50
แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทำงานรายบุคคล
คำชี้แจง : ให้ ผ้สู อน สังเกตพฤตกิ รรมของนักเรยี นในระหวา่ งเรียนและนอกเวลาเรยี น แล้วขดี ✓ ลงในช่อง
ที่ตรงกบั ระดับคะแนน
ลำดับที่ ช่ือ-สกุล ความมี ความมี การรบั ฟงั การแสดง การตรง รวม
ของผรู้ ับการ
วนิ ัย น้ำใจ ความ ความ ต่อเวลา 5
ประเมนิ
เออื้ เฟอ้ื คิดเห็น คดิ เหน็ คะแนน
เสยี สละ
43214321432143214321
ลงชอื่ ...................................................ผปู้ ระเมนิ
............../.................../................
เกณฑ์การใหค้ ะแนน เกณฑ์การตดั สินคณุ ภาพ
ปฏิบัตหิ รือแสดงพฤตกิ รรมอยา่ งสม่ำเสมอ ให้ 4 คะแนน ชว่ งคะแนน ระดับคณุ ภาพ
ปฏบิ ตั ิหรอื แสดงพฤตกิ รรมบอ่ ยครัง้ ให้ 3 คะแนน
ปฏบิ ัติหรือแสดงพฤตกิ รรมบางคร้ัง ให้ 2 คะแนน 4 - 5 ดีมาก
ปฏบิ ตั หิ รือแสดงพฤติกรรมน้อยครัง้ ให้ 1 คะแนน
3 ดี
2 พอใช้
ต่ำกวา่ 2 ปรับปรุง
51
แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 9
รายวชิ า ภาษาไทยเพ่มิ เตมิ รหสั ท 22202 กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ ภาษาไทย
โรงเรยี น โสภณวรคุณวทิ ยา ช้ันมธั ยมศึกษาปที ี่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศกึ ษา 2565
หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 2 เรอ่ื ง อา่ นเอาเรื่อง
แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 9 การอ่านจับใจความสำคญั จากเรอื่ งที่อ่าน เวลา 1 ชั่วโมง/คาบ
ผู้สอน พระรพี ตสิ สฺ โร
วันทส่ี อน : วัน.................. ท.่ี .................................... เดอื น ....................................... พทุ ธศกั ราช ...................
1. สาระสำคัญ / ความคิดรวบยอด
การอ่านจับใจความสำคัญเป็นทักษะการอ่านที่ควรฝึกฝน ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจเรื่องได้อย่างรวดเร็วและเป็น
พ้ืนฐานทีส่ ำคัญในการอ่านท่ีดี
2. ผลการเรียนรู้ / จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
ผลการเรียนรู้
1. อ่านหนงั สืออา่ นเพ่ิมเตมิ หรอื หนงั สอื อ่านนอกเวลาตามความสนใจ แล้วแปลความ ถอดคำประพันธ์ สรุป
ความจากเรือ่ งทอี่ ่าน
จุดประสงค์การเรียนรู้
1. มีความรู้ความเข้าใจหลักการอ่านจบั ใจความสำคัญ
2. จบั ใจความสำคญั จากเร่อื งทอ่ี า่ นได้
3. สาระการเรยี นรู้
การอา่ นจบั ใจความ คือ การอา่ นทมี่ งุ่ ค้นหาสาระของเร่ืองหรือของหนังสอื แต่ละเล่มทเ่ี ป็นสว่ น
ใจความสำคญั และสว่ นขยายใจความสำคญั ของเร่อื ง
4. กิจกรรมการเรยี นรู้
ขัน้ ที่ 1 นำเข้าสู่บทเรียน
1. ครกู ล่าวทักทายนกั เรยี นและทบทวนความรู้เดิม จากชวั่ โมงทแ่ี ลว้
2. ครใู ห้นกั เรียนทำสมาธิก่อนเรียน เพือ่ สำรวม กาย วาจา และ ใจ
ข้ันท่ี 2 ลงมือปฏิบัติ
1. ครูอธิบายความสำคญั ของการอ่านจับใจความสำคัญ ให้นกั เรยี นฟัง
2. ครใู หน้ กั เรียนเขยี นใหน้ กั เรียนจับใจความสำคญั บทความทคี่ รเู ตรยี มมา
ข้นั ที่ 3 สรปุ
1. นกั เรยี นและครรู ว่ มกนั สรปุ เร่ือง การอา่ นจบั ใจความสำคญั
5. ช้ินงานหรือภาระงาน
- ใบงาน เรอ่ื งการอ่านจับใจความสำคญั
52
6. สอื่ การเรียนรู้
- ใบความรู้ เร่อื ง การอ่านจับใจความสำคญั
7. การวัดผลประเมินผล
วธิ ีการ เคร่อื งมอื เกณฑ์
ตรวจใบงานเรื่อง การการอ่านจับ ใบงาน เรื่อง การการอ่านจับ รอ้ ยละ 60 ผา่ นเกณฑ์
ใจความสำคญั ใจความสำคัญ
สงั เกตพฤตกิ รรมการทำงาน แบบสงั เกตพฤติกรรมการทำงาน ระดบั คุณภาพ 2 ผ่านเกณฑ์
รายบคุ คล รายบคุ คล
สงั เกตการใฝ่เรยี นรู้ ม่งุ ม่นั ในการ แบบประเมินคณุ ลกั ษณะอันพงึ ระดบั คุณภาพ 2 ผา่ นเกณฑ์
ทำงาน และรกั ความเปน็ ไทย ประสงค์
53
ใบความรู้ เรื่องการอ่านจับใจความสำคัญ
ความหมายของใจความสำคญั
ใจความสำคัญ คือข้อความสำคัญของเรื่อง จะตัดออกไม่ได้ ถ้าตัดออกไปจะทำให้
เนือ้ ความ เปลี่ยนแปลงไปหรอื ได้ความไมค่ รบถว้ น การอ่านเพื่อสรุปใจความสำคัญ ผอู้ ่านต้องมีสมาธิ
อ่านอย่างรอบคอบ และผู้อ่านจะต้องทำความเข้าใจเรื่องที่อ่าน ต้องอ่านหลาย ๆ เที่ยว แล้วตั้ง
คำถามเกย่ี วกับเรอ่ื งท่ีอา่ นว่า ใคร ทำอะไร ทไี่ หน เมือ่ ใด อยา่ งไร แลว้ ตอบคำถามนั้นเพยี งสั้น ๆ แต่
ให้ไดใ้ จความชัดเจน จากน้นั นำมาเรียบเรียง ใหเ้ ปน็ ประโยคส้นั ๆ
หลักการอา่ นจับใจความสำคัญ
การอ่านเพื่อจับใจความจะต้องพิจารณาทีละย่อหน้า โดยปกติย่อหน้าแต่ละย่อหน้าจะมี
ใจความสำคัญ ที่สุดอยู่หนึ่งประโยค ข้อความอื่น ๆ เป็นส่วนขยายใจความสำคัญให้กระจ่างชัดข้ึน
ด้วยวิธีอธิบายความหมาย ยกตัวอย่างเปรยี บเทยี บหรือแสดงเหตุผล ประโยคใจความสำคัญอาจอยู่
ตอนต้นย่อหนา้ อยู่ท้ายยอ่ หน้า กลาง ย่อหน้า หรืออาจอยู่ท้ังตอนต้นและทา้ ยย่อหน้า แต่ส่วนใหญ่
มกั อยูต่ อนต้นยอ่ หนา้ ในบางครง้ั ประโยคใจความ สำคัญก็ไมไ่ ด้เขยี นไวช้ ัดเจน ผ้อู ่านตอ้ งแยกให้ได้ว่า
ขอ้ ความใดเปน็ ใจความสำคญั ขอ้ ความใดเป็นใจความท่ี ขยายหรอื เสรมิ ใจความสำคญั
ตวั อย่างการอ่านใจความสำคญั
ความรัก ความเข้าใจ คือสายใยของครอบครัว เป็นคำขวัญที่ชนะเลิศการประกวดคำขวัญวัน
ครอบครัว ซ่งึ รฐั บาลกำหนดให้วนั ที่ 14 เมษายน ของทุกปีเปน็ วนั ครอบครวั
ประโยคใจความสำคัญ อยตู่ อนตน้ ของข้อความ ได้แก่ ความรัก ความเขา้ ใจ คือสายใยของครอบครวั
ประโยคใจความรอง คือ ประโยคที่มาขยาย ได้แก่ รัฐบาลกำหนดให้วันที่ 14 เมษายน ของทุกปี
เป็นวนั ครอบครัว จะเหน็ ไดว้ า่ ประโยคนีใ้ จความสำคัญอยู่ตอนตน้ ของข้อความ ใจความที่ 2 เปน็
สว่ นขยาย
แมวเป็นสัตว์น่ารัก แต่ผมไม่เคยผูกพันด้วย มันน่ารำคาญมากในสายตาผม แต่เมื่อครั้งเป็นเด็ก
มาแล้ว เห็นแม่เลี้ยงแมวมาด้วยความรักแบบหลงใหล หาข้าวให้มันกิน จับมันขึ้นมาอุ้ม เรียกมันด้วย
เสยี งแบบเอ็นดู ทั้งทีร่ อ้ งกวนใจ เคลา้ แข้งเคล้าขาเกะกะ และเปน็ สตั วเ์ ลย้ี งทีฉ่ วยโอกาสที่แสดงความรัก
คนเฉพาะเมื่อเวลามัน หิว อิ่มแล้วก็ไป หรือไม่ก็นอนหลับเกียจคร้าน บ่อยครั้งที่ผมอิจฉาที่คิดว่าแม่รกั
แมวมากกวา่ ผม
(ขอทาน แมว และคนเมา : อศั ศิริ ธรรมโชติ)
ใจความสำคัญอยู่ประเด็นสดุ ทา้ ย กล่าวคอื ผ้แู ต่งอจิ ฉาแมว และคดิ ว่าแม่รกั แมว
มากกว่าเขา ส่วน ประโยคอน่ื ๆ เป็นสว่ นขยายวา่ ทำไมผู้แต่งจึงอิจฉาแมว
54
ใบงาน เรอื่ ง การอา่ นจบั ใจความสำคัญ
คำช้ีแจง ให้นักเรียนจบั ใจความสำคัญบทความต่อไปน้ี
1. การดำรงรกั ษาและสืบสานวัฒนธรรมไทยเป็นสงิ่ ทค่ี นไทยทกุ คนตอ้ งสำนกึ ว่าเปน็ เรอ่ื งสำคัญและ
จำเปน็ อย่างยง่ิ ที่ต้องรว่ มมอื ร่วมใจกนั ทำ เพราะวัฒนธรรมของเราเปน็ สิ่งท่ีสวยสดงดงาม นา่ หวงแหน และ
น่า ทะนุถนอมเป็นยิ่งนัก การที่จะปลูกจิตสำนึกให้คนไทยได้ระลึกถึงเรื่องนี้ให้ทั่วถึงกันจำเป็นต้องมีการ
รณรงค์ อย่างต่อเนื่องกันโดยตลอด มิใช่แค่จะกระทำกันเป็นปีๆ แล้วหยุดไป เราเคยได้บทเรียนมา
พอสมควรแล้วว่า วัฒนธรรมต่างชาติได้แพร่เข้ามาในบ้านเมืองเราหลายอย่างและหลายทิศทาง
เพราะฉะนั้น ถ้าเราไมพ่ ยายาม ปลกู จิตสำนกึ ให้คนไทยโดยเฉพาะเยาวชนของเราไดต้ ระหนักถึงความสำคัญ
ในเรอ่ื งนี้ กค็ งจะเป็นเรอ่ื งทน่ี า่ ห่วง
(พลเอกเปรม ตณิ สลู านนท์ 2537 : 1)
ใจความสำคญั
....................................................................................................................................................
…………………………………………………………………………………………................................................
…………………….............................................................................................................................
………………………………………………………………………………………...................................................
2. ในสมัยกอ่ นเมือ่ ใกลว้ นั สารท ชาวบา้ นจะนิยมกวนขนมท่เี รียกกันว่า กระยาสารทกนั แทบทุกบ้าน
แตป่ ัจจุบันทำกันในบางทอ้ งถิ่นเท่านน้ั ผ้ทู ไ่ี ม่ได้ทำก็มักเตรียมจัดซื้อขนมดังกล่าว ซ่ึงจะมีขายโดยท่ัวไปเม่ือ
ถงึ เทศกาลนี้ กระยาสารท คือ ขนมหวานชนดิ หน่งึ ทำด้วยข้าวเมา่ ข้าวตอก ถวั่ งา มะพรา้ ว กวนกับน้ำตาล
สามารถเก็บไว้ได้นาน เมื่อกวนหรือหาซือ้ มาแล้วก็จดั แบ่งเป็นส่วน ๆ ห่อด้วยใบตอง เป็นจำนวนมากนอ้ ย
ตามต้องการเพอ่ื นำไปตักบาตร เน่อื งจากกระยาสารทเป็นขนมทมี่ ีรสหวานจัด หากรบั ประทานกับกล้วยไข่
สุกจะทำ ให้รบั ประทานกระยาสารทได้มาก ผ้ทู ำบญุ จงึ นิยมนำกล้วยไขไ่ ปตักบาตรคู่กบั กระยาสารทเพื่อให้
มรี สดขี ึ้น
(สำนกั งานคณะกรรมการวฒั นธรรมแห่งชาติ กระทรวงศกึ ษาธิการ 2530 : 59)
ใจความสำคญั
.....................................................................................................................................................
…………………………………………………………………………………………..................................................
......................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................
55
แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทำงานรายบุคคล
คำชี้แจง : ให้ ผ้สู อน สังเกตพฤตกิ รรมของนักเรยี นในระหวา่ งเรียนและนอกเวลาเรยี น แล้วขดี ✓ ลงในช่อง
ที่ตรงกบั ระดับคะแนน
ลำดับที่ ช่ือ-สกุล ความมี ความมี การรบั ฟงั การแสดง การตรง รวม
ของผรู้ ับการ
วนิ ัย น้ำใจ ความ ความ ต่อเวลา 5
ประเมนิ
เออื้ เฟอ้ื คิดเห็น คดิ เหน็ คะแนน
เสยี สละ
43214321432143214321
ลงชอื่ ...................................................ผปู้ ระเมนิ
............../.................../................
เกณฑ์การใหค้ ะแนน เกณฑ์การตดั สินคณุ ภาพ
ปฏิบัตหิ รือแสดงพฤตกิ รรมอยา่ งสม่ำเสมอ ให้ 4 คะแนน ชว่ งคะแนน ระดับคณุ ภาพ
ปฏบิ ตั ิหรอื แสดงพฤตกิ รรมบอ่ ยครัง้ ให้ 3 คะแนน
ปฏบิ ัติหรือแสดงพฤตกิ รรมบางคร้ัง ให้ 2 คะแนน 4 - 5 ดีมาก
ปฏบิ ตั หิ รือแสดงพฤติกรรมน้อยครัง้ ให้ 1 คะแนน
3 ดี
2 พอใช้
ต่ำกวา่ 2 ปรับปรุง
56
แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี 10
รายวิชา ภาษาไทยเพม่ิ เตมิ รหัส ท 22202 กล่มุ สาระการเรียนรู้ ภาษาไทย
โรงเรยี น โสภณวรคุณวิทยา ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ่ี 2 ภาคเรียนท่ี 2 ปกี ารศึกษา 2565
หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 2 เรอื่ ง อ่านเอาเรอื่ ง
แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี 10 การตีความคำยาก เวลา 1 ช่ัวโมง/คาบ
ผูส้ อน พระรพี ติสฺสโร
วนั ทสี่ อน : วัน.................. ที่..................................... เดือน ....................................... พทุ ธศกั ราช ...................
1. สาระสำคัญ / ความคดิ รวบยอด
การตีความ คือ การอ่านเพื่อให้เข้าใจความหมายความคิดสำคัญความรู้สึกและอารมณ์ต่าง ๆ ที่
แสดงออกในงานเขียน และการประเมินค่า คือการใช้ดุลพินิจตัดสินคุณค่าของงานเขียน ว่าสิ่งนั้นดีหรือเลว
เปน็ คณุ หรือเป็นโทษ มปี ระโยชนห์ รอื ไม่มปี ระโยชน์ เป็นตน้
2. ผลการเรียนรู้ / จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
ผลการเรียนรู้
1. อา่ นหนงั สืออ่านเพ่ิมเตมิ หรือหนังสอื อ่านนอกเวลาตามความสนใจ แลว้ แปลความ ถอดคำประพนั ธ์
สรปุ ความจากเรอื่ งท่อี ่าน
2. วเิ คราะห์ ตีความ แสดงความคิดเหน็ และประเมนิ คณุ ค่าของเรื่องทอ่ี า่ น
จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
1. อธิบายหลกั การอ่านตคี วามและประเมินคุณค่า ท่ีไดจ้ ากงานเขียน
2. อา่ นตคี วามและประเมนิ คณุ คา่ ที่จากงานเขยี น
3. สาระการเรยี นรู้
การอ่านเพือ่ ให้เขา้ ใจความหมายความคิดสำคัญความรู้สกึ และอารมณ์ต่าง ๆ ท่ีแสดงออกในงาน
เขียน และการประเมินค่า คือการใช้ดุลพินิจตัดสินคุณค่าของงานเขียน ว่าสิ่งนั้นดีหรือเลว
เปน็ คณุ หรือเปน็ โทษ มปี ระโยชน์หรอื ไมม่ ปี ระโยชน์ เป็นต้น
4. กจิ กรรมการเรยี นรู้
ข้ันที่ 1 นำเขา้ สบู่ ทเรียน
1. ครูกล่าวทกั ทายนกั เรียนและทบทวนความร้เู ดิม จากชวั่ โมงทแี่ ลว้
2. ครูใหน้ กั เรยี นทำสมาธิกอ่ นเรียน เพื่อสำรวม กาย วาจา และ ใจ
ขนั้ ท่ี 2 ลงมอื ปฏิบตั ิ
1. ครูอธบิ ายความสำคญั ของการอา่ นตีความ ให้นักเรียนฟัง
2. ครูให้นกั เรียนเขียนใหน้ กั เรยี นจบั ใจความสำคญั บทความทคี่ รเู ตรยี มมา
ข้ันที่ 3 สรปุ
1. นักเรยี นและครรู ่วมกันสรปุ เรอื่ ง การอ่านจบั ใจความสำคัญ
57
5. ช้นิ งานหรอื ภาระงาน
- ใบงาน เร่อื ง การตีความคำยาก
6. สื่อการเรียนรู้
- ใบความรู้ เรื่อง การตคี วามคำยาก
7. การวัดผลประเมนิ ผล
วิธีการ เคร่อื งมอื เกณฑ์
ตรวจใบงานเรื่อง การการตีความ ใบงาน เรื่อง การการตีความคำ รอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์
คำยาก ยาก
สังเกตพฤติกรรมการทำงาน แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทำงาน ระดับคุณภาพ 2 ผ่านเกณฑ์
รายบคุ คล รายบคุ คล
สังเกตการใฝเ่ รยี นรู้ มุ่งม่นั ในการ แบบประเมินคุณลกั ษณะอนั พึง ระดับคณุ ภาพ 2 ผ่านเกณฑ์
ทำงาน และรักความเปน็ ไทย ประสงค์
58
ใบความร้เู ร่ือง การอ่านตคี วาม
การอา่ นตคี วาม
การอา่ นตีความ เปน็ การอา่ นทจี่ ะตอ้ งทำความเขา้ ใจกบั ความหมายแฝง ทเ่ี ป็นแก่น
ของเร่ืองทแี่ ท้จรงิ ท่ี ผ้เู ขยี นตอ้ งการจะสื่อ เนือ่ งจากบางครง้ั ผู้เขียนไมไ่ ด้ต้องการสอ่ื ความหมายตรงตาม
ถ้อยคำที่เขียน แต่ยังแฝง ความคิดที่ลึกซึ้งด้วยศิลปะการเขียนที่ใช้สัญลักษณ์หรือถ้อยคำเปรียบเทียบ
เพื่อให้ผู้อ่านใช้ปัญญาคิดวิเคราะห์ เนื้อความนั้น ๆ เพื่อให้เกดิ อรรถรสในการอ่าน หรือบางครั้งผ้เู ขียน
อาจไม่กล่าวถึงเรื่องราวบางประการอย่าง ตรงไปตรงมา ซึ้งอาจเป็นเรือ่ งผิดกฎหมายหรือเสียมารยาท
ทางสังคม ผเู้ ขยี นจงึ หลกี เล่ยี งวิธกี ารเขยี นโดยไม่ กล่าวตรง ๆ แต่ไปใชค้ ำเปรยี บเทียบหรือใช้สัญลักษณ์
แทน ผูอ้ ่านจึงต้องใชป้ ระสบการณก์ ารอา่ นและสติปัญญา ในการอา่ นตีความใหเ้ ขา้ ใจสารอยา่ งแท้จริง
หลักเกณฑ์ในการอา่ นตคี วามมี ดังนี้
1. อา่ นเรอ่ื งท่ีจะตคี วามนนั้ ใหล้ ะเอียด แลว้ พยายามจับประเดน็ สำคัญให้ได้
2. ขณะทอ่ี า่ นตอ้ งพยายามคิดหาเหตุผลและใคร่ครวญอย่างรอบคอบ แลว้ นำมาประมวลเข้ากับ
ความคดิ ของตนเองวา่ ขอ้ ความหรือเรือ่ งนัน้ มีความหมายถงึ สิ่งใด
3. พยายามทำความเข้าใจถ้อยคำที่เห็นว่ามีความสำคัญ และจะต้องไม่ลืมตรวจดูบริบท
(context) ด้วยวา่ บรบิ ทหรือสงิ่ แวดล้อมน้นั ไดก้ ำหนดความหมายของคำนน้ั อย่างไร
4. ต้องระลึกไว้เสมอว่า การตีความไม่ใช่การถอดคำประพันธ์ เพราะการตีความเป็นการจับ
ใจความ สำคัญและคงไวซ้ ่งึ คำของขอ้ ความเดมิ
5. การเขียนเรียบเรียงถอ้ ยคำท่ไี ดจ้ ากการตีความน้นั จะตอ้ งให้มีความหมายชัดเจน
6. การตคี วามเกย่ี วกบั เนอ้ื หาหรอื น้ำเสยี ง เปน็ การตีความตามความร้คู วามคิดและประสบการณ์
ของผ้ตู ีความเอง ดงั น้นั ผ้อู ืน่ จึงไมอ่ าจเห็นพ้องตามกไ็ ด้
ตวั อย่างการอา่ นตคี วาม
“โตต้ อบอย่าเสยี คำ” ตีความไดว้ ่า ในการสนทนาหรือโตค้ ารมไมค่ วรกลา่ วคำพดู ให้ผู้อืน่ เสือ่ มเสีย
จากสุภาษิตข้างต้นถ้าอ่านเพียงเพื่อเข้าใจความหมายอย่างตรงไปตรงมาก็จะได้ความว่า “การ
พยายามโต้ตอบ ด้วยบางสิ่งบางอย่างเป็นเร่ืองที่ดี” “อย่าขุดคนด้วยปาก” ตีความได้ว่า ไม่ควรพูด
ค่อนขอดหรือกล่าวหาว่าร้ายใคร จากสุภาษิตข้างต้นถ้า อ่านเพียงเพื่อเข้าใจความหมายอย่าง
ตรงไปตรงมากจ็ ะได้ความวา่ “หา้ มไมใ่ ห้ใชป้ ากคนขุดหาของ” “น้ำเชย่ี วอยา่ ขวางเรอื ” ตีความได้ว่า
ในขณะทเี่ หตุการณ์รุนแรงยังดำเนนิ อย่อู ยา่ งรอ้ นรนเราไม่ควร
เขา้ ไปย่งุ เกยี่ วจากสภุ าษิตข้างต้นถ้าอ่านเพยี งเพื่อเข้าใจความหมายอย่างตรงไปตรงมาก็จะได้ความ
ว่า“ห้าม พายเรือหรือน าเรือไปขวางตอนที่น้ำกำลังไหลเชี่ยว” ผมมีน้ำผึ้งในปาก แต่ไม่มีมีดใน
ดวงใจ” นำ้ ผงึ้ หมายถึง ความจรงิ ใจ ความอ่อนหวาน มดี หมายถึง ความไม่จริงใจ
59
ทอฟฟ่ี หมายถึง ของหวานแบบฝรั่ง ใช้อมให้ละลายทีละน้อย ทำด้วยน้ำตาลกวนกับนมหรือ เนย
เป็นตน้ ปนั้ เป็นก้อนกลมหรอื เหลี่ยม แลว้ หอ่ กระดาษบิดหวั ทา้ ย, ลกู อม ก็เรยี ก
อมยิ้ม หมายถึง ขนมหวานประเภทลูกอมชนิดหนึ่งทำด้วยน้ำตาลเป็นรูปกลม ๆ หรือแบน ๆ มีไม้
เสยี บด้านล่างสำหรับถอื มสี ตี ่าง ๆ
ลูกกวาด หมายถึง ของหวานทำด้วยน้ำตาล มีลักษณะเป็นเม็ดกลม ทำเป็นหลายสี ใช้เคี้ยว หรือ
อมให้ละลายทลี ะนดิ
พสิ มยั หมายถึง รกั , ชอบ ในทน่ี ห้ี มายถงึ อยากได้
60
ใบงาน เรอ่ื งการตคี วามคำยาก
คำชแี้ จง ให้นกั เรียนบอกความหมายคำทขี่ ดี เส้นใต้
1. “แหม เจา้ ประคณุ เอ๋ย วนั น้ันเรากินข้าวกลางวันกนั จนท้องหลาม ข้าวสุกไม่เหลือติดก้น
จานแม้เมด็ เดียวไมม่ หี กตกหล่น อรอ่ ยข้าวคลกุ เห็ดโคนตม้ น้ำปลา”
หลงทาง : ขรรค์ชยั บุนปาน
ท้องหลาม หมายถึง ...........................................................................................................................................
2. “ระวางนั้น โสมทัตต์ตรงรี่เข้าไปหาคู่รักของตน ส่วนคู่รักก็ลุกขึ้นมาต้อนรับออกเสียง
อุทานแตเ่ บา ข้าพเจา้ เหน็ เขาเป็นเช่นนนั้ ก็เตรยี มตัวสงบใจใหห้ ายอุธจั เพอื่ เขา้ ไปหานางผู้
หาท่ีเปรียบมไิ ดข้ องขา้ พเจา้ บ้าง”
กามนติ : เสถยี รโกเศศและนาคะประทีป
อธุ ัจ หมายถงึ ...................................................................................................................................................
3. “บา้ นอยถู่ ดั ไป ตรงลานหน้าบา้ นมีหมอ้ และชามดนิ พง่ึ ปัน้ เสร็จใหม่ ๆ วางอย่เู รียงราย อัน
เป็น การงานแห่งเจ้าของบ้านที่พากเพียรลงแรงทำเป็นสัมมาอาชีพได้ในวันนั้น เครื่องปั้น
หม้อยังคงวางอยู่ใต้ ต้นมะขามใหญ่, ขณะนั้นกมุ ภการช่างปัน้ หม้อกำลังเอาชามดนิ ดบิ ออก
จากเครื่องป้นั ขนเอามาวางเรยี งรวมกัน ไว”้
กามนติ : เสถียรโกเศศและนาคะประทีป
กมุ ภการ หมายถึง ..............................................................................................................................................
4. ขอเพยี งเห็นดาวรุ่งทมี่ ุง่ ฝัน
เปน็ สำคัญว่าอทุ ยั ใกล้แล้วหนอ
อีกเมอื่ ไรจะสวา่ งเหมือนอย่างรอ : อุชเชนี
อุทยั หมายถงึ ..................................................................................................................................................
61
แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทำงานรายบุคคล
คำชี้แจง : ให้ ผ้สู อน สังเกตพฤตกิ รรมของนักเรยี นในระหวา่ งเรียนและนอกเวลาเรยี น แล้วขดี ✓ ลงในช่อง
ที่ตรงกบั ระดับคะแนน
ลำดับที่ ช่ือ-สกุล ความมี ความมี การรบั ฟงั การแสดง การตรง รวม
ของผรู้ ับการ
วนิ ัย น้ำใจ ความ ความ ต่อเวลา 5
ประเมนิ
เออื้ เฟอ้ื คิดเห็น คดิ เหน็ คะแนน
เสยี สละ
43214321432143214321
ลงชอื่ ...................................................ผปู้ ระเมนิ
............../.................../................
เกณฑ์การใหค้ ะแนน เกณฑ์การตดั สินคณุ ภาพ
ปฏิบัตหิ รือแสดงพฤตกิ รรมอยา่ งสม่ำเสมอ ให้ 4 คะแนน ชว่ งคะแนน ระดับคณุ ภาพ
ปฏบิ ตั ิหรอื แสดงพฤตกิ รรมบอ่ ยครัง้ ให้ 3 คะแนน
ปฏบิ ัติหรือแสดงพฤตกิ รรมบางคร้ัง ให้ 2 คะแนน 4 - 5 ดีมาก
ปฏบิ ตั หิ รือแสดงพฤติกรรมน้อยครัง้ ให้ 1 คะแนน
3 ดี
2 พอใช้
ต่ำกวา่ 2 ปรับปรุง
62
แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 11
รายวิชา ภาษาไทยเพ่มิ เตมิ รหสั ท 22202 กลุม่ สาระการเรียนรู้ ภาษาไทย
โรงเรยี น โสภณวรคุณวิทยา ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 2 ภาคเรียนท่ี 2 ปกี ารศกึ ษา 2565
หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 2 เร่ือง อา่ นเอาเรอ่ื ง
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 11 การพูดวเิ คราะห์ วิจารณ์ จากเรอ่ื งทฟี่ งั และดู เวลา 1 ช่ัวโมง/คาบ
ผสู้ อน พระรพี ตสิ สฺ โร
วันทสี่ อน : วัน.................. ที.่ .................................... เดือน ....................................... พุทธศักราช ...................
1. สาระสำคัญ / ความคดิ รวบยอด
การพูดวเิ คราะห์ วิจารณ์ จากเรอื่ งทฟ่ี ังและดู เปน็ การแยกแยะส่วนทจ่ี ะพจิ ารณาออกเป็นส่วนย่อย
ให้มคี วามสมั พนั ธ์กันเปน็ ประเด็น ๆ เพ่อื ทำความเข้าใจให้แจ่มแจง้ หลงั จากนั้นประเมินคา่ โดยการแสดงความ
คิดเห็น แยกแยะข้อดี ข้อเสีย จากเรื่องที่ฟังและดู หากผู้เรียนรู้หลักการและแนวทางในการปฏิบัติจะทำให้
ผเู้ รียนสามารถพดู วเิ คราะห์ วิจารณ์ จากเร่อื งตา่ ง ๆ ทไ่ี ด้ฟงั และดูได้ถูกต้องและเหมาะสม
2. ผลการเรยี นรู้ / จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
ผลการเรยี นรู้
1. อ่านหนงั สืออา่ นเพ่ิมเตมิ หรอื หนังสอื อ่านนอกเวลาตามความสนใจ แล้วแปลความ ถอดคำประพันธ์
สรุปความจากเรื่องทีอ่ ่าน
2. วิเคราะห์ ตีความ แสดงความคิดเห็น และประเมนิ คณุ คา่ ของเร่ืองท่ีอา่ น
จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
1. นกั เรียนสามารถอธบิ ายหลักการพดู วิเคราะห์ วจิ ารณ์ จากเรื่องทฟ่ี ังและดูได้
2. นกั เรียนสามารถพดู วเิ คราะห์ วจิ ารณ์ จากเรือ่ งที่ฟังและดูได้
3. สาระการเรียนรู้
วเิ คราะหแ์ ละวจิ ารณ์เร่ืองทฟี่ งั และดูอย่างมีเหตุผล เพือ่ นำขอ้ คิดมาประยุกต์ใช้ในการดำเนนิ ชวี ิต
4. กิจกรรมการเรยี นรู้
ขั้นท่ี 1 นำเขา้ สูบ่ ทเรยี น
1. ครูกล่าวทกั ทายนกั เรียนและทบทวนความรู้เดิม จากชวั่ โมงทแี่ ล้ว
2. ครูใหน้ ักเรยี นทำสมาธิกอ่ นเรียน เพ่อื สำรวม กาย วาจา และ ใจ
ข้ันท่ี 2 ลงมอื ปฏิบัติ
1. ครูอธิบายความสำคัญของการอ่านตคี วาม ใหน้ กั เรียนฟงั
2. ครใู ห้นกั เรียนทำใบงานการพูดวเิ คราะห์ วิจารณ์ จากเร่อื งทฟ่ี ังและดู จับใจความสำคญั บทความท่ีครูเตรียมมา
ขั้นที่ 3 สรุป
1. นักเรยี นและครูร่วมกันสรปุ เรื่อง การพดู วเิ คราะห์ วิจารณ์ จากเรอ่ื งที่ฟังและดู
63
5. ชิน้ งานหรือภาระงาน
- ใบงาน เรอ่ื ง การพดู วิเคราะห์ วจิ ารณ์ จากเรอื่ งทีฟ่ งั และดู
6. สอ่ื การเรยี นรู้
- ใบความรู้ เรอื่ ง การพูดวเิ คราะห์ วจิ ารณ์ จากเรื่องที่ฟงั และดู
7. การวัดผลประเมนิ ผล
วิธกี าร เครอื่ งมอื เกณฑ์
ตรวจใบงานเร่อื ง การพูดวิเคราะห์ ใบงาน เรื่อง การพูดวิเคราะห์ รอ้ ยละ 60 ผา่ นเกณฑ์
วจิ ารณ์ จากเรื่องทฟ่ี ังและดู วิจารณ์ จากเรอ่ื งทฟ่ี ังและดู
สังเกตพฤติกรรมการทำงาน แบบสังเกตพฤติกรรมการทำงาน ระดบั คุณภาพ 2 ผา่ นเกณฑ์
รายบคุ คล รายบุคคล
สังเกตการใฝ่เรียนรู้ มุ่งมั่นในการ แบบประเมนิ คณุ ลกั ษณะอนั พึง ระดบั คณุ ภาพ 2 ผ่านเกณฑ์
ทำงาน และรกั ความเปน็ ไทย ประสงค์
64
ใบความรเู้ รื่อง หลกั การพดู วเิ คราะห์ วิจารณจ์ ากการฟงั และดู
❖ การวเิ คราะห์ คือ การแยกแยะสว่ นท่ีจะพจิ ารณาออกเป็นสว่ นยอ่ ย ๆ ทมี่ ีความสมั พันธ์กัน
เพอ่ื ทำความเข้าใจใหแ้ จม่ แจ้ง
❖ การวิจารณ์ คือ การแสดงความคดิ เหน็ จากเรือ่ งทอ่ี ่าน ฟังแลละดูแยกแยะข้อดี ข้อเสีย และ
อาจ เสนอแนะส่ิงที่ดีมีประโยชนต์ ่อผู้อน่ื
❖ หลักการพูดวิเคราะห์ วจิ ารณจ์ ากเร่ืองท่ฟี งั และดู
1. ฟงั และดูเรื่องทจี่ ะวิเคราะห์วจิ ารณ์อยา่ งต้ังใจ
2. แยกแยะขอ้ มลู โดยละเอยี ด
3. พจิ ารณาส่วนใดเปน็ ประโยชน์
4. น าเสนอผลการวิเคราะห์ วจิ ารณ์
5. สรุปขอ้ คิดท่ีไดจ้ ากการวเิ คราะห์ วิจารณ์
❖ ขอ้ ควรปฏบิ ัติในการพูดวเิ คราะห์ วิจารณจ์ ากเรื่องท่ีฟังละดู
1. มกี ารเตรียมความพรอ้ มก่อนพูด
2. พดู ดว้ ยคำสภุ าพ ไม่ใชค้ ำหยาบคาย
3. หลกี เลีย่ งการพดู ท่ีกอ่ ให้เกิดความขัดแย้ง
4. มีความยตุ ธิ รรมและความเที่ยงธรรม
5. ระมดั ระวงั การใชค้ าพูดทีผ่ ิดความหมาย
65
ใบงาน เรอื่ ง ดู ฟัง ก่อนวเิ คราะห์ วจิ ารณ์
คำชี้แจง ให้นักเรยี นวิเคราะห์ วิจารณ์จากเรอ่ื งที่ฟงั และดูให้ถกู ตอ้ ง
เร่อื ง สุดยอดโฆษณา สร้างแรงบันดาลใจ
……………………………………………………..……………………………………………
……………………………………………………………………………………………………
………………………….………….……………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………..……………………………………
เร่อื ง ความลับของพอ่
……………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………..………………………………………………………
ชือ่ -สกุล........................................................................................................ช้ัน..................เลขท.ี่ ...........
66
แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทำงานรายบุคคล
คำชี้แจง : ให้ ผ้สู อน สังเกตพฤตกิ รรมของนักเรยี นในระหวา่ งเรียนและนอกเวลาเรยี น แล้วขดี ✓ ลงในช่อง
ที่ตรงกบั ระดับคะแนน
ลำดับที่ ช่ือ-สกุล ความมี ความมี การรบั ฟงั การแสดง การตรง รวม
ของผรู้ ับการ
วนิ ัย น้ำใจ ความ ความ ต่อเวลา 5
ประเมนิ
เออื้ เฟอ้ื คิดเห็น คดิ เหน็ คะแนน
เสยี สละ
43214321432143214321
ลงชอื่ ...................................................ผปู้ ระเมนิ
............../.................../................
เกณฑ์การใหค้ ะแนน เกณฑ์การตดั สินคณุ ภาพ
ปฏิบัตหิ รือแสดงพฤตกิ รรมอยา่ งสม่ำเสมอ ให้ 4 คะแนน ชว่ งคะแนน ระดับคณุ ภาพ
ปฏบิ ตั ิหรอื แสดงพฤตกิ รรมบอ่ ยครัง้ ให้ 3 คะแนน
ปฏบิ ัติหรือแสดงพฤตกิ รรมบางคร้ัง ให้ 2 คะแนน 4 - 5 ดีมาก
ปฏบิ ตั หิ รือแสดงพฤติกรรมน้อยครัง้ ให้ 1 คะแนน
3 ดี
2 พอใช้
ต่ำกวา่ 2 ปรับปรุง
67
แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ 12
รายวิชา ภาษาไทยเพ่มิ เตมิ รหัส ท 22202 กลุ่มสาระการเรยี นรู้ ภาษาไทย
โรงเรียน โสภณวรคุณวิทยา ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 2 ภาคเรียนท่ี 2 ปกี ารศึกษา 2565
หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 2 เรือ่ ง อา่ นเอาเรอ่ื ง
แผนการจัดการเรยี นรทู้ ่ี 12 การอ่านเพื่อประเมินคา่ เวลา 1 ชว่ั โมง/คาบ
ผู้สอน พระรพี ตสิ สฺ โร
วนั ท่ีสอน : วัน.................. ที่..................................... เดอื น ....................................... พทุ ธศักราช ...................
1. สาระสำคัญ / ความคิดรวบยอด
การอ่านเพื่อประเมินค่า เกิดการอ่านหนังสือหลายประเภทแล้วประเมินคุณค่า เป็นการอ่านเพ่ือ
ประเมนิ คณุ ค่าของงานเขียน ซ่งึ ผู้อา่ นจะตอ้ งวเิ คราะหเ์ นือ้ ความในดา้ นตา่ งๆ เพื่อประเมินคุณคา่ วา่ งานเขยี นนั้น
ให้ประโยชนใ์ นแง่ใดบ้างแก่ผูอ้ ่าน
2. ผลการเรยี นรู้ / จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
ผลการเรียนรู้
1. อา่ นหนงั สืออา่ นเพ่ิมเตมิ หรอื หนังสืออ่านนอกเวลาตามความสนใจ แลว้ แปลความ ถอดคำประพนั ธ์
สรปุ ความจากเร่อื งทอ่ี ่าน
2. วเิ คราะห์ ตคี วาม แสดงความคิดเห็น และประเมินคุณคา่ ของเร่อื งที่อ่าน
จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้
1. นกั เรยี นสามารถอธบิ ายความหมายของการอ่านเพือ่ ประเมินค่าได้
2. นกั เรียนรู้หลกั การอ่านเพื่อประเมนิ คา่ งานประพันธ์
3. สาระการเรยี นรู้
การอ่านเพ่ือประเมินค่า เปน็ การอา่ นเพ่ือประเมินคุณค่าของงานเขียน ซง่ึ ผอู้ า่ นจะตอ้ งวิเคราะห์เน้ือความใน
ด้านต่างๆ เพอื่ ประเมนิ คณุ ค่าวา่ งานเขียนนัน้ ให้ประโยชนใ์ นแงใ่ ดบ้างแก่ผอู้ ่าน
4. กจิ กรรมการเรยี นรู้
ขั้นท่ี 1 นำเข้าสู่บทเรยี น
1. ครกู ล่าวทกั ทายนกั เรียนและทบทวนความร้เู ดิม จากช่ัวโมงทแ่ี ล้ว
2. ครูใหน้ กั เรยี นทำสมาธกิ อ่ นเรียน เพือ่ สำรวม กาย วาจา และ ใจ
ขน้ั ที่ 2 ลงมอื ปฏิบตั ิ
1. ครูอธบิ ายความสำคญั ของการอ่านประเมินคา่ ใหน้ ักเรยี นฟัง
2. ครใู หน้ กั เรยี นทำใบงานการอ่านเพ่ือประเมินค่า ท่ีครเู ตรียมมา
ขั้นท่ี 3 สรุป
1. นกั เรียนและครูร่วมกนั สรุป เรื่อง การอา่ นประเมนิ คา่
68
5. ชนิ้ งานหรอื ภาระงาน
- ใบงาน เร่ือง การอ่านประเมินคา่
6. สอื่ การเรยี นรู้
- ใบความรู้ เรอื่ ง การอา่ นประเมนิ คา่
7. การวดั ผลประเมนิ ผล
วธิ ีการ เคร่อื งมือ เกณฑ์
ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์
ตร ว จ ใบง านเรื่อง ก าร อ่าน ใบงาน เรอ่ื ง การอา่ นประเมินค่า
ระดับคณุ ภาพ 2 ผ่านเกณฑ์
ประเมินค่า
ระดบั คณุ ภาพ 2 ผ่านเกณฑ์
สังเกตพฤตกิ รรมการทำงาน แบบสังเกตพฤติกรรมการทำงาน
รายบคุ คล รายบุคคล
สงั เกตการใฝ่เรียนรู้ มุ่งม่นั ในการ แบบประเมนิ คุณลักษณะอันพึง
ทำงาน และรักความเป็นไทย ประสงค์
69
ใบความรู้ เร่ืองการอ่าประเมนิ ค่า
เพียงสามคำ
ความสขุ ของคนเรานนั้ บางทกี ็เกิดจากสง่ิ งา่ ยๆ คือเกิดจากความคดิ ความเข้าใจของ
ตัวเอง สำคัญอยู่ ทวี่ า่ คิดอย่างไรเทา่ นนั้ “ปณธิ าน” ไดฟ้ ังนทิ านมาเรือ่ งหน่ึงเปน็ เรื่องที่นา่ คิด
จึงจะขอนำมาเลา่ สูก่ ันฟงั ดงั ตอ่ ไปนี้
การดังได้สดับมา มีชายนายหนึ่งเดินทางร่อนเร่กระเซอะกระเซงิ เขา้ ไปในเมืองหลวง
ของประเทศหนงึ่ ตะแกต่ืนตาต่นื ใจในความงามของเมอื งเป็นอนั มาก เดินชมเมอื งอยา่ งเพลดิ เพลินไม่นาน
ก็มาหยดุ ยืนอย่หู น้า บ้านๆ หน่ึง ซง่ึ สวยงามในใจของตะแกก็คิดว่า“บ้านใครหนอชา่ งสวยงามอะไรอย่างน้ี
เรานี้ตายแล้วเกิดใหม่ก็คง ไม่มีวันได้มีบ้านสวยงามเช่นนีแ้ น่” ขณะที่ยืนรำพงึ อยูก่ ็มีคนเดินผ่านมากลุ่ม
หน่ึง ตะแกกร็ อ้ งถามคนกลมุ่ นั้นว่า “พ่อเอ๋ยชว่ ยบอกฉันที่ไดไ้ หมวา่ ใครเปน็ เจ้าของบ้านงามหลงั น”ี้ แต่หา
มีใครฟังเข้าใจไม่ คนหนึ่งในกลุ่มน้ันก็พูด อะไรออกมา 2–3 คำ ซึ่งตะแกก็ฟังไม่เข้าใจกน็ ึกว่าเขาบอกชือ่
เจ้าของบ้านก็ขอบใจเขาแล้วก็เดินต่อไป สักพัก ใหญ่ก็เดินมาถึงท่าเรือ เห็นเรือลำใหญ่ทอดสมออยู่ที่ทา่
ประมาณราคาแลว้ ก็เป็นมูลค่าอเนกอนนั ต์ตะแกกย็ ืน รำพงึ “อุแม่เจ้า ใครหนอเปน็ เจ้าของเรอื ลำน้ีเราตาย
แล้วเกิดใหม่ก็ไม่มีวันรวยได้อย่างน้ี” พอดีมีคนกลุ่มหน่ึง เดินผ่านมาตะแกกร็ ้องถามเขาไปอีกว่า ใครเปน็
เจ้าของเรอื ลำนั้น คนกลุ่มนน้ั ไม่เข้าใจวา่ แกถามวา่ อะไร จึงตอบ ดว้ ยคำ 2–3 คำเหมอื นคนกลุ่มแรกตอบ
ตะแกได้ยนิ 2–3 คำนนั้ ซ้ำอกี กเ็ ข้าใจวา่ เป็นช่ือเจ้าของเรอื จึงนึกว่า “บญุ อะไรของทา่ นหนอ จงึ มบี า้ นสวย
และเรือสนิ คา้ ใหญโ่ ตเชน่ นี้” แลว้ กเ็ ดนิ ตอ่ ไปอีกครู่ใหญ่ก็เหน็ ขบวนแห่ ศพมาตามถนน ดูจะเป็นศพของคน
มงั่ มเี พราะมขี บวนยืดยาว ก็ตะโกนถามวา่ เปน็ ศพของใคร คนกลมุ่ นั้นฟัง คำถามของแกไม่รเู้ รื่องก็ตอบด้วย
คำ 2–3 ค าเหมือนคนกลมุ่ ก่อนๆ ตะแกก็เข้าใจว่าเป็นช่อื ของผู้ตาย จึงรำพึง ในใจว่า “อะพโิ ธ่เอ๋ย ดูทีรึมี
บ้านสวย มีเรือสินค้าใหญ่โต แต่กลับไม่ได้มีชีวิตอยู่ชื่นชมทรัพย์สมบัติเลยนีแ่ หละ หนอ อนิจจังไม่เที่ยง
เออ เรานีก่ ็โชคดีทย่ี งั มชี วี ิตอยูด่ ูโลกตอ่ ไป ถึงเราจะยากจนไม่มีบ้านสวย ไมร่ ่ำรวยอะไรกับเขา เรากเ็ ป็นสุข
ตามประสายาจกของเราแลว้ ” คิดไดเ้ ท่านัน้ ตะแกก็ผิวปากอย่างร่าเรงิ เดินชมกรงุ ตอ่ ไป โดยหา รูไ้ ม่ว่า คำ
2–3 คำ ท่ีแกเข้าใจวา่ เปน็ ชื่อของบุคคลผเู้ ป็นเจ้าของบ้านสวยและเปน็ เจ้าของเรือสินค้าอันมัง่ คั่งนั้น ที่แท้
เปน็ คำพูดทแ่ี ปลไดค้ วามว่า “ฉันไมเ่ ข้าใจภาษาทท่ี ่านพดู ”
ความสุขของกระทาชายนายนี้เกิดขึ้นได้ด้วยการที่คิดเอาเองจนเกิดปลงตก จิตใจก็มี
สันโดษ พอใจใน สภาพความเป็นอยู่ของตน เลิกอิจฉาคนที่มั่งมีกว่า เพราะแกคิดเสียว่าถึง
อย่างไร แกกย็ งั มีชวี ิตอยู่ดกี ว่าคนมัง่ มี ท่อี ายุส้นั เคล็ดลับของการมีความสุขนั้น ท่านว่าอยู่ท่ี
ใจของเราเอง ถ้าใจเราคิดอะไร มองอะไร ในทางดีและ เกิดความ “พอใจ” แล้ว เราก็หา
ความสขุ ไดไ้ ม่ยากนัก กอ่ นจบ ขอฝากกลอนส้นั ๆ บทหนงึ่ ไว้ใหค้ ิด ดงั น้ี
เทยี่ วดน้ คน้ คว้าหาสขุ พบทุกขแ์ ทนทน่ี ่ีไฉน เลิกแสวงสขุ หนอพอใจ สุขซาบซ่านในใจเอง
(จากนิทานประกอบเรยี งความ ของ ปณธิ าน)
70
บทรอ้ ยกรองสำหรบั การอ่านเพอื่ ประเมนิ คา่
“ทงุ่ ข้าว” สีสดชนื่ ระรน่ื ลมไหว
น้ำใสใต้สนั ตะวา
ทุ่งขา้ วเขียวขจี แมลงนอ้ ยนิดไรเ้ ดียงสา
ปูปลามาเล็มไคล แมงมุมตั้งท่าตะครบุ กนิ
แววตำหม่นหมองไมส่ ิ้น
สาหร่ายชูดอกกระจิดรดิ เกาะกินเลอื ดลน้ พุงกลวง
เกาะดอกหญ้าบนคันนา เสมอื นน้ำบนใบบวั หลวง
ควายเค้ียวเออื้ งนอนหนอง เลื้อยไปล้วงรปู ูนา
เหลือบล้ินวนเวยี นบิน จิกปลากนิ เกาะกง่ิ หว้า
กบเขียวร้องเสียงใส แสงแดดกล้าก่ึงกลางวนั
เข้ารม่ ไม้ชายคาประหนงึ่ สวรรค์
งอู ะไรสีเงนิ ยวง ชวนกนั น่ังลอ้ มวงกนิ
ยางยงู ขาวถลาบนิ แกล้มยอดหว้าหวน่ั ใจถวิล
เงาเมฆสีหมน่ ลอยมา คือถน่ิ ท่งุ ทองของไทยเอย
ถอนกล้ามาเหน่ือยเมือ่ ยล้า
แก้ห่อข้าวออกวางพลัน โดย องั คาร กลั ยาณพงศ
นำ้ พริกเจือแมงดา
วา่ สวรรคใ์ นแควน้ แดนดิน
71
ใบงานเรื่อง การอา่ ประเมินค่า
คำชแี้ จง ให้นกั เรยี นอา่ นบทความขา้ งต้นแลว้ นำมาเขียนลงใน ขอ้ ทกี่ ำหนดมาให้ดังตอ่ ไปน้ี
1. สรปุ ใจความสำคญั และแนวคดิ
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
2. ค้นหาสำนวนโวหารทป่ี รากฏในเร่อื ง
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
3. ความเหมาะสมในการใช้สำนวนภาษาและลกั ษณะคำประพนั ธ์พร้อมแสดงความคดิ เห็น
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
4. ผ้เู ขยี นมจี ุดม่งุ หมายและการนำเสนอใน เรอื่ งใดเปน็ สำคัญใหแ้ สดงความคิดเห็น
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
ช่อื -สกุล...........................................................................................ช้นั ...............เลขที่....................
72
แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทำงานรายบุคคล
คำชี้แจง : ให้ ผ้สู อน สังเกตพฤตกิ รรมของนักเรยี นในระหวา่ งเรียนและนอกเวลาเรยี น แล้วขดี ✓ ลงในช่อง
ที่ตรงกบั ระดับคะแนน
ลำดับที่ ช่ือ-สกุล ความมี ความมี การรบั ฟงั การแสดง การตรง รวม
ของผรู้ ับการ
วนิ ัย น้ำใจ ความ ความ ต่อเวลา 5
ประเมนิ
เออื้ เฟอ้ื คิดเห็น คดิ เหน็ คะแนน
เสยี สละ
43214321432143214321
ลงชอื่ ...................................................ผปู้ ระเมนิ
............../.................../................
เกณฑ์การใหค้ ะแนน เกณฑ์การตดั สินคณุ ภาพ
ปฏิบัตหิ รือแสดงพฤตกิ รรมอยา่ งสม่ำเสมอ ให้ 4 คะแนน ชว่ งคะแนน ระดับคณุ ภาพ
ปฏบิ ตั ิหรอื แสดงพฤตกิ รรมบอ่ ยครัง้ ให้ 3 คะแนน
ปฏบิ ัติหรือแสดงพฤตกิ รรมบางคร้ัง ให้ 2 คะแนน 4 - 5 ดีมาก
ปฏบิ ตั หิ รือแสดงพฤติกรรมน้อยครัง้ ให้ 1 คะแนน
3 ดี
2 พอใช้
ต่ำกวา่ 2 ปรับปรุง
73
แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี 13
รายวชิ า ภาษาไทยเพม่ิ เติม รหัส ท 22202 กลุม่ สาระการเรยี นรู้ ภาษาไทย
โรงเรียน โสภณวรคณุ วทิ ยา ชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 2 ภาคเรียนที่ 2 ปกี ารศึกษา 2565
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 3 เร่อื ง การเขยี นสรา้ งสรรค์
แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ 13 การเขียนสรุปความ เวลา 1 ชวั่ โมง/คาบ
ผ้สู อน พระรพี ติสฺสโร
วนั ทีส่ อน : วนั .................. ที.่ .................................... เดอื น ....................................... พุทธศักราช ...................
1. สาระสำคัญ / ความคดิ รวบยอด
การเขียนสรุปความเป็นการเขียนสิ่งที่สรุปเอาใจความสำคัญ ที่ได้จากการอ่านการฟังและการดู
จากสื่อต่างๆสามารถนำความรูท้ ี่ได้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิต และทำให้ไดร้ ับความรู้จากเรื่องที่อ่าน ฟัง ดู จากสื่อ
ต่างๆ ได้เป็นอย่างดี และสามารถนำไปใชอ้ า้ งองิ ในการสื่อสารได้
2. ผลการเรยี นรู้ / จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
ผลการเรียนรู้
1. เขียนสรปุ ความหรือขยายความจากเรื่องทก่ี ำหนด
2. เขียนความเรียงเชิงสร้างสรรค์แสดงความนกึ คดิ เหมาะกบั วัย
จุดประสงค์การเรียนรู้
1. นักเรยี นสามารถอธบิ ายความหมายของการเขียนสรุปความได้
2. นักเรยี นรหู้ ลกั การของการเขยี นสรปุ ความ
3. สาระการเรยี นรู้
การอ่านการฟังและการดู จากสอ่ื ตา่ งๆสามารถนำความรู้ท่ไี ดไ้ ปประยกุ ตใ์ ช้ในชวี ิต และทำให้ได้รับ
ความร้จู ากเร่อื งทอ่ี ่าน ฟงั ดู จากส่อื ตา่ งๆ ได้เปน็ อย่างดี และสามารถนำไปใช้อ้างองิ ในการส่ือสารได้
4. กจิ กรรมการเรียนรู้
ขั้นที่ 1 นำเขา้ สู่บทเรียน
1. ครูกล่าวทกั ทายนกั เรียนและทบทวนความรเู้ ดิม จากชัว่ โมงท่ีแลว้
2. ครูใหน้ กั เรียนทำสมาธกิ ่อนเรยี น เพอื่ สำรวม กาย วาจา และ ใจ
ขัน้ ที่ 2 ลงมอื ปฏบิ ตั ิ
1. ครูอธิบายความสำคญั ของการเขยี นสรุปความ ใหน้ ักเรยี นฟงั
2. ครูใหน้ ักเรียนทำใบงานการเขียนสรุปความ ที่ครูเตรยี มมา
ขน้ั ท่ี 3 สรุป
1. นกั เรยี นและครรู ว่ มกันสรปุ เรื่อง การเขียนสรุปความ
74
5. ชิน้ งานหรือภาระงาน
- ใบงาน เรอ่ื ง การเขยี นสรปุ ความ
6. สื่อการเรียนรู้
- ใบความรู้ เรอื่ ง การเขียนสรปุ ความ
7. การวัดผลประเมินผล
วธิ ีการ เครื่องมือ เกณฑ์
ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์
ตรวจใบงานเรอื่ ง การเขียนสรปุ ใบงาน เรือ่ ง การเขียนสรปุ ความ
ระดบั คณุ ภาพ 2 ผา่ นเกณฑ์
ความ
ระดับคณุ ภาพ 2 ผา่ นเกณฑ์
สังเกตพฤติกรรมการทำงาน แบบสงั เกตพฤติกรรมการทำงาน
รายบุคคล รายบุคคล
สังเกตการใฝ่เรยี นรู้ มงุ่ มั่นในการ แบบประเมนิ คุณลกั ษณะอันพึง
ทำงาน และรักความเปน็ ไทย ประสงค์
75
ใบความรเู้ รอื่ ง การเขยี นสรปุ ความ
การสรุปความ
การฝกึ อา่ นแล้วเขียนสรุปความชว่ ยให้ผูอ้ า่ นมีความเขา้ ใจในการอ่านยงิ่ ข้ึน การสรปุ ความ
เป็น การแยกแยะเนื้อหาที่อ่านออกเป็นสาระสำคัญ และรายละเอียดของเรื่อง แล้วพิจารณา
เฉพาะสาระสำคัญ นำมาพูดหรือเขยี นเปน็ ขอ้ ความสัน้ ๆ ทส่ี ามารถถ่ายทอดให้ผู้อน่ื เขา้ ใจ
วิธีการเขียนสรปุ ความ มีขน้ั ตอนการเขียนสรปุ ความดงั น้ี
1) ข้นั อ่าน อา่ นขอ้ ความหรอื เรอ่ื งราวให้ตลอดเร่ือง
2) ขนั้ คิด ต้ังคำถามส้ันๆ เพ่ือทดสอบความเข้าใจ โดยตงั้ คำถามกับตวั เองเก่ยี วกบั จุดสำคัญของ
เรือ่ ง ได้แก่
➢ เรอ่ื งอะไร ใครเปน็ ผูเ้ ขยี น มคี วามว่าอย่างไร
➢ ใครอะไร ที่ไหน เมื่อไหรอ่ ยา่ งไร ทำไม
➢ สาระสำคญั ของเรื่องจะสมั พันธก์ ับหัวข้อเร่อื งมากทีส่ ดุ สว่ นรายละเอยี ดจะ สมั พันธก์ บั
สาระสำคญั อีกตอ่ หน่ึง คำถามทจ่ี ะตัง้ จึงควรถามหาสาระสำคญั ซ่งึ เป็นจุดสำคัญ ของเรอ่ื ง
3) ขัน้ เขียน เรียบเรยี งสาระสำคญั ของเร่ืองมาสรุปความโดย
➢ นำสาระสำคญั ท่ีจดบนั ทกึ ไว้แต่ละตอนมาเรียบเรียงใหม่
➢ เขียนด้วยสำนวนของตนเอง ใช้ภาษาให้ถูกต้อง กระชบั
➢ คำสรรพนามทีใ่ ช้ให้เปลีย่ นเป็นบรุ ษุ ท่ี 3
➢ คำที่ยากและยาวในเร่อื งเดมิ ควรเปลย่ี นใชค้ ำธรรมดาทท่ี กุ คนเขา้ ใจง่าย
➢ ประโยคสั้น ๆ ทกุ ประโยคต้องเชอ่ื มโยงกนั โดยอาจใช้บพุ บท สันธาน หรือวลีมาเชอ่ื ม
4) ขั้นตรวจ สอบการเขยี นสรุปความเมื่อเขยี นเสร็จแล้วควรทบทวน ดังนี้
➢ มสี ารสนเทศสำคญั ครบถว้ น โดยเปรียบเทยี บกับเร่อื งเดิม
➢ ใช้ประโยคสมบูรณ์หรือไม่ มีรายละเอยี ดของเร่ืองความติดมาบ้างหรอื ไม่
➢ มีข้อความใดทีผ่ ิดเพ้ียนไปจากเรื่องเดิมบา้ ง
➢ ประโยคต่างๆ เชือ่ มโยงด้วยถอ้ ยคำท่เี หมาะสม
➢ หลักภาษา และการสะกดคำถกู ต้อง
76
ใบงาน เร่ือง การเขียนสรุปความ
คำชแี้ จง
ให้นักเรียนอา่ นเร่ืองแลว้ ตั้งคำถาม และเขียนคำตอบ “ใคร อะไร ที่ไหน เมื่อไร ทำไม
อย่างไร”ลงในมอื นกั สรุปความและสรปุ ความเรอ่ื งท่ีอ่าน
เรอื่ งบ้านโป่ง’รำลกึ 52 ปีพระบารมปี กเกล้า
เม่ือเวลา09.00 น. วันท่ี 13กันยายน 2549 ที่อาคารเฉลมิ พระเกียรติเทศบาลเมือง บ้านโปง่
จ. ราชบรุ ีนายธนน เวชกรกานนทร์ องผู้วา่ ราชการจงั หวดั ราชบุรเี ป็นประธานเปดิ งาน “52 ปีพระ
บารมีปกเกลา้ ชาวบา้ นโป่ง”
นายธนน เปิดเผยว่า อ. บ้านโปง่ เปน็ อำเภอใหญ่และเปน็ ศนู ย์กลางของอุตสาหกรรมด้านอู่ต่อรถยนต์
ประดับยนต์โรงงานอุตสาหกรรม และยังเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาสวยงามป้อนตลาดทั้ง
ในและต่างประเทศ อีกทั้งยังเป็นเมืองประวัติศาสตร์ “ครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2497
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินเป็นการส่วนพระองค์ เพื่อเยี่ยมเยียนราษฎร
อ.บ้านโป่ง ผู้ประสบภัยพิบัติจากเหตุเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ นับเป็นพระมหา
กรุณาธิคณุ ทมี่ ตี ่อประชาชนชาวบา้ นโป่งอย่างมาก ในการนท้ี างภาคราชการประชาชนจึง ร่วมกันจัด
งานข้นึ ดังกล่าว”
(หนงั สอื พิมพ์ เดลนิ ิวส์ ฉบับวันที่ 14 กันยายน 2549)
77
ใบงาน เรือ่ ง การอา่ นสรุปความ
ใคร ทำอะไร ท่ีไหน เมอ่ื ไร ทำไม อยา่ งไร
สรปุ ความ…………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………..……………………………………………………………………………
ชอ่ื -สกลุ ………………………………………………………………………………………………ช้นั ………………..…เลขที่………………
78
แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทำงานรายบุคคล
คำชี้แจง : ให้ ผ้สู อน สังเกตพฤตกิ รรมของนักเรยี นในระหวา่ งเรียนและนอกเวลาเรยี น แล้วขดี ✓ ลงในช่อง
ที่ตรงกบั ระดับคะแนน
ลำดับที่ ช่ือ-สกุล ความมี ความมี การรบั ฟงั การแสดง การตรง รวม
ของผรู้ ับการ
วนิ ัย น้ำใจ ความ ความ ต่อเวลา 5
ประเมนิ
เออื้ เฟอ้ื คิดเห็น คดิ เหน็ คะแนน
เสยี สละ
43214321432143214321
ลงชอื่ ...................................................ผปู้ ระเมนิ
............../.................../................
เกณฑ์การใหค้ ะแนน เกณฑ์การตดั สินคณุ ภาพ
ปฏิบัตหิ รือแสดงพฤตกิ รรมอยา่ งสม่ำเสมอ ให้ 4 คะแนน ชว่ งคะแนน ระดับคณุ ภาพ
ปฏบิ ตั ิหรอื แสดงพฤตกิ รรมบอ่ ยครัง้ ให้ 3 คะแนน
ปฏบิ ัติหรือแสดงพฤตกิ รรมบางคร้ัง ให้ 2 คะแนน 4 - 5 ดีมาก
ปฏบิ ตั หิ รือแสดงพฤติกรรมน้อยครัง้ ให้ 1 คะแนน
3 ดี
2 พอใช้
ต่ำกวา่ 2 ปรับปรุง
79
แผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี 14
รายวชิ า ภาษาไทยเพมิ่ เตมิ รหัส ท 22202 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย
โรงเรียน โสภณวรคณุ วทิ ยา ชัน้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 2 ภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2565
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 3 เรอ่ื ง การเขยี นสร้างสรรค์
แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ 14 การเขียนบรรยาย เวลา 1 ชว่ั โมง/คาบ
ผู้สอน พระรพี ติสสฺ โร
วันทีส่ อน : วนั .................. ท.่ี .................................... เดอื น ....................................... พุทธศกั ราช ...................
1. สาระสำคัญ / ความคดิ รวบยอด
การเขียนบรรยายเป็นการเขียนเรื่องราวต่าง ๆ อาจเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องสมมุติก็ได้การเขียน
บรรยายที่ดีผู้เขียนต้องมีความรู้ในเรื่องที่จะบรรยายเข้าใจวิธีการเขียน ใช้กลวิธีในการดำเนินเรื่องเหมาะสม
เพอ่ื ใหผ้ ู้รบั สารเขา้ ใจและสนใจอา่ นและควรมมี ารยาทในการเขยี น
2. ผลการเรยี นรู้ / จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
ผลการเรียนรู้
1. เขียนสรปุ ความหรอื ขยายความจากเรอ่ื งท่กี ำหนด
2. เขียนความเรยี งเชงิ สรา้ งสรรค์แสดงความนกึ คดิ เหมาะกับวยั
จุดประสงค์การเรียนรู้
1. นกั เรียนสามารถอธิบายความหมายของการเขียนบรรยายได้
2. นักเรียนอธิบายหลกั การเขียนบรรยายได้
3. สาระการเรียนรู้
การเขียนเรื่องราวต่าง ๆ อาจเป็นเรื่องจริงหรือเรือ่ งสมมุติก็ได้การเขียนบรรยายที่ดีผู้เขียนต้องมี
ความรู้ในเร่ืองที่จะบรรยายเข้าใจวธิ ีการเขียน ใช้กลวิธีในการดำเนินเร่ืองเหมาะสม เพื่อให้ผู้รับสารเข้าใจและ
สนใจอ่านและควรมมี ารยาทในการเขยี น
4. กจิ กรรมการเรียนรู้
ขนั้ ที่ 1 นำเข้าสบู่ ทเรยี น
1. ครกู ล่าวทักทายนักเรยี นและทบทวนความร้เู ดิม จากช่ัวโมงท่แี ลว้
2. ครใู ห้นกั เรยี นทำสมาธกิ อ่ นเรยี น เพอื่ สำรวม กาย วาจา และ ใจ
ข้นั ที่ 2 ลงมือปฏิบตั ิ
1. ครูอธิบายความสำคัญของการเขยี นบรรยาย ใหน้ กั เรยี นฟัง
2. ครใู หน้ กั เรยี นทำใบงานการเขียนบรรยาย ทีค่ รูเตรยี มมา
ขัน้ ที่ 3 สรปุ
1. นกั เรียนและครรู ่วมกันสรปุ เร่อื ง การเขยี นบรรยาย
80
5. ช้ินงานหรือภาระงาน
- ใบงาน เรื่อง การเขยี นบรรยาย
6. ส่ือการเรยี นรู้
- ใบความรู้ เรอ่ื ง การเขียนบรรยาย
7. การวดั ผลประเมินผล
วธิ กี าร เครอ่ื งมอื เกณฑ์
รอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์
ตรวจใบงานเรอ่ื ง การเขยี น ใบงาน เร่อื ง การเขียนบรรยาย
ระดบั คณุ ภาพ 2 ผา่ นเกณฑ์
บรรยาย
ระดับคณุ ภาพ 2 ผ่านเกณฑ์
สงั เกตพฤติกรรมการทำงาน แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทำงาน
รายบุคคล รายบคุ คล
สงั เกตการใฝ่เรยี นรู้ มุ่งมน่ั ในการ แบบประเมนิ คุณลักษณะอนั พึง
ทำงาน และรกั ความเป็นไทย ประสงค์
81
ใบความรู้ เรอื่ ง การเขียนบรรยาย
การเขยี นบรรยาย
การเขยี นบรรยาย เปน็ การเขยี นเล่าเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึง่ ที่เกดิ ขึน้ เพื่อให้
ผ้อู า่ นเหน็ ภาพ เหตกุ ารณ์ ลําดบั เวลา สถานท่ี บุคคล ผ้เู ขียนควรกล่าวถงึ เหตุการณ์ให้
ชดั เจน โดยมีขอ้ มลู และเนือ้ หาสาระ ของเรอ่ื งที่จะแสดงความคิด บางคร้งั อาจแทรกบท
สนทนาตัวละครทาํ ให้ผู้อ่านเขา้ ใจลักษณะอารมณ์ความคดิ ของตวั ละครและเข้าใจเร่อื ง
ท้งั หมด
ขอ้ สงั เกตการเขยี นบรรยาย
การเขียนบรรยายกลา่ วขา้ งตน้ เป็นการเขียนบรรยายตามความจริง สามารถใช้เป็น
หลกั ฐานอ้างอิง ไม่มีการสอดแทรกอารมณห์ รอื ความรู้สึกลงไปในงานเขยี น
จุดมุ่งหมายของการเขียนบรรยาย
การเขียนบรรยายใช้แสดงความคดิ เห็นได้หลายรปู แบบ เชน่ ใช้ในคําประพนั ธ์แบบ เล่า
เรอื่ ง เล่าเหตุการณ์ การเขียนชีวประวตั ิ การเขยี นบันทึก การให้ข้อมูล การรายงานข่าว เปน็
ต้น การเขยี นบรรยาย เป็นการเขยี นเล่าข้อเท็จจริงหรือรายละเอยี ดของเรอื่ งตามที่ เปน็ อยู่
โดยคํานงึ ถึงความต่อเนอ่ื ง ประเภทของเร่ืองทใี่ ช้วิธีการเขยี นบรรยาย
1. อัตชีวประวตั หิ รือการเล่าประวัตชิ วี ิตบุคคลต่าง ๆ
2. ขอ้ เท็จจรงิ หรอื เหตุการณท์ างประวัติศาสตร์
3. เรือ่ งทีแ่ ต่งขึน้ หรอื เหตุการณ์ท่เี กิดขนึ้
4. เรื่องแนะนาํ สถานทีท่ ่องเท่ยี ว
5. การบรรยายภาพและวธิ ีการ
82
ใบงาน เร่อื ง การเขยี นบรรยายเรอื่ งจากเหตุการณท์ เี่ กิดขึน้
คำชี้แจง ใหน้ ักเรียนเขยี นบรรยายเรอื่ ง สถานที่ท่องเท่ียวในชุมชน ให้เปน็ เรือ่ งราวใหไ้ ด้ใจความพร้อมตัง้ ชอื่
เร่อื ง ความยาว 10-15 บรรทัด
เรื่อง......................................................................................
สถานท่ีทอ่ งเทย่ี วในชุมชนของฉัน ซึ่งเปน็ สถานที่เทยี่ วไดท้ ุกวนั เท่ยี วไดท้ กุ วยั
.................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................
.................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................
ชื่อ - สกุล........................................................................ชนั้ ....................เลขท.่ี .............................
83
แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทำงานรายบุคคล
คำชี้แจง : ให้ ผ้สู อน สังเกตพฤตกิ รรมของนักเรยี นในระหวา่ งเรียนและนอกเวลาเรยี น แล้วขดี ✓ ลงในช่อง
ที่ตรงกบั ระดับคะแนน
ลำดับที่ ช่ือ-สกุล ความมี ความมี การรบั ฟงั การแสดง การตรง รวม
ของผรู้ ับการ
วนิ ัย น้ำใจ ความ ความ ต่อเวลา 5
ประเมนิ
เออื้ เฟอ้ื คิดเห็น คดิ เหน็ คะแนน
เสยี สละ
43214321432143214321
ลงชอื่ ...................................................ผปู้ ระเมนิ
............../.................../................
เกณฑ์การใหค้ ะแนน เกณฑ์การตดั สินคณุ ภาพ
ปฏิบัตหิ รือแสดงพฤตกิ รรมอยา่ งสม่ำเสมอ ให้ 4 คะแนน ชว่ งคะแนน ระดับคณุ ภาพ
ปฏบิ ตั ิหรอื แสดงพฤตกิ รรมบอ่ ยครัง้ ให้ 3 คะแนน
ปฏบิ ัติหรือแสดงพฤตกิ รรมบางคร้ัง ให้ 2 คะแนน 4 - 5 ดีมาก
ปฏบิ ตั หิ รือแสดงพฤติกรรมน้อยครัง้ ให้ 1 คะแนน
3 ดี
2 พอใช้
ต่ำกวา่ 2 ปรับปรุง
84
แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ 15
รายวชิ า ภาษาไทยเพิ่มเตมิ รหสั ท 22202 กลุม่ สาระการเรยี นรู้ ภาษาไทย
โรงเรยี น โสภณวรคุณวิทยา ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 2 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2565
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 3 เรื่อง การเขียนสร้างสรรค์
แผนการจัดการเรยี นรูท้ ี่ 15 การเขยี นอภปิ ราย เวลา 1 ชัว่ โมง/คาบ
ผ้สู อน พระรพี ตสิ ฺสโร
วันทสี่ อน : วนั .................. ท่.ี .................................... เดอื น ....................................... พทุ ธศกั ราช ...................
1. สาระสำคัญ / ความคิดรวบยอด
การอภิปรายแสดงความคิดเหน็ และขอ้ โต้แย้งเก่ยี วกับเรื่องที่อ่าน ควรเปน็ การแสดงความคิดเห็นที่
ประกอบด้วยเหตุผลที่ถกู ตอ้ ง มีคุณธรรม ก่อใหเ้ กดิ ประโยชน์ต่อผู้รับสารและสังคม ไมก่ อ่ ให้เกิดความขัดแยง้
2. ผลการเรียนรู้ / จุดประสงค์การเรียนรู้
ผลการเรยี นรู้
1. วเิ คราะห์ ตีความ แสดงความคดิ เหน็ และประเมินคณุ ค่าของเรอื่ งทอี่ ่าน
2. เขยี นสรปุ ความหรอื ขยายความจากเร่ืองทก่ี ำหนด
3. เขยี นความเรียงเชงิ สร้างสรรค์แสดงความนกึ คิดเหมาะกับวัย
จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
1. นักเรียนสามารถอธบิ ายหลกั การอภิปรายแสดงความคิดเหน็ และขอ้ โต้แย้งเก่ียวกับเรื่องทีอ่ ่านได้
2. นกั เรยี นสามารถอภปิ รายและแสดงความคดิ เห็นและขอ้ โต้แยง้ เกี่ยวกบั เร่ืองท่ีอ่าน
3. สาระการเรยี นรู้
การอภปิ รายแสดงความคิดเหน็ และขอ้ โต้แยง้ เกี่ยวกับเร่ืองทอี่ ่าน ควรเป็นการแสดงความคิดเห็นที่
ประกอบด้วยเหตุผลท่ีถกู ตอ้ ง มคี ณุ ธรรม ก่อใหเ้ กดิ ประโยชนต์ อ่ ผรู้ บั สารและสงั คม ไมก่ ่อให้เกิดความขัดแยง้
4. กจิ กรรมการเรียนรู้
ขั้นที่ 1 นำเขา้ สู่บทเรยี น
1. ครกู ลา่ วทกั ทายนักเรยี นและทบทวนความร้เู ดิม จากชวั่ โมงทีแ่ ล้ว
2. ครูใหน้ ักเรียนทำสมาธิกอ่ นเรียน เพื่อสำรวม กาย วาจา และ ใจ
ข้ันที่ 2 ลงมือปฏิบัติ
1. ครูอธิบายความสำคัญของการเขียนอภิปราย ให้นักเรียนฟัง
2. ครูใหน้ ักเรียนทำใบงานการเขยี นอภิปราย ท่ีครเู ตรียมมา
ข้ันที่ 3 สรปุ
1. นกั เรยี นและครูร่วมกันสรุป เร่อื ง การเขียนอภปิ ราย
5. ชิ้นงานหรอื ภาระงาน
- ใบงาน เรอ่ื ง การเขียนอภปิ ราย
85
6. สื่อการเรยี นรู้
- ใบความรู้ เรื่อง การเขียนอภปิ ราย
7. การวดั ผลประเมินผล
วธิ กี าร เคร่ืองมอื เกณฑ์
ร้อยละ 60 ผา่ นเกณฑ์
ตรวจใบงานเรอ่ื ง การเขยี น ใบงาน เรือ่ ง การเขียนอภิปราย
ระดบั คุณภาพ 2 ผา่ นเกณฑ์
อภปิ ราย
ระดับคณุ ภาพ 2 ผ่านเกณฑ์
สงั เกตพฤตกิ รรมการทำงาน แบบสงั เกตพฤติกรรมการทำงาน
รายบุคคล รายบคุ คล
สังเกตการใฝ่เรยี นรู้ มุ่งมัน่ ในการ แบบประเมนิ คุณลกั ษณะอนั พงึ
ทำงาน และรกั ความเป็นไทย ประสงค์
86
ใบความรู้ เร่อื ง การอภปิ รายแสดงความคิดเหน็ และข้อโต้แย้งเก่ยี วกับเรือ่ งท่อี ่าน
❖การอภปิ ราย คอื การร่วมกันแสดงความคิดเหน็ ต่อเร่ืองใดเร่ืองหน่ึง รวมไปถึงการพูดให้ ความรู้ข้อมูล
ใหม่ด้วย การอภิปรายที่ได้ยินกันบ่อยปัจจุบัน เช่น การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล การ
อภิปรายเกยี่ วกบั ปัญหาเศรษฐกจิ เป็นต้น
วตั ถปุ ระสงค์ของการอภปิ ราย
1. เพ่ือหาขอ้ เท็จจรงิ
2. เพือ่ แลกเปลี่ยนความร้แู ละความคดิ เห็น
3. เพอ่ื วดั และตรวจสอบทศิ ทางหรือความรู้สึกของสมาชกิ ของสงั คมหรอื กลุ่มตอ่ เร่ืองใดเรอ่ื งหนง่ึ
ท่ีเปน็ ประเด็นสนใจ
4. เพื่อกระตุ้นให้ผ้ฟู ังเกดิ ความสนใจและเรียนรู้เกยี่ วกับประเดน็ ปัญหา
5. เพอ่ื นำข้อมลู ความรแู้ ละความคดิ เห็นไปประกอบการตัดสนิ ใจ
6. เพอื่ แก้ปัญหาและหาทางออกรว่ มกันของกล่มุ
❖การแสดงความคดิ เห็น คือ การแสดงความรู้สึก ความเห็นของตนตอ่ สงิ่ ใดสง่ิ หนงึ่ หรอื เร่ืองใดเรือ่ งหน่งึ
จากการอ่าน การดู การฟงั เปน็ การพูดท่ีผู้พดู ตอ้ งพดู อยา่ งมีเหตมุ ีผล
❖การโต้แย้ง คือ การแสดงทรรศนะท่ีแตกต่างกันระหว่างบุคคล 2 ฝา่ ย แตล่ ะฝ่ายจะต้องพยายามหาหลกั ฐาน
ขอ้ มูล เหตุผล มาสนบั สนนุ ทรรศนะของตนให้น่าเชื่อถอื ท้งั คัดคา้ น ทรรศนะของอีกฝา่ ยหนึง่
การอภปิ รายแสดงความคิดเหน็ และข้อโตแ้ ย้งเก่ยี วกบั เรอ่ื งทอ่ี า่ น ประกอบดว้ ย
ข้อความสำคัญของเรื่องที่อา่ น คือ การนำใจความสำคญั จากเร่ืองที่อ่านมาแสดงให้ผู้รับสารได้
เข้าถงึ ความ เปน็ มาของเรือ่ งไดอ้ ย่างครบถ้วน ขอ้ สนับสนนุ คือ การอธิบายหลักการและเหตุผล
ประกอบตามความเปน็ จริงพรอ้ มดว้ ยการเปรยี บเทียบ หรืออาจทำข้อสรุปการอภิปรายของผู้อื่น
มาประกอบเหตุผล ชี้แจง และสนับสนุน ซึ่งมีทั้งความคิดเห็นที่คล้อย ตามเรื่องที่อ่านและข้อ
โต้แย้งที่ไม่เห็นด้วย ข้อสรุป คือ การชี้ให้เห็นถึงเรื่องสำคัญในการอภิปรายว่าเป็นการยอมรบั
หรือโตแ้ ยง้ ดว้ ยการใช้ถอ้ ยคำทีม่ ี ความหมายลึกซ้ึงเพอ่ื โน้มนา้ วใจให้ผรู้ ับสารยอมรับและปฏิบัติ
ตาม
87
ใบงาน เรอ่ื ง การอภิปรายแสดงความคิดเห็นและขอ้ โตแ้ ย้งเก่ยี วกับเรอ่ื งทอ่ี า่ น
เร่อื ง.............................................................................................................
ประเดน็
.............................................................................................................................
......................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................
ขอ้ สนบั สนุน/การแสดงความคิดเห็น
......................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
ข้อสรุป
......................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................
.............. ...... ...............................................................................................................................
ชื่อ-สกุล.....................................................................................ช้นั .......................เลขที่.............
88
แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ 16
รายวิชา ภาษาไทยเพมิ่ เติม รหัส ท 22202 กล่มุ สาระการเรยี นรู้ ภาษาไทย
โรงเรยี น โสภณวรคณุ วทิ ยา ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปกี ารศึกษา 2565
หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 3 เร่อื ง การเขียนสร้างสรรค์
แผนการจดั การเรียนรูท้ ี่ 16 การเขียนส้นั เวลา 1 ชั่วโมง/คาบ
ผู้สอน พระรพี ตสิ สฺ โร
วันทสี่ อน : วนั .................. ท่ี..................................... เดือน ....................................... พทุ ธศกั ราช ...................
1. สาระสำคัญ / ความคิดรวบยอด
เรอื่ งสั้น คอื งานเขยี นทแี่ ตง่ ขึ้นเปน็ เร่ือง มขี นาดสนั้ และไมซ่ บั ซ้อนเหมือนงานเขียนประเภทนวนิยาย แต่ก็ไม่ใช่
นวนยิ ายขนาดสัน้ หรือการยอ่ นวนยิ ายให้สน้ั ลง
2. ผลการเรียนรู้ / จดุ ประสงค์การเรียนรู้
ผลการเรียนรู้
1. เขยี นสรปุ ความหรือขยายความจากเร่ืองท่ีกำหนด
2. เขยี นความเรยี งเชงิ สรา้ งสรรคแ์ สดงความนึกคดิ เหมาะกับวัย
จุดประสงค์การเรียนรู้
1. เขียนแผนภาพโครงเรอ่ื งได้ถกู ตอ้ ง
2. เขียนเรื่องส้ันท่กี ำหนดได้
3. สาระการเรยี นรู้
การเขยี นเร่อื งสนั้ เป็นการเขียนเล่าเร่ืองแบบหนึ่ง และไมใ่ ช่เร่ืองง่ายที่จะเขียนให้ได้ดี เพราะมันมี
ข้อจำกัดในเรื่องของ ขนาด เข้ามาเกี่ยวข้อง ความหมายทีง่ ่ายท่ีสุดของมันคือ เรื่องเล่าท่ีมีประมาณ 1,000 ถึง
5,000 คำเปน็ อย่างมาก
4. กิจกรรมการเรียนรู้
ข้นั ท่ี 1 นำเขา้ สู่บทเรียน
1. ครูกลา่ วทักทายนักเรียนและทบทวนความร้เู ดิม จากช่ัวโมงท่ีแล้ว
2. ครูให้นกั เรียนทำสมาธกิ อ่ นเรียน เพอ่ื สำรวม กาย วาจา และ ใจ
ข้ันที่ 2 ลงมอื ปฏบิ ตั ิ
1. ครูอธิบายความสำคญั ของการเขยี นเรือ่ งส้ัน ใหน้ ักเรยี นฟัง
2. ครใู ห้นกั เรยี นทำใบงานการเขียนเรอื่ งส้ันที่ครูเตรียมมา
ขัน้ ท่ี 3 สรุป
1. นกั เรยี นและครรู ว่ มกันสรุป เรือ่ ง การเขยี นเรือ่ งสน้ั
5. ช้นิ งานหรือภาระงาน
- ใบงาน เรอ่ื ง การเขียนเรอ่ื งสัน้
89
6. ส่อื การเรียนรู้
- ใบความรู้ เร่ือง การเขยี นเรอ่ื งสนั้
7. การวัดผลประเมนิ ผล
วิธีการ เครอ่ื งมอื เกณฑ์
ร้อยละ 60 ผา่ นเกณฑ์
ตรวจใบงานเรอ่ื ง การเขียนเรอ่ื ง ใบงาน เรอื่ ง การเขียนเรือ่ งสน้ั
ระดับคณุ ภาพ 2 ผา่ นเกณฑ์
สนั้
ระดับคุณภาพ 2 ผ่านเกณฑ์
สงั เกตพฤตกิ รรมการทำงาน แบบสงั เกตพฤติกรรมการทำงาน
รายบุคคล รายบคุ คล
สงั เกตการใฝ่เรียนรู้ มงุ่ มนั่ ในการ แบบประเมนิ คุณลักษณะอันพงึ
ทำงาน และรกั ความเป็นไทย ประสงค์
90
ใบความรู้ เร่อื ง การเขยี นเร่ืองสน้ั
บทอา่ น เรอ่ื ง เท่ยี วอุทยานแห่งชาติ
วันหนึ่งพ่อกับแม่พาเราไปเที่ยวอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เป็นครั้งแรก ที่ฉันกับสีเทียนได้ไปเที่ยวที่น่ัน
อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ใหญ่สมช่ือ มีภเู ขา ปา่ ไม้ นำ้ ตก สตั วป์ า่ และมีนกั ทอ่ งเทย่ี วเตม็ ไปหมด พ่อบอกวา่ วันนี้เขามี
งานเทศกาลเขาใหญ่ มีประกวดวาดภาพ คัดลายมือ และอ่านท้านองเสนาะ เรื่อง รักษาป่า มิน่าล่ะ พ่อกับแมถ่ ึงได้
พาเรามา กอ่ นการประกวดมีดนตรแี สดง และมีเจ้าหนา้ ทีข่ องอุทยานมาเล่าเรื่อง เขาใหญ่ เล่าเร่อื งป่าไม้และสัตว์ป่า
ท้งั ยงั เลา่ เร่อื งคนใจร้ายที่ลักลอบมาตัดไม้ และลา่ สัตว์ เขามภี าพถ่ายให้ดูดว้ ย ฉนั เหน็ กวางแม่ลูกอ่อนตัวหน่ึงถูกฆ่า
ลูก ของมนั ยงั เลก็ อยู่ นา่ สงสารจงั เลย แม่สง่ ฉันเขา้ ประกวดอ่านทา้ นองเสนาะ แมบ่ อกว่า “ฉนั อา่ นทา้ นอง เสนาะได้
ด”ี พ่อพาสเี ทียนไปประกวดวาดภาพ สีเทยี นหนั มาโบกมือใหฉ้ นั แลว้ บอกว่า “จะวาดรูปมาฝาก” ฉันยิ้มให้สีเทียน
ก่อนจะตามแม่ไปที่เวที ประกวดอา่ นทา้ นองเสนาะ วันนน้ั ฉนั ไม่ไดร้ างวัลท่ีหน่ึงหรอก แต่ฉันได้ท้าดีท่ีสุดแล้ว ฉันได้
รางวัลท่ี สอง ได้หนังสือ เรื่อง อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เป็นรางวัล แม่บอกว่า “ไม่ ต้องเสียใจ คนเราไม่ต้องเปน็ ท่ี
หนงึ่ เสมอไป เปน็ ทส่ี องก็ได้ แม้วา่ ลูกจะไมไ่ ด้ รางวัล แมก่ ภ็ ูมิใจทล่ี ูกได้รว่ มกจิ กรรม”ฉนั กเ็ ห็นดว้ ยอยา่ งทีแ่ มส่ อน
ใบงาน เรอื่ ง การเขยี นเรอื่ งสัน้
คำชี้แจง เรยี งลำดับเหตุการณ์จากบทอ่านเรื่อง เทยี่ วอุทยานแหง่ ชาติ และเขยี นลงในบรรทัดข้างล่าง
แม่ส่งฉนั เข้าประกวดอา่ นทำนองเสนาะ
เจา้ หนา้ ที่ของอุทยานมาเล่าเร่อื งเขาใหญ่ เรอ่ื งปา่ ไม้ และสตั วป์ ่า
พ่อกับแม่พาเราไปเทีย่ วอทุ ยานแห่งชาติเขาใหญ่
สเี ทียนหันมาโบกมอื ให้ฉันแลว้ บอกวา่ “จะวาดรูปมาฝาก”
...............................................................................................................................................
................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................
..............................................................................................................................................
91
แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทำงานรายบุคคล
คำชี้แจง : ให้ ผ้สู อน สังเกตพฤตกิ รรมของนักเรยี นในระหวา่ งเรียนและนอกเวลาเรยี น แล้วขดี ✓ ลงในช่อง
ที่ตรงกบั ระดับคะแนน
ลำดับที่ ช่ือ-สกุล ความมี ความมี การรบั ฟงั การแสดง การตรง รวม
ของผรู้ ับการ
วนิ ัย น้ำใจ ความ ความ ต่อเวลา 5
ประเมนิ
เออื้ เฟอ้ื คิดเห็น คดิ เหน็ คะแนน
เสยี สละ
43214321432143214321
ลงชอื่ ...................................................ผปู้ ระเมนิ
............../.................../................
เกณฑ์การใหค้ ะแนน เกณฑ์การตดั สินคณุ ภาพ
ปฏิบัตหิ รือแสดงพฤตกิ รรมอยา่ งสม่ำเสมอ ให้ 4 คะแนน ชว่ งคะแนน ระดับคณุ ภาพ
ปฏบิ ตั ิหรอื แสดงพฤตกิ รรมบอ่ ยครัง้ ให้ 3 คะแนน
ปฏบิ ัติหรือแสดงพฤตกิ รรมบางคร้ัง ให้ 2 คะแนน 4 - 5 ดีมาก
ปฏบิ ตั หิ รือแสดงพฤติกรรมน้อยครัง้ ให้ 1 คะแนน
3 ดี
2 พอใช้
ต่ำกวา่ 2 ปรับปรุง
92
แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ 17
รายวชิ า ภาษาไทยเพิม่ เติม รหสั ท 22202 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย
โรงเรยี น โสภณวรคณุ วทิ ยา ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 2 ภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศึกษา 2565
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 3 เรอ่ื ง การเขยี นสร้างสรรค์
แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ 17 สร้างสรรค์งานเขียน เวลา 1 ชว่ั โมง/คาบ
ผูส้ อน พระรพี ตสิ สฺ โร
วันท่ีสอน : วนั .................. ท.ี่ .................................... เดอื น ....................................... พุทธศกั ราช ...................
1. สาระสำคัญ / ความคิดรวบยอด
การเขียนนิทานเป็นการเขียนเรื่องตามจินตนาการ โดยใช้ประสบการณ์เดิมผนวกกับความคิด-
สรา้ งสรรค์ ถา่ ยทอดเร่ืองราวดว้ ยสำนวนภาษาท่สี นุกสนานน่าสนใจ เปน็ การฝึกใหผ้ ้เู ขียน และผอู้ ่านมีความคิด
สร้างสรรคท์ ี่ดี และไดข้ ้อคิดจากนิทานมาประยุกตใ์ ช้กับการดำเนินชีวติ ของตนให้มคี วามสขุ
2. ผลการเรียนรู้ / จุดประสงค์การเรยี นรู้
ผลการเรียนรู้
1. เขียนสรุปความหรือขยายความจากเรื่องที่กำหนด
2. เขียนความเรยี งเชงิ สรา้ งสรรค์แสดงความนึกคดิ เหมาะกับวยั
จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
1. บอกหลกั การเขียนนทิ านได้
2. เขียนนทิ านจากจนิ ตนาการได้
3. สาระการเรยี นรู้
การเขียนเรื่องตามจินตนาการ โดยใช้ประสบการณ์เดิมผนวกกับความคิด-สร้างสรรค์ ถ่ายทอด
เร่ืองราวด้วยสำนวนภาษาที่สนุกสนานนา่ สนใจ เป็นการฝกึ ให้ผู้เขียน และผู้อา่ นมคี วามคิดสร้างสรรค์ที่ดี และ
ไดข้ ้อคดิ จากนทิ านมาประยุกต์ใช้กับการดำเนนิ ชวี ติ ของตนใหม้ คี วามสุข
4. กิจกรรมการเรียนรู้
ข้นั ท่ี 1 นำเข้าสูบ่ ทเรยี น
1. ครกู ล่าวทักทายนักเรยี นและทบทวนความรู้เดิม จากชั่วโมงท่ีแล้ว
2. ครใู หน้ ักเรียนทำสมาธิกอ่ นเรยี น เพอื่ สำรวม กาย วาจา และ ใจ
ข้นั ที่ 2 ลงมือปฏบิ ตั ิ
1. ครูอธบิ ายความสำคัญของการเขียนเร่อื งสรา้ งสรรค์ ให้นกั เรียนฟงั
2. ครูให้นกั เรยี นทำใบงานการเขยี นเร่อื งสร้างสรรค์ที่ครูเตรียมมา
ขั้นที่ 3 สรุป
1. นกั เรียนและครูรว่ มกนั สรปุ เรื่อง การเขยี นเรื่องสรา้ งสรรค์
93
5. ช้นิ งานหรอื ภาระงาน
- ใบงาน เรอ่ื ง การเขยี นเร่ืองสรา้ งสรรค์
6. สือ่ การเรยี นรู้
- ใบความรู้ เรือ่ ง การเขยี นเร่อื งสรา้ งสรรค์
7. การวัดผลประเมินผล
วธิ ีการ เครื่องมอื เกณฑ์
ตรวจใบงานเรอ่ื ง การเขยี นเรื่อง ใบงาน เรื่อง การเขียนเรื่อง ร้อยละ 60 ผา่ นเกณฑ์
สรา้ งสรรค์ สรา้ งสรรค์
สงั เกตพฤติกรรมการทำงาน แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทำงาน ระดบั คณุ ภาพ 2 ผ่านเกณฑ์
รายบคุ คล รายบคุ คล
สังเกตการใฝเ่ รยี นรู้ มุ่งมนั่ ในการ แบบประเมินคุณลกั ษณะอันพงึ ระดบั คุณภาพ 2 ผ่านเกณฑ์
ทำงาน และรกั ความเป็นไทย ประสงค์
94
ใบความรู้ เรอื่ ง การเขยี นนทิ าน
นิทานเป็นวรรณกรรมท่ีเก่าแก่ท่ีใครๆ ไมว่ า่ เด็กหรือผูใ้ หญก่ ็ชอบฟังนิทานทง้ั นั้น แต่ละชนชาตติ า่ งมี
นทิ านเปน็ สมบตั ิประจำชาติของตน นทิ านมีหลายประเภท เช่น นิทานพ้ืนบา้ น นทิ านอีสป นทิ านชาดก การ
เขยี นนิทานต้องมศี ลิ ปะในการเขยี นให้สนกุ นทิ านนอกจากใหค้ วามบันเทงิ แล้วยงั ให้คณุ คา่ แก่ผฟู้ ังและ ผู้อ่าน
ได้แกค่ ติธรรม ข้อคดิ เก่ียวกบั ชวี ติ สังคม วัฒนธรรมในท้องถ่ิน
องค์ประกอบของนิทาน ได้แก่
1. แนวคดิ หรอื แก่นของเร่อื ง เชน่ เรอื่ งปลาบู่ทอง และ เรือ่ งซินเดอเรลลา
มีแนวคิด หรือแก่นของ เร่ืองวา่ แมเ่ ลี้ยงข่มเหงลกู เลยี้ ง
2. โครงเรือ่ ง ซึ่งเปน็ การกล่าวถึงเหตุการณที่ดำเนนิ ไปตามลำดับ
3. ตัวละครสำคัญ และตัวละครประกอบ
4. ฉาก ซ่ึงกลา่ วถงึ สถานทีแ่ ละบรรยากาศประกอบเร่อื ง
5. ถอ้ ยคำหรือบทสนทนา ท่ีตัวละครในเร่ืองพดู กัน
6. คติชวี ิต หรือ ข้อคดิ ที่ได้จากเรือ่ ง
วิธกี ารเขียนนทิ าน
การเขียนนิทานเปน็ การเขยี นเร่ืองสมมติให้ผูอ้ นื่ อ่าน ตอ้ งเขยี นให้สนกุ และเขยี นบรรยายให้
นา่ สนใจ ให้เหมอื นกับผเู้ ขียนได้มาเลา่ ให้ผู้อ่านฟงั มีหลักการเขียนดงั น้ี
1. สร้างโครงเรอ่ื ง
2. กำหนดตวั ละครและสถานที่ทีเ่ กิดเหตกุ ารณ์
3. ลำดบั เหตุการณ์
4. ดำเนินเรื่องใหน้ ่าสนใจ มคี วามขัดแยง้ ในการกระทำของตัวละคร
5. ใช้ภาษาในการดำเนนิ เรื่องให้สมจรงิ สมจัง และสละสลวย โดยใช้การบรรยาย หรือการใช้บท สนทนาดำเนินเรือ่ ง
6. เขยี นเรอื่ งใหม้ ีแนวคิด และให้เห็นผลของการกระทำของตัวละคร
7. การเขียนนทิ านโดยการนำเรือ่ งเกา่ มาเล่าใหม่ โดยมีวิธกี ารเขยี นท่แี ปลกออกไป คอื เพ่ิมเตมิ ขยาย
ขอ้ ความของเก่าใหก้ ว้างขวางออกไปจากเดมิ และท่ีสำคัญท่สี ดุ คือ มกี ารสอดแทรกขอ้ คิด ลกั ษณะนี้
เรยี กว่า ”นิทานประยกุ ต“์
95
ใบงาน เรือ่ ง เขยี นนทิ านตามจินตนาการ
คำช้แี จง ใหน้ ักเรยี นวางแผนเขียนนทิ านตามจนิ ตนาการ
ขอ้ คิด
ตวั ละคร
ผลของเหตกุ ารณ์ โครงเร่ืองนทิ านเร่ือง
……………………………………
ฉาก
เหตุการณ์
เรอื่ ง……………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………….
ช่อื -สกุล………………………………………………………………………ช้นั ………………เลขท่ี…………………….
96
คำชี้แจง : ให้ ผ้สู อน สังเกตพฤติกรรมของนกั เรียนในระหวา่ งเรยี นและนอกเวลาเรียน แล้วขดี ✓ ลงในช่อง
ท่ตี รงกับระดบั คะแนน
ลำดับท่ี ชื่อ-สกุล ความมี ความมี การรับฟงั การแสดง การตรง รวม
ของผรู้ บั การ
วนิ ัย น้ำใจ ความ ความ ต่อเวลา 5
ประเมนิ
เอือ้ เฟอ้ื คดิ เห็น คิดเหน็ คะแนน
เสียสละ
43214321432143214321
ลงชอ่ื ...................................................ผปู้ ระเมนิ
............../.................../................
เกณฑ์การใหค้ ะแนน เกณฑ์การตัดสินคณุ ภาพ
ปฏิบตั หิ รือแสดงพฤติกรรมอย่างสมำ่ เสมอ ให้ 4 คะแนน ช่วงคะแนน ระดบั คณุ ภาพ
ปฏิบัตหิ รอื แสดงพฤตกิ รรมบอ่ ยครง้ั ให้ 3 คะแนน
ปฏบิ ตั ิหรอื แสดงพฤตกิ รรมบางครั้ง ให้ 2 คะแนน 4 - 5 ดีมาก
ปฏิบตั ิหรือแสดงพฤติกรรมนอ้ ยครั้ง ให้ 1 คะแนน
3 ดี
2 พอใช้
ตำ่ กว่า 2 ปรับปรงุ
97
แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี 18
รายวชิ า ภาษาไทยเพิ่มเตมิ รหสั ท 22202 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย
โรงเรยี น โสภณวรคณุ วทิ ยา ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศกึ ษา 2565
หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 4 เรื่อง วาทะการ
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 18 การโต้วาที เวลา 1 ชั่วโมง/คาบ
ผูส้ อน พระรพี ติสสฺ โร
วนั ทสี่ อน : วนั .................. ท.่ี .................................... เดือน ....................................... พทุ ธศกั ราช ...................
1. สาระสำคัญ / ความคดิ รวบยอด
เป็นการพูดโต้แย้งหน้าที่ประชมุ โดยแบ่งผู้พูดเป็น 2 ฝ่าย ได้แก่ ฝ่ายเสนอญัตติ และฝ่ายคัดค้าน
ญัตติ เรยี กสั้นๆ ว่าฝา่ ยเสนอ และฝา่ ยต้น มผี ู้ตัดสินช้ขี าดใหฝ้ ่ายใดฝ่ายหน่งึ ชนะ
2. ผลการเรียนรู้ / จดุ ประสงค์การเรียนรู้
ผลการเรยี นรู้
1. เม่ือกำหนดสถานการณ์สมมตติ ่าง ๆ ขึ้น นักเรียนสามารถรว่ มการอภปิ รายกลุ่ม
2. ดำเนนิ การโตว้ าทีและร่วมโต้วาที
จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้
1. อธิบายความรู้ และ ความเขา้ ใจ ในการพูดโตว้ าที
2. พดู โตว้ าที ได้อย่างถกู ต้องร้จู ักกาลเทศะและบุคคล
3. สาระการเรียนรู้
การพูดโต้แย้งหน้าที่ประชุม โดยแบ่งผู้พูดเป็น 2 ฝ่าย ได้แก่ ฝ่ายเสนอญัตติ และฝ่ายคัดค้าน
ญตั ติ เรยี กสั้นๆ ว่าฝ่ายเสนอ และฝ่ายต้น มีผตู้ ัดสินชข้ี าดให้ฝ่ายใดฝ่ายหนง่ึ ชนะ
4. กจิ กรรมการเรยี นรู้
ขั้นที่ 1 นำเขา้ ส่บู ทเรยี น
1. ครกู ล่าวทกั ทายนกั เรียนและทบทวนความรู้เดิม จากช่ัวโมงท่แี ลว้
2. ครใู หน้ กั เรียนทำสมาธกิ อ่ นเรยี น เพอ่ื สำรวม กาย วาจา และ ใจ
ขน้ั ท่ี 2 ลงมือปฏบิ ตั ิ
1. ครูอธบิ ายความสำคัญของการโตว้ าที ใหน้ ักเรยี นฟงั
2. ครใู ห้นกั เรยี นดูสอื่ เรอื่ ง การโตว้ าที
ขนั้ ที่ 3 สรุป
1. นักเรียนและครรู ่วมกันสรุป เรื่อง การโต้วาที
5. ชน้ิ งานหรอื ภาระงาน
- ใบงาน เรอ่ื ง การเขยี นเรอ่ื งสร้างสรรค์
98
6. สื่อการเรยี นรู้
- ใบความรู้ เร่อื ง การเขยี นเรื่องสร้างสรรค์
7. การวดั ผลประเมินผล
วธิ กี าร เครื่องมือ เกณฑ์
ตรวจใบงานเร่อื ง การเขียนเรอ่ื ง ใบงาน เรื่อง การเขียนเรื่อง รอ้ ยละ 60 ผา่ นเกณฑ์
สร้างสรรค์ สรา้ งสรรค์
สังเกตพฤตกิ รรมการทำงาน แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการทำงาน ระดับคุณภาพ 2 ผ่านเกณฑ์
รายบคุ คล รายบุคคล
สังเกตการใฝ่เรยี นรู้ มงุ่ ม่นั ในการ แบบประเมินคุณลักษณะอันพงึ ระดบั คณุ ภาพ 2 ผา่ นเกณฑ์
ทำงาน และรกั ความเป็นไทย ประสงค์
99
ใบความรเู้ รื่อง การโต้วาที
การโต้วาที เป็นการพูดโตแ้ ยง้ หนา้ ที่ประชุม โดยแบ่งผู้พูดเปน็ 2 ฝา่ ย ไดแ้ ก่ ฝ่ายเสนอญตั ติ และ
ฝ่าย คดั ค้านญตั ติ และ มีผตู้ ัดสนิ ชีข้ าดใหฝ้ ่ายใดฝา่ ยหนึ่งชนะ
องคป์ ระกอบของการโต้วาที
1. ผโู้ ตว้ าทมี ี 2 ฝ่าย คอื ฝ่ายเสนอและฝ่ายค้าน แต่ละฝ่ายประกอบดว้ ย หวั หนา้ 1 คน สมาชิกฝ่าย
ละ 2-3 คน หวั หน้าฝ่ายเสนอพดู คนแรก คนท่ี 2 คอื หัวหน้าฝ่ายค้าน เมื่อผ้พู ูดสลบั กันจนครบทุกคน
หวั หนา้ ฝ่ายค้านสรุปประเด็นตอ่ หวั หน้าฝา่ ยเสนอ
2. ญตั ติ คือ หัวข้อในการโตว้ าที ทีก่ ำหนดไวล้ ่วงหน้า ญตั ติที่ดจี ะต้องเป็นเร่ืองที่ให้ประโยชน์แก่ผู้ฟัง
อยใู่ นความสนใจของสังคมมีความเปน็ กลาง และไม่ขดั ตอ่ ศลี ธรรม
3. ประธานหรือผู้ดำเนินการโต้วาที ทำหน้าที่กล่าวนำ ชี้แจงญัตติ อธิบายระเบียบการโต้วาที
กำหนดเวลาพูด เชิญผู้โต้วาทีฝ่ายเสนอและฝ่ายค้านสลับกัน รวบรวมคะแนนจากคณะกรรมการ
ประกาศผล และกลา่ วปิดการโตว้ าที
4. ผูจ้ ับเวลา ให้สัญญาณกอ่ นหมดเวลาแตล่ ะคน 1 นาที และให้สัญญาณเม่อื หมดเวลา
5. กรรมการตัดสิน คณะกรรมการตัดสินควรเป็นจำนวนคี่ นิยม 3 หรือ 5 คน เพื่อป้องกันปัญหา
คะแนนเทา่ กนั คณะกรรมการตอ้ งเท่ียงธรรมในการตดั สินเหตผุ ลและวาทศลิ ปข์ องทง้ั สองฝา่ ย
6. ผู้ฟัง อาจไดร้ บั เชญิ หรอื เขา้ ฟังโดยอิสระปฏบิ ตั ิตนเปน็ ผฟู้ งั ทด่ี ีมีมารยาทในการฟงั
ขอ้ ปฏิบัติในการโตว้ าที
1. ผโู้ ตว้ าทีทกุ คนเตรียมการพดู เตรียมขอ้ มูลล่วงหน้า หวั หน้าฝ่ายเสนอเป็นผู้อธบิ ายญัตติ ฝา่ ยคา้ นมี
หน้าทีห่ ักลา้ งฝ่ายเสนอ ยกเหตผุ ล ตวั อยา่ งใหเ้ หน็ จรงิ
2. มีมารยาทในการพูด ไมพ่ ูดส่อเสยี ด ขดุ คยุ้ เรอ่ื งส่วนตวั หรอื ใช้กิรยิ าไม่สภุ าพ ใช้สรรพนามแทนฝ่าย
ตรงข้ามวา่ “หัวหน้าฝา่ ย” “ผสู้ นบั สนนุ ฝา่ ย”
3. ไมใ่ ช้ภาษาหยาบคาย หรือเลน่ สำนวนโวหารเกินไป
4. พูดให้มเี นือ้ หาสาระท่ีมปี ระโยชน์ตอ่ ผฟู้ งั
5. ใช้ศิลปะโนม้ น้าวใจผฟู้ งั คล้อยตาม
6. ตรงตอ่ เวลา นยิ มกำหนดเวลา 3-5 นาที ต่อผ้โู ต้วาที 1 คน หวั หนา้ จะได้รบั เวลามากกวา่
ผู้สนับสนนุ ท้งั นใี้ หอ้ ยูใ่ นดลุ ยพนิ ิจ
7. มีน้ำใจนักกีฬารูแ้ พ้รชู้ นะรอู้ ภัย