คาํ นาํ
ศนู ยพฒั นาเด็กเลก็ เปน สถานศกึ ษาทีใ่ หการอบรมเลีย้ งดู สงเสรมิ พัฒนาการเรยี นรูใหเ ด็กเล็กอายตุ ั้งแต
2-5 ป ใหไดรับการพัฒนาท้ังดานรางกาย อารมณ จิตใจ สังคมและสติปญญาที่เหมาะสมตามวัย เด็กกอนวัยเรียนที่มี
อายุตั้งแต 2-5 ป ในประเทศไทย มีจํานวนมากกวา 2.6 ลานคน ซึ่งเปนประชากรที่อยูในจังหวัดเชียงใหม จํานวน
มากกวา 62,000 คน ศูนยเดก็ เล็กและโรงเรียนอนุบาลเปนสถานที่ที่เด็กอยูร วมกันเปนจํานวนมาก เนื่องจากเด็กมีภูมิ
ตานทานตํ่าจึงมีโอกาสปวยไดบอย โดยเฉพาะโรคติดตอท่ีสําคัญและพบบอย ไดแก โรคติดเช้ือระบบทางเดินหายใจ
โรคมือเทาปาก โรคอุจจาระรวง อีกท้ังสถานการณปจจุบันมีรายงานผูปวยโรคโควิด-19 ทสี่ ามารถเกิดขึ้นไดในทุกชวง
อายุ เด็กมีโอกาสเปนผูแพรเชื้อสูผูอื่นได แมรายงานสวนใหญเด็กมักเปนผูรับเชื้อไวรัสโควิด-19 จากผูอ่ืน เด็กมักมี
อาการไมรุนแรง แตอาจมีอาการรุนแรงถึงแกชีวิตไดในกรณีที่มีโรคอ่นื อยูกอน หรือเปนผูที่มภี ูมิคุมกันบกพรอง ดังน้ัน
การติดเช้ือทางเดินหายใจ ยังคงเปนปญหาสุขภาพท่ีสําคัญของเด็กอายุตํ่ากวา 5 ป โดยเฉพาะเด็กที่ไดรับการดูแลใน
ศนู ยพ ัฒนาเด็กเลก็
แนวทางปฏบิ ัติสาํ หรับศูนยพ ัฒนาเด็กเล็ก ในการปองกันโรคติดตอระบบทางเดนิ หายใจ สาํ หรบั ผูด ูแลเด็กเปน
แนวทางที่ชวยใหเกิดการปฏิบัติงานไดถกู ตองเหมาะสม เพื่อใหเ ด็กกอนวัยเรียน และผูดูแลเด็กในสถานพัฒนาเด็กเล็ก
สามารถอยูรวมกันไดอยางปลอดภัย โดยมีสาระสําคัญประกอบดวยคํานิยาม ปจจัยของการเกิดโรคติดเชื้อระบบ
ทางเดินหายใจในเด็ก ธรรมชาติของการเกิดโรค โรคติดตอระบบทางเดินหายใจในเด็กที่พบบอย การทําความสะอาด
มือ การสวมและถอดหนา กากอนามัย การคัดกรองบุคคลของสถานพฒั นาเดก็ ปฐมวยั (ผูดูแล ผปู กครอง) การคัดกรอง
เดก็ การฆาเชอื้ และการดแู ลความสะอาดส่ิงแวดลอม
คณะผูจัดทํามุงหวังวา “แนวทางปฏิบัติในการปองกันโรคติดตอระบบทางเดินหายใจ สาํ หรับผูดูแลเด็ก ศูนย
ดูแลเด็กกอนวัยเรียน คณะแพทยศาสตร มหาวิทยาลัยเชียงใหม” ฉบับนี้ จะสามารถนําไปใชเปนแนวปฏิบัติในศูนย
ดูแลเด็กกอนวัยเรียน เพื่อปองกันความเส่ียงในการติดเช้ือและการแพรระบาดของโรคติดตอท่ีสามารถปองกันได อัน
จะสงผลใหเด็กมีสุขอนามัยและสุขภาพที่ดี มีภูมิตานทานโรคท่ีดี มีการเจ็บปวยลดลง และลดโอกาสเกิดการแพร
ระบาดของโรคตดิ ตอ ภายในศูนยเ ดก็ เล็กตอไป
คณะผจู ัดทาํ
กรกฎาคม 2564
สารบัญ หนา
1
เนอ้ื เรือ่ ง 2
คาํ นยิ าม 2
ปจ จัยของการเกดิ โรคตดิ เชื้อระบบทางเดนิ หายใจในเด็ก 4
ธรรมชาติของการเกดิ โรค 4
โรคตดิ ตอ ระบบทางเดนิ หายใจในเด็กและวิถีทางการแพรก ระจายเชอ้ื 5
6
หวดั (Common cold) 7
ไขหวัดใหญ (Influenza) 9
ปอดอักเสบ (Pneumonia) 10
คอตีบ (Diphtheria) 11
คางทมู (Mumps) 12
หัด (Measles) 14
หัดเยอรมนั (Rubella) 16
ไอกรน (Percussive) 17
ไซนัสอักเสบ (Sinusitis)
หูชนั้ กลางอักเสบ (Otitis media) 18
โรคไวรัสโควิด-19 22
23
การทําความสะอาดมอื 24
การสวมและถอดหนา กากอนามัย 26
การคดั กรองบคุ คลของศูนยดูแลเด็กกอ นวยั เรียน (เดก็ และผปู กครอง) 26
การทําลายเช้ือและการดแู ลความสะอาดส่ิงแวดลอ ม 37
ภาคผนวก 38
40
อินโฟกราฟค (Infographic) รายโรค
อนิ โฟกราฟค (Infographic) การทาํ ความสะอาดมอื
อินโฟกราฟค (Infographic) การสวมหนา กากอนามัย
เอกสารอา งอิง
1
คํานยิ าม
เด็กปฐมวัย หมายถึง เด็กอายุระหวาง 2-5 ป ที่เขารับการอบรมเล้ียงดู และพัฒนาความพรอมดานรางกาย
อารมณ จิตใจ สังคม และสติปญญา ในศูนยพัฒนาเด็กเล็ก (กรมสงเสริมการปกครองทองถ่ิน กระทรวงมหาดไทย,
2559)
โรคติดตอ หมายความวา โรคทเ่ี กิดจากเช้อื โรคหรอื พิษของเช้ือโรคซึง่ สามารถแพรโ ดยทางตรง หรือทางออม
มาสูคน (พระราชบัญญตั ิโรคตดิ ตอ, 2558)
โรคระบบทางเดนิ หายใจในเดก็ หมายถงึ โรคที่เกดิ จากมีความผิดปกตขิ องเนอ้ื เย่ือ หรอื อวยั วะตา งๆในระบบ
ทางเดินหายใจ เชน จมูก ลําคอ ทอลมหลอดลม และปอด แบงเปน 2 สวน คือ ระบบทางเดินหายใจตอนตน และ
ระบบทางเดินหายใจตอนลาง เชื้อท่ีเปนสาเหตุสวนใหญจากเช้ือไวรัส ไดแก โรคหวัด ไขหวัดใหญ ไขหวัดนก และ
ซารส เปน ตน การติดเชอ้ื จากแบคทีเรยี ไดแ ก ปอดบวม และวัณโรค เปนตน (วชิ ุตา ศรสี คุ นธ, 2561)
ศนู ยพัฒนาเด็กเล็ก หมายถึง สถานศึกษาทีใ่ หการอบรมเล้ียงดู จัดประสบการณ และสงเสริมพฒั นาการ การ
เรียนรูใหเด็กเล็กมีความพรอม ดานรางกาย อารมณ จิตใจ สังคมและสติปญญา (กรมสงเสริมการปกครองทองถิ่น
กระทรวงมหาดไทย, 2559)
ทม่ี า: https://www.unicef.org/thailand/th/ภารกิจของยนู เิ ซฟ/การพฒั นาเด็กปฐมวัย
2
ปจจยั ของการเกิดโรคติดเช้อื ระบบทางเดินหายใจในเดก็
ปจจัยของการเกดิ โรคติดเชอื้ เมื่อเช้อื โรคเขา สรู างกาย บางคนอาจเกิดโรคและแสดงอาการอยางรวดเร็ว
ขณะท่บี างคน ไมแสดงอาการใด ๆ ท้งั นีข้ ึ้นอยูกับ (กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข, 2554)
(1) คุณสมบตั ิของเชอื้ เชน ความสามารถในการกอ โรคของเชือ้ ความรนุ แรงของเชื้อ ระยะฟก ตัวของเช้ือท่ี
เขา สรู า งกาย และปรมิ าณของเช้อื ทไ่ี ดรับ
(2) สภาพรางกายผูรับเชื้อโรค โดยเฉพาะคนชรา ทารก และเด็กเลก็ ที่มีระดบั ภูมิตา นทานโรคของรา งกาย
ไมด ีพอ ทาํ ใหเ จบ็ ปวยไดงาย และมีอาการรุนแรงมากกวากลมุ อายุอ่นื สาํ หรบั คนทมี่ ีรางกายแขง็ แรง
ภมู ิตานทานของรา งกายดี เม่ือไดร ับเชื้ออาจไมเกดิ โรค หรือหากเกิดโรคกอ็ าจแสดงอาการไมรุนแรง
(3) ส่ิงแวดลอม ซ่งึ มีผลตอการแพรก ระจายของโรคและการเกิดโรคได เชน ถา อากาศหนาวเยน็ เชื้อไวรัส
หวดั จะสามารถอยใู นสง่ิ แวดลอมไดน านขึน้ โอกาสท่คี นจะไดร ับเชอื้ และเปนโรคหวดั จึงมากขึ้น ในขณะท่ี
เชอื้ แบคทเี รียบางชนดิ สามารถเจรญิ เตบิ โตและเพม่ิ จํานวนไดด ีในอุณหภูมทิ ีส่ ูงข้ึน เชน เชอ้ื อหวิ าตกโรค
ซง่ึ มกั ระบาดในชว งฤดรู อน เปนตน
ธรรมชาตขิ องการเกิดโรค
ธรรมชาติการเกิดโรค (natural history of disease)
หมายถงึ กระบวนการของการเกิดโรคตามธรรมชาตใิ นคน โดยท่ีไมมกี ารรกั ษาหรือภาวะแทรกซอ น
ใด ๆ เร่ิมจากคนท่ีมีภาวะสุขภาพดี ไดรับองคประกอบท่ีเส่ียงตอการเกิดโรคหรือปจจัยเสี่ยงของโรค ทําใหรางกายมี
ความไวตอการเกิดโรค หรือการตดิ เชื้อ เมื่อบุคคลน้นั เปนโรคแลวอาจมีโอกาสฟนหายปกติ มีความพิการหรือเสียชีวิต
ได ในกรณีที่ไมไดร ับการรักษาพยาบาลหรือการดูแลท่ถี ูกตองและมคี ุณภาพ (สพุ รรณี ธรากุล, 2562)
การดําเนนิ ของโรคตดิ เช้ือตามธรรมชาตมิ ี 4 ระยะ ไดแ ก (กรมควบคมุ โรค กระทรวงสาธารณสุข, 2554)
ระยะที่ 1 ระยะกอนไดร ับเช้อื เปน ระยะท่รี างกายยงั ไมไดรับเชอ้ื เขาสูร า งกาย แตม ปี จจัยเส่ยี งหรอื
องคประกอบตาง ๆ ที่สง เสริมหรือเอ้ือตอการเกดิ โรค ไดแก ความรุนแรงของเชื้อกอโรค สภาพรางกายของผูไดรับเช้ือ
ไมสมบูรณและไมแข็งแรง และสิ่งแวดลอมท่ีมีการปนเปอนและเอื้อตอการแพรกระจายเชื้อโรค (กรมควบคุมโรค
กระทรวงสาธารณสุข, 2554) เด็กเล็กและผูสูงอายุจะมีความไวตอการเกิดโรคมากกวาเด็กโตหรือผูใหญ หรือมีโอกาส
ตดิ เชอ้ื ไดม ากกวาบุคคลวัยอนื่ เนือ่ งจากกลไกในการสรา งภมู ิตานทานโรคในเดก็ ยังพัฒนาไมเตม็ ที่ เด็กที่ไมไดรบั วัคซีน
ปองกันโรคตามขอกําหนดการใหวัคซีนมีโอกาสเปนดรคไดมากกวาเด็กที่ไดรับวัคซีนครบตามเกณฑ (สุพรรณี ธรากุล,
2562)
3
ระยะที่ 2 ระยะกอ นมีอาการ (ระยะฟก ตวั ) เม่อื เช้อื โรคเขาสูรางกาย รา งกายจะพยายาม ทําลาย
และกําจัดเชื้อ ถารางกายไมสามารถกําจัดเช้ือนั้นไดจะทําใหเกิดความผิดปกติของรางกาย ซึ่งในระยะนี้ยังไมปรากฏ
อาการของโรคใหเห็น (กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข, 2554) สําหรับกรณีโรคติดตอจะเรียกวาระยะฟกตัว
(incubation period) สว นโรคไมตดิ ตอเรยี กวาระยะแฝง (latency period) (สุพรรณี ธรากลุ , 2562)
ระยะท่ี 3 ระยะแสดงอาการของโรค เม่อื รางกายไมสามารถทําลายหรือกาํ จัดเช้อื โรคได จะทําให
เกิดการเจ็บปวยขึ้น โดยอาการแสดงและความรุนแรงของโรคขึ้นอยูกับชนิดของเชื้อท่ีไดรับ ดังนั้นการตรวจสุขภาพ
เปนประจํา การคนหาและแยกผูปวยที่ติดเช้ือตั้งแตระยะตนๆ ของการเจ็บปวย จะเปนการตัดวงจรการแพรเช้ือโรค
สามารถใหการดูแลรักษาผูปวยไดอยางถูกตองและทันเวลา ทําใหสามารถลดความรุนแรง ภาวะแทรกซอนของโรค
ปองกันการเกดิ ความพิการและเสียชวี ติ ได (กรมควบคมุ โรค กระทรวงสาธารณสุข, 2554)
ระยะท่ี 4 ระยะฟนตวั ของโรค เปน ระยะหลังจากรา งกายเกดิ โรค โดยผูปวยอาจไดรบั การรักษา
หรือไมก็ตาม ซึ่งสวนใหญหายเปนปกติ แตบางรายอาจเกิดโรคแทรกซอน พิการ หรือรุนแรงถึงเสียชีวิต ดังน้ันการ
ตรวจพบสาเหตุการเกิดโรคและใหการรักษาผูปวยตั้งแตระยะแรก ๆ จึงเปนมาตรการที่สําคัญอยางย่ิงในการชวยลด
ความพิการและการเสยี ชวี ติ ได (กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข, 2554)
แผนภูมิท่ี 1 ธรรมชาตกิ ารเกิดโรค
ระยะแพรกระจายเชอ้ื ไปสคู นอืน่ ได อาการนอย
ปานกลาง
รนุ แรง
ระยะฟกตัว (ไดรับเชอ้ื จนถึงแสดงอาการ)
หมายเหตุ. จาก “แนวทางการปองกนั ควบคมุ โรคติดตอ ในศนู ยเ ดก็ เลก็ ” โดย กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข,
2554, แนวทางการปอ งกนั ควบคุมโรคติดตอ ในศูนยเ ดก็ เล็ก (สําหรบั ครูและผูด แู ลเดก็ ), หนา 10.
4
โรคติดตอ ระบบทางเดนิ หายใจในเด็กและวถิ ที างการแพรกระจายเชอ้ื
โรคหวัด (Common cold)
ลกั ษณะของโรค
โรคหวดั (common cold) เปนการติดเช้อื ทางเดนิ หายใจสวนบน บรเิ วณโพรงจมกู และอาจลาม
มาถึงชอ งปากท่ีมีอาการไมรนุ แรง โดยเฉลย่ี ในเด็กมโี อกาสเปน โรคหวัด 6-8 คร้ังตอ ป ผูปว ยบางรายอาจเปนหวัดได
มากกวา 12 คร้ังตอป เดก็ มีโอกาสเปน หวัดนอยลงเม่ือโตข้ึน
สาเหตุ
สาเหตุสว นใหญเ กิดจากเชื้อไวรัส เชอ้ื ที่พบบอยที่สุดในผูป ว ยทกุ อายคุ ือ rhinovirus ซงึ่ มมี ากกวา
100 ชนดิ รองลงมาไดแ ก coronavirus, parainfluenza virus เปนตน
ระยะฟกตัว
ระยะฟกตัวของ rhinovirus ประมาณ 1-4 วัน สวน coronavirus ใชเวลา ประมาณ 2-4 วนั
โดยทั่วไปมกั เกดิ อาการภายหลังการสัมผสั เชอื้ 1-3 วัน
ระยะตดิ ตอ
สามารถแพรเ ชอื้ ไวรสั ไขหวัดใหญตั้งแต 1 วัน กอ นมอี าการและจะแพรเ ชือ้ ตอไปอีก 5 -7 วนั หลงั มี
อาการ ในเดก็ เลก็ อาจแพรเ ชื้อไดนานกวา 7 วนั
วิธกี ารตดิ ตอ (วิถีทางการแพรก ระจายเชอ้ื )
ตดิ ตอทางระบบทางเดนิ หายใจ จากการไอจาม รับน้าํ มกู นาํ้ ลาย หรือสมั ผัสเช้ือโรคจากส่ิงตาง ๆ
อาการและอาการแสดง
• ขนึ้ กับอายแุ ละชนิดของเชอ้ื ไวรสั เดก็ เลก็ อาจมไี ขและนาํ้ มูกเปนอาการเดน เด็กโตมกั ไมม ีไขแ ตอาจ
เร่ิมดวยอาการเจ็บคอหรือระคายคอ ตอมามีนํ้ามูก คัดจมูก ไอ อาการไอพบไดประมาณสองในสาม
ของผปู วยเด็ก
• โรคหวัดอาจเปนอาการเริม่ ตนของโรคติดเชื้อทางเดินหายใจท้ังหมดท่ีเกดิ จากเช้ือไวรัส หากเปนการ
ติดเชือ้ ไวรสั บางชนิด เชน influenza virus, respiratory syncytial virus จะมีอาการอื่นมากกวา
เชอ้ื rhinovirus หรอื coronavirus เชน มอี าการปวดหวั เสียงแหบ ปวดเม่ือยตัว อาเจยี น ทอ งเสีย
• หากเปนโรคหวัดธรรมดา เด็กจะมีนํ้ามูกใสในวันแรกตอมาอาจเปลย่ี นเปนสีเขียว การมีนํา้ มูกสีเขียว
หรือเหลืองจึงไมจําเปนตองมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซอนเสมอไป อาการแสดง ไดแกเย่ือบุจมูก
บวมแดง อาจพบเยือ่ บตุ าแดง ตอมาน้ําเหลอื งทีค่ อโตได
• โดยทวั่ ไปอาการของโรคหวัดมกั ไมนานเกิน 7-14 วัน ถา มอี าการนาน เกิน 2 สปั ดาห ใหสงสัยวา อาจ
มภี าวะไซนสั อกั เสบ หรือมีการติดเชื้อแบคทเี รยี รว มดวย หรือเปน โรคจมกู อกั เสบจากภูมแิ พ
5
การปอ งกัน
• หลกี เล่ียงการสัมผัสและลดการแพรก ระจายเชื้อโรค โดย
- หมัน่ ลา งมอื บอย ๆ ดว ยนํา้ และสบู หรือเจลลา งมือ
- ไมใชของสวนตัวรว มกบั ผูอ่ืน เชน ผา เชด็ หนา ผาเชด็ ตัว แกว นา้ํ
- ไมพาเด็กเลก็ ไปสถานท่ีแออัด เชน หา งสรรพสนิ คา โรงภาพยนตร
- เดก็ กอนวยั เรียนเม่ือเปนโรคหวดั ควรพกั ทีบ่ านอยา งนอย 2-3 วัน
หรือจนกวาจะหาย
- เวลาไอ หรอื จาม ควรปดปาก ปดจมกู ดวยผา หรอื กระดาษทชิ ชู ทุกคร้ัง หรือ สวม
- หนากากอนามัยเมื่อเปน โรคหวัด เพอื่ ปองกนั การแพรกระจายเชื้อใหกับผูอ่นื
• หลกี เล่ยี งการสมั ผัสสิง่ แวดลอมที่เสีย่ งตอการเกิดโรค
- มลพิษ เชน ควันบหุ รี่ ควนั ไฟในบาน ควันทอ ไอเสยี รถ
- รักษารางกายใหอบอนุ และไมอ ับชืน้ โดยเฉพาะฤดฝู น ฤดหู นาว หรือชวงท่มี ีอากาศ
เปลยี่ นแปลงอยา งรวดเรว็
ไขห วัดใหญ (Influenza)
ลักษณะโรค
เปนการติดเช้อื ไวรสั ท่ีระบบทางเดนิ หายใจแบบเฉยี บพลนั โดยมลี กั ษณะทางคลินิกทส่ี ําคัญคือ มไี ข
สงู แบบทันทีทันใด ปวดศีรษะ ปวดเม่ือยกลามเนอื้ ออนเพลีย ไขหวัดใหญเปนโรคที่สําคัญท่ีสุดโรคหน่ึงในกลุมโรคติด
เช้ืออุบัติใหมและโรคติดเช้ืออุบัติซ้ํา เนื่องจากเกิดการระบาดใหญทั่วโลก (pandemic) มาแลวหลายคร้ัง แตละครั้ง
เกดิ ขึน้ อยา งกวา งขวางเกอื บทุกทวปี ทาํ ใหมีผปู วยและเสยี ชีวิตนับลา นคน
สาเหตุ
เกดิ จากเช้อื ไวรัสไขหวดั ใหญซง่ึ มี 3 ชนดิ (type) คอื A, B และ C ไวรัสชนดิ A เปน ชนดิ ทที่ ําให
เกิดการระบาดอยางกวางขวางท่ัวโลก ไวรัสชนิด B ทําใหเกิดการระบาดในพื้นท่ีระดับภูมิภาค สวนชนิด C มักเปน
เนื่องจากการเปล่ียนแปลงของแอนตเิ จนทีเ่ กิดไดบอยทาํ ใหมีเชือ้ ไวรสั ไขห วัดใหญส ายพนั ธใุ หม ๆ
ระยะฟก ตัว
ประมาณ 1-3 วัน
ระยะตดิ ตอ
ผปู ว ยสามารถแพรเ ชื้อไวรัสไขห วัดใหญตัง้ แต 1 วันกอนมีอาการและจะแพรเ ช้อื ตอไปอกี 3-5 วนั
หลังมีอาการในผูใหญ สวนในเด็กอาจแพรเชื้อไดนานกวา 7 วัน ผูที่ไดรับเช้ือไวรัสไขหวดั ใหญแตไมมีอาการก็สามารถ
แพรเ ช้อื ในชว งเวลานั้นไดเ ชนกนั
วธิ กี ารตดิ ตอ (วิถีทางการแพรกระจายเชื้อ)
เช้ือไวรสั ไขหวัดใหญตดิ ตอ ทางการหายใจ โดยจะไดร ับเชอื้ ท่ีออกมาปนเปอ นอยูใ นอากาศเมื่อผูป วย
6
ไอจาม หรือพูด ในพื้นที่ที่มีคนอยูรวมกันหนาแนน เชน โรงเรียน โรงงาน การแพรเช้ือจะเกิดไดมาก นอกจากนี้การ
แพรเช้ืออาจเกิดโดยการสัมผสั ฝอยละอองนํา้ มูก น้ําลายของผปู วย (droplet transmission) จากมือที่สัมผัสกับพื้นผิว
ที่มีเชอื้ ไวรัสไขห วดั ใหญ แลวใชม อื สมั ผัสทีจ่ มูกและปาก
อาการและอาการแสดง
อาการจะเร่ิมหลังไดรับเช้ือ 1-4 วัน ผูปวยจะมีไขแบบทันทีทันใด ปวดศีรษะ หนาวสั่น ปวดเมื่อย
กลามเนื้อ ออนเพลียมาก และอาจพบอาการคัดจมูก เจ็บคอ ถาปวยเปนระยะเวลานานอาจจะมีอาการไอจาก
หลอดลมอกั เสบ อาการจะรุนแรงและปวยนานกวาไขห วัดธรรมดา (common cold) ผปู วยสวนใหญจะหายเปนปกติ
ภายใน 1-2 สัปดาห แตมีบางรายท่ีมีอาการรุนแรง เนื่องจากมีภาวะแทรกซอนที่สําคัญคือ ปอดบวมซึ่งอาจทําให
เสยี ชวี ิตได ผูทเี่ ส่ยี งสูงตอ การเกดิ ภาวะแทรกซอนหรอื เสียชีวติ
การปองกัน
1. ไมค วรคลุกคลใี กลช ิดกับผูปว ยท่ีมีอาการไขห วดั หรอื ถา จําเปนควรปดปาก จมกู ดว ยหนากากอนามยั
2. ควรหลกี เลี่ยงการอยใู นสถานท่ที ี่มีผูค นแออัด และอากาศถายเทไมด เี ปนเวลานานโดยไมจ ําเปน
3. หมน่ั ลางมือบอยๆ ดว ยนาํ้ และสบู หรอื ใชแอลกอฮอลเ จลทาํ ความสะอาดมอื
4. ไมใชสิ่งของรว มกับผอู น่ื เชน แกวนํ้า หลอดดดู นํา้ ชอนอาหาร ผาเช็ดมือ ผาเชด็ หนา ผาเชด็ ตวั
5. ฉดี วคั ซนี ปอ งกนั ไขหวดั ใหญปล ะครง้ั
ปอดอักเสบ (Pneumonia)
ลกั ษณะโรค
• ปอดอกั เสบ เปนโรคทพี่ บไดประมาณรอยละ 8-10 ของผปู ว ยทม่ี ีการติดเชื้อเฉยี บพลันระบบหายใจ
นับเปนสาเหตุการตายอันดับหน่ึงของโรคติดเช้ือในเด็กอายุตํ่ากวา 5 ป เกิดจากสาเหตุหลัก 2 กลมุ คือ ปอดอักเสบท่ี
เกิดจากการติดเชื้อและปอดอักเสบท่ีไมไดเกิดจากการติดเช้ือ โดยทั่วไปพบปอดอักเสบท่ีเกิดจากการติดเช้ือมากกวา
ชนิดของปอดอักเสบจาํ แนกไดห ลายแบบ ปจจบุ นั นยิ มจําแนกตามสภาพแวดลอมที่เกิดปอดอกั เสบเปน ปอดอกั เสบใน
ชุมชน (community- acquired pneumonia - CAP) และปอดอักเสบในโรงพยาบาล (nosocomial pneumonia
หรอื hospital-acquired pneumonia -HAP) เพื่อประโยชนใ นการวินจิ ฉยั และดูแลรักษาตง้ั แตแ รก
• ปอดอกั เสบในชมุ ชน หมายถึงปอดอักเสบที่เกิดจากการตดิ เชอื้ ท่ีเกิดนอกโรงพยาบาลโดยไมรวม
ปอดอกั เสบท่เี กดิ ข้นึ หลังจาํ หนา ยผูปวยออกจากโรงพยาบาลภายในเวลาไมเกิน 2 สปั ดาห
สาเหตุ
• โรคปอดอักเสบอาจเกดิ ไดทงั้ จากไวรัส แบคทเี รยี และเชื้อรา ซ่ึงแตกตางกนั ในแตละกลุมอายุและ
สภาพแวดลอ มท่ีเกิดปอดอกั เสบ
• ในประเทศไทยมกี ารศึกษาในผูปวยเดก็ อายตุ ่าํ กวา 5 ปท เี่ ปน ปอดบวมพบวาสวนใหญเกดิ จากไวรัส
7
รอยละ 42 ที่พบบอยท่ีสุดไดแก respiratory syncytial virus (สมาคมโรคระบบหายใจและเวชบําบัดวิกฤตในเด็ก
และ ราชวิทยาลัยกมุ ารแพทยแ หงประเทศไทย, 2562)
ระยะฟกตวั
ไมแ นช ดั ข้นึ กับชนดิ ของเชื้อ อาจส้นั เพียง 1 - 3 วัน หรือนาน 1 - 4 สัปดาห
ระยะตดิ ตอ
สามารถแพรเ ช้อื ไดจนกวา เสมหะจากปากและจมูกจะมเี ชือ้ ไมรุนแรงและปรมิ าณไมม ากพอ เดก็ ที่
เปนพาหะของเชอ้ื โดยไมม ีอาการซ่ึงพบไดใ นสถานเล้ยี งเด็กกอ นวยั เรียนกส็ ามารถแพรเ ชือ้ ได
วิธีการติดตอ (วถิ ที างการแพรกระจายเช้อื )
การหายใจนําเช้ือเขา สปู อดโดยตรง การสดู หายใจเอาเช้ือทีอ่ ยูใ นอากาศในรปู ละอองฝอยขนาดเล็ก
เปนวิธีสําคญั ท่ีทําใหเกิดปอดอักเสบจากเชื้อกลุม atypical organisms เช้ือไวรัส เช้ือวัณโรค และเชื้อรา จงึ ทําใหเกิด
การแพรระบาดของเช้ือเหลานี้ไดงา ยในกลุมคนที่อยรู วมกนั โดยเฉพาะครอบครัว ชั้นเรียน หองทํางาน สถานรับเล้ียง
เด็กกอนวยั เรยี น โรงแรม หอพกั หรือในบรเิ วณท่ีมคี นอยแู ออัด
อาการและอาการแสดง
• ไข ไอ หายใจเร็วอาจมอี าการหอบ หายใจลาํ บาก
หายใจเร็วกวา ปกติตามเกณฑอ ายขุ ององคการอนามัยโลก ใชเกณฑดงั น้ี
- อายุ < 2 เดือน หายใจเรว็ ≥ 60 ครง้ั /นาที
- อายุ 2 เดือน-1 ป หายใจเรว็ ≥ 50 คร้ัง/นาที
- อายุ 1-5 ป หายใจเร็ว ≥ 40 ครัง้ /นาที
- อายุ > 5 ป หายใจเรว็ ≥ 30 คร้ัง/นาที
การปองกนั
• หลีกเลี่ยงการอยูในท่ีที่มีผูคนหนาแนน เชน ศูนยการคา โรงภาพยนตร โดยเฉพาะไมควรพาเด็ก
เลก็ ๆ ไปในสถานทีด่ ังกลา ว
• หลีกเล่ียงปจจัยเสี่ยง ภาวะทุพโภชนา ควันบุหร่ี ควันไฟ ควันจากทอไอเสียรถยนต หรืออากาศท่ี
หนาวเย็น
• ไมค วรใหเ ด็กเล็กโดยเฉพาะเดก็ ทอ่ี ายุตาํ่ กวา 1 ป และผทู ี่สขุ ภาพไมแข็งแรงคลุกคลกี บั ผูป วย
คอตบี (Diphtheria)
ลกั ษณะโรค
คอตีบเปนโรคติดเชอ้ื เฉียบพลนั ของระบบทางเดินหายใจ ซง่ึ ทาํ ใหเกดิ การอกั เสบมแี ผน เยอ่ื เกดิ ข้ึนใน
ลาํ คอ ในรายที่รุนแรงจะมีการตบี ตันของทางเดินหายใจ จึงไดชื่อวาโรคคอตีบ ซ่ึงอาจทําใหถึงตายไดและจาก
พิษ (exotoxin) ของเช้อื จะทําใหมีอนั ตรายตอกลามเนื้อหวั ใจและเสนประสาทสว นปลาย
8
สาเหตุ
โรคคอตีบเกิดจากเช้ือแบคทีเรีย Corynebacterium diphtheriae มีสายพนั ธุท่ีทาํ ใหเกิดพิษและไม
ทําใหเกิดพษิ พิษท่ีถูกขับออกมาจะชอบไปท่ีกลามเนื้อหวั ใจและปลายประสาท ทําใหเกิดการอักเสบ ซึ่งถาเปนรนุ แรง
จะทําใหถงึ ตาย
ระยะฟก ตัว
ตั้งแตไดรับเช้ือจนแสดงอาการจะใชเวลาประมาณ 1-7 วัน (โดยเฉลี่ย 3 วัน) แตอาจนานไดถึง 10
วัน และผูปวยมกั มอี าการอยูนาน 4-6 สัปดาห หรอื อาจนานกวานี้ ทง้ั นี้ขึ้นอยูกับความรุนแรงของโรค ในบางกรณีผตู ิด
เช้ืออาจจะไมแสดงอาการใด ๆ เลยก็ได ซึ่งกลุมผูติดเชื้อที่ไมแสดงอาการเหลาน้ี (Carrier) มักจะเปนแหลงแพรเช้ือท่ี
สําคัญในชมุ ชน
ระยะตดิ ตอ
ผูท่ีมีอาการของโรคคอตีบจะมีเช้ืออยูในจมูกและลําคอไดนาน 2-3 สัปดาห แตบางครั้งอาจนานถึง
หลายเดอื น สว นผูปวยทไ่ี ดร ับการรักษาอยางเต็มทีแ่ ลวเชอ้ื จะหมดไปภายใน 1 สปั ดาห
วิธีการตดิ ตอ (วิถที างการแพรกระจายเช้ือ)
• เชื้อจะพบอยูในคนเทานั้นโดยจะพบอยูในจมูกหรือลําคอของผูปวยหรือผูติดเชื้อ โดยไมมีอาการ
ติดตอกนั ไดงายโดยการไดร บั เช้ือโดยตรงจากการไอ จามรดกัน หรือพดู คยุ กันในระยะใกลช ิด
• เช้ือจะเขาสูผูสัมผัสทางปากหรือทางการหายใจ บางครั้งอาจติดตอกันไดโดยการใชภาชนะ
รวมกัน เชน แกวนํ้า ชอน หรือ การดูดอมของเลนรวมกันในเด็กเล็ก ผูติดเช้ือท่ีไมมีอาการเปน
แหลง แพรเ ชอื้ ที่สําคัญในชมุ ชน
อาการและอาการแสดง
• หลังระยะฟกตัวจะเร่ิมมีอาการไขตํา่ ๆ มีอาการคลา ยหวัดในระยะแรก มอี าการไอเสียงกอ งเจ็บ
คอ เบื่ออาหาร ในเด็กโตอาจจะบนเจ็บคอคลายกับคออักเสบ บางรายอาจจะพบตอมน้ําเหลือง
ทค่ี อโตดวย เม่ือตรวจดูในคอพบแผนเยื่อสีขาวปนเทาติดแนนอยูบริเวณทอนซิล และบริเวณลิ้น
ไก แผนเยือ่ น้เี กิดจากพิษท่อี อกมาทาํ ใหม ีการทาํ ลายเนอื้ เยอ่ื และทาํ ใหมีการตายของเน้ือเยื่อทับ
ซอนกันเกิดเปนแผนเยอื่ (membrane) ติดแนน กับเยอ่ื บุในลําคอ
• ตําแหนง ท่ีจะพบมกี ารอักเสบและมีแผน เย่ือได คือ
- ในจมูก ทาํ ใหมนี า้ํ มูกปนเลือดเรื้อรัง มกี ลน่ิ เหม็น
- ในลาํ คอและทท่ี อนซลิ ซ่งึ แผนเยอ่ื อาจจะเลยลงไปในหลอดคอ จะทาํ ใหทางเดินหายใจตบี
ตันหายใจลาํ บาก ถงึ ตายได
- ตาํ แหนงอน่ื ๆ ไดแก ที่ผิวหนัง เยอื่ บุตา ในชองหู
การปองกัน
• ในเด็กท่ัวไป การปองกันนับวาเปนวิธีที่ดีท่ีสุด โดยการใหวคั ซีนปองกนั คอตีบ 5 ครง้ั เมื่ออายุ 2,
4, 6 และ 18 เดือน และกระตุน อีกคร้ังหน่งึ เม่ืออายุ 4 ป
9
• แยกผูปวยอยางนอย 3 สัปดาห เพราะจะมีเช้ืออยูในจมูกและลําคอเปนระยะ 2-3 สัปดาหหลัง
เรม่ิ มีอาการ
คางทมู (Mumps)
ลกั ษณะโรค
เปนโรคติดตอ ทางระบบทางเดนิ หายใจ ท่ีตดิ เชื้อไวรัสจากคนสูค น โดยสัมผัสละอองนาํ้ ลายของผทู ่ี
ตดิ เชอื้ ไดจากการไอหรือจาม ไวรัสจะเคลอ่ื นจากระบบทางเดนิ หายใจไปยังตอ มนํ้าลายบริเวณขา งหู เม่ือตอมนี้เกดิ การ
อักเสบจะทําใหเกิดอาการเจ็บปวดและบวมแดง นอกจากนี้ ถา ไวรัสแพรกระจายเขา สูน้ําหลอเล้ียงสมองและไขสันหลัง
แลว ก็อาจจะแพรไปท่อี น่ื ในรา งกายสง ผลใหเกดิ ภาวะแทรกซอนได เชน ภาวะแทรกซอ นในระบบสืบพนั ธุ
สาเหตุ
เกิดจากเช้อื ไวรัสคางทูม (Mumps virus) อยูในกลุม Paramyxovirus โดยเชื้อจะอยูในน้ําลายและ
เสมหะของผูปวย เช้ือจะเขาสูทางรางกายทางจมูกและปาก แลวแบงตัวในเซลลเยื่อบุของทางเดินหายใจสวนตน
หลังจากนนั้ เช้ือจะเขาสูกระแสเลือดและแพรกระจายไปยังอวยั วะตา ง ๆ โดยเฉพาะทีต่ อมนาํ้ ลายขา งหู
วธิ ีการตดิ ตอ (วิถที างการแพรก ระจายเช้อื )
สามารถติดตอไดจ ากการหายใจสดู เอาฝอยละอองเสมหะที่ผปู ว ยไอหรือจามรด การสมั ผัสน้ําลาย
ของผปู วย หรอื โดยการสมั ผสั ถกู มือ ส่ิงของเครื่องใช เชน ผา เช็ดหนา ผา เช็ดตัว แกวนา้ํ จาน ชาม เปนตน
ระยะฟกตัว
นบั ตัง้ แตติดเชอ้ื จนมอี าการแสดงออกมา คือ ประมาณ 2-3 สัปดาห โดยเฉลย่ี อยูทีป่ ระมาณ 14-18
วัน แตอาจเรว็ สดุ 7 วัน หรอื นานไดถึง 25 วัน
ระยะตดิ ตอ
ในชว งตง้ั แต 4 วนั กอ นมอี าการจนกระทง่ั 9 วนั หลงั มอี าการคางทมู
อาการของโรคคางทูม
โรคคางทมู จะมีอาการผดิ ปกติทส่ี ังเกตไดคือ ตอมนํา้ ลายบรเิ วณขางหเู จ็บและบวมอยางเห็นไดช ดั
และปรากฏอาการเบ้ืองตนของโรคดังตอ ไปน้ี
• มีไขสูง (38 องศาเซลเซียส หรอื อาจสูงกวา )
• ปากแหง
• เบื่ออาหาร
• ปวดศรี ษะ
• ปวดตามขอ
• ปวดเมื่อยกลามเนอ้ื
• เหน่อื ยลา ออนเพลยี
10
การปอ งกันโรคคางทูม
การปองกันโรคคางทูมสามารถทาํ ไดโ ดยการฉีดวคั ซีน MMR (Measles-Mumps-Rubella Vaccine
) ซึง่ จะสามารถปองกันไดถ งึ 95% การรับวัคซนี จะเกดิ ขน้ึ ทง้ั หมด 2 คร้งั คอื
• ครั้งแรกในเด็กอายุ 9-12 เดอื น
• คร้งั ที่ 2 ในเดก็ อายุ 2 ½ ป หรอื 4-6 ป
ในป พ.ศ. 2556 กระทรวงสาธารณะสุข ประเทศไทย มีการแนะนําใหเปล่ยี นการฉดี วคั ซีน MMR
คร้งั ที่ 2 จากเดก็ อายุ 4-6 ป เล่ือนเขามาเปนอายุ 2 ½ ป เพ่ือเรง การสรา งภูมิคุมกันในเด็กท่ไี ดรบั วัคซนี ครั้งแรกใน
อายุ 9 เดือนแลวไมไดผ ล สวนในภาคเอกชน สําหรบั เด็กท่ีรับวคั ซีน MMR ครั้งแรกท่ีอายุ 12 เดือน อาจรับวัคซีนครั้ง
ท่ี 2 ที่อายุ 2 ½ ป หรอื 4-6 ปต ามปกติก็ได ทกุ คนสามารถชวยกนั ลดการแพรกระจายของโรคคางทูมได ดวยวิธกี าร
ดังตอ ไปนี้
• ลา งมอื ใหสะอาดดว ยการฟอกสบู
• ใชทิชชปู ดปากเวลาไอหรือจามและทิ้งลงในถังขยะใหเรยี บรอย
• เมอื่ เริ่มสงั เกตไดวา มีอาการของโรคคางทูม ควรหยดุ พักอยูทบ่ี านอยา งนอย 5 วนั และ
หลีกเล่ยี งการไปโรงเรยี น ท่ีทํางานหรอื สถานท่สี าธารณะ
หดั (Measles)
ลกั ษณะของโรค
คือโรคตดิ เช้ือระบบทางเดนิ หายใจ ผปู ว ยจะเกิดผืน่ ขน้ึ ตามผิวหนงั พรอ มเปนไขร วมดวย โดยโรคหดั
เกิดจากไวรสั กลมุ พารามิคโซไวรัส (Paramyxovirus) สามารถแพรเ ชื้อและติดตอกนั ไดผา นทางอากาศหรือ
การสัมผสั น้าํ มูกและนา้ํ ลายของผูป วยโดยตรง เช้ือไวรัสจะเขา มาทางระบบทางเดินหายใจกอนแพรก ระจาย
ไปทวั่ รา งกาย โรคหัดถอื เปนโรคติดตอจากคนสูคน โดยไมพบการแพรเ ชื้อดังกลาวในสัตว สวนใหญม ักเกิดใน
เดก็ เล็ก รวมทง้ั เปน หนึ่งในสาเหตกุ ารเสียชวี ิตของเด็กแมจะมีวัคซีนฉีดปองกันโรคแลวกต็ าม
สาเหตุ
เกดิ จากไวรสั กลุมพารามิคโซไวรสั (Paramyxovirus)
ระยะฟก ตัว
ระยะกอ นออกผน่ื 8-12 วัน เฉลีย่ จากวนั ท่สี มั ผสั จนถึงมผี ่ืนเกิดขน้ึ ประมาณ 2 สัปดาห
ระยะตดิ ตอ
ชว ง 4 วนั ท้ังกอนและหลังเกิดผื่นน้ันถือเปน ระยะเวลาของการแพรเช้อื โดยรอ ยละ 90 ของผูท ไ่ี มไ ด
รบั วัคซีนปองกันโรคหดั มโี อกาสปว ยเปน โรคหดั หากอยใู กลผปู วยท่เี ปนโรค
วธิ ีการติดตอ (วิถีทางการแพรกระจายเช้ือ)
โรคหดั จดั เปน โรคติดตอท่ีมโี อกาสติดเชือ้ ไดส งู การติดโรคน้ันเกิดจากการรบั เชอ้ื ไวรัสผา นทางอากาศ
จากการสมั ผสั ละอองน้ําลาย น้ําลาย และนํ้ามูกของผูปวย
11
อาการและอาการแสดง
โดยทวั่ ไปแลว จะเกิดอาการของโรคภายใน 14 วันหลังจากไดร บั เชื้อไวรัส ดงั นี้
• อาการเปน ไขต ัวรอน ผูท ปี่ วยเปนโรคหดั ในระยะเรม่ิ แรกจะมีอาการคลา ยเปน ไขหวัด มกั ตวั รอ นและ
อาจมีไขข ึน้ สูงถงึ 40 องศาเซลเซียส ซึ่งจะเริ่มเปน ไขประมาณ 10 -12 วนั หลงั ไดร บั เช้อื นอกจากน้ี
ผูปวยยังมอี าการน้ํามูกไหล ไอบอย เจบ็ คอ ตาเย้ิมแดง และมีตุม คอพลคิ (Koplik’s spots) หรอื ตมุ
แดงท่มี ีสีขาวเลก็ ๆ ตรงกลางขน้ึ ในกระพงุ แกม
• อาการผ่นื ข้ึนตามรางกาย เมื่อผปู ว ยออกอาการได 3-5 วัน จะเกดิ ผน่ื ขน้ึ ตามรางกาย ซ่งึ คลายผน่ื คัน
ตามผวิ หนงั โดยเกิดผื่นแดงหรือสแี ดงออกน้ําตาลขน้ึ เปน จุดบนหนา ผากกอน แลวคอยแพรก ระจาย
มาท่ใี บหนาและลาํ คอ ภายใน 3 วันจะเกดิ ผืน่ กระจายมาถึงมือและเทา อาการผน่ื คนั นี้จะปรากฏอยู
3-5 วนั และหายไปเอง
การปองกนั
• โรคหดั ปองกันไดห ากเดก็ ไดร ับวคั ซนี ปองกันโรคหัด (Measles Vaccine) ครบตามกําหนด โดย
วัคซีนท่ใี ชฉ ดี เพอื่ ปองกันคือวคั ซนี Measles-Mumps-Rubella Vaccine (MMR) ซึง่ เปนวัคซีนที่
ปองกนั ไดท ้ังโรคหัด (Measles) คางทูม (Mumps) และหดั เยอรมนั (Rubella) โดยทารกสามารถรับ
วัคซีนไดค ร้ังแรกเม่ืออายุครบ 9-12 เดอื น และรับวคั ซีนครั้งตอไปเม่ืออายุ 4-6 ป
• ท้ังนี้ยังมีวคั ซีน Measles-Mumps-Rubella-Varicella Vaccine (MMRV) ซงึ่ นอกจากจะปอ งกนั
โรคทงั้ 3 โรคเชนเดียวกับวคั ซีน MMR แลว ยังปอ งกันโรคอีสุกอีใสดว ย โดยเดก็ อายตุ งั้ แต 12 เดือน
ถึง 12 ป สามารถรับวัคซีนตวั นี้ได
• การรับวคั ซีนนกี้ ็มีขอจํากัดสาํ หรับบคุ คลบางกลุม โดยกลุมเสย่ี งท่ีไมควรรบั วัคซนี ปองกันโรคหดั
ไดแ ก สตรมี ีครรภ เด็กท่ปี ว ยเปนวัณโรคลูคีเมยี และมะเร็งชนดิ อ่ืน ๆ แลวยงั ไมไดรับการรักษา ผทู ่ีมี
ระบบภมู ิคมุ กนั รางกายออนแอ และเด็กทมี่ ปี ระวัตแิ พเจลาตินหรือกลุมยาปฏิชีวนะนีโอมัยซินซิ
(Neomycin) อยางรนุ แรง หากกลมุ เส่ียงดังกลาวไดรบั เช้ือไวรัสโรคหดั เขา ไปก็สามารถฉีดแอนตบิ อดี้
หรอื สารโปรตนี ทีม่ ชี ่ือวา อิมมูนโกลบลู ิน (Immunoglobulin) เพือ่ ปองกนั การปวยได ซ่งึ ตองฉดี สาร
ดังกลาวภายใน 6 วนั หลังจากท่รี บั เชือ้
หดั เยอรมนั (Rubella)
ลกั ษณะของโรค
หัดเยอรมันเปน โรคไขอ อกผื่นทีเ่ กิดจากการตดิ เช้ือไวรสั หัดเยอรมัน ผปู วยจะมีอาการไขแ ละออก
ผ่นื คลายโรคหัด แตจ ะมีความรุนแรงและโรคแทรกซอนนอ ยกวา หดั ถา เปนกบั เดก็ หรือผใู หญท ว่ั ไป มักจะ
หายไดเองโดยไมมีโรคแทรกซอนท่รี ุนแรง
12
สาเหตุ
เกดิ จากเชื้อไวรัส Rubella
ระยะฟกตัว
ประมาณ 14-21 วนั เฉลี่ย 16-18 วัน
ระยะติดตอ
ประมาณรอยละ 20-50 ของผูตดิ เชอ้ื จะไมม ีอาการระยะติดตอกันไดม ากคือ 2-3 วัน กอ นมผี ื่นข้ึนไป
จนถึง 7 วนั หลังผน่ื ข้ึน
วธิ ีการตดิ ตอ (วถิ ที างการแพรก ระจายเชอ้ื )
โรคหัดเยอรมันติดตอกันไดโดยการสัมผัสโดยตรง เช้ือที่อยูในลําคอของผูปวยผานออกมาทางการไอ
จาม เขาสูทางระบบการหายใจ ประมาณรอยละ 20-50 ของผูติดเชื้อจะไมมีอาการระยะติดตอกันไดมากคือ
2-3 วนั กอ นมผี ่นื ข้ึนไปจนถึง 7 วนั หลังผน่ื ขึน้
อาการและอาการแสดง
ในเด็กโต จะเริ่มดวยตอมนํ้าเหลืองท่ีหลังหู ทายทอย และดานหลังของลําคอโต และเจ็บเล็กนอย
เด็กโตจะรสู กึ ไมสบาย ปวดหัว ไขตา่ํ ๆ มีอาการคลา ยเปน หวดั มีเจ็บคอรวมดว ย 1-5 วัน ประมาณวันที่ 3 ผน่ื
จะขึน้ เปนสีชมพูจางๆ กระจายอยูหา งๆ เปน แบบ Macular rash เร่ิมขึน้ ท่หี นาแลวลามไปท่วั ตวั อยางรวดเร็ว
ภายใน 24 ช่ัวโมง ผื่นเห็นชัดเจนบรเิ วณแขนขา และจะหายไปในเวลา 1-2 วัน และสีผวิ หนังจะกลบั เปนปกติ
ถา เปน ในผใู หญจ ะมไี ขสงู กวา ในเดก็ บางรายอาจมอี าการปวดขอหรือขอ อกั เสบรวมดว ย โดยเฉพาะในผหู ญิง
การปองกนั
• การฉีดวคั ซนี วคั ซนี ทใ่ี ชเ ปนชนดิ ไวรัสเชอื้ เปน ฉดี ไดตง้ั แตอายุ 1 ปข้นึ ไป และฉีดเข็มทสี่ อง
เมอื่ อายุ 4-6 ป โดยนิยมใหใ นรปู ของวัคซีนรวมหัด-คางทูม-หัดเยอรมนั (MMR) นอกจาก
การใหวคั ซนี ปองกันในเด็กแลว สามารถใหว คั ซีนในเด็กโตหรือผใู หญท่ีไมมภี มู ิคมุ กันตอไวรัส
หัดเยอรมนั ท้ังหญงิ และชาย
• หลีกเลย่ี งการสมั ผัสกับผปู วย ถา มอี าการไอใหใชห นา กากอนามัย หรือใชมือปด ปากและ
จมูกพรอมกบั ลางมือบอย ๆ
ไอกรน (Percussive)
ลกั ษณะของโรค
โรค ไอกรนเปนโรคติดเช้อื ของระบบทางเดนิ หายใจ ทาํ ใหมีการอักเสบของเย่ือบทุ างเดนิ หายใจ และ
เกิดอาการไอ ท่ีมีลักษณะพิเศษคอื ไอซอนๆ ตดิ ๆ กนั 5-10 คร้ัง หรอื มากกวานน้ั จนเด็กหายใจไมทัน จึงหยุด
ไอ และมีอาการหายใจเขาลกึ ๆ เปนเสยี งวูป (Whooping cough) สลับกันไปกับการไอเปนชดุ ๆ บางคร้งั
อาการอาจจะเร้อื รงั นานเปนเวลา 2-3 เดือน
13
สาเหตุ
เกิดจากเชื้อแบคทีเรยี Bordetella pertussis จะพบเชือ้ ไดในลาํ คอ ในสว น nasopharynx ของ
ผปู วยในระยะ 1-2 อาทติ ยแรก กอนมอี าการ ไอเปน แบบ paroxysmal
ระยะฟก ตัว
ระยะฟกตวั ของโรคประมาณ 6-20 วนั ทพ่ี บบอย 7-10 วัน ถาสมั ผัสโรคมาเกิน 3 สัปดาหแลวไมมี
อาการ แสดงวาไมต ิดโรค
ระยะติดตอ
ตง้ั แตเริ่มมีอาการ (ระยะเปน หวดั ) จนถงึ 3 สปั ดาหหลังจากเรม่ิ มีการไอรุนแรง (Paroxysmal
phase)
วิธกี ารติดตอ (วถิ ที างการแพรกระจายเช้อื )
ตดิ ตอเขาทางเดินหายใจโดยการหายใจสดู เอาฝอยละอองของนํ้าลายหรือเสมหะที่ผปู วยไอหรอื จาม
รด หรือออกมาแขวนลอยอยใู นอากาศ หรือโดยผานมือทส่ี ัมผสั ถกู ส่ิงทีป่ นเปอนนาํ้ มูก นํ้าลาย หรอื เสมหะ
ของผูปวย
อาการและอาการแสดง
อาการของโรคแบงไดเ ปน 3 ระยะ ดังนี้
1) ระยะแรก เด็กจะเรมิ่ มีอาการ มีนาํ้ มูก และไอ เหมือนอาการเริ่มแรกของโรคหวดั ธรรมดา อาจ
มีไขต ่ํา ๆ ตาแดง นาํ้ ตาไหล ระยะน้ีเรยี กวา Catarrhal stage จะเปนอยปู ระมาณ 1-2 สัปดาห
ระยะนี้สว นใหญยงั วนิ จิ ฉัยโรคไอกรนไมได แตมขี อสังเกตวา ไอนานเกนิ 10 วัน เปนแบบไอแหง ๆ
2) Paroxysmal stage ระยะนี้มีอาการไอเปนชุด ๆ เมอ่ื เขา สูสปั ดาหท ่ี 3 ไมมเี สมหะ จะเรม่ิ มี
ลักษณะของไอกรน คือ มี อาการไอถี่ ๆ ติดกนั เปนชดุ 5-10 ครัง้ ตามดวยการหายใจเขาอยาง
แรงจนเกิดเสียงวปู (whoop) ซึง่ เปนเสียงการดูดลมเขา อยางแรง ในชวงที่ไอผปู วยจะมีหนา ตา
แดง น้าํ มกู น้าํ ตาไหล ตาถลน ลิ้นจุกปาก เสน เลือดทคี่ อโปง พอง การไอเปนกลไกทจ่ี ะขบั เสมหะ
ทเ่ี หนยี วขนในทางเดนิ หายใจออกมา ผูป ว ยจึงจะไอตดิ ตอ กนั ไปเรอ่ื ย ๆ จนกวาจะสามารถขับ
เสมหะทีเ่ หนยี วออกมาได บางครัง้ เด็กอาจจะมีหนา เขียว เพราะหายใจไมทันโดยเฉพาะเด็กเล็ก ๆ
อายนุ อ ยกวา 6 เดือน จะพบอาการหนา เขียวไดบอย และบางครง้ั มีการหยดุ หายใจรวมดว ย
อาการหนาเขียวอาจจะเกิดจากเสมหะอุดทางเดินหายใจได สว นใหญเ ด็กเลก็ มักจะมีอาการ
อาเจียนตามหลังการไอเปนชดุ ๆ ระยะไอเปนชุด ๆ นจ้ี ะเปน อยูน าน 2-4 สัปดาห หรอื อาจนาน
กวานีไ้ ด
3) ระยะฟนตัว (Convalescent stage) กินเวลา 2-3 สปั ดาห อาการไอเปนชดุ ๆ จะคอย ๆ
ลดลงทงั้ ความรนุ แรงของการไอและจาํ นวนครั้ง แตจ ะยังมีอาการไอหลายสปั ดาห ระยะของโรค
ทงั้ หมดถา ไมม ีโรคแทรกซอนจะใชเวลาประมาณ 6-10 สปั ดาห
14
การปองกัน
ในเด็กอายุนอยกวา 6 ป การไดรับวัคซีนปองกันไอกรน 4-5 ครั้ง นับเปนมาตรการสําคัญในการ
ปองกันและควบคุมโรคไอกรน วัคซีนไอกรนที่มีใชขณะน้ีเปนวัคซีนที่เตรียมจากแบคทีเรีย B. pertussis ท่ี
ตายแลว (Whole cell vaccine) รวมกับ diphtheria และ tetanus toxoids (Triple vaccine, DTP) ให
ฉดี เขา กลาม กาํ หนดการใหวคั ซีนเริ่มเม่ืออายุ 2 เดือน และใหอ ีก 2 คร้ัง ระยะหางกัน 2 เดือนคอื ใหเมื่ออายุ
4 และ 6 เดือน โดสท่ี 4 ใหเมื่ออายุ 18 เดือน นับเปนครบชุดแรก (Primary immunization) โดสท่ี 5 ถือ
เปนการกระตุน (booster dose) ใหเ ม่อื อายุ 4 ป เด็กท่ีมีอายุเกนิ 7 ป แลวจะไมใหวัคซีนไอกรน ทงั้ นเ้ี พราะ
จะพบปฏิกิริยาขางเคียงไดสูง
ไซนัสอักเสบ (Sinusitis)
ลกั ษณะของโรค
ไซนสั อักเสบ (Sinusitis) เปน การอักเสบของโพรงไซนัสที่อาจเกดิ ไดจากเชือ้ ไวรสั เชอ้ื แบคทเี รียและ
เชอื้ รา โดยมีปจจยั สงเสรมิ ท่ีทําใหเกิดไซนัสอักเสบไดจากหลายสาเหตุ เชน มภี าวะจมูกอักเสบภมู ิแพ จมูก
อักเสบเรื้อรงั เกิดภายหลังการเปน หวัด หรือมลี กั ษณะทางกายวิภาคทที่ ําใหก ารระบายของโพรงไซนัสอุดตัน
ไดงาย เชน โพรงจมกู คด เปนตน
สาเหตุ
1. การติดเชอื้ ของทางเดินหายใจสว นบน โดยเชอ้ื แบคทีเรียท่ีพบ สว นใหญเ ปน ชนิด
Streptococcus pneumoniae, Heamophilus influenzae,และ Staphylococcus aureus
เชื้อไวรสั สว นใหญเกิดจากเชอ้ื Rhinovirus และเชอ้ื รา มกั พบกลุมเชื้อ Aspergillus, Rhizopus,
และ Candida
2. การตดิ เชอื้ ของฟนกรามแถวบน มกั ทาํ ใหเปนไซนสั อักเสบขา งเดยี ว
3. การวายน้าํ - ดาํ นาํ้ โดยเฉพาะขณะมีการตดิ เช้ือของทางเดินหายใจสวนบน
4. สง่ิ แปลกปลอมในโพรงจมูก มกั ทําใหเ ปนไซนสั อักเสบขางเดียว
5. อุบตั เิ หตุของกระดกู บรเิ วณใบหนา
6. ปจ จยั ท่ีเกีย่ วกับสง่ิ แวดลอ ม เชนบรเิ วณที่ ฝนุ ควัน หรอื ส่ิงระคายเคืองมาก
7. ปจ จัยท่ีเกี่ยวขอ งกบั ภูมคิ ุมกนั และภูมิตา นทานของรางกาย เชนภูมิคมุ กันบกพรอง หรือมภี มู ิ
ตา นทานตํ่า
8. ปจ จัยท่เี ก่ียวกับการถายเทและการระบายสารคัดหล่ังและอากาศของไซนัส ไดแ ก โรคหรือภาวะ
ใดกต็ ามทีท่ ําใหมีการอุดตนั หรือรบกวนการทาํ งานของรเู ปดของไซนสั เชน
- มกี ารบวมของเยื่อบจุ มูกบอ ย ๆ หรอื เปนเรื้อรงั เนื่องจากโรคจมูกอกั เสบจากภมู แิ พและชนดิ ไม
15
แพ, การสูบบุหรี่ หรือสดู ควันบหุ ร,ี่ การสมั ผัสกับมลพษิ เปนประจํา
- มีผนังกน้ั ชองจมกู คดงอ
- กระดกู ที่ผนังดา นขางโพรงจมกู มีขนาดใหญมาก จนไปอุดตนั รูเปด ของไซนสั
- มกี อนเน้ือในโพรงจมกู หรือไซนัส เชน ริดสดี วงจมกู เนื้องอกในโพรงจมูกหรือไซนัส
- ในเด็กเลก็ อาจมีตอมแอดนี อยดโ ต หรอื มีสง่ิ แปลกปลอมอยูในจมูกเปน เวลานาน
ระยะฟก ตวั
มกั พบจากการเกดิ ภาวะแทรกซอนของโรคหวัด พบไดประมาณรอยละ 5-10 ของเดก็ ท่ีเปน โรคหวัด
วิธีการติดตอ (วิถที างการแพรกระจายเชือ้ )
มักเกดิ ข้ึนเมื่อจมูกมกี ารตดิ เชอื้ อักเสบ เปน หวัด ภูมแิ พ การค่งั คา งอดุ ตนั ของส่งิ คัดหลัง่ ในผทู ม่ี ีภาวะสนั จมกู
คด ทาํ ใหการระบายอากาศในโพรงอากาศลําบากมากข้นึ
อาการและอาการแสดง
• คัดจมกู นํ้ามูกขนสเี ขยี วหรือเหลอื ง
• หายใจมกี ล่ินเหมน็
• ปวดศรี ษะ ปวดขมบั ปวดแกม ปวดทา ยทอย หนักหวั
• เสมหะขน ไหลลงคอ ไอบอย เลอื ดออกทางจมูก (พบในบางราย)
• รายท่เี ปน รุนแรงอาจมไี ขส ูง ตาบวมอักเสบได เปนตน
การปอ งกัน
1. การรักษาสุขภาพใหแข็งแรง พักผอนใหเ พียงพอ กินอาหารทีม่ ปี ระโยชน
2. เมือ่ เปน หวัดนานเกิน 1 สปั ดาห ควรรบี ปรึกษาแพทย
3. หลกี เลี่ยงสถานที่ ๆ มีคนแออัด หรือบรเิ วณทม่ี ี ฝนุ ควันมาก ๆ ส่งิ มีพิษในอากาศ สารเคมีตา ง ๆ
4. เนน ใหล า งมอื บอย ๆ
5. เลี่ยงควันบหุ รี่ มลพิษ และสารทีก่ อใหเ กดิ โรคภมู แิ พเน่ืองจากมีผล ตอเยื่อบจุ มูก และโพรงไซนสั
6. ถาเปน หวัดเรอื้ รังจากโรคภมู แิ พ ใหร บี รกั ษาอยา ใหม อี าการเรือ้ รงั จะเกดิ ไซนสั แทรกซอ นได
7. ใหมกี ารพกั ผอนใหพอเพียงและออกกาํ ลังกายสมํ่าเสมอ
8. รักษาสุขภาพชอ งปากและฟนใหดี ไมใ หฟน ผุ
16
โรคหูช้นั กลางอักเสบเฉียบพลัน (Acute otitis media)
ลักษณะของโรค
โรคหชู นั้ กลางอักเสบเฉียบพลัน (acute otitis media, AOM) เปนการติดเชอื้ ทางเดินหายใจสว นบน
ท่ีพบบอยในเด็ก โดยพบวาเปนสาเหตุสําคัญของการสูญเสียการไดยินในเด็ก และการใชยาตานจุลชีพที่ไม
เหมาะสมมากเกนิ ความจําเปน
สาเหตุ
• เชื้อไวรัส เปนสาเหตุสวนใหญประมาณรอยละ 30-50 ไดแก respiratory syncytial virus (RSV),
influenza virus, adenovirus, rhinovirus, coronavirus, enterovirus, parainfluenza virus
type 1-3, human metapneumovirus
• เชื้อแบคทีเรีย ที่พบเปนสาเหตุที่พบบอย ไดแก S. pneumoniae, H. influenzae, S. pyogenes,
M. catarrhalis เชื้ออ่นื ๆ ทีส่ ามารถพบได เชน กลุมเชอื้ แกรมลบ (P. aeruginosa, Proteus spp.)
มกั พบในเด็กอายตุ ํา่ กวา 1 ป เช้อื ราหรือวณั โรคมกั พบในผปู ว ยทม่ี ีภาวะภูมคิ ุมกนั ผิดปกติ
ระยะฟกตวั
ข้นึ กบั ชนดิ ของเช้อื ทเี่ ปน สาเหตุ
วิธีการติดตอ (วิถที างการแพรก ระจายเชื้อ)
หูชั้นกลางอักเสบสวนใหญเกิดการติดเช้ือแบคทีเรียตามหลังการติดเช้ือไวรัสของระบบทางเดิน
หายใจสว นบน
อาการและอาการแสดง
อาการคลา ยกบั โรคหวัด ไดแก ไข ไอ น้ํามูกไหล อาเจียนแตอาการท่ีสําคัญ คือ การปวดหู ในเดก็ เล็ก
ที่ยงั ไมสามารถพูดไดอ าจมี ดึงหู ทุบหู รวมกับ รองกวน งอแงผิดปกติ หรือไมย อมนอน สวนเด็กโตอาจมาดวย
อาการปวดหเู ฉียบพลัน กนิ ไดน อย หรอื ปวดศรี ษะ
การปอ งกนั
1. ระวงั อยา ใหตดิ เชอ้ื ในระบบทางเดนิ หายใจชนิดเฉียบพลัน เชน โรคหวดั , โรคไซนสั อกั เสบ
2. หลีกเล่ียงสาเหตุที่ทําใหผูปวยมีภูมิตานทานตํ่าลง เชน เครียด นอนหลับพักผอนไมเพียงพอ
โดนหรือสมั ผสั อากาศที่เยน็ มาก ๆ เชน ขณะนอนเปด แอรหรือพัดลมเปา จอ ไมไดใสเสอื้ ผา หรือ
ไมไ ดใ หความอบอนุ แกรางกายเพยี งพอ
3. หลีกเลี่ยงการด่ืมหรอื อาบน้ําเยน็ ตากฝน หรอื สมั ผัสกับอากาศที่มีการเปลี่ยนแปลงอยา งรวดเร็ว
เชน จากรอนเปน เยน็ เย็นเปนรอ น
17
โรคไวรสั โควดิ -19
ลักษณะของโรค
เปน โรคระบบทางเดินหายใจท่เี กดิ จากไวรสั ทีส่ ามารถกอโรคทางเดนิ หายใจรนุ แรง หรอื โรคซารส
(Severe Acute Respiratory Syndrome - SARS)
สาเหตุ
ซึง่ มีสาเหตุจากเชื้อไวรสั โคโรนา ซารส-โควี-2(SARS-CoV-2)
ระยะฟก ตัว
ระยะฟกตวั ของโรคอยรู ะหวา ง 2 ถงึ 14 วัน (Centers for Disease Control[CDC], 2020)
ระยะติดตอ
ระยะติดตอ ของโรคอยูชวงแรกที่แสดงอาการ
วธิ กี ารติดตอ
วิถีทางการแพรกระจายเช้ือจากคนสูค นผานฝอยละอองจากการไอ จาม นํา้ มูก นา้ํ ลาย เสมหะของ
ผปู ว ยรวมท้งั การสมั ผสั พน้ื ผวิ หรอื อปุ กรณท ี่ปนเปอ น (กรมควบคมุ โรค, 2564)
อาการและอาการแสดง
ผูติดเชื้อไวรสั โคโรนาสายพันธใุ หม จะมีอาการคือ มไี ข ตามมาดวยอาการไอแหง ๆ หลงั จากนั้นราว
1 สปั ดาหจ ะมปี ญ หาหายใจติดขดั ผูปวยอาการหนักจะมอี าการปอดบวมอักเสบรวมดว ย หากอาการรนุ แรง
มากอาจทําใหอวัยวะภายในลมเหลว
การปองกัน
แนวคดิ สําหรับการดแู ลเด็กกอนวัยเรียนในสถานพฒั นาเด็กกอนวยั เรยี นของประเทศไทย
(Thailand Early Childhood Developmental Bubble Model (Thai-ECD Bubble Model))เพ่ือความ
ปลอดภยั จากการติดเชอ้ื โควิด-19 ดังนี้
1. กําหนดครแู ละเด็ก ในอตั ราสวน 1 : 5 (ควรเปนสมาชิกเดิมทกุ วนั )
2. การทําความสะอาดรา งกายเดก็ เชน อาบน า ลางมอื ลางเทา และ เปล่ยี นชุดเด็ก กอนเขา มาใน
สถานพฒั นาเดก็ ทกุ วนั
3. การทํากิจกรรมสําหรบั เดก็ กอ นวยั เรียน โดยเนนการเวนระยะหางจากกลุม ยอย 1-2 เมตร เชน
กิจกรรมการสรา งประสบการณ (การเรยี นร)ู การรับประทานอาหาร การทําความสะอาดรา งกาย
การนอน เปนตน
4. ครอบครวั ของเดก็ กอ นวัยเรยี น ตองปฏิบัตยิ ดึ หลกั การเวน ระยะหาง การสวมหนากาก การลาง
มอื รกั ษาความสะอาด การเวนระยะหา งเพ่อื ปอ งกนั เชือ้ โรคอยางเครง ครดั
5. เมอ่ื มีอาการไข ไอ จาม หอบเหน่อื ย หรือมปี ระวตั เิ สี่ยง ใหเด็กหยุดทนั ที และปฏิบัติตามคาํ
แนะนําของเจาหนาที่สาธารณสขุ อยางและไปพบแพทย
18
การทาํ ความสะอาดมอื
มือเปนพาหะนําเชื้อโรคเขาสูรางกายไดงายและมากที่สุด เพราะมือใชจับสัมผัสสิ่งของแลวนําเชื้อโรคเขาสู
รางกายไดทุกชนิด ซ่ึงเช้ือเหลานี้อาจเปนสาเหตุท่ีทําใหเกิดการติดเช้ือรุนแรง และเสียชีวิตได ท่ัวโลกพบวาในชวงท่ีมี
การระบาดมีเด็กสียชีวิตจากโรคปอดบวมประมาณ 2 ลานคน (United Nations International Children's
Emergency Fund: UNICEF, 2016)
การทําความสะอาดมอื เปนหน่ึงในกจิ กรรมเพ่อื สุขอนามัย ท่ีดที ี่ชว ยในการดํารงสุขภาวะ และปองกนั การแพร
ระบาดของโรคติดตอตาง ๆ ซึง่ การทําความสะอาดมือเปนการขจัดจุลชีพบนมือไดเปนอยางดี เปนกิจกรรมท่ีสาํ คัญใน
การปองกนั โรคตดิ ตอ ไดเปนอยางดี (World Health Organization [WHO], 2009)
CDC แนะนําวาควรลางมือกอน ระหวางและหลังการเตรียมอาหาร กอนและหลังการดูแลผูปวย กอนและ
หลังการทําแผล หลังออกจากหองน้ํา หลังการเปล่ียนผาออม หรือดูแลทําความสะอาดใหเด็กที่ขับถายอุจจาระ หลัง
การสั่งน้ํามูก ไอจาม หลังการสัมผัสสัตว หลังการเก็บขยะมูลฝอย หลังการสัมผัสถุงขยะการลางมือ อยางมี
ประสิทธิภาพจะสามารถลดเช้ือโรคไดถึงรอยละ 90 โดยการลางมือที่ถูกตองนั้นตองลางดวยนํ้าสะอาดและสบู (CDC,
2015)
วิธีการทาํ ความสะอาดมือ ทําได 2 วิธี คือ
1. การทําความสะอาดมือดวยนํ้าและสบูหรือน้ํายาฆาเช้ือ (hand washing or hand antisepsis) เม่ือมือ
เปอนสิง่ สกปรกอยางเหน็ ไดชดั เจน
2. การทําความสะอาดมอื ดวยนํ้ายาทําความสะอาดมอื ท่ีมีสว นผสมของแอลกอฮอล (Alcohol-based hand
rub) ใชทําความสะอาดมือในกรณีท่ีมือไมไดเปอนส่ิงสกปรก เลือดหรือสารคัด หล่ังอยางเห็นไดชัด ทําโดยใช
แอลกอฮอลประมาณ 3 - 5 มล. ถใู หท่วั บรเิ วณมือโดยใชเวลาประมาณ 20 - 30 วนิ าที
การทาํ ความสะอาดมอื 7 ขัน้ ตอน (WHO, 2009)
1. ฟอกบรเิ วณฝามือโดยนาํ ฝามอื ท้ังสองขางมาถกู ัน
2. ฟอกบริเวณหลงั มือและซอกน้ิว โดยนําฝามอื ถูหลังมือและซอกนวิ้ สลบั กัน 2 ขา ง
3. ฟอกบรเิ วณฝามอื และซอกนิ้วมือ โดยฝามือถือฝา มือและซอกนว้ิ ทง้ั 2 ขาง
4. ฟอกบริเวณหลังนว้ิ มือ โดยกาํ มือนําฝามือถหู ลงั นว้ิ มือ สลบั กนั 2 ขาง
5. ฟอกบรเิ วณรองฝา มือและปลายน้วิ มือ โดยนําปลายนว้ิ มอื ถูขวางฝามือ ทําสลับ 2 ขา ง
6. ฟอกบริเวณนว้ิ หัวแมมือ โดยนาํ นิ้วหัวแมมอื ถรู อบฝา มือ สลบั กันทั้ง 2 ขาง
7. ฟอกบรเิ วณรอบขอ มือท้ัง โดยน้าํ ฝามือถูวนรอบขอมือ ทําสลบั กันทงั้ 2 ขาง
19
วิธลี างมือดวยเจลแอลกอฮอลทีถ่ กู ตอง
1. กดเจลลางมอื แอลกอฮอลประมาณ 10 มลิ ลลิ ิตร หรอื ใหพ อจะถมู ือไดท่วั ถึงทงั้ สองขาง
2. ถูฝามอื ทัง้ สองขา งเขาดว ยกัน
3. ถหู ลังมือขางซา ยดวยฝา มือขางขวา และประสานนวิ้ เขา ไปถซู อกน้วิ ทาํ สลบั กับมืออีกขาง
4. ถฝู า มอื และซอกนวิ้ ดานในฝา มอื ดวยนิ้วทปี่ ระสานกัน
5. กํามือขางหนึง่ และใชหลงั น้ิวถูฝา มืออกี ขางหน่งึ
6. ถูน้วิ หัวแมม อื ขางซาย โดยใชฝ ามอื ขางขวาท่ีประสานกัน กํารอบแลว หมนุ วน ทําสลับกบั นว้ิ หวั แมม ืออีก
ขา ง
7. ถฝู ามอื ซายดวยน้วิ มือขวาที่ประสานกัน วนไปขา งหลังและขางหนา ทาํ สลับกับฝามืออกี ขาง
8. ปลอ ยใหแอลกอฮอลคอย ๆ แหงไปเอง โดยไมตองเปาแหง ไมตองเช็ดดวยผา หรอื กระดาษซา้ํ
คาํ แนะนาํ ในการใชเ จลลางมอื แอลกอฮอล และขอควรระวัง
1. ควรเลอื กใชเจลลา งมอื แอลกอฮอลท ่ีมีสวนผสมของแอลกอฮอลถ ึง 70% ซ่ึงจะชวยฆาเช้อื โรคได
2. ไมค วรใชเ จลลา งมือกบั เด็กทารกและบริเวณผิวทบี่ อบบาง เชน รอบดวงตา
3. ไมค วรใชเ จลลางมือในบรเิ วณท่ีมีการอกั เสบ เชน เปน สิว มีบาดแผล เพราะอาจเกดิ การระคายเคอื งได
4. พยายามหลกี เล่ียงประกายไฟ โดยเฉพาะหลงั ถูมือเสร็จใหม ๆ และเจลแอลกอฮอลยงั ไมแหง ดี
5. หา มเปามอื ทีย่ งั มีเจลแอลกอฮอลบนผิวกับเคร่ือง Hand Dryer หรือเครือ่ งเปาแหง ในหอ งน้าํ เดด็ ขาด
6. ควรดูวนั หมดอายุของเจลลางมือทจี่ ะใชก อน และหากเปน เจลลางมือที่ทําเอง ควรใชใหห มดภายใน 30 วนั
7. ไมควรวางเจลแอลกอฮอลในจดุ ที่แสงแดดสอ งเต็ม ๆ เพราะความรอนอาจทาํ ใหประสทิ ธิภาพของเจล
แอลกอฮอลล ดลงได
20
การลางมอื ดวยสบทู ี่มีประสิทธภิ าพ 7 ข้ันตอน
ทม่ี า : สาํ นกั โรคตดิ ตอท่วั ไป กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสขุ
21
วิธีลางมือดว ยเจลแอลกอฮอล
ท่มี า : WHO
22
การสวมและถอดหนากากอนามัย
การสวมหนากากอนามัยหรือหนากากผาเปนส่ิงสําคัญท่ีชวยปองกันการติดเช้ือหรือแพรกระจายเช้ือระบบ
ทางเดินหายใจ ซ่ึงการเลือกหนากากที่เหมาะสม ปฏิบัติวิธีการใสและถอดไดถูกตองจะสามารถปองกันการติดเชื้อ
ระบบทางเดินหายใจได (CDC, 2020) ดงั นี้
1. หลกั การสวมหนากาก
ควรสวมหนา กากอนามยั หรือหนากากผา เมื่อออกนอกเคหสถานหรืออยูในสถานทีส่ าธารณะ
2. แนวทางการสวมหนา กากในกรณตี า ง ๆ
2.1 บุคคลทีค่ วรสวมหนากาก ไดแก
2.1.1 ผทู ่ีอายตุ ้ังแต 2 ขวบข้นึ ไป
2.2 บุคคลท่ีไมควรตอ งสวมหนา กาก ไดแก
2.2.1 ผูทอ่ี ายตุ ่ํากวา 2 ขวบ เน่อื งจากอาจมีผลตอ ความปลอดภัยหรือพฒั นาการของผูน้ัน
2 2.2 กิจกรรมหรือสถานการณที่ตอ งสวมหนา กาก
3. การสวมหนา กากอนามัยหรือหนา กากผาที่ถูกวธิ ี
3.1 การเลือกหนากาก การสวมหนากากอนามยั หรือหนากากผา สามารถปองกันไมใ หเชอื้ โรคแพรส ผู ูอนื่ และ
ลดความ เสย่ี งในการตดิ เชอ้ื ของตวั เราเองได โดยมวี ธิ ีการเลอื กใชห นา กากอนามัยหรอื หนา กากผา ดงั นี้
3.1.1 หนา กากอนามัย ควรเลอื กใชห นา กากอนามยั ทางการแพทย (Medical Mask) ที่ไดรับการ รบั รอง
จากสํานกั งานคณะกรรมการอาหารและยา หรอื หนา กากอนามัยชนิดท่ัวไป (Nonmedical Mask) ซงึ่ ประกอบดวย 3
ชั้น ไมมีกลิ่นฉุนหรือรอยเปอน ไมมีรอยฉีก ขาดหรือสวนใดหลุดออกจากหนากาก ควรเลือกสีออนเพ่ือชวยให
สังเกตเหน็ รอยเปอ นหรือคราบสกปรก นอกจากนี้ควรสังเกตวนั หมดอายขุ องหนากากดวย
3.1.2 หนากากผา ควรเลือกหนากากที่ทําจากผาฝายหรือผาสาลูเน้ือแนน เย็บซอนกันอยางนอย 2 ช้ัน
ขน้ึ ไป และขนาดตอ งเหมาะกบั ใบหนา
3.2 วธิ ีการสวมหนากากอนามัยหรอื หนา กากผา
3.2.1 ข้นั ตอนและวิธกี ารสวมหนา กาก ดงั น้ี
(1) ลา งมอื กอนสวมหนากาก โดยลางดว ยสบแู ละนํา้ นาน 40-60 วนิ าที หรอื ใชเจล แอลกอฮอล
นาน 20-30 วนิ าที
(2) สํารวจความเรยี บรอ ย ไมค วรมรี อยฉกี ขาด คราบสกปรกหรือผา นการใชง านแลว
(3) หาสวนดา นบนของหนากากซ่งึ ปกตมิ ักจะมแี ถบลวดอยู
(4) หาดานในของหนา กากโดยสวนใหญมกั จะมสี ีออ น แลวหนั ดา นท่มี สี ีเขมหรอื บานพับ คว่าํ ไว
ดานนอก หรอื หนั ดานท่ีมีบานพบั หงายเขา หาใบหนา
(5) ดงึ สายรดั ทง้ั สองขา งคลอ งหู
23
(6) กดแถบลวดใหแ นบสันจมกู
(7) ดงึ หนา กากใหคลุมจมกู และใตคาง
3.2.2 เม่ือสวมหนากากแลว ใหหลีกเล่ียงการสัมผัสหนากาก และเม่ือถอดหนากากหรือสัมผัส หนากาก
โดยไมไดต้งั ใจ ใหใ ชเจลลางมือที่มีสวนผสมของแอลกอฮอล 70% หรอื ทําความ สะอาดมือ ดว ยสบูและน้ําหากมีคราบ
สกปรกติดท่ีมือ
3.2.3 ควรเปล่ียนหนากากทุก 6-8 ช่ัวโมง หรือเม่ือหนากากเปยกชื้น สกปรก หรือเมื่อออกจาก สถานที่
แออัด
3.2.4 ไมควรใชห นากากซ้ํา โดยหนากากอนามยั ควรใชค ร้งั เดยี วแลว ทิ้ง สว นหนากากผาใหซ ักดว ย น้าํ ยา
ซักผา เด็กหรือนํา้ สบูออน หรอื ซักดวยน้ํายาฆา เชอ้ื แตไ มค วรแชทิ้งไว แลว ตากแดดให แหง เพอ่ื นํากลับมาใชใ หม
3.2.5 หลังจากถอดหนากากอนามยั แลว ใหทง้ิ ดวยวิธีตามท่ีกําหนดไวใ นขอ 3.3 โดยทันทแี ละลา ง มือให
สะอาดดวยสบแู ละนาํ้ หรือเจลแอลกอฮอล
3.3 การท้ิงหนา กากอนามัยทใ่ี ชแลว
3.3.1 ถอดหนา กาก ใหจ ับสายรัดและถอดหนากากอนามัยจากดา นหลงั พบั หนากากอนามัยสวนที่ สัมผัส
กบั ใบหนาเขา ดา นใน เพอ่ื ปอ งกันสารคดั หลง่ั จากนํา้ มูกหรือนา้ํ ลายแพรก ระจาย และไมควรสมั ผสั ตัวหนากาก
3.3.2 มวนหนากากใสถุงที่ปดสนิท และท้ิงในถังขยะท่ัวไปท่ีมีฝาปด จากนั้นลางมือดวยสบูและนํ้า หรือ
เจลแอลกอฮอล
การคดั กรองบคุ คลของศูนยดูแลเด็กกอนวยั เรยี น (เดก็ และผปู กครอง)
การคัดกรองเปนการประเมินอยางมีระบบใน เด็ก และผูปกครองทุกรายเมื่อ แรกรับ ซึ่งจะทําใหสามารถ
คนพบผูท่ีตองสงสัยวามีความเสี่ยงตอการติดเช้ือไดอยางรวดเร็ว และนําไปสูการแยกตัวผูปวยไปอยูในหองหรือพ้ืนท่ี
แยกโรคไดทนั ที (WHO, 2020) ซงึ่ ผูดแู ลเดก็ ในศูนยด ูแลเด็กกอนวัยเรยี น ควรปฏบิ ตั ิในการปองกนั การแพรระบาดของ
โรคโควิด-19 สําหรับสถานพฒั นาเดก็ ปฐมวัย(กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข, 2563). ดงั นี้
1.จัดใหมจี ุดคดั กรองทท่ี างเขา ศนู ยดแู ลเด็กกอ นวัยเรียน โดยเจา หนาทท่ี ผี่ า นการฝกอบรมอยปู ระจําจดุ คัด
กรอง
2. การจดั ทาํ สญั ลักษณของระยะระหวา งทีเ่ ด็กยืนรอการคดั กรองใหหา งกนั อยา งนอย 1-2 เมตร
3.จดั อุปกรณบ ริเวณบริเวณจดุ คดั กรองเดก็ ไดแ ก เครือ่ งตรวจวัดอณุ หภูมิ หรือวดั ไข เจลแอลกอฮอล ลา งมอื
เอกสารคัดกรอง ใบลงชอื่ รับสง แบบบนั ทกึ อุณหภูมเิ ดก็ และผูปกครอง ปา ยประชาสมั พันธ ข้นั ตอนการ
คดั กรอง
4. ผูดแู ลเดก็ ประจาํ จดุ คัดกรอง ใหส วมหนา กากอนามยั หรือหนากากผา และสวม Face Shield เพ่ือปอ งกนั
ตนเอง
24
5. ผดู แู ลเดก็ ตรวจสุขภาพทัว่ ไปของเดก็ และอาการผิดปกตขิ องเด็กแตละคน สอบถามขอ มูลทั่วไปเก่ยี วกบั
สขุ ภาพของเดก็ ขณะอยูท บี่ า นวดั อุณหภมู ิ ทง้ั เด็กและผปู กครอง อุณหภูมจิ ะตอ งไมเกิน 37.5องศา
เซลเซยี ส สอบถามอาการตดิ เชื้อทางเดินหายใจ ไอ จาม มนี า้ํ มูก อาการหอบเหนอ่ื ย
6. การคดั กรองความเสี่ยงของโรคโควิด-19 ของผูดูแลเดก็ เดก็ และผปู กครองโดยสอบถามใน Global
Surveillance for human infection with coronavirus (COVID-19) หากพบวามีขอ มลู เส่ียงในผูดูแล
เดก็ ควรหยดุ งานหรือมขี อมลู เสยี่ งในเด็กควรใหเ ด็กหยดุ เรยี นทันที
7. ใสหนากากอนามัยหรือหนากากผา ทใ่ี หม แหง และสะอาดใหเด็กที่อายมุ ากกวา 2 ป
8. ทาํ ความสะอาดรางกาย ลา งมอื ลา งเทาเดก็ ดวยนา้ํ สะอาดและสบู หรืออาบนาํ้ ใหเ ดก็ หรบั เดก็ ที่ ผา นการ
คัดกรองแลว
9. หลีกเล่ยี งการใหผ ูปกครองและบุคคลภายนอกเขาภายในพ้ืนทีด่ ูแลเด็กศนู ยดูแลเด็กกอนวยั เรยี น ควร
กําหนดนโยบายท่ชี ัดเจนเกี่ยวกับการแยกเด็กปวยออกจากศูนยด ูแลเด็กและช้ีแจงใหผูป กครองเด็กทราบ
ครั้งแรกตัง้ แตน าํ เดก็ มาฝากดแู ลทศ่ี ูนยด แู ลเดก็ กอนวยั เรียน
การทาํ ลายเชื้อและการดแู ลความสะอาดส่ิงแวดลอม
การทีเ่ ชื้อกอ โรคจะเขาสูรางกายเด็กเช้ือโรคตองอาศยั อยูใ สภาวะแวดลอมทีเ่ หมาะสม การทําความสะอาด
และการทําลายเช้ือพ้ืนผิวตางๆจะชวยลดจํานวนเช้ือจุลชีพและลดการแพรกระจายของเช้ือได (อะเค้ือ อุณหเลขกะ,
2556) การทําความสะอาดบริเวณศูนยดูแลเด็กกอนวัยเรียน โดยเนนบริเวณที่มีการสัมผัสหรือใชงานรวมกันบอยคร้ัง
บริเวณจุดสัมผัสการขัดถูพื้นผิวดวยน้ําและสารขัดลางเปนการขจัดเชื้อจุลชีพท่ีอยูบนพ้ืนผิวไดผลดี แตพ้ืนผิวบางแหง
ควรไดร ับการทําลายเช้อื เพม่ิ เติม
ส่ิงของ เคร่ืองใชส ือ่ พฒั นาการเด็ก ของเลนและอปุ กรณก ารเลน มีความสําคัญตอพฒั นาการทาง
การศึกษาของเด็ก ของเลนเด็กเปนแหลงของการปนเปอนเชื้อโรคทําใหเกิดการติดเชื้อไดมากที่สุด ปนเปอนเช้ือโรค
จากมือที่ไมไดลาง การหยิบจับของเขาปาก และจากสารคัดหล่ังถือเปนความเสี่ยงในการระบาดของเชื้อ (กรมอนามัย
กระทรวงสาธารณสุข, 2563) การทําความสะอาดของเลนที่เด็กสามารถนาํ เขา ปากไดควรลางทาํ ความสะอาดใชแปรง
ขัดทาํ ความสะอาดตามซอกรอ ง กอนทาํ ลายเชอ้ื และลางดว ยนา้ํ สะอาด แลวผึง่ ใหแ หง (อะเคื้อ อณุ หเลขกะ, 2556)
การดแู ลความสะอาดและการทาํ ลายเชอื้ บรเิ วณทใ่ี ชบริการรวมกนั ไดแ ก หอ งเรียน สถานทส่ี ําหรับ
รบั ประทานอาหาร หอ งนอน หอ งเดก็ เลน ใหทาํ ความสะอาดดวยนาํ้ ผสมผงซกั ฟอกหรือนํ้ายาทาํ ความสะอาดท่ัวไปโดย
ใหใ ชต าม
คําแนะนําตามฉลากของผลิตภัณฑ รวมท้ังใหเปด ประตู หนาตาง เพ่ือระบายอากาศ หากมีเคร่ืองปรับอากาศ
ใหทําความสะอาดระบบระบายอากาศอยางสมํ่าเสมอ จุดสัมผัสเสี่ยงในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย เชน เคร่ืองเลนใน
สนามเด็กเลน ลูกบิดประตู ราวบันได หองน้ํา เปนตน ควรทําความสะอาดดวยน้ํายาทําความสะอาดท่ัวไป สําหรับ
25
สง่ิ ของ เครอ่ื งใช ของเลนท่สี ัมผัสกับปากเด็กใหท าํ ความสะอาดดว ยน้าํ ผสมผงซกั ฟอก ลางดวยนาํ้ สะอาด นําไปผึ่งแดด
ใหแ หง กรณีท่ีมรี ถรับ-สงเด็ก กอนและหลงั ใหบ รกิ ารในแตละรอบ ใหเปดหนาตา งและประตูเพื่อถายเท ระบายอากาศ
ภายในรถออก และทําความสะอาด
ในจุดที่มีการสัมผัสบอย ไดแก ราวจับที่เปดประตู เบาะน่ัง ท่ีเทาแขน ดวยนํ้าผสมผงซักฟอกหรือน้ํายาทํา
ความสะอาดทั่วไปจัดใหม กี ารดแู ลหอ งสวม(กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข, 2563) ดงั นี้
• ทาํ ความสะอาดบริเวณที่มีการสัมผัสบอย ๆ อยางนอยวันละ 2 คร้ัง ไดแก พ้ืนหองสวม โถสวมท่ีกด
ชักโครกหรือโถปสสาวะ สายฉีดชําระ กลอนหรือลูกบิดประตู ฝารองน่ัง ฝาปดชักโครกกอกน้ําอาง
ลางมือ ดวยนํา้ ยาทําความสะอาดทว่ั ไป การใชผลิตภัณฑทําลายเชอื้ ใหใชต ามคําแนะนําที่ระบุติดบน
ฉลากผลติ ภัณฑ
• ซักผาสาํ หรับเช็ดทําความสะอาดและไมถูพืน้ ดว ยน้ําผสมผงซักฟอกหรือน้ํายาฆาเช้ือ แลวซักดวยน้ํา
สะอาดอกี ครง้ั และนาํ ไปผ่งึ ตากแดดใหแหง
• ของใชสําหรับเด็กตองมีการแยกเปนรายบุคคลเชน มีแกวน้ําสวนตัวสําหรับเด็ก การทําความสะอาด
วันละครั้ง ท่ีนอน หมอน ผาหมควรทําความสะอาดสัปดาหละหนึ่งคร้ังก็เพียงพอที่จะกําจัดไวรัสท่ี
อาจอยูบนพ้ืนผิวไดเมื่อไมมีผูที่ไดรับการยืนยันหรือสงสัยวาติดเช้ือโควิด-19 อยูในพื้นที่ และชวย
รักษาความสะอาดของสถานที่
• ผลิตภัณฑทําลายเชื้อมีหลายชนิด การเลือกใชควรใชตามคําแนะนําบนฉลาก ควรเก็บใหพนมือเด็ก
ควรระบายอากาศในพื้นท่ีเม่ือใชผลิตภัณฑเพ่ือปองกันไมใหเด็กสูดดมไอระเหยท่ีเปนพิษ (CDC,
2021)
26
ภาคผนวก
27
28
29
30
31
32
33
34
35
36
37
38
39
40
เอกสารอางองิ
กรมอนามยั กระทรวงสาธารณสุข (2563). คมู ือการปฏบิ ัตสิ าํ หรับสถานพฒั นาเด็กปฐมวัยในการปอ งกนั การ
แพรร ะบาดของโรคโควดิ -19. Retrieved from. file:///C:/Users/User/Desktop/ covid1_stu.pdf
กรมอนามัย. (2563). คมู ือมาตรการและแนวทางในการดแู ลดานอนามัยสิ่งแวดลอมในสถานการณการระบาดของโรค
ตดิ เชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19). https://covid19.anamai.moph.go.th/ web-upload/
2xdccaaf3d7f6ae30ba6ae1459eaf3dd66/m_document/6730/34033/ file_download/ecb4a
988cd5b3244c0a1a20cfbb667cf.pdf
กระทรวงสาธารณสขุ (2563). คาํ แนะนําการปองกนั ตนเองและการปฏิบัตดิ านสขุ อนามยั ในสถานพฒั นาเด็กปฐมวยั ใน
สถานการณการระบาดของโรคติดเชอ้ื ไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19). https://covid19. anamai.
moph.go.th /web-upload/2xdccaaf3d7f6ae30ba6ae1459eaf3dd66/m_document/6736/34130
/file_download/d5e7c006d64398530fc425ad7b0f7e20.pdf
กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสขุ . (2562). รายช่ือโรค. https://ddc.moph.go.th/doe/#
กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. (2558). พระราชบัญญตั ิโรคติดตอ พ.ศ. 2558. ราชกิจจานเุ บกษา.เลม 132
ตอนที่ 86 ก. หนา 26. https://ddc.moph.go.th/uploads/ckeditor/c74d97b01 eae257e 44aa9d
5bade97baf/ files/001_1gcd.PDF
กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสขุ . (2554). แนวทางการปองกนั ควบคมุ โรคติดตอ ในศนู ยเ ด็กเลก็ (สาํ หรบั ครู
ผดู แู ลเด็ก). http://itnan1.ednan1.go.th/uploads/00443-0.pdf
กรมสงเสริมการปกครองทองถิ่น กระทรวงมหาดไทย. (2559). ). มาตรฐานการดาํ เนนิ งานศูนยพัฒนาเด็กเลก็ ของ
อง ค ก ร ป ก ค รอ ง ส ว น ท อ ง ถ่ิน ป ร ะ จํ า ป งบ ป ร ะ ม า ณ พ . ศ . 2 5 5 9. http: / / www. dla. go. th/
upload/ebook/column/2017/4/2199_5930.pdf
กรมควบคุมโรค. (2564). แนวทางการใหวัคซีนโควดิ 19 ในสถานการณการระบาด ป 2564 ของประเทศไทย ฉบบั
ปรับปรงุ คร้ังท่ี 1. file:///C:/Users/User/Desktop/covid-19-public-Vaccine-040664.pdf
สถาบันสขุ ภาพเด็กแหง ชาติมหาราชิน,ี โรคหวดั . http://www.childrenhospital.go.th 2556. แหลง ทมี่ า
http://www.childrenhospital.go.th/html/2014/en/service/%E0%B9%82%E0%B8%
A3%E0%B8% 84%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94. คน เม่ือ 3 สงิ หาคม, 2564
สมาคมโรคระบบหายใจและเวชบาํ บดั วิกฤตในเด็ก และ ราชวิทยาลัยกมุ ารแพทยแหงประเทศไทย. (2562). แนว
ทางการดูแลรกั ษาโรคติดเช้อื เฉียบพลนั ระบบหายใจในเด็ก พ.ศ. 2562. นนทบุรี: บริษัทบยี อนด เอน็ เทอร
ไพรซ จาํ กัด. www.thaipediatrics.org/Media/media-20190906151602.pdf
สุพรรณี ธรากุล. (2562). วิทยาการระบาดทางการพยาบาล. กรุงเทพ ฯ: สํานกั พิมพจุฬาลงกรณม หาวทิ ยาลัย
41
วชิ ุตา ศรีสุคนธ, รจู ักและเขาใจ เพ่ือปกปองลูกนอ ยจากโรคติดเชอื้ ในระบบทางเดนิ หายใจ. https://www.
phyathai.com 2561. แหลง ท่มี า https://www.phyathai.com/ arpreview. php?id=2691. คน เมอ่ื
30 กรกฎาคม, 2564
อะเคือ้ อณุ หเลขกะ. (2556). ระบาดวทิ ยาและแนวปฏิบัติในการปอ งกนั การติดเช้ือในโรงพยาบาล. เชียงใหม.
บริษทั ม่ิงเมืองนวรัตน จาํ กัด.
Centers for Disease Control (CDC). (2015) Handwashing: clean hands save lives. http://www.cdc. J
Nurs Sci
Vol 35 No 1 January - March 2017 Journal of Nursing Science 13 gov/handwashing/
index.html
Centers for Disease Control (CDC). (2020). COVID-19 Overview and Infection Prevention and Control
Priorities in non-US Healthcare Settings. https://www.cdc.gov/coronavirus/2019-
ncov/hcp/non-us-settings/overview/index.html.
Centers for Disease Control (CDC). (2021). COVID-19 Guidance for Operating Early Care and
Education/Child Care Programs. https://www.cdc.gov/coronavirus/2019-ncov/community
/disinfecting-building-facility.html
Centers for Disease Control (CDC). (2021). Guidance for Operating Child Care Programs during
COVID-19. https://www.cdc.gov/coronavirus/2019-ncov/community/schools-childcare/
guidance-for- childcare.html#anchor_1612986010643
Centers for Disease Control (CDC). (2020). The Science of Masking to Control COVID-19.
https://www.cdc.gov/coronavirus/2019-ncov/downloads/science-of-masking-abbreviated.pdf
World Health Organization. (2009). Hand hygiene Technical Reference Manual. https://apps.
who.int/iris/rest/bitstreams/52577/retrieve
GlobalTimes.Properhand washing pivotal to preventing deadly diseases: United Nations
International Children's Emergency Fund (UNICEF). http://www.globaltimes.cn/
content/1011495.shtml.
World health organization. (2020). โรคโควิด 19 คืออะไร.https://www.who.int/docs/default-
source/searo/thailand/update-28-covid-19-what-we-know---june2020---
thai.pdf?sfvrsn=724d2ce3_0