การแต ่ งร ่ าย จัดท ำโดย นำงสมจิตต์ วัฒนวงศ์ ครู วิทยฐำนะ ครูช ำนำญกำรพิเศษ โรงเรียนพิบูลวิทยำลัย จังหวัดลพบุรี ส ำนักงำนเขตพื้นที่กำรศึกษำมัธยมศึกษำลพบุรี
คุณคิดว่ำ......... ข้อควำมต่อไปนี้เป็นร้อยแก้วหรือร้อยกรอง ?
คุณคิดว่ำ......... ข้อควำมต่อไปนี้เป็นร้อยแก้วหรือร้อยกรอง ?
ค ำประพันธ์ประเภทร่ำย
ร่ายเป็นค าประพันธ์เก่าแก่ของไทยมีฉันทลักษณ์น้อยกว่าร้อยกรองประเภทอื่น ถ้าพิจารณาจะพบว่าร่ายมีลักษณะใกล้เคียงกับค าประพันธ์ประเภทร้อยแก้ว เพียงแต่มี การก าหนดสัมผัส บังคับวรรณยุกต์ในบางแห่ง ค าว่า “ร่ำย” แปลว่า อ่ำน เสก หรือเดิน ซึ่งรูปแบบของร่ายมีปรากฏใน วรรณคดีตั้งแต่สมัยสุโขทัย ร่ายจ าแนกประเภทตามฉันทลักษณ์ได้ ๔ ชนิด คือ ร่ายโบราณ ร่ายสุภาพ ร่ายดั้น และ ร่ายยาว
ลักษณะบังคับโดยทั่วไปของร่ำย ประกอบด้วย คณะ และ สัมผัส ดังนี้ ร่าย ๑ บท จะมีกี่วรรคก็ได้ แต่ต้องมี ๕ วรรค ขึ้นไป และต้องเรียงค าให้ คล้องจองกันตามข้อบังคับ ส่วนตอนจบบทบางชนิดก็จบแบบธรรมดา บางชนิดก็จบโดยมีข้อบังคับเพิ่มเติม จ านวนค าในวรรคโดยมากก าหนด ๕ ค า แต่บางชนิดอาจน้อยกว่า หรือมากกว่า คณะ
ลักษณะบังคับโดยทั่วไปของร่ำย สัมผัสที่เป็นพื้นของร่ายทุกชนิด คือ มีสัมผัสส่งท้ายวรรคและมีสัมผัสรับเชื่อมหน้าวรรค ต่อไปเช่นนี้ทุกวรรคจนจบ สัมผัสส่งและสัมผัสรับที่เชื่อมกันนี้จะต้องส่งและรับค าชนิดเดียวกัน เช่น ถ้าค าที่ส่งสัมผัสเป็นค าเป็นหรือค าตาย ค าที่รับสัมผัสก็ต้องเป็นค าเป็นหรือค าตายด้วย สัมผัส ค ำที่โยงเส้นคือค ำที่สัมผัสรับ-ส่งกันของแต่ละวรรค ค ำที่โยงเส้นคือค ำที่สัมผัสรับ-ส่งกันของแต่ละวรรค
หลักกำรและวิธีกำรแต่ง ร่ำยสุภำพ
ปรากฏครั้งแรกในวรรณคดีเรื่องลิลิตพระลอ สันนิษฐานว่าแต่งในสมัยอยุธยา ตอนต้น ซึ่งนิยมแต่งกันแพร่หลายมาจนถึงปัจจุบัน มักแต่งกันถูกต้องตามแบบแผน เช่นเดียวกับโคลงต่างๆ ที่แต่งในสมัยนี้ ร่ำยสุภำพ หนึ่งบทมี ตั้ง แ ต่ ๕ ว ร รค ขึ้นไป จั ดเป็น ว ร ร ค ล ะ ๕ ค า หรือจะเกินกว่า ๕ ค าบ้างก็ได้ แต่ไม่ควรเกิน ๕ จังหวะในการอ่าน จะแต่งยาวกี่วรรคก็ได้ไม่ก าหนด เมื่อจะจบบทต้องจบด้วยโคลงสองสุภาพ คณะของ ร่ำยสุภำพ
* ค าสุดท้ายของวรรคหน้าสัมผัสกับค าที่ ๑, ๒ หรือ ๓ของวรรคต่อไป และท าแบบนี้ ในทุกๆวรรคจนถึงวรรคสุดท้ายก็ให้ส่งสัมผัสไปยังบาทต้นของโคลงสองสุภาพ ซึ่งเป็นสัมผัสรับ ในค าที่ ๑, ๒ หรือ ๓ * ถ้าค าสุดท้ายวรรคหน้าส่งสัมผัสเป็นค าเอกหรือค าโท ค าที่รับสัมผัสต้องเป็นค าเอกหรือโท ซึ่งร่ายสุภาพบังคับค าเอก ๓ แห่ง ค าโท ๓ แห่ง เฉพาะที่โคลงสองตอนท้ายบท ถ้าค าที่ส่งสัมผัสเป็น ค าเป็นหรือค าตาย ค าที่รับสัมผัสก็ต้องเป็นค าเป็นหรือค าตายด้วย * ค าสุดท้ายของบท (ค าสร้อยไม่นับ) ห้ามใช้ค าตายหรือค าที่มีรูปวรรณยุกต์ และตอนสุดท้าย ของบทสามารถเติมค าสร้อยได้อีก ๒ ค า หรือจะเติมทุก ๆ วรรคก็ได้ แต่เมื่อถึงโคลงสองต้องงดเว้น แต่สร้อยของโคลงสอง โดยสร้อยชนิดนี้จะต้องให้เหมือนกันทุกวรรค เรียกชื่อว่า “สร้อยสลับวรรค” การแต่งร่ายสุภาพจะยาวกี่วรรคก็ได้ไม่ก าหนด แต่เมื่อจะจบต้องจบด้วยโคลงสองสุภาพเสมอ สัมผัสของ ร่ำยสุภำพ ร่ำยสุภำพ ในกรอบสีชมพูคือ โคลงสองสุภำพ
ผีภายในแล่นออก แลนา ผีภายนอกแล่นเข้า แลนา เทพดาปู่เจ้าสั่ง แลนา มาท าดั่งปู่สอน แลนา ให้ย่อหย่อนทุกสิ่ง แลนา จึ่งให้สารไปกล่าว แลนา จึ่งให้ข่าว ไปถึง แลนา สมึงพรายผู้เถ้า แลนา ปู่เจ้าฟังแล้วไส้ แลนา ปู่จึ่งใช้สลาเหิร แลนา เดิรเวหาไปสู่ แลนา ตกลงอยู่รคน แลนา ปนหมากเสวยท้านไท้ แลนา ครั้นท่านได้ หยิบเสวย แลนา บนานเลยลอราช แลนา ใจจะขาดรอนรอน แลนา ถึงสายสมรพี่น้อง คิดบลุเลยข้อง ขุ่นแค้นอาดูร ฯ ตัวอย่ำงร่ำยสุภำพที่มีสร้อยสลับวรรค “แลนำ” คือสร้อยสลับวรรคครับผม
โคลงสองเป็นอย่ำงนี้ แสดงแก่กุลบุตรชี้ เช่นให้เห็นเลบง แบบนำ โคลงสองสุภำพ คณะ ๑ บท มี ๓ วรรค วรรคที่ ๑ และ ๒ มีวรรคละ ๕ ค า วรรคที่ ๓ มี๔ ค า อาจมีค าสร้อยอีก ๒ ค า ที่ท้ายวรรคที่ ๓ สัมผัส ค าสุดท้ายของวรรคที่ ๑ ส่งสัมผัสไปยังค าสุดท้ายของวรรคที่ ๒ ถ้ามีบทต่อไป จะต้องมีสัมผัสระหว่างบท คือ ค าสุดท้ายของวรรคที่ ๓ ส่งสัมผัสไปที่ ค าที่ ๑ หรือ ๒ หรือ ๓ ของวรรคที่ ๑ ในบทต่อไป ที่มา: www.watmoli.com
โคลงสองเป็นอย่ำงนี้ แสดงแก่กุลบุตรชี้ เช่นให้เห็นเลบง แบบนำ โคลงสองสุภำพ ค ำเอก คือ ค าที่ใช้รูปวรรณยุกต์เอก ค าโท คือ ค าที่ใช้รูปวรรณยุกต์โท สิ่งที่ใช้แทนค าเอกได้ คือ ค ำตำย และค ำเอกโทษ เช่น ข้า เป็น ค่า หมั้นหมาย เป็น มั่นหมาย สิ่งที่ใช้แทนค าโทได้ คือ ค ำโทโทษ เช่น เล่น เป็น เหล้น มั่นคง เป็น หมั้นคง
ตัวอย่ำงร่ำยสุภำพ จบลงด้วยโคลงสองสุภำพ