การพัฒนาผลสัมฤทธิ์การเรียน โดยประยุกต์ใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้านของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสตรีราชินูทิศ ผู้วิจัย นางสาวสุวิมล เภาวนะ สาขาวิชา เครื่องกล อาจารย์ที่ปรึกษา ผศ.ดร.ชยานนท์ แสงมณี ครูพี่เลี้ยง นายจักรกฤษ วงษ์ชาลี บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนารูปแบบการเรียนการสอนโดยประยุกต์ใช้ทฤษฎี การเชื่อมโยงความรู้และแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน 2) เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนวิชาการงานพื้นฐานอาชีพของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยดำเนินการวิจัยแบ่งเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนโดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้และ แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน ได้ดำเนินการศึกษาแนวคิด ทฤษฎี เพื่อกำหนดกรอบและรายละเอียดของ รูปแบบการเรียนการสอนและจัดทำรูปแบบการเรียนการสอนฉบับร่าง โดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีการ เชื่อมโยงความรู้และแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสตรีราชินูทิศ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ได้มาโดยใช้วิธีการสุ่มแบบกลุ่ม จำนวน 2 ห้องเรียน ประกอบด้วยนักเรียนทั้งหมด 83 คน จับสลากเป็นห้องควบคุมและห้องทดลอง ใช้รูปแบบการ วิจัยแบบกึ่งทดลองที่มีกลุ่มควบคุม ทดสอบก่อนและหลัง (Nonequivalent Control Group Design) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา การงานพื้นฐานอาชีพ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าสถิติ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและร้อยละ การทดสอบทีแบบไม่อิสระ และ การวิเคราะห์ความแปรปรวนร่วมพหุคูณ (One-Way MANCOVA) ผลการวิจัยพบว่า 1. รูปแบบการเรียนการสอน โดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้และแนวคิดห้องเรียน กลับด้าน ประกอบด้วย 9 องค์ประกอบ คือ 1) ที่มาของรูปแบบการเรียนการสอน 2) หลักการจัดการเรียน การสอน 3) วัตถุประสงค์ 4) ขั้นตอนการจัดการเรียนการสอน ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นที่ 1 ขั้นเตรียมความพร้อม (Preparing & Aggregating) ขั้นที่ 2 ขั้นจัดหมวดหมู่เนื้อหา (Introducing & Remixing) ขั้นที่ 3 ขั้นจัดการเรียนการสอน (Processing & Repurposing) ขั้นที่ 4 ขั้นประเมินผล (Evaluating) และขั้นที่ 5 ขั้นแบ่งปันความรู้(Sharing) 5) การวัดและประเมินผล 6) ระบบสังคม 7) หลักการแสดงปฏิสัมพันธ์ 8) สิ่งสนับสนุนการสอน และ 9) ผลที่เกิดขึ้นกับผู้เรียน
2. ผลการใช้รูปแบบการเรียนการสอนโดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้และ แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน ที่มีต่อทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยีและผลการเรียนรู้วิชา การงานพื้นฐานอาชีพ 2.1 ผลการเปรียบเทียบทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยีและผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มทดลอง ก่อนเรียนและหลังเรียน 2.1.1 นักเรียนกลุ่มทดลอง มีคะแนนเฉลี่ยทักษะด้านสารสนเทศ สื่อและเทคโนโลยี หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 2.1.2 นักเรียนกลุ่มทดลอง มีคะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียนสูงกว่า ก่อนเรียน 2.2 ผลการเปรียบเทียบทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยีและผลสัมฤทธิ์ทาง การเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มควบคุม ก่อนเรียนและหลังเรียน 2.2.1 นักเรียนกลุ่มควบคุม มีคะแนนเฉลี่ยทักษะด้านสารสนเทศ สื่อและเทคโนโลยี หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 2.2.2 นักเรียนกลุ่มควบคุม มีคะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียนสูงกว่า ก่อนเรียน 2.3 ผลการเปรียบเทียบทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยีและผลสัมฤทธิ์ทาง การเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม 2.3.1 นักเรียนกลุ่มทดลอง มีคะแนนเฉลี่ยทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี หลังเรียนสูงกว่านักเรียนกลุ่มควบคุม 2.3.2 นักเรียนกลุ่มทดลอง มีคะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียนสูงกว่า นักเรียนกลุ่มควบคุม
ความเป็นมาและความสำคัญของ ปัญหา ในปัจจุบันจะเห็นได้ว่าโลกมีการ เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาและส่งผลต่อความ เจริญก้าวหน้าทางด้านต่างๆที่ทันสมัยและความ เจริญเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ส่งผลต่อการ เปลี่ยนแปลงทาเศรษฐกิจของประเทศ ปัจจุบัน ตามหลักสูตรแกนกลาง พุทธศักราช 2551(ฉบับ ปรับปรุง พุทธศักราช 2560) ได้มีการปรับปรุ ในกลุ่มสาระการงานอาชีพและเทคโนโลยี เพื่อ นำไปใช้ประโยชน์และกรอบในการวางแผนการ จัดการเรียนการสอน มีเป้าหมายในการพัฒนา คุณภาพของผู้เรียนเพื่อให้มีการนำหลักสูตรไป ปฏิบัติ เพื่อให้นักเรียนสามารถนำไปต่อยอดใน การประกอบอาชีพในอนาคต เพราะการงาน อาชีพมีการเรียนการสอนทีมีการให้ผู้เรียนได้ลง มือปฏิบติร่วมด้วยทั้งการประกอบอาหาร การ ทำสิ่งประดิษฐ์ต่าง การเย็บปักถักรอย ร่วมไปถึงการปฏิบัติงานด้านอุตสาหกรรมเช่น การทำโต๊ะ ทำเก้าอี้ หรือซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าใน บ้านเบื้องต้น แต่พอมีการลด เวลาเรียนสำหรับ กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและ เทคโนโลยีลง จาก 2 ชั่วโมง ต่อสัปดาห์ เป็น 1 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ทำให้เวลาในการเรียนรู้โดย การลงมือปฏิบัติลดลง จึงต้องมีการ ปรับเปลี่ยนการเรียนการสอนเพื่อให้ผู้เรียนได้ เรียนรู้อย่างเหมาะสม การนำแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน The Flipped Classroom ทำให้วิธีการเรียนแนวใหม่ ที่ฉีกตำราการสอนแบบเดิม ๆ Flipped Classroom เป็นการเรียนแบบกลับหัวกลับหาง หรือพลิกกลับ โดยเปลี่ยนรูปแบบวิธีการสอน จากแบบเดิมที่เริ่มจากครูผู้สอนในห้องเรียน นักเรียนกลับไปทำการบ้านส่ง เปลี่ยนเป็น นักเรียนเป็นผู้ค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเองผ่าน “เทคโนโลยี” ที่ครูจัดหาให้ก่อนเข้าชั้นเรียน และมาทำกิจกรรม โดยมีครูคอยแนะนำในชั้น เรียนแทน โดยสิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญของ Flipped Classroom นี้ก็คือ การใช้เทคโนโลยีการเรียน การสอนที่ทันสมัยและการให้นักเรียนได้มี โอกาสเรียนรู้ผ่านกิจกรรม ซึ่งทั้งสองส่วนนี้ จะ กระตุ้นให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ อย่างเต็มที่ ซึ่ง Jonathan และ Aaron ได้กล่าว ว่า รูปแบบห้องเรียนกลับด้าน เป็นวิธีการที่ ครอบคลุมการใช้งานและประยุกต์ใช้ เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต เพื่อยกระดับการเรียนรู้ ในห้องเรียนต่าง ๆเพื่อให้สามารถใช้เวลามากขึ้น ในการมีปฏิสัมพันธ์กับนักเรียน แทนการบรรยาย หน้าชั้นเรียนเพียงอย่างเดียว ซึ่งวิธีการที่ถูกใช้ เป็นส่วนใหญ่มักจะทำการสอนโดยใช้วีดิทัศน์ที่ ถูกสร้างขึ้นโดยครูซึ่งนักเรียนสามารถเรียนรู้ได้ นอกเวลาเรียน Jonathan และ Aaron เรียกว่า ห้องเรียนกลับด้าน เพราะกระบวนการเรียน และการบ้านทั้งหมดจะ “พลิกกลับ” สิ่งที่เคย เป็นกิจกรรมในชั้นเรียน เช่น การจดบันทึก (Lecture) จะถูกทำที่บ้านผ่านทางวีดิทัศน์ที่ ครูสร้างขึ้น และนำมาปฏิบัติในชั้นเรียน ห้องเรียนกลับด้านเป็นกระบวนการที่จะช่วย ให้ครูดูแลศิษย์ได้เป็นรายคน สิ่งที่ดีที่สุดที่ นักเรียนพึงได้รับจากชั้นเรียนในปัจจุบัน
153 ไม่ใช่เนื้อหาวิชา เพราะสิ่งนั้นนักเรียนรู้เอง ได้กระบวนการเรียนรู้ที่นักเรียนต้องพึ่งครูคือ การตีความวิชาเข้าสู่ชีวิตจริงหรือการ ประยุกต์ใช้ความรู้ ในกระบวนการนี้นักเรียน ต้องฝึกฝนลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง ผู้วิจัยได้ตระหนักถึงความสำคัญของ การพัฒนาทักษะในศตวรรษที่ 21 เพื่อให้เกิด ขึ้นกับผู้เรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้าน สารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี จึงได้พัฒนา รูปแบบการเรียนการสอนโดยประยุกต์ใช้ ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้และแนวคิด ห้ อ ง เ รี ย น ก ลั บ ด้ า น ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยศึกษาแนวทางการ ประยุกต์ใช้ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้และ แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน จากเอกสาร งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนสัมภาษณ์ ผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อนำหลักการร่วมของ 2 ทฤษฏีมาประยุกต์เข้าด้วยกัน เพื่อสร้างเป็น รูปแบบการเรียนการสอนให้เข้ากับบริบทของ การเตรียมเยาวชนในยุคศตวรรษที่ 21 โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีต่อไป วัตถุประสงค์ของการวิจัย รูปแบบการเรียนการสอน โดย ประยุกต์ใช้ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้และ แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5 มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1. เพื่อพัฒนารูปแบบการเรียน การสอนโดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีการเชื่อมโยง ความรู้และแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 2. เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา การงานพื้นฐาน อาชีพของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม สมมติฐานของการวิจัย 1. ทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และ เทคโนโลยี หลังทดลองของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5 ทั้งกลุ่มทดลองและกลุ่ม ควบคุม สูงกว่าก่อนทดลอง 2. ทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และ เทคโนโลยีหลังทดลองของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มทดลองสูงกว่ากลุ่ม ควบคุม 3. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา การงานพื้นฐานอาชีพ ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มทดลองสูงกว่ากลุ่ม ควบคุม ขอบเขตของการวิจัย 1.ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1.1 ประชากร เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสตรีราชินูทิศ สำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษามัธยมศึกษา เขต 20 จังหวัด อุดรธานี ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 16 ห้องเรียน รวมนักเรียนจำนวน 614 คน 1.2 กลุ่มตัวอย่าง เป็นนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสตรีราชินูทิศ จังหวัดอุดรธานี ปีการศึกษา 2566 ได้มาโดย ใช้วิธีการสุ่มแบบกลุ่ม จำนวน 2 ห้องเรียน โดยจับฉลากเป็นห้องทดลองและห้องควบคุม กลุ่มทดลอง เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/11จำนวน 41 คน ได้รับการสอนโดย
153 ประยุกต์ใช้ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้และ แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน และกลุ่มควบคุม เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/13 จำนวน 42 คน ได้รับการสอนด้วยรูปแบบการเรียน การสอนแบบปกติ วิธีการดำเนินการวิจัย การดำเนินการวิจัยแบ่งเป็น 2 ระยะ คือ ระยะ ที่ 1 การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอน แบบ PIPES ได้ดำเนินการศึกษาแนวคิด ทฤษฎี เพื่อ กำหนดกรอบและรายละเอียดของรูปแบบการ เรียนการสอนและจัดทำรูปแบบการเรียนการ สอนฉบับร่าง การสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อให้ผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณา แ ละ ใ ห้ ข้อเสนอแนะในการปรับปรุงรูปแบบการเรียน การสอน ฉบับร่าง ปรับปรุงและจัดทำเอกสาร รายละเอียดรูปแบบการเรียนการสอนฉบับ สมบูรณ์ และตรวจสอบคุณภาพเบื้องต้นของ รูปแบบการเรียนการสอนฉบับสมบูรณ์ และ ระยะที่ 2 การวิจัยเพื่อศึกษาผลการใช้รูปแบบ การเรียนการสอนแบบ PIPES เพื่อศึกษาผล การใช้รูปแบบการเรียนการสอนแบบ PIPES กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสตรีราชินูทิศ จังหวัดอุดรธานี ปี การศึกษา 2566 ได้มาโดยใช้วิธีการสุ่มแบบ กลุ่ม จำนวน 2 ห้องเรียน โดยจับฉลากเป็น ห้องทดลองและห้องควบคุม กลุ่มทดลอง จำนวน 41คน ได้รับการสอนตามรูปแบบการเรียนการสอน แบบ PIPES และกลุ่มควบคุม จำนวน 42 คน ได้รับการสอนด้วยรูปแบบการเรียนการสอน ตามคู่มือครูรูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยแบบ กึ่งทดลองที่มีกลุ่มควบคุม ทดสอบก่อนและ หลัง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แบบวัดทักษะด้านสารสนเทศ สื่อและ เทคโนโลยี2) แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาการงานพื้นฐานอาชีพ การวิเคราะห์ข้อมูล ใช้การหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ความแปรปรวนร่วมพหุคูณ ผลการศึกษาการใช้รูปแบบการเรียนการสอนโดยประยุกต์ใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้านของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสตรีราชินูทิศ ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ผลการใช้รูปแบบการเรียนการสอนโดยประยุกต์ใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน และผลผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชา การงานพื้นฐานอาชีพ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 และ สามารถรายงานผลตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย ได้ดังนี้ 1. การเปรียบเทียบทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยีก่อนเรียนและหลังเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ในกลุ่มที่เรียนรู้ตามรูปแบบการเรียนการสอนแบบ PIPES (กลุ่มทดลอง) และกลุ่มที่เรียนรู้แบบปกติ (กลุ่มควบคุม)
153 ผลการเปรียบเทียบทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี ก่อนเรียนและหลังเรียน ข อ ง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ในกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่ม การทดลอง ก่อนเรียน หลังเรียน ผลต่างค่าเฉลี่ย t Eta S.D. S.D. Squared กลุ่มทดลอง (40 คน) 14.57 2.65 21.80 1.60 7.23 24.03** 0.818 กลุ่มควบคุม (40 คน) 13.95 2.29 15.57 2.12 1.62 6.02** 0.485 **มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 จากตาราง พบว่า ผู้เรียนทั้งกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม มีคะแนนเฉลี่ยทักษะ ด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี หลังเรียนและก่อนเรียนแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .01 โดยพบว่า ทั้งกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม มีคะแนนเฉลี่ยทักษะด้านสารสนเทศ สื่อและ เทคโนโลยี หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน โดยกลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยทักษะด้านสารสนเทศ สื่อและ เทคโนโลยี ก่อนเรียน 14.57 คะแนน และหลังเรียน 21.80 คะแนน และกลุ่มควบคุม มีคะแนนเฉลี่ย ทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยีก่อนเรียน 13.95 คะแนน และหลังเรียน 15.57 คะแนน เมื่อพิจารณาค่า Eta Squared ในกลุ่มทดลอง จึงสามารถอธิบายได้ว่า หลังเรียนมีผู้เรียนร้อยละ 81.80 มีทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี สูงกว่าก่อนเรียน ส่วนในกลุ่มควบคุมจะเห็นได้ว่า หลังเรียน มีผู้เรียนร้อยละ 48.50 ที่มีทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยีสูงกว่าก่อนเรียน 2. การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชา การงานพื้นฐานอาชีพ ก่อนเรียนและ หลังเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ในกลุ่มที่เรียนรู้ตามรูปแบบการเรียนการสอนแบบ PIPES (กลุ่มทดลอง) และกลุ่มที่เรียนรู้แบบปกติ (กลุ่มควบคุม) แสดงดังตาราง
153 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชา การงานพื้นฐานอาชีพ ก่อนเรียนและหลังเรียน ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ในกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่ม การทดลอง ก่อนเรียน หลังเรียน ผลต่างค่าเฉลี่ย t Eta S.D. S.D. Squared กลุ่มทดลอง (40 คน) 14.57 2.65 21.80 1.60 7.23 24.03** 0.705 กลุ่มควบคุม (40 คน) 13.95 2.29 15.57 2.12 1.62 6.02** 0.441 **มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 จากตารางพบว่า ผู้เรียนทั้งกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม มีคะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาการงานพื้นฐานอาชีพ หลังเรียนและก่อนเรียนแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .01 โดยพบว่า ทั้งกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม มีคะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา การงานพื้นฐานอาชีพ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน โดยกลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชา การงานพื้นฐานอาชีพ ก่อนเรียน 14.57 คะแนน และหลังเรียน 21.80 คะแนน และกลุ่มควบคุม มีคะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา การงานพื้นฐานอาชีพ ก่อนเรียน 13.95 คะแนน และ หลังเรียน 15.57 คะแนน เมื่อพิจารณาค่า Eta Squared ในกลุ่มทดลองจึงสามารถอธิบายได้ว่า หลังเรียนมีผู้เรียน ร้อยละ 70.50 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา การงานพื้นฐานอาชีพ สูงกว่าก่อนเรียน ส่วนในกลุ่มควบคุมจะเห็นได้ว่า หลังเรียนมีผู้เรียน ร้อยละ 44.10 ที่มีทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และ เทคโนโลยีสูงกว่าก่อนเรียน 3. ผลการเปรียบเทียบทักษะด้านสารสนเทศ สื่อและเทคโนโลยี และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชา การงานพื้นฐานอาชีพ หลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ในกลุ่มที่เรียนรู้ตามรูปแบบ การเรียนการสอนแบบ PIPES (กลุ่มทดลอง) และกลุ่มที่เรียนรู้แบบปกติ (กลุ่มควบคุม)
153 สำหรับการวิจัยในครั้งนี้ เนื่องจากเป็นการวิจัย กึ่งทดลองที่ใช้วิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ ห้องเรียนที่จัดผู้เรียนแบบคละกันเป็นหน่วย ของการสุ่ม ไม่ได้สุ่มผู้เรียนแต่ละคนเป็นหน่วย ของการสุ่ม ซึ่งอาจทำให้กลุ่มตัวอย่างที่ได้มา ไม่เท่าเทียมกัน (ชูศรี วงศ์รัตนะ, 2546: 297) ดังนั้น ผู้วิจัยจึงใช้วิธีการวิเคราะห์ข้อมูลโดย ใช้สถิติ MANCOVA เพื่อควบคุมตัวแปรร่วม ได้แก่ ทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และ เทคโนโลยี และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชา การงานพื้นฐานอาชีพก่อนเรียน ที่อาจจะ ส ่ ง ผ ล ต่ อ ตัวแปรตามของการวิจัย และก่อนทำการ วิเคราะห์เปรียบเทียบทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยีและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชา การงานพื้นฐานอาชีพหลังเรียนของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 55 ในกลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุมโดยใช้สถิติ (One-way MANCOVA)ผู้วิจัยได้ตรวจสอบข้อตกลง เบื้องต้น ดังนี้ 1. การตรวจสอบด้านการแจกแจง ข้อมูล ในการวิจัยครั้งนี้มีกลุ่มตัวอย่างที่ใช้เป็น กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 40 คน ผู้วิจัยจึงทดสอบการแจกแจงข้อมูลโดยใช้ สถิติ Shapiro-wilk ผลการตรวจสอบทักษะ ด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี พบว่า ไม่มี นัยสำคัญทางสถิติ (ค่า Sig เท่ากับ .093) ผล การตรวจสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา การ งานพื้นฐานอาชีพ พบว่า ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (ค่า Sig เท่ากับ .426) แสดงว่า การแจกแจง ข้อมูลของกลุ่มตัวอย่างมีการแจกแจงแบบ ปกติ 2. ก า ร ต ร ว จ ส อ บ ด ้ า น ความสัมพันธ์ของตัวแปรตามโดยใช้สถิติ Pearson Correlations ผลการตรวจสอบใน กลุ่มทดลอง พบว่า ทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี มีความสัมพันธ์กับผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชา การงานพื้นฐานอาชีพ อย่าง มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (r = .094) และผลการตรวจสอบในกลุ่มควบคุมพบว่า ทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยีมี ความสัมพันธ์กับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา การงานพื้นฐานอาชีพ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .01 (r = .760) 3. ก า ร ต ร ว จ ส อ บ ข ้ อ ต ก ล ง เบื้องต้นด้านเมตริกซ์ความแปรปรวน-ความ แ ป ร ป ร ว น ร ่ ว ม (Variance-Covariance Matrix) โดยใช้สถิติ Box’s M พบว่า การ ทดสอบไม่มีนัยสำคัญ (Sig = .805) แสดงให้ เห็นว่า ทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และ เทคโนโลยี มีความสัมพันธ์กับผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน วิชา การงานพื้นฐานอาชีพ มีค่า ความแปรปรวนไม่แตกต่างกัน 4. การตรวจสอบด้านคว า ม เท่ากันของความแปรปรวนประชากร โดยใช้ สถิติ Levene's Test of Equality of Error Variances ผลการทดสอบ พบว่า ทักษะด้าน สารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยีพบว่า ไม่มี
153 นัยสำคัญทางสถิติ (ค่า F = 1.140 และ Sig เท่ากับ .28) ผลการตรวจสอบผลสัมฤทธิ์ทาง การเรียนวิชา การงานพื้นฐานอาชีพ พบว่า ไม่ มีนัยสำคัญทางสถิติ (ค่า F = .008 และ Sig เท่ากับ .93) แสดงว่า ความแปรปรวนของ ประชากรเท่ากัน จากการตรวจสอบข้อตกลงเบื้องต้น สามารถสรุปได้ว่า ข้อมูลของกลุ่มตัวอย่างมีการ แจกแจงแบบปกติ ตัวแปรตามได้แก่ ทักษะ ด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี มี ความสัมพันธ์กับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา การงานพื้นฐานอาชีพ เป็นตัวแปรที่มี ความสัมพันธ์กันทั้งในกลุ่มทดลองและกลุ่ม ควบคุม ความแปรปรวนของประชากรเท่ากัน ซึ่งเป็นไปตามข้อตกลงเบื้องต้นในการ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ (One-way MANCOVA) ดังนั้น จึงสามารถวิเคราะห์ เปรียบเทียบทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และ เทคโนโลยีมีความสัมพันธ์กับผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนวิชา การงานพื้นฐานอาชีพ หลังเรียนของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ในกลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุมโดยใช้สถิติ (One-way MANCOVA) โดยมีทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี มีความสัมพันธ์กับผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชา การงานพื้นฐานอาชีพ ก่อน เรียนเป็นตัวแปรร่วม ผลการวิเคราะห์ เปรียบเทียบได้ผล ผลการเปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยีและผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนวิชา การงานพื้นฐานอาชีพ หลังเรียนของกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม ตัวแปรต้น Multivariate test Value F Hypothesis df Error df Partial Eta Squared รูปแบบ การสอน Pillai’s Trace .985 2539.81** 2.00 77.00 .985 Wilks’ Lambda .015 2539.81** 2.00 77.00 .985 Hotelling’sTrace 65.96 2539.81** 2.00 77.00 .985 Roy’sLargest Root 65.96 2539.81** 2.00 77.00 .985 **มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 จากตาราง เนื่องจากการทดสอบข้อตกลงเบื้องต้นแล้วผลการทดสอบเป็นไปตามข้อตกลงเบื้องต้น ทั้งหมด ผู้วิจัยจึงเลือกใช้ผลการวิเคราะห์ของ Wilks’ Lambda ซึ่งพบว่าค่า F เท่ากับ 2539.81 (Sig = .01) แสดงให้เห็นว่า คะแนนเฉลี่ยของทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยีและ/หรือผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนวิชา การงานพื้นฐานอาชีพหลังเรียนของนักเรียนกลุ่มทดลองแตกต่างจากกลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .01
ดังนั้น เพื่อวิเคราะห์ว่ารูปแบบการเรียนการสอนส่งผลต่อตัวแปรตามใดบ้าง ผู้วิจัยจึงวิเคราะห์แยกราย ตัวแปรโดยใช้สถิติวิเคราะห์ Univariate ซึ่งได้ผลแสดงดังตารางที่ 13 ผลการเปรียบเทียบความแตกต่างของทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยีและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชา การงานพื้นฐานอาชีพ หลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ในกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมแยกราย ตัวแปร แหล่งความ แปรปรวน ตัวแปรตาม SS df MS F Partial Eta Squared รูปแบบ การสอน ทักษะฯ หลังเรียน 684.863 1 684.863 361.017** .826 ผลสัมฤทธิ์หลังเรียน 2162.614 1 2162.614 227.516** .750 ความคลาด เคลื่อน ทักษะฯ หลังเรียน 144.175 76 1.897 ผลสัมฤทธิ์หลังเรียน 722.404 76 9.505 **มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 จากตาราง พบว่า หลังจากขจัดอิทธิพลอันเนื่องมาจากทักษะด้านสารสนเทศ สื่อและเทคโนโลยีและ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา การงานพื้นฐานอาชีพ ก่อนเรียนออกแล้ว นักเรียนกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม มี ทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา การงานพื้นฐานอาชีพ หลังเรียน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ดังนี้ ทักษะด้านสารสนเทศ สื่อและเทคโนโลยี กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียน ( = 21.80) สูงกว่า กลุ่มควบคุม ( = 15.57) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยขนาดของผลกระทบ (Eta Squared) เท่ากับร้อยละ 82.60 ด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชา การงานพื้นฐานอาชีพ หลังเรียน กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยหลัง เรียน ( = 34.02) สูงกว่ากลุ่มควบคุม ( = 23.27) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยขนาดของ ผลกระทบ (Eta Squared) เท่ากับร้อยละ 75.00 สรุปผลการวิจัย ผลการวิจัย แบ่งออกเป็น 1) สรุปผลการพัฒนาพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนแบบ PIPESและ 2) สรุปผลการใช้รูปแบบการเรียนการสอนแบบ PIPES ที่มีต่อทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยีและผล การเรียนรู้วิชาการงานพื้นฐานอาชีพ ดังนี้ 1. สรุปผลการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนแบบ PIPES
รูปแบบการเรียนการสอนแบบ PIPES ประกอบด้วย 9 องค์ประกอบ คือ 1) ที่มาของรูปแบบ การเรียนการสอน 2) หลักการจัดการเรียนการสอน 3) วัตถุประสงค์ 4) ขั้นตอนการจัดการเรียนการสอน 5) การ วัดและประเมินผล 6) ระบบสังคม 7) หลักการแสดงปฏิสัมพันธ์ 8) สิ่งสนับสนุนการสอน และ 9) ผลที่เกิดขึ้นกับ ผู้เรียน ข้อสรุปและรายละเอียดแสดงดังแผนภาพที่ 23 ในบทที่ 4 และผลการประเมินคุณภาพของรูปแบบ การเรียนการสอนแบบ PIPES ฉบับสมบูรณ์ โดยผู้ทรงคุณวุฒิ พบว่าค่าคะแนนเฉลี่ยคุณภาพรูปแบบการเรียน การสอนแบบ PIPES อยู่ระหว่าง 4.66 มีความเหมาะสมสอดคล้องกับแนวคิดและทฤษฎี อยู่ในระดับดีมาก 2. สรุปผลการใช้รูปแบบการเรียนการสอนแบบ PIPES ที่มีต่อทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และ เทคโนโลยีและผลการเรียนรู้วิชาการงานพื้นฐานอาชีพ ได้แก่ 2.1 ผลการเปรียบเทียบทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี และผลสัมฤทธิ์ทาง การเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5กลุ่มควบคุม ก่อนเรียนและหลังเรียน สรุปผลการวิจัยได้ดังนี้ 2.1.1 นักเรียนกลุ่มควบคุม มีคะแนนเฉลี่ยทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี หลัง เรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 2.1.2 นักเรียนกลุ่มควบคุม มีคะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียนสูงกว่าก่อน เรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 2.2 ผลการเปรียบเทียบทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี และผลสัมฤทธิ์ทาง การเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5กลุ่มทดลอง ก่อนเรียนและหลังเรียน สรุปผลการวิจัยได้ดังนี้ 2.2.1 นักเรียนกลุ่มทดลอง มีคะแนนเฉลี่ยทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยีหลัง เรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 2.2.2 นักเรียนกลุ่มทดลอง มีคะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียนสูงกว่าก่อน เรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 2.3 ผลการเปรียบเทียบทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี และผลสัมฤทธิ์ทาง การเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง สรุปผลการวิจัยได้ดังนี้ 2.3.1 นักเรียนกลุ่มทดลอง มีคะแนนเฉลี่ยทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยีหลัง เรียนสูงกว่านักเรียนกลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 2.3.2 นักเรียนกลุ่มทดลอง มีคะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียนสูงกว่านักเรียน กลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ข้อเสนอแนะ 1. ข้อเสนอแนะในการนำผลการวิจัยไปใช้ จากผลการวิจัยครั้งนี้มีข้อเสนอแนะในการนำผลการวิจัยไปใช้ ดังนี้
1.1 การนำรูปแบบการเรียนการสอนแบบ PIPES ไปใช้ โดยเฉพาะขั้นเตรียมความพร้อม ซึ่งเป็น ขั้นตอนที่ทำนอกห้องเรียน ครูควรให้ความสำคัญในการกำกับ ติดตาม การศึกษาเนื้อหาล่วงหน้า โดยมีแบบบันทึก ให้นักเรียนสรุปความรู้ สาระสำคัญ จากเรื่องที่ได้รับมอบหมาย เพื่อเป็นการติดตามว่านักเรียนได้ศึกษาเนื้อหา ความรู้ ล่วงหน้าด้วยตนเอง 1.2 การนำรูปแบบการเรียนการสอนแบบ PIPES ไปใช้ ในขั้นจัดหมวดหมู่เนื้อหา ครูควร แนะนำวิธีการจัดหมวดหมู่ให้เป็นไปอย่างถูกต้อง เพื่อให้ได้หมวดหมู่เนื้อหาที่สามารถนำความรู้ไปใช้ในขั้น จัดการเรียนการสอนได้อย่างเหมาะสม 1.3 การนำรูปแบบการเรียนการสอนแบบ PIPES ไปใช้ ในขั้นตอนที่อยู่ในเวลาเรียนปกติครูควร เป็นผู้สนับสนุน ให้คำแนะนำ ปรึกษา ติดตามการทำงานของนักเรียนแต่ละกลุ่มและให้ความสำคัญ กับกลุ่มที่มี ปัญหาในการนำความรู้จากขั้นเตรียมความพร้อมมาใช้ในการทำงานที่ได้รับมอบหมาย 2. ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป 2.1 จากผลการวิจัย มีข้อจำกัดในเรื่องเวลาที่ใช้ในการศึกษานอกห้องเรียน ดังนั้น จึงควรมี การศึกษาเปรียบเทียบระหว่าง นักเรียนที่ใช้เวลาในขั้นเตรียมความพร้อม แตกต่างกันว่า จะมีทักษะด้าน สารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แตกต่างกันหรือไม่ 2.2 จากผลการวิจัย มีข้อจำกัดในเรื่องเวลาที่ใช้ในการศึกษานอกห้องเรียน ดังนั้น ควรมีการ พัฒนาระบบ การกำกับ ติดตาม ในช่วงที่ศึกษาด้วยตนเอง
เอกสารอ้างอิง กนกรัตน์ จิรสัจจานุกูล และ ณมน จีรังสุวรรณ. (2559). การพัฒนารูปแบบการเรียนรู้ด้วยทฤษฎีการเรียนรู้ แบบการสร้างความรู้นิยมและทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้เพื่อการสร้างนวัตกรรมแบบประสบการณ์ จริง. วารสารวิชาการ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี, 7(2), 54-65. กระทรวงศึกษาธิการ. (2546). พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 พร้อมกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้อง และพระราชบัญญัติบังคับ พ.ศ. 2545. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ (ร.ส.พ.). กาญจนา จันทร์ช่วง. (2560). การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาสังคมศึกษาเรื่อง เศรษฐกิจพอเพียง โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน. วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการวิจัยและพัฒนาหลักสูตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี. กิตติพงษ์ พุ่มพวง. (2558). การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยทฤษฎีเชื่อมโยงความรู้ (Connectivism) ผ่านสื่อ สังคมออนไลน์. วารสารศิลปศาสตร์ปริทัศน์, 10(19), 1-13. เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์. (2559). อนาคตใหม่ของการศึกษาไทยในยุค Thailand 4.0. เกษม เมษินทรีย์. (2559). ยุทธศาสตร์และการปฏิรูปสู่การเป็นไทยแลนด์ 4.0. กรุงเทพฯ: กระทรวงศึกษาธิการ. ฉลองชัย สุรวัฒนบูรณ์. (2544). การออกแบบระบบการสอน. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์. (2557). การสอนซ่อมเสริม: เติมเต็มศักยภาพผู้เรียน. พิษณุโลก: มหาวิทยาลัย นเรศวร. ชินภัทร ภูมิรัตน์. (2556). สรุปรายงานห้องเรียนกลับ ชูศรี วงศ์รัตนะ. (2546). เทคนิคการใช้สถิติเพื่อการวิจัย. พิมพ์ครั้งที่ 9. กรุงเทพฯ: เทพเนรมิตการพิมพ์. ถนอมพร เลาหจรัสแสง. (2541). คอมพิวเตอร์ช่วยสอน. กรุงเทพฯ: ศูนย์หนังสือแห่งจุฬาลงกรณ์ ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์. (2559). การศึกษาไทย 4.0 ในบริบทการจัดการศึกษาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน. กรุงเทพฯ: ศูนย์ประชุมวายุภักษ์ โรงแรมเซ็นทราศูนย์ราชการและคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ. นงลักษณ์ วิรัชชัย และ สุวิมล ว่องวาณิช. (2544). การวิจัยและพัฒนาเพื่อการปฏิรูปทั้งโรงเรียน. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. นวพัฒน์ เก็มกาแมน. (2557). ผลของการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านด้วยบทเรียน อิเล็กทรอนิกส์ วิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ 2 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4. วิทยานิพนธ์ปริญญา วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าคุณทหาร ลาดกระบัง. นันทวัน จันทร์กลิ่น. (2557). การศึกษาปัญหาและแนวทางการบริหารจัดการคุณภาพในการพัฒนาทักษะ ผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 โรงเรียนบ้านเนินมะปราง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา
พิษณุโลก เขต 2. วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม. นิชาภา บุรีกาญจน์. (2557). ผลการจัดการเรียนรู้วิชาสุขศึกษาโดยใช้แนวคิดแบบห้องเรียนกลับ ด้านที่มีผลต่อความรับผิดชอบและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น. วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักูตรและการสอน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. บุญชม ศรีสะอาด. (2553). การวิจัยเบื้องต้น. พิมพ์ครั้งที่ 8. กรุงเทพฯ: สุวีริยาสาส์น. บุบผา เมฆศรีทองคำ. (2552). รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์สภาพการใช้สื่ออินเทอร์เน็ตของเด็ก และเยาวชนไทยตามช่วงพัฒนาการแห่งวัย. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยกรุงเทพ. บุปผชาติ ทัฬหิกรณ์. (2551). การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการเรียนการสอน. กรุงเทพฯ: โครงการเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ. ปิยะวดี พงษ์สวัสดิ์. (2558). การออกแบบรูปแบบการเรียนการสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน โดยใช้ กิจกรรม WebQuest เพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 สำหรับนักศึกษาในระดับ อุดมศึกษา. วารสารวิชาการครุศาสตร์อุตสาหกรรม พระจอมเกล้าพระนครเหนือ, 6(1), 151-158. พงษ์ ผาวิจิตร. (2555). 30 กึ๋นแห่งศตวรรษใหม่: 21st Century Skills. กรุงเทพฯ: เอ็ดวานซ์ อินเตอร์ พริ้นติ้ง. พรทิพย์ เย็นจะบก. (2552). ถอดรหัสลับความคิดเพื่อการรู้เท่าทันสื่อ: คู่มือการเรียนรู้เท่าทันสื่อ. กรุงเทพฯ: ออฟเซ็ทครีเอชั่น. พีรภัทร ฉัตรสุวรรณ. (2555). การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนการสอน กลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ด้วยศูนย์การเรียนเสมือนเพื่อเสริมสร้างความสามารถการเรียนรู้ เป็นทีมของนักเรียนช่วงชั้นที่ 3. วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ไพฑูรย์ สินลารัตน์. (2559). การศึกษา 4.0 เป็นยิ่งกว่าการศึกษา ในการศึกษา 4.0 เป็นยิ่งกว่า การศึกษา. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ภัทราทิพย์ ธงวาส และ วิวัฒน์ มีสุวรรณ. (2563). การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนการสอนร่วมกับ กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน เพื่อพัฒนาทักษะการฟังและการพูด ภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2. วารสารวิชาการวิทยาลัยสันตพล, 6(1), 39-47.
มาเรียม นิลพันธุ์, ศิริวรรณ วณิชวัฒนวรชัย, อธิกมาส มากจุ้ย และ รุจิราพร รามศิริ. (2555). การพัฒนานวัตกรรมการจัดการเรียนการสอนที่เน้นความแตกต่างระหว่างบุคคล. นครปฐม: มหาวิทยาลัยศิลปากร. ยืน ภู่วรวรรณ. (2556). เทคโนโลยีอุบัติใหม่. ใน เอกสารประกอบการบรรยายการประชุมทาง วิชาการนเรศวรวิจัย ครั้งที่ 9. วันที่ 28-29 กรกฎาคม 2556 ณ มหาวิทยาลัยนเรศวร จังหวัดพิษณุโลก. เยาวดี รางชัยกุลวิบูลย์ศรี. (2546). การประเมินโครงการ: แนวคิดและแนวปฏิบัติ. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ราชบัณฑิตสถาน. (2555). พจนานุกรมศัพท์ศึกษาศาสตร์ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน. กรุงเทพฯ: ราชบัณฑิตยสถาน. รุจิร์ ภู่สาระ. (2546). การพัฒนาหลักสูตร: ตามแนวปฏิรูปการศึกษา. กรุงเทพฯ: บุ๊ค พอยท์. ลัทธพล ด่านสกุล. (2558). ผลของการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านด้วยพอดคาสต์ โดยใช้กลวิธีการกำกับตนเองที่มีผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องโครงสร้างการโปรแกรม การกำกับตนเองของนักเรียนห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์. วิทยานิพนธ์ปริญญาวิทยาศาสตร มหาบัณฑิต สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง. วรปภา อารีราษฎร์, ธรัช อารีราษฎร์ และ วรรณพร สารภักดิ์. (2557). การพัฒนาระบบสารสนเทศ การประกันคุณภาพการศึกษาออนไลน์ด้วยกระบวนการ PDCA คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม. มหาสารคาม: มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม. วรพจน์ วงศ์กิจรุ่งเรือง และ อธิป จิตตฤกษ์. (2554). ทักษะแห่งอนาคตใหม่. กรุงเทพฯ: Openworlds. วรรณธิดา ยลวิลาศ. (2563). ผลการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านที่มีผลต่อผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนและความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ของนักศึกษาสาขาวิชาคณิตศาสตร์ ในรายวิชาคณิตวิเคราะห์. วารสารวิชาการหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏ สกลนคร, 12(33), 115-121. วารินทร์ รัศมีพรหม. (2541). เอกสารประกอบการสอนวิชาการออกแบบและพัฒนาระบบ การสอน. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร. วิจารณ์ พานิช. (2555). วิถีสร้างการเรียนรู้เพื่อศิษย์ในศตวรรษที่ 21. กรุงเทพฯ: มูลนิธิสดศรี- สฤษดิ์วงศ์. วิชัย ประสิทธิ์วุฒิเวชช์. (2542). การพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่น: สานต่อที่ท้องถิ่น. กรุงเทพ: เซ็นเตอร์ดิสคัฟเวอรี่. สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2560). สรุปผลการวิจัย PISA 2015
สมจิต จันทร์ฉาย. (2557). การออกแบบและพัฒนาการเรียนการสอน. นครปฐม: คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม. สมหมาย แก้วกันหา. (2558). การพัฒนารูปแบบกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมมือแบบห้องเรียนกลับ ด้านโดยใช้สื่อ อีดีแอลทีวี. ใน การประชุมทางวิชาการระดับชาติ ด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี สารสนเทศ ครั้งที่ 11, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ กรุงเทพฯ. สัมพันธ์ พันธุ์พฤกษ์ และ วิลาวรรณ พันธุ์พฤกษ์. (2542). คู่มือนักวิจัยสาธารณสุขระดับอำเภอ: โครงการตำราหลักสูตรสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. ขอนแก่น: ขอนแก่นการพิมพ์. สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ. (2541). แนวทางปฏิบัติ: จรรยาบรรณนักวิจัย. กรุงเทพฯ: สำนักงานฯ. สำนักงานคณะการกรรมการกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ. (2556). ใจความ สำคัญและองค์กรที่เกี่ยวข้องในการควบคุมสื่อของเยอรมนี. สืบค้นเมื่อ 24 พฤษภาคม 2562, จาก http://nbtc.go.th/getattachment/Services/academe/. สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2559). สภาวะการศึกษาไทย ปี 2557/2558 จะปฏิรูป การศึกษาไทยให้ทันโลกในศตวรรษที่ 21 ได้อย่างไร. กรุงเทพฯ: พิมพ์ดีการพิมพ์. ______. (2560). แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560-2579. สืบค้นเมื่อ 16 เมษายน 2562, จาก http://backoffice.onec.go.th/uploads/Book/1540-file.pdf. สำนักงานสถิติแห่งชาติ. (2561). สรุปผลที่สำคัญ สำรวจการมีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและ การสื่อสารในครัวเรือน พ.ศ. 2561. สืบค้นเมื่อ 18 เมษายน 2562, จาก https:// www. etda.or.th/content/etda-reveals-thailand-internet-user-profile-2018.html. สำนักบริหารงานการมัธยมศึกษาตอนปลาย สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. (2558). แนวทางการจัดทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ที่เน้นสมรรถนะสาขาวิชาชีพ. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย. สำนักมาตรฐานการอาชีวศึกษาและวิชาชีพ. (2555). มาตรฐานการอาชีวศึกษา พ.ศ. 2555 เพื่อการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา. กรุงเทพฯ: สํานักงานฯ. สุขุม เฉลยทรัพย์ และคณะ. (2554). เทคโนโลยีสารสนเทศ. พิมพ์ครั้งที่ 6. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต. สุนันท์ สังข์อ่อง. (2555). หลักสูตรและการสอนสำหรับศตวรรษที่ 21. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัย ธุรกิจบัณฑิตย์. สุพัตรา อุตมัง. (2558). แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน: ภาพฝันที่เป็นจริงในวิชาภาษาไทย. วารสาร วิชาการศึกษาศาสตร์ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, 16(1), 51-58.
สุภาพร สุดบนิด. (2556). การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา วิทยาศาสตร์ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดห้องเรียนกลับทางกับ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบปกติ. วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวิจัยและประเมินผลการศึกษา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. สุรศักดิ์ ปาเฮ. (2556). ห้องเรียนกลับทาง: ห้องเรียนมิติใหม่ในศตวรรษที่ 21. สืบค้นเมื่อ 16 ตุลาคม 2563, จาก http://phd.mbuisc.ac.th/academic/flipped%20classroom2.pdf2556. สุวิทย์ เมษินทรีย์. (2560). องค์กรต้นแบบด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนด้วยปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียง. เอกสารประกอบการสัมมนาวิชาการ ณ หอประชุมเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบ พระชนมพรรษา สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ วันพฤหัสบดีที่ 15 มิถุนายน 2560. อนุชา โสมาบุตร. (2556). แนวคิดการจัดการเรียนรู้สำหรับครูในศตวรรษที่ 21. สืบค้นเมื่อ 14 มีนาคม 2562, จาก https://www.teacherweekly.wordpress.com. อพัชชา ช้างขวัญยืน และ ทิพรัตน์ สิทธิวงศ์. (2559). การจัดการเรียนการสอนแบบห้องเรียนกลับ ด้านร่วมกับการเรียนรู้แบบโครงงานหมวดวิชาศึกษาทั่วไป สำหรับนิสิตปริญญาตรี. วารสาร ศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร, 14(2), 99-102. อมรา เล็กเริงสินธุ์. (2540). หลักสูตรและการจัดการมัธยมศึกษา. กรุงเทพฯ: ฝ่ายเอกสารและตำรา สถาบันราชภัฏสวนดุสิต. Anderson, M., et al. (2011). Techniques & principles in language teaching. 3 rd ed. Oxford: Oxford University Press. Baggaley, J. (2012). Harmonizing global education. New York: Routledge. Bergmann, J., & Sams, A. (2012). Flip your classroom reach every student in every class every day. U.S.A.: United States of America. International Society for Technology in Education. Bopelo, B. (2011). Proposing an integrated research framework for connectivism: Utilising theoretical synergies. The International Review of Research in Open and Distance Learning, 12(3), 161-173. Brown, S. (2002). Humanistic mathematics: Personal evolution and excavations. New York: Jewish Theological Seminary of America. Center for Media Literacy. (2008). Literacy for the 21st century: An overview & orientation guide to media literacy education. 2 nd ed. Malibu, CA: Center for Media Literacy.
Cronbach, L. J. (1970). Essentials of psychological test. 5 th ed. New York: Harper Collins. Dick, W., & Carey, L. (1985). The system design of Instruction. IL: Foresman. Dixon, M. D. (2010). Creating effective student engagement in online courses: What do students find engaging. Journal of the Scholarship of Teaching and Learning, 10(2), 1-13. Downes, S. (2005). E-learning 2.0. ______. (2008). Connectivism & connective knowledge innovate. France, B. (2011). Dialogue and connectivism: A new approach to understanding and promoting dialogue-rich networked learning. The International review of research in Open and Distance Learning, 12(3), 139-160. Gagné, R. M., Briggs, L. J., & Wager, W. W. (1992). Principles of instructional design. 4 th ed. New York: Holt, Rinehart and Winston. Gagné, R. M., Wager, W. W., Golas, K. C., & Keller, J. M. (2005). Principles of instructional design. 5 th ed. Connecticut: Thomson Wadsworth. Gagnon, G. W., & Collay, M. (2001). Designing for learning: Six Elenmentsin Constructivist Classroms. Thousands Oaks: Corwin. Gerstein, J. (2011). The flipped classroom model: A full picture. Grenadier, S. (2005). An Equilibrium Analysis of Real Estate Leases. The Journal of Business, 78(4), 1173-1214. Gurr, T. R. (1970). Why men rebel. Princeton, N.J: Princeton University. Gustafson, K. L., & Branch, R. M. (2002). Survey of instructional development models. 4 th ed. NewYork: ERIC Clearinghouse on Information and Technology, Syracuse. Hardy, B. (2007). Linking trust, change, leadership and innovation: Ingredients of a knowledge leadership support framework. Knowledge Management Review, 10(5), 18-23. Hunsaker, K. (2006). Teacher standards and practices commission (TSPC) explains special education teacher certifications. Internet World Stats. (2015). The internet big picture world internet users and 2016 population stats.