คูม่ อื พัฒนาทมี ปฏิบัตงิ านดว้ ยความปลอดภัยดา้ นงานกอ่ สร้าง 47
การติดต้ัง Compact Unit Substation และ Ring Main Unit Compact Unit
Substation เป็นอุปกรณ์ท่ีมีองค์ประกอบ 3 ส่วน คือ ห้องแรงสูงจะบรรจุ RMU ไว้ตัดต่อระบบแรงสูง ห้อง
หม้อแปลงไว้บรรจุหม้อแปลง และห้องแรงต่าจะบรรจุอุปกรณ์ป้องกันแรงต่า สาหรับ Ring Main Unit จะทา
หน้าท่ีตัดตอ่ และป้องกนั ความเสยี หายทเ่ี กิดจากการใช้กระแสเกนิ พกิ ัดหรอื การลัดวงจร
การติดต้ังตู้มิเตอร์ (Meter Box) ติดต้ังเพ่ือใช้เป็นอุปกรณ์สาหรับใส่มิเตอร์ไฟ
สาธารณะหรือไฟชัว่ คราว รวมถึงกรณที ่ไี มส่ ามารถยา้ ยมเิ ตอร์มาตดิ ตง้ั ท่หี นา้ บ้านได้
คณะอนกุ รรมการ ด้านงานก่อสรา้ ง
คมู่ ือพัฒนาทีมปฏบิ ตั งิ านด้วยความปลอดภยั ด้านงานก่อสรา้ ง 48
รายละเอียดกิจกรรมงานก่อสร้างระบบสายใต้ดิน (ด้านไฟฟ้า) และปัจจัยความเส่ยี งทอ่ี าจเกดิ ขึ้น
ที่ กจิ กรรม ปัจจยั เส่ยี ง แนวทางการควบคุม/ป้องกนั
1 การปักเสาต้น UG - เกิดอุบัติเหตจุ ากการจราจร
- ขาช้างรถเครนทรุด - ติดตัง้ กรวยและปา้ ยจราจร
2 การตดิ ต้งั อุปกรณ์ (ไฟฟา้ กาลังปฏิบตั ิงานก่อสร้าง)
- สลงิ ปักเสาชารดุ - ตรวจสอบสภาพพืน้ ทท่ี รี่ ถเครน
- วัสดอุ ุปกรณ์หลน่ ใส่ จะกอ่ นการปฏิบตั งิ านและควร
ผ้ปู ฏบิ ตั ิงาน ตดิ ตัง้ แผ่นรองขาชา้ งทุกครั้งใน
- อนั ตรายจากระบบไฟฟ้า การปฏบิ ัตงิ าน
แรงต่า , แรงสงู - ตรวจสอบสภาพสลงิ ทุกครัง้ กอ่ น
- อปุ กรณ์และเครื่องมือตกหล่น จะใช้งานในการปักเสา
- ใส่อปุ กรณ์ความปลอดภัยสว่ น
- เกดิ อุบตั ิเหตจุ ากการจราจร บคุ คลทกุ คร้ัง
- ไมย่ นื อยู่ในแนวปกั เสา
- อนั ตรายจากระบบไฟฟ้า - ตรวจสอบระบบไฟฟา้ ก่อนปฏิบตั ิ
แรงต่า , แรงสูง ทกุ คร้งั
- ผปู้ ฏบิ ัติงานตกจากทสี่ ูง
- ตรวจสอบเชือกสง่ ของ , สลงิ กอ่ น
- วสั ดกุ อ่ สรา้ งชารดุ การใช้งานทุกครัง้
- อันตรายจากสตั ว์กดั ต่อย - ใส่อุปกรณ์ความปลอดภัยส่วน
บคุ คลทุกครงั้
- ไมย่ นื อยู่ในแนวปฏิบัติงาน
- ติดตั้งกรวยและป้ายจราจร
(ไฟฟา้ กาลงั ปฏบิ ัติงานก่อสร้าง)
หรอื ร้องขอเจ้าหน้าท่ีตารวจ
เพอ่ื อานวยความสะดวก
- ตรวจสอบระบบไฟฟา้ กอ่ นปฏิบัติ
ทุกคร้งั (Check Volt , Short
Ground)
- เม่ือถงึ จดุ ปฏบิ ัติงานบนเสา
ใหค้ ล้องสายกนั ตกทันที
- ใชข้ าปนี เสาตามมาตรฐาน กฟภ.
- ตรวจสอบความพร้อมของผู้ขึ้น
ปฏิบตั งิ าน
- ตรวจสอบวัสดุกอ่ สร้างก่อนนา
ขน้ึ ไปติดตั้ง
- สารวจเสาก่อนขน้ึ ปฏิบตั ิงาน
คณะอนกุ รรมการ ดา้ นงานก่อสรา้ ง
ค่มู อื พัฒนาทมี ปฏิบัติงานด้วยความปลอดภยั ด้านงานกอ่ สร้าง 49
ที่ กจิ กรรม ปจั จยั เส่ยี ง แนวทางการควบคุม/ป้องกัน
- สะเก็ดไฟกระเดน็ ใสร่ า่ งกาย - สวมใสถ่ ุงมือและรองเท้านริ ภยั
3 การตดั สายเคเบิล , การ - สวมใส่หน้ากากป้องกัน เสอ้ื ผ้า
เชอื่ มตอ่ สาย (Splicing) , - อุบตั เิ หตจุ ากเครือ่ งตัดและ ใหม้ ดิ ชดิ
การเตรียมสายเคเบลิ เครื่องดดั เหล็ก - ใส่ Safe Guard ปอ้ งกันส่วน
(XLPE) และการประกอบ - อปุ กรณห์ นบี / ทบั มือ เคลอื่ นไหวของเครือ่ งมือฯ
ตดิ ต้งั หัวเคเบลิ (Cable - ใสอ่ ุปกรณ์ความปลอดภัยสว่ น
Termination Kit) บุคคลทุกครง้ั
- ตรวจสอบเชอื กสง่ ของ , สลงิ กอ่ น
- พลดั ตกจากทีส่ งู การใชง้ านทุกครงั้
- เม่อื ถึงจดุ ปฏิบัตงิ านบนเสา ให้
- มรี ะบบไฟฟ้าอยใู่ กล้ คลอ้ งสายกันตกทันที
- ดูระยะปฏบิ ตั ิงานทปี่ ลอดภัย
4 การขนสง่ และยก - สลงิ ยกขาด ตามมาตรฐาน กฟภ.
Compact Unit - วัสดหุ ล่นทับ - ตรวจสอบสลงิ ก่อนใช้งาน
Substation, Ring Main - สวมใส่ถุงมือและรองเท้านิรภัย
Unit และ Meter Box - อปุ กรณห์ นีบ / ทับมือ
- วสั ดหุ ล่นทับ - ใสอ่ ปุ กรณ์ความปลอดภยั ส่วน
5 การประกอบติดต้ัง บุคคลทุกครั้ง
Compact Unit
Substation, Ring Main
Unit และ Meter Box
คณะอนุกรรมการ ดา้ นงานก่อสรา้ ง
คมู่ ือพฒั นาทีมปฏิบัติงานดว้ ยความปลอดภยั ดา้ นงานก่อสร้าง 50
บทท่ี 3
อปุ กรณค์ มุ้ ครองความปลอดภัย
3.1 อปุ กรณค์ ุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคล (Personal Protective Equipment)
3.1.1 ความปลอดภยั ส่วนบุคคลคอื อะไร
ความปลอดภัยส่วนบุคคลคือ องค์ประกอบด้านความปลอดภัยของพนักงานที่ช่วยให้
พนักงานผู้ปฏิบัติงานมีความปลอดภัยมากย่ิงขึ้น ซ่ึงไม่ใช่แค่อุปกรณ์เซฟตี้เท่าน้ัน แต่ยังรวมไปถึงความรู้ด้าน
การอบรมทพ่ี นกั งานต้องได้รบั การอบรมกอ่ นปฏิบัติงาน
3.1.2 การคมุ้ ครองความปลอดภัยส่วนบุคคล
นายจ้างต้องจัดและควบคุมดูแลให้มีการใช้อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคล
ท่ีเหมาะสมกับสภาพหนา้ งานตามท่ีกาหนดไว้ในกฎกระทรวง โดยที่อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคล
ที่ใช้ต้องเหมาะสมกับลักษณะงานและเป็นไปตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือมาตรฐานอ่ืนที่อธิบดี
ประกาศกาหนด และไดร้ ับความเหน็ ชอบจากวิศวกรหรือผู้ควบคุมงาน และต้องมีการตรวจสอบและอบรมการ
ใชอ้ ุปกรณก์ อ่ นการใชง้ าน
ประกาศกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน “เร่ือง กาหนดมาตรฐานอุปกรณ์คุ้มครอง
ความปลอดภัยสว่ นบุคคล พ.ศ. 2554”
ตามพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางาน พ.ศ.
2554 กาหนดให้นายจ้างจัดและดูแลให้แก่ลูกจ้างสวมใส่อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคล ที่ได้
มาตรฐานตามทอ่ี ธิบดีประกาศกาหนด
การไฟฟา้ ส่วนภมู ิภาคจงึ ได้กาหนดมาตรฐานขนั้ ต่าของอุปกรณค์ มุ้ ครองความปลอดภยั สว่ นบุคคลไว้ ดังนี้
ลาดบั รายการอุปกรณค์ วามปลอดภัยสว่ นบุคคล จานวนอปุ กรณ์ตามมาตรฐานขน้ั ตา่
ผูค้ วบคมุ งาน พนักงานขบั รถ ผูป้ ฏิบัตงิ าน
1 เครือ่ งแบบสาหรบั ผูป้ ฏิบัติงานกบั ระบบไฟฟ้า
2 หมวกนริ ภยั สีขาว 1 11
3 หมวกนริ ภยั สเี หลือง 11
4 ถงุ มือยางพร้อมถุงมือหนังแรงสูง
5 ถุงมือยางพร้อมถุงมือหนังแรงต่า 1
6 ถุงมือปนี เสา 1
7 รองเทา้ บู๊ท 1
8 ขาปนี เสา คอร. 1
9 เขม็ ขัดนริ ภยั พร้อมสายกนั ตก
1 11
1
1
คณะอนกุ รรมการ ด้านงานก่อสรา้ ง
ค่มู อื พฒั นาทมี ปฏบิ ัตงิ านดว้ ยความปลอดภยั ดา้ นงานกอ่ สร้าง 51
3.1.3 การจัดการความปลอดภัยสว่ นบุคคล
1.) มกี ารอบรมผู้ปฏิบตั งิ านอย่างเคร่งครัดด้วยความรู้ต่างๆ เก่ียวกับการทางานในด้านนั้นๆ
เพ่ือใหไ้ ดต้ ระหนกั ถงึ อันตรายท่ีอาจจะเกดิ ข้นึ รวมถงึ วิธกี ารป้องกันและการปฐมพยาบาล
2.) มีการตรวจสขุ ภาพประจาปี
3.) ปฏิบัติตามข้อห้ามในการปฏิบัติงานอย่างเคร่งครัด เช่น การไม่ด่ืมเหล้า การไม่สูบบุหร่ี
ในขณะทางาน
4.) สวมใสอ่ ปุ กรณ์ป้องกันให้ครบถว้ นอย่างถูกวิธีในขณะปฏบิ ัติงาน
5.) มีชดุ ปฐมพยาบาลประจาชุดปฏิบตั ิงาน เพื่อปฐมพยาบาลผ้บู าดเจบ็ ในเบอ้ื งตน้
3.1.4 อปุ กรณ์คุม้ ครองความปลอดภัยส่วนบุคคล เป็นอุปกรณ์นิรภัยท่ีพนักงานผู้ปฏิบัติงานต้อง
สวมใส่ให้ครบถ้วนและเหมาะสมกับงานที่กาลังปฏิบัติ เพ่ือป้องกันอันตรายและลดการบาดเจ็บจากเหตุการณ์
ฉุกเฉนิ ท่ีอาจจะเกิดขึน้ อปุ กรณ์คุม้ ครองความปลอดภัยส่วนบคุ คล มีดังน้ี
1.) เคร่ืองแบบสาหรับผู้ปฏิบตั งิ านกับระบบไฟฟา้
เครื่องแบบสาหรับผู้ปฏิบัติงานในงานก่อสร้างระบบไฟฟ้าน้ัน เป็นเคร่ืองแบบตาม
มาตรฐาน กฟภ. ซึง่ ออกแบบโดยมีแถบสะท้อนแสงเพ่ือให้ผู้สวมใส่มีความปลอดภัย มีลักษณะเป็นเส้ือแขนยาว
และกางเกงขายาว เนื้อผ้ามีคุณลักษณะทนทาน เหมาะสมกับการปฏิบัติงานสนาม ท้ังน้ีผู้ปฏิบัติงานก่อสร้าง
ระบบไฟฟ้า ควรสวมใส่เคร่ืองแบบสาหรับปฏิบัติงานก่อสร้างระบบไฟฟ้าทุกครั้งที่ปฏิบัติงาน เครื่องแบบ
สาหรับผู้ปฏบิ ัตงิ านกอ่ สร้างระบบไฟฟ้าตามมาตรฐาน กฟภ. แบ่งได้ 3 ประเภท ดงั นี้
คณะอนกุ รรมการ ด้านงานกอ่ สรา้ ง
คมู่ ือพัฒนาทมี ปฏิบตั งิ านดว้ ยความปลอดภยั ด้านงานกอ่ สรา้ ง 52
เคร่อื งแบบผู้ควบคุมงาน
คณะอนุกรรมการ ด้านงานกอ่ สรา้ ง
คมู่ อื พัฒนาทมี ปฏบิ ตั งิ านดว้ ยความปลอดภัยดา้ นงานกอ่ สรา้ ง 53
เครื่องแบบพนักลกู จา้ งชา่ ง
คณะอนกุ รรมการ ด้านงานกอ่ สรา้ ง
คมู่ อื พฒั นาทีมปฏบิ ตั ิงานดว้ ยความปลอดภัยดา้ นงานกอ่ สร้าง 54
เคร่อื งแบบคนงาน
คณะอนกุ รรมการ ดา้ นงานก่อสรา้ ง
คมู่ ือพัฒนาทมี ปฏบิ ัตงิ านดว้ ยความปลอดภัยด้านงานกอ่ สร้าง 55
2.) อุปกรณ์ปอ้ งกันศีรษะ (Head Protective Devices)
หมวกนิรภัย (Safety Helmet) ที่ใช้งานกับระบบไฟฟ้ามี 3 ประเภท ตาม มอก.368-2554
ชนดิ E (Electrical) หมายถงึ หมวกนิรภัยทใี่ ช้เพอ่ื ลดแรงกระแทกของวตั ถุ และ
ลดอันตรายอนั อาจเกิดจากการสัมผัสกบั ตัวนาไฟฟ้าแรงดันสูง ทนแรงดันไฟฟา้ ทดสอบ 20,000 โวลต์
ชนิด G (General) หมายถึง หมวกนิรภัยท่ีใช้เพ่ือลดแรงกระแทกของวัตถุ และ
ลดอนั ตรายอนั เกดิ จากสัมผัสกับตัวนาไฟฟ้าแรงดันต่า ทนแรงดนั ไฟฟา้ ทดสอบ 2,200 โวลต์
ชนิด C (Conductive) หมายถึง หมวกนิรภยั ท่ีใช้เพ่อื ลดแรงกระแทกของวัตถุ
หมายเหตุ : แรงดนั ไฟฟา้ ทดสอบตามชนดิ E และชนิด G ไม่ใชแ่ รงดันไฟฟา้ ที่ปลอดภยั สาหรับผสู้ วมใส่
ข้อควรปฏิบัติในการใชห้ มวกนิรภยั ตรวจสภาพความเรยี บรอ้ ยของหมวก ก่อนใช้งาน
ถ้าชารุดไม่ควรนามาใช้ เมื่อใช้งานแล้ว ควรมีการทาความสะอาดเป็นระยะ ด้วยน้าอุ่นและสบู่ ขณะล้างควร
ถอดส่วนประกอบออกทาความสะอาด ผ่ึงให้แห้ง แล้วจึงประกอบเข้าไปใหม่ ห้ามทาสีหมวกใหม่ เพราะจะทา
ให้ประสิทธิภาพในการต้านแรงไฟฟ้า และแรงกระแทกลดต่าลง ไม่วางหมวกนิรภัยไว้กลางแดด หรือที่ที่มี
อุณหภมู ิสูงเพราะจะทาใหอ้ ายกุ ารใชง้ านสน้ั ลง
สีของหมวกนริ ภัย (Safety Helmet) ตามมาตรฐาน กฟภ. แบ่งตามประเภท ดังน้ี
สเี ขียว : พนกั งานเจา้ หนา้ ทีค่ วามปลอดภัย (จป.)
สีแดง : พนักงานบรหิ ารหรือวิศวกร
สีเหลือง : พนกั งานช่างควบคมุ งาน
สสี ม้ : ลกู จ้างชา่ ง
สีขาว : คนงานรายวัน
คณะอนุกรรมการ ด้านงานกอ่ สรา้ ง
คู่มอื พัฒนาทีมปฏิบตั ิงานด้วยความปลอดภัยด้านงานกอ่ สร้าง 56
3.) อปุ กรณป์ ้องกันหู
พนักงานจะต้องสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันระบบการได้ยิน ซึ่งผ่านการตรวจสอบ
มาตราฐาน ANSI S12.6 ขณะปฏิบตั งิ านในพน้ื ที่ที่มีระดับเสียงเฉล่ียตลอดเวลาการทางาน (TWA) เกินกว่า 85
เดซิเบล (เอ) เปน็ เวลา 8 ชั่วโมง
อุปกรณ์ปอ้ งกันระบบการไดย้ ินทแ่ี นะนาใหใ้ ช้ ไดแ้ ก่
(1) ปลั๊กอุดหู (Ear plugs) ท้ังชนิดใชแ้ ลว้ ทิ้ง และชนิดทสี่ ามารถนากลับมาใชง้ านใหมไ่ ด้
(2) ท่คี รอบหู (Ear muffs)
สรปุ ขอ้ แตกต่างระหว่างที่อดุ หแู ละท่ีครอบหู
ทอ่ี ดุ หู (Earplugs) ทคี่ รอบหู (Earmuff)
- ข้อดี - ขอ้ ดี
* เลก็ พกพาสะดวก * สายปรบั เลอื่ นไดอ้ อกแบบมาใหไ้ ดใ้ นระยะไกล
* ใชส้ ะดวก ปรบั ใชก้ บั อปุ กรณอ์ นื่ ได้ * ตรวจสอบง่ายเพราะมองเหน็ ไดใ้ นระยะไกล
* สวมใสส่ บาย แม้ในสถานทท่ี างานทมี่ ีอากาศร้อนหรอื มีความชน้ื * ไม่สญู หายง่าย เพราะมีขนาดคอ่ นขา้ งใหญก่ วา่
* สะดวกในการใชแ้ ม้ทางานในทแ่ี คบ * ปอ้ งกนั การตดิ เชอ้ื ในชอ่ งหไู ดม้ ากกวา่
- ขอ้ เสีย - ขอ้ เสีย
* ใชเ้ วลานานในการสวมใสใ่ หก้ ระชบั * น้าหนักรวมมากกวา่
* สอดเขา้ และเอาออกจากชอ่ งหยู ากกวา่ * ไม่สะดวกหากใชค้ วบคกู่ บั อปุ กรณป์ อ้ งกนั อนื่ ๆ
* อาจสร้างความระคายเคอื งในชอ่ งหู * ไม่สะดวกสบายในการใชง้ านในพน้ื ทที่ ม่ี ีอณุ หภมู ิสงู และชน้ื
* สญู หายง่าย * ไม่สะดวกในการทางานในทแี่ คบ
* ยากตอ่ การตรวจสอบการใชง้ าน * ทาใหเ้ กดิ ความระคายเคอื งหากใชร้ ่วมกบั แวน่ ตา เพราะขาของแวน่ ตา
จะทาใหเ้ กดิ แรงกดบรเิ วณทใี่ สค่ รอบหอู ยแู่ ลว้ ทาใหผ้ สู้ วมใสร่ สู้ กึ ไม่สบาย
คณะอนุกรรมการ ด้านงานกอ่ สรา้ ง
คูม่ ือพัฒนาทมี ปฏบิ ัตงิ านดว้ ยความปลอดภัยดา้ นงานก่อสร้าง 57
4.) อปุ กรณป์ อ้ งกนั ใบหน้า และดวงตา (Eye and face protective devices)
การเลือกใช้อุปกรณ์ป้องกันใบหน้า จะต้องคานึงถึงชนิดของอันตราย เช่น การถูก
กระแทกจากวัสดุปลิว สารเคมี โลหะร้อน รังสี และอ่ืน ๆ นอกจากน้ันจะต้องดูความสามารถของอุปกรณ์และ
ความคล่องตวั ในการสวมใส่ของคนงานดว้ ย อปุ กรณ์ปอ้ งกันใบหน้าช่วยปอ้ งกันอันตรายท่ีอาจเกิดข้ึน จากวัตถุ
สารเคมีกระเดน็ เข้าตา ใบหน้า หรอื ปอ้ งกันรังสีท่ีจะทาลายดวงตา
(1) แวน่ ตานริ ภัย (Protective spectacles or Glasses) มี 2 แบบ คือ
- แบบไม่มีกระบังข้าง เหมาะสาหรับใช้งานที่มีเศษโลหะ หรือวัตถุกระเด็น
มาเฉพาะทางดา้ นหน้า
- แบบมกี ระบงั ข้าง เหมาะสาหรับการใช้งานท่ีมีเศษโลหะ หรือวัตถุกระเด็น
ข้าง เลนสท์ ใ่ี ชท้ า แว่นตานิรภยั ต้องไดม้ าตรฐาน การทดสอบ ความตา้ นทาน แรงกระแทก
คณะอนกุ รรมการ ดา้ นงานก่อสรา้ ง
คมู่ อื พฒั นาทีมปฏบิ ตั งิ านด้วยความปลอดภัยด้านงานกอ่ สร้าง 58
(2) แว่นครอบตา (Goggles) เป็นอุปกรณ์ป้องกันตา ที่ปิดครอบตาไว้ มีหลาย
ชนดิ ไดแ้ ก่
- แว่นครอบตาปอ้ งกนั วตั ถุกระแทก เหมาะสาหรับงานสกัด งานเจยี ระไน
- แว่นครอบตาป้องกันสารเคมี เลนส์ของแว่นชนิดน้ี จะต้านทานต่อแรง
กระแทก และสารเคมี
- แว่นครอบตาสาหรับงานเชื่อมป้องกันแสงจ้า รังสี ความร้อน และสะเก็ด
ไฟจากงานเชือ่ โลหะ หรอื ตดั โลหะ
(3) กระบังป้องกันใบหน้า (Face shield) หรือโล่บังหน้า (Face shield) เป็น
วัสดุโค้งครอบใบหน้า เพื่อป้องกันอันตรายต่อใบหน้า และลาคอ จากการกระเด็น กระแทกของวัตถุ หรือ
สารเคมี ป้องกันอันตรายจากการปลิวของวัตถุ เช่นเศษโลหะจากการเล่ือย ประกายไฟจากหินเจียรนัย และ
จากการขนยา้ ยสารเคมี โล่บงั หน้าจะทาด้วยพลาสติกใสท่ีทนต่อการเผาไหม้บางชนิดสามารถปรับขนาดได้และ
บางชนิดสามารถยกข้ึนได้โดยไม่ต้องถอดออกจากศีรษะ โล่ห์บังหน้าชนิดตะแกรงโลหะ (Metal screen face
shields) ใช้ป้องกนั ความรอ้ น นยิ มใชใ้ นงานหล่อโลหะ และชุบโลหะ
(4) หนา้ กากเชอ่ื ม (Welding Helmets) เป็นอุปกรณ์ป้องกันใบหน้าและดวงตา
ซ่ึงใช้ในงานเช่ือม เพ่ือป้องกันการกระเด็นของโลหะ ความร้อน แสงจ้า และรังสีจากการเชื่อม ใช้ป้องกันการ
กระเด็นของสะเก็ดโลหะและรังสีจากการเช่ือมอาร์ค ด้านหน้าของหน้ากากจะมีกระจกกรองแสงสาหรับกรอง
รังสีอุลตราไวโอเลตและแสงอ่ืน ๆ ที่เกิดข้ึนระหว่างการเช่ือม ปกติหน้ากากเช่ือมจะสวมติดไว้ท่ีศีรษะ แต่ใน
งานบางอย่างการใช้หน้ากากเชื่อมแบบดังกล่าวจะไม่คล่องตัว เช่น งานตรวจสอบแนวเช่ือม และงานที่ผู้สวม
ไมไ่ ด้เป็นผเู้ ชือ่ มเอง งานดังกล่าวนยิ มใชโ้ ลห่ บ์ ังหน้า แบบใชม้ อื จบั (Hand held shields)
คณะอนกุ รรมการ ด้านงานก่อสรา้ ง
คู่มอื พฒั นาทีมปฏบิ ัติงานด้วยความปลอดภยั ด้านงานกอ่ สร้าง 59
5.) อปุ กรณ์ป้องกนั มอื (Hand Protective Devices)
น้วิ และมอื มโี อกาสท่ีจะไดร้ บั อันตรายอยเู่ สมอ เชน่ การถูกของมีคมบาดหรือตัด การถูก
ไฟลวก การถูกความร้อน การถลอก เป็นต้น เพราะเป็นอวัยวะที่สาคัญในการทางานเกือบทุกอย่าง ในการ
ทางานจึงจาเป็นต้องใช้อุปกรณ์ป้องกันตามความเหมาะสม อุปกรณ์ป้องกันมือสวมใส่เพ่ือลดการบาดเจ็บของ
อวัยวะส่วนนิว้ มือ และแขน อันเนื่องมาจากการทางาน มีหลายชนิด ได้แก่
(1) ถุงมือหนัง (Leather gloves) ใช้สาหรับป้องกันอันตรายจากประกายไฟ
และความรอ้ นทไ่ี มส่ งู นัก เหมาะสาหรับงานหนกั เชน่ การยกของหนกั ที่มีผิวขรุขระ
(2) ถุงมือยาง (Rubber gloves) ใช้สาหรับงานท่ีเกี่ยวข้องกับไฟฟ้า เพราะมี
คุณสมบัติเป็นฉนวนไฟฟ้า ควรมีการตรวจสอบคุณสมบัติดังกล่าวอยู่ด้วย ถุงมือป้องกันไฟฟ้า ทาจากยาง ต้อง
ได้มาตรฐานรบั รองคุณภาพ และทดสอบการร่ัว ถุงมือประเภทนี้แบ่งเป็น 5 ประเภท ตามความสามารถในการ
ต้านไฟฟา้ โดยใชร้ ่วมกับถุงมอื หนงั เพื่อปอ้ งกนั ถุงมอื ยางชารดุ เสียหาย
ประเภทของถุงมอื ยางสาหรบั งานไฟฟ้า
ประเภท ไฟฟ้ากระแสสลบั ทีท่ ดสอบ ไฟฟา้ ตรงที่ทดสอบ แรงดันไฟฟ้าสงู สดุ ทีใ่ หใ้ ชง้ านได้
(Voltage rms) (Voltage avg) (Voltage rms)
1 5,000 20,000 1,000
2 10,000 40,000 7,500
3 20,000 50,000 17,000
4 30,000 60,000 26,500
5 40,000 70,000 36,000
(3) ถุงมือหนังโคฟอก (Chrome-tanned cowhide leather gloves) ใช้
สาหรบั ปอ้ งกนั ประกายไฟ และความร้อนสูง ๆ ได้
(4) ถุงมือผ้าหรือฝ้าย (Fabric or cotton gloves) ใช้สาหรับป้องกันความ
สกปรก ฝุน่ สะเกด็ ไม้ และการเสยี ดสี
(5) ถุงมือเคลอื บน้ายา (Coated fabric gloves) ใช้สาหรับป้องกันอันตรายจาก
สารเคมีในงานตดิ ตัง้ ชุดเข้าปลายสาย และชุดตอ่ สายในงานเคเบลิ ใต้ดนิ
คณะอนุกรรมการ ด้านงานกอ่ สรา้ ง
คมู่ อื พฒั นาทีมปฏิบัตงิ านด้วยความปลอดภยั ดา้ นงานก่อสร้าง 60
6.) อปุ กรณ์ปอ้ งกันเท้า (Foot Protective Devices)
การสวมอุปกรณ์ป้องกันเท้าท่ีเรียกว่า รองเท้านิรภัย (Safety shoes) สามารถป้องกัน
อันตรายที่เกิดข้ึนแก่เท้าได้ เช่น วัตถุหล่นใส่เท้า กระแสไฟฟ้า เป็นต้น ซ่ึงรองเท้าดังกล่าว ได้รับการออกแบบ
ใหเ้ หมาะสมกับลักษณะงานท่ีใช้ และผูส้ วมใส่ อุปกรณ์ป้องกนั เทา้ สวมใสเ่ พ่อื ปอ้ งกันสว่ นของเท้า นิ้วเท้า ไม่ให้
สมั ผัสกบั อนั ตรายจากการปฏิบัตงิ าน มีหลายชนิด ได้แก่
(1) รองเท้านิรภัยชนิดหัวรองเท้าเป็นโลหะ สามารถรับน้าหนักได้ 2,500 ปอนด์
และทนแรงกระแทกของ วัตถุหนกั 50 ปอนด์ ทีต่ กจากท่ีสูง 1 ฟตุ ได้ เหมาะสาหรบั ใชใ้ นงานกอ่ สร้าง
(2) รองเท้าพ้ืนแข็ง (Reinforced shoes) ใช้ในงานกอ่ สร้างเพ่อื ป้องกนั ไม่ให้โลหะหรือ
ตะปูตาเทา้
(3) รองเทา้ ปอ้ งกนั อันตรายจากไฟฟ้า (Electrical hazard shoes) ใช้สวมใส่ใน
งานทีเ่ ก่ยี วขอ้ งกับกระแสไฟฟ้า ทาด้วยวัตถุท่เี ปน็ ฉนวนไฟฟ้า วัสดทุ ่ีใชท้ าจากยางธรรมชาติ หรอื ยางสงั เคราะห์
7.) อปุ กรณ์ป้องกันการตกจากท่สี งู
เข็มขดั นิรภัยหรอื เรยี กวา่ เซฟต้ีเบล (Safety belt) ใช้สาหรับยืดตัวผู้ปฏิบัติงานกับเสา
ไฟฟ้า เพอ่ื ใหส้ ามารถยนื ปฏิบัติงานบนเสาไฟฟา้ ได้อยา่ งปลอดภัย ตวั เข็มขัดและสายกันตก มีรายละเอยี ดดงั นี้
(1) ตัวเขม็ ขัดนิรภยั ( Body belt ) ประกอบดว้ ย
- ห่วงเหลก็ ทเ่ี รียกวา่ “ ดี – รงิ ”( D–ring ) ใช้เก่ยี วตะขอของสายกนั ตก
- แผ่นรัดเอวหรือเรียกว่า สายคาดเอวไว้สาหรับรัดรอบเอวให้แน่นใช้
ปอ้ งกันเอวไม่ให้เจ็บและเพ่อื ให้ทรงตัวได้ดขี ณะปฏบิ ัติงานบนเสา
คณะอนุกรรมการ ด้านงานกอ่ สรา้ ง
คมู่ ือพัฒนาทีมปฏิบตั งิ านด้วยความปลอดภยั ดา้ นงานกอ่ สร้าง 61
(2) สายกันตก (Safety strap) ใช้สาหรับคล้องกับเสาเพื่อให้รองรับน้าหนักของ
ช่างไฟฟ้าในขณะที่ยืนปฏิบัติงานบนเสาปลายของสายกันตกจะมีขอไว้เพ่ือเกี่ยวกับ “ ดี – ริง ” ( D – ring )
สายกนั ตกสามารถปรับระยะให้สัน้ และยาวไดต้ ามตั้งการ
8.) ขาปนี เสา (Concrete Pole Climber) ใชส้ าหรับปนี เสา คอร. ทาด้วยเหลก็ ลวดชนิดมี
ธาตุคาร์บอนสูง (CO.45) ตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กลวดชนิดมีธาตุคาร์บอนสูง มอก.349
ขนาดระบุ แผ่นรองเท้า ทาด้วยเหล็กเส้นแบน ตาม มอก.ลวดเหล็กแบนและสี่เหล่ียมจัตุรัส มอก.55 ขนาด
ความกว้าง 30 มม. และหนา 4 มม. ห่วงผูกรัดเท้า ทาด้วยลวดเหล็กตามมาตรฐาน มอก.ลวดเหล็ก มอก.194
เสน้ ผา่ นศนู ย์กลาง 6 มม. ประกอบโดยใช้วิธีเชื่อม โดยการเช่ือมเดือยขาปีนเสากับแผ่นรองเท้าต้องเชื่อมตลอด
แนวท้งั 2 ขา้ ง ขัดให้เรยี บ ทาสีกันสนิม และทาสบี รอนซ์ทับ ตามแบบเลขที่ SA2-015/27010
คณะอนุกรรมการ ด้านงานก่อสรา้ ง
คูม่ อื พฒั นาทีมปฏิบัตงิ านด้วยความปลอดภัยดา้ นงานกอ่ สรา้ ง 62
3.2 อุปกรณค์ ุม้ ครองความปลอดภยั สนับสนุนการปฏิบัตงิ าน
ในการปฏิบัติงานก่อสร้างระบบไฟฟ้าของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค มีกระบวนการทางานท่ีอาจ
ก่อให้เกิดอุบัติเหตุจากการทางานได้ ดังนั้นเพ่ือให้การปฏิบัติงานก่อสร้างระบบไฟฟ้าเกิดความปลอดภัยท้ังต่อ
ผู้ปฏิบัติงานและประชาชนท่ีอาศัยอยู่ในบริเวณพ้ืนที่ก่อสร้าง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคได้กาหนดมาตรฐานขั้นต่า
ของอปุ กรณ์คุม้ ครองความปลอดภัยสนบั สนนุ การปฏบิ ตั ิงาน ดงั นี้
ลาดับ รายการอุปกรณ์ความปลอดภัยสนบั สนุนการปฏิบตั งิ าน มาตรฐานขัน้ ตา่ ตอ่ 1 ชุดก่อสร้าง
1 เครื่องตรวจสอบแรงดนั ไฟฟ้าแรงสูง 1
2 ไม้ชักฟิวส์และฉนวนครอบสายไฟฟ้า 2
3 เครื่องมือตอ่ สายลงดินแรงสูง 3
4 ปา้ ยห้ามสับสวิตซ์ 2
5 ไฟและสญั ญาณเตอื น 2
6 ป้ายกั้นทางเตอื นอันตรายและอุปกรณเ์ ตือนดา้ นการจราจร 2
7 กรวยยาง 30
8 เสอ้ื สะทอ้ นแสง
ตามจานวนผูป้ ฏิบัติงาน
3.2.1 เคร่อื งตรวจสอบแรงดัน (Voltage Detector)
ในการปฏิบัติงานก่อสร้าง หรือปรับปรุงระบบไฟฟ้าในบริเวณท่ีอยู่ในแนว หรืออยู่ใกล้ระบบ
ไฟฟ้าเดิม ต้องทาการตรวจเช็คแรงดันในสายตัวนาในบริเวณดังกล่าวก่อนข้ึนปฏิบัติงาน ถึงแม้จะเป็นการดับ
กระแสไฟฟ้าเพื่อปฏิบัติงานก็ต้องทาการตรวจเช็คแรงดันก่อนปฏิบัติงานทุกคร้ังเพ่ือความปลอดภัยการไฟฟ้าส่วน
ภูมิภาคมีมาตรฐานเครื่องตรวจวัดแรงดัน ขนาดดงั น้ี
1.) เคร่ืองตรวจวัดแรงดันชนิดใช้ภายนอกสาหรับแรงดัน 22 kV. และ 33 kV. ใช้สาหรับ
สายตัวนาชนิด สายทองแดงหุ้มฉนวนเคเบิลอากาศ และสายทองแดงหุ้มฉนวนบางส่วน สามารถปรับย่าน
แรงดนั ท่ตี อ้ งการวัดได้ 4 แรงดัน ดังน้ี 1 kV., 15 kV., 25 kV. และ 35 kV.
2.) เคร่ืองตรวจวัดแรงดันชนิดใช้ภายนอกสาหรับแรงดัน 69 kV. และ 115 kV. ใช้สาหรับ
สายตัวนาชนิด สายเปลือย สามารถปรับยา่ นแรงดนั ทต่ี อ้ งการวัดได้ 3 แรงดัน คอื 69 kV., 115 kV., 230 kV.
คณะอนุกรรมการ ด้านงานกอ่ สรา้ ง
คู่มือพัฒนาทีมปฏิบัตงิ านด้วยความปลอดภัยด้านงานกอ่ สร้าง 63
วิธกี ารใชง้ านเคร่ืองตรวจวดั แรงดัน
- เลอื กเครื่องวัดแรงดันท่มี ยี ่านการวัดทเ่ี หมาะสมกบั ขนาดแรงดนั ท่ีต้องการวัด
- ปรับย่านแรงดันให้ตรงกบั แรงดันทต่ี ้องการตรวจสอบแรงดัน
- ต่อเคร่ืองวัดเข้ากบั ก้านฉนวนไฟฟ้าแรงสูง ยน่ื ปลายดา้ นทเ่ี ป็นเคร่อื งวดั เข้าหาตวั นา
- สาหรบั แรงดัน 22 kV. ,33 kV. ผ้ปู ฏิบตั ิงานต้องยืนห่างจากตัวนาไม่น้อยกวา่ 1-2 ม.
- สาหรบั แรงดนั 69 kV. ,115 kV. ผปู้ ฏบิ ตั งิ านต้องยืนห่างจากตัวนาไม่น้อยกว่า 3-4 ม.
- หากในตวั นาทต่ี รวจวดั มีแรงดัน เคร่ืองจะส่งเสยี ง และมีไฟสอ่ งสว่างเตือน
- หากไมม่ สี ัญญาณเตือนให้ผู้ปฏิบัตงิ าน ดาเนินการต่อลงดนิ ในขนั้ ตอนต่อไป
3.2.2 ไมช้ ักฟวิ ส์ (Spliced Disconnect Stick) และฉนวนครอบสายไฟฟา้ (Conductor Cover)
1.) ไม้ชักฟิวส์ใช้สาหรับ ปลด-สับ อุปกรณ์ไฟฟ้าตัดตอนต่างๆ ตัวไม้ทาจากฉนวนไฟฟ้า
ภายในบรรจุด้ว ยพลาสติกโ ฟมเพื่อป้องกันความชื้นและเพิ่มความแข็งแรง การไฟฟ้าส่ว นภูมิภาคกาหนด
มาตรฐานสาหรับไม้ชกั ฟิวส์ ดงั น้ี
(1) มคี ณุ สมบัตทิ างไฟฟา้ ตามมาตรฐาน ASTM F711
(2) การแสร่ัวไหล (Leakage current) ไม่เกิน 6 uA สาหรับไม้ชักฟิวส์ท่ีมีเส้น
ผา่ ศนู ย์ กลาง 1.25 นิว้ และไมเ่ กิน 8 uA สาหรบั ไมช้ ักฟวิ ส์ที่มีเสน้ ผ่าศนู ย์กลาง 1.5 นิ้ว
(3) ทนแรงดันไฟฟ้า (withstand voltage) ไม่น้อยกว่า 100 kV/foot นาน
5 นาที
(4) ไม้ชกั ฟิวส์ยาว 24 ฟตุ เส้นผ่าศนู ยก์ ลาง 1.25 – 1.5 น้ิว
(5) เมื่อยดึ ด้ามไม้ชักฟวิ ส์ในแนวระนาบปลายไมช้ กั ฟวิ สโ์ ค้งงอไม่เกนิ 1,400 มม.
(6) Disconnect Head ทาจากทองแดงทนแรงกระทาไม่น้อยกว่า 1,400
kg/cm2 (20,000psi)
2.) ฉนวนครอบสายไฟฟ้า (Conductor Cover) เพื่อเป็นการป้องกันอันตรายจากการ
ปฏบิ ัติงานใกล้แนวสายไฟฟา้ หรืออุปกรณไ์ ฟฟ้าแรงสงู
คณะอนุกรรมการ ดา้ นงานกอ่ สรา้ ง
คู่มือพัฒนาทมี ปฏิบัติงานดว้ ยความปลอดภยั ดา้ นงานก่อสร้าง 64
3.2.3 เครื่องมือต่อสายลงดนิ แรงสูง
ใช้เพื่อป้องกันอันตรายจากกระแสไฟฟ้าย้อนจากเคร่ืองกาเนิดไฟฟ้าสารอง หรือเครื่อง
กาเนิดไฟฟ้าพลังงานทดแทนของผู้ใช้ไฟฟ้าและป้องการกระแสไฟฟ้าเหน่ียวนาจากวงจรอ่ืนๆ การไฟฟ้าส่วน
ภูมิภาคกาหนดมาตรฐานสาหรบั เครื่องมือตอ่ สายลงดนิ แรงสงู ดงั น้ี
1.) หลักดินชนิดตัวทีปลายหลักดินเป็นแบบสกรูทาจากเหล็กชุบทองแดงเส้นผ่าศูนย์กลาง
16 มม.ยาวไมน่ อ้ ยกว่า 1 ม.
2.) คลัสเตอร์บาร์ (Cluster bar) เป็นแบบ chain type เพ่ือเป็นจุดเชื่อมระหว่างสายจาก
หลกั ดินไปจุดชอตกราวดท์ ัง้ 3 เฟส
3.) สายกราวด์ เปน็ ชนิดสายทองแดงออ่ นขนาดไม่น้อยกว่า 35 ต.มม. ปลายสายทั้ง 2 ข้าง
ยดึ ติดกับ Grounding clamp จานวน 4 เสน้ ยาว 15 ม.,5 ม., 2.5 ม. และ 2 ม.
4.) clamp stick สาหรับจับขันยึด Grounding clamp เข้ากับชุดเชื่อมต่างๆ มีคุณสมบัติ
ทางไฟฟา้ ตามมาตรฐาน ASTM F711
-
คณะอนุกรรมการ ดา้ นงานก่อสรา้ ง
คู่มอื พฒั นาทีมปฏิบัตงิ านด้วยความปลอดภยั ดา้ นงานกอ่ สร้าง 65
3.2.4 ป้ายหา้ มสบั สวิตช์
ในกรณีที่ต้องดับกระแสไฟฟ้าเพ่ือปฏิบัติงานจาเป็นต้องมีการปลดอุปกรณ์ไฟฟ้า เช่น
Drop out fuse หรือ Disconnecting Switch เพ่ือความปลอดภัย ป้ายห้ามสับสวิตช์ต้องติดต้ังจุดที่ปลด
อุปกรณไ์ ฟฟา้ ดงั กล่าว
3.2.5 ไฟสญั ญาณเตอื นแบบต่างๆ
1.) ไฟกระพรบิ (Flashers) สเี หลอื งแบบกระทัดรัดใช้แบตเตอรี่แห้ง หรือแบตเตอร่ีรถยนต์
มีอัตราการกระพริบ 50 ถึง 60 ครั้งต่อนาที การจุดสว่างประมาณ 1/3 ถึง 1/2 ของเวลาท่ีใช้ความสว่างของ
หลอดไฟ สามารถมองเหน็ ได้ในระยะอยา่ งนอ้ ย 500 เมตร ในทัศนวิสัยปกติ ไฟกระพริบใช้สาหรับติดตั้ง ณ จุด
ที่กาลังดาเนินการก่อสร้าง โดยเฉพาะอย่างย่ิงบนถนนท่ีมีการจราจรมากและยวดยานใช้ความเร็วสูง บริเวณ
ตาแหน่งทีผ่ ขู้ บั ข่ไี ม่คาดหมายว่าจะมอี ุปสรรค เชน่ การกอ่ สรา้ งหรือปรังปรุงระบบไฟฟ้า การใช้ไฟกระพริบควร
ใช้ตลอดเวลาท่ปี ฏบิ ตั งิ าน
การติดตั้งไฟกระพริบอาจติดตั้งบนกรวยยาง (Cones), บนสามขา (Tripod) หรือ
อาจจะติดต้ังบนรถงานก็ได้ เม่ือติดต้ังแล้วจะต้องสูงจากระดับผิวจราจรไม่น้อยกว่า 1.2 เมตร ไม่ควรติดต้ังไฟ
กระพริบเปน็ แถวยาวๆเพราะจะทาให้คนขบั รถเกิดความคลุมเครอื หรือสบั สนทาให้เกิดอุบตั เิ หตุไดง้ า่ ย
คณะอนุกรรมการ ดา้ นงานกอ่ สรา้ ง
คูม่ ือพฒั นาทีมปฏบิ ัติงานด้วยความปลอดภัยด้านงานกอ่ สร้าง 66
2.) ไฟส่องสว่างแรงสงู (Floodlight) ซง่ึ การกอ่ สร้างและปรบั ปรุงซ่อมแซมระบบไฟฟ้าที่ทา
ในเวลากลางคืน จาเป็นต้องใช้แสงสว่างแรงสูง เพื่อให้คนงานปฏิบัติงานได้ และยังต้องใช้แสงสว่างนี้ส่องไปยัง
จุดทปี่ ฏิบตั งิ าน หรือสง่ิ กดี ขวางที่เป็นอันตรายดว้ ย เชน่ บริเวณที่จะต้องปฏิบัติงาน กับ บริเวณที่รถงานและรถ
บนถนนแล่นผา่ น
การติดตั้งไฟส่องสว่างแรงสูงนี้ ข้อที่ควรระมัดระวังคือจะต้องไม่ให้แสงสว่างส่อง
ผู้ปฏิบัติงานหรือผู้ขับขี่ยวดยานจนเกิดตาพร่ามัว (Glare) ได้ ผู้ควบคุมงานควรตรวจสอบในเร่ืองนี้เองโดย
ทดลองขับรถผ่านไปมา
3.) สัญญาณธง (Flagging) ใช้สาหรับผู้ให้สัญญาณสองคนอยู่คนล่ะด้านที่จานวนช่อง
จราจรจะลดเหลือช่องเดยี ว โดยผทู้ ีใ่ หส้ ญั ญาณทง้ั สองจะต้องมองเห็นกันและกัน เพ่ือที่จะบอกหรือให้สัญญาณ
อีกคนหน่ึง ให้สัญญาณห้ามรถโดยการยกธงแดง หรือให้รถผ่านไปได้โดยการยกธงเขียว ธงท่ีใช้ควรมีขนาด
ประมาณ 50x50 ซม. สีแดงหนึ่งอัน สีเขียวหน่ึงอัน แต่ละอันมีด้ามถือยาวประมาณ 1 เมตร ด้ามธงควรถ่วง
น้าหนักเล็กน้อยเพอื่ ให้ธงเหยียดตรงในขณะถืออยใู่ นแนวราบ ผทู้ ่ใี หส้ ญั ญาณจะตอ้ งมีการพิจารณาให้เหมาะสม
เพราะจะต้องรับผิดชอบต่อความปลอดภัยของการจราจร กล่าวคือจะต้องเป็นผู้มีไหวพริบดี ร่างกายแข็งแรง
สุภาพแต่หนักแน่นให้สัญญาณธงได้อย่างไม่เคอะเขิน ตาแหน่งท่ีคนให้สัญญาณธงยืนอยู่ ควรห่างจากจุดท่ี
ทางานประมาณ 50 ถึง 100 เมตร แต่ถ้าความเร็วยวดยานต่าอาจจะลดระยะได้อีก ผู้ให้สัญญาณธงอาจยืนอยู่
หลังแผงกั้น บนไหล่ทาง หรือฝั่งตรงข้ามก็ได้ แต่จะต้องอยู่ในตาแหน่งที่ผู้ขับรถเห็นได้ชัด และไม่อยู่ขวางแนว
จราจร ผู้ให้สญั ญาณจะตอ้ งยนื เดย่ี ว เพอื่ ให้เปน็ จดุ สนใจของคนขับรถ โดยไมม่ ีกลุ่มคนงานอ่นื ๆ อยู่ใกล้เคียง
คณะอนุกรรมการ ดา้ นงานก่อสรา้ ง
คูม่ ือพัฒนาทีมปฏบิ ตั งิ านด้วยความปลอดภยั ดา้ นงานกอ่ สร้าง 67
ในกรณีท่ีไม่สามารถใช้การให้สัญญาณธงได้ ซึ่งอาจเป็นเพราะทางท่ีจัดให้รถเดินทาง
เดียวสลับกันมีระยะทางยาวจนผู้ให้สัญญาณมองไม่เห็นกันก็อาจใช้ธงแดง (หรือของอ่ืน) มอบให้คนขับรถคัน
สุดทา้ ย โดยแนะนาวา่ เมื่อผา่ นไปถึงอีกด้านให้มอบธงแก่เจ้าหน้าท่ี เมื่อเจ้าหน้าท่ีได้รับธงแดงนั้นก็ทราบว่าทาง
สะดวกแล้ว จงึ ใหส้ ัญญาณให้รถในทางตรงข้ามผ่านได้ และมอบธงน้ันให้แก่คนขับรถคันสุดท้ายกลับมา โดยวิธี
ดังกล่าวเรียกว่า วิธีการให้สัญญาณทางสะดวก อาจเปล่ียนแปลงไปได้ เช่น ให้รถเจ้าหน้าท่ีแล่นปิดท้าย เมื่อ
ผ่านทางชว่ งที่ปฏิบตั ิงานไปแลว้ ก็ใหแ้ ล่นปิดท้ายกลับมา วธิ นี ีส้ น้ิ เปลืองกวา่ แตท่ าให้ปัญหาธงหายหมดไป
3.2.6 ปา้ ยก้นั ทางเตอื นอนั ตรายและอปุ กรณเ์ ตือนดา้ นการจราจร (Traffic Signs)
1.) ป้ายกั้นทางเตือนอันตราย ลักษณะของป้ายจราจรที่ใช้ในการปฏิบัติงานก่อสร้างให้
เป็นไปตามแบบมาตรฐานป้ายจราจรท่ัวไป แต่เพื่อที่จะเน้นให้ผู้ขับขี่เพิ่มความระมัดระวังให้มากข้ึน จึง
กาหนดให้ใชส้ ีปา้ ยเตอื นและปา้ ยแนะนาเปน็ สีสม้ ตามมาตรฐาน มอก. แผ่นวสั ดุสะท้อนแสงที่ใช้ในป้ายจะต้องมี
ค่าสะท้อนแสงไม่ต่ากว่า ค่าสะท้อนแสง ระดับ 1 ตามมาตรฐาน มอก. 606-2529 แบบของตัวอักษร ตัวเลข
และการจัดระยะห่างระหว่างตัวอักษรให้ใช้ตามมาตรฐาน แต่อย่างไรก็ตามป้ายบางแบบมีจานวนตัวอักษรไม่
เท่ากัน อาจบรรจุข้อความลงในป้ายขนาดตามต้องการไม่ได้ ก็ให้พิจารณาลดขนาดตัวอักษรลงตามความ
เหมาะสม
การติดตั้งป้ายจราจรในงานก่อสร้าง จะต้องติดตั้งในตาแหน่งที่คนขับข่ีรถสามารถ
มองเห็นได้ง่ายและชัดเจน โดยทั่วไปให้ติดตั้งทางด้านซ้ายมือของทิศทางการจราจร แต่ถ้ามีความจาเป็นต้อง
เนน้ เป็นพิเศษ หรือเปน็ ทางทมี่ หี ลายช่องจราจร ก็ให้ติดตั้งป้ายทางขวามือด้วย ป้ายเตือนในงานก่อสร้างระบบ
ไฟฟ้า เป็นป้ายสี่เหลี่ยมผืนผ้าป้ายสีส้ม ตัวอักษรสีดามีข้อความแสดงถึงการทางาน เช่น “งานซ่อมสายไฟฟ้า”
เป็นตน้
คณะอนุกรรมการ ด้านงานก่อสรา้ ง
คมู่ ือพฒั นาทมี ปฏิบตั งิ านด้วยความปลอดภัยดา้ นงานก่อสร้าง 68
2.) แผงกั้นจราจร (Barricades) ใช้แสดงการปิดกั้นการจราจรบางส่วนของทางหรือขวาง
ตลอดทาง นอกจากน้ีแผงกั้นยังทาหน้าท่ีเป็นเคร่ืองหมายเตือนหรือเคร่ืองจัดช่องทางจราจร (Channelizing
Device) ประกอบด้วยแผ่นแถบสี (Barricade Rail) เด่ียวหรือคู่ติดต้ังบนขาต้ังสามารถเก็บหรือถอดและ
ประกอบไดง้ ่าย เพอ่ื ใหก้ ารเคล่ือนย้ายสะดวก ขนาดความสงู ประมาณ 1 เมตร ขาตง้ั ทาด้วยไม้ หรือวัสดุอื่น แต่
จะตอ้ งเบาพอท่ีจะให้เคลือ่ นยา้ ยไดส้ ะดวก และหนักพอท่ีจะต้านลมกรรโชกเน่ืองจากยานพาหนะท่ีแล่นผ่านใน
ระยะใกล้ และท่ีสาคัญก็คือสามารถพับเก็บหรือถอดประกอบได้ง่าย แผงกั้นชนิดน้ี ใช้สาหรับงานชั่วคราวที่ใช้
ระยะเวลาการทางานส้ันๆ หรือบริเวณที่ไม่อันตรายมากนัก เช่น งานก่อสร้างในเมือง ซ่ึงมีการจราจรใช้
ความเรว็ ต่า
คณะอนุกรรมการ ด้านงานก่อสรา้ ง
คมู่ ือพัฒนาทมี ปฏิบตั งิ านดว้ ยความปลอดภยั ดา้ นงานก่อสรา้ ง 69
3.2.7 กรวยยาง (Cones) หรือพลาสติกอ่อนสีส้มเรืองแสง ขนาดสูงไม่น้อยกว่า 70 ซม. ติดแผ่น
สะท้อนแสงสีขาว 2 แถบ มีค่าสะท้อนแสงไม่ต่ากว่าระดับ 1 ตามมาตรฐาน มอก. 606-2529 แถบแรกกว้าง
15 ซม. ติดท่ีระยะ 10 ซม. วัดจากด้านบนลงมา แถบที่สองกว้าง 10 ซม. ติดท่ีระยะห่างจากแถบแรกลงมา
15 ซม. มีฐานแผ่กว้างมีน้าหนักเพียงพอเพ่ือให้ต้ังอยู่ได้มั่นคงไม่ล้ม เมื่อโดนแรงลมขณะยวดยานวิ่งผ่าน
สามารถใช้เป็นเคร่ืองกากับแนวช่องจราจรเป็นอย่างดีในการจัดช่องจราจรช่ัวคราวเพราะมีน้าหนักเบา
เคลอื่ นย้ายสะดวก ไมก่ ่อให้เกดิ ความเสยี หายแก่รถยนต์ เม่ือมีรถมาชนหรอื เฉ่ียวถกู เขา้ กับกรวย
การติดตงั้ ให้ตดิ ต้ังกรวยเป็นแนวตลอด ตดิ ต้งั ทกุ ๆ ระยะหา่ งไม่เกิน 30 เมตร ถ้าเป็นทางใน
เมืองให้ติดตั้งระยะห่างกัน 5-10 เมตร สิ่งที่จะต้องระวังในการใช้กรวยคือ กรวยเคล่ือนท่ีหรือล้มได้ง่าย
เน่ืองจากมีรถแล่นผ่านใกล้ๆ ด้วยความเร็วและเฉี่ยวชน จึงต้องคอยจัดต้ังกรวยให้อยู่ในตาแหน่งท่ีต้องการอยู่
ตลอดเวลา
3.2.8 เสื้อสะท้อนแสง (Safety Vest) งานก่อสร้างระบบไฟฟ้าที่มีผู้ปฏิบัติงานอยู่บนถนน
จาเปน็ ต้องสวมใส่เสอื้ สะท้อนแสง ซ่งึ จะสามารถสะทอ้ นให้ผู้ขับขรี่ ถยนต์สามารถมองเห็นผู้ปฏิบัติงานได้เด่นชัด
ทงั้ ในเวลากลางวนั และกลางคืน สรา้ งความปลอดภยั ใหก้ บั ผปู้ ฏิบัติงาน ชว่ ยลดการเกดิ อบุ ัติเหตุ
คณะอนกุ รรมการ ดา้ นงานก่อสรา้ ง
คู่มือพฒั นาทีมปฏิบัตงิ านดว้ ยความปลอดภยั ด้านงานก่อสร้าง 70
บทท่ี 4
กฎหมายความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางาน ท่คี วรรู้
4.1 กฎหมายทีเ่ กี่ยวข้อง ทีค่ วรรู้
การปฏิบัติงานท่ีถูกต้องโดยไม่ให้กระทบต่อสิทธิและหน้าท่ีของผู้ปฏิบัติงานนั้น การรับรู้ กฎหมาย
ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางาน ถือเป็นส่ิงท่ีจาเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้น เพื่อให้ช่าง
ผู้ควบคุมงานไม่ปฏิบัติขัดแย้ง หรือฝุาฝืน ต่อกฎหมายหรือกฎระเบียบ จึงมีความจาเป็นต้องรู้กฎหมายท่ีเก่ียวข้อง
ดา้ นงานกอ่ สรา้ งในเบอื้ งตน้ ดังนี้
พระราชบญั ญตั ิความปลอดภยั อาชวี อนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางาน พศ.ศ 2554
1.) นายจ้างมหี น้าที่จดั และดูแลให้ลกู จา้ งสวมใส่อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคลที่ได้
มาตรฐาน ถ้าลูกจ้างไม่สวมใสอ่ ปุ กรณด์ งั กลา่ ว ใหน้ ายจ้างสงั่ ใหห้ ยุดการทางานจนกว่าลูกจ้างจะสวมใส่อปุ กรณ์นัน้
2.) กรณีท่ีสถานประกอบการใดเกดิ อุบัตเิ หตุรา้ ยแรง หรอื ลูกจา้ งประสบอันตรายจากการทางาน
ให้นายจา้ งดาเนินการ ดังตอ่ ไปนี้
(1) กรณีลูกจ้างเสียชีวิต ให้นายจ้างแจ้งต่อพนักงานตรวจความปลอดภัยในทันทีที่
ทราบโดยโทรศัพท์ หรือวธิ ีอ่ืนใดทม่ี ีรายละเอียดพอสมควร และให้แจ้งรายละเอียดและสาเหตุเป็นหนังสือภายในเจ็ด
วันนับแตว่ นั ที่ลกู จา้ งเสียชีวติ
(2) กรณีที่มีลูกจ้างประสบอันตราย หรือเจ็บปุวยตามกฎหมายว่าด้วยเงินทดแทน
เม่ือนายจา้ งแจ้งการประสบอันตรายหรือเจ็บปุวยต่อพนักงานประกันสังคมตามกฎหมายดังกล่าวแล้ว ให้นายจ้างส่ง
สาเนาหนงั สือแจง้ ต่อพนักงานตรวจความปลอดภัยภายในเจ็ดวนั ดว้ ย
3.) นายจ้างท่ไี มป่ ฏบิ ตั ติ าม ตอ้ งระวางโทษท้งั จาทั้งปรับ
กฎกระทรวงกาหนดมาตรฐานในการบริหารและการจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย
และสภาพแวดลอ้ มในการทางานเกยี่ วกบั งานก่อสรา้ ง พศ.ศ 2551
1.) ใหน้ ายจ้างท่ีมีการดาเนินเกย่ี วกบั งานกอ่ สร้างตอ้ งปฏิบัติ ดงั น้ี
(1) ตอ้ งจัดทาแผนงานดา้ นความปลอดภัยในการทางานสาหรับประเภทงานก่อสร้าง
ตามที่กาหนด
(2) ต้องจัดให้มผี ้คู วบคมุ งานทาหน้าทตี่ รวจความปลอดภัยในการทางาน
(3) ตอ้ งจัดใหม้ ีการฝึกอบรมลกู จ้างท่ีทางานเป็นระยะ ๆ
กฎกระทรวงกาหนดมาตรฐานในการบริหารจัดการ และดาเนินการด้านความปลอดภัย
อาชวี อนามยั และสภาพแวดลอ้ มในการทางานเกยี่ วกบั ไฟฟ้า พศ.ศ 2558
1.) ให้นายจ้างจัดให้มีข้อบังคับเก่ียวกับการปฏิบัติงานด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และ
สภาพแวดลอ้ มในการทางานเกีย่ วกับไฟฟาู เพือ่ ให้ลกู จ้างปฏิบัตติ าม
2.) ให้นายจ้างจัดให้มีการฝึกอบรมให้กับลูกจ้างซึ่งปฏิบัติงานเกี่ยวกับไฟฟูาให้มีความรู้ความ
เขา้ ใจ และทกั ษะท่จี าเป็นในการทางานอย่างปลอดภัยตามหน้าทีท่ ่ีไดร้ ับมอบหมาย
คณะอนกุ รรมการชุดงานกอ่ สรา้ ง
คมู่ ือพัฒนาทมี ปฏบิ ัตงิ านดว้ ยความปลอดภยั ดา้ นงานกอ่ สร้าง 71
3.) ให้นายจ้างจัดให้มีแผ่นปูายที่มีตัวอักษรหรือสัญลักษณ์เตือนให้ระวังอันตรายจากไฟฟูาที่
มองเห็นได้ชดั เจนตดิ ตง้ั ไว้โดยเปดิ เผยในบรเิ วณทีอ่ าจเกดิ อนั ตรายจากกระแสไฟฟาู
4.) หา้ มนายจา้ งให้ลูกจา้ งซ่งึ ปฏบิ ัติงานเก่ยี วกบั ไฟฟูาเขา้ ใกลห้ รอื นาสง่ิ ท่ีเป็นตวั นาไฟฟูาทไี่ ม่มที ่ี
ถือหุ้มด้วยฉนวนไฟฟูาที่เหมาะสมกับแรงดันไฟฟูาเข้าใกล้ส่ิงที่มีกระแสไฟฟูาในระยะท่ีน้อยกว่าระยะห่างตาม
มาตรฐานของ วสท.
5.) ห้ามนายจ้างให้ลูกจ้างซ่ึงปฏิบัติงานอื่นหรืออนุญาตให้ผู้ซ่ึงไม่เก่ียวข้องเข้าใกล้ส่ิงท่ีมี
กระแสไฟฟาู ในระยะทน่ี ้อยกวา่ ระยะห่างตามมาตรฐานของ วสท.
6.) ใหน้ ายจา้ งดแู ลมใิ ห้ลูกจ้างสวมใสเ่ ครือ่ งน่งุ ห่มทเ่ี ปยี กหรอื เปน็ ส่ือไฟฟูาปฏบิ ัติงานเก่ียวกับส่ิง
ทีม่ ีกระแสไฟฟาู ท่มี ีแรงดนั ไฟฟูาเกนิ กว่า 50 โวลต์ โดยไม่มีฉนวนไฟฟูาปิดกั้น เว้นแต่นายจ้างจะได้จัดให้ลูกจ้างสวม
ใส่อปุ กรณ์ค้มุ ครองความปลอดภัยส่วนบุคคลหรือใช้อุปกรณ์ปูองกันอันตรายท่ีเหมาะสมกับแรงดันไฟฟูาสาหรับการ
ปฏิบตั งิ านของลูกจ้าง
7.) ให้นายจ้างจัดให้มีแผ่นภาพพร้อมคาบรรยายติดไว้ในบริเวณท่ีทางานท่ีลูกจ้างสามารถ
มองเหน็ ได้ชดั เจนในเรือ่ ง ดงั ตอ่ ไปนี้
(1) วิธปี ฏิบตั เิ มอื่ ประสบอันตรายจากไฟฟาู
(2) การปฐมพยาบาลและการช่วยชีวิตข้ันพื้นฐานโดยการผายปอดด้วยวิธีปากเปุา
อากาศเข้าทางปากหรือจมกู ของผู้ประสบอันตราย และวิธกี ารนวดหวั ใจจากภายนอก
หมวด บรภิ ณั ฑ์ไฟฟ้าและเครือ่ งกาเนดิ ไฟฟ้า
8.) ให้นายจ้างจัดให้มีการใช้กุญแจปูองกันการสับสวิตช์เช่ือมต่อวงจร หรือจัดให้มีระบบระวัง
ปูองกันมิให้เกิดการสับสวิตช์เชื่อมต่อวงจรตลอดเวลาท่ีลูกจ้างซึ่งปฏิบัติงานเกี่ยวกับไฟฟูาทางานติดตั้ง ตรวจสอบ
ซอ่ มแซม หรอื ซ่อมบารุงระบบไฟฟาู หรอื บรภิ ัณฑไ์ ฟฟูา และให้ติดปาู ยแสดงเครอื่ งหมายหรอื สญั ลกั ษณห์ ้ามสบั สวิตช์
เช่อื มตอ่ วงจรไวด้ ้วย
หมวด อุปกรณค์ ุ้มครองความปลอดภยั สว่ นบุคคล และอปุ กรณ์ปอ้ งกนั อันตรายจากไฟฟ้า
9.) ให้นายจ้างจัดอุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคลท่ีเหมาะสมกับลักษณะงาน เช่น
ถุงมอื หนัง ถุงมือยาง แขนเส้ือยาง หมวกนิรภัย รองเท้าพื้นยางหุ้มข้อชนิดมีส้นหรือรองเท้าพื้นยางหุ้มส้น ให้ลูกจ้าง
ซงึ่ ปฏิบัตงิ านเกี่ยวกับไฟฟาู สวมใส่ตลอดเวลาที่ปฏบิ ตั ิงานและจัดให้มีอุปกรณ์ปูองกันอันตรายจากไฟฟูา ที่เหมาะสม
กับลักษณะงาน เช่น แผ่นฉนวนไฟฟูา ฉนวนหุ้มสาย ฉนวนครอบลูกถ้วย กรงฟาราเดย์ (Faraday Cage) ชุดตัวนา
ไฟฟูา (Conductive Suit)
ในกรณีท่ีลูกจ้างต้องปฏิบัติงานในที่สูงกว่าพ้ืนตั้งแต่สี่เมตรขึ้นไป ให้นายจ้างจัดให้มีการใช้
สายหรือเชือกช่วยชีวติ และเขม็ ขดั นิรภยั พร้อมอปุ กรณ์ หรืออุปกรณท์ ปี่ ูองกันการตกจากที่สูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
และหมวกนิรภัยที่เหมาะสมตามมาตรฐานที่กาหนดสาหรับให้ลูกจ้างสวมใส่ตลอดเวลาท่ีปฏิบัติงาน เว้นแต่อุปกรณ์
ดังกล่าวจะทาให้ลูกจ้างเส่ียงต่ออันตรายมากขึ้น ให้นายจ้างจัดให้มีอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยอื่นที่สามารถใช้
ค้มุ ครองความปลอดภัยได้อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพแทน
คณะอนกุ รรมการชุดงานกอ่ สร้าง
ค่มู อื พัฒนาทมี ปฏบิ ัติงานดว้ ยความปลอดภัยด้านงานกอ่ สร้าง 72
10.) อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคลและอุปกรณ์ปูองกันอันตรายจากไฟฟูาต้อง
เป็นไปตามมาตรฐานทก่ี าหนดไว้และต้องมีคุณสมบัติ ดงั ตอ่ ไปน้ี
(1) อปุ กรณค์ ุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคลและอุปกรณ์ท่ีใช้ปูองกันกระแสไฟฟูา
ตอ้ งเหมาะสมกับแรงดันไฟฟูาสงู สดุ ในบริเวณที่ปฏบิ ัติงานหรอื บริเวณใกล้เคียงทอี่ าจกอ่ ให้เกดิ อนั ตรายได้
(2) ถุงมือยางปอู งกนั ไฟฟาู ตอ้ งมลี ักษณะสวมกับน้วิ มอื ได้ทกุ น้ิว
(3) ถุงมือหนังท่ีใช้สวมทับถุงมือยาง ต้องมีความยาวหุ้มถึงข้อมือและมีความคงทน
ตอ่ การฉกี ขาดไดด้ ี การใชถ้ งุ มอื ยางตอ้ งใชร้ ว่ มกับถุงมือหนังทุกครั้งที่ปฏิบัติงาน
กฎกระทรวงกาหนดมาตรฐานในการบริหารและจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และ
สภาพแวดลอ้ ม ในการทางานในทีอ่ บั อากา. พศ.ศ 2547
1.) ใหน้ ายจ้างดาเนินการเพ่อื ใหเ้ กดิ ความปลอดภยั ในการทางานในท่อี บั อากาศ ดงั นี้
(1) จัดให้มีอุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคล อุปกรณ์ช่วยเหลือและ
ช่วยชีวิตที่เหมาะสมกับลักษณะงานตามมาตรฐานท่ีอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานประกาศกาหนด และ
ควบคมุ ดูแลให้ลูกจา้ งสวมใสห่ รือใช้อุปกรณค์ มุ้ ครองความปลอดภยั ดังกลา่ ว
(2) จดั อุปกรณ์ไฟฟูาทีเ่ หมาะสมกบั การใชง้ านในทอ่ี บั อากาศ
2.) การทางานในที่อับอากาศแต่ละครั้งจะต้องมลี ูกจ้างปฏิบัติงาน ดงั น้ี
(1) ผู้ควบคุมงาน ซึ่งไดร้ ับการฝึกอบรมความปลอดภัยในการทางานในท่ีอับอากาศ
(2) ผชู้ ว่ ยเหลือ หน่ึงหรือหลายคนซ่ึงได้รับการฝึกอบรมความปลอดภัยในการทางาน
ในที่อับอากาศ มีหน้าที่เฝูาดูแลบริเวณทางเข้าออกที่อับอากาศสามารถติดต่อส่ือสารกับลูกจ้างท่ีทางานในที่อับ
อากาศได้ตลอดเวลา
(3) ลกู จ้างทีท่ างานในทอี่ บั อากาศ มหี น้าท่ที างานในที่อับอากาศตามที่ได้รับอนุญาต
จากนายจ้าง ลูกจา้ งคนเดียวกนั จะปฏบิ ตั ิหนา้ ทห่ี ลายตาแหน่งในคราวเดียวกนั ไม่ได้
กฎกระทรวงกาหนดมาตรฐานในการบริหารและการจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย
และสภาพแวดล้อมในการทางานเก่ียวกบั เคร่อื งจักร ป้ันจน่ั และหม้อนา้ พศ.ศ 2552
1.) ในการใช้ การซ่อมบารุง และการตรวจสอบป้ันจั่นหรืออุปกรณ์อ่ืนท่ีนามาใช้กับป้ันจ่ัน
นายจา้ งต้องปฏิบัติตามรายละเอียดคุณลักษณะหรือคู่มือการใช้งาน ที่ผู้ผลิตกาหนดไว้ หากไม่มีให้ปฏิบัติตามคู่มือที่
วิศวกรได้กาหนดขึน้ เปน็ หนงั สือ
2.) นายจ้างตอ้ งจัดใหม้ ีการทดสอบส่วนประกอบและอุปกรณ์ของป้ันจั่นปีละไม่น้อยกว่า 1 คร้ัง
ตามประเภทและลักษณะของงาน ตามหลักเกณฑ์และวิธีการท่ีอธิบดีประกาศกาหนด ในกรณีที่มีการหยุดใช้งาน
ป้ันจ่นั ต้ังแต่หกเดือนขึ้นไป ก่อนนามาใช้งานใหม่นายจ้างต้องดาเนินการทดสอบและการตรวจสอบการติดตั้งป้ันจ่ัน
โดยวศิ วกรก่อนการใชง้ าน และจดั ทารายงานการตรวจสอบและการทดสอบ ซึง่ มีลายมือชอ่ื วิศวกรรับรอง
3.) ในกรณที น่ี ายจ้างให้ลูกจา้ งทางานเกี่ยวกับปั้นจน่ั นายจ้างต้องดาเนินการ ดังตอ่ ไปนี้
(1) ควบคุมให้มีลวดสลิงเหลืออยู่ในม้วนลวดสลิงไม่น้อยกว่า 2 รอบ ตลอดเวลา
ท่ีปนั้ จ่นั ทางาน
คณะอนุกรรมการชดุ งานก่อสร้าง
คู่มือพฒั นาทีมปฏบิ ตั ิงานด้วยความปลอดภยั ด้านงานกอ่ สรา้ ง 73
(2) จัดให้มีชุดล็อกปูองกันลวดสลิงหลุดจากตะขอของปั้นจั่น และทาการตรวจสอบ
ให้อย่ใู นสภาพท่ใี ช้งานได้อย่างปลอดภัย
(3) จดั ให้มที ีค่ รอบปิดหรอื กน้ั ส่วนที่หมุนรอบตวั เอง สวนท่ีเคลื่อนไหวได้ หรือส่วนท่ี
อาจเป็นอันตรายของปั้นจั่น และให้ส่วนที่เคลอ่ื นที่ของปั้นจน่ั หรือส่วนทห่ี มุนไดข้ องป้ันจั่นอยู่หา่ งจากสิ่งก่อสร้างหรือ
วัตถุอน่ื ในระยะทปี่ ลอดภัย
(4) จัดให้มีบันไดพรอมราวจับและโครงโลหะกันตก สาหรับป้ันจั่นที่มีความสูงเกิน
3 เมตร
(5) จัดให้มีเครื่องดับเพลิงที่เหมาะสมกับชนิดของปั้นจ่ันและใช้การได้ ที่ห้องบังคับ
ปัน้ จนั่
4.) ห้ามนายจา้ งให้ลูกจ้างใช้ปั้นจัน่ ท่ชี ารุดเสียหายหรืออยู่ในสภาพท่ีไม่ปลอดภยั
5.) หา้ มนายจ้างดัดแปลงหรือแก้ไขส่วนหน่ึงส่วนใดของปั้นจั่นหรือยินยอมให้ ลูกจ้าง หรือผู้อ่ืน
กระทาการเชน่ ว่านั้น อันอาจกอ่ ให้เกดิ อันตรายได้ ถ้าจาเปน็ ตอ้ งดัดแปลงส่วนท่ีเกย่ี วข้องกับ โครงสร้างที่มีผลต่อการ
รับนา้ หนัก นายจา้ งต้องจัดให้มีการคานวณทางวิศวกรรมพรอมกบั การทดสอบ
6.) นายจา้ งต้องจัดให้มีสัญญาณเสียงและแสงไฟเตอื นภยั ตลอดเวลาทป่ี ้ันจ่นั ทางาน โดยติดตั้งไว้
ให้เห็นชัดเจน
7.) นายจ้างต้องจัดให้มีปูายบอกพิกัดน้าหนักยกไว้ท่ีปั้นจั่นและรอกของตะขอ ติดคาเตือนให้
ระวังอันตราย และตดิ ตั้งสญั ญาณเตอื นอันตรายให้ผู้บังคับปนั่ จ่ันทราบ
8.) นายจ้างต้องจัดทาเส้นแสดงเขตอันตราย เคร่ืองหมายแสดงเขตอันตราย หรือ เคร่ืองก้ันเขต
อันตราย ในเส้นทางทีม่ กี ารใช้ปนั้ จนั่ เคล่อื นย้ายสง่ิ ของ
9.) นายจ้างต้องจัดให้มีคูมือการใช้สัญญาณส่ือสารระหว่างผู้ปฏิบัติงาน ในกรณีท่ีการใช้
สัญญาณตามวรรคหน่ึงเป็นการใช้สัญญาณมือ นายจ้างต้องจัดให้มีรูปภาพ หรือคู่มือการใช้สัญญาณมือตามท่ีอธิบดี
ประกาศกาหนด ติดไว้ ที่จุดหรอื ตาแหน่งทล่ี ูกจา้ งผปู้ ฏิบตั ิงาน เหน็ ได้ชัดเจน
10.) ในกรณีท่ีนายจ้างให้ลูกจ้างใช้ปั้นจั่นใกล้สายไฟฟูา นายจ้างต้องควบคุมดูแล ให้ลูกจ้าง
ปฏิบตั ิ ดงั ต่อไปนี้
(1) ในกรณีที่ใชป้ ั้นจน่ั ยกวัสดุ ให้ระยะห่างระหว่างสายไฟฟูากับส่วนหน่ึงส่วนใดของ
ปั้นจั่นหรือส่วนหนึ่งส่วนใดของวสั ดทุ ี่ปั้นจั่นกาลงั ยก เปน็ ดงั ต่อไปน้ี
(ก) สายไฟฟูาท่ีมีแรงดันไฟฟูาไม่เกิน 50 กิโลโวลต์ ต้องห่างไม่น้อยกว่า
3 เมตร
(ข) สายไฟฟูาที่มีแรงดันไฟฟูาเกิน 50 กิโลโวลต์ ต้องห่างเพ่ิมขึ้นจากระยะ
หา่ งตาม (ก) อกี หน่ึงเซนติเมตรต่อแรงดนั ไฟฟาู ที่เพิม่ ขึ้นหนึง่ กิโลโวลต์
(2) ในกรณีท่ีเคล่ือนย้ายป้ันจั่นชนิดเคล่ือนที่ โดยไม่ยกวัสดุและไม่ลดแขนปั้นจ่ันลง
ให้ระยะหา่ งระหว่างส่วนหน่งึ ส่วนใดของปั้นจั่นกับสายไฟฟาู เป็นดงั ต่อไปน้ี
(ก) สายไฟฟูาที่มีแรงดันไฟฟูาไม่เกิน 50 กิโลโวลต์ ต้องห่างไม่น้อยกว่า
1 เมตร 25 เซนติเมตร
คณะอนกุ รรมการชดุ งานก่อสรา้ ง
คมู่ ือพฒั นาทมี ปฏบิ ัตงิ านดว้ ยความปลอดภยั ดา้ นงานก่อสรา้ ง 74
(ข) สายไฟฟูาท่ีมีแรงดันไฟฟูาเกิน 50 กิโลโวลต์ แต่ไม่เกิน 345 กิโลโวลต์
ต้องห่างไมน่ ้อยกว่า 3 เมตร
(ค) สายไฟฟูาที่มีแรงดันไฟฟูาเกิน 345 กิโลโวลต์ ต้องห่างไมน้อยกว่า
5 เมตร
11.) ในกรณีท่ีมีการตดิ ตง้ั ปั้นจัน่ หรือใช้ปนั้ จัน่ ใกล้เสาส่งคลื่นโทรคมนาคม ก่อนให้ลกู จ้างทางาน
นายจา้ งตอ้ งจัดให้มกี ารตรวจสอบการเกิดประจุไฟฟูาเหนี่ยวนา ถ้าพบว่ามีประจุไฟฟูาเหน่ียวนา ให้นายจ้าง ต่อสาย
ตัวนากับปั้นจั่นหรือวัสดุท่ีจะยก เพื่อให้ประจุไฟฟูาไหลลงดิน ท้ังนี้ ให้เป็นไปตามมาตรฐานของสมาคมวิศวกรรม
สถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชปู ถมั ภ์
12.) นายจ้างตอ้ งประกาศกาหนดวิธีการทางานเก่ียวกบั ปนั้ จัน่ ของลูกจา้ ง ตดิ ไว้ บริเวณที่ลูกจ้าง
ทางาน โดยอย่างนอ้ ยตอ้ งมีรายละเอยี ดเกยี่ วกับการใช้งาน การซ่อมบารุง และการใชอ้ ุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัย
ส่วนบุคคล
13.) นายจ้างต้องจัดให้มีคู่มือการปฏิบัติงานเกี่ยวกับปั้นจั่นให้ลูกจ้างได้ศึกษาและปฏิบัติ เพ่ือ
ความปลอดภยั ในการทางาน
14.) ในกรณีท่ีผู้บังคับป้ันจ่ันไม่สามารถมองเห็นจุดท่ีทาการยกส่ิงของหรือเคลื่อนย้ายวัสดุ
นายจา้ งต้องจัดใหม้ ผี ู้ให้สัญญาณแกผู้บงั คบั ป้ันจน่ั ตลอดระยะเวลาท่มี กี ารใช้งาน
15.) นายจ้างต้องจัดให้ลูกจ้างซ่ึงเป็นผู้บังคับป้ันจ่ัน ผู้ให้สัญญาณแก่ผู้บังคับปั้นจ่ัน ผู้ยึดเกาะ
วัสดุหรือผู้ควบคุมการใช้ปั้นจั่น ผ่านการอบรมหลักสูตรการปฏิบัติหน้าท่ีดังกล่าว และต้องจัดให้มีการอบรมหรือ
ทบทวนการทางานเก่ียวกับป้ันจนั่ ทง้ั นต้ี ามหลกั เกณฑ์และวธิ กี ารท่อี ธบิ ดีประกาศกาหนด
16.) ในกรณีทีน่ ายจา้ งให้ลูกจา้ งทางานเกยี่ วกับรถปั้นจ่ัน เรอื ปั้นจน่ั หรอื ติดตั้งป้ันจ่ันบนรถ เรือ
แพ โปฺะ หรือพาหนะลอยน้าอย่างอื่น นายจ้างต้องจัดให้มีอุปกรณ์ปูองกันมิให้แนวของแขนต่อตามท่ีผู้ผลิตป้ันจั่น
ออกแบบไว้เคลอ่ื นตกจากแนวเดมิ เกินกว่า 5 องศา
17.) นายจ้างต้องจัดให้มีตารางการยกส่ิงของ ซึ่งแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับน้าหนัก ส่ิงของ มุม
องศา และระยะของแขนทที่ าการยก ติดไวใ้ นบริเวณทผ่ี บู้ ังคับปั้นจัน่ เห็นไดช้ ัดเจน
18.) หา้ มนายจ้างใชล้ วดสลิงท่ีมีลกั ษณะ ดงั ต่อไปน้ี
(1) ลวดสลงิ ทล่ี วดเส้นนอกสกึ ไปต้ังแต่หนง่ึ ในสามของเส้นผ่านศนู ย์กลางเส้นลวด
(2) ลวดสลิงที่ขมวด ถูกบดกระแทก แตกเกลียวหรือชารุด ซึ่งทาให้ประสิทธิภาพใน
การใชง้ านของลวดสลงิ ลดลง
(3) ลวดสลิงมีเส้นผ่านศนู ย์กลางเล็กลงเกนิ ร้อยละห้าของเส้นผ่านศูนย์กลางเดมิ
(4) ลวดสลงิ ถูกความร้อนทาลายหรือเป็นสนมิ มากจนเห็นได้ชดั เจน
(5) ลวดสลิงถูกกัดกร่อนชารุดมากจนเหน็ ได้ชัดเจน
(6) ลวดสลิงเคลื่อนท่ีท่มี ีเส้นลวดในหนงึ่ ช่วงเกลยี ว ขาดต้ังแต่สามเส้นข้ึนไปในเกลียว
เดยี วกันหรอื ขาดตั้งแต่หกเส้นขึ้นไปในหลายช่วงเกลยี วรวมกัน
(7) ลวดสลิงยึดโยงที่มีเส้นลวดขาดตรงขอ้ ต่อตงั้ แตส่ องเส้นข้ึนไปในหนึ่งช่วงเกลียว
คณะอนุกรรมการชดุ งานกอ่ สรา้ ง
คมู่ อื พฒั นาทมี ปฏิบตั ิงานด้วยความปลอดภยั ดา้ นงานก่อสร้าง 75
19.) นายจ้างต้องจัดหาวัสดุท่ีมีความทนทานและอ่อนตัวมารองรับบริเวณจุดที่มีการสัมผัส
ระหว่างอุปกรณ์ที่ใช้ในการผูก มัด หรือยดึ โยง และวัสดุทท่ี าการยกเคลอื่ นย้าย
20.) ห้ามนายจ้างใช้ตะขอท่ีมีลักษณะอย่างหน่ึงอย่างใด ดังต่อไปน้ี เว้นแต่นายจ้าง ไดทาการ
ซอมแซมให้อยู่ในสภาพที่ใชง้ านได้ และต้องมกี ารทดสอบการรับน้าหนักได้ไม่น้อยกว่า 1.25 เทา ของน้าหนักสูงสุดที่
อนุญาตให้ใช้งานได้อย่างปลอดภยั โดยวิศวกร
(1) มีการบิดตัวของตะขอตั้งแต่ 10 องศาข้ึนไป
(2) มีการถา่ งออกของปากเกนิ ร้อยละ 15
(3) มีการสึกหรอทีท่ อ้ งตะขอเกนิ รอ้ ยละ 10
(4) มีการแตกหรอื ร้าวส่วนหนึ่งส่วนใดของตะขอ
(5) มกี ารเสียรูปทรงหรอื สกึ หรอของห่วงตะขอ
21.) งานป้ันจน่ั ให้สวมหมวกนิรภยั ถงุ มือผา้ หรือถุงมอื หนงั และรองเทา้ นริ ภัย
กฎกระทรวงกาหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดาเนินการด้านความปลอดภัย
อาชวี อนามยั และสภาพแวดล้อมในการทางานเก่ยี วกบั ความร้อน แสงสว่าง และเสยี ง พศ.ศ 2559
“อุณหภูมิเวตบัลบ์โกลบ” (Wet Bulb Globe Temperature - WBGT) หมายความว่า อุณหภูมิที่
วัดเป็นองศาเซลเซียสซึ่งวัดนอกอาคารที่มีแสงแดด มีระดับความร้อนเท่ากับ 0.7 เท่า ของอุณหภูมิท่ีอ่านค่าจาก
เทอร์โมมิเตอร์กระเปาะเปียกตามธรรมชาติ บวก 0.2 เท่าของอุณหภูมิที่อ่านค่าจากโกลบเทอร์โมมิเตอร์ และบวก
0.1 เท่า ของอุณหภูมทิ ่อี า่ นค่าจากเทอร์โมมิเตอร์กระเปาะแห้ง (dry bulb thermometer)
“ระดับความร้อน” หมายความว่า อุณหภูมิเวตบัลบ์โกลบในบริเวณท่ีลูกจ้างทางานตรวจวัด
โดยค่าเฉลีย่ ในช่วงเวลาสองชัว่ โมงท่มี อี ณุ หภมู เิ วตบลั บโ์ กลบสูงสุดของการทางานปกติ
“งานเบา” หมายความวา่ ลกั ษณะงานทใ่ี ช้แรงนอ้ ยหรือใช้กาลังงานทท่ี าใหเ้ กดิ การเผาผลาญอาหาร
ในร่างกายไม่เกิน 200 กิโลแคลอรีต่อช่ัวโมง เช่น งานเขียนหนังสือ งานพิมพ์ดีด งานบันทึกข้อมูล งานเย็บจักร
งานนง่ั ตรวจสอบผลติ ภณั ฑ์ งานประกอบช้นิ งานขนาดเลก็ งานบงั คบั เครอื่ งจกั รดว้ ยเท้า การยนื คมุ งาน
“งานปานกลาง” หมายความวา่ ลักษณะงานท่ีใช้แรงปานกลางหรือใช้กาลังงานท่ีทาให้เกิด การเผา
ผลาญอาหารในร่างกายเกิน 200 กิโลแคลอรีต่อชั่วโมง ถึง 350 กิโลแคลอรีต่อชั่วโมง เช่น งานยก ลาก ดัน หรือ
เคลือ่ นยายส่ิงของด้วยแรงปานกลาง งานตอกตะปู งานตะไบ งานขบั รถบรรทุก งานขับรถแทรกเตอร์
“งานหนัก” หมายความว่า ลักษณะงานที่ใช้แรงมากหรือใช้กาลังงานที่ทาให้เกิดการเผาผลาญ
อาหาร ในร่างกายเกิน 350 กิโลแคลอรีต่อช่ัวโมง เช่น งานที่ใช้พลั่วตักหรือเคร่ืองมือลักษณะคล้ายกัน งานขุด
งานเลือ่ ยไม้ งานเจาะไมเ้ นือ้ แขง็ งานทุบโดยใช้คอ้ นขนาดใหญ่ งานยก หรือเคล่อื นย้ายของหนัก ข้นึ ทส่ี งู หรอื ทลี่ าดชัน
หมวด ความร้อน
1.) ใหน้ ายจ้างควบคุมและรักษาระดับความร้อนภายในสถานประกอบกิจการที่มีลูกจ้างทางาน
อย่มู ิใหเ้ กนิ มาตรฐาน ดังตอ่ ไปนี้
(1) งานทีล่ กู จา้ งทาในลกั ษณะงานเบา ต้องมีมาตรฐานระดับความร้อนไม่เกินคา่ เฉลี่ย
อณุ หภมู ิเวตบลั บโ์ กลบ 34 องศาเซลเซยี ส
คณะอนุกรรมการชุดงานก่อสรา้ ง
คมู่ อื พัฒนาทมี ปฏบิ ตั งิ านด้วยความปลอดภัยดา้ นงานกอ่ สรา้ ง 76
(2) งานท่ีลูกจ้างทาในลักษณะงานปานกลาง ต้องมีมาตรฐานระดับความร้อนไม่เกิน
คา่ เฉล่ียอณุ หภูมเิ วตบัลบโ์ กลบ 32 องศาเซลเซียส
(3) งานท่ีลูกจ้างทาในลักษณะงานหนัก ต้องมีมาตรฐานระดับความร้อนไม่เกิน
ค่าเฉลย่ี อณุ หภมู ิเวตบัลบ์โกลบ 30 องศาเซลเซยี ส
หมายเหตุ งานกอ่ สร้างขยายเขต กฟภ. เป็นงานท่ีตอ้ งปฏบิ ตั ิงานภายนอกอาคาร มคี วามร้อน
ของสภาพอากาศ จากดวงอาทิตย์ท่มี ีแสงจา้ และเปน็ ลักษณะงานหนัก
หมวด เสยี ง
2.) นายจา้ งต้องควบคมุ ระดบั เสียงท่ีลูกจา้ งได้รบั เฉลีย่ ตลอดเวลาการทางานในแตล่ ะวนั มิให้เกิน
มาตรฐานตามท่ีอธิบดีประกาศกาหนด
หมวด อปุ กรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคล
3.) นายจ้างต้องจัดให้มีและดูแลให้ลูกจ้างใช้อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคลตาม
ความเหมาะสมกบั ลักษณะงานตลอดเวลาทท่ี างาน ดังตอ่ ไปนี้
(1) งานที่มีระดับความร้อนเกินมาตรฐานท่ีกาหนด ให้สวมใส่ชุดแต่งกาย รองเท้า
และถงุ มอื สาหรับปูองกันความร้อน
(2) งานที่มีแสงตรงหรือแสงสะท้อนจากแหล่งกาเนิดแสงหรือดวงอาทิตย์ท่ีมีแสงจ้า
สอ่ งเข้านยั น์ตาโดยตรง ให้สวมใส่แว่นตาลดแสงหรอื กระบังหน้าลดแสง
(3) งานที่ทาในสถานที่มืด ทึบ และคับแคบ ให้สวมใส่หมวกนิรภัยที่มีอุปกรณ์ส่อง
แสงสว่าง
(4) งานท่ีมีระดับเสียงเกินมาตรฐานท่ีกาหนด ให้สวมใส่ปลั๊กลดเสียงหรือท่ีครอบหู
ลดเสียง
ประกา.กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการ การใช้เชือก ลวดสลิง
และรอก พศ.ศ 2553
1.) ให้นายจ้างใช้เชือก ลวดสลิง และรอก ให้เป็นไปตามคุณลักษณะและข้อกาหนดของการใช้
งานท่ผี ู้ผลติ หรือวศิ วกรกาหนด
2.) ให้นายจ้างจัดให้ลูกจ้างซึ่งทางานเก่ียวกับเชือก ลวดสลิง และรอก ได้ทราบถึงคุณลักษณะ
และขอ้ กาหนดของการใช้งานของเชอื ก ลวดสลงิ และรอก
3.) ให้นายจ้างตรวจสอบเชือก ลวดสลิง รอก และอุปกรณ์ประกอบเบ้ืองต้นให้อยู่ใน สภาพ
ปลอดภัย พร้อมใชง้ าน และตรวจตามรายการตามระยะเวลาทีผ่ ู้ผลิตหรือวิศวกรกาหนด
4.) การใช้งานเชือก หรือลวดสลิงในการยก ดึง ลาก ส่ิงของ นายจ้างต้องจัดให้มีการถักหรือทา
เป็นบว่ งทปี่ ลายเชอื กหรอื ลวดสลงิ โดยการผูก มดั หรือยึดโยง ให้มนั่ คงแขง็ แรง และทดลองยก ดงึ ลาก เพือ่ ตรวจสอบ
สภาพสมดลุ ก่อนการปฏิบัติงานจริง
คณะอนุกรรมการชดุ งานกอ่ สรา้ ง
คมู่ อื พัฒนาทีมปฏบิ ัตงิ านดว้ ยความปลอดภัยดา้ นงานกอ่ สร้าง 77
5.) ให้นายจ้างจัดให้มีมาตรการด้านความปลอดภัยในรัศมีการทางานท่ีอาจได้รับอันตราย จาก
การใช้เชือก ลวดสลิง รอก เน่ืองจากการตกหล่น ดีด หรือกระเด็น และจัดให้มีปูายเตือน อันตรายดังกล่าว ติดไว้ให้
เห็นชัดเจน ณ บริเวณนนั้
6.) ให้นายจา้ งควบคมุ ดแู ลมิให้ผู้ใดใช้เชือก ลวดสลิง หรือรอกในการห้อย โหน เกาะ ข้ึนลงหรือ
เคลื่อนทีจ่ ากทห่ี นึง่ ไปยังอกี ทีห่ นึ่ง
7.) ใหน้ ายจ้างจัดใหม้ ีการเกบ็ และบารุงรกั ษาเชอื ก ลวดสลงิ รอก ตามข้อกาหนด ชนิด ประเภท
วตั ถปุ ระสงค์ รายละเอียด และระยะเวลาท่ีผ้ผู ลิตหรือวิศวกรกาหนด
หมวด เชือก
8.) ให้นายจ้างใช้เชือกที่มีค่าความปลอดภัยไม่น้อยกว่า 5 ขณะใช้งาน และต้องควบคุม
ตรวจสอบมิให้นาเชือกผุเปือ่ ย ยยุ่ ชารุด สกปรก หรือพอง อนั อาจกอ่ ให้เกดิ ความไมป่ ลอดภัยมาใชง้ าน
9.) นายจ้างตอ้ งควบคมุ ตรวจสอบเพมิ่ เติมมิให้นาสลงิ ใยสงั เคราะหท์ ่ีมีลกั ษณะดงั น้ี มาใชง้ าน
(1) มีรอยเย็บปริ หรอื ขาด
(2) มเี ศษโลหะหรือสิง่ อื่นใดฝังตวั อยูใ่ นเส้นใย หรือเกาะทีผ่ วิ
(3) มีรอยเนอ่ื งจากความร้อนหรือสารเคมี
10.) ให้นายจา้ งควบคุมดแู ลการใชเ้ ชอื กสาหรับการยก ดึง ลาก ผูก มดั หรือยึดโยง มิให้ ถู ลาก
กับพน้ื ดินหรือพน้ื ผวิ ขรุขระหรอื ในขณะใชง้ าน
11.) ให้นายจ้างจดั ใหม้ กี ารทาความสะอาดเชือกหลงั จากใช้งานเสร็จสิ้นแลว้ และเก็บ รักษาไว้ใน
สภาพแวดล้อมท่ีเหมาะสม ไมใ่ หถ้ ูกความชน้ื ความรอ้ น หรอื สารเคมี
หมวด ลวดสลิง
12.) หา้ มมใิ ห้นายจา้ งนาลวดสลงิ ทม่ี ีลักษณะดงั ต่อไปนี้มาใชง้ าน
(1) ถกู กัดกรอ่ นชารุด หรอื เปน็ สนมิ จนเหน็ ได้ชัดเจน
(2) มีรอ่ งรอยเน่ืองจากถูกความร้อนทาลาย
(3) ขมวด (Kink) หรอื แตกเกลยี ว (Bird Caging)
(4) เสน้ ผา่ นศูนย์กลางเล็กลงเกินรอ้ ยละหา้ ของเส้นผ่านศนู ย์กลางเดิม
(5) เส้นลวดในหน่ึงช่วงเกลียว (Lay) ขาดตั้งแต่สามเส้นขึ้นไปในเกลียว (Strand)
เดียวกัน หรอื ขาดต้ังแต่หกเส้นขึ้นไปในหลายเกลียว (Strands) รวมกนั
13.) ลวดสลิงที่นายจ้างนามาใช้สาหรับการผูก มัด หรือยึดโยงวัสดุ สิ่งอื่นใดต้องมีค่า ความ
ปลอดภัยไม่น้อยกว่า 5 กรณีใช้ลวดสลิงสาหรับยึดโยงส่วนใดส่วนหนึ่งของเครื่องจักร หรือปั้นจั่น ต้องมีค่าความ
ปลอดภัยไม่น้อยกว่า 3.5 กรณีใช้ลวดสลงิ สาหรับเป็นลวดสลงิ ว่ิงต้องมคี ่าความปลอดภยั ไม่น้อยกว่า 6
14.) กรณีนายจ้างใช้ลวดสลิงสาหรับการผูก มัด หรือยึดโยงวัสดุ และมีการใช้คลิปตัวยู เป็นตัว
ยึด ต้องจัดให้มคี ลปิ อย่างน้อยสามอนั โดยใหด้ า้ นท้องของคลิปกดอยูก่ ับปลายลวดสลงิ ดา้ นทีร่ บั แรง
15.) ให้นายจ้างจัดให้มีการควบคุมดูแลให้มีลวดสลิงเหลืออยู่ในม้วนลวดสลิงไม่น้อยกว่า สอง
รอบในขณะทางาน
คณะอนุกรรมการชดุ งานก่อสรา้ ง
คมู่ อื พัฒนาทมี ปฏิบตั งิ านด้วยความปลอดภยั ดา้ นงานกอ่ สร้าง 78
หมวด รอก
16.) ห้ามมใิ หน้ ารอกมาใช้งานผิดประเภท เช่น หา้ มนารอกท่ใี ช้กับเชอื กมาใช้กบั ลวดสลงิ
17.) นายจ้างต้องใช้รอกท่ีผลิตด้วยวัสดุที่แข็งแรงทนทาน เมื่อนารอกมาใช้งาน รอกต้องไม่แตก
บ่นิ สกึ หรอ หรอื ชารุด
19.) ใหน้ ายจา้ งปฏิบตั ิเม่ือมกี ารนารอกมาใช้งาน ดังน้ี
(1) จัดให้มีอุปกรณ์ปูองกัน เช่น ครอบรอก รอกช่วย เพื่อมิให้เชือก ลวดสลิง หลุด
จากรอ่ งรอก
(2) กาหนดมาตรการสาหรับผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องในเขตที่มีการใช้รอกเหนือระดับพื้น
ทางเดนิ และหา้ มมิให้ผูท้ ไี่ ม่มหี นา้ ทเ่ี กี่ยวข้องเขาไปในบรเิ วณดงั กล่าว
พระราชบัญญัตเิ งินทดแทน พศ.ศ 2537
มาตรา 5 ในพระราชบัญญตั นิ ี้
ประสบภยั หมายความวา่ การทีล่ ูกจ้างได้รับอันตรายแก่กายหรือผลกระทบแก่ทางจิตใจ
หรือถงึ แกความตายเน่อื งจากการทางานหรือปูองกันรักษาประโยชนใ์ หแ้ ก่นายจ้างหรอื ตามคาสงั่ ของนายจา้ ง
เจ็บป่วย หมายความว่า การท่ีลูกจ้างเจ็บปุวยหรือถึงแก่ความตายด้วยโรคซ่ึงเกิดขึ้นตาม
ลกั ษณะหรือสภาพของงานหรือเนื่องจากการทางาน
คา่ รกั ษาพยาบาล หมายความว่า ค่าใชจ้ ่ายกบั การตรวจรกั ษาการพยาบาล และค่าใชจ้ า่ ย
อ่ืนที่จาเป็นเพ่ือให้ผลของการประสบอันตรายหรือเจ็บปุวยบรรเทาหรือหมดส้ินไป และหมายความรวมถึงค่าใช้จ่าย
เก่ยี วกับอุปกรณเ์ ครอ่ื งใชห้ รอื วตั ถแุ ทนหรอื ทาหน้าทแี่ ทนหรอื ช่วยอวยั วะทปี่ ระสบอนั ตรายด้วย
มาตรา 13 เม่อื ลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจบ็ ปุวย ใหน้ ายจา้ งจดั ใหล้ ูกจ้างไดร้ ับการรกั ษาพยาบาล
ทันทีตามความเหมาะสมแก่อันตรายหรือความเจ็บปุวยน้ัน และให้นายจ้างจ่ายค่ารักษาพยาบาลเท่าท่ีจ่ายจริงตาม
ความจาเป็นแตไ่ ม่เกนิ อัตราทกี่ าหนดในกฎกระทรวง
ให้นายจ้างจ่ายค่ารักษาพยาบาลตามวรรคหนึ่งโดยไม่ชักช้าเมื่อฝุายลูกจ้างแจ้งให้นายจ้าง
ทราบ
มาตรา 48 เม่ือลูกจ้างประสบอันตราย เจ็บปุวย หรือสูญหาย ให้นายจ้างแจ้งการประสบอันตราย
เจ็บปุวย หรอื สญู หาย ต่อสานักงานแห่งท้องทีท่ ล่ี กู จ้างทางานอยู่หรือท่ีนายจ้างมีภูมิลาเนาอยู่ตามแบบที่เลขาธิการ
กาหนดภายในสบิ ห้าวนั นับแต่วันท่ีนายจา้ งทราบหรือควรจะได้ทราบถึงการประสบอนั ตราย เจบ็ ปุวย หรอื สูญหาย
มาตรา 62 นายจ้างผู้ใดไมจ่ ดั ใหล้ ูกจ้างซ่ึงประสบอันตรายหรอื เจ็บปุวย ได้รบั การรักษาพยาบาลตาม
มาตรา 13 หรอื ไม่ปฏิบัตติ ามมาตรา 17 มาตรา 44 หรือมาตรา 48 ต้องระวางโทษจาคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่
เกนิ หนงึ่ หม่ืนบาทหรือท้ังจาทง้ั ปรับ
หมายเหตุ
1.) แบบ กท.44 มีไว้เพื่อสง่ ตวั ลกู จา้ งที่ประสบอนั ตรายหรือเจบ็ ปวุ ยเน่อื งจากการทางานใหก้ บั
นายจ้างไปเข้ารับการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลทอ่ี ยใู่ นความตกลงของกองทนุ เงนิ ทดแทน
คณะอนกุ รรมการชุดงานก่อสรา้ ง
คมู่ อื พฒั นาทีมปฏบิ ตั ิงานดว้ ยความปลอดภยั ด้านงานกอ่ สรา้ ง 79
2.) แบบ กท.44 เป็นการอานวยความสะดวกให้กับลูกจ้างและนายจ้าง เมื่อลูกจ้างประสบ
อันตรายหรือเจ็บปุวยเนื่องจากการทางานและเข้ารับการรักษาพยาบาล ณ สถานพยาบาลท่ีอยู่ในความตกลงของ
กองทุนเงินทดแทนโดนสถานพยาบาลจะเปน็ ผู้เรียกเก็บคา่ รักษาพยาบาลจากกองทุนเงนิ ทดแทน
3.) นายจา้ งท่ยี ่ืนแบบ กท.16 หรือ กท.44 นายจ้างยังมีหน้าที่ต้องส่งเอกสารเพิ่มเติมตามคาสั่งของ
เจ้าหน้าที่สานักงานประกันสังคม มิฉะนั้นสานักงานประกันสังคมอาจปฏิเสธการจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้แก่
สถานพยาบาลซ่ึงนายจ้างต้องรับผิดชอบจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้สถานพยาบาลตามมาตรา 13 แห่งพระราชบัญญัติเงิน
ทดแทน พ.ศ. 2537
4.) ในกรณีทีส่ านักงานมคี าวนิ จิ ฉัยวา่ คา่ รักษาพยาบาลของลูกจ้างส่วนใดเป็นค่ารักษาพยาบาล
ท่ีไม่เหมาะสมหรือเป็นค่ารกั ษาพยาบาลที่เกนิ ความจาเป็น สถานพยาบาลต้องไม่นาค่ารักษาพยาบาลส่วนนั้นไปเรียก
เก็บจากลูกจ้าง หากมีการเรียกเก็บไปแล้ว สถานพยาบาลต้องดาเนินการคืนภายใน 15 วันหากไม่ปฏิบัติตาม
สานกั งานประกันสงั คมมีสิทธิหกั ค่าใช้จ่ายค่ารักษาพยาบาลท่จี ะจ่ายใหส้ ถานพยาบาลในคราวต่อไป
5.) สาหรบั สถานพยาบาลในกรณที ่ีมีข้อสงสัยโปรดโทรศัพทส์ อบถามไปยังนายจ้างหรือโทรศัพท์
สอบถามไปยงั
นกั งานกองทุนเงินทดแทน โทร 0-2956-2725-8
สานกั งานประกันสงั คมกรุงเทพมหานคร พน้ื ที่............/สานกั งานประกันสังคมจงั หวัด/
สาขาอาเภอ
สทิ ธินายจ้าง ลกู จา้ ง
1.) เวลาทางานปกติ สาหรับงานทั่วไปไม่เกิน 8 ชม./วัน หรือตามท่ีนายจ้างลูกจ้างตกลง
กนั และไม่เกนิ 48 ชม./สัปดาห์ งานที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพและความปลอดภัยของลูกจ้าง ได้แก่ งานท่ี
ต้องทาใต้ดิน ใต้น้า ในถ้า ในอุโมงค์ หรือในท่ีอับอากาศ งานเก่ียวกับกัมมันตภาพรังสี งานเชื่อมโลหะ
งานขนส่งวัตถุอันตราย งานผลิตสารเคมีอันตราย งานท่ีต้องทาด้วยเคร่ืองมือ หรือเคร่ืองจักร ซึ่งผู้ทาได้รับ
ความสั่นสะเทือนอันอาจเป็นอันตราย และงานที่ต้องทาเกี่ยวกับความร้อนจัดหรือความเย็นจัดอันอาจเป็น
อันตราย ซ่ึงโดยสภาพของงานมีความเสี่ยงอันตรายสูงหรือมีภาวะแวดล้อมในการทางานเกิน มาตรฐานความ
ปลอดภัยท่ีกาหนดไว้ซ่ึงไม่สามารถปรับปรุงแก้ไขท่ีแหล่งกาเนิดได้ และต้องจัดให้มีการปูองกันที่ตัวบุคคล ให้มี
เวลาทางานปกตไิ มเ่ กิน 7 ชม./วนั และไมเ่ กิน 42 ชม./สปั ดาห์
2.) เวลาพกั
(1) ระหว่างทางานปกติ ไม่น้อยกว่า 1 ชม./วัน หลังจากลูกจ้างทางานมาแล้ว
ไมเ่ กิน 5 ชม. ตดิ ตอ่ กนั หรอื อาจตกลงกนั พักเป็นช่วง ๆ ก็ได้แต่รวมแล้วต้องไม่น้อยกว่า 1 ชม./วัน งานในร้าน
ขายอาหารหรือรา้ นขายเคร่อื งดื่มซ่งึ เปิดจาหนา่ ยหรือให้บริการในแต่ ละวันไม่ติดต่อกัน อาจพักเกิน 2 ชม./วัน
ก็ได้ นายจ้างอาจจะไม่จัดเวลาพักได้กรณีเป็นงานที่มีลักษณะหรือสภาพของงานต้องทา ติดต่อกันไปโดยได้รับ
ความยนิ ยอมจากลกู จา้ งหรอื เป็นงานฉุกเฉิน
(2) กอ่ นการทางานล่วงเวลา ให้ลูกจ้างทางานล่วงเวลาต่อจากเวลาทางานปกติ
ไม่นอ้ ยกวา่ 2 ชม. ตอ้ งจัดใหล้ ูกจา้ งพักกอ่ นเร่มิ ทางานลว่ งเวลาไมน่ อ้ ยกว่า 20 นาที
คณะอนกุ รรมการชดุ งานก่อสรา้ ง
ค่มู ือพัฒนาทมี ปฏบิ ัตงิ านดว้ ยความปลอดภยั ด้านงานก่อสร้าง 80
3.) วนั หยุด
(1) วันหยุดประจาสัปดาห์ ไม่น้อยกว่า 1 วัน/สัปดาห์ โดยให้มีระยะห่างกันไม่
เกิน 6 วัน สาหรับงานโรงแรม งานขนส่ง งานในปุา งานในท่ีทุรกันดาร หรืองานอ่ืนตามท่ีกาหนดใน
กฎกระทรวงอาจตกลงกันสะสมและเลอื่ นวันหยุดประจา สัปดาห์ไปหยุดเม่ือใดก็ได้ภายในระยะเวลา 4 สัปดาห์
ตดิ ต่อกัน
(2) วันหยุดตามประเพณี ไม่น้อยกว่า 13 วัน/ปี โดยรวมวันแรงงานแห่งชาติ
โดยพิจารณาจากวันหยุดราชการประจาปี วันหยุดทางศาสนาหรือขนบธรรมเนียมประเพณีแห่งท้องถ่ิน ถ้า
วันหยุดตามประเพณีตรงกับวันหยุดประจาสัปดาห์ให้หยุดชดเชยวันหยุดตาม ประเพณีในวันทางานถัดไป
สาหรับงานในกิจการโรงแรม สถานมหรสพ ร้านขายอาหาร ร้านขายเครื่องด่ืม ฯลฯ อาจตกลงกันหยุดวันอื่น
ชดเชยวนั หยุดตามประเพณี หรือจ่ายคา่ ทางานในวันหยดุ ให้กไ็ ด้
(3) วันหยุดพักผ่อนประจาปี ไม่น้อยกว่า 6 วันทางาน/ปี สาหรับลูกจ้าง
ซงึ่ ทางานติดต่อกนั มาครบ 1 ปี อาจตกลงกันล่วงหน้าสะสมและเล่ือนวันหยุดพักผ่อนประจาปี ไปรวมหยุดในปี
ตอ่ ๆ ไปได้
4.) การทางานล่วงเวลา การทางานในวันหยุด
(1) อาจใหล้ ูกจา้ งทาได้โดยได้รับความยินยอมจากลกู จา้ งก่อนเป็นคราวๆ ไป
(2) อาจให้ลูกจ้างทางานล่วงเวลา และทางานในวันหยุดได้เท่าที่จาเป็น
ถา้ ลักษณะหรอื สภาพของงานต้องทาตดิ ต่อกันไป ถา้ หยุดจะเสียหายแก่งาน หรอื เป็นงานฉกุ เฉนิ
(3) อาจให้ทางานในวันหยุด สาหรับกิจการโรงแรม สถานมหรสพ งานขนส่ง
รา้ นขายอาหาร ร้านขายเครื่องดื่ม สโมสร สมาคม และสถานพยาบาลได้ โดยไม่จาเป็นต้องได้รับความยินยอม
จากลกู จา้ งกอ่ น
(4) ชั่วโมงการทางานล่วงเวลา การทางานในวันหยุด และการทางานล่วงเวลา
ในวันหยดุ รวมแล้วตอ้ งไมเ่ กิน 36 ชม./สปั ดาห์
(5) ในกรณีท่ีมีการทางานล่วงเวลาต่อจากเวลาทางานปกติไม่น้อยกว่า สอง
ชวั่ โมง นายจ้างตอ้ งจดั ให้ลกู จา้ งมเี วลาพัก ไมน่ อ้ ยกว่าย่ีสิบนาที ก่อนที่ลูกจ้างเริ่ม ทางานล่วงเวลา (ยกเว้นงาน
ที่มีลักษณะหรอื สภาพของงานตอ้ งทาติดต่อกันไป โดยไดร้ ับความยนิ ยอมจากลกู จา้ งหรือเปน็ งานฉกุ เฉนิ )
5.) วันลา
(1) วันลาปุวย ให้ลูกจ้าง ลาปุวยได้เท่าท่ีปุวยจริง การลาปุวยตั้งแต่ 3 วัน
ทางานข้ึนไปนายจ้างอาจให้ลูกจ้างแสดงใบรับรองของแพทย์แผนปัจจุบันช้ัน หน่ึงหรือของสถานพยาบาลของ
ทางราชการได้ หากลูกจ้างไม่อาจแสดงได้ให้ลูกจ้างช้ีแจงให้นายจ้างทราบ วันที่ลูกจ้างไม่อาจทางานได้
เนือ่ งจากประสบอนั ตรายหรอื เจบ็ ปวุ ยซงึ่ เกดิ จาก การทางาน หรือวนั ลาเพื่อคลอดบตุ รไมถ่ ือเป็นวันลาปุวย
(2) วันลากิจ ให้ลูกจ้างลาเพื่อกิจธุระอันจาเป็นได้ตามข้อบังคับเกี่ยวกับการ
ทางาน
(3) วันลาทาหมัน ให้ลูกจ้างลาเพื่อทาหมันและเน่ืองจากการทาหมันได้ตาม
ระยะเวลาที่แพทยแ์ ผนปัจจุบันชน้ั หน่ึงกาหนดและออกใบรับรอง
คณะอนกุ รรมการชุดงานกอ่ สรา้ ง
คู่มือพฒั นาทีมปฏิบัตงิ านด้วยความปลอดภัยดา้ นงานก่อสร้าง 81
(4) วันลารับราชการทหาร ให้ลูกจ้างลาเพื่อรับราชการทหารในการเรียกพล
เพื่อตรวจสอบฝกึ วิชาทหาร หรอื ทดลองความ พรัง่ พร้อมตามกฎหมายวา่ ดว้ ยการรับราชการทหารได้
(5) วันลาฝึกอบรม ให้ลูกจ้าง มีสิทธิลาเพ่ือการฝึกอบรมหรือพัฒนาความรู้
ความสามารถเพื่อประโยชน์ต่อการแรง งานและสวัสดิการสังคมหรือการเพ่ิมทักษะความชานาญเพ่ือเพิ่ม
ประสิทธิภาพในการ ทางานของลูกจ้างตามโครงการหรือหลักสูตร ซ่ึงมีกาหนดช่วงเวลาท่ีแน่นอนและชัดเจน
และเพ่ือการสอบวัดผลทางการศึกษาท่ีทางราชการจัดหรืออนุญาตให้จัดขึ้น ลูกจ้างต้องแจ้งเหตุในการลาโดย
ชัดแจ้ง พร้อมท้ังแสดงหลักฐานที่เก่ียวข้อง (ถ้ามี) ให้นายจ้างทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 7 วันก่อนวันลา
นายจา้ งอาจไม่อนุญาตใหล้ าหากในปีท่ีลาลูกจ้างเคยได้รับอนุญาตให้ลามาแล้วไม่ น้อยกว่า 30 วัน หรือ 3 คร้ัง
หรอื แสดงไดว้ ่าการลาของลกู จา้ งอาจก่อให้เกิดความเสยี หายหรอื กระทบตอ่ การประกอบธุรกจิ ของนายจา้ ง
6.) คา่ ลว่ งเวลา ค่าทางานในวันหยุด และคา่ ล่วงเวลาในวันหยดุ
(1) ถ้าทางานเกินเวลาทางานปกติของวันทางาน นายจ้างต้องจ่ายค่าล่วงเวลา
ไม่นอ้ ยกวา่ หน่ึงเท่าครึ่งของอัตราค่าจ้างต่อช่ัวโมงในวันทางานตามจานวน ชั่วโมงท่ีทาหรือไม่น้อยกว่าหน่ึงเท่า
คร่ึงของอตั ราค่าจ้างต่อหน่วย ในวันทางานตามจานวนผลงานท่ีทาไดส้ าหรับลูกจา้ งที่ได้รับค่าจ้างตามผลงาน
(2) ถ้าทางานในวันหยุดเกินเวลาทางานปกติของวันทางานนายจ้างต้องจ่าย
คา่ ล่วงเวลาในวันหยดุ ให้แก่ลกู จ้างในอัตราสามเท่าของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมง ในวันทางานตามจานวนช่ัวโมงที่
ทาหรอื ตามจานวนผลงานที่ทาไดส้ าหรบั ลกู จ้างทีไ่ ดร้ ับค่าจา้ งตามผลงานโดยคานวณเปน็ หนว่ ย
(3) ถ้าทางานในวันหยุดในเวลาทางานปกติ นายจ้างต้องจ่ายค่าทางานใน
วันหยุด ให้แก่ลูกจ้างที่มีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันหยุดเพ่ิมขึ้นอีก 1 เท่าของค่าจ้าง ในวันทางานตามชั่วโมงท่ี
ทางานในวนั หยดุ หรอื ตามจานวนผลงานทที่ าได้ สาหรบั ลกู จ้างที่ได้รับคา่ จา้ งตามผลงานโดยคานวณเป็นหน่วย
สาหรับลกู จ้างทไ่ี ม่มสี ทิ ธไิ ดร้ ับค่าจ้างในวันหยุดต้องจ่ายไม่น้อยกว่า 2 เท่า ของค่าจ้างในวันทางานตามช่ัวโมงท่ี
ทางานในวันหยุดหรือตามจานวนผลงาน ท่ีทาได้สาหรับลูกจา้ งท่ีได้รับค่าจา้ งตามผลงานโดยคานวณเป็นหน่วย
7ศ) ค่าชดเชย
(1) ลูกจ้างมีสิทธิได้รับค่าชดเชย หากนายจ้างเลิกจ้างโดยลูกจ้างไม่มีความผิด
ดังน้ี
(ก) ลูกจ้าง ซ่ึงทางานติดต่อกันครบ 120 วัน แต่ไม่ครบ 1 ปี มีสิทธิ
ได้รบั คา่ ชดเชยเท่ากบั ค่าจ้างอตั ราสดุ ท้าย 30 วนั
(ข) ลูกจ้าง ซ่ึงทางานติดต่อกันครบ 1 ปี แต่ไม่ครบ 3 ปี มีสิทธิได้รับ
คา่ ชดเชยเทา่ กับคา่ จ้างอัตราสดุ ท้าย 90 วัน
(ค) ลูกจ้าง ซึ่งทางานติดต่อกันครบ 3 ปีแต่ไม่ครบ 6 ปี มีสิทธิได้รับ
ค่าชดเชยเทา่ กับค่าจา้ งอตั ราสุดทา้ ย 180 วัน
(ง) ลูกจ้าง ซึ่งทางานติดต่อกันครบ 6 ปี แต่ไม่ครบ 10 ปี มีสิทธ์ิได้รับ
คา่ ชดเชยเทา่ กับอัตราค่าจา้ งสุดทา้ ย 240 วัน
(จ) ลูกจ้าง ซ่ึงทางานติดต่อกันครบ 10 ปีข้ึนไป มีสิทธ์ิได้รับค่าชดเชย
เทา่ กบั คา่ จา้ งอตั ราสดุ ท้าย 300 วัน
คณะอนกุ รรมการชดุ งานกอ่ สร้าง
ค่มู ือพฒั นาทีมปฏบิ ัติงานด้วยความปลอดภยั ด้านงานกอ่ สรา้ ง 82
(2) ในกรณีที่นายจ้างจะเลิกจ้างลูกจ้างเพราะเหตุปรับปรุงหน่วยงาน
กระบวนการผลิตการจาหน่าย หรือการบริการอันเนื่องมาจากการนาเครื่องจักรมาใช้หรือเปล่ียนแปลง
เครื่องจักรหรอื เทคโนโลยี ซ่ึงเป็นเหตใุ ห้ต้องลดจานวนลกู จ้างลง นายจา้ งต้องปฏบิ ตั ิ ดงั นี้
(ก) แจ้งวนั ที่จะเลิกจ้าง เหตุผลของการเลิกจ้าง และรายช่ือลูกจ้างที่จะ
ถกู เลกิ จ้าง ใหล้ กู จ้างและพนกั งานตรวจแรงงาน ทราบล่วงหน้าไม่ น้อยกวา่ หกสิบวนั กอ่ นวันท่จี ะเลิกจา้ ง
(ข) ถ้าไม่แจ้งแก่ลูกจ้างท่ีจะเลิกจ้างทราบล่วงหน้า หรือแจ้งล่วงหน้า
น้อยกว่าระยะเวลาหกสิบวัน นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยพิเศษแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่ลูกจ้างเท่ากับ
ค่าจ้างอัตราสุดท้ายหกสิบวัน หรือเท่ากับค่าจ้างของการทางานหกสิบวันสุดท้ายสาหรับลูกจ้างซ่ึงได้รับค่าจ้าง
ตามผลงานโดยคานวณเปน็ หน่วย
8.) การใช้แรงงานเด็ก
(1) หา้ มนายจา้ งจา้ งเด็กอายตุ า่ กวา่ 15 ปี เปน็ ลูกจา้ ง
(2) กรณี ท่ีมีการจ้างเด็กอายุต่ากว่า 18 ปี เป็นลูกจ้าง นายจ้างต้องแจ้งต่อ
พนักงาน ตรวจแรงงานภายใน 15 วันนับแต่วันที่ เด็กเข้าทางาน และแจ้งการส้ินสุดการ จ้างเด็กนั้นต่อ
พนักงานตรวจแรงงานภายใน 7 วันนับแต่วันท่ีเด็กออกจากงาน นายจ้างต้องจัดให้มีเวลาพัก 1 ชั่วโมงต่อวัน
ภายใน 4 ชั่วโมงแรกของ การทางาน และใหม้ เี วลาพกั ย่อยได้ตามทีน่ ายจา้ งกาหนด
(3) ห้ามนายจ้างใช้ลูกจ้างเด็กท่ีมีอายุต่ากว่า 18 ปี ทางานในระหว่างเวลา
22.00 - 06.00 น. เว้นแตไ่ ดร้ บั อนญุ าตจากอธิบดี
(4) หา้ มนายจ้างใช้ลกู จ้างเดก็ ที่มีอายตุ า่ กวา่ 18 ปี ทางานล่วงเวลา
(5) หา้ มนายจ้างให้ลูกจ้างเด็กทมี่ อี ายตุ ่ากว่า 18 ปี ทางานตอ่ ไปน้ี
- งานหลอม เปุา หลอ่ หรอื รีดโลหะ
- งานปัม๊ โลหะ
- งานเก่ียวกับความร้อน ความเย็น ความส่ันสะเทือน เสียงและแสง ที่มี
ระดับแตกตา่ งจากปกติอนั อาจเป็นอันตรายตามที่กาหนดในกฎกระทรวง
- งานเกีย่ วกับสารเคมีทเ่ี ปน็ อนั ตรายตามทกี่ าหนดในกฎกระทรวง
- งานเก่ียวกับวัตถุมีพิษ วัตถุระเบิด หรือวัตถุไวไฟ เว้นแต่งานในสถานี
บริการที่เปน็ เชือ้ เพลงิ ตามทกี่ าหนดในกฎกระทรวง
- งานขบั หรอื บังคับรถยกหรือปั้นจัน่ ตามท่กี าหนดในกฎกระทรวง
- งานใช้เลอ่ื ยเดินดว้ ยพลงั ไฟฟูาหรือเครอ่ื งยนต์
- งานท่ตี อ้ งทาใตด้ นิ ใตน้ ้า, ในถา้ อโุ มงค์ หรอื ปลอ่ งในภูเขา
- งานเกี่ยวกบั กัมมันตภาพรังสีตามที่กาหนดในกฎกระทรวง
- งานทาความสะอาดเครือ่ งจักรหรือเคร่อื งยนต์ทก่ี าลังทางาน
- งานท่ีตอ้ งทาบนนั่งรา้ นทส่ี งู กวา่ พน้ื ดินตง้ั แต่ 10 เมตรข้ึนไป
- งานอน่ื ตามทีก่ าหนดในกระทรวง
คณะอนกุ รรมการชุดงานกอ่ สร้าง
คมู่ อื พฒั นาทมี ปฏบิ ัตงิ านด้วยความปลอดภยั ดา้ นงานก่อสรา้ ง 83
(6) ห้ามนายจา้ งจา่ ยค่าจ้างของลูกจา้ งซง่ึ เป็นเดก็ แก่บคุ คลอื่น
(7) ห้ามนายจ้างเรียก/หรอื รบั เงินประกนั จากฝุายลูกจา้ งซงึ่ เปน็ เดก็
(8) ลูกจ้าง ซ่ึงเป็นเด็กอายุต่ากว่า 18 ปี มีสิทธิลาเพ่ือเข้าประชุม สัมมนา
รับการอบรม รับการฝึก หรือลาเพ่ือการอื่นซ่ึงจัดโดยสถานศึกษา หรือหน่วยงานของรัฐหรือเอกชน ท่ีอธิบดี
เห็นชอบ และให้นายจ้าง จ่ายค่าจ้างแก่ลูกจ้างเด็กเท่ากับค่าจ้างในวันทางานตลอดระยะเวลาที่ลา แต่ปีหน่ึง
ตอ้ งไมเ่ กิน 30 วัน
คณะอนกุ รรมการชดุ งานกอ่ สร้าง
คูม่ อื พฒั นาทมี ปฏบิ ัติงานด้วยความปลอดภยั ดา้ นงานก่อสรา้ ง 84
4.2 การปฐมพยาบาลเบื้องตน้
อันตรายท่เี กิดจากงานก่อสรา้ งที่มักพบบอ่ ยๆ ได้แก่ การตกจากท่ีสูง ถูกกระแสไฟฟูาดูด ถูกแมลง
สัตว์มีพิษ กัดต่อย ยานพาหนะเฉียวชน รวมทั้งอันตรายที่เกิดจากอยู่ในท่ีอับอากาศ ซ่ึงหากเมื่อได้รับอันตราย
ดงั กลา่ วการใหค้ วามช่วยเหลอื เบื้องตน้ อย่างถูกวิธีและรวดเร็ว อาจลดความสญู เสยี ลงได้
การปฐมพยาบาลเบอ้ื งตน้ นัน้ หมายถึง ขั้นตอนการประเมินอาการและระบกุ ารช่วยเหลือให้แก่คน
ที่ได้รับบาดเจ็บ หรืออันตรายกรณีฉุกเฉิน การปฐมพยาบาลเบ้ืองต้นท่ีถูกวิธีจะช่วยให้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจาก
หนักเป็นเบาได้
4.2.1 หลกั การปฐมพยาบาล
1.) มองดู (Look) เป็นการสารวจความปลอดภัย รวมท้ังระบบที่สาคัญของร่างกาย เพื่อให้
สามารถวางแผนช่วยเหลือผู้บาดเจบ็ ไดอ้ ยา่ งรวดเรว็
2.) หา้ มเคลื่อนย้าย (Don’t move) ไมค่ วรเคล่ือนย้ายผบู้ าดเจบ็ จนกว่าจะแน่ใจว่าสามารถ
เคลือ่ นยา้ ยผู้บาดเจ็บได้อยา่ งปลอดภยั เว้นแต่ในกรณที ่ีสถานท่ีเกิดเหตุไม่สะดวกต่อการปฐมพยาบาล หรืออาจ
กอ่ ให้เกดิ อนั ตรายมากขึ้นตอ่ ผบู้ าดเจบ็ และผชู้ ่วยเหลอื
คณะอนุกรรมการชดุ งานกอ่ สร้าง
ค่มู ือพฒั นาทีมปฏบิ ตั ิงานด้วยความปลอดภยั ด้านงานกอ่ สร้าง 85
3.) ช่วยเหลือด้วยความนุ่มนวลและระมัดระวัง (Treat gently) โดยให้การช่วยเหลือ
ตามลาดบั ความสาคัญหรือตามความรนุ แรง ดงั น้ี
(1) กลุ่มอาการช่วยเหลือด่วน ได้แก่ หยุดหายใจ หัวใจหยุดเต้น หมดสติ เสีย
เลอื ด
(2) กลุ่มอาการชว่ ยเหลือรอง ไดแ้ ก่ เจบ็ ปวด การบาดเจ็บของกระดูกแลว้ ขอ้
ก่อนการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ ผู้ช่วยเหลือต้องทาการประเมินสถานการณ์และประเมิน
ตนเองก่อนว่าสามารถให้การช่วยเหลือได้หรือไม่ ทั้งน้ีเพ่ือความปลอดภัยต่อผู้บาดเจ็บและผู้ช่วยเหลือ เช่น
บรเิ วณท่เี กิดเหตสุ ามารถเกิดการระเบิดไดห้ รือไม่ หรอื หากพบเห็นคนจมน้า ถ้าผู้ช่วยเหลือว่ายน้าไม่เป็น ก็ควร
หลกี เลี่ยงการเข้าไปชว่ ย เพราะอาจเกดิ ใหผ้ ้ชู ่วยเหลอื ได้รบั อนั ตรายได้ เป็นต้น ซง่ึ หากประเมินสถานการณ์แล้ว
ว่าไม่สามารถให้การช่วยเหลือได้ให้แจ้งขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทันที แต่หากประเมิน
สถานการณ์แล้วสามารถช่วยเหลือได้ ก่อนเริ่มให้การช่วยเหลือควรมีการปูองกันตนเองจากการสัมผัสเช้ือโรค
หรือส่ิงอันตรายจาก เช่น สารคัดหล่ังของผู้บาดเจ็บ เป็นต้น ควรสวมใส่หรือใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ เพ่ือปูองกันการ
สมั ผัสโดยตรงหลังจากนั้นใหท้ าการชว่ ยเหลือผู้บาดเจ็บโดยอาศยั หลักการตามหลกั การปฐมพยาบาล
4.2.2 การชว่ ยชีวติ ขนั้ พน้ื ฐาน (Cardiopulmonary Resuscitation : CPR)
เป็นการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บเม่ือเกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นกะทันหัน เพ่ือนาออกซิเจนเข้าสู่
ร่างกายและช่วยให้มีโลหิตมีการไหลเวียนไปเลี้ยงเน้ือเยื้อต่างๆ ของร่างกาย จนกระทั่งระบบต่างๆ กลับมาทา
หนา้ ทไ่ี ดต้ ามปกติ โดยขน้ั ตอนการทา CPR มีดงั นี้
1.) ประเมินสถานการณ์เพอื่ ให้เกดิ ความปลอดภยั ต่อผบู้ าดเจ็บและผชู้ ว่ ยเหลือ
2.) ตะโกนเรียกผู้บาดเจ็บ หากไม่มีการตอบสนองให้ใช้มือทั้งสองตบไหล่เรียกพร้อมสังเกต
การตอบสนอง (ลืมตา ขยับตัว อ้าปาก พูด) และดูการเคล่ือนไหว แสดงว่าหมดสติ ไม่หายใจ ให้รีบแจ้งขอ
ความช่วยเหลอื ผา่ นศนู ย์ใหค้ วามชว่ ยเหลอื โทร. 1169
คณะอนกุ รรมการชดุ งานก่อสรา้ ง
คูม่ อื พฒั นาทมี ปฏบิ ตั ิงานด้วยความปลอดภยั ด้านงานกอ่ สรา้ ง 86
3.) จัดท่าผู้บาดเจ็บให้นอนหงายราบไปกับพื้น ทั้งน้ีให้ระวังหากผู้บากเจ็บมีอาการ
กระดกู หกั จากนัน้ ทาการกดหน้าอก 30 ครัง้ (นวดหวั ใจ) ทบี่ ริเวณก่ึงกลางหนา้ อกโดยใชส้ นั มือสองข้างซ้อนกัน
กดลึกประมาณ 5-6 เซนติเมตร ด้วยอัตราเร็ว 100-120 คร้ังต่อนาที โดยการกดหน้าอกแต่ละคร้ังต้องผ่อนมือ
ให้หนา้ อกคนื ตัวกอ่ นการกดคร้งั ต่อไป
คณะอนกุ รรมการชดุ งานก่อสร้าง
คู่มือพัฒนาทีมปฏบิ ัติงานดว้ ยความปลอดภัยด้านงานก่อสรา้ ง 87
4.) เปิดทางเดินหายใจของผู้บาดเจ็บโดยใช้สันมือกดหน้าผาก แล้วใช้น้ิวเชยคางผู้บาดเจ็บ
ให้แหงนขึ้นสังเกตส่ิงของที่อยู่ในปากผู้บาดเจ็บ ให้นาออกก่อนแล้วจึงทาการเปุาปาก 2 ครั้ง โดยบีบจมูก
ผู้บาดเจ็บ ประกบปากให้สนิทแล้วเปุาลมเข้า (หากไม่แน่ใจในเร่ืองของการติดเช้ือของผู้บาดเจ็บ ให้ทาการกด
หน้าอกเพยี งอย่างเดียว)
4.2.3 การหา้ มเลือด (Stop Bleeding)
การเสียเลือดออกจากระบบไหลเวียนโลหิตอาจจะทาให้ผู้บาดเจ็บเกิดสภาวะการไหลเวียน
ของเลอื ดไม่เพียงพอดงั น้ันการหา้ มเลอื ดจึงเป็นส่ิงสาคัญทีต่ อ้ งทาอยา่ งเร่งดว่ น โดยมีขนั้ ตอนดงั น้ี
1.) ใชม้ ือกดลงบนบาดแผล หากผ้กู ดบาดแผลเป็นผชู้ ว่ ยเหลือตอ้ งสวมถงุ มือดว้ ย หากมีวัตถุ
ปกั คาอยทู่ ่แี ผล เช่น มีด ไม้ เป็นต้น ห้ามดึงวัตถนุ ้ันออก
2.) ขยุ้มผา้ กดที่บาดแผล พันยึดผ้าทีก่ ดห้ามเลือดจนแน่ใจวา่ เลือดหลุดไหลหรือออกน้อยลง
โดยสังเกตการหายใจเป็นระยะ ๆ หากพบว่าผู้บาดเจ็บมีอาการหน้าซีดหรือมีอาการคล้ายจะเป็นลม ให้จัดท่า
ผบู้ าดเจบ็ ให้นอนหงายราบลงบนพืน้
3.) หากเลือดยังไม่หยุดไหลให้เติมผ้าปิดแผลผืนใหม่ลงไปโดยไม่ต้องเอาผ้าปิดแผลผืนแรก
ออก แล้วพันผ้ายึดอีกคร้ังกรณีมีบาดแผลอวัยวะถูกตัดขาด ให้ทาการห้ามเลือด (ไม่ขันชะเนาะ) และเก็บ
ชิ้นส่วนอวัยวะท่ีถูกต้องขาดใส่ถุงพลาสติกแล้วมัดปากถุงแช่ลงในภาชนะที่ใส่น้าแข็งผสมน้า แล้วรีบส่ง
โรงพยาบาล
คณะอนกุ รรมการชุดงานกอ่ สร้าง
คมู่ อื พัฒนาทีมปฏิบตั ิงานดว้ ยความปลอดภัยดา้ นงานก่อสรา้ ง 88
4.2.4 กระดูกหกั (Broken Bones)
การแตก ร้าว หรือหกั ของกระดูกทาให้ไม่อาจใช้อวัยวะส่วนนั้น และอาจเกิดอันตรายแทรก
ซ้อนได้ถ้าปลายกระดูกท่ีหักไปท่ิมแทงอวัยวะข้างเคียงทาให้เกิดการฉีกขาดของเนื้อเยื่อ หลอดเลือด
เส้นประสาท อาจทาใหเ้ กิดการเสียเลอื ดมากจนเกิดภาวะช็อค หรืออาจทาให้เกิดการพิการ โดนขั้นตอนในการ
ปฐมพยาบาลอาการกระดกู หักตอ่ ไป
1.) กระดกู แขนหกั
(1) ใช้วิธคี ลอ้ งแขนและมัดยึดติดกบั ลาตวั : ผ้าสามเหลีย่ มพยงุ แขน
- วางผ้าสามเหลี่ยมทาบลาตัวผู้บาดเจ็บ ให้ยอดของผ้าสามเหลี่ยมอยู่ใต้
ข้อศอกข้างท่ีบาดเจ็บตลบชายผ้าสามเหล่ียมห่อแขนข้างที่บาดเจ็บถือชายผ้า 2 ข้าง ให้ระดับแขนขนานกับ
ลาตัวไม่หอ้ ยต่า
- ผูกปมผ้าเป็นเง่ือนตาย ที่ข้างลาคอและข้อศอก ใช้ผ้าสามเหล่ียมอีกผืน
หนง่ึ พบั เป็นเส้น มดั ยึดแขนข้างที่หักใหต้ ิดกับลาตวั
(2) การเข้าเฝือกช่ัวคราว โดยใช้อุปกรณ์ท่ีหาได้ เช่น ไม้ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร
เป็นต้น นามาดามและมัดยึดกระดูกบริเวณใต้และเหนือตาแหน่งอวัยวะที่หักและคล้องแขนเพื่อลดการ
เคล่ือนไหว
2.) กระดกู ขาหัก ใช้ขาข้างทีด่ ีเป็นเฝอื กธรรมชาติยดึ ขาข้างทหี่ กั
(1) จบั ขาขา้ งทีด่ ีวางชิดขาขา้ งที่หกั
(2) วางผ้ารองไวร้ ะหวา่ งขาขา้ งที่หกั
(3) มัดยึดขา 2 ขา้ งใหต้ ิดกันโดยมดั ที่ปลายเทา้
(4) มดั ยดึ ทข่ี อ้ เทา้ ขอ้ เขา้ และต้นขาตามลาดับ
คณะอนกุ รรมการชุดงานก่อสร้าง
คู่มือพัฒนาทมี ปฏบิ ัติงานดว้ ยความปลอดภยั ด้านงานก่อสรา้ ง 89
4.2.5 การบาดเจบ็ ของศีรษะ คอ และกระดูกสนั หลงั
การบาดเจ็บในลักษณะน้ีอาจเกิดจาเหตุการณ์ต่าง ๆ เช่น ตกจากที่สูง รถชนกระแทก
ไม่ควรเคลื่อนยา้ ยผูบ้ าดเจ็บ ยกเว้นกรณีจาเปน็ เนอื่ งจากสถานทีไ่ ม่ปลอดภัย เชน่ ตึกถล่ม เพลิงไหม้ เปน็ ตน้
1.) การปฐมพยาบาล : กรณผี ู้บาดเจบ็ รสู้ กึ ตวั มีขั้นตอนดงั นี้
(1) ประเมินสถานการณ์และอันตรายที่อาจจะเกิดข้ึนกับผู้ช่วยเหลือและ
ผู้บาดเจ็บ
(2) ห้ามเคลื่อนย้าย ใหผ้ ู้บาดเจบ็ นอนใหน้ ง่ิ ตรวจดูสัญญาณชีพเป็นระยะ
(3) โทรเรียกรถพยาบาล (1669)
2.) การปฐมพยาบาล : กรณผี บู้ าดเจบ็ มีระดบั ความรู้สกึ ตัวลดลง มีขน้ั ตอนดงั น้ี
(1) ประเมินสถานการณ์และอันตรายที่อาจจะเกิดข้ึนกับผู้ช่วยเหลือและ
ผ้บู าดเจ็บ
(2) ใชม้ ือประคองศีรษะ 2 ขา้ ง ไมใ่ หผ้ บู้ าดเจบ็ ขยับคอและหลัง
(3) หา้ มเคลือ่ นยา้ ย ใหผ้ ู้บาดเจบ็ นอนให้นง่ิ
(4) โทรเรียกรถพยาบาล (1669)
3.) ข้อควรระวงั
(1) ถ้ากระดูกหกั และมีบาดแผลเปดิ รว่ มดว้ ยตอ้ งใช้ผา้ ปดิ แผลกอ่ น
(2) ห้ามดัด ยก ดงึ อวยั วะส่วนที่หัก
(3) งดการใหน้ ้า อาหาร และยาแกผ้ บู้ าดเจ็บ
คณะอนกุ รรมการชดุ งานก่อสรา้ ง
ค่มู อื พฒั นาทีมปฏิบตั ิงานดว้ ยความปลอดภยั ดา้ นงานกอ่ สรา้ ง 90
4.2.6 การเปน็ ลม (Fainting)
เปน็ ภาวะทีไ่ ม่รู้สกึ ตวั ชั่วคราว การปฐมพยาบาลผู้ท่มี ีอาการเปน็ ลมทาได้ดงั นี้
1.) เปน็ ลมเน่อื งจากเลือดไปเล้ียงสมองไม่เพียงพอ ผู้ปุวยจะมีอาการหน้าซีด ตัวเย็น เหงื่อ
ออกตามตัวเล็กน้อย ให้จัดท่าให้ผู้ปุวยนอนราบในบริเวณท่ีมีอากาศถ่ายเท คลายเสื้อผ้าให้หลวมเพ่ือให้หายใจ
ได้สะดวก จัดทา่ ใหน้ อนยกเทา้ สูง ถ้าผูป้ ุวยรู้สกึ ตวั ให้จบิ นา้ หวานหรือเกลอื แร่
2.) เป็นลมเน่ืองจากเสียเหง่ือ ผู้ปุวยจะมีอาการเหง่ือออกมาก ควรใช้ผ้าชุบน้าเช็ดตัว
ระบายความร้อน ถ้าผูป้ วุ ยร้สู ึกตวั ให้จิบน้าหวานหรอื เกลอื แร่
3.) เป็นลมเน่ืองจากความร้อน (Heat stroke) ผู้ปุวยจะมีอาการตัวหรือหน้าร้อนแดง
ร่างกายมีอุณหภูมิสูงแต่ไม่มีเหง่ือ ควรจะให้ผู้ปุวยอยู่ในบริเวณที่มีอากาศเย็น ใช้ผ้าชุบน้าเช็ดตัวเพื่อระบาย
ความรอ้ น ถา้ ผูป้ ุวยเรม่ิ รูส้ กึ ตวั ใหค้ อ่ ย ๆ จบิ นา้ เยน็
4.2.7 แผลไหม้ (Burn)
เป็นการบาดเจ็บของผิวหนังจากความร้อนต่างๆ เช่น เปลวไฟ น้าร้อน สารเคมี
กระแสไฟฟาู เป็นต้น การปฐมพยาบาลโดยใช้ผ้าชุบน้าประคบหรือใช้น้าราดบริเวณแผลประมาณ 15-20 นาที
จนกว่าจะหายจากอาการปวดแสบ ปวดรอ้ น จากนน้ั ซบั แผลให้แหง้ แล้วปิดด้วยผ้าสะอาด
กรณีท่ีบาดแผลเป็นแผลจากไฟไหม้ ถ้าเส้ือผ้าติดไฟให้ทาการดับไฟแล้วตัดเส้ือผ้าของ
ผบู้ าดเจ็บออก หลงั จากนัน้ ใช้ผา้ ชุบน้าประคบบรเิ วณท่ถี ูกไฟไหม้ ปิดแผลดว้ ยผา้ สะอาด แลว้ นาตัวผู้บาดเจ็บส่ง
โรงพยาบาล
ขอ้ ห้าม
- ไมค่ วรทาน้ามนั ครีม หรือโลช่ันลงบนแผลไฟไหม้ เพราะจะไปปิดก้ันการระบายความร้อน
- ถ้าแผลมีถงุ น้าพองไม่ควรเจาะหรอื ตัดถุงน้าเพราะอาจเกดิ การติดเช้ือ
คณะอนกุ รรมการชุดงานก่อสร้าง
คู่มือพัฒนาทีมปฏิบัติงานด้วยความปลอดภัยด้านงานก่อสร้าง 91
4.2.8 ผ้ึง ต่อ แตนต่อย
อาการส่วนใหญ่ ได้แก่ ปวดบวม แดงร้อนบริเวณท่ีถูกต่อย อาจมีไข้ต่าๆ รวมด้วย บางราย
อาจมีอาการหน้าหรือคอบวมทาให้หายใจลาบาก เกล็ดเลือดต่า น้าคั่งปอด กล้ามเน้ือถูกทาลาย และไตวาย
เฉยี บพลัน การปฐมพยาบาลทาได้ ดังนี้
1.) เอาเหล็กในออก
2.) ล้างบาดแผลด้วยสบู่
3.) ประคบดว้ ยน้าเยน็
4.) หากมอี าการปวดมากให้รับประทานยาแกป้ วดพาราเซตามอลและประคบดว้ ยความเย็น
5.) รีบนาตัวผู้บาดเจบ็ สง่ โรงพยาบาล
4.2.9 งูพษิ กัด
ผู้ท่ีถูกงูกัดจะได้รับอันตรายจากการกระจายตัวของพิษท่ีไปตามกระแสเลือด ดังนั้นควรให้
การช่วยเหลือผบู้ าดเจ็บดงั นี้
1.) หยุดการเคล่ือนไหวของร่างกายในส่วนที่ถูกกัด โดยใช้ผ้ายืดพันตั้งแต่บริเวณใต้รอย
เขย้ี วมาจนถึงขอ้ ต่อขออวัยวะส่วนนน้ั
2.) ใหอ้ วยั วะส่วนทีถ่ กู กดั อยตู่ า่ กวา่ ระดบั หวั ใจ
3.) นาตวั ผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาล ในระหว่างทางให้ทาการปลอบโยนให้กาลังใจผู้บาดเจ็บ
อย่าใหต้ ืน่ เต้นเพอ่ื ปูองกนั ไมใ่ ห้หวั ใจสบู ฉดี เลอื ดเพ่ิมมากข้ึน
ข้อหา้ ม
- ห้ามใช้ปากดดู พษิ งู เพราะพษิ งอู าจเปน็ อันตรายต่อผู้ดดู พิษงู และอาจทาให้แผลติดเชื้อ
- หา้ มรบั ประทานยาหรอื เครอ่ื งกระตุ้นหัวใจ
- ห้ามใช้ของมีคมกรดี บริเวณที่ถกู งูกดั
คณะอนุกรรมการชดุ งานกอ่ สรา้ ง
คมู่ อื พฒั นาทมี ปฏบิ ัตงิ านด้วยความปลอดภยั ด้านงานกอ่ สรา้ ง 92
4.3 วธิ ปี ฏิบตั ิเม่อื เกิดอุบัติเหตุ อันเนื่องมาจากการปฏบิ ตั ิงาน
4.3.1 ขน้ั ตอนการปฏบิ ัติเมื่อมอี ุบัตเิ หตเุ กิดข้ึน
1.) ให้การช่วยเหลือปฐมพยาบาลผู้บาดเจ็บ และนาตัวผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาล พร้อม
ประสานใหข้ อ้ มูลทจี่ าเปน็ แก่เจ้าหน้าท่ีโรงพยาบาล
2.) ตรวจสอบสอบท่ีเกิดเหตุ และบันทึกภาพสถานที่เกิดเหตุเพ่ือใช้ประกอบการสอบสวน
หาสาเหตขุ องการเกดิ อุบัติเหตุโดยต้องพยายามรักษาสถานที่เกิดเหตใุ หเ้ หมือนในขณะทีเ่ กดิ อบุ ตั ิเหตุ
3.) แจ้งไปยังผู้จัดการไฟฟูาและเจ้าหน้าท่ีความปลอดภัยในการทางาน (จป.) ประจาการ
ไฟฟูาพื้นที่ปฏิบัติงานอยู่ หรือบุคคลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อประสานงานในการแจ้งอุบัติเหตุต่อสานักงาน
สวสั ดกิ ารและคุม้ ครองแรงงานในพ้ืนที่ ตามรายละเอียด ดงั นี้
(1) กรณีเข้าข่ายตามมาตรา 34 (1) ของพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีว
อนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางาน พ.ศ. 2554 ให้ดาเนินการแจ้งรายละเอียดการเกิดอุบัติเหตุเบื้องต้น
แก่สานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานในพ้ืนที่ให้ทราบในทันที ทั้งน้ีต้องไม่เกิน 24 ช่ัวโมงนับต้ังแต่เกิด
อุบัติเหตุ และให้แจ้งรายละเอียดและสาเหตุท่ีเป็นหนังสือภายใน 7 วัน นับแต่วันท่ีเกิดอุบัติเหตุ (แบบฟอร์ม
สปร.5)
(2) กรณีเข้าข่ายตามมาตรา 34 (2) ของพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีว
อนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางาน พ.ศ. 2554 ให้ดาเนินการแจ้งรายละเอียดการเกิดอุบัติเหตุเบื้องต้น
แก่สานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานในพ้ืนที่ให้ทราบในทันที ทั้งนี้ต้องไม่เกิน 24 ชั่วโมงนับต้ังแต่เกิด
อุบัติเหตุและให้แจ้งเป็นหนังสือโดย ระบุบสาเหตุอันตรายที่เกิดขึ้นความเสียหาย การแก้ไขและวิธีการปูองกัน
การเกิดขึ้นภายใน 7 วนั นับแตว่ ันเกิดอุบตั ิเหตุ (แบบฟอร์มหมายเลข EA3-F01-5902)
(3) กรณีเข้าข่ายตามมาตรา 34 (3) ของพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีว
อนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางาน พ.ศ. 2554 ให้ดาเนินการส่งสาเนาหนังสือ กท.16 และ กท.44
พรอ้ มเอกสารการสอบสานวนและวิเคราะหส์ าเหตุการเกดิ อุบัตเิ หตตุ อ่ สานกั งานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
ในพน้ื ทใี่ ห้ทราบ ภายใน 7 วัน นบั แต่วันเกิดเหตุ
ในการแจ้งตามข้อ (1) และ (2) ให้ กฟภ. ดาเนินการแจ้งควบคู่กับบริษัทคู่สัญญา
ส่วนการแจ้งตามขอ้ (3) ให้บรษิ ทั คสู่ ัญญาเปน็ ผดู้ าเนนิ การแจง้ พรอ้ มจัดสง่ สาเนาเอกสารหลักฐานการแจ้ง แก่
กฟภ.
4.) แจ้งไปยังหัวหนา้ แผนกท่ตี นสงั กดั อยใู่ หท้ ราบถึงรายละเอียดเบ้อื งต้นของอบุ ัตเิ หตุ
5.) จัดทาแบบรายงานอุบัติเหตุ อุบัติการณ์ และเหตุการณ์เกือบเกิดอุบัติเหตุ (แบบฟอร์ม
หมายเลข EA3-F01-5901) แจ้งต่อหวั หน้าแผนก จป.ฝกร. และผู้บรหิ ารให้รับทราบ
คณะอนุกรรมการชดุ งานก่อสรา้ ง
คูม่ ือพฒั นาทมี ปฏบิ ตั ิงานด้วยความปลอดภยั ด้านงานกอ่ สรา้ ง 93
6.) จัดประชุมเพื่อวิเคราะห์สาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุและแนวทางการแก้ไข พร้อมท้ัง
ติดตามผลโดยจัดทาแบบวิเคราะห์หาสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุ การเกิดอุบัติการณ์ และเหตุการณ์เกือบเกิดเหตุ
(แบบฟอร์มหมายเลข EA3-F01-5902) โดยมบี คุ คลตา่ ง ๆ ท่เี กี่ยวข้องดงั นี้
(1) กรณีความรุนแรงของอุบัติเหตุ ระดับ 1 (ไม่มีการหยุดงานหรือมีทรัพย์สิน
เสียหายมูลค่าน้อยกว่า 50,000 บาท) ให้ผู้ควบคุมงาน วิศวกรประสานงาน หัวหน้าแผนกและบุคคลอ่ืนท่ี
เก่ียวข้อง เข้าร่วมประชุมพร้อมด้วยคณะกรรมการความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการ
ทางาน (กปล.) ของการไฟฟูาในพ้นื ทเี่ กดิ เหตุ
(2) กรณีความรุนแรงของอุบัติเหตุ ระดับ 2 (หยุดงานไม่เกิน 3 วัน หรือมี
ทรัพย์สินเสียหายมูลค่าตั้งแต่ 5,000-250,000 บาท) ให้ผู้ควบคุมงาน หัวหน้าแผนกและบุคคลอ่ืนที่เก่ียวข้อง
เข้ารว่ มประชมุ พร้อมด้วยคณะกรรมการความปลอดภัย อาชีวอนามยั และสภาพแวดล้อมในการทางาน (กปล.)
ของการ ไฟฟาู ในพน้ื ท่ีเกิดเหตุ และผแู้ ทนจาก ผปอ.กวว. ในพืน้ ท่เี ขตที่เกิดเหตุ
(3) กรณีความรุนแรงของอุบัติเหตุ ระดับ 3 (หยุดงานเกิน 3 วัน สูญเสียอวัยวะ
เสียชีวิตหรือมีทรัพย์สินเสียหายมูลค่าเกินกว่า 250,000 บาท) ให้ผู้ความคุมงาน วิศวกรประสานงาน หัวหน้า
แผนกและบุคคลอื่นท่ีเกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมพร้อมด้วยคณะกรรมการความปลอดภัย อาชีวอนามัย และ
สภาพแวดล้อมในการทางาน (กปล.) ของการไฟฟูาในพื้นท่ีเกิดเหตุ และผู้แทนจาก ผปอ.กวว. ในพื้นท่ีเขต
ทเ่ี กิดเหตุ และผแู้ ทนจาก กปภ.
7.) แจ้งแบบวิเคราะห์หาสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุ อุบัติการณ์ และเหตุการณ์เกือบเกิด
อุบตั เิ หตุ (แบบฟอรม์ หมายเลข EA3-F01F5902) ต่อหวั หนา้ แผนก จป.ฝกร. และผบู้ รหิ ารให้รับทราบ
8.) ประชุมติดตามผลความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาตามแนวทางการแก้ไขท่ีได้จากแบบ
วิเคราะห์หาสาเหตุการ เกิดอุบัติเหตุ และอุบัติการณ์ และเหตุการณ์เกือบเกิดอุบัติเหตุ (แบบฟอร์มหมายเลข
EA3-F01-5902)โดยจัดทาแบบรายงานการติดตามผลดาเนินการแก้ไขและปูองกันการเกิดซ้า (แบบฟอร์ม
หมายเลข EA3-F01-5903)
9.) แจ้งแบบรายงานการติดตามผลดาเนินการแก้ไขและปูองกันการเกิดซ้า (แบบฟอร์ม
หมายเลข EA3-F01-5903) ต่อหัวหน้าแผนก จป.ฝกร. และผู้บริหารให้ทราบวิธีการแจ้งการประสบอันตราย
หรอื เจ็บปุวยพร้อมเอกสารประกอบการย่ืนคาขอ
4.3.2 การแจง้ การประสบอันตรายหรือเจบ็ ปุวย
นายจ้างหรือผู้มอบอานาจ แจ้งตามแบบ กท.16 โดยย่ืนเรื่อง ณ สานักงานประกันสังคมที่
ลูกจ้างทางานอยู่หรือที่นายจ้างมีภูมิลาเนา ซ่ึงสามารถส่งเอกสารได้โดยตรงที่สานักงานประกันสังคม หรือส่ง
ทางไปรษณยี ภ์ ายใน 15 วนั นับแตว่ นั ที่ทราบการประสบอนั ตราย หรือเจ็บปุวยของลกุ จ้าง หรือลุกจ้างสามารถ
ย่ืนคาร้องขอรับเงินทดแทนภายใน 180 วัน นับแต่วันที่ประสบอันตรายเจ็บปุวยหรือสูบหาย หรือหากการ
เจบ็ ปวุ ยเกดิ หลังสิ้นสภาพการเป็นลุกจ้าง ใหย้ น่ื คาร้องภายใน 2 ปี นบั แตว่ ันท่ีทราบการเจ็บปุวย
คณะอนุกรรมการชดุ งานก่อสร้าง
คู่มือพฒั นาทีมปฏบิ ัตงิ านด้วยความปลอดภัยดา้ นงานกอ่ สรา้ ง 94
4.3.3 หลักฐานการแจง้ การประสบอันตรายหรือการขอรบั เงนิ ทดแทนทุกกรณี ประกอบด้วย
1.) แบบแจง้ การประสบอนั ตราย เจบ็ ปุวย หรือสูญหาย (กท.16)
2.) แบบส่งตัวลูกจ้างเข้ารับการรักษาพยาบาล (กท.44) (กรณีนายจ้างส่งตัวเข้ารับการ
รักษาท่ีสถานพยาบาลในความตกลงของกองทนุ เงนิ ทดแทน) ตน้ ฉบับพรอ้ มสาเนา
3.) ใบรบั รองแพทย์ (กท.16/1) หรอื ใบรับรองแพทย์ของสถานพยาบาล
4.) การประสบอันตรายที่ไม่ชัดเจน เช่น อุบัติเหตุรถยนต์ เกิดเหตุนอกสถานที่ เป็นต้น
ต้องขอหลักฐานเพิ่ม เชน่ หลกั ฐานการลงเวลาทางาน บนั ทึกประจาวนั ตารวจ แผนท่เี กิดเหตุ เปน็ ตน้
5.) ใบเสร็จรบั เงิน (กรณนี ายจ้าง ลูกจ้าง สารองจา่ ยไปกอ่ น)
6.) กรณีเสียชีวิตหรือสูญหายเน่ืองจากการทางาน ต้องมีหลักฐานแสดงการเสียชีวิต
ใบชันสตู รศพ ใบมรณะบัตรของลกู จ้าง บันทกึ ประจาวนั ตารวจ (ถา้ ม)ี พร้อมด้วยหลักฐานของผู้มีสิทธิ ดังนี้ สูติ
บัตรของบุตร ทะเบียนบ้านของลูกจ้าง บิดา-มารดา ภรรยาหรือสามี บุตร/ทะเบียนหย่าลูกจ้าง หรือบิดาหรือ
คู่สมรส (ถ้ามี)/หลักฐาน ดังน้ี สามีหรือภรรยา บิดามารดา หรือ บุตร ต้องมีหลักฐานสาเนาใบมรณะบัตรของ
ทกุ คน
ทั้งนี้ การย่ืนแบบการประสบอันตรายหรือเจ็บปุวยหรือสูญหาย (กท.16) เพียงครั้งเดียว
สามารถรับสิทธิประโยชน์ได้ทุกกรณี ได้แก่ ค่ารักษาพยาบาล ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพในการทางาน ค่าทาศพ
ค่าทดแทนกรณีไม่สามารถติดต่อกันได้เกินสามวัน ค่าทดแทนกรณีสูญเสียอวัยวะ ค่าทดแทนกรณีทุพพลภาพ
และค่าทดแทนกรณตี ายหรือสญู หาย
คณะอนุกรรมการชุดงานกอ่ สรา้ ง
คมู่ อื พฒั นาทีมปฏบิ ตั ิงานด้วยความปลอดภยั ด้านงานก่อสร้าง 95
บทท่ี 5
การตรวจสอบและประเมินผลการปฏบิ ัติงาน และแบบฟอรม์ ท่ีเกี่ยวข้อง
ทีมปฏิบัติงานด้วยความปลอดภัยด้านงานก่อสร้าง นอกจากจะต้องปฏิบัติงานก่อสร้างให้ถูกต้องตาม
มาตรฐานการก่อสร้างของ กฟภ. แล้ว ยังต้องมุ่งเน้นถึงความปลอดภัยในการปฏิบัติงานเป็นหลัก และให้เป็น
บรรทัดฐานสาหรับทีมปฏิบัติงานก่อสร้างอ่ืนๆ ที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตของ กฟภ. ดังนั้น เพ่ือให้สามารถ
ควบคุมคุณภาพของงานก่อสร้างและให้เกิดความปลอดภัยกับผู้ปฏิบัติงานและส่วนท่ีเก่ียวข้อง จึงจาเป็นต้องมี
การตรวจสอบ ประเมินผล โดยใช้แบบฟอร์มต่าง ๆ โดยให้ทีมปฏิบัติงานก่อสร้างดาเนินการตรวจสอบตาม
แบบฟอร์มอย่างเคร่งครัดก่อนปฏิบัติงาน เพ่ือให้เกิดความปลอดภัยและลดปัจจัยเสี่ยงสาหรับอุบัติเหตุท่ีไม่คาดคิด
ว่าจะเกดิ ขนึ้ ในขณะปฏิบัติงานก่อสร้าง
5.1 การตรวจสอบและการประเมนิ ผล
กระบวนการตรวจประเมนิ และติดตามการปฏบิ ัติงานดว้ ยความปลอดภยั มีขัน้ ตอน ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 คณะอนุกรรมการฯ วางแผนการตรวจประเมินและติดตามการปฏิบัติงานด้วยความ
ปลอดภยั ดา้ นงานก่อสรา้ ง
ขั้นตอนท่ี 2 คณะอนุกรรมการฯ จัดทาแบบฟอร์มมาตรฐานการตรวจประเมินและติดตามการ
ปฏบิ ตั งิ านดว้ ยความปลอดภัยด้านงานกอ่ สร้าง ประกอบด้วย
1.) ดา้ นบุคลากร (การแต่งกาย, คณุ สมบตั ผิ ูป้ ฏิบัติงาน)
2.) ดา้ นเคร่อื งมอื เครอ่ื งใช้
3.) ดา้ นเครอื่ งจักรกล และยานพาหนะ
4.) ดา้ นขั้นตอนการปฏิบตั งิ านก่อสรา้ งด้วยความปลอดภัย (ก่อนปฏิบัติงานและขณะ
ปฏิบัติงาน)
ขั้นตอนท่ี 3 คณะอนกุ รรมการฯ แต่งต้งั คณะทางานตรวจประเมิน และติดตามการปฏิบัติงานด้วย
ความปลอดภัยด้านก่อสร้าง รวมท้ังจัดอบรมและชี้แจงให้ทีมปฏิบัติงานก่อสร้างได้เข้าใจถึงแนวทางการ
ดาเนินงานดังกล่าว แจ้งให้พนักงานช่างผู้ควบคุมงานดาเนินการตรวจสอบตามแบบฟอร์มของคู่มือพัฒนาทีม
ปฏิบัติงานด้วยความปลอดภัยด้านงานก่อสร้าง โดยให้ดาเนินการตรวจสอบทุกคร้ังก่อนเริ่มปฏิบัติงาน และรายงาน
ให้คณะทางานทราบทุกส้ินเดือน ดงั น้ี
1.) แบบฟอรม์ ตรวจสอบหาจุดอันตรายในการปฏบิ ตั ิงาน (Job Hazard Plan)
2.) แบบฟอร์มตรวจความพรอ้ มของผขู้ บั ขยี่ านพาหนะ
3.) แบบฟอร์มตรวจสอบความปลอดภยั ในการปฏบิ ัตงิ านของชดุ ปฏิบตั ิงาน
4.) แบบฟอรม์ ตรวจเชค็ สภาพรถยนต์
ขั้นตอนท่ี 4 คณะทางานฯ ดาเนนิ การตรวจประเมินและตดิ ตามการปฏิบตั ิงานด้วยความปลอดภัย
ดา้ นงานกอ่ สรา้ ง ทีไ่ ดร้ บั มอบหมายตามแผนงานท่ีวางไว้
คณะอนุกรรมการ ดา้ นงานก่อสรา้ ง
คมู่ ือพัฒนาทีมปฏบิ ัติงานด้วยความปลอดภยั ด้านงานก่อสรา้ ง 96
ข้ันตอนที่ 5 คณะทางานตรวจประเมินและติดตามการปฏิบัติงานด้วยความปลอดภัยด้านงาน
กอ่ สรา้ ง รายงานผลใหค้ ณะอนุกรรมการฯ ทราบ
ข้ันตอนท่ี 6 กรณีผลการตรวจประเมินฯ ของทีมปฏิบัติงานก่อสร้างที่ไม่ผ่านเกณฑ์ให้ดาเนินการ
ดังน้ี
1.) ให้หน่วยงานที่มีทีมปฏิบัติงานด้านงานก่อสร้างปรับปรุงแก้ไขทันที หรือภายใน
ระยะเวลาทก่ี าหนด
2.) ให้ส่วนเก่ียวข้องจัดฝึกอบรมให้แก่หน่วยงานท่ีมีทีมปฏิบัติงานด้านงานก่อสร้างน้ัน
เพ่ือทบทวนความรู้ความเข้าใจ
3.) ให้คณะทางานฯ ดาเนินการตรวจประเมินและติดตามซ้าอีกคร้ัง และรายงานผลให้
คณะอนุกรรมการฯ ทราบ
5.2 แบบฟอร์มตา่ ง ๆ
สาหรับทีมปฏิบัติงานด้วยความปลอดภัยด้านงานก่อสร้าง มีความจาเป็นต้องปฏิบัติงานก่อสร้าง
ตามที่วางแผนไว้ ให้ถูกต้องเป็นไปตามมาตรฐาน กฟภ. และในการปฏิบัติงานแต่ละวันนั้นจะต้องเอาใจใส่และ
คานึงถึงความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงานและผู้ที่เก่ียวข้อง ดังน้ัน เพ่ือให้การควบคุมและตรวจสอบเป็นไปด้วย
ความสะดวกและง่ายต่อการพัฒนาทีมปฏิบัติงานด้วยความปลอดภัยด้านงานก่อสร้างให้เกิดความย่ังยืน
จึงได้กาหนดแบบฟอร์มที่ใช้ในการควบคุมและตรวจสอบการปฏิบัติงานด้วยความปลอดภัยด้านง านก่อสร้าง
ดังนี้
1.) แบบตรวจความปลอดภัยของผู้ปฏิบตั งิ าน หรือคนงาน
2.) แบบตรวจความปลอดภัยของผู้ควบคมุ งาน
3.) แบบฟอรม์ ตรวจสอบหาจดุ อนั ตรายในการปฏิบัตงิ าน (Job Hazard Plan)
4.) แบบฟอร์มตรวจความพร้อมของผขู้ ับขย่ี านพาหนะ
5.) แบบฟอร์มตรวจสอบความปลอดภยั ในการปฏิบตั งิ านของชดุ ปฏิบตั งิ าน
6.) แบบฟอร์มตรวจเช็คสภาพรถยนต์
คณะอนุกรรมการ ด้านงานก่อสรา้ ง