The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สรุปรายงานประชุมสุขภาพจิตฯ (19 - 21 ก.ค. 66)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by athip, 2023-09-26 04:06:45

สรุปรายงานประชุมสุขภาพจิตฯ (19 - 21 ก.ค. 66)

สรุปรายงานประชุมสุขภาพจิตฯ (19 - 21 ก.ค. 66)

1 สรุปรายงานการประชุมวิชาการสุขภาพจิตนานาชาติ ครั้งที่ 22 ประจ าปี 2566 หัวข้อ “ภาคีความร่วมมือ สร้างสังคมผาสุก หยุดทุกความ รุนแรง” (Enhancing Collaboration for Violence Prevention and Social Well being) ระหว่างวันที่ 19 – 21 กรกฎาคม 2566 ณ โรงแรมปริ้นซ์พาเลซ กรุงเทพมหานคร


2 สารบัญ หน้า บทน า 3 พิธีเปิ ด 5 สรุปรายงานเรื่องจากการประชุมภาคภาษาอังกฤษ 7 สรุปรายงานเรื่องจากการประชุมภาคภาษาไทย 21


3 สรุปรายงานการประชุมวิชาการสุขภาพจิตนานาชาติ ครั้งที่ 22 ประจ าปี 2566 หัวข้อ “ภาคีความร่วมมือ สร้างสังคมผาสุก หยุดทุกความรุนแรง” (Enhancing Collaboration for Violence Prevention and Social Well being) ระหว่างวันที่ 19 – 21 กรกฎาคม 2566 ณ โรงแรมปริ้นซ์พาเลซ กรุงเทพมหานคร ******************* พลตรีหญิง คุณหญิงอัสนีย์ เสาวภาพ ประธานสมาคมสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้มอบหมายให้ ดร.โสภา ชูพิกุลชัย ชปี ลมันน์ ราชบัณฑิต คณะกรรมการ อ านวยการสภาสังคมสงเคราะห์ฯ และประธานคณะกรรมการฝ่ ายวิชาการ เป็ นผู้แทนสภาสังคม สงเคราะห์ฯ เข้าร่วมการประชุมวิชาการสุขภาพจิตนานาชาติ ครั ้งที่ 22 ประจ าปี 2566 เรื่อง“ภาคี ความร่วมมือ สร้างสังคมผาสุก หยุดทุกความรุนแรง” (Enhancing Collaboration for Violence Prevention and Social Well being) จัดขึ ้นโดยโรงพยาบาลศรีธัญญา กรมสุขภาพจิตกระทรวง สาธารณสุข ระหว่างวันที่ 19 –21 กรกฎาคม 2566 ณ โรงแรมปริ ้นซ์พาเลซ กรุงเทพมหานคร ในการนี ้ นางสาวขนิษฐา เรืองขนาบ หัวหน้าฝ่ ายสังคมสงเคราะห์ และนางสาวศศิธร วัฒนะชาญ ผู้ช านาญการด้านต่างประเทศ ได้รับมอบหมายให้เข้าร่วมการประชุมดังกล่าวด้วย ทั ้งนี ้ ดร.โสภา ชูพิกุลชัย ชปี ลมันน์ราชบัณฑิต ได้มอบหมายและก าหนดแบ่งหัวข้อการประชุมที่เหมาะสมของแต่ละวันให้ผู้เข้าร่วม ประชุมทั ้งสองคน และขอให้จัดท าสรุปรายงานการประชุมวิชาการดังกล่าวนี ้โดยระบุประเด็นการน าเสนอ ของวิทยากร ตามหัวข้อที่มอบหมายและข้อเสนอแนะ


4 วัตถุประสงค์ของการจัดการประชุมวิชาการสุขภาพจิตนานาชาติ ครั ้งที่ 22 ประจ าปี 2566 เพื่อให้ บุคลากรทั ้งในและนอกสังกัดกรมสุขภาพจิต นักวิชาการจากต่างประเทศที่ปฏิบัติงานด้านสุขภาพจิตและ งานที่เกี่ยวข้องได้รับองค์ความรู้ สุขภาพจิตที่ทันสมัย มีการแลกเปลี่ยนแนวคิดใหม่ ๆ ประสบการณ์การ ด าเนินงานและการเผยแพร่องค์ความรู้ นวัตกรรม ด้ านการส่งเสริ มป้ องกัน บ าบัดรักษา และฟื ้นฟู สมรรถภาพสุขภาพจิต รวมถึงสร้ างและขยายเครือข่ายการด าเนินงาน อันจะส่งผลให้การพัฒนางาน สุขภาพจิตมีความก้ าวหน้ามากยิ่งขึ ้น กรมสุขภาพจิตได้จัดรูปแบบการประชุม เพื่อให้สอดคล้องตาม วัตถุประสงค์ ดังนี ้ รูปแบบการประชุมวิชาการสุขภาพจิตนานาชาติ 1. การปาฐกถาพิเศษ (Special Lecture) 2. การประชุมสัมมนา(Thai Symposium) 3. การประชุมสัมมนานานาชาติ(International Symposium) 4. การอภิปราย (Panel Discussion) 5. การประชุมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) 6. การน าเสนอด้วยโปสเตอร์(Poster Presentation) ผู้เข้าร่วมประชุม การประชุมวิชาการสุขภาพจิตนานาชาติ ครั ้งที่ 22 ประกอบด้วยผู้เข้าร่วมประชุมทั ้งหมด 966 คน มีผู้เข้าร่วมประชุมจากต่างประเทศ 61 คน มาจากประเทศอินเดีย แคนาดา ภูฐาน ญี่ปุ่ น กัมพูชา บังคลาเทศ ไต้หวันและออสเตรเลีย มีวิทยากรบรรยายในงานประชุมวิชาการ 134 คน ประกอบด้วยหัวข้อ น าเสนอ 35 หัวข้อ และการน าเสนอทางโปสเตอร์ 84 หัวข้อ และผู้สนับสนุนการประเมินผลหลังจบการ บรรยายแต่ละหัวเรื่อง คิดเป็ นร้ อยละ 96


5 พิธีเปิ ดการประชุมวันที่ 19 กรกฎาคม 2566 เวลา 09.00 น. แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต เป็ นประธาน ในพิธีเปิ ด งานการประชุมวิชาการสุขภาพจิตนานาชาติ ครั ้งที่ 22 ประจ าปี 2566 กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมการประชุม และกล่าวปาฐกถาพิเศษเกี่ยวกับหัวข้อการประชุม “Collaboration for Violence Prevention and Social Well’’ ด้วยการน าเสนอข้อมูลอ้างอิงจากดัชนีสันติภาพโลก ประจ าปี2565 ได้กล่าวถึงสถานะ ของประเทศไทยที่เป็ นหนึ่งในประเทศที่มีความสงบสุข น่าอยู่ที่สุดใน 103 ประเทศ จาก 163 ประเทศ และ แสดงสถานะโลกขององค์กร UNESCO ที่ได้ระบุถึงความรุนแรงและการกลั่นแกล้งในเด็กนักเรียนที่เกิดขึ ้นใน โรงเรียนต่าง ๆ ซึ่งส่งผลกระทบต่อเด็กเยาวชน และวัยรุ่นกว่า 246 ล้านคนทั่วโลก รวมถึงรายงานจาก องค์กรสหประชาชาติที่สะท้อนถึงผลกระทบหลังจากการระบาดของโควิด-19 ในหลายประเทศที่เห็น ความรุนแรงต่อสตรีและบุคคลในครอบครัวเพิ่มมากขึ ้น มีรายงานอัตราการฆ่าตัวตายในประเทศไทย ช่วง ปี 2560-2565 จากสถิติกองยุทธศาสตร์และแผนงานของกระทรวงสาธารณสุข ในรอบ 5 ปี อัตราการฆ่าตัว ตาย มีจ านวนสูงสุดที่ 7.97 ต่อประชากรหนึ่งแสนคน ฉะนั ้นภาคีความร่วมมือจึงเป็ นพลังส าคัญและเป็ น แนวทางในการสร้ างสังคมผาสุกได้หลังจากนั ้นได้ร่วมกันกดปุ่ มเปิ ดงานการประชุมวิชาการสุขภาพจิต นานาชาติครั ้งที่ 22


6 สรุปรายงานหัวข้อเรื่อง ที่ได้รับมอบหมาย จากการประชุมวิชาการฯ ภาคภาษาอังกฤษ


7 การบรรยายพิเศษ โดย Mrs.Gita Sabharwal ผู้ประสานงานสหประชาชาติประจ าประเทศไทย เร่ือง การพัฒนาท่ีย่ังยืนเชิงสุขภาพและความเป็นอยู่ท่ีดี ประเด็นความท้าทายด้านสุขภาพจิตเป็ นปัญหาระดับโลก ซึ่งคิด เป็ น 1ใน 10 ของภาวะโรคขอ โลกในทุกประเทศมีความจ าเป็ นเร่งด่วนที่ต้องเปลี่ยนแนวทางไปสู่การสร้ าง “สังคมแห่งความเป็ นอยู่ที่ดี” และ ที่ยั่งยืน โดยมุ่งมั่นที่จะมีสุขภาพจิตดีและเท่าเทียมกันทุกคน สุขภาพจิตที่ย ่าแย่น าไปสู่ภาวะเครียด โรคซึมเศร้ าและการฆ่าตัวตายเป็ นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นของหนุ่มสาวในประเทศไทย มีผลการ ส ารวจที่บ่งชี ้ว่า ผู้หญิง 3 ใน 4 เคยประสบกับความรุนแรงในครอบครัว และเกิดขึ ้นซ ้า ๆ ได้ หลักฐาน จากองค์การอนามัยโลกแสดงให้เห็นว่าการเพิ่มขึ ้นของการบริการสุขภาพจิตในชุมชน ท าให้การรับผู้ป่ วยใน ของประเทศไทย ลดลงอย่างมาก องค์การสหประชาชาติร่วมมือกับภาครัฐ เพื่อสร้ างความตระหนักรู้ เกี่ยวกับสุขภาพจิตและการ ป้ องกันการแสวงหาประโยชน์ทางเพศ ด้วยวิธีการทางดิจิทัล แพลตฟอร์ม ทางออนไลน์ ทางป้ ายโฆษณา ขนาดใหญ่และร่วมกับภาคเอกชน และในขณะเดียวกัน การป้ องกันความรุนแรง จ าเป็ นต้องเริ่มต้นที่ ระดับครัวเรือน จึงต้องท าให้บ้านเป็ นที่ปลอดภัย และสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยสามารถส่งเสริมพฤติกรรม เชิงบวก รวมถึงลดการรังแก กลั่นแกล้งในโรงเรียนด้วย จึงส่งเสริมให้ใช้ประโยชน์จากโปรแกรมสุขภาพจิต ในโรงเรียนที่จัดขึ ้นด้วยกลยุทธ์3 ประการ ได้แก่ การให้บริการด้านสุขภาพแก่นกัเรียน ให้สิทธิ์และอ านาจ แก่ครูเพื่ออ านวยความสะดวกในการดูแลสุขภาพจิตที่ดีขึ ้น และให้รวมการดูแลสุขภาพจิตไว้ในหลักสูตร เด็ก ๆ ไม่ให้เห็นความความรุนแรงในครอบครัวระหว่างพ่อแม่ เพื่อจะได้ไม่เติบโตด้วยมุมมองว่าความ รุนแรงเป็ นเรื่องปกติ การประชุมครั ้งนี ้เป็ นโอกาสที่ดี ในการรับฟังมุมมองจากนานาประเทศ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และข้อมูลเชิงลึกในการด าเนินการบริการเยียวยาจิตในชุมชน ด้วยสภาพจิตใจที่ดีจะส่งผลต่อเป้ าหมาย การพัฒนาที่ยั่งยืนแห่งสหประชาชาติ องค์การสหประชาชาติจึงน าวิธีการมาใช้กับทุกหน่วยงานในองค์การ ให้มีส่วนร่วมอย่างใกล้ชิดกับองค์การอนามัยโลก เพื่อด าเนินการในเรื่องส าคัญนี ้


8 การบรรยายพิเศษโดย ศาสตราจารย์ Harry Minas ผู้อา นวยการศูนย์สุขภาพจติระหว่างประเทศ แห่งมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย เรื่อง การฟื้นตัว : ปัจจัยป้ องกันที่ส าคัญของสุขภาพจิต ประเด็นการเปลี่ยนแปลงความคิดเกี่ยวกับสภาวะป่ วยทางจิต สุขภาพจิต และสุขภาพที่ดี ด้วย จ านวนความผิดปกติทางจิตมีอัตราสูงขึ ้นทั่วโลก ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมามีความตื่นตัวมากขึ ้นในการฟื ้น ตัวและบทบาทในการรักษาสุขภาพจิต แม้จะมีความเครียด การบาดเจ็บ หรือความทุกข์ยากอย่างต่อเนื่อง ควรต้องมีการป้ องกันความเสี่ยงของอาการป่ วยทางจิตและสนับสนุนการฟื ้นตัวจากอาการป่ วยทางจิต การรับรู้ และสัมผัสได้กับความเครียด ความทุกข์ยากและการบาดเจ็บ รวมถึงความเสี่ยงต่อผลด้าน สุขภาพจิตที่ไม่ดีมีกระจายทั่วไปในกลุ่มย่อยของประชากร แม้จะสัมผัสสิ่งเดียวกัน ตัวบุคคล/ครอบครัว/ ชุมชนต่างๆ ก็ประสบกับผลลัพธ์ด้านสุขภาพจิตที่แตกต่างกันอย่างมาก การฟื้นตัวหรือความยืดหยุ่นและปัจจัยการป้ องกัน การฟื ้นตัวหรือความยืดหยุ่นและปัจจัยการป้ องกันที่สัมพันธ์กันเป็ นกระบวนการหลายมิติ การฟื ้นตัว หรือความยืดหยุ่นคือ กระบวนการในการปรับตัว หรือจัดการกับแหล่งที่มาของความเครียด ความทุกข์ยาก หรือบาดแผลทางใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจัยการป้ องกัน เป็ นทรัพยากรในตัวบุคคลและสภาพแวดล้อมที่เอื ้อต่อความสามารถ ในการ ปรับตัว เมื่อเผชิญกับความทุกข์ยาก การรักษาหรือฟื ้นฟูสุขภาพจิตที่ดี ความเป็ นอยู่ที่ดีและคุณภาพชีวิตได้ อย่างรวดเร็ว ปัจจัยการป้ องกัน คือ คุณลักษณะภายในของแต่ละครอบครัว หรือชุมชนและทรัพยากร ภายนอกที่เอื ้อต่อการต้านผลกระทบของความเครียด ความทุกข์ยาก หรือความเจ็บปวด


9 ปัจจัยการป้ องกันส าหรับการฟื้นตัวและสุขภาพจิต มีปัจจัยหลายประการในระดับบุคคล/ครอบครัว/และชุมชน ที่จัดให้เป็ นการป้ องกันด้วยปัจจัยการ ป้ องกันที่ส าคัญขึ ้นกับบริบทต่าง ๆ ได้แก่ - ธรรมชาติ ความรุนแรง และอาการของความเครียด/การบาดเจ็บ - อายุ เพศ และลักษณะส่วนบุคคล ของผู้ประสบกับความเครียด/ความบอบช ้าของจิตใจ - บริบททางเศรษฐกิจ การเมือง สังคมและวัฒนธรรม และประสบการณ์ทางความเครียดหรือ บาดแผลทางใจของบุคคลนั ้น ทั ้งนี ้ ความเครียด ความบอบช ้าและการตอบสนองนั ้น ขึ ้นอยู่กับบริบทดังกล่าวอย่างมาก การฝึ กฝนอบรมการฟื้นตัว : การแทรกแซงเพื่อการพัฒนาการฟื้นตัวของบุคคล - ด้วยการทบทวนอย่างเป็ นระบบและการวิเคราะห์การประเมินการแทรกแซง เพื่อการพัฒนา และปรับปรุงการฟื ้นตัวหรือความยึดหยุ่นของแต่ละบุคคล - การฝึ กสติและฝึ กแนวทางอื่น ๆ อาทิ การฝึ กควบคุมอารมณ์ การผ่อนคลาย - บทสรุปของการฝึ กอบรม พิจารณาจากรูปแบบและระยะเวลาฝึ กอบรม เป็ นประโยชน์ส าหรับผู้ มีความเสี่ยงสูงต่อความเครียด/ความบอบช ้าทางจิตใจ - การดูแลและโครงการปฏิบัติการในโรงเรียน - การวิเคราะห์และทบทวนอย่างเป็ นระบบ เพื่อตรวจสอบผลกระทบของมาตรการ/โครงการที่เน้น การฟื ้นคืนสภาพจิตใจต่อสุขภาพจิตของเด็กและวัยรุ่น (ช่วงอายุ 5-18) - โดยรวมแล้ว การแทรกแซงมีประสิทธิภาพในเรื่องที่เกี่ยวกับการควบคุม ส าหรับผลลัพธ์ที่ดีจาก 4 อาการ ได้แก่ อาการซึมเศร้ า ปัญหาภายใน ปัญหาภายนอก และความทุกข์ทางจิตใจ - ยังต้องมีการปฏิบัติการที่ชัดเจนมากขึ ้น เพื่อระบุวิธีการปฏิบัติใดมีประสิทธิภาพมาก ที่สุดส าหรับเด็ก/วัยรุ่นในสถานการณ์และสภาพแวดล้อมแบบใด เพื่อปัจจัยการป้ องกันที่มีประสิทธิภาพ มากที่สุด การประชุมภาคบ่าย เวลา 13.00 -14.30 น. การประชุมอภิปราย เรื่อง “Ending Violence against Children : from Global to Thai context” โดยวิทยากรจากหน่วยงาน ดังนี ้ 1. นายแพทย์ชาติชาย อิมมารอน รองผู้อ านวยการฝ่ ายวิเทศสัมพันธ์ในสถาบันแห่งชาติ เพื่อ การพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล 2. Dr. Amalee McCoy หัวหน้าและผู้ร่วมวิจัยหลักในโครงการแม่ลูกเพื่อสุขภาพตลอดชีวิต


10 ของประเทศไทยแห่งมูลนิธิศานติวัฒนธรรม 3. Ms. Rachel Harvey ที่ปรึกษาระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิ ก งานการคุ้มครอง เด็กในส านักงานภูมิภาคองค์กรUNICEF โดยมี ผศ.ดร.สมบัติ ตาปัญญา ประธานมูลนิธิศานติวัฒนธรรม เป็ นผู้ด าเนินการอภิปราย ประเด็นการอภิปรายให้ความส าคัญที่กรอบการเลี ้ยงดูเด็กเล็กมีองค์ประกอบ 5 ประการ ได้แก่ การมีสุขภาพและความเป็ นอยู่ที่ดี อาหารการกินที่มีประโยชน์และพอเพียง มีคนดูแลที่เอาใจใส่ มีความ ปลอดภัยและมั่นคง และรับโอกาสในการเรียนรู้ ได้ตั ้งแต่เด็ก ๆ องค์ประกอบทั ้ง 5 นี ้จะส่งเสริมให้บรรลุ ศักยภาพสูงสุดของพวกเขา ในช่วงวัยแรกเริ่มของเด็ก ๆ พ่อแม่ ญาติพี่น้องในครอบครัวและผู้ดูแล คือผู้ที่ ใกล้ชิดที่สุดของเด็ก ๆ และเป็ นทรัยพากรในการเลี ้ยงดูที่ดีที่สุด ฉะนั ้นสภาพแวดล้ อมครอบครัว ที่ปลอดภัย จึงมีความส าคัญในการเลี ้ยงดูเด็กเล็กรวมถึงการสนับสนุนจากชุมชนด้วย การเลี ้ยงดูเด็กเล็กในเชิงบวกมีความส าคัญมาก แนวทางปฏิบัติในการเลี ้ยงดูบุตรเชิงบวกจะช่วย ปกป้ องเด็กจากผลกระทบด้านลบของความเครียด ช่วยบรรเทาผลกระทบต่อการพัฒนาทางสมอง และยังส่งเสริมภูมิคุ้มกันที่ดี ช่วยเพิ่มความรู้ สึกที่ดีในตัวเด็กมีความเป็ นอิสระ และส่งเสริมความสามารถ และทักษะทางสังคมและอารมณ์ ในทางกลับกัน เด็กที่ได้รับรู้ ถึงความรุนแรงในช่วงวัยนี ้ อาจพบกับ ปัญหาการพัฒนาการทางอารมณ์และการรับรู้ และการได้สัมผัสความรุนแรงในวัยเด็ก อาจส่งผลต่อการ


11 พัฒนาการทางอารมณ์และการรับรู้ และการได้สัมผัสความรุนแรงในวัยเด็ก อาจส่งผลต่อการพัฒนาการ ทางสมองและระบบควบคุมความเครียด เมื่อโตขึ ้นอาจมีผลกระทบระยะยาวต่อความส าเร็จทาง การศึกษาและการเรียน กรอบการเลี ้ยงดูเพื่อการพัฒนาเด็กปฐมวัย ได้รับการส่งเสริมและเผยแพร่ โดยองค์กรที่น่าเชื่อถือ ได้แก่ WHO UNICEF กลุ่มธนาคารโลกและพันธมิตร ได้มีการเน้นย ้าความส าคัญของช่วงเวลาตั ้งแต่ ตั ้งครรภ์จนถึงวัย 3 ขวบ เพื่อการพัฒนาทางสมองที่เหมาะสมในเด็กเล็ก ประเทศต่างๆ ในอาเซียน ในการสนับสนุนและมีการด าเนินการตามนโยบายให้สอดคล้องกับกรอบการเลี ้ยงดูเด็กเล็กนี ้ เวลา 14.45 -16.30 น. การประชุมอภิปราย เรื่อง “Adverse Childhood Experiences” โดย วิทยาการจากสถาบันต่าง ๆ ดังนี ้ 1. ผศ.ดร.สมบัติ ตาปัญญา ประธานมูลนิธิศานติวัฒนธรรม 2. แพทย์หญิง ณิชาวัน จงรักษ์ธนกิจ ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาล รามาธิบดี 3. แพทย์หญิง ดร.รัศมี โชติพันธ์วิทยากุล ภาควิชาระบาดวิทยา คณะแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาล สงขลานครินทร์ โดยมีคุณปรารถนา รัตนถิรวรรณ นักสังคมสงเคราะห์ วิชาชีพชั ้นสูง สถาบันราชานุกุล เป็ น ผู้ด าเนินการอภิปราย


12 ประเด็นการอภิปราย เน้นถึงความส าคัญของการเลี ้ยงดูเด็กเพื่อให้ มีสุขภาพดีตลอดชีวิต นโยบายนี ้ได้รับการเผยแพร่ไปอย่างกว้างขวาง และได้รับการสนับสนุนและความร่วมมือจากหน่วยงาน และสถาบันต่าง ๆ ทั่วประเทศ รวมถึงกระทรวงสาธารณสุข วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี อุดรธานี องค์กรยูนิเซฟ โรงพยาบาลรามาธิบดี โรงพยาบาลสงขลานคริ นทร์ รวมถึงการสนับสนุนจาก มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด และยังได้ทุนสนับสนุนจาก World Childhood Foundation และ LEGO Foundation มีการจัดหลักสูตรการอบรม เรื่องการเลี ้ยงดูเด็ก เพื่อให้มีสุขภาพดีตลอดชีวิตให้ผู้ปกครอง ของเด็กเล็ก โดยเน้นการเรียนรู้ ผ่านการร่วมมือกัน การฝึ กบทบาทสมมุติและการฝึ กปฏิบัติที่บ้าน ด้วยจุดประสงค์เพื่อการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับผู้ปกครอง ปรับปรุงวิธีการที่ผู้ปกครอง จัดการกับปั ญหาพฤติกรรมเด็ก ส่งเสริ มการเลี ้ยงดูเด็กเชิงบวก และลดการอบรมสั่งสอนด้ วย ความรุนแรง ส าหรับองค์ประกอบของหลักสูตรการเลี ้ยงดูเด็ก เพื่อให้มีสุขภาพดีตลอดชีวิต ส าหรับเด็กเล็ก ของประเทศไทย จะเน้นเนื ้อหาของเทคนิคการเปลี่ยนพฤติกรรม เพื่อลดการเลี ้ยงดูเด็กแบบก้าวร้ าว ลดทัศนคติที่เห็นชอบการตีเด็ก เพิ่มทักษะการเลี ้ยงดูเด็กเชิงบวก เพิ่มความมั่นใจในการเลี ้ยงดูเด็ก และปรับปรุงการติดตามดูแลเด็ก ..................................................................


13 การประชุมวันที่พฤหัสบดีที่20 กรกฎาคม 2566 เวลา 09.00 -10.30 น. การประชุมอภิปราย เรื่อง “Social Skills : Critical competency during childhood” โดยมีวิทยากรร่วมอภิปราย ดังนี ้ 1. ดร.กุลวดี ทองไพบูลย์ นักจิตวิทยาคลินิกปฏิบัติธุรกิจส่วนตัว 2. แพทย์หญิง ศิริรัตน์ จุฬารตินนท์ หัวหน้ากลุ่มงานจิตเวชเด็กและวัยรุ่น สถาบันสุขภาพเด็ก แห่งชาติมหาราชินี 3. ดร.แสงเดือน ยอดอัญมณีวงศ์ ภาควิชาจิตวิทยา คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยมีแพทย์หญิงสุธีรา อูอภิสิทธิกุล จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น ช านาณการพิเศษ สถาบันสุขภาพจิต เด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ เป็ นผู้ด าเนินการอภิปราย ประเด็นการอภิปราย คือ การพัฒนาทักษะทางสังคมในเด็กปฐมวัย ผู้อภิปรายได้น าสู่ข้อมูลต่าง ๆ ให้ เห็นความส าคัญว่าท าไมการมีทักษะทางสังคม จึงมีความส าคัญในการเติบโตของเด็กปฐมวัย ซึ่งครอบคลุมถึงการพัฒนาด้านอารมณ์ของเด็กด้วย และการพัฒนาตามหลักของขั ้นตอนการพัฒนาทาง สังคมและอารมณ์ที่ก าหนดไว้ 9 ขั ้นตอน เนื่องด้วยทักษะทางสังคมที่พัฒนาตามแนวทางธรรมชาติ ในขั ้นแรก จะเป็ นการติดต่อกัน (connect) ก็จะได้จากขั ้นตอนการพัฒนาทางสังคมและอารมณ์ ขั ้นตอนที่ 1และ 2 กล่าวคือ กฎระเบียบของสังคมและความสนใจร่วมกัน ต่อไปก็จะเป็ นการสื่อสาร (communicate) ซึ่งจะเป็ น ขั ้นตอนการพัฒนาขั ้นตอนที่ 3 และ 4 คือการสื่อสารอย่างมีเป้ าหมายและการแก้ปัญหาทางสังคม ต่อไปก็จะ


14 เป็ นการแสดงออกทางความรู้ สึกและความคิด (Feelings and ideas expression) ซึ่งจะเป็ นขั ้นตอนการ พัฒนาขั ้นตอนที่ 5 และ 6 คือการใช้ความคิดอย่างสร้ างสรรค์และการเชื่อมโยงอย่างมีตรรกะ ต่อไปเป็ นการ เติบโตทางความรู้ ความเข้าใจได้อย่างดี (Cognitive Flourish)ซึ่งจะเป็ นขั ้นตอนการพัฒนาสูงสุด คือ การคิด เชิงเปรียบเทียบและการคิดอย่างไตร่ตรอง ผู้อภิปรายได้เน้นความส าคัญของการฝึ กอบรมทักษะทางสังคม เพื่อการพัฒนาทักษะส าหรับเด็กมี ปัญหาและส าหรับเด็กที่มีความต้องการการดูแลเป็ นพิเศษ โดยเฉพาะกับโครงการพัฒนาการเรียนรู้ ด้านสังคม และอารมณ์ ซึ่งจะช่วยให้เกิดการตระหนักรู้ ในตนเอง การจัดการกับตนเองได้ เกิดการรับรู้ ทางสังคม เกิดทักษะ การสร้ างความสัมพันธ์ และเกิดทักษะการตัดสินใจอย่างมีความรับผิดชอบ เวลา 10.45 -12.15 น. เป็ นการน าเสนอการประชุมสัมมนาในหัวข้อ “Community Mental Health Tool” โดยวิทยากรจากสถาบันต่าง ๆ ดังนี ้ 1. นายแพทย์อาทิตย์ เล่าสุอังกูร ผู้อ านวยการโรงพยาบาลสวนสราญรมย์ 2. แพทย์หญิงวิมลรัตน์ วันเพ็ญ ผู้อ านวยการสถาบันสุขภาพจิตเด็กวัยรุ่น ราชนครินทร์ 3. ดร.นายแพทย์นพพร ตันติรังสี นายแพทย์เชี่ยวชาญด้านเวชกรรม สาขาจิตเวช ผู้อ านวยการสถาบัน จิตเด็กและวัยรุ่นภายใต้ นายแพทย์อาทิตย์ เล่าสุอังกูร แพทย์หญิงวิมลรัตน์ วันเพ็ญ ดร.นายแพทย์นพพร ตันติรังสี ประเด็นการน าเสนอจะเน้นเรื่องเครื่องมือสุขภาพจิตชุมชน เพราะเด็กทุกคนมีความส าคัญ จึงมี การบูรณาการด้านสุขภาพและการศึกษาเพื่อการดูแลสุขภาพจิตของเด็กในโรงเรียน โดยมีการส่งเสริมและ พัฒนาทักษะทางสังคมและทางอารมณ์ในเด็กทุกคน ด้วยการรู้ จักเด็กนักเรียนเป็ นรายบุคคลครูในโรงเรียน เรียนรู้ การส่งเสริมและพัฒนาทักษะด้านสังคม/อารมณ์ในเด็กทุกคนและเฝ้ าระวังอาการต่าง ๆ คุณครูดูแล ด้วยการปรับพฤติกรรมหรือให้ค าปรึกษา/ส่งต่อผ่านแอพลิเคชั่น


15 ส าหรับเครื่องมือที่ใช้ในผู้สูงอายุ มีการคัดกรองภาวะซึมเศร้ า และความคิดฆ่าตัวตาย ที่เรียกว่า 2Q PLUS ใช้แบบวัดภาวะซึมเศร้ าในผู้สูงอายุ ใช้การตรวจสภาพจิตของผู้สูงอายุและใช้แบบสอบถามเกี่ยวกับ ระบบประสาทเชิงจิตเวช ใช้ระบบการให้คะแนนและวิเคราะห์พิจารณาเปรียบเทียบอาการเพื่อน าส่งต่อ การประชุมภาคบ่าย เวลา 13.00 น. - 16.30 น. การน าเสนอรายงานการศึกษา เรื่อง “Mindfulness” โดยวิทยากร ดร.นายแพทย์นพพร ตันติรังสี นายแพทย์เชี่ยวชาญด้านเวชกรรม สาขาจิตเวช ผู้อ านวยการสถาบัน สุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นภาคใต้ ประเด็นการน าเสนอเป็ นรายงานการศึกษาจาการส ารวจระบาดวิทยาสุขภาพจิตของคนไทย ระดับชาติ เกี่ยวข้องกับความชุก และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับโรคจิตเวช และปัญหาสุขภาพจิตของคนไทย การส ารวจเริ่มในปี 2556 ครอบคลุมประชากรกลุ่มผู้หญิง 65.6 % และกลุ่มผู้ชาย 34.4% รวมทั ้งหมด 4,800 คน มีอายุตั ้งแต่ 18 ปี ถึง 60 ปี กลุ่มอายุ 18 –25 ปี จ านวน 9.9% กลุ่มอายุ 26 –45 ปี จ านวน 37% กลุ่มอายุ 46 – 59 ปี = 21.6% กลุ่มอายุ60 ปี= 31.5% เครื่องมือที่ใช้ในการส ารวจ เพื่อวินิจฉัยโรคจิตเวชตามเกณฑ์ ความรุนแรง และภาวะโรค การเข้าถึงการรับบริการทางจิต และบันทึกข้อมูลโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ โดยจะแสดงผลภาวะซึมเศร้ า การฆ่าตัวตาย ความวิตกกังวล การเสพติดแอลกอฮอล์การเสพติดยาและการพนัน ผลของส ารวจพบว่ากลุ่มผู้หญิง จะปรากฏจ านวนสูงกว่าผู้ชายในอาการของกลุ่มภาวะซึมเศร้ าเกือบเท่าตัว และภาวะความกังวลสูงกว่าครึ่งเท่า ส าหรับในภาวะอื่น ๆ จ านวนกลุ่มผู้ชายจะแสดงจ านวนสูงกว่ากลุ่มผู้หญิง เป็ นหลาย ๆ เท่า กลุ่มผู้ชายเป็นต้นว่า การใช้แอลกอฮอล์ในกลุ่มผู้ชายสูงมาก ๆ เช่นเดียวกับการใช้สารเสพติด และการพนัน กลุ่มผู้ชายจะมีจ านวนสูงมากกว่าผู้หญิงหลายเท่า ส าหรับภาวการณ์ฆ่าตัวตายจะมีจ านวน ใกล้เคียงกัน


16 การประชุมวันศุกร์ที่ 21 กรกฎาคม 2566 เวลา 9.00 – 10.30 น. การประชุมปฏิบัติการ เรื่อง Attachment-based intervention for child development โดยคณะวิทยากรจากสถาบันพัฒนาการเด็กราชนครินทร์ ดังนี ้ 1. พยาบาลหญิงอมรา ธนศุภรัตนา หัวหน้างานการพยาบาลสุขภาพจิตและจิตเวชชุมชน สถาบัน พัฒนาการราชนครินทร์ 2. พยาบาลหญิงจุฬาพร สมชัยมาตร หัวหน้าหน่วยพัฒนาการเด็กผู้ป่ วยใน 3. พยาบาลหญิงวิศาลินี เวรุดิษฐ์ พยาบาลวิชาชีพ 4. พยาบาลหญิงวนิดา แก้ววงศ์ นักวิชาการสาธารณสุข ประเด็นการการน าเสนอเชิงปฏิบัติการ ก็เพื่อส่งเสริมวิธีการสร้ างสายสัมพันธ์ทางอารมณ์ ของ เด็กปฐมวัย จิตวิทยาการเลี ้ยงดูและอบรมเด็กถือเป็ นหน้าต่างแห่งโอกาสส าหรับเด็ก ๆ ที่เติบโตในสภาพ แวดล้อมที่มีการเลี ้ยงดูอย่างมีระเบียบวินัย นอกจากนี ้จิตวิทยาการเลี ้ยงดูสามารถน าไปใช้โดยผู้ดูแลเด็ก ที่ไม่ใช่พ่อแม่และผู้ปกครอง รวมถึงคุณครูด้วย ประเทศไทยเปิ ดตัวโครงการ Triple-P ในปี 2560 เพื่อส่งเสริมการเลี ้ยงดูบุตรเชิงบวกในเด็กอายุ 3 ถึง 6 ปี โดยได้เปลี่ยนทักษะการพัฒนาจากคู่มือการเฝ้ าระวัง และการส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัย& เยาวชน ให้กลายเป็ นเกมหรือกิจกรรมส าหรับเด็กและเยาวชน กลุ่มอายุ 10 – 12 ปี พ่อแม่และผู้ดูแล สามารถท ากิจกรรมเหล่านี ้ที่บ้านกับลูก ๆ ได้อย่างง่ายดาย และสามารถรวมกิจกรรมเหล่านี ้เข้ากับ กิจวัตรประจ าวันได้


17 วิทยากรได้สาธิตการเล่นเกมและกิจกรรมที่ส่งเสริมการพัฒนาของเด็ก ที่ครอบคลุมถึงการ พัฒนาทางอารมณ์ โดยได้ชวนเชิญให้ผู้เข้าร่วมประชุม ได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมด้วย เวลา 10.45 - 11.15 น. การบรรยายพิเศษ โดยรองศาสตราจารย์นายแพทย์สุริยเดว ทรีปาตีกุมารแพทย์ผู้เช่ืยวชาญด้าน เดก็และวัยรุ่นและผู้อา นวยการศูนย์คุณธรรม เรื่อง “Building Mindset, Stop Violence” ประเด็นการน าเสนอของวิทยากร จะเน้นเรื่องของชีวิตพลังบวก โดยเมื่อสะท้อนให้เข้าใจมิติความ รุนแรงในสังคม จะมีด้านกลับกันให้ค านึงถึง คือหลักการป้ องกันและความเสี่ยง ในสังคมที่ก าลังเปลี่ยนเป็ น สังคมผู้สูงอายุและสังคมที่เป็ นโลกดิจิทัล เมื่อมีความเสี่ยง ก็ต้องมีการจัดการควบคุม การสร้ างต้นทุนชีวิต เชิงพลังบวกจะเป็ นขุมทรัพย์ของทุกคนและชุมชน การขับเคลื่อนพลังบวกในสากลโลก ด้วยหลักการของบันได 3 ขั ้น ขั ้นแรกคือ “I am” ถือเป็ น ขั ้นตอนการยืดหลักแห่งศีลธรรม จัดเป็ นพลังภายในแห่งตัวตน ขั ้นที่สอง คือ “I have” เป็ นช่วงที่แสดง ความเป็ นต้นแบบที่ดี ด้วยบรรยากาศของนิเวศวิทยาที่ดี เป็ นช่วงของอิทธิพลจากต้นทุนภายนอก ท าให้เกิด พลังในครอบครัว และเพื่อนฝูงและได้ผลกระทบจากกลุ่มสื่อสารมวลมวลชนในรูปแบบของสื่อสังคม ออนไลน์ต่าง ๆ บันไดขั ้นที่สามคือ “I can” เป็ นขบวนการที่เกิดความรู้ การศึกษา และภูมิคุ้มกัน หรือการ เจริญเติบโตด้านต่าง ๆ รวมทั ้งทางเทคโนโลยีเพื่อสร้ างความเข้มแข็งให้ตัวตน ครอบครัว และชุมชน การพัฒนากรอบความคิดเชิงบวก เพื่อหยุดยั ้งความรุนแรง ถือเป็ นต้นทุนชีวิตที่ครอบคลุมถึง ทักษะชีวิต ด้านความรู้ ความเข้าใจอย่างมีสติ ท าให้เกิดพลังภายในแห่งตัวตน พลังในครอบครัว พลังแห่ง ปัญญา พลังในกลุ่มเพื่อน ๆ และพลังในชุมชน


18 เวลา 11.20 - 11.55 น. การบรรยายพิเศษ โดย Dr. Suvajee Good ท่ีปรึกษาระดับภูมภิาค ฝ่ายส่งเสริมสุขภาพและปัจจัย สุขภาพทางสังคม ส านักงานภูมภิาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แห่งองค์การอนามัยโลก เรื่อง “Violence prevention in Schools and other settings in SEARO” ประเด็นการน าเสนอเป็ นการรายงานสถานะโลก เรื่องการป้ องกันความรุนแรงที่เกิดขึ ้นกับเด็ก มี เด็กเป็ นจ านวนถึงหนึ่งพันล้านคนที่ต้องทนทุกข์ทรมานจากความรุนแรงในแต่ละปี เด็กหนึ่งในสี่คนที่มีอายุ ต ่ากว่า 5 ปี อาศัยอยู่กับแม่ที่ตกเป็ นเหยื่อของความรุนแรงจากคู่ครอง เด็กนักเรียนอายุ 11 – 15 ปี ที่ถูกกลั่นแกล้งที่โรงเรียน โอกาสของการเรียนจบการศึกษาจะลด น้อยลงไป 13% เด็กผู้หญิงหรือเด็กสาวอายุต ่ากว่า 20 ปี จ านวนสูงถึง 120 ล้านคน ต้องทุกข์ทรมานจาก การถูกบังคับให้มีเพศสัมพันธ์ นอกจากนี ้ยังมีรายงานการสูญเสียทางเศรษฐกิจ เป็ นค่าใช้จ่ายของผลที่ ตามมาตลอดชีวิตของความรุนแรง เช่นในแอฟริกาใต้ ความรุนแรงต่อเด็กในทุกรูปแบบ เป็ นค่าใช้จ่ายถึง 13.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือในประเทศสหรัฐอเมริกาเฉพาะเรื่องการกระท าทารุณกรรมเด็ก มีค่าใช้จ่าย สูงถึง 228 พันล้านเหรียญ การระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบในทุกชุมชนทั่วโลก ได้มีการน าเอาโปรแกรม INSPIRE : เจ็ดกลยุทธ์ในการยุติความรุนแรง และในการป้ องกันและตอบสนองต่อความรุนแรงต่อเด็ก ซึ่งเป็ นการ พิสูจน์ว่า โปรแกรม INSPIRE ที่ออกแบบมาอย่างดีสามารถลดความรุนแรงลง 20 –50 % องค์การอนามัย โลกจัดการป้ องกันความรุนแรง โดยยึดแนวทางและหลักการ คือ ทางนิเวศวิทยาทางสังคม แนวทางด้าน สาธารณสุข แนวทางด้านสิทธิมนุษยชน การปฏิบัติการตามหลักฐาน แนวทางการใช้ชีวิตและแนวทาง ร่วมกับหลายภาคส่วน


19 พิธีปิ ดการประชุมฯ เวลา 12.00 น. นายแพทย์จุมภฎ พรมสีดา รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต ได้รายงานสรุปการประชุม วิชาการสุขภาพจิตนานาชาติ ครั ้งที่ 22 ประจ าปี 2566 ด้วยการฉายวิดีโอสั ้น สะท้อนความส าเร็จของการ จัดงานทั ้ง 3 วัน หลังจากนั ้นแพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ ได้กล่าวขอบคุณผู้มาร่วมงานและกล่าวปิ ด การประชุม ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะ ดิฉันได้มีโอกาสเข้าร่วมการประชุมวิชาการสุขภาพจิตนานาชาติ ครั ้งที่ 22 ภายใต้หัวข้อ “ภาคี ความร่วมมือ สร้างสังคมผาสุก หยุดทุกความรุนแรง” (Enhancing Collaboration for Violence Prevention and Social Well being) ระหว่างวันที่ 19 –21 กรกฎาคม 2566 และโดยเฉพาะกับ การเข้ารับฟังที่ได้ประโยชน์และความรู้จากการบรรยายในหัวข้อที่ท่านประธานวิชาการมอบหมาย ให้นั้น จะเห็นว่าในปี นี ้วิทยากรจะเน้นในประเด็นของการยุติความรุนแรง เริ่มตั้งแต่ในวันเด็ก ปฐมวัย การเสริมสร้ างทักษะทางสังคมด้านภาษาและการสื่อสารตั้งแต่ยังเป็ นเด็กเล็ก ซึ่งมี ความส าคัญต่อการเจริญเติบโตของเด็กปฐมวัยสู่การเป็ นเยาวชนที่เข้มแข็ง ทั้งนี ้ยังครอบคลุมถึง การพัฒนาด้านอารมณ์ของเด็กด้วย ประเด็นการอภิปรายของวิทยากร ยังเน้นถึงความส าคัญของ การเลี ้ยงดูเด็กเล็กเพื่อให้มีสุขภาพดีตลอดชีวิต ความส าคัญนี ้ได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวาง จากหน่วยงานและสถาบันต่าง ๆ การได้ เริ่มต้ นพัฒนาและปลูกฝังตั้งแต่วัยเด็กจากพ่อแม่ ผู้ปกครอง คุณครูและผู้ใกล้ชิด เด็กจะลดความรุนแรงในสังคมได้ วิทยากรผู้ให้การบรรยายพิเศษ จากองค์การสหประชาชาติและจากสถาบันการศึกษาในระดับสูง ได้ให้การรับรองถึงการปกป้ อง และป้ องกันความรุนแรงในสังคม และเน้นถึงความส าคัญที่ควรต้องเริ่มต้นในครัวเรือน และ สภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยที่ช่วยส่งเสริมพฤติกรรมที่ดีที่เป็ นพลังบวกและการตื่นตัวต่อปัจจัยการ ป้ องกันความเครียด และแหล่งที่มาของความเครียด และความทุกข์ยาก การประชุมวิชาการสุขภาพจิตนานาชาติ ครั ้งที่ 22 ได้เสร็จสิ ้นและบรรลุตามวัตถุประสงค์ของ คณะจัดการประชุมวิชาการครั ้งนี ้ ผลที่สภาสังคมสงเคราะห์ได้รับจากการไปประชุมครั้งนี้ 1. จะเป็ นประโยชน์ส าหรับคณะกรรมการฝ่ ายเด็กและเยาวชน ในการที่จะปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม ให้กับเด็ก เมื่อเด็กโตขึ ้นจะได้มีภูมิต้านทานในการที่จะป้ องกันตนเอง ให้ห่างจากสิ่งที่ ก่อให้เกิดปัญหาแก่เด็กและเยาวชน


20 2. ท าให้เด็กและเยาวชนลดความเครียด ซึ่งเป็ นอุปสรรคส าคัญต่อการพัฒนาทางด้านร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์และสังคม เพื่อให้เด็กเติบโตขันมาเป็ นเด็กที่มีสุขภาพจิตที่ดี มองโลก ในแง่ดี ซึ่งจะเป็ นเป็ นวิธีหนึ่ง ที่ช่วยลดปัญหาสังคมได้ สรุปรายงานการประชุมฯ โดยนางสาวศศิธร วัฒนะชาญ ผู้ช านาญการด้านต่างประเทศ ฝ่ ายวิเทศสัมพันธ์ ส านักหารายได้ และประชาสัมพันธ์ ***********************************


21 สรุปรายงานหัวข้อเรื่อง ที่ได้รับมอบหมาย จากการประชุมวิชาการฯ ภาคภาษาไทย


22 การประชุมวันพุธที่ 19 กรกฎาคม 2566 การประชุมภาคบ่าย เวลา 13.00 –14.30 น.การประชุมอภิปราย เรื่อง การพัฒนาระบบการดูแลช่วยเหลือสุขภาพจิตเด็ก กลุ่มเปราะบางทางสังคม และครู / ผู้ดูแล หน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และส านักบริหารงานการศึกษาพิเศษ โดยมีวิทยากรร่วมอภิปราย ดังนี ้ 1.นางภัทริยาวรรณพันธุ์น้อย ผู้อ านวยการส านักบริหารงานการศึกษาพิเศษ สพฐ. 2.นางเงาแข เดือดขุนทด ผู้อ านวยการโรงเรียนฉะเชิงเทราปัญญานุกูล 3.นางสาวอรนุชา มงคลรัตนชาติ ผู้อ านวยการกองส่งเสริมการพัฒนาและสวัสดิการเด็ก เยาวชน และครอบครัว 4.แพทย์หญิงจันทร์อาภา สุขทัพภ์ นายแพทย์ช านาญการพิเศษ สถาบันราชานุกูล ประเด็นการอธิบายแนวทางการดูแลสุขภาพจิตของนักเรี ยนและบุคลากรในโรงเรียน บรรยายโดยคุณเงาแข เดือดขุนทด จากกรณีศึกษาของโรงเรียนฉะเชิงเทราปัญญานุกูล จังหวัดฉะเชิงเทรา มีนักเรียนในปี พ.ศ. 2566 ทั ้งหมด 429 คน แบ่งสัดส่วนนักเรียนออกเป็ น 3 ประเภท ในโรงเรียน แบ่งเป็ น 1.นักเรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา 2.นักเรียนที่มีภาวะออทิสติก และ 3.นักเรียนที่มีปัญหา การเรียนรู้ และอื่น ๆ ทางโรงเรียนมีระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน จากการรู้ จักนักเรียนเป็ นรายบุคคล โดยมีการวัดผลด้วยเครื่องมือ ดังนี ้


23 1.แบบบันทึกการเยี่ยมบ้าน 2. การประเมินนักเรียนจะการประเมินคัดกรองนักเรียนด้วยแบบประเมิน SDQ ในระดับชั ้น ประถมศึกษาปี ที่ 1 ถึงมัธยมศึกษาปี ที่ 6โดยประเมินปี การศึกษาละ 2 ครั ้ง • ประเมินครั ้งแรกในภาคเรียนที่ 1เพื่อแบ่งนักเรียนออกเป็ น 3 กลุ่ม ได้แก่ 2.1 กลุ่มปกติจะส่งเสริมและพัฒนานักเรียน ให้มีการพัฒนาที่ดีขึ ้น 2.2 กลุ่มเสี่ยง ค้นหาปัญหาเพื่อป้ องกันและแก้ไข หากดีขึ ้นจะส่งเสริมและพัฒนา หากไม่ดี ขึ ้น จะส่งต่อหน่วยงานภายใน อาทิ ฝ่ ายกิจการนักเรียน/ครูแนะแนว/นักสหวิชาชีพในโรงเรียน และ หน่วยงานภายนอก อาทิ แพทย์/นักจิตวิทยาภายนอกโรงเรียน 2.3 กลุ่มมีปัญหา หากดีขึ ้นจะส่งเสริมและพัฒนา หากไม่ดีขึ ้น จะส่งต่อหน่วยงานภายใน อาทิ ฝ่ ายกิจการนักเรียน/ครูแนะแนว/นักสหวิชาชีพในโรงเรียน และหน่วยงานภายนอก อาทิ แพทย์/ นักจิตวิทยาภายนอกโรงเรียน โดยการประเมินแบบ SDQ มีการประเมินนักเรียน 4 ด้าน ดังนี ้1.ด้านอารมณ์2.ด้าน พฤติกรรมอยู่ไม่นิ่ง/สมาธิสั ้น 3.ด้านพฤติกรรมก้าวร้ าว/เกเร และ 4.ด้านความสัมพันธ์กับเพื่อน • ประเมินซ ้า อีกครั ้งในภาคเรียนที่ 2เพื่อดูความก้าวหน้าของนักเรียน จากผลการประเมินในปี พ.ศ. 2564 พบว่า นักเรียนทั ้งหมด 426 คน เป็ นกลุ่มปกติ จ านวน 406 คน กลุ่มมีความเสี่ยง 7 คน และกลุ่มมีปัญหา 13 คน จากผลการประเมินในปี พ.ศ. 2565 พบว่า นักเรียนทั ้งหมด 423 คน เป็ นกลุ่มปกติ จ านวน 400 คน กลุ่มมีความเสี่ยง 8 คน และกลุ่มมีปัญหา 15 คน ส่วนใหญ่มักพบปัญหาด้านอารมณ์ และพฤติกรรมอยู่ไม่นิ่ง ทางโรงเรียนจึงมีโครงการและ กิจกรรมต่าง ๆ เพื่อส่งเสริ มพฤติกรรมเชิงบวก เพื่อส่งเสริมความกล้ าแสดงออก และสร้ างความ ภาคภูมิใจให้แก่นักเรียน เช่น โครงการฝึ กอาชีพ, กิจกรรมเด็กดีศรี ฉช.ป., กิจกรรมกีฬาสี, กิจกรรมวัน ส าคัญต่าง ๆ กิจกรรมทัศนศึกษา และกิจกรรมธรรมวิถี การประเมนิสุขภาพจติของครูและบุคลากร การประเมินสุขภาพจิตของครูและบุคลากร จะใช้แบบประเมิน Mental Health Check-In โดยแบ่งออกเป็ น 4 สุขภาวะทางจิต ได้แก่ 1.พลังใจ2.ภาวะหมดไฟ 3.ความเครียด และ 4.ภาวะซึมเศร้ า จากแบบประเมินพบว่า สุขภาพจิตของครูและบุคลากรในโรงเรียนมีพลังใจที่ดี ทางโรงเรียนจึงจัด กิจกรรมเพื่อดูแลสุขภาพจิตของครูและบุคลากร ดังนี ้ การมอบรางวัลเชิดชูเกียรติแก่ครูและบุคลากร


24 กิจกรรมวันไหว้ครู กิจกรรมรดน ้าด าหัววันสงกรานต์ โครงการตรวจสุขภาพครูและบุคลากร กิจกรรมสร้ าง พลังใจ เสริมพลังบวก ร่วมกับกรมสุขภาพจิต และกิจกรรมอื่น ๆ ที่ส่งเสริมสุขภาพจิตของบุคลากร การบรรยาย ประเด็นการอธิบาย " การพัฒนาระบบการดูแลช่วยเหลือสุขภาพจิต เด็กกลุ่มเปราะบางทางสังคมและครู/ผ้ดู ูแลหน่วยงานใต้สังกัด กระทรวงพัฒนาสังคมและความ มั่นคงของมนุษย์และส านักบริหารงานการศึกษาพิเศษ " โดย แพทย์หญิงจันทร์อาภา สุขทัพภ์ นายแพทย์ช านาญการพิเศษ สถาบันราชานุกูล ได้รับความร่ วมมือจาก 3 สังกัด ได้แก่ กรมสุขภาพจิต ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และกระทรวงพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ พัฒนาศักยภาพ แบ่งเป็ น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มแรกปฐมวัย ใช้คู่มือเฝ้ าระวังและส่งเสริม พัฒนาการเด็กปฐมวัย (DSPM) กลุ่มที่สองวัยเรี ยน/วัยรุ่น เพื่อการปรับพฤติกรรมเด็กและวัยรุ่น (SAFE B-MOD) สุขภาพจิตดีชีวีมีสุข และกลุ่มที่สามครูและบุคลากร โดยใช้โปรแกรมเสริมพลังครู เพื่อเสริมสร้ างพลังกายและใจให้ครูและบุคลากร ระบบการดูแลช่วยเหลือสุขภาพจิตเด็กนักเรียน โดยมีโรงเรียนทั ้งหมด 3 แห่ง จัดท าแบบประเมิน สุขภาพจิตของนักเรียน ได้แก่ SCHOOL HEALTH HERO โรงเรียนเฉลียวภาวนานุสรณ์ (ศึกษาพิเศษ) ,SDQ โรงเรียนฉะเชิงเทราปัญญานุกูล และ STUDENT CARE (SDC) โรงเรียนพิบูลย์ประชาสรรค์ และ การดูแลช่วยเหลือสุขภาพจิตครูและบุคลากร ในโรงเรียนทั ้ง 3 แห่ง จะใช้ระบบ MENTAL HEALTH CHECK-IN โดยด าเนินงานร่วมกับส านักงานคณะกรรมการศึกษาขั ้นพื ้นฐาน: ส านักบริหารงาน การศึกษาพิเศษ พัฒนาศักยภาพบุคลากร โรคทางจิตเวชที่พบบ่อยในเด็กและวัยรุ่น โดยจิตแพทย์เด็ก และวัยรุ่น จากสถาบันราชานุกูล การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเด็ก วัยเรียนและวัยรุ่นที่มีปัญหาพฤติกรรม โดยนักจิตวิทยาคลินิกพิเศษ จากสถาบันราชานุกูล สุขภาพจิตดี ชีวีมีสุข โดยนักวิชาการสาธารณสุข กรมส่งเสริมและพัฒนาสุขภาพจิต ร่วมกันพัฒนาระบบการดูแลช่วยเหลือสุขภาพจิตเด็กกลุ่มเปราะบาง ทางสังคม ครูและบุคลากรในโรงเรียน การประชุมภาคบ่าย เวลา 14.45 –16.15 น. การประชุมอภิปราย เรื่อง เสริมสร้ างภูมิคุ้มกันทางใจ เพื่อป้ องกัน ปัญหาการฆ่าตัวตายและความรุนแรง โดยมีวิทยากรร่วมอภิปราย ดังนี ้ 1. นายณัฐกร พิชัยเชิด พยาบาลวิชาชีพชาญการ โรงพยาบาลห้วยเม็ก จ.กาฬสินธุ์ 2. นายวีระพงษ์ เรียบพร นักจิตวิทยาคลินิกช านาญการพิเศษกองส่งเสริมและพัฒนาสุขภาพจิต 3.นายปองพล ชุษณะโชติ นักวิชาการสาธารณสุขช านาญการ ศูนย์สุขภาพจิตที่ 8


25 4. นางสาวนาวินี เครือหงษ์ นักวิชาการสาธารณสุขปฏิบัติการ กองส่งเสริมและพัฒนาสุขภาพจิต ประเด็นเรื่อง เสริมสร้ างภูมิคุ้มกันทางใจเพื่อป้ องกันปัญหาการฆ่าตัวตาย และความรุนแรง เหตุปัจจัยและวิธีการที่ใช้ในกลุ่มฆ่าตัวตายส าเร็จ เหตุปัจจัยของการฆ่าตัวตายมีความซับซ้อนและ เปลี่ยนแปลงเป็ นตามเวลาเป็ นผลกระทบของภาวะวิกฤตต่าง ๆ ทั ้งภายในและภายนอกประเทศที่เกิดขึ ้น และเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้พฤติกรรมของคนในสังคมเปลี่ยนแปลงไป การเจริญเติบโต ทางโครงสร้ างพื ้นฐาน เทคโนโลยี ค่านิยมแบบวัตถุนิยมล้ วนส่งผลต่อความเป็ นอยู่ของสังคม อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อต้องเผชิญกับวิกฤตที่เกิดขึ ้น ท าให้ประชากรบางส่วนไม่สามารถปรับตัวและ ไม่สามารถแก้ ไขปัญหาวิกฤตที่เข้ามาได้ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพกาย และสุขภาพจิตอย่าง หลีกเลี่ยงไม่ได้ น ามาซึ่งปั ญหาความเครี ยด ภาวะซึมเศร้ าเกิดปั ญหา และการฆ่าตัวตาย จากกรณีตัวอย่าง จังหวัดกาฬสินธุ์ เหตุปัจจัยและวิธีการที่ใช้ในกลุ่มฆ่าตัวตายส าเร็จ มาจากปัจจัย กระตุ้น เรื่องปัญหาความสัมพันธ์ อาทิ ทะเลาะกับคนใกล้ชิด น้อยใจถูกดุ และผิดหวังในความรัก นอกจากนั ้น ยังเกิดจากปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ และปัจจัยเสี่ยง อาทิ การใช้สารเสติด สุรา ป่ วยด้วย โรคเรื ้อรัง ได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง ไตวายเรื ้อรัง และเบาหวาน หรือป่ วยด้วยโรคทางจิตเวช ได้แก่ โรค จิต และโรคซึมเศร้ า ซึ่งปั จจัยที่กล่าวมาเบื ้องต้ นล้ วนเป็ นเหตุปัจจัยในการฆ่าตัวตาย ทั ้งนี ้พบว่า มีสัญญาณเตือนพูดว่า “อยากตาย” หรือสั่งเสีย ผ่านสื่อโซเชียลมิเดีย โดยส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ ้น


26 ในเพศชาย เป็ นวัยท างาน และวิธีฆ่าตัวตายมากที่สุด คือ การผูกคอ กระโดดสะพาน และอาวุธปื น กรณีตัวอย่างอัตราการฆ่าตัวตายส าเร็จของ จังหวัดกาฬสินธุ์ ปี งบประมาณ 2563-2566 สรุปได้ว่า อัตราการฆ่าตัวตายส าเร็จเพิ่มสูงขึ ้นทุกปี โดยเฉพาะในปี 2564 จนถึง 2565 มีอัตราความส าเร็จเพิ่มขึ ้น เนื่องมาจากสถานการณ์เชื ้อระบาดของโรคโคโรน่าไวรัส 2019 (COVID-19) ทางจังหวัดกาฬสินธุ์ เห็นถึงความส าคัญ จึงจัดท าแบบคัดกรอง 2Q Plus และแบบคัดกรองพฤติกรรมการดื่มสุรา และบุหรี่ เพื่อแยกกลุ่ม โดยแบ่งออก เป็ น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มเปราะบาง อาทิ ผู้ติดยาเสพติด มีพฤติกรรม หุนหันพันแล่น และกลุ่มเสี่ยง อาทิ ผู้ติดสุรา บุหรี่ ครอบครัวที่เคยมีนฆ่าตัวตายส าเร็จ ติดเตียง และ โรคซึมเศร้ า โดยในปี พ.ศ. 2566 ได้ประชาสัมพันธ์ผ่านทุกช่องทาง และใช้ช่องทางออนไลน์ในชุมชน เพื่อรับเรื่องบุคคลที่ก าลังจะฆ่าตัวตาย เพื่อเร่งเข้าไปให้ความช่วยเหลือ กรณีศึกษาจังหวัดหนองบัวล าภูเขตสุขภาพท่ี8 การเสริมสร้างวัคซีนใจในชุมชน ในภาวะวิกฤต (Annual International Mental Health Conference 2023 “Enhancing Collaboration for Violence Prevention and Social Well Being” โดย นายวีรพงษ์ เรียบพร นักวิชาการสาธารณสุขช านาญการ เขตสุขภาพจิตที่ 8 กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ทางกรมสุขภาพจิต เขตสุขภาพจิตที่ 8 ได้เฝ้ าระวังและจัดท าการติดตามผู้ที่ได้รับผลกระทบ จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ ้น โดยแบ่งเป็ น 3 ระยะ ดังนี ้ 1.ระยะปฐมพยาบาลทางใจ PFA หลังเกิดเหตุการณ์ – 72 ชั่วโมง (6-8 ต.ค. 65) โดยมีการ ด าเนินการดังนี ้ จัดตั ้งศูนย์ EOC จัดทีม MCATT ลงพื ้นที่เชิงรุกที่บ้าน และงานศพ โดยมีกลุ่ม A ได้แก่ อบต.อุทัยสวรรค์ มีการด าเนินงาน ดังนี ้1.ประเมิน PFA 2.Crisis Intervention 3.ลงเยี่ยมเสริมสร้ าง ก าลังใจโดยจ าแนกกลุ่มเสี่ยงตาม A B C (*กลุ่ม A คือ ญาติผู้เสียชีวิต /ผู้บาดเจ็บ/ญาติผู้บาดเจ็บ และผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ กลุ่ม B ผู้รับรู้ เหตุการณ์ ประชาชนต าบลอุทัยสวรรค์ นร. ศพด. โรงเรียนท่าอุทัย และโรงเรียนโนนสวาท และกลุ่ม C ประชาชนจังหวัดหนองบัวล าภู) โดยจัดท าทะเบียนกลุ่มเสี่ยง วางแผนการคัดกรอง กลุ่ม A ลงบันทึกฐานข้อมูล Crisis Surveillance System (CMS) และกลุ่ม B C ลงบันทึก MHCI 2.ระยะปฐมพยาบาลทางใจและระยะติดตาม 72 ชั่วโมง – 2 สัปดาห์ (9 – 20 ต.ค. 65) โดยมีกระบวนการทั ้งหมด 7 ขั ้นตอน ดังนี ้ 2.1.การจัดตั ้งศูนย์บัญชาการเยียวยาจิตใจ 2.2.วางแผนลงทะเบียนและติดตามกลุ่ม A,B ใน CMS 2.3.จัดระบบ Folder ผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ ผลรับกระบวนการ 43 ครอบครัว รวมทั ้งครู ศพด. ทั ้งหมด 5 แฟ้ ม


27 2.4.แบ่งกลุ่มผู้ประสบอุบัติเหตุที่ต้องเฝ้ าระวังกลุ่มเสี่ยงตามหลัก Triage (เขียว เหลือง แดง) ติดตามต่อเนื่อง และแบ่งระดับความรุนแรงของผู้ทุกข์ใจ (ระยะติดตาม) 2.5.จัดทีม case management โดยใช้บุคลากรทางการแพทย์ รพจ.เลย สาธารณสุขใน พื ้นที่องค์กรต่าง ๆ ร่วมด าเนินการ 2.6.กิจกรรมก่อนเปิ ดเรียน จัดกิจกรรม เล่น สร้ าง สุข ที่โรงเรียนบ้านท่าอุทัย 2.7.ประสานชุมชน วางแผนการเสริมความเข้มแข็งทางใจในชุมชน ผ่านผู้น าชุมชน อสม. ในหมู่บ้าน ต าบลอุทัยสวรรค์ อ าเภอน ากลาง จากระยะปฐมพยาบาลทางใจและระยะติดตาม 72 ชั่วโมง – 2 สัปดาห์ (9 – 20 ต.ค. 65) โดยมีกระบวนการทั ้งหมด 7 ขั ้นตอน พบระดับความรุนแรงของผู้ ทุกข์ใจในระยะเวลาดังกล่าว มีความเสี่ยงสูงที่จะฆ่าตัวตาย และพบอาการทางจิตเวชจากเหตุการณ์ที่สะเทือนใจอย่างรุนแรง ทางทีมสหวิชาชีพจึงได้ติดตาม เยียมยาและวางแผนการดูแลอย่างต่อเนื่อง ส่วนผู้ที่ได้รับผลกระทบใน เหตุการณ์มีปัญหาเรื่องการนอนแลการกิน รวมไปถึงพบอาการทางจิตเวช 1-2 อาการ จึงใช้การประเมิน ด้วยระบบ R8EOC เสริมสร้ างพลังใจ Mental Health Education เป็ นต้น 3.ระยะต่อเนื่อง หลังเกิดเหตุ2 สัปดาห์ – 3 เดือน (21 ต.ค 65 – 4 พ.ย.65) สรุปประเด็น ส าคัญได้ดังนี ้ สร้ างเสริมความปลอดภัยและมั่นคงทางจิตใจ ลดความกลัว ความวิตกกังวล โดยจัด กิจกรรมรักษาความสงบในชุมชน กิจกรรมการกระจายข่าวผ่านหอกระจ่ายข่าว กิจกรรมร าวงย้ อนยุค กิจกรรมอุทัยสวรรค์เกม กิจกรรมอบรมให้ความรู้ อาชีพต่าง ๆ และกิจกรรมท าบุญ 100 วัน เพื่อช่วยให้คน ในชุมชนได้รับความรู้ ลดความเครียด ความวิตกกังวล ........................................................................


28 การประชุมวันพฤหัสบดีที่ 20 กรกฎาคม 2566 การประชุมภาคเช้า เวลา 09.00 –10.30 น.การประชุมอภิปราย เรื่องปลุกพลังนวัตกรรม: สตาร์ทอัพสุขภาพใจ พาไทยสู่ อนาคต โดยมีวิทยากรร่วมอภิปราย ดังนี ้ 1. ดร.นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ รองผู้ อ านวยการ กองบริ การระบบบริ การสุขภาพจิต และโฆษกกรมสุขภาพจิต 2. นายอมรเทพ สัจจะมุนีวงศ์ ผู้ก่อตั ้ง Sati app 3. ดร.ณัฐกนธ์ อุ่นวรวงศ์ ผู้ร่วมก่อตั ้ง Friday 4. ดร.กุลิสรา บุตรพุฒ นักกลยุทธ์นวัตกรรม ส านักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) 5. แพทย์หญิงวรินทร พิพัฒน์เจริญชัย ผู้ก่อตั ้ง Vulcan Coalition 6.นางสาวเมธาวี ทัศนาเสถียรกิจ ผู้จัดการโครงการ MIND,DMH การบรรยาย ประเด็นการอธิบาย ปลุกพลังนวัตกรรม : สตาร์ทอัพสุขภาพใจ พา ไทยสู่อนาคต Innovations Unleashed : Mental Health Startups and the Path To Future Mental Well – Being จากการบรรยายเป็ นการรวมกลุ่มกันของผู้ประกอบการที่น าเทคโนโลยีและนวัตกรรม มาสร้ างบริการทางการแพทย์ทางไกล บริการส่งเสริมสุขภาพ บริการค้นหาและนัดหมายแพทย์ บริการ จัดหาผู้ดูแลที่บ้าน ระบบบันทึกและวิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพส่วนบุคคล การวิเคราะห์ข้อมูล Big Data


29 ด้านสุขภาพ บริการด้านเทคโนโลยี IoT เทคโนโลยี Blockchain ระบบบริหารจัดการโรงพยาบาล ร้ านยา คลินิก สายรัดข้ อมือ QR Code ข้อมูลสุขภาพ เป็ นต้น สนับสนุนให้เกิดการรวมกลุ่มและพัฒนา ผู้ประกอบการสตาร์ทอัพด้านสุขภาพร่วมกับขับเคลื่อนการปรับสภาวะแวดล้อมทางธุรกิจ เช่น กฎหมาย ระเบียบ ให้สอดคล้องกับบริบทของปัจจุบันและอนาคต เวลา 10.45 –12.15 น. การประชุมอภิปราย เรื่อง การฟื ้นฟูคนพิการทางจิตใจหรือพฤติกรรมสู่ การจ้างงาน เพื่อความสุขของสังคมที่ยั่งยืน โดยมีวิทยากรร่วมอภิปราย ดังนี ้ 1. นางสุภาวดี ตั ้งเจริญ นักวิชาการสาธารณสุขช านาญการ ส านักงานสาธารณสุข จ.สิงห์บุรี 2. นางสาวจีระวรรณ ไผ่เทศ รักษาการผู้จัดการส่วนทรัพยากรบุคคล บริษัท บางจาก จ ากัด 3. นางสาววิษฐิดา อุ้ยตยะกุล ผู้อ านวยการกอง กองทุนและส่งเสริมความเสมอภาคคนพิการ กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ 4. นางสาวเสาวภาคย์ ศรีเนตร นักวิชาการแรงงานช านาญการ กองพัฒนาระบบบริการ จัดหางานกรมการจัดหางาน 5.นางสาวสุรีย์ บญเฉย นักสังคมสงเคราะห์เชี่ยวชาญ โรงพยาบาลศรีธัญญา กรมสุขภาพจิต 6.นาวาเอก ดร.บุญเรือง เกิดอรณเดช ผู้อ านวยการศูนย์ประสานงานเครือข่ายภาครัฐร่วมเอกชน ศูนย์ประสานงานเครือข่ายภาครัฐร่วมเอกชน


30 การฟื้นฟูคนพิการทางจิตใจหรือพฤติกรรมสู่การจ้างงานเพื่อความสุขของสังคมที่ยั่งยืน The recovery-oriented system of people with mental disabilities to be employed in independent living. คนพิการทางจิตใจหรือพฤติกรรม หมายถึง ผู้ ป่ วยจิตเวชที่มีข้ อจ ากัดในการปฏิบัติกิจกรรมในชีวิตประจ าวันการเรียนรู้ การประกอบอาชีพ หรือการเข้ าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคมซึ่งเป็ นผลมาจากความบกพร่อง หรือผิดปกติทางจิตใจ หรือสมองในส่วนของการรับรู้ อารมณ์หรือความคิดส่งผลท าให้ความสามารถ ในการท าหน้าที่ทางสังคม การติดต่อสื่อสารการประกอบอาชีพและการดูแลตนเองลดลง ท าให้รู้ สึก ตนเองไม่มีคุณค่า ไร้ พลังอ านาจ ขาดความภูมิใจท าให้ ไม่สามารถด ารงชีวิตอยู่ในสังคมได้ อย่างเต็มศักยภาพจนส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่ วย วัตถุประสงค์ เพื่อลดความบกพร่องของการใช้ชีวิตประจ าวัน ทักษะทางสังคม การท างาน การเรียนรู้ ของผู้ ป่ วยให้ ได้ มากที่สุด โดยการฟื ้นฟูจิตสังคมต้ องครอบคลุมทั ้งด้ าน จิตใจสังคม และอาชีพ โดยมีเป้ าหมายเพื่อให้ผู้ป่ วยกลับมาท าบทบาทหน้าทีของตนเองได้สามารถประกอบอาชีพมีรายได้เลี ้ยง ดูตนเองได้ ไม่เป็ นภาระกับครอบครัวและสังคมนถูกทอดทิ ้ง ยากจน ไม่มีที่อยู่อาศัย เร่ร่อนสร้ างปัญหา ให้สังคม หลักการและวิธีการ 1.มุ่งที่จะน าเอาจุดแข็งมาใช้เพื่อเติมเต็มจุดอ่อน 2.ภายใต้หลักการว่าทุกคนมีศักยภาพในการเรียนรู้ และเจริญเติบโต 3.ม่งุเน้นทกุคนมีศกัดิ์ศรีของความเป็นมนษุย์เท่าเทียมกนั 4.ให้บริการแบบผสมผสานเพื่อให้ผู้ป่ วยสามารถค้นหาความหวัง อัตลักษณ์ การปรับตัวกับ ความเจ็บป่ วยได้ มีเป้ าหมายใหม่ในชีวิต มีความรับผิดชอบต่อตนเอง 5.ร่วมวางแผนและด าเนินการการฟื ้นฟูระหว่างสหวิชาชีพกับผู้ ป่ วย แบบรายบุคคล รายกลุ่มชุมชน 6.การฟื ้นฟูแบบมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายทั ้งภาครัฐและเอกชน 7.บริการแบบองค์รวม Holistic กระบวนการฟื้นฟูสมรรถภาพทางจติสังคมเข้าสู่การทา งาน/การจ้างงานคนพิการทางจิต 1.คัดกรองผู้ป่ วยจิตเวช • ผู้ป่ วยสมัครใจ • ประเมินด้วยแบบประเมินสมรรถนะทางจิตว่ามีสมรรถนะทางจิตระดับ3-ขึ ้นไป


31 2. ปฐมนิเทศ • ประเมินคุณภาพชีวิตด้วยแบบประเมินคุณภาพชีวิตของกรมสุขภาพจิต • แบบประเมินทักษะการปรับตัวทางสังคมและการท างาน การเตรียมความพร้อมสู่การท างาน โดยใช้โปรแกรมการฟื้นฟูสมรรถภาพทางจิต สังคมและทดลองจ้างงาน 1.ขั ้นการวินิจฉัย -ประเมินทักษะที่จ าเป็ นและแหล่งสนับสนุนทางสังคม -การก าหนดเป้ าหมายในการฟื ้นฟูสมรรถภาพร่วมกันระหว่างผู้ป่ วยและ Job Coach 2. ขั ้นการวางแผนการฟื ้นฟูสมรรถภาพ -วางแผนการพัฒนาทักษะและแหล่งสนับสนุนทางสังคมด าเนินการเพื่อให้ไปถึงเป้ าหมาย ร่วมกันระหว่าง Job Coach กับผู้ป่ วย 3.ขั ้นด าเนินการพัฒนาด าเนินการพัฒนาฝึ กทักษะที่จ าเป็ นเพื่อให้ไปถึงเป้ าหมาย • ฝึ กทักษะการด าารงชีวิตประจ าวัน -การดูแลความสะอาดของร่างกาย การกินยา การท างานบ้ าน การเข้ าห้องน ้า การ รับประทานอาหาร การเก็บล้าง การแต่งตัว ตัดเล็บ จัดเก็บของใช้ส่วนตัว การใช้เงิน • ฝึ กทักษะทางสังคม -ทักษะการสร้ างสัมพันธภาพและการสื่อสาร การจัดการความเครียดและการควบคุม อารมณ์การตัดสินใจ การเสริมพลัง การพัฒนาจุดแข็ง การวางแผนเพื่อไปสู่เป้ าหมายในการมีงานท า • การดูแลตนเองไม่ให้อาการทางจิตก าเริบ 4.ขั ้นการฝึ กงาน/ทดลองงาน ทักษะพื ้นฐานในการท างานและการท างานร่วมกัน • ทักษะการใช้ชีวิตประจ าวันที่เกี่ยวข้องกับการท างาน • ระเบียบวินัย กฎเกณฑ์ทางสังคม การตรงต่อเวลา การแต่งกาย • ลงทะเบียนปฏิบัติงาน ขออนุญาตออกข้างนอก ใบลา การลงโทษ • ความรับผิดชอบต่อหน้าที่การปฏิบัติต่อหัวหน้าและเพื่อน • การออมและใช้เงิน • ระบบจับคู่งานกับคนท างาน (Job Matching) • การวิเคราะห์งาน 5.การฟื ้นฟูสมรรถภาพในชุมชนและEmpowerment - กิจกรรมทัศนศึกษาและออกค่ายนอกสถานที่เพื่อพัฒนาทักษะทางสังคม


32 -จัดกิจกรรมออกร้ านแสดงสินค้าต่าง ๆ - การพาไปสมัครงาน การให้ไปอบรมออกแบบผลิตภัณฑ์ รูปแบบการฟื้นฟูจ้างงานเชิงสังคมคนพิการทางจิตฯผู้ป่วยจิตเวช โดยเครือข่าย ในชุมชนใกล้บ้าน 1) ค้นหาและคัดเลือกเครือข่ายชุมชนที่เข้มแข็งซึ่งยินดีให้สถานที่ในการปฏิบัติงานในชุมชน ใกล้บ้านและให้บุคลากรเป็ นผู้ดูแลและสอนงาน(Job Coach) ฟื ้นฟูทางจิต-สังคมแก่คนพิการทางจิตฯ ที่ได้รับสิทธิ์การจ้างงานตามมาตรา 33และ35จากสถานประกอบการ 2) อบรมเพื่อพัฒนาศักยภาพของบุคลากรภาคีเครือข่ายให้มีความรู้ และทักษะการฟื ้นฟู ทางจิตสังคมเพื่อเป็ นผู้ดูแลและสอนงาน (Job Coach) 3) คัดเลือกคนพิการทางจิตฯ เข้าสู่โครงการการจ้างงานฯ 4) อบรมคนพิการทางจิตฯ และผู้ดูแลให้มีทักษะพื ้นฐานเรื่องทักษะทางสังคม การใช้ ชีวิตประจ าวัน และการท างาน เช่น ทักษะการสร้ างสัมพันธภาพ การดูแลตนเองทางกายทางจิต การสื่อสาร การตัดสินใจและแก้ไขปัญหา การหาแหล่งสนับสนุน การใช้และออมเงิน การเสริมคุณค่า ในตนเอง การปฏิบัติต่อผู้ร่วมงานและผู้บังคับบัญชา การตรงต่อเวลาการแต่งกายเหมาะสมกับกาลเทศะ เพื่อสามารถท างานได้และการรักษางานที่ท าไว้ได้ 5) Job Coach ด าเนินการดูแลฟื ้นฟู/จ้างงานคนพิการทางจิตฯ /ผู้ป่ วยจิตเวชที่เข้าร่วม โครงการและมีการประเมินผลเป็ นระยะ 6) ติดตามเยี่ยมเพื่อก ากับติดตามให้ค าปรึกษา ช่วยเหลือ แก่คนพิการทางจิตฯ/หน่วยงาน ที่รับคนพิการทางจิตฯ ท างาน 7) นักสังคมสงเคราะห์ร่วมกับภาคีเครือข่ายประเมินผลการฟื ้นฟูทางจิต-สังคมสู่การมี งานท าของคนพิการทางจิตฯ ด้วยแบบประเมินทักษะทางสังคมและพื ้นฐานในการท างานด้วยแบบ ประเมินคุณภาพชีวิตคนพิการหลังเข้าร่วมโครงการ 3 เดือน และการไม่เข้ารับการรักษาแบบผู้ป่ วย ในภายใน 90 วัน การจ้างงานแบบSupported Employment การจ้างงานที่ท างานร่วมกับผู้อ่ืนใน สถานประกอบการ ขั ้นตอน 1.ตั ้งเป้ าหมายและวางแผนการด าเนินชีวิตร่วมกับผู้ป่ วย 2.หาสถานประกอบการณ์เพื่อส่งผู้ป่ วยเข้าสถานประกอบการณ์ 3.เตรียมความพร้ อมผู้ป่ วยเพื่อให้ได้งาน


33 ระยะเตรียมการ 1.การประเมินคนพิการ 2.การประเมินสถานประกอบการ การด าเนินการเพื่อการรักษางานและการติดตามประเมินผล • ติดตามเยี่ยมให้การปรึกษาผู้ป่ วย/สถานประกอบการต่อเนื่องเป็ นระยะ หากมีปัญหาเข้า ไปดูแลช่วยเหลืออย่างทันที • ท า focus group ในสถานประกอบการ • การใช้และออมเงิน • การเดินทางการใช้และแบ่งเวลา • การใช้ชีวิตในสังคม การตัดสินใจ การแสดงออก–พูดคุย • การสร้ างสัมพันธภาพกับผู้ร่วมงาน การแต่งกาย ดูแลความสะอาดของตัวเอง บุคลิก ท่าทาง • การรับประทานยาและอาหาร กลุ่มหรือภาคส่วนท่ีเข้ามามีส่วนร่วมในการฟื้นฟู/พิการทางจิตใจฯ 1.หน่วยงานที่มีส่วนผลักดันให้เกิดระบบการจ้างงานคนพิการทางจิตฯ คือ กระทรวง สาธารณสุขกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) กระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย 2.หน่วยงานที่ให้ เงินสนับสนุนในจ้ างงานคนพิการทางจิตใจฯ ตาม ม. 33 และม.35 ประกอบด้วย กฟผ. บริษัท ทีอาร์ซีคอนสตรัคชั่น จ ากัด(มหาชน) บริษัท สหการวิศวกรจ ากัด บริษัท บางจาก รีเทล จ ากัด บริษัท โกลบอลเจทเอ็กซ์เพรส (ไทยแลนด์) บริษัท เอชวาย เอ็กซ์เพรส จ ากัด บริษัท บูรพาโอสถ จ ากัด บริษัทประกันสินเชื่อ ธนาคารออมสิน อุตสาหกรรมขนาดย่อม(บสย.) บริษัท ถ้วยทองโอสถ จ ากัด บริษัท สากลเบเวอเร็ดจ์จ ากัด บริษัท ซีพีรีเทลลิ่ง จ ากัด บริษัท หนิวบีจ ากัด บริษัท สกิลเทคโนโลยี จ ากัดฯ โรงพยาบาลจิตเวชในสังกัด กรมสุขภาพจิต 3.หน่วยงานที่ยินดีรับคนพิการทางจิตใจฯ ที่ได้เงินสนับสนุนการจ้างงานตามมาตรา 33 และ มาตรา 35 จากสถานประกอบการให้ปฏิบัติงานจริงในหน่วยงานใกล้บ้านและให้บุคลากรในหน่วยงาน เป็ น Job Coach ดูแลฟื ้นฟู ประกอบด้วย ร.พ.จิตเวชผู้ใหญ่ในสังกัดกรมสุขภาพจิต หน่วยงานสังกัด ส านักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข เช่น รพ.พระนั่งเกล้า รพ.สุริ นทร์, สสจ.นนทบุรี,รพ.ชุมชน และรพ.สต.หน่วยงานนอกกระทรวงสาธารณสุข เช่น อบต. (อยุธยา ชุมพร อุบลราชธานี มุกดาหาร ) เทศบาลต าบล (จ.อุบลราชธานี) วัด จ.นนทบุรี นิคมสร้ างตนเอง เขื่อนอุบลรัตน์จ.ขอนแก่น ศูนย์คุ้มครอง คนไร้ ที่พึ่งสันมหาพน จ.เชียงใหม่


34 คนพิการทางจิตที่ท างานได้ คนพิการทางจิตที่ผ่านเกณฑ์ 1) บัตรผู้พิการประเภท 4, 5, 6, 7 ประเภท 4 ทางจิตใจหรือพฤติกรรม ประเภท 5 ทางสติปัญญา ประเภท 6 ทางการเรียนรู้ประเภท 7ออทิสติก 2) สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ (มีสมรรถภาพทางจิต 3 ขึ ้นไป) 3) สื่อสาร ปฏิบัติตามและท างานได้ 4) อาการทางจิตทุเลา-ไม่ก าเริบ 5) อายุ 18 ปี ขึ ้นไป (20 ปี ขึ ้นไปจ้างงานได้) 6) ไม่มีโรคประจ าตัวร้ ายแรง 7) เดินทางไป-กลับได้ 8) ไม่จ ากัดวุฒิการศึกษา 9) สมัครใจ-ยินยอมเข้าฟื ้นฟู 10) ครอบครัว/ผู้ดูแลให้ความร่วมมือ รูปแบบการจ้างคนพิการทางจิต มี 3 รูปแบบ 1.การจ้างแบบร้านเพื่อน ท างานในกลุ่มเดียวกัน 2.การจ้างแบบจ้างงานเชิงสังคม ท างานในชุมชน + รพ.สต. 3.การจ้างแบบจ้างงานที่ท างานกับบุคคลอื่น ๆ ท างานในบริษัท ห้างร้ าน คนพิการทางจิตที่ไม่ผ่านเกณฑ์หรือ ยังไม่พิจารณา เช่น อยู่ในเรือนจ า, ลหุโทษ, ติดยา, อื่นๆ การประชุมภาคบ่าย เวลา 13.00 –16.30 น. การประชุมอภิปราย เรื่อง Psychiatric Treatment โดยมีวิทยากร ร่วมอภิปราย ดังนี ้ 1. นายแพทย์ปทานนท์ ขวัญสนิท นายแพทย์เชี่ยวชาญ 2.นางสาวธิติมา ณรงค์ศกัดิ์นักกายภาพบ าบัดช านาญการ ความชุกและปัจจัยท่ีสัมพันธ์กับแนวโน้มการเกดิอันตรกริิยาระหว่างยาในผู้ป่วยจิตเภท โรงพยาบาลศรีธัญญา โดย ทัดตา ศรีบุญเรือง, กรกฎ บัวเทศ ภาควิชาเภสัชกรรมปฏิบัติ คณะเภสัชศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกลุ่มงานเภสัชกรรม โรงพยาบาลศรีธัญญา วัตถุประสงค์:เพื่อศึกษาความชุกของแนวโน้มการเกิดอันตรกิริยาระหว่างยาในผู้ป่ วยโรคจิตเภท (potential drug-drugs interactions, pDDIs) และศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยกับการพบpDDIs ในผู้ป่ วยจิตเภทได้แก่ เพศ อายุ การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ จ านวนชนิดยาที่ได้รับ


35 วัสดุและวิธีการ : การศึกษาแบบภาคตัดขวางเก็บข้อมูลย้อนหลังผู้ป่ วยที่ผ่านเกณฑ์ คัดเข้าจ านวน 96 คน จากเวชระเบียนผู้ป่ วย โรงพยาบาลศรีธัญญา ระหว่างวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2564 – 30มิถุนายน พ.ศ. 2564 และประเมินระดับแนวโน้มการเกิดอันตรกิริยาระหว่างยาพิจารณา จาก ฐานข้อมูล Drug.com ที่สอดคล้องกับฐานข้อมูล Lexicomp® วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปลักษณะผู้ป่ วย และความชุกpDDIs โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยกับ pDDIs ได้แก่ เพศ อายุการสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ จ านวนชนิดยาที่ผู้ป่ วยได้รับ โดยใช้สถิติไคว์แสคว์ ผลการวิจัย: ผู้ป่ วยร้ อยละ 61.5 เป็ นเพศชาย มีอายุเฉลี่ย 50.3 ± 12.5 ปี พบความชุก ของ pDDIsร้ อยละ 98.95โดยพบว่า จ านวนยาที่ผู้ป่ วยจิตเภทได้รับมีความสัมพันธ์กับ pDDIs ในระดับ major(p=0.001) และระดับ minor (p=0.03) โดยผู้ป่ วยจิตเภทที่ได้รับยาตั ้งแต่ 5 รายการขึ ้นไป มีความเสี่ยงต่อการพบ pDDIs ระดับ major สูงกว่าผู้ป่ วยที่ได้รับยาน้อยกว่า 5 รายการ 4.77 เท่า (crude odd ratio, 4.77; 95%CI, 1.91-11.95) สรุป: พบขนาดของปัญหา pDDIs อยู่ในระดับสูง และพบปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับ pDDIs ได้แก่ การได้รับยามากกว่า 5 รายการ ซึ่งสามารถน าข้ อมูลเบื ้องต้นไปออกแบบส าหรับ การติดตามผลทางคลินิก เพื่อส่งเสริมให้เกิดการใช้ยาได้อย่างมีประสิทธิผลและปลอดภัยต่อไป ความสัมพันธ์ระหว่างภาระในการดูแลพฤติกรรมการเผชิญปัญหาภาวะสุขภาพ และภาวะซึมเศร้าของผู้ดูแลผู้ป่วยติดเตียง The Relationships between Care Burden, Coping Behaviors, Health Status and Depression of Family Caregivers of Bedridden Patients ผู้วิจัย : นางสาวปัญญากาญจน์ภริมย์กจินิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาการ พยาบาลจิตเวชและสุขภาพจิต อาจารย์ท่ี ่ปรึกษา รองศาสตราจารย์ดร.ดรุณี รุจกรกานต์ ที่มาและความส าคัญของปัญหาจ านวนผู้ป่ วยที่มีภาวะพึ่งพิง ในประเทศไทย 508,257 คน (ระบบการดูแลระยะยาวของผู้มีภาวะพึ่งพิง, 2565) จ านวนการเพิ่มสูงขึ ้นของ ผู้ป่ วยติดเตียง ในปี2020 จ านวน 131,000 คน คาดว่าในปี2030 จะมี จ านวน 153,000 คน (Panupong et al., 2020) ผู้ป่ วย ติดเตียง ADL อยู่ระหว่าง 0-4 คะแนน ต้องการการช่วยเหลือจากผู้อื่น พบมาในโรคหลอดเลือดสมอง “อัมพฤกษ์/อัมพาต” ผู้พิการจากอุบัติเหตุชราภาพ โรคสมองเสื่อม Informal Caregiver ญาติหรื อบุคคลในครอบครัวของผู้ เจ็บป่ วย ดูแลด้วยความรัก ความผูกพัน ความใกล้ชิด และไม่ได้รับค่าตอบแทน ซึ่งค่าใช้จ่าย 16,000. - บาท /คน/เดือน ผลกระทบ ต่อผู้ดูแล และยังคงให้การดูแลต่อเนื่อง เหนื่อยล้าสะสม ซึมเศร้ า เบื่อหน่าย เครียด ไม่มีผู้แบ่งเบาภาระ ไม่มีเวลาดูแลตนเอง พักผ่อนน้อย และปัญหาทางการเงิน ความรู้สึกเป็นภาระในการดูแลจากการใช้ระยะเวลาดูแลต่อเน่ือง และต่อวันท่ี ยาวนาน ในการท ากิจวัตรประจ าวัน และตามอาการของโรคผู้ป่วย


36 พฤติกรรมการเผชิญปัญหา การจัดการทางความคิดและพฤติกรรม ต่อสิ่งที่มากระทบ ด้านอารมณ์ ความรู้ สึกหรือปัญหา เพื่อเข้าสู่สภาวะสมดุล ขณะให้การดูแลผู้ป่ วย ภาวะสุขภาพ การรับรู้ สุขภาพตนเองทางด้ านร่างกาย และจิตใจ ของผู้ ดูแลผู้ ป่ วย เช่น อาการเจ็บป่ วยทางกาย อาการปวดเมื่อย การนอนหลับพักผ่อน เป็ นต้น ภาวะซึมเศร้ า อาการโศกเศร้ า เสียใจ หดหู่ หมดหวัง ไร้ ค่ามีความคิดด้านลบต่อตนเอง และภายนอก บางรายแสดงออกต่อ พฤติกรรมเช่น ไม่สนใจสิ่งแวดล้อม ควบคุมตนเองได้น้อยลง ไม่มีสมาธิ เป็ นต้น สรุป พฤติกรรมการเผชิญปัญหาภาวะซึมเศร้ าของผู้ดูแลผู้ป่ วยติดเตียงที่ลดลง ส่วนใหญ่ เป็ นบุตรอาศัยอยู่ในครอบครัวขยาย มีการช่วยเหลือและมีความผูกพันที่ดีต่อกัน ร่วมกับระยะเวลา ในการดูแลเฉลี่ย 2 ปี เป็ นช่วงที่มีการปรับตัว และมีทักษะการเผชิญ ปัญหาที่ดีโดยผู้ดูแลเลือกใช้การ เผชิญปัญหาด้วยการมองบวกต่อเหตุการณ์มากที่สุด ภาวะซึมเศร้ าของผู้ดูแลผู้ป่ วยติดเตียงจะเพิ่มมาก ขึ ้นก็ต่อเมื่อมีภาระ ในการดูแลผู้ป่วยติดเตียงเพิ่มมากขึ ้นเท่าใด ผู้ดูแลผู้ป่ วยติดเตียงจะมีภาวะซึมเศร้ า ระหว่างการดูแลที่เพิ่มขึ ้นตามมาด้วย เนื่องจากลักษณะของผู้ป่ วยที่ให้การดูแลมีโรคร่วม และมีความ ยุ่งยากซับซ้อนในการดูแล ใช้เวลาดูแล 14 ชั่วโมง/วัน ท าให้มีอาการปวดเมื่อย หรือรู้ สึกเหนื่อยล้า รวมถึง ภาวะซึมเศร้ าข้อเสนอแนะในการวิจัยด้านวิจัยทางการพยาบาล หน่วยบริการปฐมภูมิ พยาบาลวิชาชีพ ผู้รับผิดชอบงาน บุคลากรด้านสาธารณสุขใช้เป็ นข้อมูล พื ้นฐานในการท าความเข้าใจและให้การดูแล ผู้ดูแล ได้แก่ ตรวจสุขภาพประจ าปีค้นหาแหล่งประโยชน์ช่วยเหลือหรือให้การชื่นชม สนับสนุน และจัด กิจกรรมฟื ้นฟูสุขภาพร่างกาย เพื่อช่วยส่งเสริมป้ องกันและลดผลกระทบที่ก่อให้เกิดภาวะซึมเศร้ า ………………………………………………


37 การประชุมวันศุกร์ที่ 21 กรกฎาคม 2566 การประชุมภาคเช้า เวลา 09.00 –10.30 น. การประชุมอภิปราย เรื่อง นวัตกรรมดูแลจิตใจในผู้ป่ วยซึมเศร้ า ด้วย Dmind และระบบการช่วยเหลือทางไกล โดยมีวิทยากรร่วมอภิปราย ดังนี ้ 1. รศ.ดร.พีรพล เวทีกุล อาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2. นางสาวชลธิชา แย้มมา หัวหน้างาน สายด่วนสุขภาพจิต 1323 3.นางสาวธนาภรณ์ กองพล นักจิตวิทยาปฏิบัติการ นวัตกรรมดูแลจติใจในผูป่วยซึมเศร้าด้วยและระบบช่วยเหลือทางไกล Assoc. Prof. Peerapon Vateekul, Ph.D.Department of Computer Engineering, Faculty of Engineering, Chulalongkorn University คาดการณ์ว่า ในปี พ.ศ. 2200จ านวนคนไทยอายุ15 ปีขึ ้นไปที่เป็นโรคซึมเศร้าต่อประชากร แสนคน และจ านวนผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวช (แพทย์+พยาบาล+นักจิตวิทยา) มีอัตรา 9 จ านวน ต่อประชากรแสนคน ข้อมูลจากกรมสุขภาพจิต จึงได้ จัดตั ้งนวัตกรรมดูแลจิตใจในผู้ ป่ วย ซึมเศร้ า ด้วยระบบช่วยเหลือทางไกล น าระบบ AI เข้ามาช่วยเหลือผู้ป่ วยซึมเศร้ า ด้วยโปรแกรม D MIND (AI for depression) ได้จัดท าร่วมกับบริษัท AIMET จ ากัด จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


38 และกรมสุขภาพจิต โดยทข้อมูลพื ้นฐานจาก สายด่วน 1323 และหมอพร้ อม เพื่อจัดท าฐานระบบข้อมูล ผู้ป่ วยซึมเศร้ า ตามโปรแกรมดังนี ้ AI System for Depression Scoring ระบบ AI ส าหรับการวัดระดับซึมเศร้า 1.Patient Answering Question with Avatar 2.Automated Avatar Interview 3.Depression Prediction AI ความสามารถของ AI ในปัจจุบัน สามารถจดจ าใบหน้า และวิเคราะห์ใบหน้าใน 7อารมณ์ได้แก่ โกรธ รังเกียจ กลัว มีความสุข เศร้ า และแปลกใจ 4.Depression Report System ระบบรายงานภาวะซึมเศร้ า 5.Psychologist Access Depression Result ผลวิเคราะห์ภาวะซึมเศร้ า Helpline สายด่วนสุขภาพจิต 1323 ให้บริการโดยนักจิตวิทยา ให้การปรึกษาทุกปัญหา สุขภาพจิต ให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง ทุกวัน พบว่าผู้ใช้บริการส่วนใหญ่ มีความเครียดและความวิตก กังวล จนถึงระดับความต้องการฆ่าตัวตาย จึงมีการคัดกรองภาวะซึมเศร้ า (Dmind) เพื่อประเมิน สถานการณ์ของผู้ใช้บริการ ดังนี ้ ที่มา : นวัตกรรมดูแลจิตใจในผู้ป่วยซึมเศร้าด้วยและระบบช่วยเหลือทางไกล ..........................................................................


39 ตามที่ได้รับมอบหมายเข้าร่วมประชุมวิชาการสุขภาพจิตนานาชาติครั ้งที่ 22 ประจ าปี 2566 ระหว่างวันที่ 19 – 21 กรกฎาคม 2566 ณ โรงแรมปรินซ์ พาเลช กรุงเทพมหานคร สรุปได้ความว่า สังคมไทยประสบกับปัญหาความรุนแรงในหลายมิติและหลากหลายรูปแบบ และปัญหาดังกล่าว มีความรุนแรงเพิ่มขึ ้น ทั ้งต่อร่างกายหรือจิตใจ รวมถึงมิติทางสังคม เช่น การฆ่าตัวตาย ความรุนแรง ในครอบครัว ความรุนแรงในเด็กและเยาวชน การก่ออาชญากรรม เป็ นต้น ทางกรมสุขภาพจิตจึงต้องการ ส่งเสริมการพัฒนาระบบการดูแลช่วยเหลือสุขภาพจิตเด็ก กลุ่มเปราะบางทางสังคม และครู / ผู้ดูแล รวมถึงการฟื ้นฟูคนพิการทางจิตใจหรือพฤติกรรมสู่การจ้างงาน เพื่อเสริมสร้ างภูมิคุ้มกันทางใจ ป้ องกัน ปั ญหาการฆ่าตัวตายและความรุนแรง โดยใช้นวัตกรรมนวัตกรรมดูแลจิตใจในผู้ ป่ วยซึมเศร้ า ด้วย Dmind และระบบการช่วยเหลือทางไกล เพื่อความสุขของสังคมที่ยั่งยืน ผลที่สภาสังคมสงเคราะห์ได้รับจากการไปประชุมครั้งนี้ 1. จะเป็ นประโยชน์ส าหรับคณะกรรมการฝ่ายเด็กและเยาวชน ในการที่จะปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม ให้กับเด็ก เมื่อเด็กโตขึ ้นจะได้มีภูมิต้านทานในการที่จะป้ องกันตนเอง ให้ห่างจากสิ่งที่ ก่อให้เกิดปัญหาแก่เด็กและเยาวชน 2. ท าให้เด็กและเยาวชนลดความเครียด ซึ่งเป็ นอุปสรรคส าคัญต่อการพัฒนาทางด้านร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์และสังคม เพื่อให้เด็กเติบโตขันมาเป็ นเด็กที่มีสุขภาพจิตที่ดี มองโลก ในแง่ดี ซึ่งจะเป็ นเป็ นวิธีหนึ่ง ที่ช่วยลดปัญหาสังคมได้ สรุปรายงานการประชุมฯ โดยนางสาวขนิษฐา เรืองขนาบ หัวหน้าฝ่ าย สังคมสงเคราะห์ ส านักสงเคราะห์และสวัสดิการสังคม ****************************************************************


Click to View FlipBook Version