เนื้อหารายวชิ า วิวัฒนาการเครอื่ งแต่งกาย
หนว่ ยท่ี 4 เรอื่ ง ชนิดและลักษณะของเครอ่ื งประกอบการแตง่ กาย
ชนิดและลักษณะของเครือ่ งประกอบการแตง่ กาย
เคร่อื งประกอบการแต่งกาย หมายถึง เคร่อื งประกอบการแต่งกาย ซง่ึ ตรงกบั ความหมายในภาษาองั กฤษ
ว่า “Accessories” ท่ใี ช้กันอยู่ เป็นประจาเช่น กระเป๋าถือ เขม็ ขดั สร้อยคอ กาไล ตุ้มหู นาฬกิ า แหวน
ผา้ พันคอ หมวก แว่นตา ถุงเท้าและรองเท้า ฯลฯ ในการแต่งกายถา้ ขาดเครอ่ื งประดับเหลา่ น้แี ลว้ จะเหมือนว่า
แตง่ ตัว ยงั ไม่เสร็จหรือขาดอะไรไป เคร่ืองประดบั ชว่ ยสร้างความกลมกลนื ใหก้ บั ชดุ ...
เครอื่ งประกอบการแต่งกายของไทย
เคร่ืองประดับอัตลักษณ์…มรดกอันทรงคุณค่าของไทย
ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตเคร่ืองประดับที่สาคัญของโลก เน่ืองด้วยมีข้อได้เปรียบในด้านทักษะฝีมือ
แรงงาน ประกอบกับมีองค์ความรู้เก่ียวกับการทาเครื่องประดับอยู่มาก เคร่ืองประดับของไทยจึงได้รับ
การยอมรับอย่างสูงในตลาดโลก ทั้งในด้านรูปแบบสินค้าที่สวยงามและคุณภาพได้มาตรฐานสากล ซ่ึง
ศักยภาพการผลิตเครื่องประดับของไทยนั้น ไม่ได้มีเพียงเฉพาะในภาคโรงงานอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อ
ส่งออกเท่าน้ัน แต่ไทยยังมีศักยภาพในการผลิตเคร่ืองประดับอัตลักษณ์ของช่างฝีมือระดับท้องถิ่น ซ่ึง
เป็นสินค้าท่ีมีคุณค่าและสะท้อนถึงภูมิปัญญา วัฒนธรรม และความเป็นชาติไทยได้เป็นอย่างดี
เครื่องประดับอัตลักษณ์ของไทย
วิถีชีวิต ขนบธรรมเนียม และวัฒนธรรมอันหลากหลายของคนไทยในแต่ละภาคมีอิทธิพลและเป็นบ่อ
เกิดแห่งช้ินงานศิลปะรูปแบบต่างๆ อันรวมถึงการสร้างสรรค์ชิ้นงานเคร่ืองประดับด้วย โดย
เครื่องประดับอัตลักษณ์ของไทยนั้นถือเป็นความพยายามของช่างฝีมือในระดับท้องถ่ินที่ได้ถ่ายทอดภูมิ
ปัญญาทางวัฒนธรรมและบอกเล่าเร่ืองราวต่าง ๆ ของท้องถิ่นลงบนตัวชิ้นงาน อันเป็นการสะท้อนถึง
ตัวตนเอกลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่นได้อย่างชัดเจน ทั้งนี้ เคร่ืองประดับไทยอันประกอบด้วย
เคร่ืองประดับทอง เครื่องประดับเงิน และเครื่องถม ล้วนถูกผลิตขึ้นโดยช่างฝีมือผู้ชานาญงานและ
สะท้อนอัตลักษณ์ในท้องถิ่นผ่านลวดลายที่หลากหลายและงดงาม ก่อให้เกิดการจดจาและบ่งบอกได้ถึง
แหล่งที่มาอันเชื่อมโยงเข้าสู่ความเป็นไทย
1.เคร่ืองประดับทอง
เครื่องประดับทองโบราณมีแหล่งผลิตท่ีสาคัญอยู่บริเวณภาคกลางของประเทศไทย อันได้แก่ จังหวัด
สุโขทัย และเพชรบุรี โดยความพิเศษของเครื่องประดับทองโบราณนั้น แตกต่างจากเครื่องประดับทอง
ทั่วไปในเรื่องค่าความบริสุทธ์ิของทองคาที่ใช้ผลิต ซึ่งมีค่าความบริสุทธิ์สูงถึง 99.5-99.99% อีกทั้งยังมี
การออกแบบลวดลายโดยใช้ศิลปะไทยใส่เข้าไปในตัวชิ้นงาน ทั้งเครื่องประดับทองของสุโขทัยและ
เพชรบุรีถือเป็นงานศิลปะข้ันสูงที่มีรากฐานทางความคิดในการผลิตและออกแบบลวดลายมาจากศิลปะ
แบบไทยแท้ที่มักเก่ียวข้องกับศาสนา โบราณสถาน และวิถีชีวิตของคนไทยในสมัยก่อน
ลายแกะสลักจากฝาผนังของโบราณสถานเป็นที่มาของลวดลาย
ปรากฏอยู่บนตัวเรือนของเคร่ืองประดับทอง
แต่ถึงกระนั้น ด้วยความที่สภาพแวดล้อมของแต่ละพื้นท่ีแตกต่างกัน จึงส่งผลให้เครื่องประดับทองจาก
ท้ังสองแหล่งมีเกร็ดรายละเอียดของลวดลายหรือเทคนิคในการผลิตที่แตกต่างกันจนเกิดเป็นอัตลักษณ์
ประจาท้องถิ่นท่ีมีความเฉพาะตัวมากยิ่งขึ้น อาทิ การผลิตเคร่ืองประดับทองสุโขทัยนอกจากจะได้รับ
แรงบันดาลใจจากศิลปวัฒนธรรมของอาณาจักรสุโขทัยโบราณมาสร้างสรรค์เป็นลวดลายแล้ว ยังเพิ่ม
เทคนิคการถักทองและลงยา (Enamel) แต้มสีสันต่างๆ ได้แก่ สีแดง สีเขียว สีน้าเงิน และสีขาวลงไป
บนตัวช้ินงาน ขณะท่ีเครื่องประดับทองเพชรบุรีมีการใช้เทคนิคพิเศษผลิตแหวนตะไบท่ีมีลักษณะเป็น
แหวนฝังพลอยซีกและมีการตะไบท้ังสองข้างของตัวเรือนให้เป็นร่องลึก การทาลวดลายลูกสน และลาย
ปะวะหล่าที่เกิดจากการดัดเกลียวลวดทองให้เป็นลวดลายคล้ายกับโคมไฟของจีน เป็นต้น
ภาพซ้าย : ลายลูกสน ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ประจาท้องถิ่นของเคร่ืองประดับทองเพชรบุรี
ภากลาง : เคร่ืองประดับทองสุโขทัย ใส่เทคนิคการลงยาสี และแกะสลักลวดลาย
ภาพขวา : สร้อยคอแบบถักเป็นเทคนิคเฉพาะของช่างทองสุโขทัย
2.เครื่องประดับเงิน
การผลิตเครื่องประดับเงินของไทย ส่วนใหญ่พบได้ในจังหวัดทางภาคเหนือและภาค
ตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ ได้แก่ เชียงใหม่ น่าน รวมถึงสุโขทัย และสุรินทร์ ซ่ึงสาหรับ
เคร่ืองประดับเงินของ เชียงใหม่ นั้น มีรูปแบบที่ได้รับอิทธิพลมาจากศิลปวัฒนธรรมของอาณาจักร
ล้านนาโบราณ ซ่ึงเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมากในช่วงราวพุทธศตวรรษที่ 18-21 โดยงานศิลปะแขนง
ต่างๆ รวมทั้งการทาเครื่องเงินมาจากแนวความคิดทางพุทธศาสนา ความเชื่อ และวรรณคดี ตลอดจน
วัฒนธรรมเกี่ยวกับวิถีชีวิตของชาวล้านนา เป็นต้น สาหรับย่านการผลิตที่สาคัญของเชียงใหม่นั้นต้ังอยู่
บริเวณถนนวัวลาย (Wualai Road) ชุมชนบ้านศรีสุพรรณ (Bansrisuphan Community) อาเภอ
เมือง และบริเวณบ้านกาด (Bankad) ในอาเภอแม่วาง (Mae Wang District) ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมือง
ออกไปประมาณ 30 กิโลเมตร ขณะที่จังหวัด น่าน เป็นแหล่งผลิตเคร่ืองประดับเงินอันมีท่ีมาจากวิถี
ชีวิต ความเชื่อและวัฒนธรรมของชาวเขาชนเผ่าที่อาศัยอยู่ในบริเวณพื้นท่ีของจังหวัด โดยแหล่งผลิต
สาคัญต้ังอยู่บริเวณอาเภอเมือง และอาเภอปัว (Pua District) ท้ังนี้ ลวดลายบนเครื่องประดับเงินของ
เชียงใหม่และน่านต่างก็มีความงดงามอ่อนช้อยไม่แพ้กัน หากแต่ด้วยสภาพแวดล้อมและทัศนคติของ
ช่างฝีมือท่ีแตกต่างกันไปตามท้องถิ่น จึงทาให้เครื่องประดับเงินจากทั้งสองแห่งมีจุดเด่นเป็นของตนเอง
โดยลวดลายของเชียงใหม่มักเก่ียวข้องพุทธศาสนา ตานาน ความเช่ือ วรรณคดีและวิถีชีวิตแบบล้านนา
ขณะที่น่านจะเน้นลวดลายเกี่ยวกับธรรมชาติและวิถีชีวิตของชาวเขาท่ีผูกพันกับการทาไร่บนที่ราบสูง
และการหาของป่าเพ่ือเล้ียงชีพ เป็นต้น
เครื่องประดับเงินของเชียงใหม่ ส่วนใหญ่ใช้เทคนิคการตอกลาย
ในส่วนของจังหวัด สุโขทัย มีแหล่งผลิตอยู่ที่อาเภอศรีสัชนาลัย (Si Satchanalai District) โดยมี
กรรมวิธีการผลิตที่เป็นภูมิปัญญาประจาท้องถ่ิน คือ การถักเส้นเงินเป็นเครื่องประดับ ควบคู่กับการใช้
เทคนิคลงยาสีเข้าช่วย (Enamel) ซ่ึงลวดลายที่ปรากฏสะท้อนให้เห็นถึงความเจริญทางศิลปวัฒนธรรม
ของอาณาจักรสุโขทัยโบราณซึ่งเคยเป็นราชธานีแห่งแรกของไทยเม่ือราว 700 กว่าปีล่วงมา (พ.ศ.
1792-ปัจจุบัน) อาทิ ลายจากเคร่ืองสังคโลก (Sangkhalok Ceramic Ware) และลายจิตรกรรมฝา
ผนังตามโบราณสถาน เป็นต้น สาหรับจังหวัด สุรินทร์ ซ่ึงอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย และ
มีอาณาเขตอยู่ติดกับประเทศกัมพูชานั้น ได้รับอิทธิพลทางศิลปะแบบขอมเข้ามา จึงทาให้การผลิต
เครื่องประดับเงินของสุรินทร์ซึ่งอยู่ที่อาเภอเขวาสินรินทร์ (Khwao Sinarin District) มีรูปแบบท่ี
แตกต่างจากแหล่งผลิตอื่นอย่างสิ้นเชิง ทั้งในด้านเทคนิคการผลิตท่ีส่วนใหญ่เป็นการทาลูกปัดแกะสลัก
ลวดลาย และการทารูปทรงท่ีเป็นเอกลักษณ์ของท้องถ่ินอย่างดอกตะเกา (Takao) ซ่ึงเป็นชื่อเรียกตาม
ภาษาเขมร ตัวดอกมีลักษณะเป็นแป้นเงินกลมและมีแฉกคล้ายดวงอาทิตย์ ซึ่งช่างที่ผลิตนิยมนาลวดมา
ขดเพื่อตกแต่งลวดลายลงบนตัวดอกตะเกา
3.เครื่องถม (Nielloware)
เครื่องถมเป็นสินค้าอัตลักษณ์ของจังหวัด นครศรีธรรมราช ซึ่งอยู่บริเวณภาคใต้ของประเทศไทย ใน
อดีตเคร่ืองถมเป็นงานหัตถศิลป์ชั้นสูงท่ีนิยมใช้กันในราชสานัก แต่ปัจจุบันกลับเป็นสินค้าที่ผู้คนทาง
ภาคใต้นิยมสวมใส่ติดตัวเพราะเชื่อกันว่าเป็นส่ิงที่มีคุณค่าและนาความเป็นสิริมงคลมาสู่ผู้สวมใส่ ท้ังนี้
การผลิตเครื่องถมในปัจจุบันแบ่งออกเป็นหลายประเภทขึ้นอยู่กับวัสดุที่นามาใช้ขึ้นรูป ส่วนใหญ่ทาจาก
เงินและทอง แล้วจึงแกะสลักลวดลายแบบไทยเข้าไป ซ่ึงนิยมใช้ลายกนก (Lai Kanok) เป็นแม่แบบใน
การแกะสลักให้ตัดกับสีพ้ืนที่ลงไว้ด้วยน้ายาสีดา โดยเครื่องประดับที่ผลิตได้ส่วนใหญ่เป็นกาไลข้อมือ
และแหวน
จากท้องถิ่นสู่การสร้างสรรค์คุณค่าเคร่ืองประดับอัตลักษณ์ไทย
เคร่ืองประดับอัตลักษณ์ไทยมีข้อได้เปรียบสาคัญอยู่ท่ีจุดขายเกี่ยวกับการนาเสนอเร่ืองราวความเป็นมา
ของช้ินงานอันสะท้อนถึงความเป็นไทยได้อย่างชัดเจน จนเกิดเป็นคุณค่าและภาพลักษณ์ที่น่าจดจา ท้ังนี้
ด้วยความท่ีสินค้าผ่านการผลิตอย่างพิถีพิถันทาให้มีคุณภาพดีและมีรูปแบบท่ีสวยงามประณีต จึงมีฐาน
ผู้บริโภคจานวนไม่น้อยท้ังชาวไทยและชาวต่างชาติซ่ึงส่วนใหญ่เป็นนักท่องเท่ียวที่เดินทางเข้ามาใน
ท้องถิ่น ถือเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานรากท่ีช่วยสร้างรายได้ให้แก่คนในท้องถ่ินจนสามารถพึ่งพา
ตนเองได้เป็นอย่างดี ซึ่งมีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจระดับประเทศให้เติบโตได้อีกทอดหนึ่ง
เครื่องประดับอัตลักษณ์ถือเป็นงานหัตถศิลป์ท่ีต้องใช้ระยะเวลาในการผลิตนาน อีกทั้งต้องอาศัยความ
อดทนและความประณีตบรรจงสูง เนื่องจากกรรมวิธีส่วนใหญ่ต้องทาด้วยมือ มีการใช้เครื่องจักรเป็น
ส่วนน้อยเฉพาะในบางกระบวนการเท่าน้ัน จึงทาให้การผลิตต่อหน่ึงชิ้นงานใช้เวลานานถึง 2-4 สัปดาห์
ซ่ึงช่างฝีมือส่วนใหญ่ผ่านการเรียนรู้และฝึกฝนทักษะมาเป็นอย่างดีจากการถ่ายทอดของบรรพบุรุษ โดย
อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องประดับ
อัตลักษณ์ส่วนมากเป็นการผลิตในครัวเรือน หรือในโรงงานขนาดเล็กที่รวบรวมเอาคนในท้องถ่ินซ่ึงมี
ประสบการณ์และความรู้เข้ามาไว้ด้วยกัน โดยตามปกติแล้วมีจานวนแรงงานประมาณ 5-30 รายต่อ
สถานประกอบการหนึ่งแห่งซ่ึงถือว่ามีจานวนน้อยมากเม่ือเทียบกับโรงงานอุตสาหกรรมที่ผลิต
เคร่ืองประดับทั่วไป ท้ังน้ี ผู้ผลิตในแต่ละท้องถิ่นมีศักยภาพในการผลิตเครื่องประดับได้ครอบคลุมเกือบ
ทุกชนิด ทั้งต่างหู แหวน สร้อยคอ กาไลข้อมือ เข็มขัดและป่ินปักผม
อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องน่าห่วงท่ีปัจจุบันช่างฝีมือในแต่ละท้องถิ่นลดจานวนลง ภาคการผลิตต้องเผชิญ
กับ ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ไม่ว่าจะมีสาเหตุมาจากช่างสูงวัยเกษียณอายุ แรงงานฝีมือเปล่ียน
อาชีพไปทางานอื่นที่ สบายกว่า รวมถึงคนรุ่นใหม่ไม่สนใจฝึกฝีมืองานศิลป์เพราะขาดความอดทน
เหล่านี้ทาให้เกิดความเสี่ยงว่าจะเกิด การสูญหายทางภูมิปัญญา เพราะเครื่องประดับอัตลักษณ์ถือเป็น
มรดกล้าค่าท่ีสะท้อนถึงความเป็นไทยได้อย่างไม่ซ้า รูปแบบกับเครื่องประดับของชาติอ่ืน ขณะเดียวกัน
ด้วยจานวนช่างฝีมือท่ีมีอยู่ก็ไม่เพียงพอต่อการผลิตสินค้าป้อนเข้าสู่ตลาดให้ทันต่อความ ต้องการของผู้
ซ้ือทั้งในและต่างประเทศ ดังนั้น จึงถือเป็นประเด็นสาคัญระดับประเทศที่จะต้องเร่งแก้ไขเพ่ือเป็นการ
รักษาเครื่องประดับอัตลักษณ์อันทรงคุณค่าให้คงอยู่ ทั้งโดยการสนับสนุนสินค้าอัตลักษณ์ให้เป็นที่นิยม
และมีช่ือเสียง ในวงกว้างทั้งในและต่างประเทศ ตอกย้าภาพลักษณ์งานฝีมือช่างไทยคุณภาพสูง พร้อม
ขยายช่องทางการค้าเพ่ือ สร้างรายได้และความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจแก่ผู้ประกอบการในแต่ละท้องถิ่น
เพื่อให้ยังคงยืนหยัดผลิตสินค้าอัตลักษณ์และรักษาไว้ซึ่งภูมิปัญญาท้ องถิ่นควบคู่ไปกับการเร่งผลิต
แรงงานฝีมือรุ่นใหม่เพิ่มข้ึนอีกทางหน่ึงด้วย
แม้ว่าปัจจุบันปัญหาด้านแรงงานจะเป็นข้อจากัดต่อการผลิตเคร่ืองประดับอัตลักษณ์ แต่เชื่อว่าหากทุก
ภาคส่วนได้ตระหนักถึงคุณค่าแห่งภูมิปัญญาไทยและร่วมมือกันอนุรักษ์สืบสานอย่างจริงจังแล้ว ทักษ ะ
เชิงช่างในการผลิตเครื่องประดับอัตลักษณ์ย่อมได้รับการสืบทอดให้คงอยู่เป็นมรดกของประเทศไทย
สืบไป
ศูนย์ข้อมูลอัญมณีและเครื่องประดับ
สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
ปัจจบุ นั เครื่องประดับเงินอาจจะถูกมองวา่ ใสแ่ ล้วเชย ไมท่ นั สมยั หรืออาจจะซือ้ มาในราคาสงู แต่พอจะขายตอ่
กลับขายยาก เพราะคนสว่ นใหญส่ นใจโลหะหรอื แรท่ มี่ ีค่ามากกว่าอย่างเพชรหรือทองคา แตห่ ากจะว่าไปแลว้
“เคร่อื งเงิน” จดั เป็นเครอ่ื งประดบั ทร่ี วมความละเอยี ดอ่อน และบ่งบอกอตั ลกั ษณข์ องผ้ทู ่ีสลกั เสลางานเงนิ ชน้ิ
น้นั ขึ้นมาได้เปน็ อยา่ งดี หรือจะเรียกวา่ เคร่ืองเงนิ โบราณ คือไทมแ์ มชชนี ใหเ้ ราไดเ้ รียนรู้ความคิดและความเช่ือ
ของคนในยุคอดตี กว็ า่ ได้ และเมือ่ โลกเปลี่ยน เครื่องเงนิ กเ็ ปลยี่ นดีไซนไ์ ปตามยุคสมัยเชน่ กัน แตไ่ มว่ า่ จะอยา่ งไร
ตวั ตนของคนแต่ละทอ้ งถนิ่ ก็ยังจารกึ อยู่ในลวดลายเสมอ จงึ อยากจะพาไปเที่ยวท่ัวไทย สารวจเคร่อื งเงนิ จากแต่
ละภาคของไทย วา่ มีอัตลักษณ์ทโี่ ดดเดน่ เปน็ อยา่ งไรบ้าง
ภาคเหนือ
เคร่อื งเงินเมอื งนา่ น น่านคือหนึ่งในเมอื งท่ีมภี ูมปิ ัญญาการผลิตเครอ่ื งเงนิ มาชา้ นาน เครื่องเงินน่านจงึ ไม่
เหมือนกบั ที่อื่น โดยปจั จบุ ันแบง่ เปน็ 2 แบบคือ แบบเงินด้ังเดิม และแบบชมพภู คู า (เครื่องเงินชาวเขา) โดย
แบบดง้ั เดมิ จะมีรากมาจากการกวาดตอ้ นเทครัวชา่ งเงนิ และชา่ งทองจากฮ่อน้อย ฮ่อหลวง เมืองยอง และเชียง
แสน มายังบริเวณบ้านประตูป่องของเมืองนา่ น ในสมัยตน้ รตั นโกสนิ ทร์ จนเกดิ การถ่ายทอดภูมิปญั ญา สว่ น
แบบชมพูภูคา เกิดจากการประยุกตง์ านเงนิ โดยชาวเขาเผา่ เมี่ยน และเผา่ มง้
เคร่อื งเงนิ น่านในภาพรวมต่างจากเคร่ืองเงนิ ภาคอืน่ ตรงท่ีชา่ งนยิ มใช้เมด็ เงินที่มคี ่าความบรสิ ทุ ธ์ริ ะหว่าง 96-
98% ซ่งึ มคี วามอ่อนตวั สูงกว่าเนอ้ื เงนิ ทั่วไป ทาใหน้ าไปตหี รอื ขน้ึ รูปได้ง่ายขึ้น ชิ้นงานทอี่ อกมาจะมีลักษณะ
เนื้อด้านไมเ่ งา ลวดลายสว่ นมากมกั มที ม่ี าจากธรรมชาติ เชน่ ลายดอกกระถิน ลายพนั ธุ์ไม้ในปา่ หมิ พานต์ ลาย
ดอกกลบี บวั ลายตาสับปะรด ฯลฯ นอกจากนี้ยงั มลี วดลายอ่ืนทโ่ี ยงกบั ความเชอ่ื เชน่ ลายเทพพนม ลายสิบ
สองนกั ษัตร โดยจะผลิตออกมาเปน็ ทง้ั เครื่องใช้ เชน่ สลุงเงนิ พานรอง เชย่ี นหมาก ตลับเงนิ และเคร่ืองประดับ
เชน่ กาไลข้อมือ ต่างหู แหวน ปน่ิ ปกั ผม เป็นต้น
ภาคอีสาน
เครื่องเงินเขวาสนิ รนิ ทร์ จงั หวัดสุรินทร์ อทิ ธิพลเคร่ืองเงินสรุ ินทร์ ท่ีบ้านเขวาสนิ รินทร์ มรี ากลึกมาจากบรรพ
บรุ ษุ ชาวเขมร ยอ้ นกลับไปเม่ือราว 270 ปกี อ่ น ชาวเขมรกลมุ่ หน่ึงได้อพยพหนสี งครามมาตง้ั รกราก และพก
ความสามารถในการตีทองรูปพรรณเป็นเครื่องประดับมาดว้ ย โดยมีคาเรียกเครื่องประดับคอในภาษาถิน่ วา่
‘จาร’ ‘ตะกรุด’ หรอื ‘ปะคา’ ต่อมาคนหนั ไปนิยมซื้อทองจากห้างทองมากกว่า ศิลปะลวดลายจึงยา้ ยมาสลกั
ลงบนเครือ่ งเงนิ แทน โดยมเี อกลักษณ์อยทู่ ่ีการผลิตเมด็ ประคา หรือประเกือม ในภาษาเขมร ด้วยวิธโี บราณ
โดยนาวัตถุดบิ เงนิ 60% มาตีเป็นรปู ต่างๆ พร้อมอดั ครั่งไว้ภายใน นามาเสริมในลวดลาย เชน่ ถุงเงนิ หมอน
แปดเหลยี่ ม กรวย แมงดา มะเฟอื ง หรือลายอย่างกลีบบวั ดอกพกิ ลุ ลายพระอาทติ ย์ เสร็จแลว้ นามารมดาให้
ลายเด่น ความสวยงามของเงินสุรินทรอ์ ยูท่ ่คี วามแวววาว และประยกุ ตผ์ ลิตเปน็ เตือ่ งประดบั ทีม่ ลี วดลาย
ซบั ซ้อนสวยงามทง้ั กาไลข้อมือ สร้อยประคา ต่างหู แหวน เปน็ ตน้
ภาคกลาง
เคร่อื งเงินศรสี ัชนาลัย จงั หวัดสโุ ขทยั คลา้ ยคลงึ กับสรุ ินทรต์ รงทเี่ กิดการผอ่ งถา่ ยจากเคร่อื งทองมาสู่เครือ่ งเงนิ
และมเี อกลกั ษณ์เด่นตรงที่เครื่องเงินสโุ ขทยั เปน็ รปู แบบถักเสน้ เงิน เหมือนวิธถี ักเส้นทอง ตามภมู ิปัญญา
ชา่ งทองสโุ ขทัยโบราณ โดยคงลวดลายทางศลิ ปะของสุโขทัยเอาไว้ ทั้งลายโบสถห์ รือวหิ าร ลายเคร่ืองสงั คโลก
ลวดลายธรรมชาติ และลายไทยต่างๆ เริม่ จากนาเม็ดเงนิ บรสิ ุทธิ์ 99% มาหลอมลงในบลอ็ กให้เปน็ เงินแทง่
นามารีดเป็นแผ่นบาง และออกแรงดงึ จนเป็นเส้นเงินขนาดตา่ งๆ เพื่อนาไปถักลาย และประกอบเปน็ เสน้ โดยใช้
น้าประสานทอง นาไปลนดว้ ยไฟอ่อนๆ จากนนั้ ชา่ งจะใช้เทคนคิ ลงยาสี โดยสที นี่ ยิ มใช้ คือแมส่ ีอยา่ ง สแี ดง สี
เขียว และสนี า้ เงิน แลว้ จงึ ติดพลอยสีลงบนตวั เรือน งานเคร่ืองเงนิ สุโขทัยจงึ เน้นไปทเ่ี คร่ืองประดับอย่าง สร้อย
ท่มี ลี วดลายตา่ งๆ ต่างหู กาไล สรอ้ ยคอ แหวน เข็มขดั ฯลฯ
ภาคใต้
เครอ่ื งเงินนครศรธี รรมราช พูดถึงเคร่ืองเงินนคร มักจะมีคาว่า เคร่ืองถม พ่วงมาด้วยเสมอ และถือเปน็
หตั ถกรรมที่ข้ึนชอ่ื ของจังหวัดอยา่ งหน่งึ สาหรบั ฝีมือช่างเงินนครศรธี รรมราชนน้ั เป็นภมู ิปัญญาจากบรรพบรุ ุษ
ชาวไทรบรุ ที ถ่ี ูกกวาดต้อนเข้ามาเมื่อคร้ังเจา้ พระยานครศรธี รรมราช (น้อย) มาตั้งบ้านเรอื นบรเิ วณหน้าเมือง
ชอื่ เสยี งเคร่ืองทองไทรบรุ ที ีน่ าไปขายในตลาดดังถึงหเู จา้ เมือง จึงถกู เรียกให้เข้าไปทาทองให้เสมอ จนกระท่ัง
ราคาทองสงู ขน้ึ มาก ไม่ค่อยมีผู้ว่าจา้ งใหท้ า บรรดาชา่ งจึงหันมาผลิตเครอื่ งเงนิ แทน โดยยังนาเอาลวดลาย
เคร่อื งทองมาใชอ้ ย่างปราณตี สวยงาม เอกลกั ษณ์เครื่องเงนิ นครเป็นลักษณะเครือ่ งเงินถัก ท้งั สายสเี่ สา หรอื หก
เสา ที่ถกั ดว้ ยลวดเงินเส้นบางเฉยี บ รวมทงั้ สรอ้ ยสามกษตั ริยท์ าด้วยทอง เงิน และนาก แม้กระท่งั เครื่องชุด
ละครไทย พวกทับทรวง ปิ่นปักผม เขม็ ขัด ชา่ งเมืองนครกผ็ ลติ ไดอ้ ย่างละเอยี ดและประณีตมาก ขาดไม่ไดค้ ือ
เคร่อื งประดบั เม็ดนโม หรอื เง็ดเงนิ เล็กๆ ตีลายนโม ซง่ึ ถือเป็นสญั ลกั ษณ์ของเคร่ืองเงินแหง่ เมอื ง
นครศรีธรรมราชไปแล้ว
ภาคตะวนั ออก
เครอ่ื งเงินจนั ทบรุ ี ใครวา่ จงั หวัดจนั ทบรุ ีจะมชี ื่อเสยี งแต่เคร่ืองประดบั พลอยเพียงอย่างเดียว ในเม่อื อัญมณนี า้
งามนั้นจาเปน็ ที่จะต้องมตี ัวเรือนทค่ี ู่ควร จนั ทบุรีเองกม็ ภี ูมิปัญญาในการสลักเสลาเครื่องเงินให้ออกมาสวยงาม
และมคี วามเปน็ มายาวนานเช่นกนั โดยเฉพาะศลิ ปะการทา แหวนกล ท่มี ีความซับซ้อน ซ่ึงเป็นการนาแหวน
หลายวงมาคล้องกนั ใหเ้ กิดแหวนวงเดยี ว แลว้ เมอ่ื บดิ หมนุ ก็จะสามารถแยกออกจากกันได้ราวกับมกี ลไก โดย
ศิลปะน้เี หลอื คนทาอยู่ไมม่ าก เพราะชา่ งต้องมีความชานาญและละเอยี ดอ่อน เนื่องจากช้ินงานต้องผลติ ด้วยมือ
ทง้ั หมด โดยรูปแบบเฉพาะของแหวนกลจันทบุรนี ิยมทาหัวแหวนเป็นรูปสัตวต์ ามปีนกั ษัตรต่างๆ เช่น ปู หรือ
ปลา ขณะที่แหวนกลในตา่ งระเทศจะเปน็ เพยี งลวยลายเสน้ สายท่ไี ม่ซบั ซ้อนเทา่ ปจั จบุ ัน แหวนกลมีการพัฒนา
รปู แบบให้ทันสมยั ขน้ึ เพื่อจบั กลุม่ ตลาดคนรุ่นใหม่ โดยวัสดุที่นามาทาก็จะนิยมใช้เงนิ และทองเปน็ ตวั เรอื น และ
ขาดไมไ่ ด้กค็ ือพลอยสสี วย ทีจ่ ะมาเป็นนางเอกอยู่บนตัวเรือนอันปราณตี และซบั ซ้อนไปด้วยกลไกนี้