1
ใบความรู้เร่อื ง การปฐมนเิ ทศวิชาการใชส้ ารสนเทศ 1
จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
1. บอกจุดประสงคก์ ารเรียนร้รู ายวิชา การใช้สารสนเทศ 1 ได้
2. บอกขอบข่ายเนือ้ หารายวชิ า การใชส้ ารสนเทศ 1 ได้
3. ร้แู ละเขา้ ใจเกณฑ์การวดั ผลและประเมินผล
เน้อื หาของวชิ า การใชส้ ารสนเทศ 1 มี 4 หนว่ ยการเรยี นรู้ ดังนี้
หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 1 ความรู้ทวั่ ไปเก่ียวกับหอ้ งสมุด
หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 2 ทรพั ยากรสารสนเทศ
หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 3 การจดั หมวดหมูท่ รพั ยากรสารสนเทศ
หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 4 รายงานและการศกึ ษาค้นคว้า
จุดประสงคก์ ารเรียนร้วู ชิ าการใชส้ ารสนเทศ 1
1. มคี วามรู้ความเข้าใจเกี่ยวกบั ความหมายของหอ้ งสมดุ ความสำคญั ประโยชน์และวัตถุประสงคข์ อง
หอ้ งสมุด
2. รแู้ ละเข้าใจเรอ่ื งห้องสมดุ ประเภทต่าง ๆ และเลือกใชบ้ รกิ ารห้องสมุดได้ตรงตามวตั ถปุ ระสงค์
3. อธบิ ายเก่ียวกับทรพั ยากรตีพิมพแ์ ละไมต่ ีพิมพไ์ ด้
4. เขา้ ใจระบบการจัดหมวดหมทู่ รพั ยากรสารสนเทศและสารมารถนำไปใชใ้ นชีวิตประจำวันได้
5. เข้าใจรปู แบบการเขยี นรายงาและการเขียนอ้างองิ บรรณานกุ รมในรายงานการค้นควา้ ได้
เกณฑก์ ารวัดผลและประเมินผล
เวลาเรยี น จำนวน 20 ชว่ั โมง / 1 ภาคเรียน
ใช้เกณฑก์ ารวดั 80 : 20 แบ่งได้ดังนี้
คะแนนระหวา่ งภาค 80 คะแนน
คะแนนเก็บ 60 คะแนน
คะแนนสอบกลางภาคเรยี น 20 คะแนน
• ปรนยั
คะแนนสอบปลายภาคเรียน 20 คะแนน
• ปรนัย
2
ใบความรู้เร่อื ง
ความหมาย วตั ถุประสงค์ ความสำคัญและประโยชนข์ องห้องสมดุ
ความหมายของหอ้ งสมดุ
หอ้ งสมดุ คือ แหล่งรวบรวมทรพั ยากรสารสนเทศทกุ ประเภท ทงั้ ท่เี ป็นวสั ดุตพี ิมพ์ วัสดุไมต่ ีพมิ พ์ และ
ส่ืออเิ ล็กทรอนิกส์ มกี ารคัดเลอื กและจดั หาเข้ามาอยา่ งทนั สมัย สอดคล้องกับความต้องการและความสนใจของ
ผ้ใู ช้ มบี รรณารกั ษ์เปน็ ผ้ดู ำเนินงานและจดั บรกิ ารตา่ ง ๆ อยา่ งเป็นระบบ
วัตถปุ ระสงค์ของหอ้ งสมดุ
ห้องสมุดท่วั ไปมีวัตถปุ ระสงค์ 5 ประการ ดงั น้ี
1. เพ่อื การศึกษา (Education) ห้องสมุดทกุ แหง่ จะรวบรวมทรัพยากรสารสนเทศทใี่ ห้ความรู้ เพ่อื
บริการแก่ผูใ้ ช้ในการแสวงหาความรู้ ค้นควา้ ดว้ ยตนเองได้ตามต้องการ
2. เพอ่ื ความร้ขู ่าวสาร (Information) ห้องสมุดจดั หาทรพั ยากรสารสนเทศใหมๆ่ ทีท่ ันสมัย เพอื่ ให้
ผ้ใู ช้ตดิ ตามขา่ วความเคล่อื นไหวและเหตุการณ์ทเี่ กิดขึน้ ทวั่ โลก ทำให้ผใู้ ชม้ คี วามรใู้ หม่ๆ และทันสมยั
อยู่เสมอ
3. เพอ่ื การคน้ ควา้ วิจัย (Research) เป็นแหล่งสะสมทรัพยากรสารสนเทศประเภทต่าง ๆ ท่ใี ชเ้ ปน็
ข้อมลู ในการศกึ ษาค้นควา้ วจิ ยั ซง่ึ เป็นการแสวงหาองคค์ วามรใู้ หม่ เพอ่ื ความเจรญิ ก้าวหนา้ ใน
สาขาวิชาต่าง ๆ
4. เพอื่ ความจรรโลงใจ (Inspiration) ทรัพยากรสารสนเทศบางประเภททำใหผ้ ู้ใช้มคี วามซาบซึง้
ประทับใจที่ได้รบั จากการอ่าน ชว่ ยให้เกดิ แรงบนั ดาลใจในทางสร้างสรรคแ์ ต่ส่ิงทด่ี แี ละเป็นประโยชน์
ตอ่ สงั คม
5. เพือ่ การพักผ่อนหยอ่ นใจหรือนนั ทนาการ (Recreation) หอ้ งสมุดจะมที รพั ยากรสารสนเทศท่ใี ห้
ความเพลิดเพลิน สนกุ สนานบันเทงิ ใจไวบ้ รกิ าร เช่น นิตยสาร นวนยิ าย เร่อื งส้นั ฯลฯ นอกจากนยี้ ัง
เป็นแหล่งพกั ผ่อนหย่อนใจด้วยการจดั กิจกรรมตา่ ง ๆ ท่ชี ว่ ยให้ไดร้ ับความเพลดิ เพลิน
ความสำคัญของห้องสมดุ
การศกึ ษาในปัจจุบัน มงุ่ ใหผ้ เู้ รยี นมโี อกาสคน้ ควา้ หาความรจู้ ากแหล่งเรียนรอู้ ื่น ๆ มาประกอบความรู้
ทไ่ี ดร้ ับจากการเรียนในชน้ั ผเู้ รยี นจะต้องหาความรูเ้ พม่ิ เติมโดยใช้หอ้ งสมดุ เพื่อค้นควา้ หาความรเู้ พม่ิ ข้นึ
ความสำคญั ของหอ้ งสมุดอาจสรุปไดด้ งั นี้
1. ห้องสมดุ เปน็ แหลง่ รวมของทรัพยากรสารสนเทศต่าง ๆ ทผ่ี ้ใู ช้สามารถคน้ ควา้ หาความรู้ทุกสาขาวิชา
ท่มี ีการเรียนการสอนในสถาบนั การศึกษานน้ั
2. หอ้ งสมดุ เป็นทที่ ที่ กุ คนจะเลือกอา่ นหนงั สือและค้นควา้ หาความรตู้ า่ ง ๆ ได้โดยอสิ ระ ตามความสนใจ
ของแตล่ ะบุคคล
3
3. ห้องสมุดช่วยใหผ้ ู้ใชบ้ รกิ ารพอใจทจ่ี ะอา่ นหนงั สอื ตา่ ง ๆ โดยไมร่ ู้จักจบส้ิน เป็นการชว่ ยปลูกฝงั นสิ ัยรกั
การอา่ น
4. ชว่ ยให้ผู้ใชบ้ รกิ ารมีความรูท้ ันสมยั อยูเ่ สมอ
5. ชว่ ยใหผ้ ู้ใช้บรกิ ารมีนิสยั รักการคน้ ควา้ หาความรดู้ ้วยตนเอง
6. ช่วยให้รู้จกั ใชเ้ วลาว่างใหเ้ ป็นประโยชน์
7. ห้องสมดุ จะช่วยให้ผใู้ ช้บรกิ ารรบั รู้ในสมบตั สิ าธารณะ รจู้ ักใชแ้ ละระวังรกั ษาอยา่ งถูกตอ้ ง
ประโยชน์ของห้องสมุด
หอ้ งสมุดเปน็ แหล่งรวบรวมทรพั ยากรสารสนเทศท่หี ลากหลายและมีประโยชน์ดังนี้
1. กอ่ ใหเ้ กิดการเรียนรู้อย่างไม่มีทสี่ นิ้ สดุ
2. กระตนุ้ ใหร้ กั การอา่ นและการศกึ ษาคน้ ควา้
3. ก่อใหเ้ กดิ การศกึ ษาอยา่ งเป็นระบบและตอ่ เน่อื ง
4. เปน็ สอื่ กลางในกระบวนการเรียนการสอน
5. ตอบสนองความต้องการในการแสวงหาความรู้เฉพาะบุคคล
4
ใบความรู้เร่ือง ประเภทของห้องสมุด
ห้องสมุด แบง่ ออกเป็น 5 ประเภท คือ
1. ห้องสมดุ โรงเรยี น (School Libraries)
คอื ห้องสมดุ ทจ่ี ดั ตั้งข้ึนภายในโรงเรยี น เพือ่ บรกิ ารแก่นักเรียน ครู – อาจารย์ ให้สอดคล้องกับ
วตั ถปุ ระสงคข์ องหลักสตู รและนโยบายของโรงเรียน มีทงั้ ระบบโรงเรียนอนุบาล โรงเรยี นประถมศกึ ษา และ
โรงเรยี นมธั ยมศกึ ษา โดยห้องสมุดจะทำหน้าทร่ี วบรวมวสั ดสุ ารนิเทศไวค้ รบทุกประเภท เพอ่ื เปน็ การเสริม
ความรทู้ วั่ ไปให้กบั นกั เรียน ครู – อาจารย์ และเป็นการฝกึ การใชห้ ้องสมดุ เพ่ือการศึกษาต่อไป
2. ห้องสมุดวทิ ยาลยั และมหาวทิ ยาลัย (College & University Libraries)
คือ ห้องสมุดท่จี ดั ตั้งข้ึนในวทิ ยาลัยและมหาวทิ ยาลยั ซงึ่ เป็นสถาบันการศึกษาขนั้ อดุ มศึกษาท่ีมุง่ สง่ เสรมิ ด้าน
การเรยี น คน้ ควา้ และวจิ ัยหรือการให้บรกิ ารชุมชน เปน็ แหลง่ จัดหาทรัพยากรสารสนเทศท่ีทันสมยั และ
สอดคลอ้ งกับหลักสูตรการสอน เพ่อื ใหบ้ รกิ าร ทางวชิ าการแกน่ ักศกึ ษา อาจารย์ เพื่อใชป้ ระกอบการเรยี นการ
สอนและการค้นควา้ วจิ นั ตลอดจนสง่ เสริมกจิ กรรมตา่ ง ๆ ของมหาวทิ ยาลยั
ปจั จบุ นั สถาบนั อดุ มศกึ ษาสว่ นใหญไ่ ดพ้ ฒั นาสถานภาพของหอ้ งสมดุ ให้เป็นสถาบนั วทิ ยบรกิ าร หรอื
ศนู ย์วิทยบรกิ ารซึง่ จะมกี ารจดั บริการสารสนเทศอยา่ งกวา้ งขวางและลุ่มลกึ โดยการนำเอาเทคโนโลยี
สารสนเทศมาให้บริการจดั สรา้ งฐานขอ้ มลู ตา่ ง ๆ จัดใหม้ ีระบบเครอื ขา่ ย ให้บรกิ ารขอ้ มลแบบออฟไลน์และ
ออนไลน์ ตดิ ต้งั ระบบเครือข่ายคอมพวิ เตอร์เชื่อมโยงกบั ระบบคอมพวิ เตอรเ์ พ่อื การสบื ค้นข้อมูลขา่ วสารไดท้ ่ัว
ประเทศและทว่ั โลกได้อย่างรวดเร็วและประหยดั
5
3. ห้องสมดุ ประชาชน (Public Libraries)
เปน็ ศนู ย์กลางการใหบ้ รกิ ารสารสนเทศแก่ประชาชนทั่วไปในชมุ ชน โดยไม่จำกดั เพศ วยั และระดบั
การศกึ ษา อาชพี มที รพั ยากรสารสนเทศทุกประเภท เพ่ือสนองความตอ้ งการและความสนใจของผ้ใู ช้ เปิดให้
ประชาชนเข้าใชแ้ ละขอยืมหนังสอื ออกนอกห้องสมดุ ได้ ปัจจุบันมีความพยายามท่จี ะพฒั นาใหเ้ ปน็ ศนู ยบ์ ริการ
การศกึ ษาค้นควา้ ตลอดชวี ติ ของประชาชนในชุมชน โดยเน้นการสง่ เสริมการอา่ นให้กับเดก็ และวัยรนุ่ ในชมุ ชน
จัดบรกิ ารขอ้ มูลขา่ วสารทเ่ี ปน็ ประโยชนต์ อ่ คนในชุมชน และขอ้ มลู ขา่ วสารทีค่ นในชมุ ชนสนใจ จงึ กลา่ วได้ว่า
“หอ้ งสมดุ ประชาชนเปน็ ศนู ย์กลางการเรยี นรู้ของชุมชน” เช่น ศนู ยก์ ารเรยี นรู้ อ.สบเมย จ.แมฮ่ ่องสอน
ห้องสมดุ ประชาชนในประเทศไทยท่ีอย่ใู นเขตกรงุ เทพมหานคร อยใู่ นความดูแลรับผดิ ชอบของ
กรงุ เทพมหานคร สว่ นตา่ งจังหวัดอยใู่ นความรับผดิ ชอบของกรมการศึกษานอกโรงเรยี น วดั พระเชตพุ น
วมิ ลมังคลาราม ถอื เปน็ ห้องสมดุ ประชาชนแห่งแรกของไทย เพราะเป็นแหลง่ ทีบ่ ุคคลสามารถค้นหาความรู้
ด้วยตนเองจากจารกึ บนแผ่นศลิ ารอบระเบียงวดั ซึ่งรชั กาลที่ 3 พระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ได้ทรง
โปรดเกล้าฯ ใหร้ วบรวมตำราในอาชพี ต่าง ๆ เอาไวใ้ หป้ ระชาชนได้เรยี นรู้โดยไม่เสียค่าใชจ้ า่ ยใด ๆ
หอ้ งสมุดท่จี ัดต้งั ขึน้ เพ่ือบริการประชาชน โดยไมจ่ ำกัดเพศ วัย ระดับความรู้ หอ้ งสมดุ ประชาชนของ
ประเทศไทย มีดงั นี้
1. หอ้ งมดุ ประชาชน สังกดั กรมการศกึ ษานอกโรงเรยี น กระทรวงศึกษาธกิ าร ได้แก่ หอ้ งสมดุ เฉลมิ
ราชกุมารี ห้องสมดุ ประชาชนระดบั จงั หวดั ห้องสมุดประชาชนระดบั อำเภอ ที่อา่ นหนงั สอื พิมพ์
ประจำหมบู่ ้าน และหอ้ งสมดุ ประชาชนเคลือ่ นที่ ซงึ่ ให้บริการด้วยรถหรือเรือ
2. ห้องสมดุ ประชาชน สงั กดั กรุงเทพมหานคร ซ่งึ กรงุ เทพมหานครจัดตง้ั ข้นึ เพื่อบรกิ ารเฉพาะใน
กรงุ เทพมหานครเทา่ น้ัน เชน่ หอ้ งสมดุ ประชาชนสวนลุมพนิ ี หอ้ งสมดุ ประชาชนซอยพระนาง
ฯลฯ
6
3. หอ้ งสมุดประชาชนทธ่ี นาคารจดั ต้ังขน้ึ เฉพาะในกรงุ เทพฯ เชน่ ธนาคารศรนี คร และธนาคาร
กรงุ เทพฯ
4. ห้องสมุดประชาชนที่รฐั บาลตา่ งประเทศจัดตัง้ ข้นึ เช่น ห้องสมุดของสถาบันสอนภาษา เอ.ย.ู เอ.
ถนนราชดำริ และห้องสมุดสำนักงานแถลงขา่ วของสหรฐั อเมริกา ท่ีจังหวดั เชยี งใหม่
5. หอ้ งสมุดประชาชนท่ีเทศบาลจดั ตง้ั ขน้ึ เช่น หอ้ งสมดุ เทศบาล อำเภอหาดใหญ่ จงั หวัดสงขลา
4. หอ้ งสมดุ เฉพาะ (Special Libraries)
คอื หอ้ งสมุดท่จี ดั ต้งั ขน้ึ ในหน่วยงานราชการหรอื เอกชน เช่น กระทรวง ทบวง กรม องคก์ ร สถาบนั
สโมสร ธนาคาร และบรษิ ทั ซ่ึงจะมสี ง่ิ พมิ พเ์ ฉพาะวชิ าการทีห่ น่วยงานน้ันๆ เกย่ี วขอ้ ง หรือใหบ้ ริการเฉพาะผู้ท่ี
สังกัดในหนว่ ยงานเทา่ นน้ั บางแหง่ จะอนุญาตให้นกั เรียน นิสิต นกั ศึกษา นกั วจิ ยั เขา้ ใช้บริการได้
เปน็ แหลง่ สารสนเทศเฉพาะทางอยา่ งล่มุ ลึก เพ่ือสนองความต้องการของคนเฉพาะกลุ่มอยา่ งมี
ประสิทธภิ าพ ส่วนมากจะอยู่ในหนว่ ยงานราชการระดับสูง ธนาคาร โรงงานอุตสาหกรรม บริษัทขนาดใหญ่
สมาคมวิชาชีพต่าง ๆ ห้องสมุดคณะในมหาวิทยาลยั เชน่ หอ้ งสมุดวิทยาลยั ป้องกันราชอาณาจกั ร หอ้ งสมุดการ
ปโิ ตรเลยี มแห่งประเทศไทย หอ้ งสมดุ สยามสมาคม หอ้ งสมดุ สถาบนั มะเร็งแหง่ ชาติ ฯลฯ ห้องสมุดประเภทน้ี
มงุ่ เน้นการให้บรกิ ารที่ช่วยให้ผใู้ ชเ้ ข้าถึงสารสนเทศได้อยา่ งสะดวกและรวดเร็ว และมีประสทิ ธิภาพ ไดแ้ ก่
บรกิ ารรวบรวมและจดั ทำบรรณานกุ รม ดรรชนแี ละสาระสังเขป บริการสบื คน้ ฐานขอ้ มูลเชงิ ลกึ เป็นตน้ ดังน้นั
ผทู้ ใ่ี หบ้ รกิ ารจึงต้องเป็นผู้เช่ียวชาญเฉพาะวชิ าและสามารถใช้เคร่อื งมอื ช่วยค้นอเิ ลก็ ทรอนิกส์ในการจัดการได้
เปน็ อย่างดี
7
5.หอสมดุ แห่งชาติ (National Libraries)
คือ หอ้ งสมดุ ทรี่ ฐั บาลจดั ต้ังข้ึน เปน็ ห้องสมดุ ของประเทศ โดยใหป้ ระชาชนเข้าใช้บรกิ ารไดท้ ุกระดบั
แตไ่ ม่ให้นำออกนอกห้องสมุด หอสมดุ แหง่ ชาติมวี ตั ถปุ ระสงค์เปน็ แหล่งสำคัญในการอนรุ ักษส์ ่ิงพมิ พ์ และวสั ดุ
การอา่ นทุกชนดิ ของชาติ นอกจากน้ยี งั เปน็ ศูนย์ขา่ วสารและบรรณานกุ รมแห่งชาติ และเป็นศนู ย์รวมแหง่
ระบบห้องสมุดของชาติ โดยประสานงานกบั หอ้ งสมุดประเภทอนื่ ๆ หอสมดุ แหง่ ชาติกรงุ เทพมหานคร ตัง้ อยู่ที่
ทา่ วาสุกรี สงั กดั กรมศิลปากร กระทรวงศกึ ษาธิการ หอสมดุ แหง่ ชาติมหี ลายสาขา เชน่ สาขาหอสมดุ แหง่ ชาติ
อนิ ทร์บรุ ี สาขาหอสมดุ แห่งชาติลำพูน เป็นต้น
เป็นแหลง่ รวบรวมและเกบ็ รกั ษาหนังสอื ท่ีพิมพข์ นึ้ ภายในประเทศ (National Bibliography) โดย
ได้รบั ตามพระราชบญั ญตั กิ ารพิมพ์ ทำหนา้ ท่ีจดั ทำบรรณานุกรมแห่งชาติ / กำหนดเลขมาตรฐานสากลประจำ
หนังสอื (ISBN = International standard book number) เลขมาตรฐานสากลประจำวารสาร (ISSN =
International standard serial number) หอสมดุ แหง่ ชาติของไทย มีประวัติความเปน็ มา โดยสรปุ ดังน้ี
หอสมดุ แหง่ ชาติเดมิ มีช่อื วา่ “หอสมุดวชริ ญาณสำหรบั พระนคร” ซง่ึ พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้
เจา้ อย่หู วั ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ สถาปนาข้นึ เมอ่ื ปี พ.ศ. 2448 โดยนำเอาหอพระสมดุ 3 แหง่ มารวมกนั
ได้แก่ หอพระมณเฑยี รธรรม หอพระสมุดวชริ ญาณ และหอพุทธศาสนสังคหะ (หอพระมณเฑยี รธรรมสรา้ งขน้ึ
เม่ือปี พ.ศ. 2326 ในรชั สมัยพระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟา้ จุฬาโลกมหาราช หอพระสมดุ วชิรญาณสรา้ งขึ้น
เม่อื ปี พ.ศ. 2424 โดยพระดำรขิ องพระราชโอรสและพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจ้าอยูห่ ัว
หอพทุ ธศาสนสงั คหะสรา้ งข้ึนเม่อื ปี พ.ศ. 2443 โดยพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจ้าอยูห่ ัว)
ในช่วง 10 ปแี รก หอสมดุ วชริ ญาณสำหรับพระนคร ต้งั อยู่ภายในพระบรมมหาราชวัง ตอ่ มา ปี พ.ศ.
2459 พระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยูห่ ัว โปรดเกลา้ ฯ ใหย้ ้ายออกมาอยทู่ ่ตี ึกรมิ ถนนหนา้ พระธาตฝุ งั่
ตะวันตกของท้องสนามหลวง (บรเิ วณวดั มหาธาตใุ นปัจจบุ ัน)
พ.ศ. 2476 หลังเปลี่ยนแลปงการปกครอง เปลย่ี นชื่อใหม่ว่า “ หอพระสมุดสำหรับพระนคร” และ
ต่อมามพี ระราชกฤษฎีกา เปล่ยี นช่อื ใหมเ่ ป็น “หอสมุดแหง่ ชาติ”
พ.ศ. 2505 – 2509 จอมพลสฤษดิ์ ธนะรชั ต์ ไดจ้ ดั สรา้ งหอสมดุ แหง่ ชาตหิ ลงั ใหม่ในปจั จุบนั ทีท่ ่า
วาสุกรี สเ่ี สาเทเวศน์ ถนนสามเสน
ปัจจุบันหอสมุดแห่งชาติ ไดข้ ยายออกไปยงั ส่วนภูมภิ าคและตามทตี่ า่ ง ๆ เช่น หอสมดุ แห่งชาติสาขา
อนิ ทร์บรุ ี จ.สิงหบ์ รุ ี หอสมุดแห่งชาติสาขาลำพูน หอสมดุ แหง่ ชาตสิ าขานครศรธี รรมราช หอสมดุ แห่งชาติสาขา
8
สงขลา หอสมุดแหง่ ชาตสิ าขาชลบรุ ี หอสมดุ แหง่ ชาตสิ าขานครราชสมี า หอสมุดแหง่ ชาติสาขาเชยี งใหม่
หอสมุดแหงชาตสิ าขาเพชรบุรี หอสมุดแห่งชาติสาขาจันทบุรี
หอสมุดแห่งชาตทิ ่าวาสุกรี ถนนสามเสน เปดิ ใหบ้ รกิ ารแกบ่ ุคคลทัว่ ไปเข้าอา่ นและค้นควา้ หนังสอื
เอกสารไดฟ้ รี แตไ่ มอ่ นุญาตใหย้ มื ทรพั ยากรสารสนเทศทกุ ชนิดออกนอกหอ้ งสมุด ปัจจุบันได้มกี ารพัฒนางาน
ด้านบรกิ ารออกไปอยา่ งกว้างขวางโดยมีการนำเอาคอมพวิ เตอรม์ าใช้ในการดำเนนิ งานและให้บริการใน
หอ้ งสมดุ
ภายในบริเวณหอสมุดแห่งชาติ ทา่ วาสุกรี ยังมหี อจดหมายเหตุแหง่ ชาตติ ง้ั อยู่ ซ่ึงเป็นแหล่งรวบรวม
และอนรุ ักษ์จดหมายเหตแุ ละเอกสารสำคัญของชาติ เอกสารทม่ี คี วามสำคญั ทางประวัติศาสตร์ และมีคณุ คา่
ควรเก็บรักษาไวเ้ พื่อให้นกั วจิ ัยและผู้ทสี่ นใจได้เขา้ มาศึกษาคน้ ควา้ และใชอ้ า้ งองิ เช่น เอกสารต้นฉบบั หนังสือ
โตต้ อบ รายงาน บันทกึ สว่ นตวั หนังสอื สญั ญาภาพถ่าย/แผนท่ี เอกสารโบราณ สมดุ ขอ่ ย หนังสอื ผกู ใบลาน
เปน็ ตน้ ส่งิ ต่าง ๆ เหล่านจี้ ะเกบ็ รักษาไวใ้ นรปู ลักษณ์เดิมเพื่อประโยชนใ์ นการศกึ ษาเชงิ ประวัติศาสตร์และเปน็
มรดกทางวฒั นธรรม
หอจดหมายเหตแุ ห่งชาตอิ ยู่ในความดูแลของกองจดหมายเหตแุ ห่งชาติ กรมศลิ ปากร กองนี้มีหนา้ ที่
ดำเนินงานบนั ทึกเหตกุ ารณ์ประจำวนั แปลและเรยี บเรียงจดั เกบ็ เอกสารหลกั ฐานประวตั ศิ าสตรท์ งั้ ในอดีตและ
ปจั จุบนั หอจดหมายเหตุ (Archives) จำแนกได้ 5 ประเภท ได้แก่ หอจดหมายเหตแุ หง่ ชาติ หอจดหมายเหตุ
ส่วนภมู ภิ าคและท้องถิ่น หอจดหมายเหตุของมหาวทิ ยาลยั หอจดหมายเหตุของวดั และสถาบันศาสนา หอ
จดหมายเหตขุ องสถาบันธรุ กจิ และอตุ สาหกรรม
9
ใบความร้เู รอื่ ง ระเบียบและมารยาทการใชห้ ้องสมุด
ระเบียบ หมายถงึ ขอ้ บังคับที่จะใหป้ ฏบิ ตั ิ หรอื ละเว้นการปฏิบัตอิ ยา่ งหน่งึ อย่างใดเพือ่ ใหส้ งั คมอยู่
อย่างสงบสุขและเปน็ ธรรม ผ้ฝู า่ ฝืนจะไดร้ ับโทษ
มารยาท หมายถงึ ข้อพงึ ปฏบิ ัติ โดยเกิดจากสำนกึ รู้จกั การควรไมค่ วรของผู้นั้นเอง
ระเบียบและมารยาทการใชห้ ้องสมดุ หมายถึง ข้อบังคับที่จะใหป้ ฏบิ ัตหิ รือขอ้ พงึ ปฏิบตั ิ โดยเกดิ จากจิตสำนกึ ที่
ดีในการปฏบิ ตั ิตนของผู้ใชบ้ ริการ เพ่ือความสงบเรยี บรอ้ ยเมื่อเข้าใช้บริการหอ้ งสมดุ
ระเบียบการเขา้ ใชห้ ้องสมุด
✰ เวลาเปิดทำการ
วันจนั ทร์ – ศกุ ร์ ต้ังแต่เวลา 07.00 น. – 17.00 น. ปิดวนั หยดุ ราชการ
✰ ผมู้ ีสิทธ์ิใช้และยืมหนังสือ
1. ครู – อาจารย์ นักเรยี น นกั การภารโรง โรงเรยี นชยั บาดาลวทิ ยา
2. บคุ คลภายนอกซงึ่ ได้รบั อนุญาตจากทางโรงเรียน
✰ การยมื หนังสอื
1. ครู – อาจารย์ ยมื หนงั สอื ไดไ้ มเ่ กิน 20 เล่ม ตอ่ 1 ภาคเรยี น วารสารล่วงเวลา 3 ฉบบั ๆ ละ 7 วนั
2. นักเรียนทกุ ระดบั ช้ัน ยมื หนังสอื ท่ัวไป ได้ 3 เล่ม ๆ ละ 7 วัน หนังสอื จอง 1 เล่ม ๆ ละ 3 วนั และ
หนงั สอื ทว่ั ไปถา้ ไมม่ ผี ู้จองไว้สามารถยมื ตดิ ต่อได้อกี 1 ครงั้
✰ การคนื หนังสือ
1. นักเรียนทย่ี มื หนงั สอื ทัว่ ไปส่งเกนิ วันกำหนดสง่ เสยี คา่ ปรบั วันละ 1 บาทตอ่ เลม่
2. นักเรยี นทยี่ มื หนงั สือจอง ถา้ ส่งเกินกำหนดส่ง เสียคา่ ปรับวันละ 2 บาทต่อเลม่
3. การนับวนั เกินกำหนด เรมิ่ นับตง้ั แตว่ ันกำหนดสง่ ถงึ วันที่สง่ จริง ไมเ่ วน้ วนั หยดุ ราชการ (เสาร์-อาทติ ย์)
ถ้าวนั กำหนดสง่ ตรงกับวนั สำคญั นกั เรียนจะไมเ่ สยี คา่ ปรับ
4. ถา้ นกั เรยี นยมื และทำหนงั สอื สญู หาย ต้องรบั ผิดชอบ ดงั น้ี
1. ซือ้ หนังสือ ชอ่ื เรือ่ ง และผแู้ ตง่ เลม่ เดมิ พร้อมชำรพคา่ ปรบั ถา้ ส่งเกินวันกำหนดสง่
2. หากไม่สามารถหาหนงั สอื มาใช้แทนได้ ต้องชำระเงนิ ชดเชยเป็น 2 เทา่ ของราคาหนงั สือปจั จบุ นั
10
มารยาทการเขา้ ใชห้ อ้ งสมดุ
1. แตง่ กายสุภาพเรยี บร้อย
2. ถอดรองเทา้ ไวท้ ี่หนา้ หอ้ งสมุด
3. ไม่นำเอกสาร กระเป๋า ถงุ ยา่ ม นอกจากปากกาและกระดาษท่ใี ช้บนั ทึก
4. ไมส่ ง่ เสยี งดงั รบกวนสมาธิผู้อ่ืน
5. ไมน่ ำอาหาร ขนม เครอื่ งดม่ื ทุกชนิดเขา้ ไปรับประทานในหอ้ งสุด
6. ไม่ตดั รปู ภาพ ขอ้ ความ เรื่องราวที่อยู่ในหนงั สือ เอกสารทกุ ชนิด
7. หยบิ หนังสอื เล่มใดออกจากชน้ั เม่อื อา่ นเรียบร้อยแลว้ เก็บไวท้ ี่เดิม และจัดให้เรียบรอ้ ย
8. ถ้าเข้าห้องสมดุ ในเวลาเรียน ตอ้ งมีใบอนุญาตจากอาจารยป์ ระจำวิชา
9. เมือ่ ลกุ จากทน่ี ่งั เล่อื นเกา้ อี้ไปชิดกบั ขอบโตะ๊ ทกุ คร้งั
11
ใบงานเรื่อง ระเบียบและมารยาทการใช้หอ้ งสมดุ
คำสั่ง ให้นักเรยี นศกึ ษา เกย่ี วกบั ระเบียบและมารยาทการใช้หอ้ งสมุด ห้องสมดุ โรงเรียนชยั บาดาลวิทยา
และห้องสมุดโรงเรียนทน่ี ักเรียนไดศ้ กึ ษามา แลว้ นำมาเปรียบเทียบว่ามคี วามแตกต่างกนั หรือไม่อยา่ งไร
ระเบียบและมารยาทการใชห้ อ้ งสมดุ ระเบยี บและมารยาทการใช้หอ้ งสมดุ
โรงเรียนชัยบาดาลวิทยา โรงเรยี น.....................................
12
หนว่ ยที่ 2 เรื่อง ทรพั ยากรสารสนเทศ
ความหมายของทรพั ยากรสารสนเทศ
สง่ิ ทใี่ ชบ้ ันทึกข้อมลู ข่าวสาร ความรู้ ความคดิ ประสบการณท์ ไ่ี ด้กลนั่ กรองเรียบเรียงและประมวลผล
ไวด้ ้วยภาษาสญั ลักษณ์ รหัส รปู ภาพ และอ่ืน ๆ รวมทัง้ บนั ทกึ บนวสั ดุหลายชนดิ ด้วยวธิ ีการตา่ ง ๆ เพื่อเผยแพร่
ซ่งึ ทำใหเ้ กดิ การเรียนรู้และเกดิ ปัญญา
ประเภททรพั ยากรสารสนเทศ :: ทรพั ยากรสารสนเทศแบง่ ออกเป็น 2 ประเภท คอื วัสดตุ พี ิมพแ์ ละวสั ดไุ ม่
ตีพิมพ์
ประโยชน์ของทรพั ยากรสารสนเทศ
1. ให้ความรใู้ นรปู แบบตา่ ง ๆ
2. เป็นหลกั ฐานอ้างอิงประกอบการคน้ คว้า
3. เสริมสรา้ งสตปิ ญั ญาทำให้มคี วามคดิ สร้างสรรคแ์ ละวิสัยทศั น์อนั กวา้ งไกล ทันโลก ทนั เหตกุ ารณ์
และความเคลื่อนไหวตา่ ง ๆ
4. สามารถนำความรทู้ ่ไี ดจ้ ากทรพั ยากรสารสนเทศมาพฒั นาตนเองในด้านต่าง ๆ ทำใหป้ ระสบ
ผลสำเรจ็ ในการดำเนนิ งานตา่ ง ๆ อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ
13
ใบงานเร่อื ง ทรพั ยากรสารสนเทศ
คำสง่ั ให้นกั เรยี นตอบคำถามต่อไปนี้
1. ปจั จยั ใดบ้างทท่ี ำใหเ้ กดิ เปน็ คุณคา่ ของสารสนเทศ
(1) ........................................................................
(2) ........................................................................
(3) ........................................................................
(4) ........................................................................
(5) ........................................................................
(6) ........................................................................
2. ทรพั ยากรสารสนเทศแบง่ เป็น ................... ประเภท คอื
..............................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................................
3. จงจับคู่ความหมายของคำตอ่ ไปนีใ้ หถ้ ูกต้อง
.............. 1. สารสนเทศ A. Non-Printed Materials
.............. 2. ส่งิ พมิ พ์ B. Journal
.............. 3. สง่ิ ไมต่ ีพิมพ์ C. Electronic Materials
.............. 4. สอื่ อิเล็กทรอนิกส์ D. Information Resource
.............. 5. สิทธิบัตร E. Information
.............. 6. ทรพั ยากรสารสนเทศ F. Printed Materials
.............. 7. แหล่งสารสนเทศ G. Non-Fiction
.............. 8. หนงั สือวิชาการ H. Reference Book
.............. 9. วารสารวชิ าการ I. Information Source
.............. 10. หนังสืออา้ งอิง J. Patent
14
ใบความรู้เรื่อง ประเภทและลกั ษณะของทรพั ยากรสารสนเทศ
ประเภทและลกั ษณะของทรัพยากรสารสนเทศ
ทรพั ยากรสารสนเทศแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1) วสั ดตุ พี ิมพ์ (Printed Materials)
2) วัสดุไมต่ พี ิมพ์ (Non-Printed Materials) หรือโสตทศั นวสั ดุ
1. วสั ดตุ ีพิมพ์ (Printed Materials) คือ สง่ิ พมิ พท์ ่ีมกี ารบันทึกความรู้ ความคดิ ของมนุษย์นำมา
รวบรวมเป็นเล่ม ใหผ้ อู้ า่ นได้ศึกษาคน้ ควา้ และใชอ้ า้ งองิ แบ่งตามลกั ษณะเนอ้ื หาได้ ดังนี้
1.1 หนังสือ แบง่ ออกเปน็ 2 ประเภทคือ
1.1.1 หนงั สอื สารคดี คอื หนังสือที่มุ่งให้ความรูแ้ ก่ผอู้ ่านเป็นสำคัญ ไดแ้ ก่
1) ตำราวิชาการ คอื หนังสือทเ่ี ขยี นข้นึ ตามหลักสตู รในสถาบันการศกึ ษา ระดบั
ตา่ ง ๆ ใชป้ ระกอบการเรยี นการสอน เช่น แบบเรยี นวชิ าต่าง ๆ
15
2) หนังสืออา่ นประกอบ คอื หนงั สอื ทีเ่ ขยี นขึ้น เพ่อื ใชอ้ า่ นประกอบ ใน
เน้อื หาวชิ าต่าง ๆ ให้ได้ความรลู้ ะเอยี ดลกึ ซง้ึ เชน่ หนังสืออา่ นประกอบระดับมัธยมศึกษาที่จดั พิมพ์ และ
เผยแพรโ่ ดยกรมวิชาการ เป็นต้น
3) หนังสอื ความรู้ทัว่ ไป คอื หนังสอื ทผ่ี ู้เขยี นต่าง ๆ เรยี บเรยี งขึ้นตาม ความ
สนใจของผเู้ ขยี น เช่น ความรรู้ อบตวั เป็นตน้
4) หนังสืออา้ งองิ คือ หนังสอื ที่มีลกั ษณะรวบรวมความรูไ้ ว้หลากหลายเพ่ือใช้
คน้ หาคำตอบเร่ืองใดเรอื่ งหนงึ่ โดยไม่ตอ้ งอ่านทงั้ เลม่ เรยี บเรียงตามลำดับอกั ษรของเรื่อง หรือเนื้อหา ที่
ต้องการคน้ เช่น พจนานกุ รมราชบณั ฑติ ยสถาน และพจนานุกรมไทย-อังกฤษ สารานุกรมวทิ ยาศาสตร์ เปน็
ต้น
16
5) ปรญิ ญานพิ นธ์ หรือวทิ ยานิพนธ์ คอื บทนพิ นธท์ ่เี รยี บเรยี งขน้ึ เพอ่ื ประกอบ
การศกึ ษาระดบั บัณฑติ
6) สิ่งพิมพร์ ัฐบาล คือ หนงั สือทผ่ี ลิตโดยหน่วยราชการ รฐั วิสาหกจิ เชน่ หนังสอื
รายงานประจำปี ราชกจิ จานุเบกษา และหนงั สอื รายปี เป็นต้น
1.1.2 หนงั สือบันเทงิ คดี คอื หนงั สือทเี่ ขยี นขึ้นจากประสบการณ์และจนิ ตนาการ มุ่งให้
ความบนั เทิงเป็นสำคญั เชน่ หนงั สือนวนิยาย หนงั สอื รวมเรื่องส้ัน หนงั สอื สำหรบั เดก็ และเยาวชน
เป็นต้น
17
1.2 สง่ิ พมิ พต์ อ่ เนือ่ ง คอื สงิ่ พมิ พท์ ่ีออกต่อเนอ่ื งกนั ตามกำหนดเวลาทกี่ ำหนดไว้ ไดแ้ ก่
1.2.1 หนงั สอื พมิ พ์รายวนั คือ ส่ิงพมิ พ์ทก่ี ำหนดออกเป็นประจำทุกวนั เพอื่ นำเสนอข่าว
และเหตกุ ารณค์ วามเคลอ่ื นไหวใหม่ ๆ ทง้ั ภายในประเทศและต่างประเทศ เชน่ ข่าวการเมอื ง ข่าว
เศรษฐกจิ และสังคม ขา่ วการศึกษา ข่าวกีฬา ขา่ วธรุ กจิ ขา่ วบันเทงิ บทความทางวิชาการ และ
สาระนา่ รู้ เปน็ ตน้
1.2.2 วารสารและนติ ยสาร คอื สิ่งพิมพ์ทก่ี ำหนดออกตามเวลาท่กี ำหนด ได้แก่
1) วารสารรายสัปดาห์ มีกำหนดออกสปั ดาหล์ ะ 1 ฉบบั
2) วารสารรายปักษ์ มีกำหนดออก 2 สปั ดาห์ 1 ฉบับ
3) วารสารรายเดอื น มีกำหนดออกเดอื นละ 1 ฉบับ
4) วารสารราย 3 เดอื น มีกำหนดออก 3 เดือน 1 ฉบับ เนื้อหาในวารสารจะ
เน้นหนกั ทางวิชาการ สว่ นเนือ้ หาในนิตยสารจะเน้นบันเทงิ
18
1.2.3 จุลสาร คอื สงิ่ พมิ พ์ขนาดเลก็ อาจเป็นกระดาษแผน่ เดียวพับไปพับมา หรอื เปน็ เล่ม
บาง ๆ มคี วามหนาไมเ่ กนิ 60 หน้า ใหค้ วามรู้เก่ียวกับเรื่องใดเรอ่ื งหน่ึงโดยเฉพาะ เชน่ โรคตา่ ง ๆ
วิธดี แู ลรกั ษา และการปลกู พืชตา่ ง ๆ ใหข้ ้อมลู ทที่ ันสมัย เขียนงา่ ย ๆ จดั พมิ พ์ หรือออกโดย
หน่วยงานรัฐ หรือเอกชน เพื่อเผยแพรค่ วามร้โู ดยการแจกจ่ายให้กบั ประชาชน หอ้ งสมดุ และ
หนว่ ยงานต่าง ๆ เป็นต้น
1.2.4 กฤตภาค คอื ทรพั ยากรสารสนเทศท่หี อ้ งสมุดจดั ทำขึ้นโดยตดั บทความ ข่าว และ
สาระน่ารู้ จากวารสารและหนงั สือพิมพ์ฉบับลว่ งเวลาทมี่ ปี ระโยชน์ตอ่ ผใู้ ช้ แล้วนำมาผนกึ บนกระดาษ บอก
แหลง่ ที่มาบนกระดาษ ใหห้ ัวเรื่อง และนำไปจัดเรยี งเขา้ แฟม้ ตามลำดับอักษรของหัวเร่อื ง เพ่อื ใช้ ค้นควา้ ต่อไป
2. วสั ดุไม่ตีพมิ พ์ (Non-Printed Materials) หรอื โสตทศั นวัสดุ คอื วัสดทุ ใี่ หค้ วามรคู้ วามคิดผ่าน
ทางตา ทางหู ทำให้เกดิ ความเขา้ ใจในการเรียนรู้ได้เรว็ ขึ้น แบง่ ออกเปน็ ประเภทได้ ดังน้ี
2.1 โสตวสั ดุ คือ ทรพั ยากรสารสนเทศท่ใี ช้เสยี งเปน็ สอื่ ในการถ่ายทอด
สารสนเทศ ไดแ้ ก่ แผ่นเสยี ง แถบบันทึกเสยี ง หรอื เทปบันทึกเสยี ง แผ่นดสิ ก์ เปน็ ตน้
19
2.2 ทศั นวัสดุ คอื ทรพั ยากรสารสนเทศทผี่ ู้รับตอ้ งใช้สายตารับรู้ อาจดดู ้วยตาเปลา่ หรอื ใช้เครอ่ื ง
ฉายชว่ ยขยายภาพ เชน่ รปู ภาพ แผนที่ แผนภมู ิ วสั ดุกราฟกิ หรอื วสั ดุลายเสน้ ภาพเลอ่ื น หรือฟลิ ม์
สตรปิ ภาพนง่ิ หรอื แผ่นชุดการสอน ลูกโลก หนุ่ จำลอง เกม และของจริง เป็นตน้
20
2.3 โสตทัศนวัสดุ คือ วสั ดุสารสนเทศทม่ี ที ั้งภาพและเสยี ง ได้แก่ เคร่ืองฉายภาพยนตร์สไลด์
ประกอบ
เสยี ง หรอื สไลด์มลั ตวิ ชิ นั่ เป็นต้น
2.4 วัสดุยอ่ สว่ น คือ วัสดทุ ีไ่ ดจ้ ากการถ่ายภาพสง่ิ พมิ พต์ น้ ฉบับ ยอ่ ส่วนลงบนฟลิ ม์ กระดาษ ทบึ
แสงให้มีขนาดเลก็ โดยใชเ้ คร่ืองช่วยอ่าน เพือ่ ประหยดั งบประมาณและเนื้อทใ่ี นการจดั เก็บ ไดแ้ ก่ ไมโครฟลิ ม์
ไมโครฟิช ไมโครการ์ด ไมโครพรินท์
2.5. วัสดุอเิ ล็กทรอนิกส์ คอื ทรพั ยากรสารสนเทศ ท่มี ีการแปลงสารสนเทศเปน็ สัญญาณ
อิเล็กทรอนกิ สก์ ลบั คืนเปน็ ภาพหรือเสียง ไดแ้ ก่ วดิ ีทัศน์ ซดี -ี รอม
21
เป็นสอ่ื ใหม่ทใี่ ชใ้ นการบนั ทกึ สารนิเทศซึ่งเกดิ จากความกา้ วหนา้ ทางเทคโนโลยีอิเลก็ ทรอนิกสพ์ ฒั นาใช้
กับเครอ่ื งคอมพิวเตอร์และการส่อื สารโทรคมนาคม ดงั น้ันการสบื ค้นข้อมลู สามารถส่งข่าวสารในสถานทต่ี ่างกนั
และใชข้ ้อมูลรว่ มกันไดท้ นั ทีในเวลาเดียวกนั อย่างมีประสทิ ธิภาพและรวดเร็ว สือ่ ประเภทนี้ เช่น ฐาน
ขอ้ มลู คอมพวิ เตอร์ วารสารอเิ ล็กทรอนิกส์ อีเมล ฯลฯ
วิธีเลือกใช้วสั ดุตพี มิ พ์
การเลือกใชว้ สั ดตุ พี มิ พ์เป็นความจำเปน็ ทน่ี กั เรียนจะตอ้ งพิจารณาวา่ วัสดุตพี มิ พป์ ระเภทใด เหมาะ
สำหรับใช้ประกอบการเรยี นรู้ในสถานทใ่ี ด เวลาใด อยา่ งไร สถานการณไ์ หน เพอ่ื ให้ตรงตาม
วัตถุประสงค์ และใช้ไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ งมีประสทิ ธิภาพ คุ้มค่าแก่เวลา
1. หนงั สือ สามารถเลอื กใชไ้ ดต้ ามวัตถปุ ระสงค์ ดงั นี้
1.1 หนงั สือสารคดี
1.1.1 ตำราวิชาการ อ่านประกอบการเรยี นซึง่ เปน็ แบบเรยี นของวชิ าตา่ ง ๆ
1.1.2 หนงั สืออา่ นประกอบ อา่ นประกอบเนอื้ หาของวิชาต่าง ๆ ใหไ้ ด้ความรู้ ละเอียดลึกซ้งึ
ขน้ึ
1.1.3 หนังสือความรู้ทวั่ ไป อ่านเพ่ือค้นคว้าเพิ่มเตมิ ตามหัวขอ้ ท่ตี อ้ งการโดยดจู าก
สารบัญ หรอื อา่ นตามความสนใจ
1.1.4 หนงั สืออา้ งองิ อา่ นเพ่ือการคน้ หาคำตอบเรือ่ งใดเรอื่ งหนง่ึ หรือเนอื้ หาท่ตี อ้ งการคน้
1.2 หนงั สือบันเทิงคดี อ่านเพ่อื ความบันเทงิ เปน็ สว่ นใหญ่ ไดแ้ ก่ นวนิยาย หนงั สอื สำหรบั เด็ก
รวมเร่ืองสั้น
2. สิง่ พิมพ์ต่อเน่ือง สามารถเลอื กใชไ้ ดต้ ามวตั ถุประสงค์ ดงั นี้
2.1 หนงั สอื พมิ พร์ ายวนั อา่ นเพือ่ ทราบเหตกุ ารณท์ เี่ กิดขึ้นในแต่ละวัน และเหตุการณ์ใน
ชวี ติ ประจำวนั เช่น คอลัมน์สมัครงาน โฆษณา ซ้อื ขาย แลกเปลยี่ นสินคา้ และตอบปัญหาสุขภาพ เปน็
ตน้
2.2 นิตยสารและวารสาร นติ ยสารอา่ นเพ่อื ความบันเทิง และวารสาร อ่านเพื่อประกอบ การ
ค้นคว้าเรอื่ งราวทที่ ันสมยั และเป็นปจั จุบัน และยงั ไมต่ ีพมิ พ์เป็นหนงั สอื เช่น บทความทางวิชาการ เก่ยี วกบั
เรื่องต่าง ๆ
2.3 จลุ สาร อ่านเมอื่ ตอ้ งการความรู้เรอ่ื งใดเรอ่ื งหนงึ่ โดยเฉพาะ ให้ขอ้ มูลทที่ นั สมัย เขยี น
ง่ายๆ เช่น โรคตา่ ง ๆ และวิธีดูแลรักษา และการปลกู พชื ต่าง ๆ เป็นต้น
2.4 กฤตภาค ใช้ในการค้นควา้ ความรูเ้ รอ่ื งตา่ ง ๆ เชน่ บทความ ขา่ ว และสาระน่ารู้
วิธีเลือกใช้วัสดุไมต่ ีพิมพ์
1. โสตวสั ดุ ใชใ้ นการฟังบรรยายจากวิทยากร การสมั มนา การสมั ภาษณ์ผู้ร้ตู า่ ง ๆ เชน่ แถบ
บันทกึ เสยี ง หรอื เทปบนั ทกึ เสียง แผน่ ดิสก์ แผน่ ซีดี เปน็ ต้น
22
2. ทศั นวสั ดุ ใชใ้ นการดปู ระกอบการค้นควา้ หรอื การเรียนรู้ เชน่ รปู ภาพ แผนที่
แผนภมู ิ ภาพนิง่ เกม ชุดการเรียน ของจริง เปน็ ต้น
3. โสตทศั นวสั ดุ ใช้ในการดูและฟังประกอบการค้นควา้ หรือการเรยี นรู้ เช่น ภาพยนตร์และ ภาพนง่ิ
ประกอบเสียง เปน็ ตน้
4. วสั ดยุ อ่ สว่ น ใชใ้ นการคน้ ควา้ ความรูเ้ ร่ืองต่าง ๆ เชน่ ไมโครฟลิ ์ม เป็นตน้
5. วัสดอุ ิเลก็ ทรอนกิ ส์ ใชใ้ นการดแู ละฟงั ประกอบการคน้ ควา้ หรอื การเรยี นรู้ เช่น วิดีทศั น์ และซีดี-
รอม เป็นต้น
23
ใบงานเร่อื ง ประเภทของทรัพยากรสารสนเทศ
คำสัง่ ใหน้ ักเรยี นตอบคำถามตอ่ ไปนใี้ ห้ถูกตอ้ ง
1. จงระบปุ ระเภทของวัสดตุ พี ิมพ์ให้ถกู ต้อง
(1) แฮร์รี่ พอตเตอร์ ..................................................................................
(2) สยามกฬี า ..................................................................................
(3) แม่บ้าน ..................................................................................
(4) พจนานุกรมวทิ ยาศาสตร์ ..................................................................................
(5) แผ่นพับเร่อื งไข้หวัดนก ..................................................................................
(6) ศลิ าจารึกพอ่ ขนุ รามคำแหงฯ ..................................................................................
2. ส่ิงพิมพ์ที่เปน็ เรือ่ งใหมๆ่ ไม่เกิน 60 หน้า พิมพ์แจกเปน็ อภนิ ันทนาการ เรยี กว่าอะไร
..........................................................................................................................................................................................
3. หนังสอื ท่ีมเี นือ้ หาง่ายๆ หรือเป็นหนังสอื ภาพการต์ ูน ให้ความรู้คติสอนใจ คอื หนงั สอื ประเภทใด
..............................................................................................................................................................................
4. จงใหค้ วามหมายของคำวา่ “กฤตภาค”
..............................................................................................................................................................................
5. ทรพั ยากรสารสนเทศประเภทโสตวัสดุ ทศั นวสั ดุ และโสตทัศนวสั ดตุ ่างกนั อย่างไร จงอธบิ ายพรอ้ ม
ยกตัวอยา่ งวัสดสุ ารสนเทศแตล่ ะประเภท
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
ใบงานเรื่อง ประเภทของทรัพยากรสารสนเทศ 24
คาส่ัง ให้นกั เรียนแยกประเภททรัพยากรสารสนเทศ
สิ่งไม่ตีพมิ พ์
สิ่งตีพมิ พ์
25
ใบความรู้ เร่ืองการจัดหมวดหมูห่ นงั สอื
ประโยชน์ของการจัดหมวดหมูห่ นงั สอื
1. ทำใหห้ นงั สอื ทุกเล่มมีสญั ลกั ษณ์ และตำแหน่งการจดั เก็บท่ีแน่นอน ช่วยใหผ้ ูใ้ ชห้ อ้ งสมดุ คน้ หาได้สะดวก
และง่ายข้ึน
2. หนงั สือทมี่ เี นอื้ หาเหมอื นกัน สมั พนั ธก์ นั หรอื มรี ปู แบบการประพนั ธเ์ ดยี วกันรวมอยใู่ นทีเ่ ดยี วกนั ชว่ ยใหผ้ ้ใู ช้
มีโอกาสเลอื กหนงั สอื ไดห้ ลายเล่มในเรือ่ งท่ีต้องการ
3. ทำให้ทราบว่าห้องสมุดมหี นงั สอื ในแตล่ ะสาขาวชิ า แต่ละเรื่องมากน้อยเท่าใด
4. เมื่อไดร้ ับหนังสือเขา้ ใหม่ ห้องสมุดสามารถจดั หมวดหมู่แลว้ นำออกใหบ้ รกิ ารได้อย่างรวดเรว็
5. ช่วยให้เจ้าหนา้ ทีส่ ามารถจดั เกบ็ หนงั สือคืนไดเ้ ร็วข้นึ ผู้ใช้สามารถคน้ หาหนงั สือได้อยา่ งรวดเร็วและ
ประหยัดเวลาท้งั ผใู้ ช้และผู้ให้บรกิ าร
การจดั หมวดหมหู่ นงั สือระบบทศนยิ มดิวอ้ี
ระบบทศนิยมของดิวอ้ี (Dewey Decimal Classification) เรยี กย่อ ๆ วา่ ดี.ซี. (D.C.) หรือ (D.D.C.)
จัดพิมพ์ครั้งแรกเมือ่ พ.ศ. 2419 (ค.ศ.1876) และได้มีการแกไ้ ขปรบั ปรงุ เพิ่มเตมิ เรือ่ ยมาจนปัจจุบันเป็นคร้ังที่
20 แล้ว ผ้คู ดิ ระบบการจดั หมวดหมรู่ ะบบน้ีคอื เมลวิล ดวิ อี (Melvil Dewey พ.ศ.2397 – 2747) เป็น
บรรณารกั ษช์ าวอเมริกนั อยูท่ ี่วทิ ยาลัยแอมเฮริ ส์ (Amherst College) ในรัฐแมสซาชเู ซตส์ (Massachusetts)
ประเทศสหรัฐอเมรกิ า เป็นระบบทใ่ี ชต้ วั เลขเปน็ สญั ลักษณ์แทนเน้อื หาของหนงั สือ
การจดั หมวดหม่หู นังสอื ระบบดวิ อ้ี แบง่ หนังสอื ตามลำดับดงั น้ี
1. แบง่ หนังสอื ออกเปน็ 10 หมวดใหญ่ เรยี กวา่ การแบง่ ครง้ั ที่ 1 โดยใช้เลขหลกั รอ้ ย ดังตอ่ ไปนี้
000 เบ็ดเตลด็ หรอื ความรู้ทัว่ ไป (Generalities)
100 ปรัชญาและจติ วทิ ยา (Philosophy and Psychology)
200 ศาสนา (Religion)
300 สังคมศาสตร์ (Social Sciences)
400 ภาษาศาสตร์ (Language)
500 วิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ประยกุ ต์ (Natural Sciences and Mathematics)
600 เทคโนโลยีหรือวิทยาศาสตรป์ ระยกุ ต์ (Technology, Applied Sciences)
700 ศลิ ปกรรมและการบนั เทิง (The Arts, Fine and Decorative Arts)
800 วรรณคดี (Literature and Rhetoric)
900 ภูมศิ าสตรแ์ ละประวตั ศิ าสตร์ (Geography and History)
26
2. จากหมวดใหญใ่ นแตล่ ะหมวดยงั แบง่ ย่อยเป็นครั้งที่ 2 ได้อกี หมวดใหญล่ ะ 10 หมวดยอ่ ย โดยใชเ้ ลขหลกั
สิบ เชน่
020 บรรณารักษศาสตร์และสารนเิ ทศศาสตร์
150 จติ วทิ ยา
280 คริสต์ศาสนาและนิกายตา่ ง ๆ
320 รฐั ศาสตร์
420 ภาษาอังกฤษ
530 ฟสิ กิ ส์
610 แพทย์ศาสตร์
780 ดนตรี
840 วรรณคดฝี รัง่ เศส
960 ประวัติศาสตรท์ วปี แอฟรกิ า
3. จากหมวดย่อยแต่ละหมวดยงั แบ่งย่อยเป็นคร้ังที่ 3 ไดอ้ กี หมวดยอ่ ยละ 10 หมู่ โดยใช้เลขหลักหน่วย เช่น
หมวดยอ่ ย 640 คหกรรมศาสตร์
640 คหกรรมศาสตร์
641 อาหารและเครอ่ื งดืม่
642 การจดั เลย้ี งอาหาร
.....
นอกจากนย้ี ังสามารถแบง่ ให้ละเอียดออกไปเปน็ จุดทศนยิ ม เพื่อระบเุ น้ือหาวิชาให้เฉพาะเจาะจง เชน่
621 ฟิสิกสป์ ระยกุ ต์
621.3 วศิ กรรมไฟฟ้า
621.31 พลังงานไฟฟา้
นอกจากการแบง่ หมวดหมหู่ นังสอื ออกเป็น 3 ครง้ั แลว้ ยังแบ่งย่อยละเอียดจนถงึ จดุ ทศนิยมหน่ึง
ตำแหน่งไปจนถึงหลายตำแหนง่ เช่น
400 ภาษา
490 ภาษาอนื่ ๆ
495 ภาษาตะวนั ออก
495.9 ภาษาอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉยี งใต้
495.91 ภาษาไทย
495.911 ภาษาพดู ภาษาเขยี นมาตรฐานของไทย
495.9115 สัทศาสตร์ภาษาไทย การออกเสียงใหถ้ ูกตอ้ ง
495.91152 การสะกดการันตค์ ำในภาษาไทย
495.918 การใช้ภาษาไทย การใชค้ ำ การเลอื กคำเพ่อื ใชต้ ามต้องการ
27
ใบงานเรื่อง การจัดหมวดหมู่หนังสอื ระบบ D.C.
คำสั่ง ใหน้ ักเรียนยกตัวอย่างหนงั สอื ทอ่ี ยู่ในห้องสมดุ หมวด 000 – 900 มาอยา่ งละ 1 เล่ม (เขา้
ห้องสมุด)
ตัวอยา่ ง 371.2 ส่งความสขุ สคู่ ุณภาพการศึกษา
เลขหมูห่ นงั สือ ชื่อหนงั สอื
28
การจดั หมวดหมหู่ นงั สอื ระบบรฐั สภาอเมริกัน
การจดั หมหู่ นังสือระบบหอสมดุ รัฐสภาอเมรกิ นั (Library of Congress Classification)
การจดั หมหู่ นงั สอื ระบบหอสมดุ รัฐสภาอเมริกนั น้เี รียกยอ่ ๆ วา่ ระบบ L.C. ผคู้ ดิ คอื ดร.เฮอร์
เบริ ์ต พุทนมั (Herbert Putnum) คดิ ข้นึ ในปี ค.ศ. 1899 ขณะทีท่ ำหน้าทเี่ ป็นบรรณารักษห์ อสมุด
รฐั สภาอเมรกิ นั ซ่งึ ปัจจบุ ันเป็นห้องสมดุ ทใ่ี หญ่ท่สี ุดในโลก ตัง้ อยู่ ณ กรงุ วอชงิ ตนั สหรัฐอเมริกา การ
จดั แบง่ หมวดหมหู่ นังสอื มิไดอ้ ิงหลกั ปรัชญาใด ๆ มไิ ดเ้ รียงลำดบั วทิ ยาการ แต่กำหนดหมวดหมตู่ ามหนงั สือ
สาขาต่าง ๆ ทีม่ ีอยู่ในหอสมุดแหง่ นัน้ โดยแบ่งเปน็ 20 หมวดใหญ่ใช้อกั ษรโรมันตวั พิมพ์ใหญ่ A –
Z ยกเว้น I O W X Y ผสมกับตัวเลขอารบิค ต้ังแต่เลข 1-9999 และอาจเพมิ่ จดุ ทศนิยมกบั ตัวเลขไดอ้ ีก
หมวดใหญท่ ้งั 20 หมวด มีดังนี้
1. หมวดใหญ่ (Classes) หรอื การแบง่ ครั้งท่ี 1 แบง่ สรรพวชิ าออกเปน็ 20 หมวด โดยใชต้ ัวอกั ษร
โรมัน A – Z เป็นสัญลักษณแ์ ทนเน้ือหาของหนงั สอื
A ความรทู้ ่วั ไป (General Works)
B ปรชั ญา จติ วทิ ยา ศาสนา (Philosophy Psychology, Religion)
C ศาสตร์ที่เก่ยี วขอ้ งกับประวัติศาสตร์ (Auxiliary Sciences of History)
D ประวัตศิ าสตร์ทวั่ ไป และประวตั ศิ าสตรโ์ ลกเกา่ (History : General and Old World)
E-F ประวัตศิ าสตร์ : อเมรกิ า (History : America)
G ภมู ศิ าสตร์ โบราณคดี นนั ทนาการ (Geography, Antropology, Recreation)
H สังคมศาสตร์ (Social Sciences)
J รฐั ศาสตร์ (Political Science)
K กฎหมาย (Law)
L การศกึ ษา (Education)
M ดนตรี (Music and Books on Music)
N ศลิ ปกรรม (Fine Arts)
P ภาษาและวรรณคดี (Philology and Literatures)
Q วทิ ยาศาสตร์ (Science)
R แพทยศาสตร์ (Medicine)
S เกษตรศาสตร์ (Agriculture)
T เทคโนโลยี (Technology)
U ยทุ ธศาสตร์ (Military Science)
V นาวิกศาสตร์ (Naval Science)
Z บรรณานุกรม และบรรณารกั ษศาสตร์ (Bibliography, Library Science)
29
2. หมวดยอ่ ย (Division) หรอื การแบ่งครั้งที่ 2 คอื ในแต่ละหมวดใหญแ่ บ่งออกเป็นหมวดย่อย
ได้มากน้อยตา่ งกนั ในแตล่ ะหมวดย่อยใชต้ วั อักษรโรมนั ตัวใหญ่สองตัวแทนเนือ้ หาของหนังสือยกเวน้ หมวด E-
F และหมวด Z ใชอ้ กั ษรตวั เดยี วกับตัวเลข
ตัวอย่างหมวด B แบ่งออกเป็น 14 หมวดย่อยดังน้ี
B ปรัชญา
BC ตรรกวิทยา
BD ปรัชญาพยากรณ์ อภิปรชั ญา
BF จิตวทิ ยา
BH สนุ ทรียศาสตร์
BJ จริยศาสตร์
BL ศาสนาตา่ ง ๆ เทพปกรณมั
BM ศาสนายิว
BP ศาสนาอิสลาม ศาสนาบาไฮ
BQ พุทธศาสนา
BR ศาสนาครสิ ต์
BS คัมภีรไ์ บเบลิ
BT เทววทิ ยาเชิงคริสตศ์ าสตร์
BV เทววทิ ยาภาคปฏบิ ตั ิ
BX ครสิ ตศาสนานิกายต่าง ๆ
ตัวอยา่ ง หมวด T แบ่งออกเป็น 16 หมวดยอ่ ยดงั นี้
T เทคโนโลยี
TA วิศวกรรมศาสตร์ทั่วไป วศิ วกรรมโยธา
TC วิศวกรรมศาสตร์
TD เทคโนโลยสี ่งิ แวดลอ้ ม วศิ วกรรมสุขาภบิ าล
TE วิศวกรรมทางหลวง ถนน และผิวการจราจร
TF วศิ วกรรมรถไฟและการปฏบิ ตั กิ าร
TG วศิ วกรรมสะพาน
TH การก่อสรา้ งอาคาร
TJ วศิ วกรรมเครอ่ื งกลและเครื่องจกั ร
TK วศิ วกรรมไฟฟ้า อิเลก็ ทรอนิกส์ วิศวกรรมนวิ เคลียร์
30
TL ยานพาหนะ การบิน ยานอวกาศ
TN วิศวกรรมเหมอื งแร่ โลหการ
TP เคมเี ทคนคิ
TR การถา่ ยภาพ
TS โรงงาน
TT งานฝมี ือ
TX คหกรรมศาสตร์
3. หมู่ยอ่ ย (Section) หรือการแบง่ ครัง้ ท่ี 3 คอื จากหมวดย่อย แบ่งละเอยี ดเป็นหมยู่ อ่ ยโดย
วิธีเตมิ ตวั เลขอารบคิ ตงั้ แต่ 1-9999 เชน่
PN1 วารสารสากล
PN2 วารสรอเมริกันและอังกฤษ
PN86 ประวัตกิ ารวจิ ารณ์
PN101 ผู้แต่งอเมรกิ ันองั กฤษ
4. จุดทศนยิ ม หรอื การแบ่งครัง้ ที่ 4
จากการแบง่ เปน็ หมยู่ อ่ ย ยังสามารถแบ่งใหล้ ะเอียดโดยการใชจ้ ดุ ค่นั และตามดว้ ยอกั ษรและตวั เลข เพ่อื แสดง
รายละเอียดหมวดเร่ือง หรอื รูปแบบ หรือประเทศ เช่น
PN6100.C7 รวมโคลงกลอนของวิทยาลยั
PN6100.H8 เรอ่ื งขำขัน
PN6519.C5 สภุ าษติ จนี
31
ใบงานเรอ่ื ง การจัดหมวดหมู่หนังสือระบบ L.C
คำสัง่ ใหน้ กั เรยี นเปรียบเทียบการจดั หมรู่ ะบบทศนยิ มดวิ อแ้ี ละระบบรัฐสภาอเมริกนั โดยแบ่งเป็น
สาขาวิชาดงั นี้
สาขามนษุ ยศาสตร์
ระบบ D.C. ระบบ L.C.
สาขาสงั คมศาสตร์
ระบบ D.C. ระบบ L.C.
ประวัตศิ าสตร์
ระบบ D.C. ระบบ L.C.
32
ใบความรู้เรือ่ ง
การจดั หม่หู นงั สอื ทไี่ ม่ใช้ตัวเลขเปน็ สัญลักษณ์
การจดั หมหู่ นงั สือทไ่ี มใ่ ชต้ ัวเลขเปน็ สัญลกั ษณ์
หนังสือบางประเภทผอู้ า่ นใหค้ วามสนใจดา้ นการใชภ้ าษา ตลอดจนวธิ ีการดำเนินเรอ่ื งมากกวา่ สาระ
ทางวชิ าการ หอ้ งสมดุ จงึ ใชอ้ กั ษรย่อของคำที่บอกประเภทหนงั สือนั้น ๆ แทนการใหเ้ ลขหม่แู ต่ละเล่ม ซ่งึ
ห้องสมุดแต่ละแห่งอาจจะใชต้ ัวอกั ษรย่อแตกต่างกันสำหรบั หนังสือประเภทเดยี วกนั
เพอื่ ความสะดวกและรวดเร็วในการจดั หมูห่ นังสือ หอ้ งสมดุ สว่ นมากนยิ มใชต้ วั อกั ษรเปน็ สัญลกั ษณ์
แทนการให้เลขหมู่หนังสือบางประเภท เพราะหอ้ งสมุดพจิ ารณาเห็นว่าหนงั สอื ประเภทน้ันๆ ผูอ้ ่านมิได้ให้
ความสนใจสาระทางวิชาการมากเท่ากบั การใชถ้ ้อยคำ ภาษา ตลอดจนวธิ ีการดำเนนิ เรือ่ ง หอ้ งสมุดจงึ ใช้
อักษรยอ่ ของคำทบี่ อกประเภทหนงั สอื นัน้ ๆ แทนการใชส้ ญั ลกั ษณส์ ำหรบั หนงั สอื เหล่านี้ แตล่ ะหอ้ งสมดุ
อาจจะใชต้ วั อกั ษรแตกตา่ งกัน สำหรับหนังสือประเภทเดยี วกัน สำหรับห้องสมดุ โรงเรยี นกบินทร์วทิ ยาใช้
สัญลกั ษณด์ ังนี้
น แทน นวนยิ าย (นวนยิ ายภาษาไทย)
Fic แทน Fiction (นวนยิ ายภาษาต่างประเทศ)
รส แทน รวมเรอื่ งสนั้ (short story)
ยว แทน หนงั สือสำหรบั เยาวชน
พ แทน หนงั สอื พอ็ คเกต็ บุค๊ (pocket book)
อ แทน หนงั สืออา้ งอิง
Ref แทน หนงั สอื อ้างองิ ภาษาตา่ งประเทศ (Reference Book)
บ แทน แบบเรียน
หนังสอื ท่ีมีสญั ลักษณ์พเิ ศษทใี่ ชต้ วั ย่อแทนเลขหมู่หรือสัญลกั ษณข์ องระบบการจดั หมูเ่ หล่าน้ี จะเรยี ง
อยู่บนช้ันแยกจากหนงั สืออ่ืน ๆ ทใ่ี ห้หมวดหม่หู รอื สัญลักษณ์ตามระบบการจัดหมวดหมูห่ นงั สอื ท่ีเป็นสากล
33
ใบความร้เู ร่ือง ความร้ทู ว่ั ไปเก่ียวกบั การเขียนรายงานทางวชิ าการ
ความหมายของรายงานทางวชิ าการ
รายงานทางวิชาการ หมายถึง งานเขยี นทางวชิ าการซึ่งเปน็ ผลที่ได้มาจากการศกึ ษาคน้ ควา้ หรือวจิ ยั ใน
เรือ่ งใดเรอื่ งหนึ่งอย่างมรี ะบบ มีการวเิ คราะห์เนอ้ื หาอยา่ งมเี หตผุ ลแลว้ นำมาเรียบเรยี งอยา่ งมีข้ันตอน มีการ
อา้ งอิงแหลง่ ทมี่ าของขอ้ มลู เพื่อเปน็ หลกั ฐานไว้อย่างชัดเจนและถูกตอ้ งตามหลักเกณฑ์ แลว้ เขียนหรือพิมพ์ให้
ถูกต้องตามแบบแผนท่กี ำหนด
ประโยชนข์ องรายงานทางวชิ าการ
1. เพ่ือฝกึ ให้นกั เรยี นมนี สิ ยั รกั การศึกษาคน้ ควา้ หาความรู้ มีความสามารถในการคน้ คว้าจากแหลง่ ตา่ ง
ๆ ไดด้ ว้ ยตนเอง
2. เพื่อฝกึ ทักษะด้านการอา่ น สามารถจบั ใจความหรอื สรุปความของเร่ืองท่ีอ่านได้
3. เพื่อสง่ เสรมิ ให้รู้จกั คิดอย่างมีวิจารณญาณ มเี หตุผล และประมวลผลข้อมูลท่ีไดร้ บั มารวบรวมเรยี บ
เรยี งไดอ้ ยา่ งเป็นระบบ
4. เพอ่ื ฝกึ ทกั ษะดา้ นการเขียนและการใช้ภาษาใหส้ ามารถถา่ ยทอดความรู้ ความคดิ เหน็ ลายลกั ษณ์
อกั ษรดว้ ยภาษาท่ถี ูกต้อง
5. เพื่อเปน็ สว่ นหน่งึ ของการประเมินผลการศึกษาในรายวิชาท่ีกำลังศกึ ษาอยู่และเป็นพืน้ ฐานใน
การศกึ ษาขั้นสูงตอ่ ไป
ประเภทของรายงานวชิ าการ
1. รายงานการศกึ ษาคน้ คว้าทวั่ ไป (Report) เป็นการนำเสนอผลการศกึ ษาค้นควา้ ในหวั ข้อใดหวั ข้อ
หนง่ึ หรือเร่ืองใดเรอื่ งหน่ึงทอ่ี าจารย์กำหนดให้ หรอื ผู้เรยี นเลือกศึกษาเองตามความสนใจ รายงานอาจเปน็
รายบุคคลหรอื รายกลมุ่ กไ็ ด้
2. ภาคนพิ นธ์ หรอื รายงานประจำภาค (Term Paper) มลี ักษณะเช่นเดยี วกับรายงาน เพยี งแต่
เรอ่ื งท่ใี ชท้ ำภาคนิพนธน์ นั้ จะมีขอบเขตกวา้ งกวา่ และลึกซึ้งกว่า มคี วามยาวของเน้อื หามากกว่า จงึ ต้องใชเ้ วลา
คน้ คว้ามากกวา่ ดังน้ันใน 1 รายวิชาอาจารยจ์ ึงมอบหมายให้นกั เรียนนกั ศกึ ษาทำเพยี งเรือ่ งเดียวให้แล้วเสรจ็ ใน
ภาคเรยี นน้ัน ๆ และใชเ้ ปน็ ส่วนหน่ึงของการประเมนิ ผลรายวชิ าด้วย
3. รายงานการค้นควา้ วจิ ัย แบง่ ออกเปน็
3.1 วทิ ยานิพนธ์ หรอื ปรญิ ญานิพนธ์ (Thesis or Dissertation) เป็นการเสนอผล
การศกึ ษาค้นควา้ วิจัยเปน็ รายบุคคลและเปน็ ส่วนหนึ่งของการศกึ ษาตามหลักสตู รปริญญามหาบณั ฑิต (ปริญญา
โท) และปรญิ ญาดษุ ฎบี ณั ฑิต (ปรญิ ญาเอก) หัวข้อที่จะทำการศกึ ษาค้นควา้ วจิ ยั นน้ั จะต้องมลี กั ษณะเข้มงวดทัง้
ด้านปรมิ าณและคณุ ภาพ จะตอ้ งเปน็ หัวข้อท่ีแสดงถงึ การมคี วามคิดรเิ ร่ิม มีขอบเขตกว้างขวางลมุ่ ลกึ ศกึ ษา
ตามลำดบั ข้นั ตอนของการทำวจิ ัยอยา่ งมรี ะเบยี บแบบแผน ประกอบดว้ ยขอ้ มลู ขอ้ เทจ็ จริงท่ไี ดร้ บั เพอ่ื ตอบ
34
สมมตฐิ านท่ีต้ังไว้ พร้อมทงั้ ข้อเสนอแนะในการทำวจิ ยั ครงั้ ต่อไป กำหนดเวลาทำไวไ้ ม่เกินระยะเวลาเรียนของ
หลกั สตู รนั้น ๆ
3.2 รายงานวจิ ยั (Research Report) เป็นการนำเสนอผลการศกึ ษาค้นควา้ วจิ ัยในเร่ือง
หรือปญั หาเฉพาะท่ตี ้องการคำตอบ หรอื เสาะแสวงหาความรเู้ พอ่ื สรา้ งองค์ความรูใ้ หม่ มวี ตั ถุประสงค์ท่ีแนน่ อน
ในการศกึ ษาค้นควา้ นัน้ จะตอ้ งมีขน้ั ตอนและรูปแบบเฉพาะตามกระบวนการของวธิ วี จิ ยั
ลกั ษณะของรายงานทางวิชาการทด่ี ี
1. เนอ้ื หาตรงกบั หวั ขอ้ เรอื่ งหรอื ช่ือเร่อื งของรายงาน ครอบคลุมครบถว้ นตามขอบเขต (โครงเร่อื ง) ท่ี
กำหนดไว้
2. เนือ้ หามีประโยชนท์ ้ังตอ่ ผูท้ ำรายงานและผอู้ ่าน
3. เนื้อหาถกู ต้องเทย่ี งตรง ต้องรวบรวมข้อมลู จากแหลง่ สารสนเทศท่ีนา่ เช่ือถือ และมกี ารอา้ งองิ
แหลง่ ท่มี าของข้อมูลไว้อยา่ งชดั เจน ถกู ต้องตามรปู แบบการอ้างอิง
4. ควรมีรูปภาพ ตาราง แผนภมู ปิ ระกอบเพอื่ ช่วยใหผ้ อู้ า่ นเขา้ ใจง่ายชดั เจนย่งิ ขึน้
5. มีรปู แบบการเขียนหรอื พมิ พถ์ กู ตอ้ งเป็นระบบเดยี วกนั ตลอดทง้ั เลม่ มีสว่ นประกอบครบถว้ น
สมบรู ณ์ตามข้อกำหนดของรายงานแตล่ ะประเภท รปู เล่มเรียบร้อย สะอาด สวยงาม ขนาดเป็นสากล
35
ใบความรเู้ รื่อง ส่วนประกอบของรายงานทางวิชาการ
รายงานทางวชิ าการมสี ว่ นประกอบดังน้ี
1. ปกนอก ระบชุ ่อื เร่อื ง ช่อื ผูท้ ำรายงาน และสว่ นวา่ ง (เหมือนหน้าปกใน) ปกนอกประกอบด้วย ปก
หนา้ และปกหลัง
2. ใบรองปก เป็นกระดาษว่าง ๆ ถัดจากปกหนา้ เข้าไป และถดั จากปกหลังเขา้ มา
3. หน้าปกใน สว่ นบนระบชุ อ่ื เร่ือง สว่ นกลางระบชุ อื่ ผู้ทำรายงาน ส่วนลา่ งระบุขอ้ ความวา่
“รายงานนีเ้ ปน็ สว่ นหนึ่งของการศึกษาวิชาอะไร ระบุรหัสวิชา สถานศกึ ษา ภาคการศึกษา และปีการศึกษา”
4. คำนำ กล่าวถึงวตั ถุประสงคข์ องการทำรายงาน ขอบเขตของรายงาน ขอบคุณบคุ คลผุ้ทำให้
รายงานนี้เสรจ็ สิน้ ลง
5. สารบัญ ประกอบดว้ ยหัวข้อเรอื่ งตา่ ง ๆ ในรายงาน พร้อมทง้ั ระบเุ ลขหน้าทีม่ ีหวั ข้อนั้น ๆ เพอ่ื ชว่ ย
ใหผ้ อู้ า่ นไดท้ ราบสาระยอ่ ๆ ของรายงาน
6. เนื้อเรือ่ ง เป็นสว่ นสำคัญทส่ี ดุ ของรายงาน ผลจากการศกึ ษาคน้ ควา้ จะนำมาเสนอในส่วนน้ี ถา้
รายงานมีขนาดสนั้ เน้ือหาจะแบ่งตามหวั ขอ้ สำคญั ๆ แต่ถา้ รายงานมีขนาดยาวเน้อื หาจะแบง่ เป็นบท ๆ ในแต่
ละบทประกอบดว้ ยหวั ข้อตา่ ง ๆ
7. บรรณานกุ รม (Bibliography) คือรายช่ือวสั ดสุ ารสนเทศท่ผี เู้ ขียนใช้ประกอบการคน้ คว้าในการทำ
รายงาน เช่น วารสาร หนงั สือ หนงั สือพมิ พ์ และเว็บไซต์ เป็นตน้
8. ภาคผนวก ( Appendix) รายละเอยี ดทไ่ี มใ่ ช่เนือ้ หาของรายงานโดยตรง ผู้เขยี นตอ้ งการใหผ้ ูอ้ า่ นรู้
เพิ่มเติมเพือ่ เขา้ ใจไดด้ ขี ้นึ หรือเป็นประโยชนต์ ่อผู้อา่ นนอกเหนือไปจากตัวเน้ือเรื่อง ภาคผนวกอาจจะมีหรือไม่มี
ก็ได้
9. อภธิ านศัพท์ บญั ชคี ำสำคัญทป่ี รากฏในเนอ้ื เร่อื ง พรอ้ มคำอธิบายศพั ท์ เรยี งตามลำดบั ตวั อักษร
อภธิ านศพั ทอ์ าจจะมีหรอื ไม่มีก็ได้
10. ดรรชนี บัญชีคำเรียงตามลำดบั ตัวอกั ษรโดยรวบรวมคำท่ีสำคญั จากเนือ้ เรื่องรายงานมาเรยี งไว้
พรอ้ มระบุเลขหน้ากำกับ เพอื่ ให้ผูอ้ ่านตามคน้ รายละเอียดในเนอื้ เร่อื งไดส้ ะดวก ดรรชนีอาจจะมีหรอื ไม่มีกไ็ ด้
36
ตวั อย่างการพมิ พป์ กรายงาน
พฤติกรรมการใช้สารสนเทศของนกั เรียนชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 4
โรงเรยี นชยั บาดาลวทิ ยา
นายสนั ติ ใจตรง
รายงานนี้เป็นส่วนหนงึ่ ของการศึกษาการใชส้ ารสนเทศ 1
โรงเรียนชัยบาดาลวทิ ยา
ภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2564
37
ตวั อย่างคำนำ
คำนำ
รายงานเลม่ น้จี ดั ทำขน้ึ เพื่อประกอบการเรยี นรายวิชาการใช้สรสนเทศ 1 ท้ังนเี้ พื่อให้การเรียนการสอน
บรรลุจดุ ประสงค์ของหลกั สูตรทวี่ างไว้ จำเป็นท่นี กั เรียนจะตอ้ งมีรายงานทใี่ ชป้ ระกอบการเรียนการสอน
เน้อื หาของวชิ านี้ประกอบด้วย ความรู้ทว่ั ไปเกี่ยวกบั ห้องสมดุ ทรพั ยากรสารสนเทศ การจดั หมวดหมู่
ทรพั ยากรสารสนเทศ การสบื ค้นสารสนเทศ ทรพั ยากรอา้ งองิ การเขียนรายงาน การเขยี นอา้ งอิงในรายงาน
และการเขยี นบรรณานกุ รม
ผเู้ ขียนขอขอบพระคณุ เจ้าของตำรา เอกสารอา้ งองิ ตามรายนามทีป่ รากฏในบรรณานกุ รมทา้ ยเล่ม
เปน็ อย่างย่งิ ซง่ึ เปน็ สว่ นทที่ ำให้รายงานเล่มนม้ี คี ุณคา่ และสมบรู ณ์ยง่ิ ขึน้
นายสนั ติ ใจตรง
1 มกราคม 2565
38
ตัวอยา่ งหนา้ สารบญั
สารบัญ
บทที่ 1 ความรเู้ กย่ี วกบั สารสนเทศ ........................................................................................................ 1
ความหมายของสารสนเทศ แหล่งสารสนเทศ และทรัพยากรสารสนเทศ........................................... 2
ความสำคัญของสารสนเทศ................................................................................................................ 5
บทบาทของสารสนเทศ...................................................................................................................... 7
บทที่ 2 แหลง่ สารสนเทศ...................................................................................................................... 9
ความหมายคำว่า “แหลง่ สารสนเทศ”.............................................................................................. 9
ความสำคญั ของหอ้ งสมุด.................................................................................................................. 11
ระเบยี บและมารยาทการใชบ้ ริการของหอ้ งสมดุ และศูนย์วทิ ยบริการ............................................... 15
บรรณานุกรม........................................................................................................................................ 20
ภาคผนวก.............................................................................................................................................. 21
39
ใบความรู้ ความหมายของบรรณานุกรม
ความหมายของบรรณานุกรม
1. บรรณานกุ รม (Bibliography) หมายถึง รายชอื่ หนังสอื เอกสาร ส่ิงพิมพต์ ่างๆ และ วัสดุอา้ งอิงทกุ
ประเภทที่ผู้ทำรายงานใชป้ ระกอบการค้นควา้ และการเรียบเรียง เพื่อเปน็ การยืนยนั วา่ การเขียนนน้ั เปน็ การค้น
ความจากตำราที่เชอื่ ถอื ได้
2. บรรณานุกรม คอื รายการวสั ดุสารนเิ ทศทกุ ประเภททผ่ี เู้ ขียนใชใ้ นการศึกษาคน้ ควา้ หาขอ้ มลู
ประกอบในการเขยี นรายงาน
วธิ ีการเขยี นบรรณานกุ รม
1. เขียนหรอื พิมพค์ ำว่า “บรรณานกุ รม” ใชต้ ัวอกั ษรขนาด 20 พอยต์ ตัวหนา (แบบและขนาด
เดียวกับ คำนำ
สารบญั ) ไวก้ ลางหน้ากระดาษ หา่ งจากขอบบนลงมา 2 นว้ิ และไมข่ ดี เส้นใต้
2. เขียนหรอื พิมพ์บรรณานกุ รมแตล่ ะรายการในบรรทัดแรกชิดกรอบซ้าย ถ้าไม่พอในบรรทัดเดยี วให้
ตอ่ ในบรรทดั ถดั ไปในระยะยอ่ หน้า (เวน้ เข้าไปประมาณ 7 ตัวอกั ษร)
3. เรียงลำดบั บรรณานกุ รมตามลำดับตวั อกั ษรของรายการแรก ก – ฮ หรอื A – Z และเรยี ง
บรรณานกุ รมภาษาไทยไว้ก่อนบรรณานกุ รมภาษาองั กฤษ
4. ถา้ รายการแรกในบรรณานุกรมซำ้ กัน (ผแู้ ต่งคนเดิม) ไม่ตอ้ งพมิ พ์ชอื่ ซ้ำอกี ใหข้ ีดเส้นยาวประมาณ
1 นิว้ หรอื เทา่ กับ 7 ตวั อกั ษร หรอื เท่ากับ 1 ย่อหนา้ แทน แลว้ ให้เรียงตามลำดับตวั อกั ษรในรายการถัดไป
5. หลังเครอื่ งหมายมหัพภาค ( . ) ใหเ้ วน้ 2 ชว่ งตวั อกั ษร ส่วนเครอื่ งหมายอื่น ๆ พิมพ์เว้น 1 ตวั อักษร
6. ขดี เส้นใตห้ รอื พมิ พด์ ว้ ยตวั หนาตรงช่อื หนงั สือ
7. สารนิเทศใดไมป่ รากฏชือ่ ผู้แต่ง ผจู้ ดั ทำ หรอื ผรู้ บั ผิดชอบ ใหใ้ ชช้ ือ่ เร่อื งเปน็ รายการแรก
8. หนังสอื ท่ีไม่ปรากฏสถานทพี่ ิมพใ์ ห้ลงวา่ ม.ป.ท. แทน และใช้ n.p. (no place) ในภาษาอังกฤษ
9. สิง่ พิมพท์ ่ไี ม่ระบปุ พี มิ พ์ให้ลงวา่ ม.ม.ป. แทน และใช้ n.d. (no date) ในภาษาอังกฤษ
10. หนงั สอื ท่ไี ม่ปรากฏสำนักพมิ พใ์ ห้ลงวา่ ม.ป.พ. แทน และใช้ n.p. (no publisher) ใน
ภาษาองั กฤษ
40
ใบความรู้เรื่อง หลักเกณฑ์การลงรายการบรรณานุกรม
หลกั เกณฑ์การลงสว่ นต่าง ๆ ในบรรณานุกรม
1. การลงชอื่ ผู้แตง่
1.1 ผู้แตง่ ชาวไทย ใหล้ งชือ่ ตามด้วยนามสกลุ ตามปกติ และไมต่ ้องใสค่ ำนำหนา้ นา (นาย นาง
นางสาว) ไมต่ อ้ งใส่ยศหรอื ตำแหนง่ (ดร. รศ. นายแพทย)์
1.2 ผ้แู ตง่ ชาวตา่ งชาติ ให้ลงนามสกลุ กอ่ น คัน่ ดว้ ยเคร่อื งหมายจุลภาค ( , ) ตามดว้ ยช่อื ต้น และชื่อ
กลาง เช่น Carter V. Good. ให้ลงเปน็ Good, Carter V.
1.3 ผู้แต่งทีม่ ีราชทินนาม ฐานันดรศักด์ิ บรรดาศกั ดิ์ ให้ลงไว้หลังนามสกุล เช่น
- เทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี, สมเดจ็ พระ.
- จลุ จอมเกล้าเจา้ อยหู่ ัว, พระบาทสมเดจ็ พระ.
- ดำรงราชานุภาพ, สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา.
- คึกฤทธิ์ ปราโมช, ม.ร.ว.
- อนุมานราชธน, พระยา.
1.4 ผแู้ ตง่ 2 คน
1.4.1 คนไทย ใหล้ งช่อื ตามด้วยนามสกลุ คนแรก เชือ่ มดว้ ยความวา่ “และ” ช่ือ นามสกลุ คน
ที่ 2 เช่น
ชวน หลีกภยั และอภสิ ทิ ธ์ิ เวชชาชีวะ.
1.4.2 คนตา่ งชาติ ให้ลงนามสกลุ ค่ันดว้ ยจุลภาค ตามดว้ ยชอ่ื ต้น และชอื่ กลางของคนแรก
เชอ่ื มดว้ ยคำว่า “and” ตามดว้ ยชื่อตน้ ชอื่ กลาง นามสกุลของคนที่ 2 เชน่
Silverman, Robert E. and Morgan Cliffort T.
1.5 ผูแ้ ตง่ 3 คน
1.5.1 ผแู้ ต่งคนไทย ลงชอื่ นามสกลุ คนแรกคั่นดว้ ยจลุ ภาค ตามดว้ ยคนท่ี 2 และคนท่ี 3
1.5.2 ชาวตา่ งชาติ กลบั นามสกลุ เฉพาะคนแรก ใช้จลุ ภาคคั่นลงชอ่ื นามสกลุ คนท่ี 2 and คน
ที่ 3
1.6 ผู้แต่งมากกวา่ 3 คน
1.6.1 คนไทย ใหล้ งชอื่ และนามสกุลเฉพาะผู้แต่คนแรกแล้วตามด้วยคำวา่ “และคณะ” หรือ
“และคนอนื่ ๆ”
1.6.2 คนตา่ งชาติ ให้ลงนามสกุลคน่ั ดว้ ยจลุ ภาค ลงช่อื ต้น ชื่อกลาง ของคนแรกแลว้ ตามด้วย
คำว่า “and others” หรือ et al
1.7 ผู้แต่งใช้นามแฝง
1.7.1 รนู้ ามจรงิ ใหว้ งเลบ็ นามจริงต่อทา้ ย เชน่ ยาขอบ (โชติ แพรพ่ นั ธ)์
41
1.7.2 ไมท่ ราบนามจรงิ ลงนามแฝงนน้ั แล้ววงเลบ็ ต่อทา้ ยวา่ “นามแฝง” เชน่ ธารทอง
(นามแฝง)
1.8 หนังสอื ทีอ่ อกโดยหน่วยงานสถาบัน ใหล้ งจากหน่วยงานใหญไ่ ปหาหนว่ ยงานยอ่ ย และลงตามท่ี
ปรากฏไม่ตอ้ งเปล่ยี นแปลง (จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย 2540 : 74) เชน่
กระทรวงมหาดไทย กรมการพฒั นาชมุ ชน.
มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลสวุ รรณภูมิ คณะศิลปศาสตร.์
2. ชอ่ื หนังสอื ช่อื วารสาร ช่อื หนังสอื พมิ พ์ ชื่อรายการ ให้ขีดเสน้ ใต้ หรอื พมิ พ์ดว้ ยตวั หนา
3. ชอื่ บทความ ช่ือจุลสาร เอกสารอัดสำเนา วทิ ยานพิ นธ์ คอลมั น์ ใส่ไว้ในเครอื่ งหมายอญั ประกาศ
(เคร่ืองหมายคำพูด) (“........”)
4. ครัง้ ทพ่ี มิ พ์ หนังสือทพ่ี ิมพค์ ร้ังแรกไมต่ ้องลงรายการ จะลงครงั้ ทพี่ ิมพต์ ั้งแต่พมิ พค์ รั้งที่ 2 เป็นต้นไป ดังนี้
พมิ พ์คร้งั ท่ี 2 (ภาษาองั กฤษใช้ 2 nd. ed. ยอ่ มาจาก Second Edition)
พิมพค์ ร้ังที่ 3 (ภาษาองั กฤษใช้ 3 rd. ed. ยอ่ มาจาก Third Edition)
พิมพค์ รง้ั ท่ี 4 (ภาษาอังกฤษใช้ 4 th. ed. ยอ่ มาจาก Fourth Edition)
5. สถานท่ีพมิ พ์ (Place) หมายถงึ ชือ่ เมอื ง ชอื่ จังหวัด ช่อื รัฐทีส่ ำนักพิมพต์ ้งั อยู่ (ไมใ่ ชช่ อ่ื ประเทศ) เชน่
กรุงเทพฯ London
6. สำนักพิมพ์ (Publisher) ไม่ตอ้ งใส่คำวา่ “สำนักพมิ พ์” ใหล้ งเฉพาะชื่อ ยกเวน้ กรณีเปน็ โรงพิมพ์ ให้ใส่คำวา่
โรงพมิ พ์ไวด้ ว้ ย ถา้ เปน็ หนว่ ยให้ลงหนว่ ยงานยอ่ ยไว้ก่อนหนว่ ยงานหลัก เชน่
ทริปเปิล้ เอ็ดดเู คชนั่
โรงพมิ พม์ หาวทิ ยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย
7. ปีทีพ่ ิมพ์ ใสเ่ ฉพาะตวั เลข (ไม่ใส่คำว่า พ.ศ. หรอื ค.ศ.) และใช้ปพี มิ พค์ รง้ั หลังสุด
42
ใบงานเรอ่ื ง หลักเกณฑก์ ารลงรายการบรรณานกุ รม
คำส่ัง ใหน้ กั เรียนฝกึ ลงรายการบรรณานกุ รม โดยการสมมตุ ิรายละเอยี ดต่าง ๆ เอง เขยี นใหถ้ กู ตอ้ งตาม
หลักเกณฑก์ ารลงรายการบรรณานกุ รม (จำนวน 3 ชื่อ)
ช่ือผู้แตง่ .//(ปพี ิมพ)์ .//ช่ือหนงั สือ.//ครั้งที่พิมพ(์ ถ้าม)ี .//เมอื งพิมพห์ รอื สถานท่พี ิมพ์/:/สำนกั พิมพห์ รอื ผู้
จดั พิมพ.์
ตวั อย่างเช่น
ลกั ษณวดี จิตพยคั . (2557). การลงรายการบรรณานกุ รมหนังสอื อา้ งองิ . พมิ พค์ รง้ั ที่ 2. กรุงเทพฯ : โรง
พมิ พ์สตรีวทิ ยา ๒.
ลกั ษณวดี จิตพยัค. (2557). การลงรายการบรรณานกุ รมหนังสืออา้ งองิ . กรงุ เทพฯ : โรงพิมพส์ ตรีวทิ ยา๒.
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
43
ใบความรู้เร่อื ง รูปแบบการเขียนบรรณานุกรม
รปู แบบการเขยี นบรรณานกุ รมจากส่ือประเภทต่าง ๆ
1. การเขยี นบรรณานกุ รมจากหนังสอื
รปู แบบท่ี 1
ผู้แต่ง.//ช่ือหนังสือ.//ครง้ั ที่พมิ พ(์ ถ้ามี).//สถานที่พมิ พ/์ :/สำนกั พิมพ์,/ปีทพ่ี มิ พ์.
ตวั อย่าง
อำไพวรรณ ทพั เปน็ ไทย. การเขยี นรายงานและการใชห้ อ้ งสมุด. พมิ พค์ ร้งั ท่ี 2. กรุงเทพฯ : โอเดยี นสโตร์,
2549.
รูปแบบที่ 2
ผแู้ ต่ง.//(ปที ี่พิมพ)์ .//ช่อื หนังสือ.//ครัง้ ที่พิมพ(์ ถ้ามี).//สถานทีพ่ มิ พ/์ :/สำนกั พมิ พ์.
ตัวอยา่ ง
อำไพวรรณ ทพั เปน็ ไทย. (2549). การเขียนรายงานและการใช้หอ้ งสมดุ . พมิ พค์ รงั้ ท่ี 2. กรงุ เทพฯ : โอ
เดียนสโตร.์
** ปจั จุบนั นิยมใชป้ ที พ่ี ิมพ์ตอ่ จากช่ือผู้แต่งเช่น
วทิ ยากร เชียงกูล. (2544). ฉนั จงึ มาหาความหมาย. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พม์ หาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์.
2. การเขยี นบรรณานกุ รมจากบทความในวารสาร
ผู้เขยี นบทความ./“ชือ่ บทความ.”/ชือ่ วารสาร.//ปีท,ี่ /ฉบับที/่ (เดอื น/ปี)/:/เลขหน้า.
ตวั อย่าง
กอบแกว้ . “รกั ชวี ิตรกั ดิน.” ยทุ ธศาสตรป์ ริทัศน์. 3, 2 (กรกฎาคม-ธันวาคม 2551) : 17-21.
3. การเขียนบรรณานกุ รมจากหนังสอื พิมพ์
ผเู้ ขยี นบทความ./“ชือ่ คอลัมน.์ ”/ช่อื หนังสอื พิมพ์.//(วันท่ี/เดอื น/ปี)/:/เลขหน้า.
ตัวอยา่ ง
แมงเม่า. “ทวงคนื ความสขุ คนไทย.” เดลนิ วิ ส์. (17 กันยายน 2551) : 3.
44
4.การเขยี นบรรณานกุ รมจากจลุ สาร เอกสารอดั สำเนา แผ่นพบั
ผจู้ ัดทำ./“ชื่อเอกสาร.”/สถานทีพ่ มิ พ์/:/ผจู้ ัดพมิ พ,์ ปีทพ่ี ิมพ์./(อัดสำเนา)
ตัวอย่าง
โต้คลน่ื . “ปาการังอนั ดามัน.” [ออนไลน]์ . เขา้ ถงึ ได้จาก : http://www.sanook.com., 10 สงิ หาคม 2549.
หมายเหตุ
1. หากไม่ปรากฏชือ่ ผู้เขียนให้ลงรายการหวั ข้อไวใ้ นเครื่องหมายคำพดู ได้เลย
2. ประเภทของส่อื เชน่ ออนไลน์ ซีดีรอม ใสไ่ วใ้ นวงเล็บแล้วใส่มหัพภาค ( . ) ต่อทา้ ย
3. คำว่า “เขา้ ถงึ ได้จาก” ภาษาองั กฤษใชค้ ำว่า “Available”
* ทง้ั นี้ การลงรายการบรรณานกุ รม มักยดึ หลกั เกณฑต์ ามรูปแบบทก่ี ำหนด ของสถาบันการศึกษานน้ั ๆ ดงั นนั้
รปู แบบการลงรายการบรรณานกุ รมจึงไม่แนน่ อน
45
ใบงานเรอื่ ง รูปแบบการเขยี นบรรณานกุ รม
คำส่ัง ใหน้ กั เรียนฝกึ เขยี นบรรณานุกรมทรพั ยากรสารสนเทศประเภทตา่ ง ๆ ตามรปู แบบการเขยี น
บรรณานกุ รมใหถ้ ูกต้อง
1. บรรณานกุ รมจากหนงั สือ
หนงั สือภาษาไทย
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
หนังสือภาษาองั กฤษ
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
2. บรรณานกุ รมจากวารสาร
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
3. บรรณานกุ รมจากหนงั สอื พิมพ์
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
4. บรรณานุกรมจากจลุ สาร แผ่นพัน
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
5. บรรณานกุ รมจากเว็บไซต์
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................