The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เรื่อง การสร้างคำและการสร้างประโยค.docx

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Oa vo Y, 2023-12-21 09:48:16

เรื่อง การสร้างคำและการสร้างประโยค.docx

เรื่อง การสร้างคำและการสร้างประโยค.docx

เรื่อง การสร ้ างคำและการสร ้ างประโยค ในภาษาไทย คณะผ ู ้ จัดทำ ด.ช.เดชาธรแสงสุวรรณ เลขท ี่ ๘ ด.ช.นำพล บ ู่ทองเลขท ี่ ๑๙ ด.ช.ปรเมษฐ ์ บุดดาวงศ ์ เลขท ี่ ๒๒ ด.ช.อภิชัย บุญมาศ เลขท ี่ ๓๙ ชั้นมัธยมศึกษาปี ท ี่ ๒/๑๖ เสนอ อาจารย ์ นภาพร ได ้ พึ่ง รายงานนเ ี้ป็ นส่วนหนึ่งของรายวิชา ภาษาไทย ภาคเรียนท ี่ ๒ ปี การศึกษา ๒๕๖๖


เรื่อง การสร ้ างคำและการสร ้ างประโยค ในภาษาไทย คณะผ ู ้ จัดทำ ด.ช.เดชาธรแสงสุวรรณ เลขท ี่ ๘ ด.ช.นำพล บ ู่ทองเลขท ี่ ๑๙ ด.ช.ปรเมษฐ ์ บุดดาวงศ ์ เลขท ี่ ๒๒ ด.ช.อภิชัย บุญมาศ เลขท ี่ ๓๙ ชั้นมัธยมศึกษาปี ท ี่ ๒/๑๖ เสนอ อาจารย ์ นภาพร ได ้ พึ่ง รายงานนเ ี้ป็ นส่วนหนึ่งของรายวิชา ภาษาไทย ภาคเรียนท ี่ ๒ ปี การศึกษา ๒๕๖๖


คำนำ รายงานเล่มน ี้ เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรรู้ายวิชาภาษาไทย เรียบเรียงขึ้นมาเพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับการ สร้างคำ คำยืมท ี่ ทาจากภาษาต่างประเทศและการสร้างประโยคในภาษาไทย เป็นความรู้พื้นฐานในการพัฒนา ความรู้ด้านการศึกษา แก่ผู้อ่านและผู้จัดทำหวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่าน หรือ ผู้ท ี่ กำลังศึกษาเกี่ยวกับเรื่องน ี้ อยู่หากผิดพลาดประการใดผจู้ัดทำขออภัยไว้ณ ท ี่ น ี้ ด้วย คณะผจู้ัดทำ สารบัญ


เนื้อเรื่อง หน้า คำนำ ก สารบัญ ข การสร้างคำ ? ประโยคในภาษาไทย ? - - - - - - บรรณานุกรม - ๑ การสร้างคำและประโยค


๑.๑. การสร้างคำ การสร้างคำ คือ การรวมหน่วยคำตั้งแต่๒ หน่วยขึ้นไปเข้าเป็นคำคำเดียว หน่วยคำท ี่ นำมารวมกันมี ทั้งท ี่ เป็นคำคำเดียวกันและต่างชนิดกัน ดังน ี้ ๑. คำท ี่ สร้างขึ้นด้วยหน่วยคำท ี่ มีความหมายแตกต่างกัน เรียกว่าคำประสม ๒. คำท ี่ สร้างขึ้นด้วยหน่วยคำเติม เรียกว่าคำประสาน ๓. คำท ี่ สร้างขึ้นด้วยหน่วยคำท ี่ มีความหมายเหมือนกัน ใกล้เคียงกันหรือตรงกันข้ามกันเรียกว่าคำซ้อน ๔. คำท ี่ สร้างขึ้นด้วยหน่วยคำซ้ำกันเรียกว่า คำซ้ำ ๕. คำท ี่ สร้างขึ้นด้วยหน่วยคำภาษาบาลีและสันสกฤตเรียกว่า คำสมาส คำประสม คำประสม หมายถึงคำทเ ี่ กิดจากการนำหน่วยคำอิสระท ี่ มีความหมายต่างกันอย่างน้อย ๒ หน่วยมารวมกัน เกิด เป็นคำใหม่คำหนึ่ง มีความหมายใหม่คำประสมมีลักษณะดังน ี้ ๑. คำประสมเป็นคำท ี่ มีความหมายใหม่ต่างจากความหมายท ี่ เป็นผลรวมของหน่วยคำที่มารวมกัน แต่มักมี เค้าความหมายของหน่วยคำเดิมอยู่เช่น น้ำแข็ง เป็นคำประสมมีความหมายว่า “น้ำทเ ี่ ป็นก้อนเพราะถูกความเย็นจัด” เป็นความหมายใหม่ทม ี่ ีเค้า ความหมายเดิมของหน่วยคำ น้ำ และ แข็ง หนังสือพิมพ์เป็นคำประสมมีความหมายว่า “สิ่งพิมพ์ท ี่ เสนอข่าวสารและความเห็นแกป่ระชาชน มักออกเป็น รายวัน” เป็นความหมายใหม่ท ี่ มเีค้าความหมายเดิมของหน่วยคำ หนังสือ และพิมพ์ ๒. คำประสมจะแทรกคำใด ๆ ลงระหว่างหน่วยคำที่มารวมกันนั้นไมไ่ด้ถ้าสามารถแทรกคำอื่นลงไปได้คำท ี่ รวมกันนั้นจะไม่ใชค่ ำประสม เช่น ลูกช้างเดินตามแม่ช้าง ข้อความว่า ลูกช้าง แปลว่า “ลูกของช้าง” สามารถแทรกคำว่า ของ ระหว่างลูกกับ ช้างเป็น ลูกของช้างได้ดังนั้น ลูกช้างในประโยคน ี้ จึงไมใ่ช่คำประสม


เจ้าแมช่ ่วยลูกช้างด้วย คำว่า “ลูกช้าง” เป็นคำสรรพนามแทนตัวผพูู้ด เมื่อพูดกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์” ไม่สามารถ แทรกคำใด ๆลงไประหว่างคำลูก กับช้างได้ลูกช้างในประโยคนจ ี้ึงเป็นคำประสม ๓. คำประสมเป็นคำคำเดียว หน่วยคำท ี่ เป็นส่วนประกอบของคำประสมไม่สามารถย้ายท ี่ หรือสลับทไี่ ด้เช่น เขานั่งกินที่  ไม่สามารถย้ายคำว่า กิน หรือ ท ี่ ไปไว้ท ี่ อื่นได้คำว่า กินท ี่ จึงเป็นคำประสม ๔. คำประสมจะออกเสียงต่อเนื่องกันไปโดยไม่หยุดหรือเว้นจังหวะระหว่างหน่วยคำท ี่ เป็นส่วนประกอบ เช่น กาแฟเย็น ถ้าออกเสียงต่อเนื่องกันไป หมายถึง “กาแฟใส่นมใส่น้ำแข็ง” เป็นคำประสม ถ้ามชี่วงเว้นจังหวะ ระหว่าง กาแฟ กับ เย็น หมายถึง “กาแฟร้อนทท ี่ ิ้งไว้จนเย็น” เป็นประโยค ๕. คำประสมบางคำไม่มีความสัมพันธ์ทางวากยสัมพันธ์ระหว่างหน่วยคำท ี่ เป็นส่วนประกอบ เช่น กินน้ำ ไมเ่ ป็นคำประสม เพราะหน่วยคำ กิน กับน้ำ มีความสัมพันธ์ทางวากยสัมพันธแ์บบกริยากับกรรม กินใจ เป็นคำประสม หน่วยคำว่า กิน กับ ใจ ไม่มีความสัมพันธ์ทางวากยสัมพันธ์ ส่วนประกอบของคำประสม หน่วยคำที่มารวมกันเป็นคำประสมอาจจะเป็นคำนาม คำกริยา คำจำนวนนับ คำลำดับท ี่ หรือคำบุพบท เมื่อนำ คำชนิดนั้น ๆมาประกอบกันแล้ว ส่วนใหญ่จะได้คำประสมทเ ี่ ป็นคำนามหรือคำกริยา ดังตัวอย่าง คำประสมทเ ี่ ป็นนาม ๑. นาม + นาม วัวนม วัวพันธุ์ท ี่ เลี้ยงไว้เพื่อรีดนม หูช้าง กระจกติดข้างรถยนต์เป็นรูปคล้ายหูของช้าง สำหรับเปิดรับลม หมูกระทะ ชื่ออาหารประเภทหนึ่ง รถไฟฟ้า รถไฟท ี่ แล่นบนทางยกระดับ


๒. นาม + ลักษณนาม น้ำแข็งก้อน น้ำแข็งชนิดท ี่ ทำเป็นก้อนเล็ก ๆ บะหมซ ี่ อง บะหม ี่ กึ่งสำเร็จรูปทบ ี่ รรจุในซอง ๓. นาม + กริยา มือถือ โทรศัพท์ที่ติดตัวไปได้โทรศัพท์เคลื่อนท ี่ กล่องดำ กล่องบรรจุข้อมูลเกี่ยวกับการบินในเครื่องบิน ๔. นาม + กริยา + นาม บัตรเติมเงิน บัตรโทรศัพท์ทใี่ ช้ชำระค่าโทรศัพท์มือถือล่วงหน้า ใชโ้ทรศัพท์ได้ตามมูลค่า ของบัตร ภายในเวลาท ี่ กำหนด แปรงสีฟัน แปรงท ี่ใช้สำหรับทำความสะอาดฟัน ๕. นาม + กริยา + กริยา สารกันบูด สารเคมีท ี่ใช้ผสมอาหารเพื่อให้เก็บไดน้าน บ้านจัดสรร บ้านซึ่งรัฐหรือเอกชนสร้างขายเงินผ่อน ๖. นาม + บุพบท + นาม รถใต้ดิน รถไฟท ี่ แล่นอยู่ในดิน ๗. กริยา + กริยา กันชน ส่วนของรถยนตท์ ี่ อยหู่น้าและท้ายรถ ป้องกันไม่ให้รถเกิดความเสียหายเวลา รถชน ห่อหมก ชื่ออาหาร ใช้เนื้อปลาผสมกับน้ำพริกและกะทิกวนใหเ้ข้ากันห่อแล้วนึ่ง


๘. กริยา + นาม บังตา เครื่องบังประตูทำด้วยไม้หรือกระจก ความสูงเหนือระดับสายตา ๙. บุพบท + นาม ใต้เท้า สรรพนามบุรุษที่  ๒ แทนผทู้ ี่ นับถืออย่างสูง คำประสมทเ ี่ ป็นกริยา ๑. กริยา + กริยา ซักแห้ง ทำความสะอาดเสื้อผ้าวิธีหนึ่งด้วยสารเคมี เป็นต่อ มีโอกาสดีกว่าในการต่อสู้หรือการแข่งขัน ๒. กริยา + นาม ยกเมฆ พูดให้น่าเชื่อโดยคิดสร้างหลักฐานประกอบขึ้นมาเอง ขายเสียง ยินยอมลงคะแนนเสียงให้บุคคลใดบุคคลหนึ่ง เพื่อแลกกับสิ่งของและเงิน ; มี อาชีพเป็นนักร้อง ๓. กริยา + นาม + กริยา ตีบทแตก แสดงได้สมบทบาท ๔. กริยา + บุพบท เป็นกลาง ไม่เข้าข้างใดข้างหนึ่ง ๕. กริยา + บุพบท + นาม กินตามน้ำ โกงกินร่วมไปกับผู้อื่น ทั้ง ๆท ี่ อาจจะไม่มีเจตนาโกงกินแต่แรก ๖. นาม – กริยา


ตาแข็ง ไม่ง่วง หัวอ่อน ว่าง่าย, ยอมตามง่าย ๗. นาม + กริยา + นาม น้ำท่วมปาก พูดไมอ่อกเพราะเกรงจะมีภัยแก่ตนหรือผู้อื่น ความหมายของคำประสม คำประสมมีความหมาย ๓ ลักษณะ คือ ๑. มีความหมายใกล้เคียงกับหน่วยคำเดิมที่มาประกอบกัน ๒. มีความหมายเฉพาะ ซึ่งแตกต่างจากความหมายของหน่วยคำเดิม ๓. มีความหมายเปรียบเทียบ มีความหมายใกล้เคียงกับหน่วยคำเดิมที่มาประกอบกัน เช่น งูพิษ งูประเภทหนึ่งท ี่ มีพิษ ยางลบ ยางท ี่ใช้ลบข้อความ มีความหมายเฉพาะ ซึ่งแตกต่างจากความหมายของหน่วยคำเดิม เมื่อนำคำมารวมกันแล้วมีความหมายซึ่งต้องขยายความ เช่น หน้าอ่อน ดอูายุน้อยกว่าอายุจริง ห่อหมก ชื่ออาหาร ใช้เนื้อปลาผสมกับน้ำพริกและกะทิกวนให้เข้ากันห่อแล้วนึ่ง


มีความหมายเปรียบเทียบ เช่น หมาวัด ผู้ชายท ี่ มีศักด ิ์ ต่ำกว่าผู้หญิงทต ี่ นหมายปอง ไข่แดง ผู้ชายท ี่ เด่นอยู่ท่ามกลางผู้หญิง คำประสมบางคำอาจจะมีความหมายเป็น ๒ อย่าง เช่น ความหมายเปรียบเทียบ กับความหมายใกล้เคียงกับ คำเดิม หรือความหมายใกล้เคียงกับคำเดิมกับความหมายเฉพาะ เช่น หมาวัด หมายถึง หมาทอ ี่ าศัยอยู่ในวัด ความหมายใกลเ้คียงกับคำเดิม หมาวัด หมายถึง ชายท ี่ มีศักด ิ์ ต่ำกว่าหญิงท ี่ ตนหมายปองความหมายเปรียบเทียบ ไข่แดง หมายถึง ส่วนประกอบของไข่ท ี่ มีสีเหลืองหรือสแีดงความหมายเฉพาะ ไข่แดง หมายถึง ผู้ชายท ี่ เด่นอยู่ท่ามกลางผู้หญิงความหมายเปรียบเทียบ คำประสาน คำประสาน หมายถึง คำท ี่ สร้างขึ้นด้วยการรวมหน่วยคำเติมกับหน่วยฐานเข้าเป็นคำใหม่คำหนึ่ง ลักษณะของคำประสาน คำประสาน เป็นคำท ี่ เติมหน่วยคำเติมเข้าข้างหน้า หรือข้างหลังหน่วยฐานซึ่งเป็นหน่วยหลัก หน่วยฐานอาจเป็น หน่วยคำไม่อิสระ คำประสม คำซ้อน คำสมาสหรือกลุ่มคำก็ได้เช่น หน่วยคำเติม + หน่วยคำไม่อิสระ นัก - + - เลง นักเลง หน่วยคำเติม + หน่วยคำอิสระ นัก- + ร้อง นักร้อง หน่วยคำเติม + คำประสม นัก- + เดินขบวน นักเดินขบวน หน่วยคำเติม + คำซ้อน นัก- + แสวงหา นักแสวงหา


หน่วยคำเติม + คำสมาส นัก- + จิตวิทยา นักจิตวิทยา หน่วยคำเติม + กลุ่มคำ นัก- + ผสมพันธุ์สัตว์นักผสมพันธุ์สัตว์ หน่วยคำอิสระ + หน่วยคำเติม ทุน + -นิยม ทุนนิยม คำประสานท ี่ มีหน่วยคำเติมอยู่หน้า คำประสานซึ่งมีหน่วยคำเติมอยู่หน้าหน่วยฐานมจีำนวนมากที่สุด คำประสานประเภทน ี้ แบ่งได้เป็น ๖ กลุ่ม ดังน ี้ คำประสานทเ ี่ ป็นอาการนาม คำประสานท ี่ เป็นอาการนาม สร้างขึ้นด้วยหน่วยคำเติมหน้า ๓ หน่วย คือ การ-, ความ-, และภาวะการ เป็นหน่วยคำเติมซึ่งใช้เติมหน้าคำกริยาทำให้เป็นอาการนาม เช่น หน่วยคำเติม + หน่วยฐาน คำประสาน การ- + เรียน การเรียน การ- + ปกครอง การปกครอง ความ เป็นหน่วยคำเติมซึ่งใช้เติมหน้าคำกริยาคุณศัพท์และกริยาอื่น ทำให้เป็นคำประสานท ี่ มีความหมายเป็น นามธรรม หน่วยคำเติม + หน่วยฐาน คำประสาน ความ- + รัก ความรัก ความ- + เสียสละ ความเสียสละ


ภาวะ เป็นหน่วยคำเติมซึ่งใช้เติมหน้าคำกริยาและคำนามทำใหเ้ป็นเป็นคำประสานท ี่ มนีามธรรม เช่น หน่วยคำเติม + หน่วยฐาน คำประสาน ภาวะ- + เศรษฐกิจตกต่ำ ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ภาวะ- + น้ำตาลในเลือดมาก ภาวะน้ำตาลในเลือดมาก คำประสานทเ ี่ ป็นนามสามัญ คำประสานท ี่ เป็นนามสามัญสร้างขึ้นจากคำเติมหลายหน่วย ดังน ี้ คำประสานซึ่งหมายถึง “คน” สร้างขึ้นด้วยหน่วยคำเติม ผู้-, ชาว-, นัก-, ช่าง-, ผู้- เป็นหน่วยคำเติมหน้าคำกริยาหรือกริยาวลีทำให้ไดค้ำประสานหมายถึง “คนท ี่ ทำกริยาหรืออาการนั้น ๆ” เช่น หน่วยคำเติม + หน่วยฐาน = คำประสาน ผู้- นำ ผนู้ ำ ผู้- เห็นเหตุการณ์ผู้เห็นเหตุการณ์. ชาว- ใช้นำหน้าคำนามหมายถึง “คนท ี่ อยู่ในท ี่ นั้น ประกอบอาชีพนั้น สังกัดสถาบันนั้น หรือ เป็นคนชาตนิั้น เช่น หน่วยคำเติม + หน่วยฐาน = คำประสาน ชาว- บ้าน ชาวบ้าน ชาว- เกษตรทส ีู่ง ชาวเกษตรท ี่ สูง นัก- ใช้นำหน้าคำกริยา กริยาวลีหรือคำนาม ทำให้เกิดคำประสานท ี่ มีความหมายว่า “ผู้ท ี่ มีความชำนาญ ผู้ทีมี อาชีพ หรือมักทำสิ่งนั้น ๆ เช่น


หน่วยคำเติม + หน่วยฐาน = คำประสาน นัก- บริหาร นักบริหาร นัก- สะสมแสตมป์นักสะสมแสตมป์ นัก- ดนตรี  นักดนตรี นัก- โภชนาการ นักโภชนาการ ช่าง- ใช้นำหน้าคำนาม ทำให้เกิดคำประสานมีความหมายว่า “ผู้ท ี่ มีความชำนาญในการช่างนั้น ๆ” เช่น หน่วยคำเติม + หน่วยฐาน = คำประสาน ช่าง- ปูน ช่างปูน ช่าง- กระจก ช่างกระจก คำประสานซึ่งหมายถึง “อุปกรณ์เครื่องมือ เครื่องใช้” สร้างขึ้นด้วยหน่วยคำเติม ที่-, เครื่อง- ดังน ี้ ที่- จะใช้นำหน้าคำกริยาหรือกริยาวลีทำให้เกิดคำประสานที่หมายถึง “สิ่งหรืออุปกรณ์ท ี่ใชใ้นการนั้น ๆมักเป็น อุปกรณ์มีขนาดเล็กหรือไมส่ลับซับซ้อน” เช่น หน่วยคำเติม + หน่วยฐาน = คำประสาน ที่- เย็บกระดาษ ทเ ี่ ย็บกระดาษ ที่- เขี่ยบุหรี่  ท ี่ เขี่ยบุหร ี่ เครื่อง- ใช้นำหน้าคำกริยาหรือกริยาวลีทำให้เกิดคำประสานที่หมายถึง อุปกรณ์หรือเครื่องมือท ี่ใชใ้นการนั้น ๆ มักเป็นอุปกรณ์ขนาดใหญ่หรือมั่นคงแข็งแรง” เช่น หน่วยคำเติม + หน่วยฐาน = คำประสาน เครื่อง- ปั่นไฟ เครื่องปั่นไฟ


เครื่อง- กรองน้ำ เครื่องกรองน้ำ คำประสานทเ ี่ ป็นคำนามราชาศัพท์ คำประสานท ี่ เป็นคำนามราชาศัพท์สร้างขึ้นด้วยหน่วยคำเติมหน้า พระ- พระราช- ดังน ี้ พระ- และ พระราช- เป็นหน่วยคำเติมหน้า ท ี่ นำหน้าคำนามแล้วทำใหเ้ป็นคำประสานท ี่ เป็นคำนามราชาศัพท์ เช่น หน่วยคำเติม + หน่วยฐาน = คำประสาน พระ- เกตุ  พระเกตุ พระ- หัตถ์พระหัตถ์ พระราช- บิดา พระราชบิดา พระราช- ชนนี  พระราชชนนี คำประสานทเ ี่ ป็นคำกริยา คำประสานท ี่ เป็นคำกริยาสร้างขึ้นด้วยหน่วยคำเติมหน้า ขี้-,ช่าง, ทรง-, บรม- หมายถึง “มักทำอย่างนั้น” สร้าง ขึ้นด้วยคำเติมหน้า ขี้-, ช่าง-, บรมขี้- เป็นหน่วยคำเติมหน้าซึ่งใช้เติมหน้าคำกริยาหรือกริยาคุณศัพท์สร้างคำประสานซึ่งมีความหมายว่า “ซึ่งมัก ทำเช่นนั้น” เป็นความหมายในทางไม่ดีเช่น หน่วยคำเติม + หน่วยฐาน = คำประสาน ขี้- งอน ข ี้ งอน ขี้- เบื่อ ข ี้ เบื่อ


ช่าง- เป็นหน่วยคำเติมหน้าคำกริยาเพื่อสร้างคำประสานทม ี่ ีความหมายว่า “ซึ่งมักทำเช่นนั้น” เป็นความ หมายค่อนไปในทางดีหรือไมด่กี็ได้เช่น หน่วยคำเติม + หน่วยฐาน = คำประสาน ช่าง- ฟ้อง ช่างฟ้อง ช่าง- ประดิษฐ์ช่างประดิษฐ์ บรม- เป็นหน่วยคำเติมหน้าคำกริยาทำให้เป็นคำประสาน มีความหมายว่า “เป็นเช่นนั้นอย่างยิ่ง” คำประสาน กลุ่มน ี้ใช้เป็นคำแสดง เช่น หน่วยคำเติม + หน่วยฐาน = คำประสาน บรม- โง่บรมโง่ บรม- ข ี้ เกียจ บรมขเ ี้ กียจ คำประสานทเ ี่ ป็นคำกริยาราชาศัพท์ คำประสานท ี่ เป็นคำกริยาราชาศัพท์สร้างขึ้นด้วยหน่วยคำเติมหน้า ทรง- ดังน ี้ ทรง- ใช้นำหน้าคำกริยาทั่วไป หรือนำหน้ากริยาวลทีำให้เกิดคำประสานเป็นคำกริยาราชาศัพท์เช่น หน่วยคำเติม + หน่วยฐาน = คำประสาน ทรง- ชมเชย ทรงชมเชย ทรง- เยี่ยมเยียน ทรงเยี่ยมเยียน ทรง- ใช้นำหน้าคำนามทำให้เกิดคำประสานเป็นกริยาราชาศัพท์เช่น หน่วยคำเติม + หน่วยฐาน = คำประสาน ทรง- ม้า ทรงม้า


ทรง- เรือใบ ทรงเรือใบ ทรง- ใช้นำหน้าคำนามราชาศัพท์ทำให้เกิดคำประสานเป็นกริยาราชาศัพท์เช่น หน่วยคำเติม + หน่วยฐาน = คำประสาน ทรง- พระอุตสาหะ ทรงพระอุตสาหะ ทรง- พระประชวร ทรงพระประชวร คำประสานทเ ี่ ป็นคำวิเศษณ์ คำประสานท ี่ เป็นคำวิเศษณ์สร้างขึ้นด้วยหน่วยคำเติมหน้า อย่าง-, โดย-, ดังน ี้ อย่าง- เป็นหน่วยคำเติมหน้าคำกริยาหรือกริยาวลีทำใหเ้กิดคำประสานทำหน้าทเ ี่ ป็นคำวิเศษณ์เช่น หน่วยคำเติม + หน่วยฐาน = คำประสาน อย่าง- ดี  อย่างดี อย่าง- หวุดหวิด อย่างหวุดหวิด โดย- ใช้นำหน้าคำกริยา ทำใหเ้กิดคำประสานท ี่ เป็นคำวิเศษณ์เช่น หน่วยคำเติม + หน่วยฐาน = คำประสาน โดย- ละม่อม โดยละม่อม โดย- ไม่ตั้งใจ โดยไม่ตั้งใจ คำประสานทม ี่ ีหน่วยคำเติมอยู่หลัง หน่วยคำเติมทปี่ รากฏอยหู่ลังหรือท้ายคำประสาน เป็นหน่วยคำทร ี่ ับมาจากภาษาบาลีและสันสกฤต ได้แก่ หน่วยคำเติม –นิยม, -กร ดังน ี้


-นิยม หน่วยคำเติมน ี้ มาจากคำภาษาบาลีและสันสกฤตว่า นิยม /niyama/ ใชใ้นความหมายว่า “ลัทธิ, ความ เชื่อ” จึงใช้ประกอบท้ายคำนาม ทำให้เกิดคำประสานซึ่งหมายถึง “ความเชื่อ ความชอบ, ความพอใจ” เช่น หน่วยคำเติม + หน่วยฐาน = คำประสาน จิต- -นิยม จิตนิยม สังคม -นิยม สังคมนิยม -กร หน่วยคำเติมน ี้ มาจากคำภาษาบาลีว่า กร แปลว่า “ผู้กระทำ” ในภาษาไทยนำมาใช้เป็นหน่วยคำเติม หลัง เพื่อใหม้ ีความหมายว่า “ผทู้ ำ” เช่น หน่วยคำเติม + หน่วยฐาน = คำประสาน เกษตร- -กร เกษตรกร พัฒนา -กร พัฒนากร คำซ้อน คำซ้อนหมายถึง คำท ี่ เกิดจากการนำคำตั้งแต่๒ คำขึ้นไปมาเรียงต่อกัน โดยแต่ละคำนั้นมีความสัมพันธ์กันใน ด้านความหมาย อาจมีความหมายเหมือนกัน คล้ายกัน ทำนองเดียวกัน หรือตรงกันข้ามกันก็ได้จุดประสงค์ ของการซ้อนคำเพื่อให้ได้ความหมายทช ี่ ัดเจน ได้แก่ แยกคำท ี่ มีเสียงพ้องกัน เช่น ฆ่าฟัน ราคาค่างวด ข้าทาส เพื่อเสริมความหมาย เช่น เล็กน้อย นุ่มนิ่ม เพื่ออธิบายความหมายของคำในภาษาถิ่นหรือภาษาต่างประเทศ เช่น พัดวีเสื่อสาด ภูตผีทรัพย์สิน แสวงหา เป็นต้น ลักษณะความหมายของคำซ้อน คำท ี่ นำมาซ้อนจะมีความหมายประเภทใดประเภทหนึ่งดังต่อไปน ี้


-ความหมายเหมือนกัน หมายถึง คำทน ี่ ำมาซ้อนกันนั้นหมายถึงสิ่งเดียวกัน หรือเป็นอย่างเดียวกัน เช่น เร็วไว ทรัพย์สิน -ความหมายคล้ายกัน หมายถึง คำทน ี่ ำมาซ้อนกันนั้นมีความหมายใกล้เคียงกัน หรือเป็นไปในทำนองเดียวกัน พอท ี่ จะจัดเข้าในกลุ่มเดียวกันได้เช่น อ่อนนุ่ม ภาษีอากร -ความหมายตรงกันข้ามกัน หมายถึงคำท ี่ นำมาซ้อนกันนั้นมีความหมายคนละลักษณะกัน หรือคนละลักษณะ กัน เช่น ผิดถูก ตื้นลึกหนาบาง จำนวนคำในคำซ้อน เมื่อพิจารณาจำนวนคำท ี่ นำมาซ้อนอาจมี๒ คำ หรือ ๔ คำ หรือ ๖ คำ ดังตัวอย่าง ต่อไป น ี้ -คำซ้อน ๒ คำ หมายถึง คำซ้อนท ี่ประกอบด้วยคำ ๒ คำ เช่น บ้านเมือง ฟ้าฝน -คำซ้อน ๔ คำ หมายถึง คำซ้อนท ี่ประกอบด้วยคำ ๔ คำ อาจมบีางคำท ี่ มีมากกว่า ๑ พยางค์ก็ได้เช่น คำซ้อนที่  ๔ คำเรียงกัน เช่น ถ้วยโถโอชาม เย็บปักถักร้อย คำซ้อนท ี่ประกอบด้วย ๔ คำ แยกกันเป็น ๒ คู่ซึ่งมักจะมีเสียงคล้องจองกันระหว่างพยางค์ที่  ๒ กับ ที่  ๓ เช่น ทุกข์โศกโรคภัย คำซ้อน ๔ ท ี่ มีคำที่  ๑ กับคำที่  ๓ หรือคำที่  ๒ กับคำที่  ๔ ซ้ำกัน เช่น อ่อนอกอ่อนใจ คิดใหม่ทำ ใหม่ คำซ้อน ๖ คำ หมายถึงคำซ้อนท ี่ประกอบด้วยคำ ๖ คำ โดยทบ ี่ างคำอาจมีมากกว่า ๑ พยางคก์ ็ได้คำ ซ้อน ๖ คำ จะแบ่งเป็นส่วนละ ๓ คำ มีเสียงคล้องจองกันระหว่างส่วนหน้ากับส่วนหลัง และมคีำซ้ำกันในส่วน ทั้งสองนั้นด้วย เช่น เลือกที่รักมักท ี่ ชัง กำแพงมีหูประตูมีช่อง ที่มาของคำซ้อน คำที่นำมาซ้อนกันอาจเป็นคำไทยซ้อนกับคำไทย คำไทยซ้อนกับคำต่างประเทศหรือคำต่าง ประเทศซ้อนกันเอง -คำไทยซ้อนกับคำไทย เช่น บ้านเมือง เดือดร้อน


-คำไทยซ้อนกับคำต่างประเทศ คำไทยซ้อนกับคำภาษาบาลี– สันสกฤต เช่น -ไทย + บาลี- สันสกฤต เช่น ข้าทาส -บาลี– สันสกฤต + ไทย เช่น โจรผู้ร้าย -คำไทยซ้อนกับคำภาษาเขมร เช่น -ไทย + เขมร เขียวขจี -เขมร + ไทย ขจัดปัดเป่า -คำไทยซ้อนกับคำภาษาอังกฤษ เช่น พักเบรก แจกฟรี -คำต่างประเทศซ้อนกัน -คำบาลสีันสกฤต ๑.๓ ประโยคในภาษาไทย ประโยคจะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อมีทั้งภาคประธานและภาคแสดง ประโยคยังแบ่งเป็น 3 ประเภทคือ ประโยคความ เดียว ท ี่ มีประธานเดียวและภาคแสดงเดียว, ประโยคความรวม ท ี่ รวมประโยคความเดียวตั้งแต่ 2 ประโยคเข้า ด้วยกัน และ ประโยคความซ้อน ท ี่ มีประโยคความเดียว 1 ประโยคเป็นประโยคหลัก แล้วมปีระโยคความเดียว อื่นมาเสริม ประโยค หมายถึง ข้อความท ี่ มีทั้งภาคประธานและภาคแสดง ภาคประธาน คือ ส่วนของผแู้สดงกริยาอาการต่างๆ ภาคแสดง คือ ส่วนของการแสดงกิริยาอาการต่างๆ โดยจะต้องมคีำกริยา และอาจมีกรรมเป็นภาคขยาย เพื่อ แสดงรายละเอียดของประโยคใหไ้ด้ความสมบูรณ์


ประโยคแบ่งเป็น 3 ชนิดคือ 1. ประโยคความเดียว ประโยคความเดียว (เอกัตถประโยค) คือประโยคท ี่ มีใจความเดียว ซึ่งจะมีประธานเดียว และกริยาเดียว แบ่ง ออกได้เป็น การจำแนกตามบทกริยา คือ ดูรายละเอียดท ี่ บทกริยา แบ่งได้ดังน ี้ ประโยคท ี่ใช้กริยาไมม่ ีกรรม เช่น “ม้าวิ่ง” เป็นประโยคเล็กที่สุด ประกอบด้วย ประธาน และกริยา ประโยคท ี่ใช้กริยามีกรรม เช่น “นกเกาะกิ่งไม้” ประกอบด้วย ประธาน กริยา และกรรม ประโยคท ี่ใช้กริยาอาศัยส่วนเติมเต็ม เช่น “การวิ่งเป็นการออกกำลังกาย” ประกอบด้วย ประธาน กริยา และ บทประกอบกริยาหรือส่วนเติมเต็ม ในท ี่ น ี้ คำว่า “เป็น” คือกริยาอาศัยส่วนเติมเต็มทต ี่ ้องอาศัยคำว่า “ออกกำลังกาย” เพื่อให้ได้ใจความสมบูรณ์ ประโยคท ี่ใช้กริยาช่วย เช่น “ประสิทธไิ์ ด้เป็นนักร้อง” ประกอบด้วย ประธาน กริยาช่วย กริยา และและบท ประกอบกริยาหรือส่วนเติมเต็ม โดยคำว่า “ได้” เป็นกริยาช่วย โดยมี“เป็น” เป็นกริยาหลักท ี่ อาศัยส่วนเติม เต็มคือคำว่า “นักร้อง” อีกที การจำแนกตามจุดประสงค์ของผพูู้ด คือ ดูท ี่ เป้าหมายของการพูด แบ่งได้ดังน ี้ ประโยคบอกเล่า เช่น “ฉันไปโรงเรียนทุกวัน” ประโยคปฏิเสธ เช่น “เราไม่ข้ามถนนขณะมีรถวิ่ง” ประโยคคำถาม เช่น “คุณชอบเป็นทหารไหม” ประโยคคำสั่งหรือขอร้อง เช่น “กรุณาถอดรองเท้าก่อนเข้าห้อง” การประโยคจำแนกตามลำดับองค์ประกอบ คือ ดูท ี่โครงสร้างประโยค แบ่งไดด้ังน ี้ ประธานอยู่หน้าประโยค เช่น “แมวกินปลาทู”


กรรมอยู่หน้าประโยค เช่น “นักเรียนถูกครูทำโทษ” (“ทำโทษ” เป็นกริยา ดังนั้น “ครู” ซึ่งเป็นผกู้ระทำกริยาน ี้ จึงต้องเป็นประธานของประโยค) เริ่มต้นด้วยกริยา เช่น “มีงูอยู่ในห้อง” 2. ประโยคความรวม ประโยคความรวม (อเนกัตถประโยค) คือ ประโยคทร ี่ วมประโยคความเดียวตั้งแต่ 2 ประโยคขึ้นไปเข้าด้วยกัน โดยมีสันธานเป็นตัวเชื่อม เช่น “ม้าอยู่ในทุ่งหญ้าและกำลังกินหญ้า” มีประธานตัวเดียวคือ “ม้า” ทำ 2 กริยา คือ “อยู่ในทุ่งหญ้า” และ “กำลังกินหญ้า” “ออกซิเจนและไฮโดรเจนเป็นส่วนประกอบของน้ำ” มปีระธานสองตัว คือ “ออกซิเจน” และ “ไฮโดรเจน” ทำกริยาเดียวกัน คือ “เป็นส่วนประกอบของน้ำ” “เด็กๆ ช่วยกันทำงานจึงเสร็จเร็ว” มี“จึง” เป็นตัวเชื่อม 2 ประโยคเข้าด้วยกัน โดยคำว่า “งาน” เป็นกรรมใน ประโยคหนึ่ง และเป็นประธานในอีกประโยค คือ “เด็กๆ ช่วยกันทำงาน” และ “งานเสร็จเร็ว” “คุณชอบไปทะเลหรือน้ำตก” มี“หรือ” เป็นตัวเชื่อม 2 ประโยคเข้าด้วยกันคือ “คุณชอบไปทะเล” กับ “คุณ ชอบไปน้ำตก” โดย “หรือ” ทำให้ประโยคใหม่กลายเป็นประโยคคำถาม 3. ประโยคความซ้อน ประโยคความซ้อน (สังกรประโยค) หมายถึง ประโยคทร ี่ วมประโยคความเดียว 1 ประโยคเป็นประโยคหลัก แล้วมีประโยคความเดียวอื่นมาเสริม มีข้อสังเกตคือ ประโยคหลัก (มุขยประโยค) กับ ประโยคย่อย (อนุ ประโยค) ของประโยคความช้อนมีน้ำหนักไม่เท่ากัน อนุประโยค หรือประโยคย่อย มี3 ชนิด ทำหน้าท ี่ ต่างกันดังต่อไปน ี้ ประโยคย่อยท ี่ ทำหน้าท ี่ แทนนาม (นามานปุระโยค) อาจใชเ้ป็นบทประธาน หรือบทกรรม หรือส่วนเติมเต็มก็ได้ เช่น


“เด็กหนีเรียนไปร้านเกม” มีประโยค “เด็ก..... ไปร้านเกม” เป็นประโยคหลัก โดยประโยค “เด็กหนีเรียน” เป็นประโยคย่อยทำหน้าท ี่ บทประธาน “เขาเห็นตำรวจยิงผู้ร้าย” มีประโยค “เขาเห็น.....” เป็นประโยคหลัก โดยประโยค “ตำรวจยิงผู้ร้าย” เป็น ประโยคย่อยทำหน้าท ี่ เป็นบทกรรม ประโยคย่อยท ี่ ทำหน้าท ี่ เป็นบทขยายประธาน หรือบทขยายกรรม หรือบทขยายส่วนเติมเต็ม (คุณานุประโยค) เช่น “คนท ี่ ก้าวเท้ายาวเกินไปจะเดินได้ช้าลง” มีประโยค “คน.....จะเดินได้ช้าลง” เป็นประโยคหลัก โดยประโยค “คนก้าวเท้ายาวเกินไป” เป็นประโยคย่อยทำหน้าทข ี่ ยายประธาน (เป็นการบอกคุณสมบัตเิพื่อชช ี้ ัดประธาน เชื่อมประโยคด้วยคำว่า “ที่”) “ถนนทุกสายมุ่งสู่กรุงโรมซึ่งปัจจุบันคืออิตาลี” มปีระโยค “ถนนทุกสายมุ่งสกู่รุงโรม” เป็นประโยคหลัก โดย ประโยค “กรุงโรมปัจจุบันคืออิตาลี” เป็นประโยคย่อยทำหน้าท ี่ ขยายกรรมในประโยคหลัก (เชื่อมด้วยคำว่า “ซึ่ง”) ประโยคย่อยท ี่ ทำหน้าท ี่ เป็นบทขยายคำกริยา หรือบทขยายคำวิเศษณ์ในประโยคหลัก (วิเศษณานุประโยค) เช่น “ดวงจันทร์โคจรรอบโลกเป็นวงรี” มปีระโยค “ดวงจันทร์โคจรรอบโลก” เป็นประโยคหลัก โดยประโยค “ดวง จันทร์โคจรเป็นวงรี” เป็นประโยคย่อยขยายกริยา (ขยายความว่า “โคจร” อย่างไร) “ดวงตะวันยามตกดินส่องแสงแดงจนดูเหมือนผลไมสุ้กปลั่ง” มปีระโยค “ดวงตะวันยามตกดินส่องแสงแดง” เป็นประโยคหลัก โดยประโยค “ดวงตะวันยามตกดินดูเหมือนผลไม้สุกปลั่ง” เป็นประโยคย่อยขยายวิเศษณ์ (ขยายความว่า “แดง” อย่างไร) บรรณานุกรม ประเสริฐ ศรีราชพัฒน์การสร้างคำ [ออนไลน์] สืบค้นได้จาก.https://www.gotoknow.org/posts/420018


[สืบค้นเมื่อ ๓ ธันวาคม ๒๕๖๖] อลงกรณ์พลอยแก้ว ประโยคในภาษาไทย [ออนไลน์] สืบค้นได้จาก. https://www.trueplookpanya.com/learning/detail/34192 [สืบค้นเมื่อ ๓ ธันวาคม ๒๕๖๖]


Click to View FlipBook Version