บทท่ี 1
เร่ือง “ประวัตคิ วามเปน็ มาและองคป์ ระกอบ”
ภาพของเครอ่ื งสายปรากฏในงานแกะสลกั ทมี่ ีอายุมากกว่า 3,000 ปี ตัง้ แต่สมัยอาณาจกั รเมโสโปเตเมียและบาบิ
โลน คำว่า กีต้าร์ สมยั ใหม่ของเราอาจมาจากคำภาษากรกี โบราณ (kithara) กีตารถ์ ือเปน็ เคร่ืองดนตรีทีเ่ กา่ แก่ท่ีสดุ
ชนดิ หนึ่งของมนุษย์เพียงแต่ชือ่ เรียกและรูปร่างยอ่ มแตกต่างกันไปตามแตล่ ะยคุ สมยั ซ่ึงเร่มิ เปน็ ที่นยิ มในแถบ
เปอร์เซยี และตะวนั ออกกลางหลายประเทศต่อมาไดเ้ ผยแพร่ไปยังกรงุ โรมโดยชาวโรมนั หรือชาวมวั ร์ จากนั้นก็เร่มิ
ได้รับความนิยมในสเปน ในยโุ รปกีตารม์ กั เปน็ ที่นิยมในหมชู่ นชน้ั สงู และมเี ชอื้ พระวงศห์ ลายพระองค์ทใ่ี ห้ความ
สนใจและศกึ ษาอย่างเชน่ Queen Elizabeth I ซง่ึ โปรดกบั Lute lซง่ึ ถอื วา่ เป็นตน้ แบบของกีตาร์ก็วา่ ได้ แตก่ าร
พัฒนาที่แท้จริงนั้นได้เกิดจากการทีน่ กั ดนตรไี ดน้ ำมันไปแสดงหรือเล่นรว่ มกบั วงดนตรขี องประชาชนทวั่ ๆ ไปทำให้
มีการเผยแพรไ่ ปยังระดับประชาชนจนไดม้ กี ารนำไปผสมผสานเข้ากับเพลงพื้นบา้ นทัว่ ๆ ไปและเกดิ แนวดนตรใี น
แบบต่าง ๆ มากขนึ้
ลตู เป็นเคร่อื งดนตรปี ระเภทเคร่อื งสายทีไ่ ดร้ บั ความนิยมมากในระหว่างศตวรรษท่ี 16 และ 17 สายจะข้ึนไวเ้ ปน็ คู่
ๆ ลูทมรี ปู รา่ งคล้ายลูกแพร์ และมีส่วนคอเปน็ แผ่นแบน มีขดี แบ่งเสยี ง 7 ขีดหรือมากกว่านนั้ หมดุ หมุนสายจะเอน
ไปดา้ นหลงั เพอื่ ช่วยยึดสายต่าง ๆ ไว้และยงั มวี ิธีการทดี่ ดี คลา้ ยกับกีตาร์โปร่งอกี ดว้ ย เป็นตน้ กำเนิดของเครือ่ งดนตรี
ท่ชี อ่ื ว่า กตี าร์
ในช่วงตน้ ศตวรรษที่ 19 กีต้าร์ดใู กล้เคยี งกบั เครื่องดนตรีหกสายในปจั จุบัน แตม่ ีขนาดเลก็ กวา่ ในช่วงกลางทศวรรษ
1800 Antonio de Torres Jurado นักดนตรีชาวสเปนและนกั ดนตรีทม่ี ชี อื่ เสยี งได้เร่มิ สรา้ งรปู แบบของกตี ารท์ จี่ ะ
ทำให้เกิดกตี ้ารส์ มัยใหม่ทั้งหมด แม้วา่ ในยุคปัจจบุ ันเขาจะไม่ได้รับเครดิตมากเท่าที่ควรจะได้รับ
ด้วยรปู ร่างท่ีกวา้ งขน้ึ สว่ นโค้งของเอวที่เพม่ิ ขน้ึ หนา้ ทอ้ งท่บี างลงและส่วนหวั กลึงซึง่ แทนทหี่ มดุ จูนไมก้ ารสร้างสรรค์
ของเขากลายเป็นสิง่ ที่โดดเด่นเปน็ พิเศษเนอื่ งจากรปู แบบใหม่ของการค้ำยนั พัดลมและการออกแบบตวั เครอ่ื งซึง่ ทำ
ให้กีตาร์คลาสสิกมเี สยี งท่ีชัดเจนและเสียงที่หนาและหนัก
ประเภทของกตี าร์
1. กีตารโ์ ปร่ง
1.1 Renaissance guitars
มขี นาดเลก็ กวา่ กตี าร์คลาสสิก ใหเ้ สียงทเี่ บากว่ามาก ใช้
สายไนล่อน แบบเดียวกบั กีตาร์คลาสสกิ นยิ มเลน่ ในสมัย
โบราณ ปัจจุบันไมค่ อ่ ยไดร้ ับความนยิ ม
1.2 Classical guitars
กตี าร์คลาสสกิ (Classic Guitar) หรือกตี าร์สายไน
ลอ่ น นิยมเลน่ เพลงบรรเลง แบบ single note
(finger-picking) ดังนัน้ คอกีตาร์คลาสสกิ จงึ มี
ความกว้างกวา่ กตี าร์ไซดม์ าตรฐาน ทวั่ ไป
1.3 Nylon String ชนดิ Hybrid (หรือกตี ารล์ ูกครงึ่ ระหว่าง กตี าร์คลาสสิกสายไนลอ่ น กบั กตี าร์โปรง่ สายเหล็ก)
แมจ้ ะใช้สายกตี ารช์ นิดไนลอ่ น แบบเดียวกับกตี าร์คลาสสกิ แต่สัดสว่ น องคป์ ระกอบหลายอยา่ ง จะตา่ งจากกตี าร์
คลาสสิก เชน่ คอที่เลก็ กวา่ เพื่อสะดวกในการจับดว้ ยมือซา้ ย มภี าคไฟฟ้า, คอมี truss rod (เหลก็ ดามคอ) เพื่อใช้
ปรบั องศาคอได้, มคี อแบบ cut away, ลำตวั body จะบางกวา่ มาตรฐาน เปน็ ตน้ กตี ารส์ ายไนล่อนชนดิ น้ี
สามารถเลน่ แนวหรือสไตลเ์ พลงได้กว้างกวา่ กีตารส์ ายไนลอ่ นชนิด Classic Guitar
1.4 Flat-top (steel-string) guitars หรือท่รี ู้จักกนั ในชอื่ กีตาร์โปรง่
กีตาร์โปรง่ สายเหล็กมหี ลาย ๆ รูปทรง เชน่ กีตาร์ทรง Dreadnought (D), Orchestra Model (OM), Grand
Concert (GC), Grand Auditorium (GA), Jumbo (J), และขนาด 3/4 กตี าร์ขนาดเลก็ กีตารโ์ ปร่งสายเหลก็ ต่าง
กีตาร์คลาสสกิ อยหู่ ลาย ๆ ประการ เช่น วิธีการเล่น, สายกตี ารท์ ่ีใช้, โครงสรา้ งภายในตวั กีตาร์หรือ Bracing, เหล็ก
ดามคอหรือ truss rod เพ่อื ปรับแตง่ องศาคอได้ เน่ืองจาก แรงดงึ ของสายกตี ารม์ ีมาก อาจจะทำให้องศารอเปลี่ยน
ได้ ผ้เู ลน่ จงึ สามารถปรับแต่งองศาได้ตามความชอบ, กีตารโ์ ปรง่ สายเหลก็ (Flat-top) ถกู สร้างมามากกวา่ 180 ปี
(หลงั มกี ีตาร์สานไนล่อน) เนอื่ งจากในวงดนตรี มีเครอ่ื งดนตรชี นดิ อน่ื ๆ เขา้ มาร่วมเล่นด้วย และประกอบกบั สไตล์
เพลงมคี วามหลากหลายมากขึน้ ผ้เู ล่นจึงต้องการกีตารท์ ่ีมีเสยี งดงั กงั วานมากพอ ท่สี ามารถใชร้ วมเล่นกบั เครื่อง
ดนตรีประเภทอน่ื ๆ ดังนั้น กีตารโ์ ปร่งสายเหลก็ จึงมีเอกลกั ษณท์ เี่ สียงดงั กงั วาน กีตาร์โปร่งสายเหล็กสามารถเลน่
ได้กว้างหลากหลายสไตลเ์ พลง เชน่ pop, folk, Bluegrass, finger-style, jazz, blues เปน็ ต้น กีตาร์โปร่งท่ดี ี
จะต้องใหเ้ สยี งทด่ี งั กงั วาน มีความ balance ของทกุ ๆ ยา่ นเสยี ง ทุก ๆ สายกีตารต์ ้อง balance กัน
1.5 Archtop guitars
จดุ เด่นคือ ดา้ นหน้าของกีตาร์ (top) จะ
โคง้ โพรงเสยี งไม่เป็นชอ่ งกลม แต่จะเป็น
รูปตวั F สะพานยึดสายหรอื Bridge จะ
แตกต่างจาก กีต้ารโปรง่ (คนไทยนยิ ม
เรยี กว่า หางปลา) นยิ มใชเ้ ล่นในดนตรี
แจส๊ และ Blues เอกลกั ษณ์ของเสยี ง เสยี งของ arch top guitar จะมีเสยี งโน้ตหว้ น ส้ัน คือ หางเสียงจะไมย่ าวเห
มือกตี าร์โปรง่ สายเหล็กทั่วไป ท้ังนกี้ ็เพอ่ื ให้เหมาะกับการเลน่ เพลง Jazz, Blues
1.6 Resonator
หรอื Resophonic หรือ dobro คล้ายกับ
กตี าร์ Flat-top นยิ มเล่นเพลงสไตล์
Country 12 string guitarsจดุ เด่นคือ จะมี
สายกตี าร์ 12 สาย นิยมใช้เลน่ ในสไตลเ์ พลง
cowboy, country นยิ มใชต้ คี อรด์ ไมน่ ยิ ม
ใช้เลน่ แบบ picking
1.7 Acoustic bass guitarsเปน็ กีตาร์เบสในรปู แบบอคูสติก มสี ายและเสยี งเหมือนกัน โน้ตท่ีเล่นจะใช้ "กญุ แจ
ฟา" ใหเ้ สียง ทุ้ม
1.8 Tenor guitars มี 4 สาย
1.9 Harp guitars
จะมสี าย harp เพม่ิ ขึ้นมา จากปกตทิ มี่ ี 6 สาย สาย harp จะให้เสียงตำ่ หรอื เสยี งในชว่ งเบส ปกติจะไมม่ ฟี ิงเกอร์
บอรด์ หรอื เฟรต็
1.10 Ukulele Guitar เปน็ กตี าร์ ขนาดเลก็ มี 4 สาย
2. กตี ารไ์ ฟฟา้ แบง่ ตามโครงสร้างของลำตวั กตี าร์ (Body) แบง่ ได้ 3 ชนิด
2.1 กตี าร์ตัวตนั (Solid Body)
หมายถงึ กีตาร์ไฟฟ้าปกติท่ลี ำตวั มลี ักษณะตัน ไม่มกี ารเจาะชอ่ งในลำตัว
กตี ารเ์ หมือนอย่างกตี ารโ์ ปรง่ หรอื อะคูสตกิ กตี าร์ แต่บริเวณลำตัวจะมี
ตัวรับสัญญาณแรงส่นั สะเทอื นของสายกีตาร์ (Pickup) ขณะที่ดีด เพ่อื ส่ง
ตอ่ ไปยงั เคร่อื งขยายเสียง (Amplifier) ต่อไป โดยท่ัวไป ตัวรับสัญญาณ
จะมี 2 ประเภท คอื ตวั รบั สัญญาณแบบแถวเดี่ยวทเ่ี รยี กว่า Single Coil และแบบแถวคู่ท่ีเรียกว่า Humbucker
2.2 กีตารล์ ำตัวกึ่งโปรง่ (Semi-Hollow Body)
เปน็ กีตารไ์ ฟฟ้าทม่ี ลี ักษณะโครงสร้าง
สว่ นกลางของลำตัวในแนวเดียวกับคอ
กีตาร์ มลี กั ษณะตัน (แตม่ ีการเจาะช่องเพ่อื
ใสต่ ัวรับสัญญาณแรงสัน่ สะเทอื นของสาย
กีตาร์ (Pickup) เชน่ เดยี วกับกตี ารต์ วั ตัน)
บรเิ วณส่วนข้างของกีตาร์มีการเจาะช่อง (Sound Hole) เอาไวเ้ พอื่ ใหเ้ กดิ การกำทอนของเสยี งมากกว่ากตี ารต์ ัวตนั
ซง่ึ จะให้เสียงท่เี ป็นอคูสตกิ มากขน้ึ นิยมใช้ในดนตรีแจ๊สหรือ บลสู ์ เป็นกตี าร์ท่ีผลิตขน้ึ มาเพือ่ ลดเสียงรบกวนที่
เรียกวา่ Feedback ซ่งึ เกิดจากกีตารไ์ ฟฟา้ ลำตัวโปร่ง (กลา่ วคอื ยังมเี สียงรบกวนบา้ งแตน่ ้อยลงกวา่ เดมิ )
2.3 กีตารล์ ำตัวโปร่ง (Hollow Body)
กตี ารไ์ ฟฟ้าทมี่ กี ารเจาะช่องเอาไวเ้ พอื่ ใหเ้ กิดการกำทอนของเสียง (Sound Hole)
เช่นเดียวกบั กีตาร์โปรง่ หรืออคสู ติก และกีตาร์ลำตัวก่งึ โปรง่ ปกติชอ่ งดังกล่าวมกั จะอยู่
ด้านขา้ งของลำตัวกีตาร์ เนอื่ งจากบริเวณกลางลำตัวจะมกี ารใสต่ วั รบั สัญญาณ
แรงสั่นสะเทือนของสายกีตาร์ (Pickup) เช่นเดียวกันกับกีตาร์ตัวตัน ซง่ึ ผลของการที่มีชอ่ ง
กำทอนเสยี ง ทำให้ลกั ษณะของเน้ือเสยี งทไ่ี ด้เปน็ อคูสติกมากกว่า กีตาร์ Semi-Hollow
Body แต่หากขยายเสยี งให้ดังมากจะกอ่ ให้เกิดเสียงรบกวนท่ีเรียกวา่ Feedback กีตาร์
ประเภทนีม้ ักจะนยิ มใช้กบั ดนตรีแจ๊สหรือบลูส์เปน็ สว่ นใหญ่
ส่วนประกอบของกตี าร์
คราวนเี้ ราจะมาศึกษาในด้านของสว่ นประกอบตา่ ง ๆ ของ กตี าร์ชือ่ ทใ่ี ช้เรยี ก และเกรด็ ความรู้ เกีย่ วกับชนิ้ ส่วนตา่ ง
ๆ กันครับ ซง่ึ โดยทวั่ ไปแบ่งได้ 3 ส่วนใหญ่ ๆ
1. ส่วนหวั ประกอบด้วย
1.1 ชุดลกู บิด โดยทั่วไปทีเ่ ราพบเห็นก็จะมี 2 แบบ ไดแ้ กแ่ บบท่ีตัวลูกบดิ หันไปด้านหลังตั้งฉากกบั ตัวกตี าร์แกน
หมนุ สายเป็นพลาสตกิ ซ่ึงจะใช้กบั กตี ารค์ ลาสสิก หรอื กีตาร์ฝกึ (แต่จะเปน็ แบบท่แี กนหมนุ สายเป็นเหล็กใช้กับกีตาร์
ราคาไมส่ งู นกั ) และอกี แบบจะขนานกบั ตวั กีตารห์ รือแกนหมุนสายตัง้ ฉากกับตัวกีตารซ์ ่ึงใช้กบั กีตาร์โฟลค์ หรือกีตาร์
ไฟฟา้ ทว่ั ๆ ไปทเี่ ราเห็นน่นั เอง แต่ละบรษิ ทั ทผ่ี ลติ ลกู บิดกีตาร์นนั้ จะมรี ะบบเป็นของตัวเองเช่นระบบล็อคกันสาย
คลายเวลาดีด อะไรเหล่านี้เป็นตน้
1.2 นทั (nut)บางคนอาจเรยี กว่าหย่องหรือสะพานสายบน แตเ่ ราจะเรียกวา่ นทั จะดีกวา่ มนั จะติดอยู่ปลายบนสุด
ของฟิงเกอร์บอร์ดเพื่อรองรับสายกีตาร์ใหย้ กสูงจากฟิงเกอรบ์ อร์ด ซ่งึ ระยะความสูงของสายกบั ฟิงเกอรบ์ อรด์
ดังกล่าวนี้เรยี กวา่ action มคี วามสำคญั มากเพราะถา้ มันตัง้ ความสงู ไวไ้ มเ่ หมาะสมแล้วจะทำใหก้ ารเลน่ กีตาร์
ลำบากมากคือถา้ ระยะดังกล่าวสูงไปคุณต้องออกแรงกดสายมากขึน้ ก็จะเจบ็ นวิ้ มากขน้ึ แตถ่ ้ามนั ตง้ั ไวต้ ำ่ ไปก็จะทำ
ใหเ้ วลาดีดความสนั่ ของสายจะไปโดนเฟรต็ ทำใหเ้ กดิ เสยี งแปลก ๆ ออกมา การปรบั แตง่ น้นั คณุ สามารถทีจ่ ะทำได้
ดว้ ยตัวเองโดยการถอดมันออกมาและใชต้ ะไบถูกับฐานของมันหรือเซาะรอ่ งท้งั 6 ใหล้ กึ ลงไป(วิธหี ลังเราไม่แนะนำ
เท่าไรเพราะถ้าคณุ เซาะร่องไม่ดีจะมผี ลกับเสียงกีตารข์ องคณุ )กรณีท่ีสูงเกนิ ไป ตรงกนั ข้ามถา้ ต่ำไปกห็ าเศษกระดาษ
หนา ๆ หรือเศษไมม้ ารองไดน้ ทั จนได้ความสงู ทค่ี ุณพอใจ โดยปกตปิ ระมาณ 2 มม. สำหรับกตี ารไ์ ฟฟา้ บางรนุ่ (โดย
เฉพาะที่มีชุดคันโยก)มกั จะมนี ัทแบบทล่ี อ็ คสายกีตารไ์ ดค้ อื จะมี 6 เหลย่ี มขนั อัดให้โลหะชน้ิ เล็ก ๆ ไปกดสายกีตาร์
เพื่อกนั สายคลายเม่ือเลน่ คันโยก
กรณีทค่ี ณุ ตอ้ งเปลี่ยนนทั เชน่ มกี ารแตกหัก คุณจะตอ้ งเช็คขนาดของนทั ของคุณใหด้ กี ่อนไปซ้ือเพราะนัทมีขายหลาย
ขนาด แตถ่ ้าเปน็ กตี าร์ระดับราคาไมส่ ูงนกั คดิ ว่าคงไม่มปี ัญหา
2. สว่ นคอกตี าร์ ประกอบด้วย
2.1 คอกตี าร์ คอื ส่วนที่เราใชจ้ ับคอร์ดเล่นโน๊ตตา่ ง ๆ มีความสำคญั มากสำหรบั กตี ารก์ ่อนซ้อื คณุ จะต้องดใู ห้ดีดงั ท่ี
แนะนำในหัวข้อการเลอื กซื้อกตี าร์ คอกีตารค์ วรจะทำมาจากไม้ มะฮอกกานี หรือไม้ ซีดา หลัการที่สำคญํ ท่ีสุดคอื
คอกีตารต์ ้องตรง ไม่มีรอยแตกหรือปริของเนื้อไม้
2.2 fingerbord เป็นแผ่นไมท้ ี่ตดิ ลงบนคอกีตาร์อกี ชัน้ เปน็ ตัวทีใ่ ช้ยึดเฟร็ต หรือลวดลายมุกประดับตา่ ง ๆ และ
เรากจ็ ะเล่นโนต๊ ตา่ ง ๆ ของกีตาร์บนหนา้ ฟงิ เกอร์บอรด์ นั่นเอง ไมท้ นี่ ยิ มใชจ้ ะเป็นไม้ โรสวูด หรือไม้ อโี บนี ซงึ่ มีเน้อื
ไมแ่ ขง็ เกินไป มีแแบท่แี บนเรียบของกีตารค์ ลาสสิก และกีตารโ์ ฟล์กับกตี ารไ์ ฟฟา้ ส่วนใหญจ่ ะโคง้ เล็กน้อยเพือ่ ให้เขา้
กับนว้ิ เวลาทาบบนคอ
2.3 เฟรต็ (fret) ทำมาจากโลหะฝงั อย่บู นคอกีตารเ์ ป็นตวั ทีจ่ ะกำหนดเสยี งของโนต็ ดนตรีจากการกดสายกีตาร์ลง
บนเฟรต็ ต่าง ๆ ซง่ึ ทำใหส้ ายมคี วามส้ันยาวตา่ งกนั ไปตามการกดสายของเราว่ากดท่ีชอ่ งใดระยะสายที่เปล่ยี นไปก็
คือระดบั เสียงที่เปลย่ี นไปด้วย สิ่งหนึง่ ที่ควรคำนึงถึงคอื ระยะระหวา่ งเฟรต็ แต่ละตวั ตอ้ งได้มาตรฐาน มิฉะนั้นจะทำ
ให้เสยี งเพย้ี นได้แต่เราไมส่ ามารถเช็คระยะดังกลา่ วไดเ้ ราอาจเช็คคร่าว ๆ จากฮาโมนิค จำนวนของเฟรต็ ก็จะขึ้นกับ
ความยาวของคอกีตาร์ซ่งึ แต่ละผู้ผลิตก็จะตา่ งกนั ไป ปกตกิ ีตาร์คลาสสิกจะมีประมาณ 18 ตวั กตี าร์โฟลค์ ประมาณ
20 ตวั แตก่ ีตารไ์ ฟฟา้ ซึ่งมกั จะมีการเลน่ โซโลจึงมีช่องให้เลน่ โนต๊ มากขึ้นประมาณ 22-24 ตวั และกตี ารค์ ลาสสิกซง่ึ
คอกีตาร์แบนราบ เฟร็ตก็จะตรง แตก่ ตี ารโ์ ฟล์คหรือกตี าร์ไฟฟา้ น้ันสว่ นใหญ่จะมีคอท่ีโค้งเลก็ นอ้ ยกจ็ ะมีเฟร็ตทโ่ี ค้ง
ตามไปดว้ ย
2.4 มุกประดับ จดุ ประสงคค์ ือใหใ้ ชส้ ังเกตตำแหน่งชอ่ งกีตารป์ กติจะฝังทช่ี อ่ ง (1),3,5,7,9,(10),12,14,17,19,21(ไม่
แนน่ อนตายตัวขน้ึ กบั ผูผ้ ลติ ) กีตารค์ ลาสสิกจะไม่มมี กุ ประดบั ฝังบนหนา้ ฟงิ เกอร์บอร์ดแต่จะฝงั ด้านข้างแทน แต่
กตี าร์โฟล์คและกีตารไ์ ฟฟ้าจะฝงั ไวท้ ้ัง 2 สว่ น(บางร่นุ ก็มแี ตด่ ้านข้าง) ท้งั นขี้ นึ้ กบั แต่ละผผู้ ลิตจะออกแบบ โดยทัว่ ไป
จะเป็นรูปวงกลม บางทกี ็รปู ขา้ วหลามตดั หรือทีแ่ พงหน่อยก็จะเปน็ ลายพวกไม้เลื้อย เลอ้ื ไปตามหนา้ ฟิงเกอรบ์ อรด์
2.5 ก้านเหล็กปรับแตง่ คอ (Truss Rod) ในกตี าร์ท่อี ยูใ่ นระดบั กลางข้นึ ไปจะมีแท่งเหล็กฝงั อยตู่ ามความยาวคอ
กีตาร์ด้วยเพอ่ื เสรมิ ความแขง็ แรงใหก้ บั กตี ารป์ ้องกันการโกง่ ตัวของคอกีตาร์ ซง่ึ สามารถปรบั แต่งไดเ้ มอื่ คอกีตาร์เกิด
โก่งงอไปแต่การปรบั แตง่ นั้นถา้ ไมแ่ นใ่ จอย่าเส่ยี ง เพราะถา้ คุณฝนื มันมากไปอาจทำให้คอกีตารเ์ สยี หายก็ได้ ใหผ้ ู้ท่ี
เขาชำนาญทำดีกวา่
3. ส่วนลำตวั กีตาร์ ประกอบดว้ ย
3.1 ลำตัวกีตาร์ (body) หมายถงึ 3 ส่วนไดแ้ ก่ ดา้ นหน้า(top) ควรทำมาจากไม้ อัลพาย สปรูซ (alpine spruce)
ดา้ นหลงั (back) และดา้ นข้าง (side) ควรเป็นไม้โรสวูด(rosewood) และท่ีสำคญั คอื ลักษณะของไมต้ ้องไม่มรี อย
แตก ไม่มตี าไมแ้ ละมีลายไมท้ ่ีละเอียดไปตามความยาวจงึ มีคณุ ภาพดี สว่ นทเี่ ว้าของ body บางทีเราก็เรยี กวา่ เอว
การยึดโครงไมด้ ้านใน(internal bracing) มีความสำคญั มากอีกเช่นกนั เพราะไมท้ ท่ี ำ body กตี าร์น้ันบางแตต่ ้องรับ
แรงดึงทสี่ ูงมาก ถา้ โครงยึดดงั กล่าวไมด่ ีหมายถึงกีตาร์คณุ ก็จะพงั ในเรว็ วันแน่นอน รปู แบบการยดึ จะแตกตา่ งกัน
ตามเคลด็ ลับของแต่ละผู้ผลิตและกีตารแ์ ต่ละรุน่ แต่ละประเภท โดยท่วั ไปลกั ษณะเป็นรูปพดั (ในรูปเป็นตัวอย่าง
โครงยดึ ด้านในของกตี าร์คลาสสิก)ไม่รวมถงึ กตี าร์ไฟฟ้าซ่งึ เปน็ ทรงตัน หรอื solid body
3.2 โพรงเสียง (sound hole) ก็คือรกู ลม ๆ หรือบางทกี ไ็ ม่กลม ที่อยูบ่ นด้านหนา้ ของ body น่ันเอง มีหนา้ ทีร่ บั
เสียงจากการส่ันของสายกตี ารท์ ำใหเ้ กดิ เสยี งก้องดงั ขน้ึ ซ่ึงอาจจะมีลายประดบั ต่าง ๆ อยู่รอบ ๆ โพรงเสียงเพ่อื
ความสวยงามอกี
3.3 สะพานสาย (bridge) เป็นตวั ท่ยี ึดสายให้ตดิ กับ body มักทำมาจากไมโ้ รสวูดหรือไมอ้ โี บนี ถา้ เป็นกตี าร์
คลาสสิกจะเจาะรใู นแนวขนานกับ body กตี าร์ 6 รไู ว้ใช้พนั สายกีตาร์ แต่ถ้าเปน็ กีตาร์โฟล์คจะเจาะรูในแนวต้ังฉาก
กับ body และยึดสายดว้ ย
หมดุ ยึดสาย(pin) แต่บางรนุ่ เชน่ ของ Ovation ไม่ใชห้ มุดแต่สอดสายจากด้านล่างของบรดิ จ์คล้าย ๆ กบั กตี าร์
คลาสสิกแตไ่ ม่ต้องพนั สายเพราะสายโลหะจะมีหมุดล็อคอยู่ทป่ี ลายสาย สำหรบั กีตาร์ไฟฟา้ จะทำจากโลหะเป็นสว่ น
ใหญม่ ที งั้ แบบธรรมดาคือมหี น้าท่ียึดสายอย่างเดียว และอกี แบบคือเปน็ แบบคันโยกทัง้ แบบเดิมและแบบใหม่ท่ีเรยี ก
กนั ตดิ ปากว่าฟรอยโรส การใส่สายจะยงุ่ ข้นึ มาอีกเลก็ น้อย
3.4 หย่อง (saddle) จะฝังหรอื ยดึ อยกู่ ับสะพานสาย เพือ่ รองรบั สายกีตาร์ท้ัง 6 สาย มีทัง้ แบบตรงสำหรบั กีตารื
คลาสสกิ และแบบโค้งสำหรับกตี าร์โฟล์ค บางแบบกแ็ ยกเป็น 2 ช้ินแล้วแตก่ ารออกแบบของแต่ละรุน่ บางรุน่
สามารถปรบั ความสงู ของตวั มันได้ แตท่ วั่ ๆ ไปถ้าเรารสู้ กึ ว่ามันสงู ไปเราก็สามารถจะถอดมาแล้วใชต้ ะไบหรอื
กระดาษทรายขัดท่ีฐานของมันให้ความสูงลดลง แตถ่ ้าต่ำไปกห็ าเศษไมห้ รอื กระดาษมาเสรมิ ให้สูงตามความพอใจ
3.5 ปิคอฟั (pick up) โดยท่วั ไปจะเห็นชดั บนกีตาร์ไฟฟ้ามากกว่าแต่ปจั จบุ นั กตี าร์โปรง่ บางรุน่ กม็ กี ารประกอบ
ปคิ อัฟไว้กบั กตี าร์เลยเชน่ ประกอบไวท้ ีใ่ ตบ้ รดิ จห์ รือใตห้ ยอ่ ง หรอื เปน็ ปคิ อฟั ทีซ่ ือ้ มาประกอบต่างหากก็มี สำหรับ
กีตารไ์ ฟฟ้าจะมคี วามสำคัญมากเพราะมันจะรบั แรงสั่นสะเทือนของสายไปแปลงเปน็ กระแสไฟฟา้ สง่ ไปยงั แอมป์
แล้วขยายเสยี งต่อไปทำใหั้สามารถปรบั แต่งเสียงได้มากมายหลายรปู แบบแลว้ แต่คณุ ต้องการรายละเอียดดใู น
อปุ กรณ์เสรมิ สำหรบั กีตารไ์ ด้
3.6 ชดุ คนั โยก (tremolo bar) ถอื วา่ เปน็ เสน่หอ์ ยา่ งหนง่ึ ของกีตารไ์ ฟฟ้าเลยทีเดยี วแบบเกา่ ท่เี หน็ ใน fender
stratocaster รนุ่ เก่า ๆ ซ่งึ จะกดลงไดอ้ ยา่ งเดยี ว หรือคันโยกแบบ Bigsby ซง่ึ มกั พบในกีตารแ์ บบ archtop หรือ
semi acoustic electric ซ่งึ ใชเ้ ลน่ เพลงแจ๊ส หรือคันทรีเป็นตน้ และปัจจุบันวงการกตี ารไ์ ฟฟา้ กไ็ ด้พัฒนาไปอีก
ระดบั กับคนั โยกทีเ่ ราเรยี กกันตามชอ่ื ผู้ผลิตคือฟลอยโรสหรือคันโยกอิสระนั่นเองซงึ่ สามารถโยกข้นึ ลงไดอ้ ย่างอิสระ
ชว่ ยให้นักกตี ารสื ามารถสรา้ งสรรค์สำเนียงดนตรีในแบบใหม่ ๆ ได้ไม่สนิ้ สดุ
คนั โยก Bigsby แบบตา่ ง ๆ
คนั โยกแบบ Floyd Rose
3.7 สวิทช์เปลี่ยนปิคอฟั มักมใี นกีตาร์ไฟฟา้ ท่มี ีปิคอฟั หลาย ๆ ตวั เชน่ 2 หรือ 3 ตวั ใช้ในการเปลี่ยนไปใชป้ คิ อัฟ
ตวั ตา่ ง ๆ ซง่ึ เสียงก็จะต่างกนั ไปด้วยเชน่ ตอ้ งการเล่น rythym อาจใช้ตัวกลางหรอื ตัวบนเมอ่ื จะ lead กเ็ ปลี่ยนมา
ใชต้ ัวล่างที่ติดกบั บรดิ จเ์ พราะใหเ้ สยี งที่แหลมกว่าเปน็ ตน้
3.8 ปุม่ ควบคุ่มเสียง โดยทัว่ ไปจะมี 2 ชุด คือชดุ ควบคมุ ความดงั เบา(volume control) และชดุ ควบคุมเสยี งทมุ้
เสยี งแหลม(tone control)
3.9 ชอ่ งเสียบสายแจค็ ไปยังแอมป์ ใชเ้ สยี บแจค็ เพ่ือต่อสายไปยงั แอมปห์ รือผ่านเขา้ ยงั ชุดเอฟเฟ็คต่าง ๆ ของคุณ
3.10 ท่ใี สส่ ายสะพายกีตาร์ ไว้ใส่สายสะพายกีตาร์เพอื่ เวลาคณุ ยืนเลน่
3.11 ปคิ การด์ (pick guard) สำหรบั กีตารคลาสสกิ ซึง่ มกั ไม่ใชป่ ิคในการเล่นจงึ ไมม่ ีปิคการด์ แตก่ ีตาร์โฟล์คมัก
ใชป้ ิคเลน่ จงึ มีปคิ การ์ดไว้ปอ้ งกันปิคขดู กบั body กตี าร์
บทที่ 2
ประมวลลสาระ เนือ้ หาบทเรยี น
เรื่อง “เครอื่ งหมายและสญั ลักษณ์และบริบท”
*************************************************************************************
เครื่องหมายและสญั ลกั ษณท์ างดนตรีสากล
การอ่านโน้ตดนตรีหรือบทเพลงตา่ งๆ กเ็ ฉกเช่นเดยี วกันกับการอา่ นหนังสือโดยทั่วไป กลา่ วคือผูเ้ รยี นหรอื ผอู้ า่ นจะตอ้ ง
จดจำสัญลักษณห์ รือพยญั ชนะเบ้ืองต้นทีใ่ ช้แทนเสยี ง เช่น ก,ข,ค,……ฮ. หรือสระตา่ ง ๆ แล้วจึงนำส่ิงเหล่านั้นมารวมกันแล้วสะกด
เป็นคำ ๆ จงึ จะมีความหมาย ท่ีเราสามารถใชเ้ ขียนเปน็ การแสดงออกถึงความรู้สึกนึกคิดตา่ งๆ และเป็นการติดต่อสื่อสารกบั ผูอ้ ่ืน
ในทางดนตรีกเ็ ชน่ กันความคิดของผปู้ ระพนั ธ์เพลง(Composer) ที่แต่งเพลงออกมาจะถกู บนั ทึกไว้ด้วยตวั โนต้ เพื่อให้นกั
ดนตรไี ดเ้ ลน่ และถ่ายทอดอารมณอ์ อกมาใหผ้ ฟู้ ังได้โดยท่ีนกั ดนตรผี นู้ ั้นไมเ่ คยรจู้ ักมาก่อนได้ ตัวโน้ตท่ีใช้บันทึกในลักษณะตา่ งๆนั้น
จะกลายเป็นโสตภาษาของผู้ฟงั ความรู้ทว่ั ไปเก่ียวกบั ดนตรีสากล
-ตัวโน้ตดนตรี
เป็นระบบการบนั ทึกแทนเสียงดนตรีทม่ี มี าตงั้ ศตวรรษท่ี11 โดย กโี ด เดอ อเรซ์โซ(Guido d’ Arezzo,995-1050)
บาทหลวงชาวอติ าเลยี น ตอ่ มาไดม้ กี ารพฒั นาอย่างต่อเน่ืองจนกระทัง่ สมบรู ณ์อย่างทเ่ี ราได้พบเห็นและใช้ กนั ในปัจจบุ นั ตัวโนต้
สามารถบอกหรือสือ่ ใหน้ ักดนตรที ราบถึงความสั้น – ยาว, สูง – ตำ่ ของระดับเสยี งได้ เราจงึ ควรมีความรพู้ น้ื ฐานเก่ียวกบั ลกั ษณะ
ของตัวโน้ตดนตรี (Music Notation) พอสังเขปดังน้ี
จากภาพข้างตน้ สามารถอธิบายได้วา่
โน้ตตวั กลม 1 ตัว ไดต้ ัวขาว 2 ตวั หรอื ได้ตัวดำ 4 ตัว
โน้ตตวั ขาว 1 ตัว ได้ตัวดำ 2 ตัว
โน้ตตวั ดำ 1 ตวั ได้ตัวเขบต็ หนง่ึ ชัน้ 2 ตัว
โน้ตตัวเขบต็ หน่ึงชั้น 1 ตัว ได้ตัวเขบ็ตสองชนั้ 2 ตัว
-ตัวหยุดหรอื เคร่ืองหมายพกั เสยี ง
-ระดบั เสียง
ดนตรีประกอบด้วยเสยี ง (Tone) หลายๆ เสียง มาต่อๆ กัน แตล่ ะเสียงมรี ะดบั เสียงสูงตำ่ และความยาวทต่ี ่างกนั เมอ่ื นำ
เสยี งเหล่าน้ันมาตอ่ ๆ กนั จึงไดเ้ ป็นเพลงออกมา ในบทนี้เราจะมาพดู ถึงเรอื่ งของระดบั เสียงกนั สำหรบั เร่ืองความยาวของเสยี งไดพ้ ูด
ไวใ้ นบทเรียนเรอ่ื ง จังหวะ ครบั
ระดบั เสียง (Pitch) คอื ความแหลมหรือทุ้มของเสียง เสยี งแหลมคือเสียงสงู เสยี งทุม้ คอื เสยี งตำ่ ยกตวั อยา่ ง เช่น เสยี ง
ผู้หญงิ มักจะสงู กวา่ เสียงของผูช้ าย เสยี งแกว้ แตกเป็นเสียงทสี่ งู เปน็ ต้น สำหรบั เปียโน คีย์ท่อี ยู่ดา้ นขวาจะใหเ้ สยี งทสี่ ูงกวา่ คีย์ทอี่ ยู่
ด้านซ้ายเสมอ เพราะฉะน้ันคีย์ซา้ ยสุดบนเปียโนจะเป็นเสียงที่ต่ำทส่ี ุด (ทวนความจำหน่อยนะครับว่า คยี ์ซ้ายสุดของเปยี โนคอื ตัว A-
ลา) และคียท์ อ่ี ย่ขู วาสุดจะเปน็ เสยี งท่สี งู ทีส่ ดุ ของเปียโน (คีย์ขวาสดุ ของเปยี โนคือตัว C-โด)
-การเพิ่มอตั ราจงั หวะตัวโนต้ และตัวหยดุ
โดยปกติอตั ราจงั หวะของตวั โน้ตมีค่าผนั แปรตามเครอ่ื งหมายกำหนดจงั หวะดังทก่ี ลา่ วมาแลว้ ขา้ งตน้ ดว้ ยขีดจำกัดของอตั รา
จังหวะที่ถูกกำหนดโดยเคร่ืองหมายกำหนดจงั หวะ จงึ ต้องมวี ิธกี ารเพม่ิ จงั หวะให้กับตัวโน้ตและตัวหยุด เพ่อื เพ่ิมความสามารถให้กับ
ตัวโนต้ และตวั หยุด นอกจากนี้ยงั เพ่มิ สีสันของทำนองเพลงดว้ ยการเพิม่ อตั ราจงั หวะมีหลายวธิ ีดงั นี้
1. การโยงเสยี ง(Ties)
การเพิ่มอตั ราจงั หวะโดยการใชเ้ สยี งโยงเสียงทม่ี ีลกั ษณะเป็นเสน้ โคง้ ใช้กบั ตัวโนต้ ทม่ี รี ะดบั เสยี งเดยี วกันเดยี วกนั เท่าน้ัน
ใช้ได้ 2 กรณี คอื ใช้โยงเสียงตวั โน้ตภายในหอ้ งเดียวกันหรือโยงเสยี งต่างหอ้ งกไ็ ด้ มีความหมายคล้ายกบั เคร่อื งหมายบวก (+) การ
เขยี นเสน้ โยงเสยี งให้เขยี นเส้นโยงท่ีตำแหน่งหวั ตัวโน้ต สว่ นตัวหยุดไม่ต้องใช้เคร่อื งหมายโยงเสียง เช่น
การเปรียบเทียบระหวา่ งตัวโนต้ ประจดุ และตวั หยุดตัวหยุดประจดุ
2. เครอื่ งหมายตาไก่หรอื ศนู ย(์ Fermata)
เป็นเครอ่ื งหมายทางดนตรีทมี่ ลี กั ษณะคลา้ ยตาไก่ คนไทยเราก็เลยนิยมเรยี กงา่ ย ๆ ตามลกั ษณะทเ่ี หน็ ว่า “ตาไก”่ ใช้
สำหรบั เขียนกำกบั ตวั โน้ตตัวใดตัวหน่งึ ท่ีผู้แต่งตอ้ งการให้ยดื เสียงออกตามความพอใจ การเขยี นเครอื่ งหมายตาไก่นิยมเขียนกำกบั ไว้
ท่ีหัวตวั โน้ต และจะมผี ลกับตวั โน้ตตัวนั้น ๆ ไมว่ า่ ตวั โน้ตลักษณะใดกต็ าม
-เครอ่ื งหมายแปลงเสยี ง
เครื่องหมายแปลงเสยี ง เป็นสญั ลักษณท์ างดนตรีท่ีใช้บันทึกเพ่ือให้ระดบั เสียงของโน้ตตวั นน้ั เปล่ียนแปลงไปจากระดบั
เสยี งเดมิ เครือ่ งหมายแปลงเสยี งมอี ยู่ 5 ชนิดได้แก่
แฟล็ต (Flat) ! เปล่ียนระดบั เสยี งของตวั โน้ตให้ต่ำลง 1/2 ขั้น
ชาร์ป (Sharp) # เปล่ียนระดับเสยี งของตัวโน้ตให้สูงข้นึ 1/2 ข้ัน
ดบั เบิลชาร์ป (Double Sharp) ? เปลย่ี นระดับเสียงของตัวโน้ตใหส้ งู ข้นึ 1 ขั้น
ดบั เบิลแฟลต็ (Double Flat) % เปล่ียนระดับเสียงของตัวโนต้ ใหต้ ำ่ ลง 1 ขั้น
เนเจอรัล (Natural) § กำหนดให้ตัวโน้ตกลบั สู่ระดับเสียงปกติ
-กญุ แจประจำหลกั
คือสญั กรณท์ างดนตรชี นดิ หน่ึงทใี่ ชแ้ สดงถงึ ระดับเสยี งของตัวโนต้ ท่บี ันทึก กำกับไวท้ ี่ตำแหนง่ เร่มิ ตน้ ของบรรทดั หา้ เส้น
ซ่งึ จะเปน็ ตวั บ่งบอกชอื่ และระดบั เสียงของตวั โน้ตที่อยบู่ นเส้นน้นั
ประเภทของกุญแจประจำหลกั
กุญแจประจำหลักในการบันทึกดนตรสี มัยใหม่มีใช้อยู่เพียงสามชนิดคือ กุญแจซอล กุญแจโด และกญุ แจฟา ซ่งึ กุญแจแต่
ละชนิดจะอ้างถงึ เสียงซอล โด และฟา ตามลำดับ ตามตำแหน่งท่ีกญุ แจนั้นไดไ้ ปคาบเกีย่ วไว้บนบรรทดั เส้นและชอ่ งอ่นื ๆ ก็จะ
สัมพันธก์ บั โนต้ บนเสน้ น้ัน
รปู ร่างชอ่ื ใช้ระบโุ น้ตตำแหน่งทค่ี าบเกยี่ ว
กุญแจซอล
กญุ แจประจำหลกั G
(G-clef) เสียงซอลท่ีอยู่เหนอื เสียงโดกลาง ส่วนโค้งก้นหอยตรงกลาง
กญุ แจโด
กญุ แจประจำหลัก C
(C-clef) เสียงโดกลาง (middle C) กงึ่ กลางกุญแจโด
กญุ แจฟา
กุญแจประจำหลกั F
(F-clef) เสียงฟาท่อี ย่ใู ตเ้ สียงโดกลาง หัวของกุญแจ หรือระหวา่ งสองจดุ
การใช้ความแตกตา่ งของกญุ แจประจำหลกั กเ็ พ่ือให้สามารถบันทึกดนตรีสำหรบั เครื่องดนตรแี ละเสียงอ่ืนได้ทกุ อย่าง
แมว้ า่ จะมธี รรมชาตขิ องเสียงที่แตกตา่ งกนั เช่นเสยี งบางอยา่ งอาจฟังดูแลว้ สงู กวา่ หรอื ตำ่ กวา่ เสียงอื่น ซง่ึ เป็นการยากท่ีจะ
บนั ทกึ เสยี งทกุ อย่างโดยใชก้ ญุ แจประจำหลกั เพยี งชนดิ เดียว เนื่องจากบรรทัดมเี พียงแค่หา้ เสน้ ในปจั จุบัน แต่อาจนำเสนอระดับ
เสยี งของตวั โน้ตไมเ่ พยี งพอตอ่ จำนวนโน้ตทว่ี งออเคสตราสามารถสรา้ งขึ้น แมจ้ ะใช้เส้นน้อย(ledger line) มาชว่ ยกต็ าม การใช้
ความแตกต่างของกญุ แจสำหรบั เคร่อื งดนตรีและเสียงแต่ละชนดิ มีสว่ นชว่ ยใหเ้ ขียนตัวโนต้ ไดง้ า่ ย ลดจำนวนการใชเ้ สน้ น้อย และ
ปรับคียด์ นตรีได้งา่ ย ดงั นั้นกุญแจซอลจึงใช้แทนการนำเสนอเสียงสงู กุญแจโดสำหรบั เสยี งกลาง และกญุ แจฟาสำหรับเสียงตำ่
ตำแหนง่ ของกญุ แจประจำหลกั
กญุ แจประจำหลกั สามารถวางได้หลายตำแหนง่ ปกตแิ ลว้ จะวางไว้ใหค้ าบเกีย่ วกบั เส้นใดเส้นหนึ่งบนบรรทดั และในเมือ่
บรรทัดมี 5 เส้น จึงมีความเป็นไปได้ทัง้ หมด 15 แบบในการใช้งาน อย่างไรกต็ ามมี 6 แบบท่ีเปน็ การกำหนดซ้ำซ้อนกนั ตัวอยา่ งเชน่
กญุ แจซอลทก่ี ำกบั เส้นท่ีสาม จะมีคา่ เทา่ กบั กุญแจโดทีก่ ำกับเส้นที่หนง่ึ เป็นต้น ดังน้ันจึงเหลือเพยี ง 9 แบบเท่านัน้ ท่ใี ห้ผลแตกต่าง
กนั ซ่งึ ทกุ แบบเคยใชใ้ นประวตั ศิ าสตรท์ ี่ผา่ นมาแล้วทง้ั ส้ิน ไดแ้ ก่ กุญแจซอลบนสองเสน้ ล่าง กุญแจฟาบนสามเสน้ บน และกุญแจโด
บนทุกเส้นยกเว้นเส้นท่หี า้ (เนื่องจากกญุ แจโดบนเสน้ ทห่ี ้าซำ้ ซ้อนกับกุญแจฟาบนเส้นท่ีสาม)
แตส่ ำหรับทุกวันนี้ กุญแจทใ่ี ชเ้ ปน็ ปกตมิ ีเพียงแค่ กญุ แจเทรเบลิ กุญแจเบส กุญแจอัลโต และกุญแจเทเนอร์ ซงึ่ สองอยา่ ง
แรกมักใช้ควบคกู่ นั บอ่ ยครงั้ กวา่
เครอ่ื งหมายและสญั ลกั ษณ์บนแท็บกตี าร์
สญั ลักษณใ์ นแทบ็ กีตา้ ร์ เป็นสัญลกั ษณ์ที่บอกผู้เลน่ กีต้าร์ว่าต้องทำอย่างไรเม่อื อา่ นแทบ็ กีตาร์ สัญลักษณอ์ าจแสดงถงึ
Bend (การดันสาย), Palm mute (การอุดสาย), Hammer on (การใช้นวิ้ มอื ซ้ายกดลงบนสายอย่างแรงและรวดเร็ว), Pull off
(การถอนน้ิวมอื ซา้ ยท่ีกดสายออกอย่างรวดเร็ว หลังจากทด่ี ดี สาย) และอน่ื ๆ
การเล่นกีตารด์ ้วยแทบ็ เป็นวธิ ีทีง่ ่ายกวา่ หากคณุ ไมท่ ราบวิธอี ่านชีทเพลงแบบดงั้ เดมิ แท็บกตี ารม์ ี 6 บรรทัด อา่ นจากซา้ ย
ไปขวา เสน้ ด้านล่างแสดงถงึ สายท่ี 6 หรอื สาย E (ตำ่ ) ซึง่ เป็นสายท่หี นาที่สดุ บนกตี าร์ และเส้นบนสุดของแท็บกีตาร์คือสายท่ี 1
หรือสาย E (สงู ) ซงึ่ เป็นสายท่บี างทสี่ ุดบนกตี าร์
แท็บมักถกู เขยี นอยา่ งตรงไปตรงมา แต่มสี ญั ลักษณบ์ างอย่างทไี่ ม่ไดใ้ ช้บอ่ ย ลองดูสญั ลักษณ์ทง้ั หมดของแท็บกีตารไ์ ด้ที่
ด้านล่างน้ี
สัญลกั ษณท์ ้ังหมดของแทบ็ กีต้าร์
มาดกู ารใช้งานจรงิ บนแทบ็ ทร่ี วมสญั ลักษณ์เหล่านี้ไว้
ดว้ ยกัน น่ีคอื เทคนคิ ท่วั ไปที่นักกีตารใ์ ชแ้ ละส่วนใหญจ่ ะเปน็
สญั ลกั ษณ์ที่คณุ มักจะเหน็ ในแท็บ
อย่างทีเ่ หน็ แม้ว่าจะอยบู่ นแท็บเพียงบาร์เดยี วกม็ ีการเล่นทหี่ ลากหลายและมีการใชเ้ ทคนคิ ตา่ ง ๆ มากมาย ซง่ึ เป็นเหตผุ ล
วา่ ทำไมการทำความคุ้นเคยกบั สัญลักษณ์แท็บกีต้าร์จึงสำคญั มาก
บริบทการบบรรเลง
ท่าสำหรับนง่ั เลน่
ทา่ ทางสำหรบั การเลน่ กตี าร์มีความสำคัญ ทา่ นง่ั ท่ดี เี ป็นจุดท่เี ช่อื มโยงระหวา่ งระบบการวางมอื ไปถึงการเคลอื่ นนวิ้ ถา้ ท่า
นั่งไมถ่ กู ตอ้ งจะทำให้ตำแหนง่ แขนและข้อมือผดิ ปกติทำให้วางนว้ิ ไม่ถูกตอ้ งทงั้ ลำตวั จะเกิดอาการเกร็งขณะทีเ่ ล่นทำใหเ้ กิด
ความเครยี ดขณะเล่น ทา่ น่ังท่ีดหี ลงั ตอ้ งตงั้ ตรง ท่าน่งั ทีถ่ ูกต้องไมเ่ พยี งแต่ทำใหผ้ ้เู ลน่ ดสู ง่างามเทา่ นน้ั แตท่ ำใหเ้ กิดความมัน่ ใจและ
เกิดการกระตุน้ ระบบ การหายใจใหด้ ขี ้นึ อีกทางหนึ่งการถือกีตาร์ไฟฟ้าเพื่อจะเลน่ ควรอยูใ่ นทา่ ท่มี ีความสบายทีส่ ุด ขณะเล่นควรหัก
ข้อมอื ซา้ ยให้นิ้วอยใู่ นตำแหน่ง ช่องบนคอกีตาร์ (Fingerboard) เพื่อทำใหม้ ีการเคลอื่ นทข่ี องน้ิวตา่ ง ๆ ไดด้ ี ในเบ้ืองต้นใหก้ ดน้วิ บน
สายกีตาร์ เพอ่ื ใหเ้ กิดความมั่นใจในการกดนิ้วของแตล่ ะสาย
ทา่ สำหรบั การนัง่
ท่ายนื สำหรบั เลน่ กีตาร์
สำหรับท่ายืนเล่นกตี ารน์ ยิ มเล่นบนเวทีแสดงทวั่ ไป โดยเฉพาะเพลงประเภท ปอ๊ ป ร็อค หรอื เพลงโฟลคคนั ทรี (Folk
Country) เนือ่ งจากมีอสิ ระในการเล่นของนกั ดนตรีทา่ ยืนท่ีดีเปน็ ส่วนทเ่ี ชือ่ มโยงระหว่างระบบการวางไปถงึ การเคลือ่ นน้ิวถ้ายืนไม่
ต้องจะทำให้ตำแหนง่ แขนและขอ้ มอื ผิดปกตทิ ำใหว้ างน้ิวไมถ่ กู ตอ้ งทงั้ ลำตัวจะเกิดอาการเกร็งและทำใหเ้ กดิ ความเครียดขณะเลน่
การจับกีตารด์ ้วยท่ายนื ควรอยู่ในท่าที่มีความสบายที่สดุ ขณะเลน่ หกั ข้อมอื ซา้ ยใหน้ ว้ิ อยู่ในตำแหน่งช่องบนคอกตี ารเ์ พื่อทจี่ ะทำใหม้ ี
การเคล่ือนที่ของนว้ิ ตา่ งๆ ได้ดี ในเบอื้ งต้นให้กดน้ิวบนสายกตี ารเ์ พอ่ื ให้เกดิ ความ มั่นใจในการกด สายกตี ารข์ องแต่ละสาย
เช่นเดยี วกบั ท่าน่ังเลน่
ทา่ สำหรับการยืน
วิธีการจบั กีตา้ ร์
ลกั ษณะการเล่นและจับกีตา้ รท์ ถี่ ูกน้นั ต้องใชม้ อื ซ้ายจับทีค่ อ สว่ นบนทางลกู บิด โดยวางทางสว่ นทา้ ย ของกตี ้าร์เอียงลง
ทางเบื้องขวาให้ไดม้ ุม 45 องศากับโคนขา รองรบั ไว้ใหแ้ นบชิดกบั ตวั และการวางแขนนั้นให้เปน็ ไปตามธรรมชาติ ให้ขอ้ ศอกขวา
หนบี ขอของกีต้าร์ทางด้านทา้ ยน้นั ให้กระชบั เพือ่ สะดวกสำหรับขอ้ มือขวาจะได้ใช้ "ปคิ " ดดี บรรเลงเพลง
การวางระยะหา่ งระหวา่ งง่ามนวิ้ มอื ทั้งสอง เพ่อื รองรบั คอกตี า้ ร์น้ัน เพื่อสะดวกต่อการเคลื่อนท่ขี องนิ้วมอื ได้อยา่ งรวดเรว็
ขณะเลน่ ควรระวงั อยา่ ถา่ งช่องมอื ใหห้ า่ งจนเกนิ ไป จะทำให้ไม่สะดวกในการเคลอื่ นนว้ิ ทก่ี ดลงบนสายในเฟรตตา่ งๆ น้ัน วางกตี า้ ร์
ลงบนท่อนขา ใหด้ ้านหน้าของกตี า้ รน์ ้นั เงยขึ้นเลก็ นอ้ ย โดยให้ขอบบนฃิดกบั ตัว ส่วนแขนขวากบั ศอกช่วยกดตัวกีต้ารไ์ ว้ จะทำให้
สว่ นคอของกีตา้ ร์ตง้ั ขึ้นได้ส่วนดีดไดอ้ ยา่ งถนัด ระวงั อยา่ ให้แขนขวาและข้อศอกขวาค้ำอยู่ส่วนบนของขอบกตี ้ารจ์ นเกินไป จะทำให้
ดดี ไม่ถนัด ขอให้ท่านฝึกปฏบิ ตั กิ ารถือกีตา้ ร์ใหถ้ ูกวธิ ีตั้งแต่เริม่ แรกนี้ ท่านกจ็ ะประสบความสำเร็จไดเ้ รว็ ยง่ิ ขน้ึ
การต้ังสาย
การตงั้ สายกตี าร์
การตัง้ สายกตี า้ ร์นัน้ มอี ยู่หลายวิธีแตส่ ่วนมากแล้ววิธีท่ีนิยมใช้กนั มากและง่ายคอื การตงั้ สายโดยการเทยี บเสียงของแตล่ ะ
สาย การตงั้ สายด้วยวิธนี ้จี ะต้องมที กั ษะการฟงั เสียงทดี่ ใี นระดบั หนึ่งเพ่ือทีจ่ ะฟังออกว่าเสียงน้ันตรงตามโนต้ หรอื ยัง สำหรบั คนทเี่ ร่ิม
เล่นในตอนแรกอาจจะยังฟังแล้วแยกเสียงไมอ่ อก ก็แนะนำใชเ้ คร่ืองตงั้ สายมาช่วยตั้งไปก่อน และก็พยายามหัดตั้งสายดว้ ยตนเอง
การต้ังสายน้นั ถือเป็นทกั ษะพ้นื ฐานสว่ นหนึง่ ทีค่ นหัดเลน่ กีตา้ ร์ควรจะร้เู ป็นอย่างแรก
การตง้ั สายแบบมาตรฐาน ( Standard E ) ท่ีชอื่ Standard E เพราะว่าโนต้ ของสายแรกเปน็ โนต้ E สว่ นโนต้ ของสายอนื่
จะเป็นดังรปู ด้านบนโดยจะเร่ิมตง้ั จากสาย 1 จนถงึ สายที่ 6 ( ตัวอกั ษรสเี หลอื่ งในรปู ด้านบนคอื โน้ตในตำแหนง่ ทีก่ ด )
การตั้งเสยี งของสาย 1 โดยปรบั สายจนได้เสยี งโน้ต E ( ถ้าสามารถฟงั เสยี งของโน้ตออก ) แต่ถา้ ยังฟังเสยี งโนต้ ไม่ออกกไ็ ม่
เปน็ ไร ก็ใหป้ รบั สายให้ตึงพอประมาณไมต่ งึ หรอื หยอ่ นจนเกนิ ไป ( สำหรบั คนท่เี รม่ิ หดั เลน่ ไมต่ อ้ งกังวลเรื่องโนต้ จะตรงหรอื ไม่ ถา้ เรา
เล่นหรอื ซอ้ มคนเดยี ว แตถ่ ้าเลน่ เป็นวงแล้วส่วนมากกจ็ ะใช้เครื่องตงั้ สาย เพอื่ ความถกู ตอ้ งของเสยี ง และ ทั้งวงจะไดเ้ ลน่ อยใู่ นคยี ์
เดียวกัน )
การตง้ั เสียงของสาย 2 โดยการกดท่ี สาย 2 ชอ่ ง 5 เทียบเสียงกบั สายเปล่าสาย 1แล้วดดี ทัง้ 2 เส้นเทียบกนั ถา้ ระดับเสยี ง
ตำ่ กวา่ สาย 1 ก็ปรับให้สายตึงขึ้น ถา้ ระดับเสียงสงู กว่ากค็ ลายสายให้หย่อนลงจนได้ระดับเสียงเดียวกนั
การตง้ั เสยี งของสาย 3 โดยการกดท่ี สาย 3 ชอ่ ง 4 เทียบเสียงกับสายเปล่าสาย 2 แลว้ ดีดทั้ง 2 เส้นเทียบกันถ้าระดบั
เสียงตำ่ กวา่ สาย 2 กป็ รบั ให้สายตงึ ขน้ึ ถ้าระดบั เสียงสงู กวา่ กค็ ลายสายให้หย่อนลงจนไดร้ ะดับเสียงเดยี วกัน
การตง้ั เสียงของสาย 4 โดยการกดที่ สาย 4 ช่อง 5 เทียบเสียงกบั สายเปลา่ สาย 3 แล้วดีดทง้ั 2 เส้นเทียบกนั ถ้าระดับ
เสียงตำ่ กวา่ สาย 3 ก็ปรับให้สายตงึ ขน้ึ ถ้าระดับเสยี งสูงกว่ากค็ ลายสายใหห้ ยอ่ นลงจนได้ระดบั เสียงเดียวกัน
การตัง้ เสียงของสาย 5 โดยการกดที่ สาย 5 ช่อง 5 เทียบเสยี งกับสายเปล่าสาย 4 แลว้ ดีดทั้ง 2 เส้นเทียบกันถ้าระดบั
เสียงตำ่ กว่า สาย 4 กป็ รับให้สายตงึ ขนึ้ ถา้ ระดบั เสียงสูงกว่ากค็ ลายสายใหห้ ย่อนลงจนไดร้ ะดับเสียงเดียวกัน
การตง้ั เสียงของสาย 6 โดยการกดที่ สาย 6 ช่อง 5 เทียบเสยี งกบั สายเปลา่ สาย 5 แลว้ ดีดทั้ง 2 เสน้ เทียบกนั ถ้าระดับ
เสียงต่ำกวา่ สาย 5 ก็ปรับให้สายตึงข้ึน ถ้าระดบั เสียงสูงกวา่ ก็คลายสายให้หย่อนลงจนไดร้ ะดบั เสยี งเดียวกัน
บทที่ 3
เรอ่ื ง “คอรด์ และการบรรเลงบทเพลง”
*************************************************************************************
วธิ ีการ จบั คอร์ดกตี าร์
ส่วน1 ทำความร้จู กั กบั คอรด์
1. จำสายให้ได้. วิธเี ริ่มตน้ ทดี่ ที ส่ี ุดคือการทำความคุ้นเคยกบั สายบนกีตารข์ องคุณเสยี กอ่ นว่าแตล่ ะเสน้ มคี วามสัมพันธ์
กบั นิ้วของคณุ อยา่ งไร เพอ่ื ให้ง่ายข้ึน เราจะกำหนดหมายเลขใหก้ บั น้วิ และสายกตี าร์ โดยสายกตี ารข์ องคณุ จะมหี มายเลขดงั นี้:
ในแนวตัง้ สายจะเรยี งจากเลข 1 – 6 จากเสียงสงู ไปยังเสยี งตำ่
ในแนวนอน ตัวเลขจะหมายถงึ ตำแหน่งของเฟร็ท
เมอื่ พดู ว่า “ใหว้ างน้วิ ทห่ี นึ่งลงบนเฟร็ทที่ 3” หมายถึง คุณจะตอ้ งวางนว้ิ ของคณุ “ระหว่าง” เฟร็ทท่ี 2 และ 3 เพื่อให้สายกตี าร์
แนบลงกับเฟรท็ ที่ 3
ลองใช้วลภี าษาองั กฤษนีเ้ พ่ือชว่ ยให้คุณจำไดว้ า่ สายแต่ละเสน้ จะต้องต้งั เสียงให้ตรงกับโนต้ ไหนบา้ ง เรียงจากสายทีเ่ สยี งต่ำสุดไปยงั
เส้นทเี่ สียงสงู สดุ :
Eat All Day, Get Big Easy.[1]
2. กำหนดหมายเลขใหก้ ับนิว้ ของคุณ. ลองดูท่มี ือซา้ ยของคุณและจินตนาการว่ามตี วั เลขแปะอยูบ่ นน้ิว น้วิ ชีเ้ ป็นเลข 1
น้วิ กลางเป็นเลข 2 นิ้วนางเปน็ เลข 3 และนว้ิ ก้อยเป็นเลข 4 นว้ิ โปง้ จะถกู แทนดว้ ยตัว “T” แตใ่ นบทความนีค้ ุณจะยงั ไมต่ อ้ งใช้
นวิ้ โป้งในการจับคอร์ด
3. เริม่ จากคอร์ด C. คอร์ดแรกที่เราจะเรียนคอื คอร์ด C ซึง่ เป็นคอร์ดพืน้ ฐานทีส่ ดุ ในดนตรี กอ่ นท่จี ะเรม่ิ เรามาทำ
ความเข้าใจก่อนว่าคอรด์ คอื อะไร คอรด์ ท่ถี กู ต้องน้นั ไมว่ ่าจะเป็นการเล่นจากเปียโน กีตาร์ หรอื ใหห้ นหู ลายๆ ตัวท่ีถกู ฝึกมาแลว้ ร้อง
ออกมา กจ็ ะฟังดเู หมือนมโี นต้ สามตัวหรือมากกว่าดังพรอ้ มๆ กัน (โนต้ 2 ตัวเรียกว่า “โน้ตคู”่ มีประโยชนท์ างดนตรแี ตไ่ ม่นบั เป็น
คอร์ด) คอรด์ สามารถประกอบดว้ ยโน้ตมากกวา่ 3 ตัว แต่คอรด์ แบบนอี้ ยูน่ อกเหนือขอบเขตของบทความน้ี นคี่ อื หน้าตาของคอร์ด
C บนกีตาร์:
โน้ตเสยี งต่ำท่ีสุดอยู่ท่เี ฟรท็ ท่ี 3 ของสาย A คือ: C
โน้ตตวั ตอ่ ไปอยูท่ ี่ เฟรท็ ท่ี 2 ของสาย D คอื : E
สังเกตวา่ บนสาย G ไม่ต้องวางน้ิว เมือ่ ตคี อรด์ C สายนี้จะถูก “เปิด” ไว้
โน้ตเสยี งสงู ทสี่ ดุ อยูท่ ี่ เฟรท็ ท่ี 1 ของสาย B คือ: C
สำหรบั คอรด์ ซีเมเจอร์ จะไม่เลน่ สายล่างสดุ กับบนสุดของกีตาร์
4. ลองเลน่ โน้ต. เลน่ โนต้ ทอ่ี ยูใ่ นคอร์ดทีละตวั โดยเรมิ่ จากเสียงต่ำไปเสยี งสงู ไม่ตอ้ งรีบและต้ังใจกบั การกดน้ิวลง
บนเฟรท็ ให้แน่นและดดี สาย ปล่อยใหโ้ น้ตดงั ให้นานที่สดุ เทา่ ทท่ี ำได้ แล้วค่อยย้ายไปเลน่ โน้ตตัวอืน่ ดงั น:ี้
กดนิว้ สามบน เฟร็ทท่ี 3 ของสาย A ตามภาพด้านบน แล้วดดี สาย ปลอ่ ยให้โน้ตดังจนคอ่ ยๆ เงยี บไป นั่นคอื โนต้ ตัว C
กดนว้ิ สองบนเฟรท็ ที่ 2 ของสาย D จากน้ันดีดและปล่อยให้โน้ตดงั จนเงียบ น่ันคอื โนต้ ตัว E
พกั น้ิว! ดีดสายเปลา่ โดยไมต่ ้องกดน้ิวบนสาย G
กดนว้ิ หน่ึงบนช่องแรกของสาย B แลว้ ปลอ่ ยให้โนต้ ตวั C ดังออกมา!
เล่นโนต้ ทลี ะตวั ซำ้ ไปมาหลายๆ รอบ เม่อื คณุ พรอ้ ม ลองกรดี ปก๊ิ หรอื นว้ิ ของคณุ ผา่ นสายทั้ง 4 เสน้ ท่ีอยู่ตรงกลางแบบเร็วๆ คุณเลน่
คอร์ด C ได้แล้ว!
เม่ือเร่ิมเล่นช่วงแรกๆ คุณอาจรสู้ กึ ปวดทน่ี ิว้ แต่เมอ่ื นวิ้ เริ่มดา้ นคุณก็จะไมร่ ู้สกึ เจบ็ อีกต่อไป
ส่วน 2 เรียนรคู้ อรด์ เพ่ิมเติม
1. ขยายคลังศัพท์ทางดนตรขี องคณุ . การเล่นคอรด์ C เปน็ เรื่องทีเ่ พลิดเพลนิ และเปน็ ประตทู ี่จะเปดิ นำคณุ ไปสสู่ ่งิ ที่
น่าสนใจในดนตรีอกี มาก แต่สำหรบั ดนตรยี ังมอี ะไรมากกว่านั้นมาก อกี 2 คอรด์ ท่ีใช้กันมากเมื่อเลน่ ในคยี ซ์ ีเมเจอร์ คอื คอรด์ F
และ คอรด์ G ฝึกจบั คอรด์ F ตามน:้ี
โนต้ ท่อี ยู่ในคอร์ด F ไดแ้ ก่ F A และ C สงั เกตว่าโน้ต F และ C ใชน้ ิว้ เดียวกนั ในการกด โดยน้วิ ชี้จะถูกวางทาบลงบนเฟร็ทท่ี 1 ของ
สาย 1 และสาย 2
โดยทวั่ ไป คอรด์ ถกู สร้างขึ้นโดยทโี่ น้ตเสียงต่ำสดุ จะเปน็ เสียงต้น แตใ่ นกรณีนี้ เสียงโน้ตตัว F จะอยบู่ นเฟรท็ แรกของสาย 1 เรียกวา่
“การพลกิ กลับ”
2. คอร์ด F แบบขยาย. คณุ สามารถเล่นโน้ตตวั F ใหเ้ ป็นเสียงตน้ ได้ โดยเล่นโนต้ F บนเฟร็ทท่ี 3 ของสาย D ด้วย
น้วิ นาง และคณุ อาจสงั เกตว่าเสียงของคอรด์ ไม่ได้เปลย่ี นไปมากนัก แต่ฟังดู “เตม็ ขึ้น”
3. จับคอร์ด G. คอรด์ G เปน็ 1 ใน 3 คอร์ดหลักใน สเกลซเี มเจอร์ เชน่ เดียวกบั คอรด์ C และ คอร์ด F มีวธิ ีจับคอร์ด G
ไดห้ ลายแบบ และเราจะสอนคุณ 2 แบบ แบบแรกเปน็ แบบง่าย ใชน้ ิ้วเหมือนกบั คอร์ด F แบบขยาย แค่ขยับสงู ข้ึนไปอกี 2 เฟรท็ :
4. คอรด์ G แบบงา่ ย. น่คี ือวธิ เี ล่นคอรด์ G ด้วยน้วิ เพยี งนิ้วเดียว:
5. เอาท้งั หมดมารวมกัน. ตอนนี้คณุ ก็ร้จู ักคอร์ดพน้ื ฐานในคียซ์ ี แล้ว เอามารวมกัน และคณุ กอ็ าจจะเล่นเพลงดงั ๆ ได้
มากมาย ตคี อรด์ C 4 คร้ัง ตามด้วย F อกี 2 คร้ัง และ G อีก 2 ครง้ั แลว้ กย็ อ้ นกลับไปเริม่ ที่ C
ในแตล่ ะคอร์ดบางคร้ังจะมีตัวเลขโรมนั กำกับอยู่ ตวั เลขเหล่านีห้ มายถึงตำแหน่งของโน้ตต้นเสียงของคอร์ดบนบนั ไดเสยี ง ไมใ่ ช่นว้ิ
เมื่อคณุ รู้จกั คอร์ดพน้ื ฐานในคยี เ์ สียงทุกคียแ์ ล้ว การดูตารางคอรด์ อาจจะทำใหค้ ุณเล่นง่ายกวา่ การบอกเปน็ โน้ตทลี ะตัวทุกคร้ัง
ฝึกซำ้ จนกวา่ นว้ิ ของคณุ จะหมดแรงแลว้ คอ่ ยพกั แตก่ ลับมากอ่ น เราจะสอนคอรด์ พ้นื ฐานในคยี ์ E และ A ให้คณุ อกี !
6. เรียนร้คู ียเ์ สียง E. มีเพลงร็อคมากมายทอ่ี ยู่ในคีย์เสยี ง E รวมถงึ พวกเพลงบลสู ด์ ้วย คอรด์ ทค่ี ุณจะได้เรียนกค็ อื E Maj
(I), A Maj (IV), และ B Maj (V). เอาละ่ นค่ี ือคอร์ด E:
นเ่ี ป็นอกี คอร์ดทเ่ี ล่นได้งา่ ย เม่ือคณุ เร่ิมนว้ิ ด้านขึ้นมาบ้างแลว้ คุณสามารถเล่นทุกสายพรอ้ มกนั ได้ ตีคอรด์ นีแ้ รงๆ ปลอ่ ยใหม้ นั ระเบิด
เสยี งออกมาให้ดงั กระห่มึ แล้วคุณจะรสู้ ึกเหมอื นเปน็ ร็อคฮโี ร่!
7. คอรด์ A เมเจอร์. นค่ี ืออีกคอรด์ ท่มี ี “เสยี งคอรด์ ใหญ่” มีวธิ กี ารจบั คอร์ดไดห้ ลายแบบ คณุ จะใช้น้วิ เดยี วทาบลง
บนเฟร็ทท่ี 2 ของสาย B G และ D (โนต้ C#, A และ E ตามลำดบั ) หรือจะใช้หลายนิว้ กดก็ได้ ในตัวอยา่ งนีเ้ ราจะใช้น้วิ กอ้ ยกดสาย
B นิ้วนางกดสาย G และนิ้วกลางกดสาย D
เมอื่ คณุ เร่ิมจบั คอรด์ ไดด้ ีขึ้น คณุ จะเรม่ิ เข้าใจวธิ ีการเปล่ยี นจากคอร์ดนึงไปอีกคอรด์ อยา่ งรวดเร็วแม้วา่ บางทีการวางนวิ้ อาจจะดู
แปลกๆ แต่ว่ากใ็ ช้ได้เหมือนกัน หลกั การก็คือ ใช้น้ิวของคุณให้มปี ระสิทธภิ าพที่สดุ เม่ือคณุ เริม่ ฝกึ ฝนแล้วก็อยา่ กลัวทจี่ ะทดลอง
อะไรใหม่ๆ
8. จบั คอรด์ B. คณุ สามารถเลอื กจับไดท้ ง้ั แบบงา่ ยและแบบยาก แบบงา่ ยแสดงด้วยตวั เลขสีดำ คณุ สามารถเพิ่มโนต้ ที่
เปน็ ตัวเลขสีเทาเข้าไปได้
9. มาลองกัน. นี่เป็นรปู แบบการตคี อร์ดส้นั ๆ ท่ใี หล้ องในคยี ์ E:
ทดลองตคี อรด์ ในรปู แบบต่างๆ ดู อยา่ ยึดตดิ กับเส้นในกระดาษ
10. เรยี นร้คู ยี ์ A. คณุ เรียนรไู้ ป 2 ใน 3 สว่ นแลว้ ! ในคยี ์ A ประกอบด้วย คอร์ด A เป็นคอร์ดในตำแหนง่ แรก (I) คอร์ด D
ในตำแหนง่ ที่ 4 (IV) และอกี หนงึ่ สมาชิกทีม่ คี วามสำคัญมาก คือ คอรด์ E ในตำแหนง่ ท่ี 5 (V) นีค่ อื วธิ จี ับคอรด์ D:
ใช้นิว้ ช้ีวางพาดลงไปบนสาย 3 เส้นแรก นี่เปน็ จุดเร่ิมตน้ ของ “คอรด์ ทาบ” คอร์ดทาบแบบเตม็ จะใช้น้วิ หน่ึงนิ้ววางทาบไปบนสาย
ทุกเส้น และมกั จะอยบู่ นรปู แบบพื้นฐานทแ่ี สดงในบทความน้ี
11. มาดูวธิ จี ับคอรด์ A ในแบบอ่นื กนั บา้ ง. การจบั วิธนี ้ีจะมปี ระโยชนม์ ากเมื่อใชเ้ ล่นรว่ มกับคอร์ด D และคอรด์ E:
12. ลองเลน่ ด.ู นี่คอื เพลงสน้ั ๆ ท่คี ุณจะได้ทดลองเล่นคอรด์ ใหม่น้ี:
ตอนน้ลี องนึกถงึ เพลง “Down on the Corner” ของวง Creedence Clearwater Revival แล้วลองเล่นมนั อีกที![2] [3]
ส่วน 3 ใช้แผนภาพคอร์ด
1. เรียนคอร์ด G เมเจอร์. นิว้ นางกดทส่ี ายบนสดุ เฟร็ทที่ 3 น้ิวกลางอยทู่ ีส่ าย 5 เฟร็ทท่ี 2 และนิ้วกอ้ ยสายล่างสุด
เฟรท็ ท่ี 3 ดีดสายทุกเส้นพรอ้ มกนั เพือ่ เล่นคอร์ด ถา้ คุณอยากลองเพ่ิมโน้ตบนเฟร็ทที่ 3 สาย 2 ดูกไ็ ด้ โน้ตตัวนไ้ี มไ่ ดจ้ ำเปน็ นัก แตจ่ ะ
ทำใหค้ อรด์ ของคุณมีเนื้อเสียงมากขึ้น
--3--
--0--
--0--
--0--
--2--
--3--
2. เรยี นคอรด์ C เมเจอร.์ วางนิ้วนางบนสาย 5 เฟร็ทที่ 3 ตามด้วยน้ิวกลางบนสาย 4 เฟรท็ ท่ี 2 สงั เกตดูว่าจะเหมอื นวิธีเรมิ่ ต้นจบั
คอรด์ G แค่ขยับสายลงมา 1 เส้น เท่านั้น และทา้ ยทีส่ ดุ วางน้วิ ชบ้ี นสาย 2 เฟรท็ ที่ 1 ดดี สายทกุ เส้นยกเว้นเส้นบนสดุ
--0--
--1--
--0--
--2--
--3--
--X--
3. เรยี นคอรด์ D เมเจอร.์ คอรด์ น้จี ะใช้แค่สาย 4 เสน้ ล่างเทา่ นัน้ วางนว้ิ ชบ้ี นสาย 3 เฟรท็ ที่ 2 นิ้วนางบนสาย 2 เฟรท็ ท่ี 3 และ
นว้ิ กลางบนสาย 1 เฟร็ทที่ 2 จะเกิดเป็นรปู สามเหล่ยี ม ดีดสายที่ 1 ถงึ สายที่ 4 ซ่งึ เปน็ โนต้ D บนสายเปิด เพ่อื ลองฟงั เสยี งคอร์ดที่
ได้
--2--
--3--
--2--
--0--
--X--
--X--
4. เรยี นการจับคอรด์ E ไมเนอร์ และ เมเจอร.์ คอร์ดน้ีจะใช้สายทั้ง 6 เสน้ กดนิ้วกลางและนิ้วนางลงบนเฟร็ทท่ี 2 ของ
สาย 4 และ 5 จากน้ันวางน้ิวช้บี นสาย 3 เฟรท็ ท่ี 1 ดีดสายทั้ง 6 เส้น
--0--
--0--
--1--
--2--
--2--
--0--
จับคอรด์ E ไมเนอร์ โดยยกน้ิวชขี้ ้ึน ปลอ่ ยให้สาย 3 เปน็ สายเปดิ [4]
5. ฝึกจับคอร์ด A เมเจอรแ์ ละไมเนอร์. คอรด์ A เมเจอรเ์ ป็นอกี คอร์ดท่งี ่ายท่ีสุด ใช้นิ้วช้ี นิว้ นางและน้ิวกลาง กดลงบนเฟรท็ ท่ี 2
ของสาย 2, 3, 4 ดีดลงบนสายทุกเส้น ยกเว้นสาย E เสยี งต่ำ
--0--
--2--
--2--
--2--
--0--
--X--
สรา้ งคอรด์ A ไมเนอร์ ดว้ ยการเล่นเฟร็ทแรก แทนท่ีเฟร็ทท่ีสอง บนสาย B รูปการจบั คอร์ดจะคล้ายกบั E เมเจอร์
6. จบั คอร์ด F เมเจอร์. คอร์ด F จะคลา้ ยกบั คอร์ด C เมเจอร์ แค่เล่ือนตำ่ ลงมา ไมต่ อ้ งสนใจสายบนสุดทงั้ สองเสน้ กดนื้
วนางลงบนสายที่ 4 เฟร็ทที่ 3 นิ้วกลางกดสาย 3 ในเฟร็ทท่ี 2 และสุดทา้ ย นว้ิ ชี้กดสาย 2 เฟร็ทแรก แล้วดดี ลงบนสาย 4 เส้นลา่ ง
--0—
--1—
--2—
--3—
--X—
--X—[5]
เคลด็ ลบั
เม่ือคุณร้จู กั คอร์ดพ้นื ฐานแล้ว จะงา่ ยกว่าถ้าคณุ คดิ ถึงมนั ในแงก่ ารทำงานของแตล่ ะคอร์ดภายในคยี ์ เช่น เมื่อยใู่ นคีย์ E
คอรด์ E (I) จะถูกเรียกว่า โทนิคคอรด์ คือ คอรด์ ทคี่ อรด์ อื่นๆ พยายามจะเขา้ มาหา ซึ่งช่วยให้รสู้ กึ ถงึ ความเคล่อื นไหวในทางดนตรี
ของดนตรีตะวันตก คอรด์ A (IV) ในคีย์ E ทำหน้าทเี่ ป็นซับโดมินนั ท์ (Subdominant) เป็นคอรด์ ท่ีอยตู่ รงกลางจะขยบั ต่อไป
ขา้ งหน้า หรือจะยอ้ นกลับมาหาคอรด์ โทนคิ กไ็ ด้ทงั้ น้ัน ขณะที่คอร์ดโดมนิ ันท์ (Dominant) กเ็ ป็นไปตามความหมายของมนั เลย คอื
จะนำคุณไปสจู่ ดุ ที่มันต้องการไป ในคีย์ E ตำแหนง่ นีก้ ็คอื คอร์ด B (V) และจะทำใหส้ มองของคุณรสู้ ึกว่าจะตอ้ งย้อนกลับไปท่คี อรด์
โทนคิ แนน่ อน เมื่อคุณค้นุ เคยกบั คอรด์ มากขึน้ และตอ้ งการร่างเพลง ลองเขียนในรูปของ I-IV-V (หรอื การเดินคอรด์ แบบอน่ื ) แทนท่ี
จะเขียนด้วยชอ่ื คอรด์ อย่าง E-A-B จะชว่ ยใหก้ ารขยบั คยี เ์ พลงทำได้งา่ ยขนึ้ เมอื่ นักร้องของคุณไม่สามารถรอ้ งตามคยี ์ตน้ ฉบบั ได้