ ทองแดง)
ห่มสไบ ชาวบ้านท่อนบนคาดผ้าแถบหรอื ห่มสไบ นุง่ โจงกระเบนหรอื ผ้าถุง

การห่มสไบมี 2 แบบ คือ
1.ห่มคลอ้ งคอตลบชายไปข้างหลงั ทงั้ 2 ขา้ ง กนั บนเสื้อ ร้ิวทอง และใชเ้ จยี ระบาด (ผ้าคาดพุง) คาด
ทบั เส้ือปล่อยชายลงตรงด้านหนา้
2.ห่มสไบเฉียงไมใ่ สเ่ สอื้ เม่ืออยกู่ บั บ้าน

ชาย ไว้ทรงมหาดไทย ทานา้ มันหอม
การแตง่ กาย สวมเสอ้ื คอกลมสวมศีรษะ แขนยาวเกือบจรดศอก มีผ้าหม่ คล้องคอแล้ว ตลบชายทง้ั สองไปข้าง
หลัง นงุ่ โจงกระเบน สว่ นเจ้านายจะทรงสนบั เพลาก่อน แล้วทรงภูษา จบี โจง มีไหมถักรดั พระองค์ แลว้ จึงทรง
ฉลองพระองค์ คาดผ้าทิพยท์ ับฉลองพระองค์อกี ที การแตง่ กายสมยั อยุธยา สาหรบั ผทู้ ่สี นใจควรศกึ ษาลาย

ละเอียดเพ่มิ เติมจากหนงั สือ อยุธยาอาภรณ์ ของสมภพ จันทรประภา 2526 และการแต่งกายไทย :
ววิ ฒั นาการจากอดีตสู่ ปัจจุบัน 1 สานักงานเสริมสร้างเอกลกั ษณข์ องชาติ 2543 จะได้ลายละเอียดเพิม่ เติม

การแต่งกายสมัยอยุธยา (สมัยท่ี 4)

ภาพเขยี นเลียนแบบจากพวงผกา คุโรวาท (2535: 62)
การแต่งกายของไทยเราจะแสดงลกั ษณะเด่นชดั ตอนสมยั สุโขทยั เป็นราชธานีลงมา เครื่องแต่งกายของคน
ย่อมเปน็ ไปตามสภาพดินฟา้ อากาศ ในปัจจบุ นั ก็ยงั สรุปไมไ่ ดอ้ ยา่ งสนิ้ เชิง ว่าคนไทยเคยอยู่ตอนใต้ของประเทศ
จนี หรืออยู่ ณ ท่ีนี้มานานแล้ว มคี วามสาคญั ในการทีจ่ ะ สนั นษิ ฐานวา่ การแต่งตวั เหมือนเผ่าไทยที่ยังอยู่ในเขต
แดนจีน มอี ากาศหนาวจงึ สวมเสอื้ หลายช้ัน ถ้าคนไทยอยู่ใน ณ ท่ีน้ันนานแล้ว ซึ่งจะมีอากาศร้อน เสื้อ ผา้ กจ็ ะมี
ลกั ษณะชนดิ พันหลวม ๆ มากว่าจะเปน็ แบบรดั ตรงึ แนบตวั นบั ตงั้ แต่สมยั สุโขทยั ลงมาเห็นได้ว่าเคร่ืองแต่งกาย
ของคนอินเดียไดเ้ ขา้ มาเปน็ สว่ นหนึง่ ของเครอ่ื งแต่งกายไทย ผ้าจีบและสไบก็คอื ผา้ สา่ หรีดัดแปลงเป็นสองทอ่ น
ส่วนผ้าน่งุ ก็คือผา้ น่งุ ของผชู้ ายอนิ เดีย คนไทยมีลักษณะพิเศษเฉพาะตวั อยู่อยา่ งหนึ่งคือ เม่อื รบั วฒั นธรรมของ
ใคร มาแล้วรู้จกั ดัดแปลงให้เข้ากบั สภาพวิถชี ีวิตของตนเอง จนกลายเป็นไทยในทส่ี ดุ นุง่ โจงห่มจีบ ของไทยก็
ไดม้ าจากห่มส่าหรีของแขกก็จรงิ แต่ไม่ใชแ่ ขก เรามกี ารใชค้ าวา่ เครือ่ งน่งุ หม่ มาก่อน เคร่ืองแต่งกาย เพราะใชน้ ุ่ง
และห่มจรงิ คือใช้ปกคลมุ ท่อนล่างและบนแยกกนั เปน็ คนละสว่ น

เครื่องนุ่งหม่ ของไทยตงั้ แต่อดตี เป็นการใช้ประโยชนท์ ั้งในดา้ นความเหมาะสม การประหยดั
และความคลอ่ งตวั ในการดดั แปลง เชน่ ในสมยั อยธุ ยาการแตง่ กายของสตรีไทยตามปกติจะ แสดงออกซง่ึ ความ
น่มุ นวลและความเป็นผหู้ ญงิ แต่พอถึงปลายสมยั กรุงศรีอยุธยา เมื่อไทยจะทา สงครามกับพมา่ เป็นเวลาท่สี ตรี
ไทยต้องออกต่อส้เู คียงบ่าเคียงไหลก่ ับชาย การแต่งกายของสตรกี ็ เปลี่ยนไปให้เหมาะสมกบั บทบาทใหม่ คือ
แตง่ กายใหร้ ัดกุม ไม่รมุ่ รา่ ม สะดวกในการเคล่ือนไหว เป็นการหม่ ผา้ แบบ “ตะเบงมาน” ผมกต็ ดั สนั้ เพื่อ
สะดวกในการรบ หนีภัย และการปลอมแปลง เป็นชาย

สาหรบั เครอื่ งแต่งกายที่ใชส้ าหรับทางานกลางแจง้ หรือทาไร่ ทานาของคนไทยนั้น ก็จะใช้ สีเข้ม
เพ่อื ไมใ่ ห้สกปรกง่าย ตวั เส้ือ ของสตรีเปน็ เส้ือ ผา่ อก แขนกระบอกเพ่ือกนั แดด (นฤมล ปราชญโ์ ยธิน, 2525:
1,7)

สมัยรตั นโกสินทร์
รชั กาลที่ 1-3 พ.ศ. 2325 – 2394 ระยะ 69 ปี

หญิง
ผม ไวผ้ มปกี ประบา่ กนั ไรผมวงหน้าโค้ง ส่วนบนกระหม่อมกันไรผมเปน็ หยอ่ มวงกลม แบง่ ผมออกดูคลา้ ยปีกนก
จึงเรยี กผมปกี แต่ไม่ยาวเท่าสมยั อยุธยา ปลอ่ ยจอน ข้างหูยาวแลว้ ยกข้ึน ทดั ไวท้ ่หี ู เรยี กว่า “จอนหู” ส่วนเดก็
ๆ นยิ มไว้ผมจุก
การแตง่ กาย น่งุ ผา้ จบี ห่มสไบเฉยี ง ซึง่ ไดร้ บั อทิ ธิพลมาจากสมัยอยุธยา ชาวบ้านนุ่งผา้ ถุง หรือโจงกระเบน
สวมเส้อื รัดรปู แขนกระบอก ห่มตะเบงมาน หรือผ้าแถบคาดรัดอก และหม่ สไบ เฉียงทบั

ชาย
ผม ยังคงไวแ้ บบเดยี วกับสมัยอยุธยา คือ ทรงมหาดไทย ชาวบ้านเรียกว่า “ทรงหลกั แจว”
การแตง่ กาย นุ่งผ้ามว่ ง โจงกระเบน สวมเสอื้ เปน็ แบบเสื้อนอกคอเปิด ผ่าอก แขนยาว กระดมุ 5 เม็ด ชาวบ้าน
จะไมส่ วมเส้ือ หรือพาดผ้า รูปแบบการน่งุ ผ้า ระหวา่ งชาววงั และชาวบา้ นไมน่ า่ จะมีอะไรแตกตา่ งกันมาก แตจ่ ะ
มี รายละเอยี ดบางสว่ นคอื เนื้อผา้ พวกชาววัง ขนุ นาง ชนชน้ั สงู มักใชผ้ ้าทอเนื้อละเอียด สอดเงนิ สอดทอง
หรอื ผ้าไหมอยา่ งดี ส่วนชาวบา้ นนงุ่ ผ้าพน้ื เมือง พวกผ้าพนื้ หรือผ้าลายเนอื้ เรียบ ๆ ตามหลกั ฐานรูปจิตรกรรม
ฝาผนงั พวกขุนนางมักสวมเส้ือคอกลม ผา่ กลาง มกี ระดมุ มสี าบเสื้อ หรือเปน็ เสื้อคอเปิด มีกระดุม จะมผี า้ คาด
ทับ ส่วนกางเกงจะเป็นแบบขาสามสว่ น ยาวเพียงครง่ึ น่อง บางทกี ็นุ่งโจงกระเบนทบั ในสมยั รัชกาลที่ 3 ไม่
โปรดให้สวมเสือ้ เข้าเฝา้

การแต่งกายของคนสามญั
ราษฎรสว่ นใหญม่ อี าชีพเป็นเกษตรกร ทานา ทาสวน ทาไร่ การแตง่ กายของชายหญิงจงึ เอ้ืออานวยตอ่ การใช้
ชีวิตแบบเกษตรกร การแตง่ กายจงึ มีลักษณะทะมดั ทะแมง คอื นุ่งผา้ ชน้ิ เดียว ด้วยวธิ นี ุ่งถกเขมร เป็นการนุ่ง
โจงกระเบน แต่ถกให้ส้นั เหนือเข่า เพ่ือสะดวกในการออกแรง ไมส่ วมเสือ้ โพกผ้าที่ศรี ษะ ไม่สวมรองเทา้ หาก
อยูบ่ ้านไม่ทางานก็นงุ่ ผ้าลอยชาย หรอื น่งุ โสร่งมี ผ้าคาดพุง ในงานเทศกาลมกั นุ่งผ้าโจงกระเบนเปน็ ผ้าแพรสี
ตา่ ง ๆ และห่มผา้ คลอ้ งคอปล่อยชาย ยาวท้งั สองไว้ดา้ นหน้า หรอื คลอ้ งไหล่ทิ้งชายไวด้ ้านหน้า หรือพาดตาม
ไหล่ไว้

ทรงผม ตดิ เปน็ ผมปกี หรือผมตดั แบบผู้ชาย
สตรชี าวบา้ นนุ่งผา้ จีบ หม่ สไบ เวลาทางานห่มตะเบงมาน อยบู่ ้านหม่ เหน็บหนา้ แบบผ้าแถบ เวลาออกจากบ้าน
หม่ สไบเฉยี ง ถ้าเป็นสตรสี าวตดั ผมสน้ั แบบดอกกระทุ่ม ปล่อยทา้ ยยาวงอนถงึ บ่า ผใู้ หญ่ตัดผมปีกแบบโกนทา้ ย
ทอยสัน้ ลักษณะการแต่งกายของคนสามัญไมค่ ่อยมีการเปล่ียนแปลงจนมาถงึ สมัยรชั กาลที่ 4

การแตง่ กายสมัยรชั กาลท่ี 1-3

รัชกาลท่ี 4 พ.ศ. 2394 – 2411 ระยะ 17 ปี
ตามธรรมดาคนไทยสมยั โบราณ ไม่นิยมสวมเส้ือผา้ แม้แตเ่ วลาเขา้ เฝา้ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจ้าอยหู่ ัว
จึงประกาศให้ขา้ ราชการสวมเสื้อเขา้ เฝ้า ในสมยั รัชกาลท่ี 4 ทรงสนับสนุนให้มีการศึกษาภาษาอังกฤษ และ
วฒั นธรรมตะวนั ตกขึ้น ในราชสานกั จึงเกิดการเปล่ยี นแปลงเครอ่ื งแต่งกายสตรี โดย
หญงิ
ผม หญงิ ไวผ้ มสั้น ทเ่ี รยี กวา่ “ผมปกี ” แต่ไม่ยาวประบ่า ด้านหลงั ตดั สั้น บางคนกโ็ กน ผมขึ้น มาเหมือนผม
มหาดไทยของผู้ชาย มกี ารถอนไรผมให้มีรอยเปน็ เส้น วงรอบผมปีกไว้ ชาย ผมตกที่ริมหูท้ังสองขา้ งเรียก “ผม
ทดั ”
การแต่งกาย นงุ่ ผ้าลายโจงกระเบน นุ่งผ้าจีบ ใสเ่ สื้อผา่ อก คอตงั้ เตีย้ ๆ ปลายแขน แคบยาวถึงขอ้ มือ เส้ือพอดี
ตวั ยาวเพยี งเอว เรยี กว่า เสอ้ื กระบอกแลว้ ห่มแพรสไบจีบเฉียงบนเส้ือ อีกที (ต่อมาเรียกว่า “แพรสพาย” ใน
สมัยรชั กาลท่ี 5)
เครือ่ งประดับ สตรีทีส่ งู ศักด์จิ ะใช้ กระเจียก ทบั ทรวง ตาด พาหุรัด สะอง้ิ สร้อย สงั วาลย์ หุ้มหเู พชร แหวน
เพชร

การแตง่ กายสมัยรชั กาลท่ี 4 (หญิง)

ชาย
ผม ไวผ้ มทรงมหาดไทย ส่วนรชั กาลท่ี 4 จะไม่ทรงไวท้ รงมหาดไทย
การแต่งกาย นุ่งผ้ามว่ งแพรโจงกระเบน สวมเสือ้ นอกเหมือนพวกบ้าบา๋ (ชายชาวจนี ทีเ่ กดิ ในมลายู) สวมเส้ือ
เปดิ อกคอเปิด หรอื เป็นเสื้อกระบอก คือตัดเปน็ รูปกระบอก แขนยาว

พระมหากษัตริย์ และพวกราชทูตไทยจะแต่งตวั แบบฝรงั่ คือ สวมกางเกง ใสเ่ สอ้ื นอกคอเปดิ
สวมรองเท้าคัทชู ไม่ไว้ผมทรงมหาดไทย พวกทูตเมอื่ กลบั มาเมอื งไทยให้ไว้ผมทรงมหาดไทย เหมอื นเดิม ใน
สมยั รัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5 เรอ่ื งการแต่งกายจะมกี ารเปลย่ี นแปลงปรับปรุงมาก ไมใ่ หฝ้ ร่ังดูถูกได้ รวมถึง
พระสนมกส็ วมกระโปรงแบบฝร่ัง เส้ือแบบฝรงั่

การแตง่ กายสมัยรชั กาลที่ 4

สมัยพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยู่หัว
รัชกาลที่ 5 (พ.ศ. 2411 – 2453) ระยะ 42 ปี
ใน พ.ศ. 2414 ไดท้ รงปรับปรงุ ประเพณีการไว้ผม ใหผ้ ้ชู ายไทยเลิกไว้ผมทรงมหาดไทย เปล่ยี นเปน็ ไวผ้ มยาว
อยา่ งฝร่ัง ส่วนผหู้ ญงิ ใหเ้ ลกิ ไว้ผมปกี ใหไ้ วผ้ มตดั ยาวทรงดอกกระท่มุ การเปล่ียนแปลงการแต่งกายในสมัย
รชั กาลที่ 5 สรุปได้ ดังนี้

ตน้ สมัยรัชกาลที่ 5
หญิง
ผม เลกิ ไวผ้ มปกี หันมาไว้ผมยาวประบา่
การแต่งกาย นุ่งผ้าลายโจงกระเบน เสอ้ื กระบอก ผ่าอก แขนยาว ห่มแพร จบี ตามขวาง สไบเฉียงทาบบนเสอ้ื
อีกชนั้ หน่ึง ถ้าอย่บู ้านห่มสไบไมส่ วมเสือ้ เม่ือมีงานพธิ ีจึงน่งุ หม่ ตาด
เครอื่ งประดบั สรอ้ ยคอ สรอ้ ยตัว สร้อยขอ้ มือ กาไล แหวน เขม็ ขดั
ชาย
ผม เลกิ ไวท้ รงมหาดไทย หันมาไวผ้ มยาวทั้งศีรษะ ผมรองทรง
การแต่งกาย นุ่งผ้ามว่ งโจงกระเบน สวมเสือ้ ราชประแตน คือ เสอ้ื นอกกระดุม 5 เมด็ สวมหมวกหางนกยูง ถือ
ไมเ้ ท้า ไปงานพธิ ีจะสวมถงุ เท้ารองเท้าด้วย หรอื สวมเสื้อแพรสีตาม กระทรวงและหมวดเหลา่ ตามชั้น เจา้ นาย
เสอ้ื แพรสีไพล ขนุ นางกระทรวงมหาดไทย เสื้อแพรสี เขียวแก่ ขนุ นางกระทรวงกลาโหม เสือ้ แพรสีลูกหว้า ขนุ
นางกรมท่า (กระทรวงตา่ งประเทศ) เสอ้ื แพรสีนา้ เงนิ (ภายหลงั คือ สกี รมท่า) มหาดเล็ก เสือ้ แพรสีเหล็ก พล
เรือนจะใส่เส้ือปกี เปน็ เส้ือคอ ปิดมชี ายไม่ยาวมาก คาดเข็มขัดนอกเสอื้

การแต่งกายสมัยตน้ สมัยรชั กาลที่ 5

กลางสมัยรัชกาลท่ี 5

หญงิ ไว้ผมยาวเสมอตน้ คอ
เครือ่ งประดบั สรอ้ ยสังวาลย์ เข็มขัดทองหัวลงยาประดบั เพชรพลอย
การแตง่ กาย นงุ่ ผา้ จีบไว้ชายพก เมื่อมีพธิ ียังใหน้ ุ่งโจงกระเบนอยู่ นยิ มเสือ้ แบบตะวันตก คอตงั้ แขนยาวต้น
แขนพองแบบหมูแฮม มีผา้ หม่ หรือแพร สไบเฉยี งตามโอกาสห่มทบั ตวั เส้อื อกี ที สตรีชาววงั จะสะพายแพรชมพู
ปกั ด้ิน ลวดลายตามยศท่ีได้รับพระราชทาน สวมรองเท้าบู๊ตและ ถุงเทา้ ตลอดน่อง
ชาย แต่งเหมือนสมัยตน้ รชั กาล ฝา่ ยพลเรอื นมีเคร่ืองแบบแตเ่ ตม็ ยศ เปน็ เสอ้ื แพร สีกรมท่า ปกั ทองที่คอและ
ข้อมือ เวลาปกตใิ ช้เส้ือคอปดิ ผกู ผ้าผูกคออยา่ งฝรั่ง นุง่ ผ้าไหมสนี า้ เงิน แก่ ถุงเทา้ ขาว รองเท้าหนงั ดา หมวก
เฮลเม็ท (Helmet) แพรขนสีดา

การแตง่ กายสมัยกลางสมัยรัชกาลที่ 5

ปลายรชั กาลท่ี 5
หญิง

ผม ไวผ้ มทรงดอกกระทุม่
เครอ่ื งประดบั นยิ มสร้อยไข่มุก ซอ้ นกันหลาย ๆ สาย เคร่อื งประดบั อน่ื ๆ ก็อนโุ ลมตาม ฐานะ และความงาม
การแตง่ กาย นุ่งโจงกระเบน สวมเสื้อแพรไหม ลูกไม้ ตัดแบบตะวันตก คอตั้งสงู แขนยาว พองฟู เอวเส้ือผา้
จีบเข้ารปู หรือคาดเข็มขดั หรือห้อยสายนาฬกิ า สะพายแพร สวมถุงเท้ามี ลวดลายปกั สี รองเทา้ ส้นสงู
การแต่งหน้า นิยมใชเ้ ครือ่ งสาอางแบบตะวนั ตก ขัดฟันให้ขาว

ชาย
ผม ไว้ผมรองทรง
การแตง่ กาย นุง่ กางเกงฝรงั่ แทนโจงกระเบน สวมหมวกกะโล่ ข้าราชการแตง่ แบบ พระราชกาหนด คอื
เครอ่ื งแบบ (Uniform) เหมือนอารยะประเทศ
ในสมัยรชั กาลท่ี 5 เปน็ ยคุ แห่งการเปลี่ยนแปลงการแตง่ กายของคนไทยอยา่ งแท้จรงิ ทรง เสดจ็ ประพาสยุโรป
ทรงนาแบบอยา่ งการแตง่ กายแบบยุโรปกลับมาใช้ในประเทศไทย ซ่ึงผูน้ าใน เร่อื งการแต่งกายหรือความเป็นอยู่
อนื่ ๆ คือ บุคคลช้นั สงู แตง่ นาแล้วจึงมีผู้แตง่ ตาม เส้ือทรงพรนิ้ เซส (เสื้อรดั รูปมีตะเขบ็ เปน็ ทางตั้ง) เป็นทน่ี ยิ ม
ไดด้ ัดแปลงเป็นเสื้อชั้น ในรนุ่ แรก คอื ตัดโค้งให้กวา้ ง และไมม่ แี ขน ตัดสัน้ เหนือเอว เปดิ ตลอดด้านหน้ากลัด
ดมุ มีกระเป๋าตรงใต้อก 1-2 ใบ เรียกวา่ เสอ้ื ผ่าตะเข็บ เสื้อชั้น ในรุ่นต่อจากเสอ้ื ผ่าตะเข็บคือเส้ือคอกระเชา้ ซ่ึง
เดียวน้กี ย็ งั มีคนใส่เช่นนั้น อยู่ อยา่ งไรก็ตาม การเปลย่ี นแปลงเครือ่ งแต่งกายนี้เป็นไปเฉพาะในหมเู่ จา้ นายใน
ราชสานัก และคนชัน้ สงู ทม่ี ีกาลังทรัพย์ ชาวบา้ นท่วั ไปอาจจะตามไมท่ ัน ตามช้า หรอื ไม่มกี าลงั จะทาตามก็
แต่งตามเทา่ ท่จี ะสามารถทาได้ อยา่ งงา่ ยทสี่ ุดกค็ ือเปล่ยี นทรงผม นอกจากนั้น ก็สวมเส้อื ธรรมดา นงุ่ ผา้ สวม
กางเกงแพรของจีนอยา่ งง่าย ๆ

การแต่งกายสมัยปลายรัชกาลท่ี 5

สมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้ เจ้าอยู่หวั
(รชั กาลที่ 6) พ.ศ. 2543 – พ.ศ. 2468 ระยะ 15 ปี
หญิง
ผม ไวผ้ มยาวเสมอตน้ คอ ตัดเป็นลอน หรือเรยี กวา่ ผมบ๊อบ คอื ตัดสน้ั ระดบั ในหูตอนลา่ ง สองขา้ งยาวเทา่ กัน
นยิ มดดั ข้างหลงั ให้โค้งเข้าหาต้นคอเลก็ น้อย หรอื ตัดสนั้ แบบ “ทรงซิงเกลิ้ ” ลกั ษณะตัดสนั้ คล้ายผมปอ๊ บผิด
กบั ตรงด้านหลังผมซิงเกิ้ลซอยด้านหลงั ให้ลาดเฉยี งลงแนบต้นคอ ใช้เครื่องประดบั คาดรอบศรี ษะ ตอนปลาย
รชั กาลไว้ผมยาว และเกลา้ มวยแบบตะวนั ตก
เครื่องประดบั นยิ มสรอ้ ยไขม่ ุก ตา่ งหูหอ้ ยระย้า เพื่อให้เข้าชุดกบั เครื่องแต่งกาย
เครือ่ งแตง่ กาย ตอนแรกนยิ มนุง่ ผา้ โจงกระเบนผ้ามว่ ง สวมเสอื้ ผา่ อก คอลึก แขนยาว เสมอข้อศอก สะพาย
แพรบาง ๆ ต่อมาเร่ิมนุ่งซ่ินตามพระราชนยิ ม สวมเสอ้ื ผา้ แพรโปร่งบางหรอื ผ้าพมิ พด์ อก คอเสื้อกวา้ งขึ้น อีก
และแขนเส้ือสัน้ ประมาณต้นแขน ไม่มีการสะพายแพร
ชาย
ผม ผมยาวกว่าเดมิ ตัดแบบยุโรป หวผี มเรยี บไม่คอ่ ยสวมหมวก
การแตง่ กาย ยังคงนุ่งผ้ามว่ งโจงกระเบน สวมเสื้อราชปะแตน เพมิ่ เส้อื ครุยแขนยาว จรดข้อมือ ตดั เสอื้ ยาวคลุม
เขา่ สวมทบั อีกที เริ่มนุ่งกางเกงแบบฝรั่งในระยะหลงั ประชาชน ธรรมดามกั นงุ่ กางเกงแพรของจนี สวมเส้ือคอ
กลมผา้ ขาวบาง
ขอ้ สังเกตในการแต่งกายของสตรใี นรัชกาลน้คี อื การไวผ้ มยาว ในทีน่ ้หี มายถงึ การเลิกไว้ ผมปีกหรือทรงดอก
กระทุ่ม และนยิ มคาดศรี ษะด้วยผา้ หรือไขม่ ุก แล้วเอกลักษณอ์ ีกอยา่ งหนึ่งคือ นงุ่ ซ่ิน เพราะตา่ งกบั รัชกาลอื่น

การแตง่ กายสมัยรัชกาลท่ี 6

สมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ เจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ 7 (พ.ศ. 2468 – 2477) ระยะ 9 ปี
สตรไี ทยสมัยน้แี ต่งกายแบบตะวนั ตกมากข้นึ เลิกนุ่งโจงกระเบน นุ่งซ่นิ แค่เข่า สวมเสอ้ื ทรงกระบอกตัวยาว
คลุมสะโพก ไม่มีแขน จะเป็นเอกลกั ษณ์ของสมยั นี้ ไว้ผมส้นั ดัดลอน นิยมดัดผม มากขึน้ ชายนิยมนุ่งกางเกง
แบบสีตา่ ง ๆ เช่นเดียวกับผา้ ม่วง ขา้ ราชการนุง่ ผ้ามว่ งสีนา้ เงิน เส้ือ ราชปะแตน สวมถุงเท้า รองเทา้ สวมหมวก
สักหลากมปี ีกหรือหมวกกะโล่ ราษฎรยังคงนุ่งโจงกระเบน สวมเสอ้ื ธรรมดา ไมส่ วมรองเท้า ใน พ.ศ. 2475

ไดม้ ีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเปน็ การสน้ิ สุด ระบบสมบูรณาญาสิทธริ าช เป็นการปกครอง
ระบบประชาธิปไตย คนไทยสนใจกบั อารยธรรม ตะวันตกอยา่ งเตม็ ท่ี การแตง่ กายมีการเลียนแบบฝร่งั มากขึน้
ใหน่งุ กางเกงขายาวแทนการน่งุ ผ้ามว่ ง อยา่ งไรกต็ ามอิทธพิ ลการแตง่ กายแบบตะวนั ตกจะเขา้ ครอบคลุมเฉพาะ
ชนบางกลมุ่ สามัญชนทว่ั ไปยังคงแตง่ กายตามประเพณีเดมิ คือ ชายสวมกางเกงแพรหรอื สวมกางเกงสามสว่ น
เรียกว่ากางเกงไทย ใส่เสอ้ื ธรรมดา ไมส่ วมรองเท้า สตรสี วมเสื้อคอกระเชา้ เก็บชายเสอ้ื ไว้ในผา้ ซน่ิ หรือโจง
กระเบน ออกนอกบ้านจึงแต่งสุภาพ

การแตง่ กายสมัยรัชกาลที่ 7

สมัยพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หัวอานันทมหดิ ล
รชั กาลท่ี 8 (พ.ศ. 2477 – 2489) ระยะ 12 ปี
เป็นยุครัฐนิยม โดยจอมพล ป.พิบลู สงคราม มีการกาหนดเคร่อื งแตง่ กายเป็น 3 ประเภท คือ

1. ใชใ้ นที่ชมุ ชน
2. ใช้ทางาน
3. ตามโอกาส
หญงิ สวมเส้ือแบบไหนกไ็ ด้ แต่ตอ้ งคลุมไหล่ นุ่งผา้ ถุง ต่อมานุง่ กระโปง หรือผ้าถงุ สาเร็จ สวมรองเทา้ สวม
หมวก เลกิ กนิ หมาก สตรีสงู อายไุ ม่ค้นุ กับการนงุ่ ผา้ ถุงก็จะนุ่งโจงกระเบนไว้ขา้ งใน
ชาย สวมเส้อื มแี ขน คอปิดหรือเปดิ ก็ได้ ชาวชนบทเสื้อทรงกระบอกแขนยาวคอต้งั กลดั กระดุม 5 เม็ด มี
กระเปา๋ สวมกางเกงแบบสากล สวมรองเท้า สวมหมวก คนแกต่ ามชนบทจะ นุ่งโจงกระเบนอยบู่ า้ ง สรุปแลว้
สมยั นก้ี ารแตง่ กายเป็นสากลมากขึน้

การแต่งกายสมัยรชั กาลที่ 8

สมยั พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หวั รัชกาลปัจจบุ นั
(รัชกาลที่ 9 พ.ศ. 2489) ทรงครองราชยม์ าถงึ ปัจจบุ นั
ในปี พ.ศ. 2503 มีเหตกุ ารณ์เกย่ี วกบั การแต่งกายท่ตี ้องบันทึกไว้ นนั่ คือ เกิดชดุ ประจาชาติ ของฝ่ายหญงิ
สาหรับเปน็ เคร่อื งแต่งกายหลัก แสดงเอกลักษณไ์ ทยโดยตรง ตน้ เดมิ ของเร่ืองที่ปรากฏไว้อยา่ งแจม่ ชดั ใน
หนังสือพระราชนิพนธ์ของสมเดจ็ พระนางเจ้าฯ พระบรมราชินนี าถช่ือหนงั สือ “ความทรงจาในการตามเสด็จ
ต่างประเทศทางราชการ” ซ่งึ เป็นหนังสอื ทกี่ ลา่ วถึงการตามเสด็จเยือนยโุ รปและอเมริกา 14 ประเทศอย่าง
เปน็ ทางการของ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยูห่ ัว และสมเดจ็ พระนางเจา้ ฯ พระบรมราชนินีนาถ เม่อื ปี พ.ศ.
2503 รวมเวลา ถงึ 6 เดอื น ในการตระเตรยี มการครั้งนน้ั สมเดจ็ ฯ ทรงกลา่ ววา่ “การตระเตรียมเส้ือผา้
เคร่ือง แต่งกายกน็ ับเปน็ เรื่องสาคัญสาหรบั ผ้หู ญงิ เรา” เพราะตอ้ งเสียเวลาไปนานและหลายเดือน ในหลาย
ฤดกู าล นอกจากนั้น ทสี่ าคญั ยิ่งคอื ประสบปัญหาเร่ือง “เสื้อผา้ ทจี่ ะใช้เปน็ แบบฉบบั ” คือ ชุดประจาชาตทิ ี่
เหมาะสมกับสมัย ดว้ ยปญั หาน้ีเอง พระองค์โปรดฯ ให้ช่วยกันคน้ พระบรมรปู ของพระมเหสเี กา่ มา
ทอดพระเนตร พจิ ารณา แต่ก็ทรงเหน็ วา่ ชดุ ตา่ ง ๆ ในอดตี เหลา่ น้ี ไม่เขา้ กับสมยั ปจั จุบนั เลย บางชุดกบ็ วกเอา
เสื้อ แบบฝร่ังเขา้ มาผสมผา้ นงุ่ เสียดว้ ยซ้า เช่น ชุดท่สี มเด็จพระศรีพชั รนิ ทราบรมราชนิ นี าถทรง ฉลองพระองค์

แขนพองแบบขาหมูแฮม เปน็ ตน้ ส่วนพระบรมราชนิ ีในรัชกาลที่ 6 แม้จะทรงนุ่งซน่ิ กจ็ รงิ แตฉ่ ลองพระองค์
ข้างบนกลบั เปน็ แบบฝรงั่ สมัยหลงั สงครามโลกครัง้ แรกเสยี อีก

ดงั นั้น จึงทรงตัดสนิ พระทัยใหค้ ิดแบบขึน้ ใหม่ โดยให้หมอ่ มหลวงมณีรัตน์ บุนนาค ไปพบ กบั อาจารยท์ ี่
มคี วามรูท้ างประวตั ิศาสตร์ ช่วยกนั ค้นควา้ และออกแบบข้ึน ในที่สุดกเ็ กิดเป็นชุดไทย ที่มคี วามเปน็ ไทยออกมา
นบั แต่นน้ั ชดุ เหล่านี้ ภายหลงั เรยี กว่า “ชุดไทยพระราชนิยม” สว่ นมาก นิยมใชผ้ า้ ไหม และผา้ ซน่ิ เป็นหลกั มี
ชอื่ ชุดและกาลเทศะสาหรับใส่ต่าง ๆ กัน มผี ูโ้ ดยเสด็จกนั แพร่หลาย จนเป็นที่คุน้ ตา และเปน็ การแต่งกาย
สาหรับชุดประจาชาติฝ่ายหญิงโดยแทจ้ รงิ ชื่อชดุ ไทยพระราชนยิ ม ไดแ้ ก่ ไทยเรือนตน้ ใช้แต่งในงานทไ่ี ม่เปน็
พธิ ี และตอ้ งการความสบาย เช่น ไปเท่ียว ไทยจติ รลดา เป็นชดุ ไทยพิธกี ลางวนั ใช้รบั ประมขุ ต่างประเทศเป็น
ทางการหรืองาน สวนสนาม ไทยอมรนิ ทร์ สาหรบั งานเลี้ยงรับรองตอนหัวค่า อนุโลมไม่คาดเขม็ ขัดได้ ไทยบรม
พมิ าน ชุดไทยพิธีตอนคา่ คาดเข็มขดั ไทยจักรี คือ ชุดไทยสไบ ไทยดสุ ติ สาหรบั งานพธิ ตี อนคา่ จดั ให้สะดวก
สาหรับสวมสายสะพาย ไทยจักรพรรดิ เป็นแบบไทยแท้ ไทยศวิ าลัย เหมาะสาหรับเม่ืออากาศเยน็

ชดุ ไทยพระราชนิยม

สมเด็จพระบรมราชินนี าถทรงเป็นผนู้ าในการแตง่ กายอย่างแท้จริง ทงั้ ทรงมีพระสิรโิ ฉม งดงาม
ด้วย บรรดาผเู้ ชยี่ วชาญการออกแบบเคร่ืองแต่งกายสตรีของโลกจานวน 2,000 คน ไดเ้ คยถวายพระเกยี รติ
ดว้ ยการออกเสียงให้เป็นสตรี 1 ใน 10 ทีฉ่ ลองพระองค์งดงามท่ีสดุ ในโลก ของรอบปี พ.ศ. 2503 และ
2504 กับได้ทรงรับเลอื กขึ้น เป็นสตรผี ู้มีการแต่งกายเยี่ยมท่สี ุดในโลก ของรอบปี พ.ศ. 2506 และ 2507
ต่อมายงั ทรงไดร้ ับพระเกยี รติจารกึ พระนามาภไิ ธยในหอแห่ง เกียรติคณุ ณ นครนวิ ยอร์ค สหรฐั อเมริกา ใน
บรรดาสตรแี ต่งกายงามทีส่ ดุ ในโลก 12 คน ประจาปี พ.ศ. 2508

การแตง่ กายในระยะแรกต่อเน่อื งจากรัชกาลก่อน คือ ชายสวมกางเกงทรงหลวม ๆ เสื้อเชิ้ต ส่วนหญิงนงุ่
กระโปรงหรือนุง่ ผ้าถุง เสือ้ คอแบบตา่ ง ๆ หรือเสื้อเชิ้ตของผู้ชายจะมเี ปล่ียนแปลงบา้ ง กม็ ีเสือ้ คอฮาวายเพิ่มเข้า
มา เป็นเสอ้ื ที่ปกไมต่ ัง้ เหมือนเสื้อปกเช้ิต สว่ นผหู้ ญิงก็มีการเปลย่ี นแปลง หรือเพ่ิมเติมทรงกระโปรง ช่วงต้น
รัชกาลจะมกี ระโปรงท่ีเรียกกันคุน้ หู 3 แบบ คอื

 กระโปรงนิวลคุ เปน็ กระโปรงบาน ใช้ผา้ เฉลียงวงกลม ในชว่ งปี 2493
 กระโปรง 4 ช้ิน 6 ชนิ้ 8 ช้นิ
 กระโปรงสุ่มไก่ เปน็ กระโปรงท่ีมีโครงไม้กลม ๆ อยู่ขา้ งใน สอดในรอยต่อระหว่างชัน้ ทุกช้ัน

เหมือนหว่ งฮลู าฮูบ มจี บี รอบด้วย
เสือ้ ในสมัยน้ัน นิยมประดบั ลูกไม้ จีบระบาย ผมดัดหยกิ มเี สื้อผา้ ทรงวยั รุ่นชาวกรุงสมัยรัฐบาลจอม
พลสฤษฎ์ ธนะรัตน์ เรยี กวา่ ทรงออร์เหลน มลี ักษณะเด่นคือ นุ่งกางเกงขาลบี เส้อื พอง ไดร้ ับอิทธิพลจาก
ดาราภาพยนตรป์ ระเภทรอ็ คแอนโรล ซ่งึ ในสมยั นน้ั โด่งดังมาก
ในช่วงประมาณปี 2511 จะมีกระโปรงชนิดหนึ่งแพรเ่ ข้ามาจากตา่ งประเทศคือ มนิ ิสเก้ิต เป็น
กระโปรงสน้ั เหนอื เข่า และที่สน้ั กว่ากระโปรงมนิ สิ เกิ้ต เรียกวา่ ไมโครสเกต้ิ ในขณะเดียวกนั คนที่ไม่นงุ่
กระโปรงมินิสเกิ้ต ก็จะนงุ่ กระโปรงมดิ ้ี เป็นกระโปรงครึง่ น่อง ถา้ ยาวลงมาจนกรอมเทา้ เรียกวา่ กระโปรงแม็ก
ซ่ี ใสก่ นั ในงานราตรี ในสมยั กระโปรงมนิ ิสเกิตจะมีรองเท้าหนา ๆ สงู มารองรบั สงู ถึงประมาณ 3-4 น้ิว หรือ
กวา่ นี้บางคนเรียกว่า “ตกึ ” หรอื “เตารดี ”
ในช่วงปี พ.ศ. 2513 เร่มิ มีแฟช่นั ผมจากต่างประเทศ คอื ผมฮิปป้ี ประมาณไลเ่ ล่ยี กันก็มี กางเกงท่ี
นิยมกันคือ กางเกงเด๊ฟ และกางเกงม๊อด
กางเกงม๊อด เปน็ กางเกงขาลบี จากตน้ ขาถึงหวั เข่าแล้วบานออกไปจนคลุมเทา้ เหมือนขาม้า กางเกงม๊
อดภายหลังปล่อยตรง เขา่ บานออกเท่ากับส่วนอืน่ ๆ เรยี กวา่ ทรงเซลเล่อร์ (Sailor) คนท่ี ใสก่ างเกงม๊อดมักใช้
รองเทา้ หัวโตส้นสูง 3-4 นว้ิ

ชายไทยยอมรับเอากางเกงเข้ามาเปน็ เครื่องแตง่ กายท่อนลา่ งโดยท่ัวไปทั้งประเทศแทน ผ้านงุ่
เพราะฉะนน้ั เม่อื จะแสวงหาชุดประจาชาติของฝา่ ยชายจึงปลอ่ ยให้กางเกงเป็นของหลัก ตายตัวไมต่ ้องคดิ อีก
คดิ หาแต่เฉพาะเส้ือซึ่งทาอย่างไรจงึ จะดูเปน็ ไทยและให้ความสงา่ งามต้องตา คนทสี่ ุด

ไดม้ ีผคู้ ดิ เรื่องนี้ กันมาพอสมควร บา้ งก็คิดสว่ นตัว และบา้ งกเ็ ผยแพร่ออกไป แต่ที่โดง่ ดงั มากนั้น
ได้แกเ่ สื้อซาฟารี เสอ้ื พอ่ ขุนรามคาแหง และสดุ ทา้ ยท่ลี งตวั แลว้ คือ เส้ือพระราชทาน เสอื้ ซาฟารนี นั้ ทีจ่ รงิ หา
ไดแ้ สดงเอกลกั ษณ์ไทยแต่อย่างใดไม่ แม้แตเ่ พยี งชื่อ เพราะเป็น เสอ้ื ฝร่ังท้งั ดนุ้ ฝรง่ั ใสก่ นั ในอาฟริกาและใน
เมืองข้ึน ต่าง ๆ ของคนในเอเชีย เนื่องจากสะดวกสบาย เหมาะกับอากาศร้อน

เสือ้ ซาฟารเี ข้ามาเมืองไทยและฮือฮากนั มากในปี พ.ศ. 2516 สรุปความจากบทความใน หนงั สอื พิมพ์สยามรฐั
เดอื นมิถุนายน พ.ศ. 2516 กจ็ ะทราบว่าแต่เดิมพลโทแสวง เสนาณรงค์ ใสค่ นเดียวก่อนมานานจนจอมพล
ถนอม กิตติขจรเกิดชอบด้วย ถึงกับประกาศให้ข้าราชการ แต่งชดุ ซาฟารีไปทางาน นับแตเ่ ดอื นสงิ หาคม พ.ศ.
2516 เปน็ ตน้ ไป

เมือ่ เปน็ ข่าวขึ้น มา ม.ร.ว.คกึ ฤทธิ ปราโมช ก็เขยี นบทความไม่เหน็ ดว้ ย ในฉบับวันที่ 13
มิถนุ ายน พ.ศ. 2516 และ นเรศ นโรปกรณ์ ก็แสดงความตะขิดตะขวงใจออกมาในด้วยในเวลา ไลเ่ ล่ียกัน ถงึ
กระนัน้ ก็มขี ้าราชการ และประชาชนผู้ตามสมยั จานวนมากพากันฮติ เสื้อซาฟารีอนั กลายเปน็ เสอ้ื ระดบั ชาติ
อยูพ่ ักหน่ึง แต่ไม่นานกห็ มดความนิยมไป เม่ือหนังสือพิมพ์ไมเ่ ห็นดว้ ย กบั ชุดซาฟารี โดยอา้ งวา่ เป็นเสอ้ื ฝรั่ง
หรือเสอื้ ของพวกล่าเมืองขนึ้ จอมพลถนอม กิตติขจร ก็ ยอมรบั ว่าเป็นฝรัง่ มากไปหนอ่ ย ไลเ่ ลยี่ กันนน่ั เอง คือ

เดือนสงิ หาคม พ.ศ. 2516 จงึ มีชดุ แบบใหม่ ออกมาเสนออีก เช่นทเี่ ป็นขา่ วในหนังสือพมิ พส์ ยามรฐั ฉบบั วัน
พฤหสั บดีที่ 16 สิงหาคม 2516 จะ เหน็ รูป พันเอกณรงค์ กติ ตขิ จร รองเลขาธกิ ารฝา่ ยการเมือง สานกั งาน
คณะกรรมการตรวจและ ตดิ ตามผล การปฏิบตั ริ าชการ (ก.ต.ป) ยนื โชวเ์ สอ้ื คอกลมเหมือนเส้อื มอ่ ฮ่อมอยู่ แจ้ง
ว่าเป็นชุดที่ จอมพลถนอม กิตติขจร นายกรฐั มนตรี สง่ั เอาแบบจากกรมศิลปากรโดยตรง และเป็นเสอ้ื แบบ
สมยั พอ่ ขุนรามคาแหง จะอนุโลมใหข้ ้าราชการแตง่ ได้อกี นอกเหนือจากการแตง่ ชุดซาฟารี แต่ชดุ มอ่ ฮ่อมหรือ
ชดุ พอ่ ขนุ รามคาแหงดังกล่าวก็ไม่เปน็ ทีน่ ยิ มของประชาชนและ ข้าราชการนัก จึงไม่มีใครใส่ แล้วกเ็ ลิกล้มกันไป
อีกโดยปรยิ าย

ในท่สี ุดเมือ่ ถงึ พ.ศ. 2522 จงึ เกิดชุดประจาชาติฝา่ ยชายข้นึ อยา่ งแทจ้ ริง และนบั เปน็ เส้อื แสดง

เอกลักษณ์ไดช้ ดั เจนกวา่ นับเปน็ ทพี่ อใจของคนไทยอยา่ งแท้จรงิ
เสอื้ ดงั กลา่ วเรยี กวา่ “เสือ้ พระราชทาน” นาออกเผยแพรค่ รง้ั แรก เม่ือวนั ท่ี 22 กรกฎาคม พ.ศ.

2522 โดยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ขณะนั้น พลเอกเปรม ตณิ สลู านนท์ได้ใสไ่ ปเป็น ประธานเปดิ งานฉลอง
ครบ รอบ 60 ปี ของวงเวียน 22 กรกฎาคม เมื่อพวกหนงั สอื พมิ พ์เห็นก็พา กันแปลกตา และในวนั พธุ ที่ 25
เดือนเดยี วกนั ทา่ นผู้นี้กส็ วมชดุ ดังกลา่ วเขา้ ไปในสภา ก็พลอยให้ ส.ส. ตืน่ เตน้ ประหลาดใจกันไปตาม ๆ กัน
นบั จากน้ัน หนังสือพิมพก์ ล็ งข่าวเร่ืองเส้อื แบบใหม่กัน เกรียวกราว และกลายเปน็ สัญลักษณข์ องพลเอกเปรม
ติณสลู านนท์ไปเลย เม่ือใครเขียนการต์ นู ก็ต้องเขยี นใหท้ ่านสวมชุดพระราชทานตดิ ตวั เสมอไป

พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ไปเปิดเผยถึงท่ีมาของเส้ือพระราชทาน (เกบ็ ความจาก หนงั สอื พิมพ์
ไทยรฐั ฉบบั วันศกุ ร์ท่ี 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2522) วา่ เกิดจากการไปเยือนประเทศใน อาเซียนประเทศอื่น ๆ
ต่างมีชุดของตัว เชน่ ชวามีเส้ือบาตกิ ฟิลปิ ปินสม์ ีเสื้อบาลอง แต่สาหรับ ประเทศไทยซ่ึงเปน็ ประเทศเกา่ แก่กลับ
ไม่มีเส้ือประจาชาติ กล่าวกันอย่างงา่ ย ๆ ก็คือทาให้กระอัก กระอว่ นใจ หรือเปน็ ปมด้อยอยา่ งหน่งึ ก็ว่าได้ เมื่อ
พอเอกเปรม ติณสูลานนท์กลบั มาเมืองไทยแล้ว จึงไดน้ าความเขา้ กราบทลู ปรึกษาสมเด็จพระนางเจา้ ฯ
พระบรมราชินนี าถ ในท่ีสดุ สมเดจ็ พระนางเจ้า ฯ พระบรมราชนิ นี าถกท็ รงพระราชทานเสอ้ื ให้ตวั หนงึ่ เป็น
ฉลองพระองค์ทส่ี มเดจ็ พระเจ้าอยู่หวั ใช้เป็นประจา พร้อมทัง้ พระราชทานแบบเส้ือให้ด้วย จากจุดนี้เองทพี่ ล
เอกเปรม ตณิ สูลานนท์ได้ นามาเผยแพรแ่ ละเป็นท่ีเกรียวกราว และพอใจของทุกฝา่ ย ไม่ว่าข้าราชการชัน้
ผู้ใหญ่ ส.ส. พ่อค้า ประชาชน เป็นการคน้ หาทลี่ งตัวเปน็ ครง้ั แรก ก็มีผยู้ อมรับกันพร้อมเพรียง

ทนี่ า่ สงั เกตคือ เสอื้ พระราชทานน้ีเกิดข้นึ หลงั จากท่ฝี ่ายหญงิ มีชุดประจาชาติไปแล้วถงึ 19
ปี เสื้อพระราชทานมี 3 แบบ คือ แบบแขนสัน้ แบบแขนยาวคาดผา้ และแบบแขนยาวไม่ คาดผ้า สาหรับแบบ
คาดผา้ น้ัน ถือเปน็ แบบเต็มยศที่สดุ ลกั ษณะเดน่ ของเสื้อชนดิ น้ีคือ เป็นเสื้อ คอตงั้ มสี าบผ่าอก กระดมุ 5 เมด็
และนยิ มทาขลิบขอบต่าง ๆ ราคาของเสื้อพระราชทานแขนสั้น ท่ีตัดขายกันนน้ั มีท้ังที่ราคา 100 กว่าบาทข้นึ
ไปแพงข้นึ เท่าใดก็แล้วแต่เน้ือผา้ เพราะมีทัง้ ผ้าธรรมดาและผา้ ไหม ผา้ มัดหมี่

จนปัจจบุ ัน พ.ศ. 2531 สตรไี ทยกา้ วตามแฟชน่ั ยุโรป โดยเฉพาะปารีส ซ่ึงถอื เปน็ ศูนย์กลาง
แฟชน่ั ของโลกไม่ยอมลา้ สมัย ไมว่ ่าแฟชน่ั ฝรั่งจะนิยมแบบใด คนไทยก็รับเอาแบบนน้ั มาเปน็ แบบฉบบั จน
กลา่ วได้วา่ คนไทยยุคนี้แตง่ กายทันสมยั ไม่น้อยหนา้ อารยประเทศชาติใดเลย ทาให้ ต้องถือเอาชุดพระราชนยิ ม
และชุดพระราชทานเป็นชุดประจาชาติ ใชแ้ ต่งในโอกาสสาคัญหรือ งานพระราชพธิ ีเพ่ือความงดงามเปน็
เอกลักษณ์ของเครอ่ื งแตง่ กายไทย (THAI COSTUME) ไว้

1. แบบแขนสัน้ เปน็ เสอื้ คอต้ังสงู ประมาณ 3.5 – 4 ซ.ม. ตวั เสือ้ เขา้ รูปเล็กน้อย และผ่าอก ตลอด มีสาบ

กวา้ งประมาณ 3.5 ซ.ม. มขี ลิบรอบคอและสาบอก ปลายแขนมขี ลบิ หรือพับแล้ว ขลบิ ทีร่ อยเย็บ ติด

กระดมุ 5 เมด็ กระดุมมลี ักษณะเปน็ รปู กลมแบนทาดว้ ยวสั ดุหุ้มด้วยผา้ สีเดียวกนั หรอื คล้ายคลึงกับ
เส้อื กระเป๋าบนมีหรอื ไม่มกี ็ได้ ถา้ มใี ห้เป็นกระเปา๋ เจาะข้างซ้าย 1 กระเปา๋ กระเปา๋ ล่างเป็นกระเปา๋
เจาะขา้ งละ 1 กระเป๋า อยู่สูงกวา่ ระดับกระดมุ เมด็ สุดท้ายเล็กน้อย ขอบกระเปา๋ มีขลิบ ชายเสื้ออาจ
ผา่ กนั ตงึ เส้นรอยตัดต่อมีหรือไมม่ ีกไ็ ด้ ถา้ มีใหเ้ ดินจักรทับตะเขบ็

2. แบบแขนยาว เป็นเส้อื คอตั้งสูงประมาณ 3.5-4 ซม. ตัวเส้อื เข้ารูปเล็กนอ้ ย และผา่ อก ตลอดมีสาบ
กวา้ งประมาณ 3.5 มขี ลบิ รอบคอและสาบอกติดกระดุม 5 เม็ด กระดุมมลี กั ษณะ เปน็ รูปกลมและ
แบนทาดว้ ยวัสดหุ ุ้มด้วยผา้ สเี ดยี วกนั หรอื คล้ายคลงึ กับเสื้อ กระเปา๋ บนมหี รอื ไม่มี กไ็ ด้ ถา้ มใี ห้เปน็
กระเป๋าเจาะข้างซา้ ย 1 กระเป๋า กระเปา๋ ล่างเปน็ กระเป๋าเจาะขา้ ง 1 กระเป๋า อยสู่ งู กว่าระดับกระดมุ
เม็ดสดุ ท้ายเล็กน้อย และมีขลิบทขี่ อบแขนเสื้อตดั แบบเส้ือสากล ปลายแขน เยบ็ ทาบดว้ ยผ้าชนดิ และสี
เดียวกนั กบั ตัวเสอื้ กว้างประมาณ 4-5 ซม. โดยเริ่มจากตะเข็บด้านใน อ้อมด้านหน้าไปสิ้นสดุ เปน็
ปลายมนทบั ตะเข็บดา้ นหลังชายเสอ้ื อาจผ่ากันตงึ เส้นรอยตัดต่อมี หรือไม่กไ็ ด้ ถ้ามีให้เดินจักรทบั
ตะเข็บ

แบบแขนยาวคาดเอว ตวั เสือ้ เหมือนแบบท่ี 2 แตม่ ผี า้ คาดเอว ขนาดความกว้าง ความยาวตาม
ความเหมาะสม สกี ลมกลืน หรือตดั กับเสื้อ ผกู เงื่อนแน่นทางซ้ายมอื ของผสู้ วมใส่


Click to View FlipBook Version