1 Vc โครงร่างงานวิจัย สาขาวิชาภาษาไทย มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง คณะผู้วิจัย นางสาว จีรวรรณ พรมสาร รหัสนักศึกษา ๖๔๔๑๐๑๐๐๗ นางสาว ณัฏฐธิดา สิงห์คำป้อง รหัสนักศึกษา ๖๔๔๑๐๑๐๐๙ นางสาว สุธินี ซุ้ยวงษา รหัสนักศึกษา ๖๔๔๑๐๑๐๒๔ หลักสูตร : ครุศาสตรบัณฑิต (ภาษาไทย) สาขาวิชา : ภาษาไทย ชื่องานวิจัย กลวิธีการสื่อความหมายเชิงสัญลักษณ์ ที่ปรากฏในภาพยนตร์เรื่องสัปเหร่อ ซึ่งกำกับโดย ต้องเต ธิติ ศรีนวล (The Strategies for conveying symbolic meaning in The Undertaker movie ) ความสําคัญและที่มาของปัญหาการวิจัย ภาพยนตร์เป็นการแสดงประเภทหนึ่งที่มีวิธีการดำเนินเรื่องอย่างเป็นเรื่องราว ซึ่งถือเป็นผลผลิต ทางวัฒนธรรม ดังนั้นภาพยนตร์เป็นส่วนหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญที่ได้สะท้อนและเผยแพร่คุณค่าทางวัฒนธรรม ภาพยนตร์ถือเป็นสื่อชนิดหนึ่งที่ปรากฏรูปหรือเสียงบ่งชี้เหตุการณ์ หรือข้อความอันสามารถถ่ายทอดได้ด้วย เครื่องฉายภาพยนตร์หรือเครื่องอย่างอื่นทำนองเดียวกัน ภาพยนตร์เกิดขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการของ สังคม ภาพยนตร์จึงเป็นสื่อที่คนส่วนใหญ่ใช้ประโยชน์เพื่อความบันเทิงในยามว่าง (พิมพลอย รัตนมาศ, 2554, หน้า 22) ภาพยนตร์จะมีเนื้อหาและการดำเนินเรื่องที่สามารถตอบสนองความต้องการและความพึงพอใจของ ผู้ชมภาพยนตร์ถือมีบทบาทที่แสดงเป็นเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ตลอดจนความเชื่อของประชาชน บุญรักษ์ บุญญะเขตมาลา (2533) กล่าวถึง ภาพยนตร์ว่าเป็นศิลปะแขนงที่เจ็ด ซึ่งจะรวมถึง นาฏกรรม (Drama) ศิลปกรรม (Art) จิตรกรรม (painting) วรรณกรรม (Literature) ดนตรี (Music) ประติมากรรม (Sculpture) เป็นต้น ภาพยนตร์มีอุดมการณ์ที่ถูกสอดแทรก และมีกลวิธีการเล่าเรื่องเพื่อทำให้ ผู้ชมเข้าใจสิ่งที่เกิดในสังคม (Ephraim 1990) ซึ่งผู้สร้างภาพยนตร์ถ่ายทอดมุมมองความคิดของตนเองที่ สะท้อนจากชีวิตทุก ๆ คน ภาพยนตร์กลายเป็นสิ่งที่สะท้อนสังคมในมุมมองของผู้สร้างภาพยนตร์เอง จนกระทั่ง เริ่มมีการสร้างภาพยนตร์ที่มีการใช้ภาษาเขียนและรูปภาพ ซึ่งเป็นสื่อที่สามารถเล่าเรื่องได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2 ในการสื่อสารจินตนาการที่ผู้สร้างภาพยนตร์ต้องการให้ผู้ชมภาพยนตร์ได้รับรู้ เพื่อตอบสนองความต้องการใน แง่ของสื่อบันเทิง ภาพยนตร์เป็นสื่อหนึ่งที่ใช้กลวิธีในการเล่าเรื่องได้อย่างสัมฤทธิ์ผลที่สุดสื่อหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ จึง ทำให้คนจำนวนมากให้ความสนใจในภาพยนตร์ ทั้งในฐานะที่เป็นผู้สร้างสรรค์ หรือในฐานะผู้เสพสารการเล่า เรื่องมีมาตั้งแต่อดีต นพพร ประชากุล (2552) เสนอว่า มนุษย์ทุกหนทุกแห่งและทุกยุคสมัยล้วนผลิตและ บริโภคเรื่องเล่า เรื่องเล่าจึงปรากฏออกมาหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นนิทาน ตำนาน จิตรกรรมฝาผนัง หรือจะ เป็นเรื่องสั้น นวนิยาย สารคดี ภาพยนตร์ หรือแม้แต่ในยามหลับฝัน มนุษย์ยังฝันเป็นเรื่องเล่า เรื่องเล่านั้นมีทั้ง ที่ถือกันว่าอิงกับข้อเท็จจริง เช่น ข่าว สารคดี และที่รับรู้กันว่าเป็นเรื่องสมมุติขึ้น เช่น นวนิยาย ภาพยนตร์ ซึ่ง การนำเสนอเหตุการณ์ต่าง ๆ ซึ่งจะมีกระบวนการเปลี่ยนแปลงจากสถานการณ์ในตอนต้นไปสู่สถานการณ์ตอน จบ เกี่ยวข้องกับบุคคลจำนวนหนึ่ง และดำเนินไปตามเงื่อนไขของสถานที่และเวลา อีกทั้งฉากในภาพยนตร์มักมีการนำเสนอฉากที่เป็นสิ่งประดิษฐ์ซึ่งอิงอยู่กับยุคสมัยตามเนื้อเรื่องที่ ปรากฏในภาพยนตร์และยังมีสัญลักษณ์ในภาพยนตร์ที่ปรากฏขึ้น คือ ปรากฏในรูปของสัญลักษณ์ทางภาพ และสัญลักษณ์ทางเสียง ผ่านโครงสร้างการเล่าเรื่องได้แก่ แก่นเรื่อง (Theme) โครงเรื่อง (Plot) ความขัดแย้ง (Conflict) ตัวละคร (Character) ฉาก (Setting) สัญลักษณ์ (Symbol) และมุมมองการเล่าเรื่อง (Point of view) ซึ่งสะท้อนผ่านการเล่าเรื่องของผู้กำกับด้วยลักษณะการทำงานเฉพาะตัว ดังนั้นสื่อภาพยนตร์สามารถ เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มีความแตกต่างกันในวงกว้าง ทั้งช่วงอายุ เพศ อาชีพ ระดับการศึกษา รายได้ ด้วยการ นำเสนอเนื้อหาของภาพยนตร์ที่มีความหลากหลาย อาทิ ภาพยนตร์แนวแอ็กชั่น (Action) ภาพยนตร์แนวตลก (Comedy) ภาพยนตร์แนวชีวิต (Drama) ภาพยนตร์แนวสยองขวัญ (Horror) ให้ออกมาโดดเด่น มีความ น่าสนใจ อย่างไรก็ตามการเล่าเรื่องผ่านภาพยนตร์ไทยในปัจจุบันให้น่าสนใจและเป็นที่กล่าวขานของผู้ชมนั้น เป็นเรื่องที่ยากพอสมควร ดังนั้นการตีความตามอัตลักษณ์ของผู้กำกับแต่ละคนที่แตกต่างออกไปก็มีส่วนช่วยให้ ภาพยนตร์มีความน่าสนใจหรือไม่อยู่ที่อัตลักษณ์การตีความจากผู้กำกับแต่ละคน ซึ่งการตีความแตกต่างกันก็ ส่งผลต่อการยอมรับของผู้ชมเช่นกัน ปัจจุบัน ผู้กำกับภาพยนตร์ไทยที่มีชื่อเสียงมีอยู่มากมายในสังคมไทย หนึ่งในนั้นก็คงจะหนีไม่พ้น ผู้กำกับ ที่ชื่อว่า “ต้องเต ธิติ ศรีนวล” ผู้กำกับที่มากด้วยความสามารถในด้านการกำกับภาพยนตร์ เขียนบท ตัดต่อนักแสดง และซาวด์สกอร์หนัง ซึ่งเป็นผู้กำกับที่มีประสบการณ์อยู่ในวงการภาพยนตร์ไทยมากกว่า 10 ปี ผลงานในการกำกับภาพยนตร์ของต้องเต ธิติ ศรีนวล คือ สัปเหร่อ ซึ่งผลงานมีการตีความที่ค่อนข้างน่าสนใจมี การตีความแตกต่างออกไป แต่ยังคงเส้นเรื่องของวัฒนธรรมอีสานนั้น ๆ อยู่ ด้วยการตีความที่แตกต่างทำให้ ภาพยนตร์ของต้องเต ธิติ ศรีนวล มีความน่าสนใจและมีความละเอียดในการผลิต ไม่ว่าจะเป็นด้านฉาก การหา ข้อมูลและออกแบบให้สมกับเรื่องนั้น ๆ และด้านนักแสดง ต้องเต ธิติ ศรีนวล นอกจากจะเป็นผู้กำกับแล้วท่าน ยังเป็นครูสอนการแสดงอีกด้วย ก่อนการถ่ายทำทุกครั้งนักแสดงในเรื่องจะต้องมีการเข้า Workshop ซึ่งความ เอาใจใส่ในทุกรายละเอียดที่ต้องเต ธิติ ศรีนวล มอบให้กับภาพยนตร์ ส่งผลทำให้ภาพยนตร์ทุกเรื่องมีความ น่าสนใจ และเป็นที่ยอมรับของผู้ชมมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
3 งานวิจัยเรื่อง “กลวิธีการสื่อความหมายเชิงสัญลักษณ์ ที่ปรากฏในภาพยนตร์เรื่องสัปเหร่อ” เน้นการวิเคราะห์กลวิธีสื่อความหมายเชิงสัญลักษณ์ในภาพยนตร์ฯ ว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร ซึ่งถือเป็นการ สะท้อนความเป็นตัวตน ความคิด ตลอดจนอุดมการณ์ของผู้กำกับที่ได้ถ่ายทอดผ่านภาพยนตร์ของเขาให้มี ความน่าสนใจ โดยการศึกษาครั้งนี้ ผู้วิจัยได้นำแนวคิด ทฤษฎี ของนักภาษาศาสตร์มาเป็นแนวทางในการศึกษา ได้แก่ แนวคิดเกี่ยวกับกลวิธีการเล่าเรื่องของ ลูเคต และ คอนดิท (Lucaites and Condit) (1985 อ้างถึงใน ฉลองรัตน์ ทิพย์พิมาน, 2539) แนวคิดเกี่ยวกับภาษาภาพยนตร์ของคริสเตียน เมตซ์ (Christian Metz) และ ทฤษฎีสัญญัติวิทยาหรือสัญญะวิทยาของโซซูร์ (Saussure) เพื่อเป็นแนวทางในการอธิบายการสื่อความหมาย เชิงสัญลักษณ์ที่ปรากฎในภาพยนตร์เรื่องสัปเหร่อให้แก่ผู้กำกับท่านอื่น ๆ ที่สนใจ และนำไปปรับใช้หรือ ประยุกต์ใช้ให้ภาพยนตร์มีความน่าสนใจมากขึ้น วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1) เพื่อศึกษากลวิธีในการสื่อความหมายเชิงสัญลักษณ์ในภาพยนตร์เรื่องสัปเหร่อ ที่กำกับโดย ต้องเต ธิติ ศรีนวล 2) เพื่อศึกษาการใช้ภาษาในภาพยนตร์เรื่อง สัปเหร่อ คําถามของการวิจัย 1) การนำเสนอภาพยนตร์เรื่องสัปเหร่อ ที่กำกับโดย ต้องเต ธิติ ศรีนวล มีกลวิธีในการ สื่อความเชิงสัญลักษณ์ในภาพยนตร์อย่างไร 2) ภาพยนตร์เรื่องสัปเหร่อ มีลักษณะการใช้ภาษาเช่นไร ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 1. แนวคิดเกี่ยวกับสัญญะวิทยา (Semiology) วิชาการด้านนิเทศศาสตร์และสื่อสารมวลชนนั้น มักจะประยุกต์เอาทฤษฎีทางด้านสังคมศาสตร์ เช่น สังคมวิทยา เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ จิตวิทยา ฯลฯ มาใช้ในการศึกษาวิเคราะห์สื่อประเภทต่าง ๆ อยู่เสมอ แนวคิดหนึ่งที่สำคัญก็คือแนวคิดเรื่องสัญญะวิทยา (Semiology) หรือสามารถถอดความหมายจากรากศัพท์ เดิมได้ว่าเป็น "ศาสตร์แห่งสัญญะ" (Science of sign) ซึ่งเป็นศาสตร์ที่อธิบายถึงการเกิดขึ้นและการ พัฒนาการแปรเปลี่ยน รวมทั้งการเสื่อมโทรมตลอดจนการสูญสลายของสัญญะหนึ่ง ๆ ที่ปรากฏออกมาอย่าง เป็นแบบแผนและมีระบบระเบียบ (กาญจนา แก้วเทพ,2541 ข) สัญญะวิทยาเป็นศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับ ระบบของสัญลักษณ์ ที่ปรากฏอยู่ในความคิดของมนุษย์ อันถือเป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวของเรา การศึกษาเรื่องสัญลักษณ์ได้แก่ ภาษารหัส สัญญาณ เครื่องหมาย ภาพ ฯลฯ หรือหมายถึงสิ่งที่ถูก สร้างขึ้นมาเพื่อให้มีความหมายแทนของจริง ตัวจริง ในตัวบทและในบริบทหนึ่ง ๆ ก็ได้ (Semeion, 2553)
4 แนวคิดนี้จึงถือได้ว่าเป็นแนวคิดพื้นฐานสำคัญที่จะนำมาอธิบายการตีความหมายเนื้อหาของสื่อได้เป็นอย่างดี สำหรับแนวคิดเรื่องสัญญะวิทยานี้ ผู้วิจัยจะทบทวนเอกสารและวรรณกรรมในขอบเขตของความหมาย ประเภทของสัญญะ และวิธีการวิเคราะห์สัญญะ ต่อไปตามลำดับ 1.1 ความหมายของสัญญะ คำว่าสัญญะวิทยาหรือสัญญะศาสตร์ (Semiology และ Semiotics) ทั้งสองคำนี้มี รากศัพท์มาจากภาษากรีกคำเดียวกัน คือ Semeion ที่แปลว่า Sign หรือสัญญะ ซึ่งเป็นการศึกษาเกี่ยวกับ เครื่องหมายและสัญลักษณ์ คำว่า Semiotics (Greek: OnHEIWTIKOS, Semeiotikos, An Interpreter of Signs) เป็นคำที่นักปรัชญาด้านภาษาชาวอเมริกันที่ชื่อ ชาร์ลส์ แซนเดอร์ส เพียร์ซ (Charles Sanders Peirce, ค.ศ.1839- 1914) เป็นผู้ริเริ่มใช้และทำให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย ส่วนคำว่า Semiology เป็นคำ ที่ตั้งขึ้นโดยนักภาษาศาสตร์ที่ชื่อ เฟอร์ดินานด์ เดอ โซซูร์(Ferdinand de Saussure, ค.ศ. 1857-1913) ใน การศึกษาความรู้เกี่ยวกับสัญญะศาสตร์และสัญญะวิทยานั้นมีเนื้อหาและวัตถุประสงค์ของการศึกษา ที่ สอดคล้องและคล้ายคลึงกัน นั่นคือการศึกษาวิธีการสื่อความหมาย ขั้นตอน และหลักการในการสื่อ ความหมายตลอดจนเรื่องการทำความเข้าใจในความหมายของสัญลักษณ์ที่ปรากฏอยู่ในวัฒนธรรมหนึ่ง ๆ (Wikipedia, 2010) กาญจนา แก้วเทพ (2541 ข) อธิบายว่าสัญญะ (S i g n ) หมายถึงสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้มี ความหมาย (meaning) แทนของจริงตัวจริง (object) ในตัวบท (text) และในบริบท (context) หนึ่ง ๆ โอ' ซัลลิแวน (O' Sullivan, 1983 อ้างถึงใน สุทธินี ละไมเสถียร, 2538) อธิบายและให้คำจำกัดความ ไว้ว่า สัญญะวิทยา เป็นการศึกษาในเรื่องของสัญญะ (Sign) รหัส (Codes) และวัฒนธรรม ซึ่งเกี่ยวกับการ แสดงให้เห็นถึงลักษณะที่สำคัญของสัญญะ และการที่สัญญะนั้นถูกนำมาใช้ในสังคม โดยสัญญะนี้ มีลักษณะที่ สำคัญ 3 ประการ คือ จะต้องมีลักษณะทางกายภาพ,จะต้องมีความหมายถึงบางสิ่งบางอย่างนอกเหนือจากตัว ของมันเอง,และจะต้องถูกนำมาใช้และรับรู้โดยผู้ที่เกี่ยวข้องว่าเป็นสัญญะ เพียร์ซ (Peirce, 1931 อ้างถึงใน กาญจนา แก้วเทพ, 2541 ข) ให้ความหมายที่ง่ายที่สุดและเข้าใจได้ โดยง่ายที่สุด ก็คือ "สัญญะ คือ สิ่งที่มีความหมายมากกว่าตัวของมันเอง" (Sign is something which stands to somebody for something in some respect) เช่น รูปผู้หญิง-ผู้ชายที่ติดอยู่หน้าห้องน้ำ ไม่ได้ หมายความว่ารูปนั้นคือผู้หญิงหรือผู้ชายเท่านั้น แต่มีความหมายว่า "ห้องน้ำสำหรับผู้หญิง/ห้องน้ำสำหรับ ผู้ชาย" นักวิชาการที่วางรากฐานของทฤษฎีสัญญะวิทยาที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งคังที่ได้กล่าวไปข้างต้น คือ โซซูร์ (Saussure, 1857 อ้างถึงใน กาญจนา แก้วเทพ, 2541 ข) ให้ความหมายไว้ว่า สัญญะเป็นสิ่งที่สัมผัสได้ด้วย อายาตนะ (ประสาทรับสัมผัสทั้ง 3) และเป็นสิ่งที่คนกลุ่มหนึ่งตกลงใช้สิ่งนั้นเป็นเครื่องหมาย (Mark) ถึงอีกสิ่ง หนึ่งที่ไม่ได้ปรากฏในสัญญะนั้น โดยโซซูร์ (Saussure, 1857 อ้างถึงใน กาญจนา แก้วเทพ, 2541ข) แบ่งสัญญะออกเป็น 2 ส่วน คือ ตัวหมาย (Signifier) กับตัวหมายถึง (Signified) ตัวหมาย คือ สิ่งที่ปรากฎให้ เป็นเครื่องหมาย เช่น เมื่อเราเขียนคำว่า "ม้า" โดยมุ่งที่จะให้หมายถึงตัวม้าจริง ๆ ตัวอักษรคำว่า "ม้า" ถือเป็น
5 ตัวหมาย ส่วนตัวม้าจริง ๆ เป็นตัวหมายถึง กระบวนการนี้จะเรียกว่ากระบวนการสร้างความหมาย (Signification) การศึกษาในเชิงสัญญะวิทยาให้ความสำคัญกับการหาความสัมพันธ์ระหว่างตัวหมายกับตัว หมายถึงเพื่อดูว่าความหมายถูกสร้างขึ้นและถูกถ่ายทอดออกมาอย่างไร โดยนำเอาตัวบท (Text) มาวิเคราะห์ เพื่อดูว่าตัวหมายนั้นสร้างความหมายอย่างไร ในการสื่อสารของคนเรานั้นจะมีความสัมพันธ์ระหว่างตัวหมาย กับตัวหมายถึงเกิดขึ้นตลอดเวลา การวิเคราะห์ทางสัญญะวิทยานั้น จะไม่คำนึงถึงเนื้อหา เพราะเนื้อหาไม่ได้ สร้างความหมายของตัวบท แต่ความสัมพันธ์ของตัวหมายและตัวหมายถึงเป็นตัวสร้างความหมาย นอกจากนี้ โบดริลลาร์ด (Baudrillard, n.d. อ้างถึงใน กาญจนา แก้วเทพ, 2547) ได้วิเคราะห์ พบว่า สัญญะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับองค์ประกอบ 3 ส่วน และพบความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบทั้งสาม คือ ของจริง(Reference), สัญญะหรือตัวหมาย (Signifier), และตัวหมายถึงหรือแนวคิด (Signified) โดยจะ ได้อธิบายรายละเอียดตามภาพที่ 1.1 ที่มา: โบดริลลาร์ด (Baudrillard, n.d. อ้างถึงใน กาญจนา แก้วเทพ, 2547) ภาพที่ 1.1 ส่วน (1) ทางซ้าย เรียกว่าการอ้างถึง (Reference) คือ บรรดาของจริง เช่น ขวดแก้วจริง ระดับต่อจากนั้น ในแต่ละวัฒนธรรมก็จะสร้างสัญญะขึ้นมาแทนตัวขวดแก้วจริง ๆ เช่น ในบริบทสังคมไทยจะ สร้างสัญญะที่เขียนเป็นอักษรว่า "ขวด" สังคมอังกฤษเขียนว่า "Bottle" สังคมฝรั่งเศสเขียนว่า"Bouteille" (และสังคมอื่น ๆ ก็จะมีวิธีสร้างสัญญะที่แตกต่างกันออกไป เช่น สังคมของชาวมายาชาวกรีกโบราณ) สัญญะในภาพที่ 1.1 ส่วน (2) ตรงกลาง อาจจะเป็น "เสียง" (Sound) คือ เป็นการเปล่งเสียงออกมา เป็นถ้อยคำว่า "ขวด" หรือเป็น "ภาพ" (Image) เช่น เป็นตัวอักษรหรือรูปวาด ซึ่ง โซซูร์ (Saussure เรียก องค์ประกอบในภาพที่ 1.1 ส่วน (2) ตรงกลาง นี้ว่า ตัวหมาย (Signifier) และเมื่อคนในแต่ละวัฒนธรรมได้ ผ่านกระบวนการเรียนรู้สัญญะ (เช่น อ่านออก) เมื่อเห็นสัญญะ "ขวด-Bottle-Bouteille" ก็จะเกิดแนวคิด จินตนาการภาพของ "ขวด" ขึ้นมาที่เราเข้าใจกันว่า "เป็นภาพในใจหรือในความคิด" (Concept) เรียกว่า "ตัว หมายถึง" (Signified) (1) ของจริง (Reference) (2) ตัวหมาย (Signifier) (3) ตัวหมายถึง (Signifide)
6 การศึกษาเรื่องระบบสัญญะนั้น Saussure จะสนใจแต่เฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบที่ (2) และ (3) เท่านั้น โดยคุณลักษณะที่สำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างตัวหมายและตัวหมายถึง มี 3 ลักษณะ ดังนี้ 1. Arbitrary เป็นความสัมพันธ์ที่ถูกสร้างขึ้นอย่างไม่มีกฎเกณฑ์ใดๆ กล่าวคือ เป็นไปตาม อำเภอใจ คำว่า "ขวด" ไม่ได้มีหลักเกณฑ์หรือความคล้ายคลึงอันใดกับรูปร่างของขวดเลย เช่นเดียวกับสัญญะ "Bottle" หรือ "Bouteille" 2. Unnatural เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นทางธรรมชาติ ซึ่งหมายความว่าจะต้องเรียนรู้เอา 3. Unmotivated เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ได้เกิดจาดมูลเหตุจูงใจพิเศษใดๆ ของผู้สร้างความหมายแลt ผู้ใช้ความหมาย กล่าวคือไม่เกี่ยวข้องกับแรงกระตุ้นใจของผู้ใช้สัญญะ ความสัมพันธ์ระหว่างสัญญะแต่ละตัวนั้นเกิดขึ้น โดยตรรกะว่าด้วยความแตกต่าง (The Logic of Difference) หมายถึง ความหมายของสัญญะแต่ละตัวมาจากการเปรียบเทียบว่าตัวมันแตกต่างจากสัญญะตัว อื่น ๆ ในระบบเดียวกัน ซึ่งหากไม่มีความแตกต่างแล้ว ความหมายก็เกิดขึ้นไม่ได้ ทั้งนี้ความต่างที่ทำให้ ความหมายเด่นชัดที่สุดคือความต่างแบบคู่ตรงข้าม (Binary Opposition) เช่น ขาว-ดำ ดี-เลว ร้อน-เย็น หรือ อธิบายอีกอย่าง คือ ความหมายของสัญญะหนึ่งเกิดจากความไม่มี หรือไม่เป็นของสัญญะอื่น (สรณี วงศ์เบี้ย สัจจ์, 2544) 1.2 ประเภทของสัญญะ เพียร์ซ (Peirce, 1839 อ้างถึงใน กาญจนา แก้วเทพ, 2541 ข) อธิบายว่า หากนำเอาระยะห่างของ องค์ประกอบทั้ง 2 ส่วน ของสัญญะ (Sign) คือ ตัวหมาย (Signifier) และตัวหมายถึง (Signified) มาจัด ประเภทจะแบ่งประเภทของสัญญะได้เป็น 3 รูปแบบ คือ รูปเหมือน (Icon), ดรรชนี (Index), และสัญลักษณ์ (Symbo) รูปเหมือน (lcon) เป็นความสัมพันธ์ระหว่างตัวหมายกับตัวหมายถึงเป็นเรื่องของความเหมือนหรือ คล้ายคลึงกับสิ่งที่มันบ่งถึง เช่น ภาพถ่าย ภาพเหมือน ภาพยนตร์และแผนภาพ ที่มา: เพียร์ซ (Peirce, 1839 อ้างถึงใน กาญจนา แก้วเทพ, 2541 ข) ดรรชนี (Index) เป็นความสัมพันธ์ระหว่างตัวหมายกับตัวหมายถึง เป็นผลลัพธ์หรือเป็นการบ่งชี้ถึง บางสิ่งบางอย่าง เช่น รูปกราฟที่แสดงผลลัพธ์ของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง รอยเท้าของสัตว์ที่ประทับลงบนพื้นดิน หรือ ดรรชนีที่อยู่ท้ายเล่มของหนังสือที่บอกให้ทราบถึงข้อความที่ผู้อ่านต้องการจะค้นหาคุณสมบัติสิ่งน่าสังเกตอีก Sign Signifier Signifier มีระยะห่างกันมากน้อยเพียงใด แสดงความสัมพันธ์ระหว่างตัวหมาย (Signifier) และตัวหมายถึง (Signified)
7 ประการของสัญญะประเภทดรรชนี ก็คือ เมื่อผู้รับสารเห็นตัวหมายประเภทดรรชนี ตัวหมายถึง ที่นึกถึงไม่ใช่ สิ่งที่มองเห็นในขณะนั้น เช่น รอยเท้าสัตว์ที่พบ ผู้ที่เห็นไม่ได้นึกถึงรอยเท้าในขณะ นั้น แต่นึกไปถึงตัวสัตว์ที่ เป็นเจ้าของรอยเท้านั้น สัญลักษณ์ (Symbol) เป็นความสัมพันธ์ระหว่างตัวหมายกับตัวหมายถึง ที่แสดงถึงบางสิ่งบางอย่าง แต่ไม่ได้มีความคล้ายคลึงกับสิ่งที่สัญลักษณ์นั้นบ่งชี้เลย ซึ่งการใช้งานเป็นไปในลักษณะของการถูกกำหนดขึ้น เองซึ่งได้รับการยอมรับจนเป็นแบบแผน (Convention) และต้องมีการเรียนรู้เครื่องหมายเพื่อทำความเข้าใจ หรือเป็นการแสดงถึงการเป็นตัวแทน (Representation) ซึ่งสังคมยอมรับความสัมพันธ์นี้ เช่น ภาษา เครื่องหมายทางคณิตศาสตร์ หรือการสวมแหวนนิ้วนางข้างซ้ายแสดงถึงการแต่งงาน เป็นต้น ลักษณะสัญญะ (Sign) ทั้ง 3 ชนิดนี้ ไม่ได้แยกจากกันโดยเด็ดขาด สัญญะหนึ่ง ๆ อาจประกอบด้วย รูปแบบต่าง ๆ กัน ซึ่งอาจจะเป็นทั้งรูปเหมือน ดรรชนีและสัญลักษณ์รวมกันอยู่ก็ได้ เช่น ภาพพระสงฆ์ จะ สามารถเป็นได้ทั้งรูปเหมือน ก็คือ ภาพเหมือนของพระจริง ๆ ขณะเดียวกันก็เป็นดรรชนีคือ เป็นตัวชี้ให้เห็น ถึงการเป็นตัวแทนของศาสนา และเป็นทั้งสัญลักษณ์ด้วยในแง่ที่ทุกคนต้องให้ความเคารพนับถือ (จันทร์เพ็ญ โภคาชัยพัฒน์, 2535) ที่มา : (จันทร์เพ็ญ โภคาชัยพัฒน์, 2535) อย่างไรก็ดี การจำแนกประเภทของสัญญะทั้งสามแบบไม่สามารถทำได้อย่างชัดเจน เช่น ในกรณีตัว หมายของคำว่า "Xcrox" ในภาษาอังกฤษซึ่งตัวหมายถึงก็คือยี่ห้อของเครื่องถ่ายเอกสารตัวหมาย ดังกล่าวได้ กลายเป็นตัวหมายถึงของ "การถ่ายเอกสาร" ในสังคมไทย เป็นต้น (ไชยรัตน์เจริญสินโอฬาร, 2545) การเข้าใจธรรมชาติของสัญญะแต่ละชนิด จะทำให้สามารถเลือกใช้สัญญะแต่ละอย่างให้มี ประสิทธิภาพมากขึ้น ตารางที่ 1.2 อธิบายประเภทของสัญญะตามทัศนะของ เพียร์ซ (Peirce) ได้ชัดเจน ยิ่งขึ้น Icon ภาพถ่ายของโลก Index รอยเท้าสัตว์ Symbol เครื่องหมายจราจร แสดงตัวอย่างของสัญญะประเภทต่าง ๆ
8 ประเภทสัญญะ เกณฑ์พิจารณา icon index symbol ความสัมพันธ์ มีความคล้ายคลึง มีความเชื่อมโยง แบบเหตุผล (causal connection) ความเชื่อมโยง เกิดจากข้อตกลง (convention) ตัวอย่าง ภาพถ่าย อนุสาวรีย์ รูปปั้น ควันไฟ อาการของโรค คำ ตัวเลข ชวเลข กระบวนการถอด ความหมาย มองเห็นได้ ต้องคิดหาเหตุผล (figure out) ต้องเรียนรู้ อธิบายประเภทของสัญญะตามทัศนะของ เพียร์ซ (Peirce) ที่มา: (เพียร์ซ (Peirce) , 1839) ทั้งนี้ กาญจนา แก้วเทพ (2541 ข) อธิบายว่า นักสื่อสารมวลชนสามารถนำเอาแนวคิดเรื่อง ตัวหมาย (Signifier) และตัวหมายถึง (Signified) มาประยุกต์ใช้กับการถ่ายภาพ การจัดมุมกล้อง และ การตัดต่อเพื่อให้ได้ความหมายต่าง ๆ กันออกไปดังนี้ (ตารางที่ 1.2) Signifier (Shot) Definition Signified (Meaning) Close-up Medium shot Long shot Full shot Pan down Pan up Zoom in Fade in ถ่ายแต่ใบหน้า ถ่ายส่วนใหญ่ของร่างกาย ถ่ายฉากและตัวละครหลายๆ ตัว ถ่ายร่างกายเต็มตัว กล้องถ่ายกวาดแบบกด กล้องถ่ายกวาดช้อนขึ้น กล้องถ่ายเข้าหา ภาพในจอค่อย ๆ สว่างขึ้น ภาพในจอค่อย ๆ จางหายไป ความใกล้ชิด (Intimacy) ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล บริบท ขอบเขตที่เกิดเหตุการณ์ ความสัมพันธ์ทางสังคม อำนาจ ฐานะที่สูงกว่า ลักษณะที่ต่ำต้อยกว่า มีอำนาจน้อยกว่า การสังเกต การให้ความสนใจ
9 Signifier (Shot) Definition Signified (Meaning) Fade out Cut Wipe การย้ายภาพจากภาพหนึ่งไปสู่ อีกภาพหนึ่ง ภาพค่อยๆถูกกวาดออกไปจากจอ จุดเริ่มต้น จุดจบ เหตุการณ์ 2 อย่างที่เกิดในช่วง เวลาที่ใกล้กัน ความตื่นเต้นแสดง บทสรุป แสดงการประยุกต์ใช้แนวคิดเรื่องสัญญะวิทยากับการถ่ายภาพ ที่มา: กาญจนา แก้วเทพ (2541 ข) 2. แนวคิดกลวิธีเกี่ยวกับการเล่าเรื่อง กิตติศักดิ์ สุวรรณโภคิน (2542) ได้กล่าวถึงหน้าที่หลักของภาพยนตร์ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 4 ด้านดังนี้ 1. หน้าที่ในการเล่าเรื่อง (Narrative Function) เนื่องจาก ภาพยนตร์มีเรื่องราวที่จะบอกกล่าวให้ ผู้ชมรับรู้เพราะฉะนั้นภาพยนตร์จึงมีหน้าที่ที่จะต้องเล่าเรื่องราวให้ผู้ชมสามารถรับรู้เรื่องราวที่หนังต้องการ นำเสนอได้ 2. หน้าที่ในการสื่อทางอารมณ์ (Emotional Function) ทั้งนี้ การสร้างอารมณ์ต่าง ๆ ให้กับผู้ชม ถือเป็นหน้าที่หนึ่งของภาพยนตร์ ไม่ว่าจะเป็นความ โศกเศร้า ความสุข ความหวาดเสียวสยดสยอง ฯลฯ โดย ใช้วิธีการต่าง ๆ กันไป เช่นการใช้เทคนิคการตัดต่อ หรือใช้เสียงประกอบ เป็นต้น 3. หน้าที่ในการสื่อทางด้านความคิด (Intellectual Function) การสื่อสารทางความคิดมีอยู่สอง ลักษณะด้วยกัน ลักษณะแรก คือ ผู้สร้างภาพยนตร์อาจจะแทรกแนวความคิดบางอย่างที่อาจเป็นปรัชญา หรือข้อคิด หรือแง่คิดดีๆ เกี่ยวกับการใช้ชีวิตเข้าไปในเนื้อเรื่อง ซึ่งคนดูจะรับรู้ และอาจจะเอาไปใช้ใน ชีวิตประจำวันของตนเอง และอีกลักษณะหนึ่ง คือ การกระตุ้นให้ผู้ชมใช้ความคิดของตัวเอง โดยผู้สร้าง ภาพยนตร์ไม่ได้เอาความคิดของตัวเองไปให้ไว้ในภาพยนตร์ 4. หน้าที่ในการสร้างความตื่นตาตื่นใจ (Spectacle Function) ซึ่งไม่จำเป็นว่าต้องเกิดจากภาพ เท่านั้น ดนตรี และเสียงประกอบก็สามารถช่วยในการสร้างความตื่นตาตื่นใจได้เช่นกัน จากตัวอย่างข้างต้นจะเห็นได้ว่าการเล่าเรื่องนั้นเป็นหน้าที่หลักประการหนึ่งของภาพยนตร์ซึ่งการเล่า เรื่องของภาพยนตร์สามารแบ่งออกได้เป็นสองส่วน คือ 1) การเล่าเรื่องด้วยภาพ และ 2) การเล่าเรื่องด้วย ดนตรี และ 3) เสียงประกอบ ซึ่งจะเห็นได้ว่าในระยะหลังนี้ช่วงสิบกว่าปีมานี้เสียงประกอบ และดนตรี ประกอบมีบทบาทมากขึ้นกว่าเดิม เพราะเป็นวิธีเดียว (กิตติศักดิ์ สุวรรณโภคิน, 2542) ที่จะดึงให้คนออกจาก บ้านมาชมภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์ ฝฝจะเห็นได้ว่าโรงหนังสมัยนี้ปรับปรุงเรื่องระบบเสียงมากขึ้น รูปแบบของเรื่องเล่าในแง่ของการสร้างความตึงเครียดของเรื่องเล่า (narration tension) สามารถ แบ่งได้เป็น 2 แบบได้แก่ 1.เรื่องเล่าอย่างง่าย (simple nararative) ได้แก่ การนำเสนอเหตุการณ์อย่างเป็น
10 ระบบซึ่งโดยปกติแล้วจะเรียงลำดับตามเวลา และ 2. เรื่องเล่าแบบขับเคลื่อนโดยพล็อต (plot-driven narrative) อันเป็นเรื่องที่อาจแยกออกมาจากการเปีดเผยเหตุการณ์โดยเรียงตามลำดับเวลาตามรูปแบบ เรื่องราว (story) ทั่วไป และกลยุทธ์ทางพล็อต (plot strategy) โดยสรุปแล้ว เรื่องเล่าอย่างง่ายนั้นเป็นการเล่าเรื่องราวให้ทราบ ขณะที่เรื่องเล่าแบบขับเคลื่อนโดย พล็อตนั้นออกแบบมาเพื่อสร้างความบันเทิงด้วยการสร้างความตึงเครียด (tension) ให้เกิดขึ้นในวรรณกรรม ซึ่งการยับยั้งการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของเรื่องราวนำไปสู่ความตึงเครียดที่เกิดแก่ผู้ชม สำหรับวิธีการวิเคราะห์การเล่าเรื่องในภาพยนตร์สามารถกระทำได้ในหลายวิธี โดย เราอาจสามารถวิเคราะห์ตามองค์ประกอบของเรื่องเล่า ดังนี้ 1. โครงเรื่อง (Plot) คือ ลักษณะชุดของเหตุการณ์ทั้งหมดในเรื่องที่ร้อยเรียงกัน และดำเนินไป ตั้งแต่ต้นจนจบ โดยรวบรวมจากปฎิกิริยาของตัวละคร และเรื่องราวมากมายจากความขัดแย้ง รวมทั้งบทสรุป รวบยอด ภาพยนตร์เรื่องหนึ่งสามารถมีโครงเรื่องเดียว หรือมีโครงเรื่องย่อยที่สำคัญรองลงมาแทรกอยู่ได้ซึ่ง โดยปกติจะมีการลำดับเหตุการณ์ในการเล่าเรื่องไว้ 5 ขั้นตอน ได้แก่ 1.1 การเริ่มเรื่อง (Exposition) การเริ่มเรื่องเป็นการชักจูงความสนใจให้ติดตามเรื่องราว มีการ แนะนำตัวละคร แนะนำฉาก หรือสถานที่ อาจมีการเปิดประเด็นปัญหา หรือเผยปมขัดแย้งเพื่อให้เรื่องชวน ติดตาม การเริ่มเรื่องไม่จำเป็นต้องเรียงตามลำดับเหตุการณ์ โดยอาจเริ่มเรื่องจากตอนกลางเรื่อง หรือเล่าย้อน จากตอนท้ายเรื่องไปหาต้นเรื่องก็ได้ 1.2 ภาวะวิกฤติ (Climax) หรือจุดสุดยอด จะเกิดขึ้นเมื่อเรื่องราวกำลังถึงจุดแตกหักและ ตัวละครอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องตัดสินใจ 1.3 การยุติของเรื่องราว (Ending) คือ การสิ้นสุดของเรื่องราวทั้งหมด การจบอาจหมายถึง ความสูญเสีย อาจจบแบบมีความสุข หรือทิ้งท้ายไว้ให้ขบคิดก็ได้ สำหรับคุณสมบัติข้อหนึ่งที่เป็นคุณสมบัติ โดยตรงของภาพยนตร์ในเชิงศิลปะการละครได้แก่ ภาพยนตร์ที่เรื่องเดินไปข้างหน้า (forward movement โดยเรื่องจะเดินในลีลาช้าหรือเร็วก็ได้แต่ต้องเดินไปข้างหน้าเรื่อย ๆ เรื่องราวจะพัฒนาไปเป็นลำดับไม่ย่ำอยู่ กับที่เพราะจะทำให้ผู้ชมรู้สึกเบื่อได้แม้ในบางเรื่องจะมีผลกระทบผลิกกลับไปมามากมาย หากเนื้อหาของ เรื่องมุ่งไปข้างหน้าก็ถือว่าภาพยนตร์เรื่องนั้นมีคุณสมบัติที่ดีข้อหนึ่ง โดยภาพยนตร์เรื่องหนึ่งสามารถมีโครง เรื่องเดียวหรือมีโครงเรื่องย่อยที่สำคัญรองลงมาแทรกอยู่ได้เราอาจแสดงแต่ละขั้นตอนของการเล่าเรื่องได้ ดังนี้
11 โครงสร้างของการเล่าเรื่อง ที่มา: กิตติศักดิ์ สุวรรณโภคิน,2542) ฌอง-ปีแยร์ โกลเดนซไตน์(Jean-Pierre Goldenstein) ได้กล่าวไว้ว่า โครงเรื่องประกอบไปด้วยการ เปิดเรื่อง ปมเรื่อง และการคลี่คลายปมเรื่อง ได้แก่ 1. การเปิดเรื่อง เป็นส่วนแรกของงานซึ่งผู้แต่งเล่าสถานการณ์ของตัวละครของเรื่องรวมทั้ง ข้อเท็จจริงที่สำคัญที่ปูมาสู่การกระทำของตัวละครในตอนต่อไป 2. ปมเรื่อง เป็นภาวการณ์ความผันผวนหรือการเปลี่ยนแปลงในทันทีทันใดของสถานการณ์ ในเรื่องเล่า หรือความต่อเนื่องของสถานการณ์ที่ผันผวนซึ่งนำโครงเรื่องไปสู่จุดสุดยอดของเรื่อง 3. การคลี่คลายปมเรื่อง คือ ส่วนที่เป็นตอนจบของเรื่องเล่าที่แสดงให้เห็นถึงการคลี่คลาย ความยุ่งยากสับสนของเรื่อง นอกจากนี้ยังมีวิธีอธิบายขั้นตอนซึ่งเป็นโครงสร้างทางการเล่าเรื่องในอีกแบบหนึ่ง ตามแนวทางของ โทโดรอฟ (Todorov, 1977) ซึ่งเขาเสนอเกณฑ์ที่ใช้แบ่งขั้นตอนของสภาวการณ์ในการเล่าเรื่อง โดยแบ่งเป็น 4 สภาวการณ์ ดังนี้ 1. สภาวะปกติ (Equilibrium) ได้แก่ สภาวะสงบสุขที่ปรากฎในตอนเริ่มเรื่อง 2. ภาวะวิกฤติ หรือภาวะปัญหา (Disruption) ได้แก่ ขั้นตอนที่ปัญหาได้เริ่มก่อตัวขึ้น และ ทวีความรุนแรงเข้มข้นมากขึ้นทุกขณะ 3. การแก้ไขปัญหา (Equalizing) ได้แก่ สภาวะที่ตัวละครพยายามแก้ไขปัญหาให้ลุล่วงไป ซึ่งอาจจะ ล้มเหลวบ้าง หรืออาจประสบความสำเร็จบ้าง 4. การกลับคืนสู่สภาวะสงบสุขใหม่อีกครั้ง (New equilibrium) หลังจากที่ปัญหาถูกแก้ไข ไปแล้ว สภาวะสงบสุข หรือสภาวะการเข้าสู่ปกติก็กลับคืนมาอีกครั้ง 2. ความขัดแย้ง (Conflict) ความขัดแย้งก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ได้รับการนำมาศึกษาอยู่เสมอ ทั้งนี้ก็ เพราะเมื่อทำการศึกษาความขัดแย้งก็จะทำให้เข้าใจเรื่องราวได้อย่างกระจ่างชัดยิ่งขึ้น อีกทั้งโดยแท้จริงแล้ว เรื่องเล่า คือ การสานเรื่องราวบนความขัดแย้ง การกระทำในละคร หรือในภาพยนตร์นั้นพัวพันอยู่กับความ ขัดแย้ง (Conflict) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของภาพยนตร์ ถ้าไม่มีความขัดแย้งก็อาจไม่มีเรื่องเล่า และก็อาจไม่มี ภาพยนตร์ซึ่งถือว่าเป็นองค์ประกอบที่จะทำให้การเล่าเรื่องมีความน่าตื่นเต้น ปมแห่งความขัดแย้งของตัวละครนั้น จะนับตั้งแต่จุดที่ปัญหาเริ่มปรากฏ ซึ่งก็คือเหตุการณ์หรือการ เผชิญหน้ากับปัญหาที่ทำให้ความหวังของตัวละครใด ๆ ค่อย ๆ ล่มสลายลง อันจะทำให้สถานการณ์ของเรื่อง ดำเนินไปสู่ความขัดแย้ง หรือก้าวเข้าสู่เหตุการณ์ที่พัฒนาขึ้น (Rising Action)
12 ความขัดแย้งเป็นองค์ประกอบสำคัญอย่างหนึ่งของโครงเรื่องที่สร้างปมปัญหา การหาหนทาง แก้ปัญหา ความขัดแย้งของตัวละคร คือ ความเป็นปรปักษ์ต่อกัน หรือความไม่ลงรอยในพฤติกรรม การ กระทำ ความคิด ความปรารถนา หรือความตั้งใจของตัวละครในเรื่อง ซึ่งปมแห่งความขัดแย้งอาจจำแนกได้ เป็นหลายประเภท กาญจนา แก้วเทพ (2542) สรุปไว้ ดังนี้ 2.1 ความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกัน คือ การที่ตัวละครสองฝ่ายไม่ลงรอยกัน แต่ละ ฝ่ายต่อต้านกัน หรือพยายามทำลายล้างกัน เช่น การทำศึกระหว่างสองตระกูล เป็นต้น 2.2 ความขัดเย้งภายในจิตใจ เป็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นภายในตัวละครจะมีความสับสน หรือ ยุ่งยากลำบากใจในการตัดสินใจเพื่อจะกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ได้คิดเอาไว้ เช่น ความขัดแย้ง ภายในจิตใจที่ต้องเลือกกระทำในสิ่งที่ถูกศีลธรรมกับอารมณ์ใคร่ที่ปรารถนา เป็นต้น 2.3 ความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ เช่น การต่อสู้กับภัยธรรมชาติ การต่อสู้เพื่อเอาชนะ กับความตายอันเป็นธรรมชาติที่ไม่อาจมีผู้ใดเลี่ยงได้พ้น เป็นต้น 2.4 ความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับสิ่งเหนือธรรมชาติ เช่น หนังเกี่ยวกับภูติ ผี เป็นต้นความสำคัญ ของความขัดแย้งที่มีต่อโครงเรื่อง คือ เป็นสิ่งที่ทำให้เรื่องราวดำเนินไปอย่างน่าเชื่อถือ ภาพยนตร์บางเรื่องไม่ ประสบความสำเร็จก็อาจเนื่องมาจาก ภาพยนตร์เรื่องนั้น ๆ มีข้อบกพร่องตรงที่ปมขัดแย้งไม่ได้รับการ นำเสนออย่างชัดเจนเพียงพอ จนทำให้ผู้ชมไม่เกิดความรู้สึกร่วมด้วยว่าสิ่งเหล่านั้นมันเป็นปมปัญหาแต่อย่าง ใด ซึ่งส่งผลให้การกระทำต่าง ๆ ในเรื่องขาดความหนักแน่น โดยความขัดแย้งที่ปรากฏในภาพยนตร์นั้น สามารถมีปมขัดแย้งได้มากกว่า ประเด็นเดียว ในการศึกษาข้อขัดแย้งที่ปรากฏอยู่ในภาพยนตร์นั้น คล็อด เลวี-สเตราส์(Claude Levi-Strauss, ฉลองรัตน์ ทิพย์พิมาน, 2539) ได้เสนอวิธีการแบ่งขั้วตรงข้าม (Binary Oppositions) ในการศึกษาหาข้อ ขัดแย้งในภาพยนตร์ อันเป็นแนวคิดที่ตั้งอยู่บนความเชื่อพื้นฐานที่ว่ามนุษย์สามารถเข้าใจโลกได้โดยการแบ่ง สิ่งต่าง ๆ ออกเป็นส่วน ๆ เพื่อเปรียบเทียบกัน ซึ่งวิธีการนี้กระทำโดยการแบ่งกลุ่มคำออกมาเป็นสองหมวด ทั้งสองหมวดจะมีความหมายขัดแย้งกัน เช่น ผู้ชาย (Male) ผู้หญิง (Female) ใช้เหตุผล (Rational) ใช้อารมณ์ (Emotional) อยู่นิ่ง (Static) เคลื่อนไหว (Movement) ไร้ระเบียบ (Chaotic) มีระเบียบ (Order) 3.ตัวละคร (Character) องค์ประกอบสำคัญอีกส่วนที่ขาดไม่ได้สำหรับการเล่าเรื่องทุกชนิด คือ ตัว ละคร (Character) ซึ่งเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญต่อการพิจารณาว่าการสร้างเรื่องนั้นเป็นไปในเชิงศิลปะ การละครหรือไม่ ดูได้จากแง่ของการสร้างตัวละคร และการแสดงการกระทำของตัวละคร ดังนี้
13 3.1 การสร้างตัวละคร โดยพิจารณาจากบทภาพยนตร์ว่าแสดงลักษณะของตัวละครไว้ชัดเจน หรือไม่ และมีบุคลิกแบบใดซึ่งบุคลิกตัวละครแบบพัฒนาได้ ถือว่าให้คุณค่าทางศิลปะการละครได้ดีกว่าบุคลิก แบบเหมารวม (stereotype) ซึ่งถือเป็นบุคลิกที่แบน (flat character) ไม่น่าสนใจ และการค่อย ๆเปิดเผย บุคลิกของตัวละครออกมาเป็นลำดับเรื่อย ๆ ตรงจุดที่เหมาะเจาะนั้นช่วยทำให้บทมีความลึกซึ้งขึ้น 3.2 การแสดงการกระทำของตัวละคร ด้วยภาพยนตร์เป็นเรื่องราวที่สร้างขึ้นเลียนแบบชีวิตจริง ดังนั้นเหตุการณ์หรือการกระทำต่าง ๆ ในเรื่องจึงต้องสมเหตุสมผลซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากในเชิงศิลปะการละคร ในประเด็นนี้นั้นควรยึดหลักว่า การกระทำ (action) ทุกอย่างของมนุษย์ (ตัวละคร) เกิดขึ้นได้จากแรงจูงใจ (motive) เสมอ ถ้าไม่มีเหตุจูงใจจะไม่เกิดการกระทำเป็นอันขาด เหตุจูงใจทำให้มนุษย์เกิดเจตนา และการ กระทำมีทั้งที่เป็นความพึงพอใจ และความเกลียดชัง โดยเจตนาในเชิงศิลปะการละครนั้นมีสองแบบ คือ แบบ รู้ตัว และไม่รู้ตัว โดยสรุปส่วนประกอบของตัวละครจะต้องมีองค์ประกอบ 2 ส่วนเสมอ ได้แก่ ส่วนที่เป็นความคิด (Conception) และส่วนที่เป็นพฤติกรรม (Presentation) สำหรับความคิดของตัวละครนั้นโดยปกติจะเป็น สิ่งที่เปลี่ยนแปลงยากจนกว่าจะมีเหตุผลที่สำคัญเพียงพอสำหรับการเปลี่ยนแปลงตัวละครที่ดีจะมีความคิด เป็นของตัวเอง ซึ่งสิ่งที่จะมากำหนดความคิด และจิตใจของตัวละครนั้นก็อยู่ที่ภูมิหลังของตัวละคร อย่างเช่น ชีวิตวัยเด็ก การศึกษา และสถานภาพทางสังคม เป็นต้น ในด้านพฤติกรรมของตัวละครนั้น จะเป็นผลที่เกิดขึ้นโดยตรงจากความคิด และทัศนคติของตัว ละคร โดยเกณฑ์ที่มักใช้ในการวิเคราะห์ตัวละครที่ใช้กับเรื่องเก่ายุคต้นฯ และมักใช้ในการอ้างอิงอยู่เสมอ ได้แก่ ผลงานของวลาดิเมียร์ พร็อพ (Vladimir Propp) ที่ทำการวิเคราะห์การเล่าเรื่องในนิทานรัสเซีย ซึ่งเขา ได้พบลักษณะของตัวละครที่เป็นแบบแผนของนิทานรัสเซีย โดยในนิทานแต่ละเรื่องจะประกอบไปด้วยตัว ละครที่มีบทบาทแตกต่างกัน เช่น ผู้ให้(Donor) โดยมากจะเป็นอาจารย์ของตัวละครหลัก หรือผู้ให้คำปรึกษา ในการแก้ปัญหา, ผู้ร้าย (The Vilain) ได้แก่ ผู้ที่สร้างความเดือดร้อนให้กับชุมชน หรือเป็นปรปักษ์ (Antagonist) กับตัวละครหลัก (Protagonist) ในเรื่อง,ผู้ช่วยเหลือ (The Helper) ได้แก่ผู้ช่วยของพระเอก ในการต่อสู้กับผู้ร้าย หรือเป็นผู้ช่วยเหลือพระเอกให้ผ่านพ้นอุปสรรค, ผู้ส่งสาร (Dispatcher) ส่วนใหญ่มัก เป็นผู้พบเห็นเหตุการณ์ร้าย หรือพบการกระทำผิดของผู้ร้าย, เจ้าหญิง (the Princess) ได้แก่ นางเอกของ เรื่องซึ่งเป็นผู้ที่พระเอกต้องคอยปกป้องช่วยเหลือ และพระเอก (The Hero) ได้แก่ ผู้ที่เป็นตัวแทนของฝ่าย ธรรมะ และเป็นผู้นำในการแก้ไขข้อขัดแย้ง นอกจากนี้ยังอาจมีพระเอกจอมปลอม (The False Hero) คือ ตัวละครที่แสร้งเป็นคนดีแต่มักเปิดเผยความชั่วร้ายในภายหลัง สำหรับตัวละครแต่ละตัวตามเกณฑ์ของพร็อพ (Propp) นี้ ตัวละครหนึ่งตัวอาจมีมากกว่าหนึ่งบทบาท หรือตัวละครอาจเปลี่ยนแปลงบทบาทของตัวเองจาก บทหนึ่งไปสู่อีกบทหนึ่งได้เช่นกัน
14 นอกจากนี้ยังสามารถวิเคราะห์ตัวละครโดยจำแนกตัวละครตามคุณสมบัติ ซึ่งแบ่งออกได้เป็น สองประเภท คือ ตัวละครผู้กระทำ คือ ตัวละครที่มีลักษณะเข้มแข็ง พึ่งพาตนเองได้ไม่ถูกครอบงำ หรือถูก คุกคามจากผู้อื่นโดยง่าย และตัวละครผู้ถูกกระทำ คือ ตัวละครที่มีลักษณะอ่อนแอต้องพึ่งพาผู้อื่นหรือต้องอยู่ ภายใต้การดูแล หรืออยู่ในความควบคุมของตัวละครอื่น ในการพิจารณาตัวละครนอกจากจะวิเคราะห์ลักษณะของตัวละคร โดยดูจากลักษณะภายนอก แล้ว เรายังสามารถพิจารณาได้จากคำพูด และบทสนทนา (Dialogue) ของตัวละคร เนื่องจากมันสามารถที่ จะสะท้อนบุคลิกลักษณะของตัวละครได้ 4. แก่นความคิด (Theme) นับเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่มีความสำคัญต่อเรื่องเล่า โดยเฉพาะเมื่อ ต้องการวิเคราะห์ถึงใจความสำคัญของเรื่อง เราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องจับใจความสำคัญของเรื่องไว้ให้ได้ มิ เช่นนั้นแล้วจะไม่อาจรู้ถึงแนวคิดหลักที่ผู้เล่าต้องการถ่ายทอดให้ทราบ แก่นความคิด หมายถึง ความคิดหลักในการดำเนินเรื่อง เป็นความคิดรวบยอดที่เจ้าของเรื่อง ต้องการนำเสนอ ซึ่งเราสามารถเข้าใจแก่นความคิดได้จากการสังเกตองค์ประกอบต่าง ๆ ในการเล่าเรื่อง อาทิ การสังเกตชื่อเรื่อง ชื่อตัวละคร สังเกตค่านิยม คำพูด หรือสัญลักษณ์พิเศษที่ปรากฏในเรื่อง สำหรับแก่น ความคิดที่ได้รับความนิยม และพบได้บ่อย ๆ มีอยู่ไม่มากนักโดยมากมักเป็นเรื่องเกี่ยวกับความดี-ความชั่ว และความรัก-ความเกลียด ซึ่งแก่นความคิดยังสามารถแบ่งย่อยลงไปในรายละเอียดในการสนับสนุนความคิด หลัก โดยความคิดย่อยทั้งหมดจะมีลักษณะร่วมกันบางประการ หรือเดินไปในทิศทางเดียวกันทั้งสิ้น ดังนั้นใน การพิจารณาแก่นความคิดใด ๆ การแยกย่อยความคิดปลีกย่อยจะทำให้เราสามารถเข้าใจเรื่องราวได้ชัดเจน ยิ่งขึ้น (ฉลองรัตน์ ทิพย์พิมาน, 2539) บ็อกส์(Boggs, อ้างถึงใน ศิริพร ไฝ่ศิริ, 2544) ได้จำแนกแก่นความคิดหลักของเรื่องหรือแก่น เรื่อง (theme) ไว้ 5 ประเภท ดังนี้ 4.1 แก่นความคิดหลักเกี่ยวกับศีลธรรม คือ แก่นเรื่องที่ชักจูงแนะนำให้สนใจในเรื่องของศีลธรรม โดยใช้เรื่องของความจริงที่ปรากฎอยู่ทั่วไป จะใช้ศีลธรรมหลาย ๆ เรื่องมานำเสนออย่างสัมพันธ์กัน 4.2 แก่นความคิดหลักเกี่ยวกับชีวิต มุ่งเสนอเรื่องจริงของชีวิต สร้างข้อวิพากษ์ในประสบการณ์ ทางธรรมชาติของมนุษย์ เป็นการประเมินสภาพของมนุษย์ 4.3 แก่นความคิดหลักเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ มุ่งเสนอพฤติกรรมลักษณะของมนุษย์คน หนึ่งหรือกลุ่มหนึ่ง แต่เป็นตัวแทนของมนุษย์ทั้งหมด 4.4 แก่นความคิดหลักเกี่ยวกับการวิพากษ์สังคม มุ่งสะท้อนสภาพสังคมซึ่งจะทำได้ทั้งแนวตลก เสียดสี หรือสมจริงเพื่อการปฏิรูปสังคม 4.5 แก่นความคิดหลักเกี่ยวกับศีลธรรมหรือคำถามเชิงปรัชญา มุ่งเสนอโดยการตั้งคำถาม เรียกร้องให้ตอบในเชิงปรัชญา ซึ่งต้องการการวิเคราะห์จากผู้ชม
15 5. ฉาก (Setting) ฉากนับเป็นองค์ประกอบหนึ่งในเรื่องเล่าทุกประเภท ทั้งนี้เนื่องจากเรื่องเล่า คือ การถ่ายทอดเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องกัน และเพราะเหตุการณ์ต่าง ๆ จะเกิดขึ้นโดยปราศจากสถานที่มิได้ ดังนั้น ฉากจึงมีความสำคัญ เพราะทำให้มีสถานที่รองรับเหตุการณ์ต่าง ๆ ของเรื่อง นอกจากนี้ฉากยังมีความสำคัญ ในแง่ที่สามารถบ่งบอกความหมายบางอย่างของเรื่อง มีอิทธิพลต่อความคิด หรือการกระทำของตัวละครได้ อีกด้วย (ปริญญา เกื้อหนุน, 2537) ดังนั้นฉากจึงเป็นองค์ประกอบสำคัญประการหนึ่งในภาพยนตร์ที่เป็น ประโยชน์ต่อผู้ทำการศึกษาที่จะได้รับรู้สาระสำคัญของเรื่อง ทั้งนี้ฉากสามารถแบ่งได้เป็น 2 ชนิด ได้แก่ ฉาก นอกบ้าน และฉากในบ้าน โดยฉากทั้งสองประเภทนี้จะปรากฎในเรื่องเล่าโดยมีความสอดคล้องกับลักษณะ สำคัญของเรื่องเล่า ธัญญา สังขพันธานนท์ (2539) สรุปประเภทของฉากในเรื่องเล่าไว้ 5 ประเภท ดังนี้ 1. ฉากที่เป็นธรรมชาติ ได้แก่ สภาพแวดล้อมธรรมชาติที่แวดล้อมตัวละคร เช่น ป่าไม้ ทุ่ง หญ้า หรือ บรรยากาศต่ำเช้าในแต่ละวัน 2. ฉากที่เป็นสิ่งประดิษฐ์ ได้แก่ อาคารบ้านเรือน เครื่องใช้ในครัว หรือสิ่งประดิษฐ์ที่เป็นเครื่องใช้ไม้ สอยต่าง ๆ 3. ฉากที่เป็นช่วงเวลา หรือยุคสมัย ได้แก่ ยุคสมัย หรือช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์ตามท้องเรื่อง 4. ฉากที่การดำเนินชีวิตของตัวละคร หมายถึง สภาพแบบแผน หรือกิจวัตรประจำวันของตัวละคร ของชุมชน ท้องถิ่น หรือสังคมที่ตัวละครอาศัยอยู่ 5. ฉากที่เป็นสภาพแวดล้อมเชิงนามธรรม คือ สภาพแวดล้อมที่จับต้องไม่ได้แต่มีลักษณะเป็นความ เชื่อ หรือความคิดของคน เช่น ค่านิยม ธรรมเนียม ประเพณี เป็นต้น 6. สัญลักษณ์พิเศษ (Symbol) ลักษณะการเล่าเรื่องในภาพยนตร์ มักจะมีการใช้สัญลักษณ์พิเศษ (Symbol) เพื่อสื่อความหมายอยู่เสมอ สำหรับสัญลักษณ์พิเศษในภาพยนตร์ที่ใช้ในการสื่อความหมายนั้น ประกอบไปด้วย สัญลักษณ์ทางภาพ และสัญลักษณ์ทางเสียง 6.1 สัญลักษณ์ทางภาพ คือองค์ประกอบของภาพยนตร์ที่ถูกนำเสนอซ้ำ ๆ อาจเป็นวัตถุ สถานที่ หรือสิ่งมีชีวิต เช่น สัตว์ หรือบุคคล สัญลักษณ์อาจเป็นภาพเพียงภาพเดียว หรือเป็นกลุ่มของภาพที่ เกิดจากการตัดต่อ อย่างการลำดับภาพก็สามารถใช้ในการสื่อความหมายพิเศษได้เช่นกัน 6.2 สัญลักษณ์ทางเสียง คือ เสียงต่าง ๆ ที่ถูกใช้เพื่อแสดงความหมายอื่น ๆ เพื่อเปรียบเทียบ ความหมาย หรือเพื่อแสดงวัตถุประสงค์ของตัวละคร ไม่ใช่การใช้เพื่อสร้างอารมณ์ร่วมกับตัวละคร และ เรื่องราวของภาพยนตร์ 7. มุมมองในการเล่าเรื่อง (Point of view) คือ การมองเหตุการณ์ การเข้าใจพฤติกรรมของตัวละคร ในเรื่องผ่านสายตาของตัวละครตัวใดตัวหนึ่ง หรือหมายถึงการที่ผู้เล่ามองเหตุการณ์จากวงใกล้ชิด หรือจากวง นอกในระยะห่าง ๆ ซึ่งแต่ละมุมมองก็จะมีความน่าเชื่อถือต่างกัน มุมมองในการเล่าเรื่อง มีความสำคัญต่อการ เล่าเรื่องอย่างยิ่งเพราะมันจะส่งผลต่อความรู้สึกของผู้ชม และมีผลต่อการชักจูงอารมณ์ของผู้เสพเรื่องเล่าซึ่ง จุดยืนพื้นฐานในการเล่าเรื่องของภาพยนตร์มี 4 ประเภท ได้แก่ (Louise Giannetti , 1990)
16 7.1 เล่าเรื่องจากมุมมองบุคคลที่หนึ่ง (The First -Person Narrator) คือ การเล่าเรื่องที่ตัวละคร ที่เป็นตัวเอกของเรื่องเป็นผู้เล่าเรื่องเอง ข้อสังเกตก็คือภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องด้วยมุมมองประเภทนี้คือจะ ปรากฎคำว่า "ฉัน" หรือ "ผม" อยู่เสมอ ข้อดีของการเล่าเรื่องชนิดนี้ความรู้สึกใกล้ชิดกับเหตุการณ์เนื่องจากว่า ตัวละครหลักเป็นผู้เล่าเรื่องเอง พบการเล่าเรื่องชนิดนี้พบบ่อยในภาพยนตร์นักสืบ และภาพยนตร์ อัตชีวประวัติ 7.2 เล่าเรื่องจากมุมมองบุคคลที่สาม (The Third-Person Narrator) คือ การที่ผู้เล่ากล่าวถึงตัว ละครตัวอื่น เหตุการณ์อื่น ที่ตัวผู้เล่าพบเห็น หรือเกี่ยวพันด้วย 7.3 การเล่าเรื่องจากมุมมองที่เป็นกลาง (The Objective) เป็นมุมมองที่ผู้สร้างพยายามให้เกิด ความเป็นกลาง ปราศจากอกติในการนำเสนอ ดังนั้น การเล่าเรื่องชนิดนี้ทำให้ไม่สามารถข้าถึงตัวละครได้ อย่างลึกซึ้ง เพราะเป็นการเล่าจากวงนอก เป็นการสังเกต หรือรายงานเหตุการณ์ โดยให้ผู้ชมตัดสินเรื่องราว เอง ผู้สร้างมักไม่ใช้กล้องมุมสูง หรือใช้ฟิลเตอร์เพื่อปรุงแต่งภาพ เนื่องจากจะทำให้ภาพยนตร์ขาดความ สมจริง มักพบการเล่าเรื่องชนิดนี้ในภาพยนตร์ข่าวสารคดี รวมทั้งภาพยนตร์แนวสมจริง 7.4 การเล่าเรื่องแบบรู้รอบด้าน (The Omniscent) คือ การเล่าเรื่องที่ไม่มีข้อจำกัด ผู้เล่า สามารถหยั่งรู้จิตใจของตัวละครทุกตัว สามารถย้ายเหตุการณ์ สถานที่ และข้ามพ้นข้อจำกัดด้านเวลา สามารถย้อนอดีต ก้าวไปในอนาคต และสามารถสำรวจความคิดฝันของตัวละครได้อย่างไร้ขอบเขต การเล่า เรื่องชนิดนี้เป็นการเล่าเรื่องที่ภาพยนตร์ใช้บ่อยที่สุด สำหรับงานวิจัยนี้ผู้วิจัยจะอาศัยแนวคิดการเล่าเรื่องเป็นประเด็นหนึ่งในการวิเคราะห์เนื้อหาของ ภาพยนตร์ไทยที่มีการร่วมสร้างกับชาติอื่นในเอเชีย ตามที่ผู้วิจัยสนใจศึกษาเพื่อค้นหาอัตลักษณ์และการสร้าง ความหมายของผู้สร้างภาพยนตร์เรื่องนั้นว่าได้สื่อออกมาให้เห็นเป็นลักษณะอย่างไรโดยจะวิเคราะห์ตามแต่ ละองค์ประกอบของการเล่าเรื่องทั้ง 7 ประการ 3. แนวคิดเกี่ยวกับภาษาภาพยนตร์ ภาษาภาพยนตร์ (Film Language) เป็นภาษาที่ใช้ทั้งวัจนภาษา และอวัจนภาษาโดยผ่าน กระบวนการตีความหมายทางการสื่อสาร ทั้งจากผู้ส่งสารและผู้รับสารซึ่งมีผู้ให้ความหมายของภาษา ภาพยนตร์ ดังนี้ คริสเตียน เมตซ์ (Christian Metz) นักทฤษฎีสัญญศาสตร์ด้านภาพยนตร์ (Film Semiologist) ชาวฝรั่งเศส ได้ให้ความหมายไว้ว่า ผู้ชมเข้าใจภาพยนตร์นั้น “ไม่ใช่เพราะว่า ภาพยนตร์เป็นภาษา จึงสามารถ บอกเล่าเรื่องได้โดยสมบูรณ์ แต่ตรงกันข้าม ภาพยนตร์กลายเป็นภาษา จากการที่ภาพยนตร์ ได้มีการเล่าเรื่อง ได้อย่างสมบูรณ์แล้ว” (Monaco, 1981, p. 127) การที่ภาพยนตร์สามารถสื่อสารถ่ายทอดเรื่องราว ความหมาย อารมณ์และความรู้สึกให้ผู้ชม เข้าใจในสิ่งที่ปรากฏอยู่ในภาพยนตร์ได้นั้นเพราะภาพยนตร์เป็นภาษาอย่างหนึ่ง เรียกว่า ภาษาภาพยนตร์ (Film Language) แต่ภาษาภาพยนตร์ ไม่ใช่ภาษาทั่วไป และไม่ได้ใช้หลักไวยากรณ์เช่นเดียวกับภาษาปกติ
17 ทั่วไปในการสื่อสารหรือสื่อความหมายเช่นเดียวกับภาษาไทย ภาษาจีน ภาษาอังกฤษ ฯลฯ หากแต่ภาพยนตร์ มีวิธีการสื่อความหมายหรือมีภาษาเฉพาะเป็นของตนเอง จากแนวคิดของเมตซ์ (Metz) นั้น ถือว่า ภาพยนตร์ไม่ใช่ภาษาที่แท้จริง (Film is not a true language) แต่ภาพยนตร์มีระบบการสื่อความหมาย (Signification System) (Andrew, 1976, p. 219) ซึ่ง สำหรับนักทฤษฎีสัญญศาสตร์ (Semiologist) นั้น มองภาษาภาพยนตร์เป็นระบบสัญลักษณ์ (Sign System) อย่างหนึ่ง ภาพยนตร์จะสื่อความหมายในรูปของสัญลักษณ์ (Signs) และการเชื่อมโยงสัญลักษณ์ต่าง ๆ เข้า ด้วยกัน ทำให้เกิดความหมาย หรือวากยสัมพันธ์ (Syntax) (Monaco, 1981, p. 140) เช่นเดียวกันกับภาษา ทั่วไปที่ทำการเลือกและรวมส่วนที่เล็กที่สุดของของหน่วยภาษา (Phonemes) และส่วนที่ใหญ่ของหน่วย ภาษา (Morphemes) เพื่อสร้างรูปประโยค ภาพยนตร์จะใช้การเลือกและทำการประกอบภาพและเสียง (Images and Sounds) ต่าง ๆ เข้าด้วยกันเพื่อสร้าง ความสัมพันธ์เกิดเป็นรูปประโยคทางภาษาสัญลักษณ์ (Syntagmas) การปฏิสัมพันธ์ของปัจจัยหรือ องค์ประกอบของสัญลักษณ์ก่อให้เกิดความหมาย ถือเป็นหน่วย หนึ่งของการเล่าเรื่อง (Units of Narrative Autonomy) (Stam, Burgoyne, &, Flitterman-Lewis, 1992, p. 37) จากหน่วยหนึ่งของการ เล่าเรื่อง เมื่อนำหลาย ๆ หน่วยของการเล่าเรื่องมาเรียงร้อยเข้าด้วยกัน ก็จะ เกิดเป็นภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่สามารถสื่อสาระและความบันเทิงไปยังผู้ชมให้เกิดความเข้าใจร่วมกันได้ ซึ่ง ผู้วิจัยได้กล่าวถึงในทฤษฎีโครงสร้างการเล่าเรื่อง 3.1 ความหมายโดยอรรถ (นัยตรง) (Denotative Meaning) ได้แก่ ความหมายที่เข้าใจโดยตรงตาม ตัวอักษรหรือตามสิ่งที่เห็น เป็นความหมายที่คนส่วนใหญ่เข้าใจตรงกัน จัดอยู่ในลักษณะของการอธิบายหรือ พรรณนา (Descriptive level) การอธิบายความหมายของคำศัพท์ในพจนานุกรมก็เป็นความหมายโดยตรง เช่น เมื่อกล่าวถึง "ช้าง" ก็จะนึกถึงลักษณะของสัตว์ที่มีรูปร่างใหญ่ มีงาและงวง เห็นคำว่า "ม้า" ก็เข้าใจได้ ทันทีว่าหมายถึง ม้า ที่เป็นสัตว์ชนิดหนึ่งเห็นภาพดอกไม้ ก็เข้าใจว่าหมายถึงดอกไม้จริง ๆ หรือเห็นภาพวิวรูป ถนนก็แสดงความหมายว่า เป็นถนนสายนั้น หรือคำว่า "Street" ก็แสดงความหมายว่าเป็นถนนชนบทที่มี อาคารบ้านเรือนเรียงรายอยู่สองฟาก แต่ถ้าเราใช้เทคนิคในการถ่ายภาพมาช่วย เช่น ใช้ฟิล์มสีถ่ายขณะมี แสงแดดอ่อน ๆ ใช้เลนส์กระจกปรับภาพทำให้ภาพนุ่มขึ้น จะทำให้เห็นภาพของถนนสายนี้เป็นถนนที่อบอวล ไปด้วยความสุขความอบอุ่น สะท้อนสังคมที่มีมนุษยธรรม เหมาะสำหรับเด็ก ๆ ที่จะวิ่งเล่นอยู่บนถนนนี้ แต่ ถ้าใช้เทคนิคการถ่ายรูปอีกแบบหนึ่ง ใช้ฟิล์มขาว-ดำ และกระจกเลนส์ปรับภาพทำให้ภาพดูแข็งกระด้าง จะ ทำให้ภาพของถนนสายนี้เป็นที่ซึ่งไม่น่าอยู่ มีแต่ความเยือกเย็น ไม่เป็นมิตร ไม่มีความอบอุ่นเมตตา ไม่เหมาะ สำหรับเด็กๆ ที่จะวิ่งเล่น ความหมายแรกจากภาพที่แสดงว่าเป็นถนนสายหนึ่งนั้นเป็นการตีความตาม ความหมายตรง แต่ความหมายที่สองที่ให้ความรู้สึกจากการใช้เทคนิคการถ่ายภาพทั้งสองวิธี แสดง ความหมายในขั้นที่ซึ่งเรียกว่าการตีความหมายโดยนัยหรือความหมายนัยแฝง 3.2 ความหมายโดยนัย (นัยประวัติ / นัยแฝง) (Connotative Meaning) ได้แก่ ความหมายทางอ้อม ที่เกิดจากข้อตกลงกันภายในกลุ่มสังคม หรือเกิดจากประสบการณ์เฉพาะของแต่ละบุคคล เช่น เมื่อเห็นภาพ
18 ดอกไม้ บางคนจะนึกถึงความสวยงาม บางคนนึกถึงผู้หญิง เพราะเคยได้ยินคำกล่าวว่าผู้หญิงเปรียบเหมือน ดอกไม้ บางคนนึกถึงความบอบบางของกลีบดอก เป็นต้น บาร์ตส์ (Barthes,1997) ได้ศึกษาและพัฒนาทฤษฎีกระบวนการสร้างความหมายของโซซูร์ (Saussure) นี้ให้มีมิติมากขึ้น โดยศึกษาถึงลักษณะที่ทำให้เกิดความหมายในระดับพื้นผิว และระดับลึก เขา มุ่งให้ความสนใจไปที่การตีความหมายโดยนัย และได้แสดงแนวความคิดในการวิเคราะห์ความหมายแฝงที่มี อยู่ในการติดต่อสื่อสารว่า การแสดงความหมายนั้นมีอยู่ 2 ระดับ คือระดับที่เกี่ยวข้องกับลักษณะของความ เป็นจริงตามธรรมชาติ และระดับการตีความขั้นที่สองที่ต้องอาศัยปัจจัยทางวัฒนธรรมเข้ามาเกี่ยวข้อง ระดับที่เกี่ยวข้องกับลักษณะของความเป็นจริงตามธรรมชาติ หรือ การตีความหมายนัยตรง (Denotative Meaning) เป็นความหมายขั้นแรก เช่นเดียวกับที่ โซซูร์ (Saussure) ได้อธิบายเอาไว้ คือเป็น ความสัมพันธ์ระหว่างตัวหมาย และตัวหมายถึง ตามความหมายที่ชัดแจ้งของสัญญะ การตีความหมายที่ต้องอาศัยปัจจัยทางวัฒนธรรมเข้ามาเกี่ยวข้องบาร์ตส์ (Barthes) ได้อธิบายการ ตีความหมายในขั้นที่ 2 นี้มีอยู่ 2 ประการได้แก่ 1. การตีความหมายนัยแฝง (Connotative Meaning) เป็นการอธิบายถึงปฏิสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ สัญญะกระทบความรู้สึก หรืออารมณ์ และค่านิยมในบริบทวัฒนธรรมของผู้รับสาร ความหมายในขั้นนี้ เกิดขึ้นจากการตีความโดยอัตตวิสัย ในขณะที่ผู้ดีความหมายได้รับอิทธิพลจากผู้ส่งสารไปพร้อม ๆ กัน กับสัญญะที่ใช้ การตีความหมายโดยนัยแฝงของแต่ละคนจะรู้สึกไม่เหมือนกัน หรือไม่เท่ากัน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับ บริบททางสังคม วัฒนธรรม ค่านิยม อคติ ความรู้สึก และประสบการณ์ของแต่ละบุคคลเป็นหลัก 2. การตีความโดยอาศัยความเชื่อดั้งเดิม (Myt) ความเชื่อดั้งเดิมในที่นี้ หมายถึง วิถีทางวัฒนธรรมที่ เกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่าง ซึ่งเป็นความคิดรวบยอดหรือเป็นความเข้าใจในสิ่งนั้น เสมือนโซ่ที่ผูกมัดความคิด เอาไว้ ซึ่งส่งผลต่อการตีความหมายโดยตรง คุณลักษณะที่สำคัญที่บาร์ตส์ (Barthes) ย้ำในเรื่องนี้คือเรื่องของ พลวัต (Dynamism) ซึ่งหมายถึงการเปลี่ยนแปลง และบางครั้งก็เป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเพื่อสนอง ความต้องการ และค่านิยมที่เปลี่ยนแปลงของวัฒนธรรม 3.3 องค์ประกอบด้านแสงและเงา (Lights and Shadows) การจัดแสงและเงาในภาพยนตร์นั้น สามารถใช้แสงจากแหล่งกำเนิดแสงในลักษณะ คือ แหล่งกำเนิดแสงจากธรรมชาติ (Natural Lights) เช่น แสงจากดวงอาทิตย์ แสงที่ลอดผ่านหน้าต่าง แสงสลัว จากเมฆบัง หรือ แสงจากควงจันทร์ และแหล่งกำเนิดแสงจากแสงประดิษฐ์(Artificial Lights) เช่น แสงสว่าง จากไฟเทียนไข จากตะเกียง จากโคมไฟฟ้าชนิดและขนาดต่าง ๆ กัน การจัดแสงในภาพยนตร์มีความสำคัญ และมีความสัมพันธ์กับการจัดฉาก การแสดงของผู้แสดงและการกำกับภาพ และการถ่ายทำภาพยนตร์อย่าง ยิ่ง การจัดแสงและเงาที่ดี จะช่วยให้ฉากสวยงามสร้างบรรยากาศอารมณ์ความรู้สึก สร้างมิติ และยังช่วย ส่งเสริมสนับสนุนการแสดงอารมณ์ต่างๆของตัวแสดง รวมทั้งการสื่อสารเรื่องราว หรือความหมายของ ภาพยนตร์ได้อย่างดียิ่ง
19 3.4 องค์ประกอบด้านสี (Colour) สีมีความสัมพันธ์กับฉากและแสงอย่างยิ่งสีเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งที่สามารถสื่อสารความหมาย อารมณ์ความรู้สึกหรือนัยะต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี องค์ประกอบด้านสี ได้แก่ 3.4.1) สีที่เกิดจากฉาก คือ สีที่เกิดจากการสร้างขึ้นในฉากนั้น ๆ เช่น สีที่ทาบนผนังห้อง สีของ ผ้าม่านตกแต่งห้อง สีของโต๊ะและเก้าอี้ สีของดอกไม้ หรือสีของอุปกรณ์ประกอบฉากต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งสี เครื่องแต่งกายของตัวแสดงที่ปรากฎในฉากนั้น ๆ 3.4.2) สีที่เกิดจากการจัดแสง คือ สีที่ได้จากแหล่งกำเนิดแสงต่าง ๆ เช่น สีของแสงอาทิตย์ที่ ส่องผ่านวัสดุสีต่าง ๆ หรือแสงจากโคมไฟที่ส่องผ่านแผ่นฟิลเตอร์สี หรือเจลสีต่าง ๆ ที่ปรากฏบนฉากนั้น ๆ 3.5 องค์ประกอบด้านการถ่ายภาพยนตร์ (Cinema Photography) ภาพยนตร์มีความแตกต่างจากภาพถ่ายทั่วไปที่เป็นภาพนิ่ง (Still Photo) ด้วยภาพยนตร์เป็นชุด ภาพนิ่งที่เรียงร้อยต่อเนื่องกันที่เกิดจากกระบวนการการถ่ายทำด้วยกล้องและฟิล์มภาพยนตร์ที่สามารถ บันทึกได้ทั้งสิ่งที่เคลื่อนไหวและสิ่งที่หยุดนิ่ง และเมื่อนำมาฉายผ่านระบบการฉายของเครื่องฉายภาพยนตร์ ภาพที่ปรากฎจะเกิดเป็นภาพเคลื่อนไหวตามที่บันทึกไว้ และผู้ชมสามารถมองเห็นเป็นภาพเคลื่อนไหวไว้คัวย หลักการภาพติดต (Peristence of Vision) ภาพยนตร์ที่ฉายปรากฏบนจอ เพื่อเล่าเรื่องราว สื่อความหมายอย่างสมบูรณ์สวยงามได้นั้น ผู้ที่มี บทบาทสำคัญ คือ ผู้กำกับภาพ (Director of Photography) ซึ่งจะต้องทำการจัดองค์ประกอบของภาพ (Composition) ให้ออกมาอย่างมีศิลปะ สวยงาม เพื่อให้การถ่ายทำภาพยนตร์สามารถสื่อความหมายได้ อย่างสมบูรณ์ 3.5.1 องค์ประกอบภาพ (Composition of Shot) คือ การจัดองค์ประกอบในกรอบภาพ (Frame) ให้สวยงามและสื่อความหมายเพื่อการถ่ายภาพยนตร์ในหนึ่งชื่อต (Shot) คล้ายกับหลักการการจัด องค์ประกอบภาพของการถ่ายภาพนิ่งทั่วไป แต่ภาพยนตร์นั้นต้องถ่ายภาพเคลื่อนไหวซึ่งมีทั้งสิ่งที่ถูกถ่าย เคลื่อนไหวและกรอบภาพ หรือกล้องมีการเคลื่อนที่ ดังนั้นการจัดองค์ประกอบภาพของภาพยนตร์ต้อง คำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้ 3.5.1.1 พื้นที่และตำแหน่งการจัดวางตัวแสดงในกรอบภาพ เช่น จัดวางตำแหน่งผู้หญิง แก่ยืนด้านขวามือก่อนเข้ามาทางตรงกลางกรอบภาพ ศีรษะอยู่ในพื้นที่ด้านบนของกรอบภาพ จัดวาง เด็กผู้หญิงตัวน้อยนั่งร้องไห้อยู่ติดมุมซ้ายด้านล่างของภาพ เป็นการแสดงความหมายสื่อถึงความสำคัญ ความ เหนือกว่าของหญิงชราและความด้อยต่ำด้อยค่าของเด็กผู้หญิง เป็นต้น
20 4. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ณัฐปคัลภ์ อัครภูริณาคินทร์ (2563) ศึกษาวิจัยเรื่อง “กลวิธีการเล่าเรื่องและการใช้ภาษาภาพยนตร์ใน ภาพยนตร์ ที่กำกับโดยหม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุล ” ผลการศึกษาพบว่า องค์ประกอบการสื่อความหมาย เชิงสัญลักษณ์ในการเล่าเรื่องผ่านฉากของภาพยนตร์ทั้ง 13 เรื่อง ที่กำกับโดย หม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุล พบว่า สัญลักษณ์ที่ปรากฏ ภายในภาพยนตร์ทั้ง 13 เรื่องของ หม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุล แสดงให้เห็นถึง แนวคิดของ หม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุล ที่ว่าเขาต้องการจะสร้างภาพยนตร์ที่มีแนวคิดเป็นในรูปแบบของ การนำนวนิยายมาทำในรูปแบบที่มีการปรับเปลี่ยนมุมมองให้สวยงามผ่านการประดิษฐ์ในรูปแบบใหม่ ที่แฝงไป ด้วยมุมมองทางศิลป์ (Art) เป็นถ่ายทอดออกมาอย่างมีศิลปะ และแสดงออกถึงแง่มุมต่าง ๆ ของสังคม รวมไปถึง การสื่อความหมายในฉากต่าง ๆ ได้อย่างมีศิลปะทำให้ผู้ชมได้แง่มุม ความคิดไม่ด้านใดก็ด้านหนึ่ง ภาพยนตร์ของ หม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุล จึงมีความไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน ซึ่งถือว่าเป็นเอกลักษณ์หนึ่งเดียว ในไทยของวงการภาพยนตร์ยกตัวอย่างจาก เรื่องความรักไม่มีชื่อ ได้หยิบยกเอาความหมายของชื่อตัวละคร คือ อาทิตย์ ให้เหมือนสิ่งที่เปล่งแสงประกายออกมาจากตัวเองได้โดยที่ไม่ต้องพึ่งแสงจากคนอื่นใด อาทิตย์ ไม่เคย ขอความช่วยเหลือจาก เพ็ญนภา หรือคนรอบข้างเลยแต่เขาสามารถที่จะ ตะเกียกตะกายขึ้นมาเป็นนักร้องที่มี ชื่อเสียงได้ด้วยตัวของเขาเอง และอีกหนึ่งเรื่อง คือ เรื่องอุโมงค์ ผาเมือง ได้ยิบยกเอาความสำคัญของโซ่ตรวนที่ จองจำยุพดีและส่างหม่อง เป็นสัญลักษณ์การจองจำ อิสรภาพ และเป็นสัญลักษณ์แทนการผูกมัดใน ความสัมพันธ์ของมนุษย์กับการใช้ชีวิตคู่และการแสดงความรัก ที่เหมาะสมระหว่างกัน ไม่ให้มากเกินไปหรือ น้อยจนเกินไป ให้อยู่ในทางสายกลาง ที่ไม่ตึงจนเจ็บปวดหรือเกิดความอึดอัด และรู้สึกเหมือนขาดอิสรภาพที่ เคยมีมาในชีวิต เมื่อต้องมาอยู่ร่วมกับคนอีกคน หรือหยุ่นจนรู้สึกเหมือนไร้ตัวตนไม่เป็นที่ต้องการสำหรับคนที่ ตัวเองรัก โซ่ตรวนจึงเป็นเหมือนพันธนาการในความสัมพันธ์ที่มนุษย์ทุกคนมี กู่ ซินซี (GU XINXI,2560) วิจัยเรื่อง “การเล่าเรื่องและวัฒนธรรมในภาพยนตร์นอกกระแสไทยและจีน กรณีศึกษาเรื่อง "Mary is Happy Mary is Happy" และ "Ne Zha" ผลการศึกษาพบว่า วัฒนธรรมของ โครงสร้างการเล่าเรื่องของภาพยนตร์นอกกระแสไทยและจีน กรณีศึกษาเรื่อง "Mary is Happy Mary is Happy" และ "Ne Zha" มีการถ่ายทอดความหมายเกี่ยวกับวัฒนธรรมของทั้งสองประเทศผ่านแต่ละ องค์ประกอบของโครงสร้างการเล่าเรื่องทั้ง 7 ประการที่สามารถจัดได้เป็นประเภทต่าง ๆ คือ วัฒนธรรมระดับ ครอบครัวและวัฒนธรรมระดับสังคม โดยถ่ายทอดผ่านขั้นขัดแย้ง (Conflict) และตัวละคร (Character) มาก ที่สุด ส่วนมากแล้วจะเปรียบเทียบให้เห็นระหว่างวัฒนธรรมไทยและวัฒนธรรมจีนที่เข้ามามีอิทธิพลอยู่มากต่อ ความเชื่อและทัศนคติของบุคคลทั้งนี้มุ่งชี้ให้เห็นคุณค่าทางวัฒนธรรม และการชี้ให้ข้อดีและข้อเสียของแต่ละ ประเทศ โดยมีการวิเคราะห์ลักษณะวัฒนธรรมที่ได้อ้างอิงแนวคิดนี้ไว้ในบทที่ 2 ทั้งนี้มีการแบ่งวัฒนธรรม ออกเป็น 2 ระดับ คือ (1) วัฒนธรรมระดับครอบครัว (2) วัฒนธรรมระดับสังคม ทำให้สามารถระบุถึงวัฒนธรรม ที่สะท้อนผ่านภาพยนตร์นอกกระแสไทยและจีน ที่ศึกษาได้โดยการอธิบายลักษณะวัฒนธรรมที่ถูกสร้างขึ้น ตามที่พบในภาพยนตร์นอกกระแสไทยและจีน กรณีศึกษาเรื่อง "Mary is Happy Mary is Happy" และ“Ne
21 Zha” เพื่อสามารถให้หน่วยงานเอกชนหรือรัฐบาลทั้งประเทศไทยและประเทศจีนได้นำไป เพื่อช่วยในการ กำหนดกลยุทธ์การสื่อสาร สุวิมล วงศ์รัก (2547) ศึกษาเรื่อง “อัตลักษณ์และการเล่าเรื่องในภาพยนตร์ร่วมสร้างไทย-เอเชีย” ผลการวิจัยพบว่า ลักษณะอัตลักษณ์ของโครงสร้างการเล่าเรื่องของภาพยนตร์ร่วมสร้างไทย-เอเชียนั้น มีการ ถ่ายทอดแนวคิดลักษณะตะวันออก และลักษณะตะวันตก อย่างสอดคล้องตามเกณฑ์การวิเคราะห์ อัตลักษณ์ ทางวัฒนธรรมของยาน เซอร์เวส (Jan Servaes) ที่ได้อ้างอิงแนวคิดนี้ไว้ในบทที่ 2 ทั้งนี้มีการ แบ่งวัฒนธรรม ออกเป็น 2 ระบบ คือ 1. ระบบสังคมวัฒนธรรม (Socio-cultural system) 2. ระบบวิธีการสื่อสาร (Mode of communication) ทำให้สามารถระบุถึงอัตลักษณ์ของภาพยนตร์ร่วมสร้างไทย-เอเชียที่ศึกษาได้โดยการ อธิบายลักษณะวัฒนธรรมของตะวันออกและตะวันตกที่ถูกสร้างขึ้น ตามที่พบในภาพยนตร์ร่วมสร้างไทย-เอเชีย พิชณี โสตถิโยธิน (ระบุปีพ.ศ.ด้วยนะคะ) วิจัยเรื่อง “การศึกษาเปรียบเทียบกลวิธีการสื่อสารภาษา โฆษณาทางวิทยุกระจายเสียง ในด้านเนื้อหาโฆษณาและด้านกลวิธีการสื่อความหมายระหว่างปี พ.ศ. 2526- 2529 กับปี พ.ศ. 2543-2546” ผลการวิจัยพบว่า กลวิธีการสื่อสารภาษาโฆษณาทางวิทยุกระจายเสียงในด้าน เนื้อหาโฆษณาและด้านกลวิธีการสื่อความหมายมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ด้านการนำเสนอเนื้อหา โฆษณา สมัยอดีตมุ่งนำเสนอตัวสินค้า ส่วนสมัยปัจจุบันมุ่งที่จะสื่อสารกับกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมาย ด้านการใช้ กลวิธีการสื่อความหมาย สมัยอดีตนิยมใช้กลวิธีการสื่อความหมาย ด้วยวัจนกรรมตรง ส่วนสมัยปัจจุบันนิยมใช้ กลวิธีการสื่อความหมายด้วยวัจนกรรมอ้อม แต่ละสมัยมีการใช้กลวิธีการ สื่อความหมายด้วยวัจนกรรมตรง และวัจนกรรมอ้อมที่สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายในการนำเสนอเนื้อหาโฆษณา สมัยอดีตนิยมใช้กลวิธีการสื่อ ความหมายด้วยวัจนกรรมตรงซึ่งมีเจตนาแจ้งให้ทราบ อันสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการโฆษณาคือต้องการ แจ้งให้ทราบถึงข้อมูลสินค้า ส่วนสมัยปัจจุบันมีการใช้กลวิธีการสื่อความหมายด้วยวัจนกรรมอ้อมมากขึ้นกว่า สมัยอดีต เพราะสมัยปัจจุบันมุ่งสื่อสารกับผู้บริโภคเป้าหมาย การใช้กลวิธีการสื่อความหมายด้วยวัจนกรรมอ้อม นี้ทำให้ผู้บริโภคเป้าหมายต้องตีความสาร การจะตีความสารได้นั้นจะต้องติดตามฟังโฆษณาจนจบ เพื่อให้ทราบ ถ้อยคำหรือบริบทรอบข้าง อันจะนำมาใช้ประกอบการตีความ ซึ่งทำให้ผู้บริโภคทราบข้อมูลสินค้าและพิจารณา สินค้าไปในตัวด้วย การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวสะท้อนให้เห็นวิถีชีวิต, สภาพสังคม, ความรู้การศึกษา, ความตื่นตัว ของผู้บริโภคในเรื่องสิทธิผู้บริโภค, วิทยาการด้านการโฆษณา และวัตถุประสงค์ของผู้ส่งสารที่เปลี่ยนแปลงไป ตามกาลเวลา อันมีผลกระทบต่อกลวิธีการใช้ภาษาโฆษณาทางวิทยุกระจายเสียง และยังสามารถนำความรู้ที่ ได้รับจากงานวิจัยนี้ไปประยุกต์ใช้ในเชิงปฏิบัติการด้านต่าง ๆ ได้ วีรภัทร วิไลศิลปะดีเลิศ (2555) ศึกษาวิจัยเรื่อง “การวิเคราะห์เนื้อหาภาพข่าวยอดเยี่ยม รางวัลอิศรา อมันตกุล ของสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย” เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ที่มีผลการวิจัยซึ่งศึกษาและวิเคราะห์เนื้อหา องค์ประกอบภาพ รูปแบบ และเทคนิคการถ่ายภาพ ทั้งในเชิงคุณค่าทางด้านวารสารศาสตร์ การตีความเชิงสัญญะ และในแง่ความงดงามเชิงองค์ประกอบศิลป์ของ ภาพข่าว แบ่งการวิจัยออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรก เป็นการศึกษาแนวทางการพิจารณารางวัลภาพข่าวยอดเยี่ยม โดยใช้การสัมภาษณ์แบบเจาะลึก (In-Depth Interview) อิงโครงสร้างปานกลาง (Semi-structural
22 Interviews) เกี่ยวกับแนวทางการพิจารณารางวัลภาพข่าว ยอดเยี่ยม โดยสัมภาษณ์คณะกรรมการผู้ตัดสิน รางวัล จำนวน 3 ท่าน และส่วนที่สองเป็นการศึกษาและวิเคราะห์เนื้อหา องค์ประกอบภาพ รูปแบบ และเทคนิค การถ่ายภาพ โดยใช้วิธีการวิจัยแบบวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) ภาพข่าวยอดเยี่ยม มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาเนื้อหาองค์ประกอบภาพ รูปแบบ และเทคนิคที่ใช้ใน การถ่ายภาพโดยพิจารณาคุณค่าทั้งในเชิง วารสารศาสตร์และความงดงามเชิงองค์ประกอบศิลป์ การทบทวนเอกสารที่เกี่ยวข้อง เปรียบเทียบแนวคิดที่ใช้วิเคราะห์การสื่อความหมายเชิงสัญลักษณ์ในงานวิจัย 5 เรื่อง งานวิจัย การวิเคราะห์การสื่อความหมายเชิงสัญลักษณ์ในงานวิจัย แนวคิดเกี่ยวกับ การเล่าเรื่อง แนวคิดเกี่ยวกับ ภาษาภาพยนตร์ ทฤษฎีสัญญัติวิทยา หรือสัญญะวิทยา 1. กลวิธีการเล่าเรื่อง และการใช้ภาษา ภาพยนตร์ในภาพยนตร์ ที่กำกับโดย หม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุล (ณัฐปคัลภ์ อัครภูริณาคินทร์, 2563) ✓ ✓ ✓ 2. การเล่าเรื่องและวัฒนธรรมในภาพยนตร์ นอกกระแสไทยและจีน กรณีศึกษาเรื่อง "Mary is Happy Mary is Happy" และ "Ne Zha" (GU XINXI, 2560) ✓ ✓ ✓ 3. อัตลักษณ์ และการเล่าเรื่องในภาพยนตร์ ร่วมสร้างไทย-เอเชีย (สุวิมล วงศ์รัก, 2547) ✓ ✓ ✓ ✓ 4. การศึกษาเปรียบเทียบกลวิธีการสื่อสาร ภาษาโฆษณาทางวิทยุกระจายเสียงในด้าน เนื้อหา โฆษณาและด้านกลวิธีการสื่อ ความหมายระหว่างปี พ.ศ. 2526-2529 กับปี พ.ศ. 2543-2546 (พิชณี โสตถิโยธิน, 2550) ✓ 5. การวิเคราะห์เนื้อหาภาพข่าวยอดเยี่ยม รางวัล อิศรา อมันตกุล ของสมาคมนักข่าว นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย (วีรภัทร วิไล ศิลปะดีเลิศ, 2555) ✓ ✓
23 จาก ตาราง พบว่าปรากฏแนวคิดเกี่ยวกับการเล่าเรื่องของลูเคตส์และคันดิช (and Condit) และ ทฤษฎีสัญญัติวิทยาหรือสัญญะวิทยาของโซซูร์ (Saussure) เป็นหลัก โดยมีงานวิจัยของณัฐปคัลภ์ อัคร ภูริณาคินทร์ (2563) ที่นำแนวคิดเกี่ยวกับภาษาภาพยนตร์ของคริสเตียน เมตซ์(Christian Metz) มาใช้ในการ อธิบายให้ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งงานวิจัยดังกล่าวทั้ง 5 เรื่องนี้ต้องอธิบายว่าการเล่าเรื่องมีองค์ประกอบอย่างไรบ้าง สัญญัติวิทยาหรือสัญญะวิทยามีลักษณะอย่างไรบ้าง และภาษาภาพยนตร์มีลักษณะและการถ่ายทอดเรื่องราว อย่างไร สมมติฐานและกรอบแนวคิดการวิจัย สมมติฐาน ภาพยนตร์เรื่องสัปเหร่อ กำกับโดย ต้องเต ธิติ ศรีนวล สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อวัฒนธรรม และบริบททางสังคมของคนในภาคอีสาน กรอบแนวคิด ภาพยนตร์ เรื่อง สัปเหร่อ ที่กำกับโดย ต้องเต ธิติ ศรีนวล กลวิธีการเล่าเรื่อง ๑. โครงเรื่อง - การเริ่มเรื่อง - ภาวะวิกฤติ - การยุติของเรื่องราว ๒. ความขัดแย้ง ๓. ตัวละคร ๔. แก่นความคิด ๕. ฉาก ๖. การสื่อความหมายเชิง สัญลักษณ์ ภาษาภาพยนตร์ ๑. องค์ประกอบด้านแสงและ เงา ๒. องค์ประกอบด้านสี ๓. องค์ประกอบด้านการถ่าย ภาพยนตร์ ทฤษฎีสัญญัติวิทยาหรือสัญญ วิทยา ๑. ประเภทของสัญญะ - รูปเหมือน - ดรรชนี - สัญลักษณ์ ๒. แนวคิดเกี่ยวกับภาษา ภาพ
24 ขอบเขตของการวิจัย การวิจัยครั้งนี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative) วิเคราะห์ข้อมูลจากภาพยนตร์เรื่อง สัปเหร่อ ที่ กำกับโดย ธิติ ศรีนวล ซึ่งมีการสื่อความหมายเชิงสัญลักษณ์ทั้งหมด 12 สัญลักษณ์ประกอบด้วย ข้าวจี่ไหม้ , ธุง ,โปรยข้าวตอก,ยายผูกแขนให้เซียง , เสื้อแดงแขวนหน้าบ้าน , เมรุหลากสีสัน , นกบินออกจากบ้าน , เสี่ยง ไข่ตั้งกองฟอน , การเคาะโลง , น้ำตาหมาดำ , ใส่เสื้อผ้าคนตาย , ดอกไม้จันทร์ซึ่งมีข้อความที่สื่อความหมาย โดยนัยทั้งหมด 2 ข้อความ คือ 1) คนตายเป็นครู คนอยู่เป็นนักเรียน 2) คนดีสี่โมงแลง และข้อความที่สื่อ ความหมายโดยอรรถ ทั้งหมด 6 ข้อความ คือ 1) ความรัก ต้องรักษา ด้วยรัก 2) อย่าจมปลักกับอดีต 3) อยู่ กับปัจจุบัน มีความสุขกับสิ่งที่เลือก 4) สาเหตุที่จากกันโดยไม่ลาคือ ไม่จากกันวันนี้ วันหน้าก็จากกันอยู่ดี ไม่มี อะไรมาการัณตี ว่าพรุ่งนี้เราจะมีชีวิตอยู่ 5) รีบทำรีบประสบความสำเร็จ เพราะทุกก้าวที่เราก้าวไปข้างหน้า มันคือเวลาที่พ่อแม่นับถอยหลังช่วงเวลาที่เหลือ 6) เราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นทำวันนี้ให้ดีที่สุดที่เราจะทำได้ เพราะไม่ว่าใครจะจากไป ก็มีคนที่เสียใจอยู่ข้างหลังอยู่ดี ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย ตัวแปรต้น (Independent Variables) คือ ภาพยนตร์ (เรื่อง สัปเหร่อ) ตัวแปรตาม (Dependent Variables) คือ การสื่อความหมายเชิงสัญลักษณ์ นิยามศัพท์ ภาพยนตร์ (Movie) หมายถึง เป็นกระบวนการบันทึกภาพด้วยฟิล์ม แล้วนําออกฉายใน ลักษณะที่แสดงให้เห็นภาพเคลื่อนไหวและเสียง การสื่อความหมายเชิงสัญลักษณ์ (Symbolic Meaning) หมายถึง สิ่งที่ใช้แทนความหมาย ของอีกสิ่งหนึ่ง ซึ่งใช้ในการสื่อความหมายหรือแนวความคิดให้มนุษย์เข้าใจไปในทางเดียวกัน อาจจะ เป็นรูปธรรมหรือนามธรรมก็ได้ 3. ระเบียบวิธีดําเนินการวิจัย รูปแบบการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้รูปแบบการศึกษาเฉพาะกรณี ในภาพยนตร์ที่กำกับโดย ต้องเต ธิติ ศรีนวล 3.1 การคัดเลือกข้อมูล การดำเนินวิจัยครั้งนี้ คณะผู้วิจัยคัดเลือกข้อมูล ดังนี้ 1) การเลือกกลุ่มเป้าหมายคณะผู้วิจัยได้เลือกกลุ่มตัวอย่างโดยการคัดเลือกการสุ่มแบบ เจาะจงรายบุคคลโดยพิจารณาจากการรับชมภาพยนตร์เรื่อง สัปเหร่อ ที่กำกับโดย ต้องเต ธิติ ศรีนวล 2) การคัดเลือกจากบทสัมภาษณ์ โดยใช้รูปแบบประเภทการสัมภาษณ์มีโครงสร้าง 3.2 ทฤษฎีหรือกรอบที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล การดำเนินการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยมีกรอบที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้
25 1) การใช้แบบสัมภาษณ์ จำนวน 5 ข้อ 1.1 รู้จักสัญลักษณ์หรือไม่และยกตัวอย่างสัญลักษณ์ที่รู้จักพร้อมบอกความหมาย ตอบ รู้จัก เช่นสัญญาณไฟจราจร ไฟจราจรสีแดงเป็นสัญลักษณ์แสดงให้รถทุกคันหยุด ไฟจราจรสี เขียวเป็นสัญลักษณ์แสดงให้รถสามารถผ่านไปโดยไม่ต้องหยุด 1.2 ในภาพยนตร์มีการสื่อความหมายเชิงสัญลักษณ์ จากสัญลักษณ์ การเคาะโลง ในความหมายของ คุณมีความคิดเห็นอย่างไร ตอบ ในภาพเป็นสัญลักษณ์การเคาะโลงเรียกผู้เสียชีวิตกินข้าวแสดงให้เห็นความเชื่อ และความ รักความผูกพันของครอบครัวที่มีต่อผู้เสียชีวิต 1.3 รู้จักการสื่อความหมายทางตรงและทางอ้อมหรือไม่ ตอบ รู้จัก 1.4 จากประโยค “คนดีสี่โมงแลง” คุณคิดว่าเป็นการสื่อความหมายทางตรงหรือ ทางอ้อม ตอบ การสื่อความหมายทางอ้อม 1.5 ชอบฉากใดในภาพยนตร์ เรื่อง สัปเหร่อ และคิดว่า ฉากนั้นมีการสื่อความหมายเชิงสัญลักษณ์ หรือไม่ เพราะเหตุใด ตอบ ฉากผูกแขน มีการสื่อความหมายเชิงสัญลักษณ์ เพราะการผูกแขนในความเชื่อทางภาค อีสานเป็นการ อวยพร และเป็นเครื่องหมายแทนความรักและห่วงใย 2) การใช้แบบสัมภาษณ์วิเคราะห์กลวิธีการสื่อความหมายเชิงสัญลักษณ์และข้อความ
26 แบบบันทึกสัมภาษณ์วิเคราะห์กลวิธีการสื่อความหมายเชิงสัญลักษณ์และข้อความ ที่ปรากฏในภาพยนตร์เรื่อง สัปเหร่อ ที่กำกับโดย ต้องเต ธิติ ศรีนวล ภาพสัญลักษณ์ …………………………………. กลวิธีการเล่าเรื่อง หัวข้อ ผลการวิเคราะห์ หมายเหตุ โครงเรื่อง ใช่ ไม่ใช่ 1.การเริ่มเรื่อง 2.ภาวะวิกฤติ 3.การยุติของเรื่องราว ความขัดแย้ง 1.ความขัดแย้งภายในจิตใจ 2.ความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับสิ่งเหนือ ธรรมชาติ ตัวละคร 1.การแสดงการกระทำของตัวละคร แก่นความคิด 1.แก่นความคิดหลักเกี่ยวกับศีลธรรม 2.แก่นความคิดหลักเกี่ยวกับชีวิต 3.แก่นความคิดหลักเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ ฉาก 1.ฉากที่เป็นธรรมชาติ 2.ฉากที่เป็นสิ่งประดิษฐ์ 3.ฉากที่เป็นการดำเนินชีวิตของตัวละคร ภาษาภาพยนตร์ หัวข้อ ผลการวิเคราะห์ หมายเหตุ ใช่ ไม่ใช่ 4.องค์ประกอบด้านแสงและเงา 5.องค์ประกอบด้านสี 6.องค์ประกอบด้านการถ่ายภาพยนตร์ ทฤษฎีสัญญัติวิทยาหรือสัญญวิทยา
27 หัวข้อ ผลการวิเคราะห์ หมายเหตุ ประเภทของสัญญะ ใช่ ไม่ใช่ 1.รูปเหมือน 2.ดรรชนี 3.สัญลักษณ์ แนวคิดเกี่ยวกับภาษาภาพ 1.สื่อความหมายโดยตรง 2.สื่อความหมายโดยอ้อม ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการวิจัย 1. ทราบถึงกลวิธีการสื่อความหมายเชิงสัญลักษณ์ และการใช้วัจนกรรมภาษาในภาพยนตร์เรื่อง สัปเหร่อ ที่กำกับโดย ต้องเต ธิติ ศรีนวล 2. สร้างองค์ความรู้ด้านการสื่อความหมายเชิงสัญลักษณ์และการใช้วัจนกรรมภาษา ใน ภาพยนตร์เรื่องสัปเหร่อ เพื่อนำไปปรับใช้ในการจัดการเรียนการสอนของตนเองได้ เอกสารอ้างอิง หรือ บรรณานุกรม ณัฐปคัลภ์ อัครภูริณาคินทร์. (2563). กลวิธีการเล่าเรื่อง และการใช้ภาษาภาพยนตร์ในภาพยนตร์ที่ กำกับ โดยหม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุล. ปริญญาโท (การเขียนบทและการกำกับ ภาพยนตร์และ โทรทัศน์). มหาวิทยาลัยรังสิต. สำนักหอสมุด. : มหาวิทยาลัยรังสิต. พิชณี โสตถิโยธิน. (2550). การศึกษาเปรียบเทียบกลวิธีการสื่อสารภาษาโฆษณาทาง วิทยุกระจายเสียงในด้านเนื้อหาโฆษณาและด้านกลวิธีการสื่อความหมายระหว่างปี พ.ศ. 2526-2529 กับปี พ.ศ. 2543-2546. (2548). มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สำนักหอสมุด. วีรภัทร วิไลศิลปดีเลิศ. (2550). การวิเคราะห์เนื้อหาภาพข่าวยอดเยี่ยมรางวัลอิศราอมันตกุลของ สมาคมนักข่าวนัก หนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย. เชียงใหม่ : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. สุวิมล วงศ์รัก. (2547). อัตลักษณ์ และการเล่าเรื่องในภาพยนตร์ร่วมสร้างไทย-เอเซีย. ปริญญาโท (การสื่อสารมวลชน). จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. องอาจ สิงห์ลำพอง. (2560). ศึกษาการเล่าเรื่องและวัฒนธรรมในภาพยนตร์นอกกระแสไทยและจีน กรณีศึกษาเรื่อง “Mary is Happy Mary is Happy” และ “Ne Zha”. มหาวิทยาลัย กรุงเทพ : วารสารวิชาการสมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย ฉบับมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์.