องค์ประกอบการเป็นผู้น�ำ การเป็นผู้น�ำที่มีคุณภาพไม่ใช่เป็นกันง่ายๆที่ใครอยากเป็นก็เป็นได้จะต้องมีการเตรียมตัวสร้างปลูกฝัง กันมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ในต่างประเทศจะมีแบบวัดบุคลิกภาพ เจตคติความถนัด ระดับสติปัญญา เพื่อให้ทราบถึงความ สามารถ ความถนัด และความสนใจของเด็ก เพื่อใช้ในการพัฒนาส่งเสริมทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์และสังคม โดยทางโรงเรียนและครอบครัวจะร่วมมือกันเพื่อพัฒนาให้เด็กเติบโตขึ้นมาเป็นทรัพยากรมนุษย์ ที่มีคุณภาพของสังคมเป็นผู้น�ำที่มีคุณภาพ มีจริยธรรม เมื่อต้องเผชิญกับปัญหาสิ่งยั่วยวนต่าง ๆ ที่สังคมไม่ยอมรับ สิ่งที่ได้รับการอบรมปลูกฝังมาจะช่วยยับยั้งการตัดสินใจสามารถแยกแยะสิ่งถูกสิ่งผิดก่อนที่จะตัดสินใจกระท�ำ ในสิ่งที่ขัดต่อระเบียบของสังคม มีการรู้สึกผิดชอบชั่วดี การเป็นผู้น�ำจ�ำเป็นจะต้องพร้อมด้วยองค์ประกอบส�ำคัญ และจะต้องมีการปลูกฝัง สร้างให้เป็นผู้น�ำที่เพียบพร้อม มีคุณภาพ และมีพลังของการเป็นผู้น�ำ ๑. องค์ประกอบทางสรีระองค์ประกอบทางสรีระในที่นี้ได้แก่ลักษณะรูปร่าง น�้ำหนักส่วนสูงและ ความแข็งแรงของร่างกาย ความสัมพันธ์ขององค์ประกอบทางสรีระและความเป็นผู้นํานี้จะผันแปรไปตามลักษณะ ของกลุ่มแต่ละกลุ่ม แต่เป็นการแน่นอนว่า ส่วนใหญ่แล้วคนทั่วไปมักจะนิยมชมชื่นผู้นําที่มีรูปร่างสมส่วน และมี ความเข้มแข็งทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ ปีเตอร์กาย นอร์ทเฮ้าส์ (Peter Guy Northouse) ได้ชี้ให้เห็นถึง ลักษณะบุคลิกภาพของการเป็นผู้นํา โดยเริ่มต้นจากด้านสรีระอันประกอบด้วย ๑.๑ ส่วนสูงของร่างกาย เชาวน์ปัญญา ลักษณะการแสดงออกที่กระฉับกระเฉง คล่องแคล่ว ว่องไว แสดงออกได้ถึงสภาวะการเป็นผู้นํา มีมนุษยสัมพันธ์มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับบุคคลรอบตัว ๑.๒ มีทักษะของการนํา คือ มีความชํานาญ เชี่ยวชาญจากประสบการณ์การทํางาน ที่ได้จาก ประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้หรือฝึกปฏิบัติมาอย่างดีทักษะ “การนํา” โดยทั่วไปประกอบด้วย ๑.๒.๑ ทักษะความชํานาญ ความเชี่ยวชาญ ๑.๒.๒ ทักษะการอยู ่ร ่วมกับคนอื่นได้อย ่างมีคุณภาพ รู้จักธรรมชาติของคน เข้าใจคน อันจะนําไปสู่ความสามารถที่จะทํางานร่วมกับบุคคลอื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๑.๒.๓ ทักษะทางความคิด มีมโนทัศน์ที่สร้างสรรค์หลากหลาย อันนําไปสู่ความสามารถ ด้านการคิดวิเคราะห์ความคิดริเริ่มแบบสร้างสรรค์อย่างไรก็ตาม ยังมีผู้นําที่มีชื่อเสียงหลายท่านที่ไม่ได้มีลักษณะ ดังกล่าว แต่ก็เป็นที่ยอมรับของกลุ่มได้ ๒. องค์ประกอบทางสติปัญญา คําว่าสติปัญญานี้สามารถให้ความหมายครอบคลุมได้ดังต่อไปนี้ ประการแรก หมายถึง ความสามารถในการที่จะปรับปรุงตนเอง หรือเปลี่ยนแปลงตนเอง เพื่อให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่เป็นอยู่หรือที่กําลังเผชิญกับปัญหาอยู่ ผู้ที่มีสติปัญญาสูงจะสามารถปรับตนเองหรือ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตนเองให้เข้ากับสภาพนั้น ๆ ได้ส่วนผู้ที่มีสติปัญญาต�่ำอาจทําได้ยาก ทําได้น้อยมาก หรือทําไม่ได้เลย รายงานการดำเนินงาน สมาคมสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย 191 ในพระบรมราชูปถัมภ์ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๕
ประการที่ ๒ หมายถึง ความสามารถในการศึกษาหรือการเรียนรู้ผู้ที่มีสติปัญญาสูงก็สามารถ ที่จะศึกษาเรียนรู้หรือเข้าใจในสิ่งที่ตนต้องศึกษาหรือกําลังศึกษาได้อย่างรวดเร็วและลึกซึ้งกว่าผู้ที่มีสติปัญญาต�่ำ ประการที่ ๓ หมายถึง ความสามารถในการใช้ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์เพื่อให้เกิดประโยชน์ แก่ตนเองและต่อส่วนรวม นอกจากนี้ ยังมีความสามารถที่จะคิดในสิ่งที่เป็นนามธรรม สามารถที่จะนําความคิด ดังกล่าวมาประยุกต์ในการแก้ไขปัญหา หรือแก้ไขสถานการณ์วิกฤตต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้ ระดับสติปัญญาจะมีความสาคัญยิ่งต่อการด ํ ารงชีวิต ํ ต่อการปรับตัวการศึกษาการทางานํ การอยู่รวมกัน ในกลุ่มและการแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น หากผู้นามีระดับสติปัญญาในระดับปรกติหรือระดับฉลาดก็จะท ํ าให้การ ํ เป็นผู้นาของบุคคลนั้นประสบความส ํ าเร็จหรือมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ํ แต่มิได้หมายความว่าผู้นาทุกคนจะต้องเป็น ํ ผู้ที่ฉลาดกว่าปรกติหรือเป็นอัจฉริยะ เพราะหากฉลาดกว่าปรกติหรือเป็นอัจฉริยะแล้วอาจนําไปสู่การมีปัญหา การปรับตัวและหรือการอยู่ร่วมกับกลุ่มได้ เพราะฉะนั้นผู้นาควรจะต้องมีระดับสติปัญญาในระดับปรกติ ํหรือฉลาด ปรกติคือไม่ฉลาดจนเกินไปหรือฉลาดน้อยอย่างไรก็ตาม สิ่งสาคัญยิ่งที่ผู้น ํ าควรจะต้องมีคือความสามารถที่จะปรับ ํ ตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมและสถานการณ์ต่าง ๆ ได้สามารถที่จะวิเคราะห์และสังเคราะห์ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น และนามาประยุกต์ให้เกิดผลในสภาพที่เป็นจริงได้ ํ กล่าวโดยสรุป องค์ประกอบทางสติปัญญาจึงถือได้ว่ามีความสาคัญ ํ อย่างมากต่อการเป็นผู้นํา องค์ประกอบทางสติปัญญา ประกอบด้วย ๑. เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถในการปฏิบัติภารกิจที่รับผิดชอบให้สำ� เร็จลุล่วงได้ดี ๒. เป็นผู้เฉลียวฉลาด ทันคน สามารถควบคุมการท�ำงาน และใช้คนได้อย่างเหมาะสม ๓. เป็นผู้ที่มีปฏิภาณไหวพริบดีสามารถแก้ไขสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ ๓. องค์ประกอบทางอารมณ์ ในที่นี้หมายถึงความสามารถทางอารมณ์(Emotional Intelligence Competencies) หรือเชาวน์อารมณ์ (Emotional Quotient) ซึ่งหมายถึง ความสามารถในการตระหนักรู้ถึง ความรู้สึกของตนเองและผู้อื่น เพื่อการสร้างแรงจูงใจให้กับตนเองและผู้อื่น บริหารจัดการอารมณ์ของตนเองและ ผู้อื่นเพื่อการสร้างแรงจูงใจให้กับตนเอง บริหารจัดการอารมณ์ของตนเอง ผู้นําที่มีความสามารถทางอารมณ์และ หรือมีเชาวน์อารมณ์จะมีคุณลักษณะดังต่อไปนี้ ๑. รู้จักตนเอง กล้าที่จะตัดสินใจ และประเมินตนเองตามความเป็นจริงได้ บริหารความเครียดได้ มีมุมมองที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ๒. ควบคุมอารมณ์ควบคุมความรู้สึกและการแสดงออกของตนเองได้ ๓. สร้างแรงจูงใจที่ดีให้กับตนเอง มองโลกแง่ดีไม่ท้อแท้ง่าย ๔. มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีมีอารมณ์ขัน แก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้าได้ดีและมีจิตสํานึกของการเป็นผู้นํา อย่างไรก็ตาม มิได้หมายความว่าผู้นาํทุกคนจําเป็นจะต้องมีคุณสมบัติครบตามที่ได้ระบุมาเหมือนกันหมด แต่ควรพยายามพัฒนาให้มีคุณสมบัติดังกล่าวให้มากที่สุดเท่าที่จะท�ำได้ความเป็นผู้นํานอกจากจะต้องพัฒนากัน ในระยะยาวด้วยการปลูกฝังบุคลิกภาพ ลักษณะนิสัย ปลูกฝังจิตสํานึกตั้งแต่ในวัยเด็ก ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว 192 รายงานการดำเนินงาน สมาคมสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๕
การพัฒนาบุคคลให้เป็นผู้นาก็ยังสามารถพัฒนาในระยะสั้นได้ด้วยการ ํ “ปลูกจิตสานึก” ํ ให้เกิดขึ้นใหม่ด้วยการยอมรับ แก้ไขข้อบกพร่องของตนเอง พัฒนาบุคลิกภาพ ทั้งนี้ลักษณะนิสัยที่เป็นอุปสรรคต่อการเป็นผู้นําที่ดีคือ ๑. การใช้อารมณ์เป็นหลัก ขาดเหตุผล ขาดการรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ๒. การลืมตัว หลงอํานาจ ๓. การขาดคุณธรรม จริยธรรม ขาดการรู้ว่าสิ่งใดไม่ควรปฏิบัติขาดความยุติธรรม ๔. ความไม่เป็นตัวของตัวเอง ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง ไม่กล้าตัดสินใจ ๕. การขาดความรับผิดชอบ ๖. การขาดความเป็นนักประชาธิปไตย ชอบใช้อํานาจ ๔. จิตสํานึกของผู้นํา การจะเป็นผู้นําที่ยิ่งใหญ่ หรือ เป็นผู้นําที่ประสบความสําเร็จได้ นอกจาก การเป็นที่รักและยอมรับของกลุ่ม เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถแล้ว ยังจําเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเป็นผู้ที่มีจิตสํานึก ของความเป็นผู้นําอยู่ในส่วนลึกของจิตใจอีกด้วยซึ่งเรื่องการปลูกฝังจิตสํานึกนี้เป็นสิ่งสําคัญและจําเป็นจะต้องสร้าง และปลูกฝังกันตั้งแต่ยังเป็นเด็กหรือในช่วงวัยเด็กโดยเฉพาะในช่วงวัยที่นักจิตวิทยาเรียก“crucialperiod”ซึ่งเป็น ช่วงปลูกฝังความเป็นมนุษย์ที่มีคุณภาพ ในช่วงอายุ ๑-๖ ปีแรกของชีวิต เป็นช่วงเวลาที่ภาระตามขั้นตอนพัฒนา ตามวัยมีความสําคัญ ต้องได้รับการเสริมขั้นการพัฒนาเพื่อพัฒนาปลูกฝังลงลึกไว้ในจิตใจ สําหรับเป็นมาตรการ ควบคุมการกระทําพฤติกรรมเมื่อเติบโตขึ้น เพราะฉะนั้นจึงเป็นหน้าที่สําคัญของครอบครัว คือ พ่อแม่และสถาบัน การศึกษา คือ ครูอาจารย์ ที่จะต้องช่วยเสริมสร้างและสนับสนุนให้ภาระตามขั้นพัฒนาดังกล่าวได้รับการพัฒนา อย่างเต็มที่ เพราะนอกจากจะเป็นการปลูกฝังจิตสํานึกที่สําคัญแล้ว ยังมีผลต่อการพัฒนาบุคลิกภาพของบุคคล นั้นเมื่อเติบโตขึ้น ทําให้บุคคลนั้นเติบโตขึ้นมาเป็นบุคคลที่มีคุณภาพของสังคม นักจิตวิทยายอมรับว่าภาระตามขั้น พัฒนาในช่วงอายุ๑ - ๖ ปีแรกเป็นช่วงสําคัญยิ่งของชีวิตมนุษย์เพราะเป็นช่วงสร้างและปลูกฝังลักษณะบุคลิกภาพ ที่สําคัญของชีวิตมนุษย์อันได้แก่ จิตสํานึกของผู้นํา ๑. ความเชื่อมั่นในตนเอง ความเป็นตัวของตัวเองไม่ขึ้นกับผู้อื่น ความมีอิสระในตนเอง ไม่ว่าจะ เป็นด้านการกระทําหรือมีอิสระในการตัดสินใจ กล้าตัดสินใจ และรับผิดชอบในการตัดสินใจนั้น ซึ่งจะอยู่ในช่วง อายุแรกเกิด - ๑ ปีแรกของชีวิต ๒.ช่วงปลูกฝังการรับรู้สิ่งถูกสิ่งผิดการรับรู้สิ่งใดควรสิ่งใดไม่ควรการปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรม ช่วงการพัฒนานี้จะอยู่ในช่วงอายุ๑ - ๒ ปี ๓. ช ่วงปลูกฝังความมีเหตุมีผล มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ความมีระเบียบ ความมีวินัย ความรับผิดชอบ (ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นคุณลักษณะของนักประชาธิปไตยที่มีคุณภาพที่สังคมต้องการ) ซึ่งช่วงการพัฒนา นี้จะอยู่ในช่วงอายุ ๒ - ๓ ปี ๔. ช่วงปลูกฝังการยอมรับบทบาทหน้าที่อันพึงปฏิบัติในสังคม การยอมรับบทบาทความเป็น ชาย - หญิง บทบาทความเป็นพี่ - น้อง การปฏิบัติตามบทบาทที่ตนครองอยู่ เป็นต้น รายงานการดำเนินงาน สมาคมสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย 193 ในพระบรมราชูปถัมภ์ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๕
จิตสานึกของการเป็นผู้น ํ านั้น ํมีผู้ทาการศึกษาไว้มากมาย ํ เช่น เบอร์นาร์ด (Bernard: 1968) โคลแมน (Coleman: 2011) ไอเซ็กก์(Eysenck: 1994) วากเนอร์(Wagner: 1987) แม็กเคลแลนด์(McCleland: 1983) และ คูเปอร์ (Cooper: 2010) ล้วนแล้วแต่ยอมรับความสําคัญของการเสริมสร้างขั้นพัฒนาในช่วง “Crucial period” หรือช่วงปลูกฝังความเป็นมนุษย์ที่มีคุณภาพ มุ่งเน้นการสร้างคนให้เป็นทรัพยากรมนุษย์ของสังคมและประเทศชาติ พร้อมด้วยองค์รวม ๕ ประการ คือ ร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์และสังคม อันจะนําไปสู่การมีจิตสํานึกของ การเป็นบุคคลที่มีคุณภาพ มีคุณธรรม จริยธรรม ประเภทของผู้นํา ผู้น�ำจําแนกได้หลายประเภท ในที่นี้จะจําแนกออกเป็น ๓ ประเภทใหญ่ๆ คือ ๑. พิจารณาจากความรับผิดชอบที่ผู้นํารับผิดชอบอยู่ ๑.๑ ผู้นําซึ่งได้มาโดยอํานาจ ผู้นําที่เป็นผู้นําขึ้นมาโดยอาศัยอํานาจตามกฎหมาย อํานาจการ ปกครอง อํานาจการบังคับบัญชา ทําให้สามารถสั่งการผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติให้เกิดประโยชน์ในการดําเนินงาน วิธีการที่ผู้นําในลักษณะนี้ใช้คือ ก. ผู้น�ำแบบใช้พระเดช เป็นผู้น�ำที่ใช้มีอํานาจตามตัวบทกฎหมายและสามารถใช้อํานาจได้ ตามกฎหมาย ผู้ใต้บังคับบัญชาต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตามผู้นําประเภทนี้ได้แก่ผู้นําตามหน่วยราชการต่าง ๆ ข. ผู้น�ำแบบใช้คุณลักษณะพิเศษหรือมีความสามารถพิเศษประจําตัว เป็นผู้นําที่มีพรสวรรค์ โดยกําเนิด มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี มีความสามารถในการโน้มน้าว เข้าใจคน ความสัมพันธ์ระหว่างผู้นําและสมาชิก ในกลุ่มจะเป็นพลังให้สมาชิกเหล่านั้นร่วมกันปฏิบัติตามคําแนะนําด้วยความพร้อมเพรียง ค. ผู้นําแบบพ่อพระ เป็นผู้นําที่เป็นจุดศูนย์กลางแห่งความรัก เป็นจุดศูนย์กลางการรวมศรัทธา ความเชื่อมั่นจากคนทั้งปวง ไม่ใช้อํานาจตามแบบอย่างผู้นําแบบใช้พระเดช แต่สมาชิกในกลุ่มหรือประชาชน จะพร้อมใจกันปฏิบัติตาม ผู้นําแบบพ่อพระที่เห็นได้ชัด คือ องค์พระมหากษัตริย์ ๒. พิจารณาจากวิธีการที่ผู้นําใช้ ๒.๑ ผู้นําแบบอัตนิยมหรือผู้นําแบบเผด็จการ ผู้นําประเภทนี้มีความก้าวร้าว ใช้อํานาจเหนือ ผู้อื่น ข่มผู้อื่น ทําตัวเป็นจุดศูนย์กลางของกลุ่ม มีความกล้า บ้าบิ่น เกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่มีต่อผู้อื่นนั้นมีน้อยมาก ผู้นาแบบอัตนิยมจะมุ่งหนักไปทางด้านวินัย ํและมักใช้สัญลักษณ์ภายนอกเช่นเครื่องแบบที่แสดงถึงฐานะและอานาจํ เป็นต้น ผู้นําประเภทนี้ส่วนใหญ่แล้วจะมีความเชื่อมั่นในตนเองเท่านั้น ความเชื่อในผู้ใต้บังคับบัญชามีน้อยมากหรือ แทบไม่มีเลย ๒.๒ ผู้นําแบบประชานิยม หรือการเป็นผู้นําแบบประชาธิปไตย ผู้นําประเภทนี้จะไม่มุ่งความ สนใจเกี่ยวกับการมีอํานาจเหนือผู้อื่น แต่จะนํากลุ่มโดยอาศัยวิธีการเชิญชวนให้สมาชิกในกลุ่มมีส่วนร่วม สมาชิก ในกลุ่มจะได้รับการสนับสนุนให้แสดงความคิดเห็นได้อย่างเต็มที่ นโยบายและการปฏิบัติจะมาจากความคิดเห็น ของสมาชิกในกลุ่มร่วมกันพิจารณาตัดสิน 194 รายงานการดำเนินงาน สมาคมสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๕
๒.๓ ผู้นําแบบเสรีนิยม ผู้นําประเภทนี้จะปล่อยปละละเลยเปิดโอกาสให้สมาชิกในกลุ่มใช้ เสรีภาพอย่างกว้างขวางจนดูประหนึ่งขาดหลักการ ยินยอมให้ทุกคนปกครองตนเองมากกว่าที่จะชี้นํา หรือจํากัด แนวทางการปฏิบัติเป็นผู้นําประเภทปล่อยกลุ่มตามสบาย ในบางครั้งอาจจําเป็นจะต้องกํากับก็เป็นการกํากับหรือ ดูแลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ลักษณะผู้นําประเภทนี้โดยทั่ว ๆ ไปจะมีลักษณะเหนื่อยหน่ายเฉื่อยชา สมาชิกในกลุ่ม ต่างทํางานตามความพอใจของตนเอง เป็นกลุ่มที่ขาดระเบียบวินัยที่สุด ๓. พิจารณาจากบทบาทที่ผู้นําแสดง ๓.๑ ผู้นําแบบแสดงตนเองในลักษณะพ่อแม่ปกครองลูกผู้น�ำประเภทนี้จะทําตัวเหมือนพ่อแม่ มุ่งให้ลูกน้องเชื่อฟังและปฏิบัติตามเสมือนหนึ่งเป็นลูกหลาน ดูแลปกป้องและคุ้มครองลูกน้อง ๓.๒ ผู้นําแบบใช้กลอุบายกุมบังเหียนการบริหาร ผู้นําประเภทนี้จะพยายามสร้างอํานาจ ใช้อํานาจโดยอาศัยประสบการณ์ความรอบรู้และฐานะตําแหน่งของตนให้เข้ากับสถานการณ์ พยายามเชิดบุคคล หนึ่งขึ้นให้แสดงบทบาทเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ๓.๓ ผู้นําในลักษณะผู้เชี่ยวชาญ ผู้นําประเภทนี้จะไม่มีอํานาจในการบังคับบัญชาผู้อื่น ไม่ใช่ หัวหน้างานโดยแท้จริงเพียงแต่คอยให้คําแนะนําทางวิชาการในสาขาที่ตนรอบรู้และถนัด เมื่อได้ทราบและเข้าใจความหมายของค�ำว่าผู้น�ำแล้ว ใคร่ขอเน้นให้เห็นถึงความส�ำคัญของค�ำว่า พลังในจิตใจของบุคคลที่ประสบความส�ำเร็จในการเป็นผู้น�ำ ทั้งนี้เพราะพลังภายในจิตใจแสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็ง ของจิตใจ รวมไปถึงความสามารถที่มีอยู่ในตัวของบุคคลนั้น น�้ำหนักของความเป็นผู้น�ำหรือบุคคลที่มีพลังส่วนใหญ่ จะเป็นบุคคลที่มีลักษณะคล่องแคล่ว ว่องไว หรือที่เรียกว่ามีType บุคลิกภาพประเภท ActiveTypePersonality ลักษณะเด่นทางบุคลิกภาพของผู้น�ำที่มีพลังภายในจิตใจ ๑. มีความเด็ดขาด กล้าเผชิญ กล้าที่จะต่อสู้เพื่อหลักการ ต่อสู้ในสิ่งที่ถูกต้องเมื่อต้องเผชิญกับ ปัญหาต่าง ๆ ๒. มีเทคนิควิธีการที่จะกระตุ้นให้ลูกน้องกล้าที่จะแสดงออกกล้าสู้ปัญหา ไม่ท้อแท้พร้อมรับปัญหา ๓. มีความตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ๔. มีความเชื่อมั่นและมีความมั่นคงในตนเอง ๕. มีความสามารถที่จะบริหารอารมณ์ตนเองได้อย่างมีคุณภาพ ๖. มีสติปัญญา มีความเฉลียวฉลาด รู้ว่าควรจะแก้ปัญหาอย่างไรในเหตุการณ์เฉพาะหน้าที่เกิดขึ้น “ตัวอย่าง” ที่ใคร่จะหยิบยกมาประกอบให้เห็นถึงลักษณะพลังภายในจิตใจของความเป็นของผู้น�ำ หรือของผู้น�ำที่มีพลัง ในประวัติศาสตร์ชาติไทย หลังกรุงศรีอยุธยาถูกพม่าตีแตก พระเจ้ากรุงธนบุรีหรือพระยา ตากสิน ท่านได้รวบรวมผู้คนมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก ตีเมืองชลบุรีได้และมุ่งหน้าต่อไปยังเมืองจันทรบุรีซึ่งติด ทะเล มีทางหลบหนีออกทางทะเลได้เจ้าเมืองจันทรบุรีไม่ให้ความร่วมมือ พระยาตากสินสั่งลูกน้องรวบรวมก�ำลัง รายงานการดำเนินงาน สมาคมสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย 195 ในพระบรมราชูปถัมภ์ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๕
เพื่อไปตีเมืองจันทรบุรีหลังกินอาหารเสร็จพระยาตากสินได้สั่งให้ลูกน้องทุบหม้อข้าวหม้อแกงทิ้งให้หมด ไม่ให้น�ำ ติดตัวไป และประกาศกับลูกน้องว่าจะไปตีเมืองจันทรบุรีให้ได้อาหารมื้อต่อไปจะไปกินที่เมืองจันทรบุรีให้ทุกคน ร่วมมือร่วมใจกันต่อสู้เพื่อตีเมืองจันทรบุรีให้ได้ลูกน้องทุกคนให้ความร่วมมือตามที่ผู้น�ำสั่งด้วยความมุ่งมั่นและแรง กระตุ้นจากผู้น�ำ ในที่สุดก็ตีเมืองจันทรบุรีได้ สรุป ผู้น�ำคนใดมีพลังจิตใจที่เข้มแข็ง หรือมีinner strength คือผู้น�ำที่ ๑.มีแรงจูงใจที่จะกระตุ้นตนเองให้สามารถรับผิดชอบงานที่ได้รับมอบหมายให้สําเร็จลุล่วงลงได้ อย่างมีคุณภาพ ๒. มีความเชื่อมั่นในตนเอง เป็นตัวของตัวเอง มีความหนักแน่น ไม่อ่อนไหวสามารถแสดงบทบาท การเป็นผู้นําได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย ในเวลาเดียวกันก็ให้ความเชื่อมั่นใน “บุคคล” ที่ตนมอบหมายให้รับผิดชอบ ๓.รู้จักตนเองยอมรับตนเองยอมรับข้อบกพร่องของตนเองและของผู้อื่นและพร้อมที่จะยอมรับ ผลการกระทําของตนเอง ๔. รู้สิ่งที่ถูก และสิ่งที่ผิด มีคุณธรรม ยึดความชอบธรรมเป็นที่ตั้ง มีจริยธรรม มีความละอายต่อ การกระทําที่ผิดศีลธรรมอันดีงามและสังคมไม่ยอมรับ ตั้งอยู่บนความถูกต้องและรักความถูกต้อง ๕. มีสุขภาพจิตดีมีจิตใจเข้มแข็ง อดกลั้นอดทน มานะพยายาม ไม่หวั่นไหว เมื่อเผชิญปัญหา สามารถเผชิญปัญหาได้ด้วยเหตุผลไม่ใช้อารมณ์มองโลกในแง่ดี มีความมั่นคงทางอารมณ์และพร้อมที่จะเผชิญกับ ปัญหาหรืออุปสรรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ๖. มีความกระตือรือร้น รับผิดชอบต่อตนเอง ลูกน้อง และหน้าที่การงาน กล้าที่จะตัดสินใจและ รับผิดชอบต่อสิ่งที่ได้กระทําลงไป เป็นนักประชาธิปไตย มีเหตุมีผลยอมรับความคิดเห็นผู้อื่น เคารพกฎระเบียบ กล้ารับคําติชม มีกติกาในชีวิต ยึดมั่นในหลักการ หลักวิชา และกล้าทําในสิ่งที่ถูกต้อง ๗. สามารถควบคุมตนเองได้เป็นตัวของตัวเอง เป็นอิสระในตนเอง ไม่ขึ้นกับอิทธิพลของผู้ใด ๘. มีความรู้มีสติปัญญาสูง รู้จักฟัง รู้จักคิดและคิดในทางสร้างสรรค์มองการณ์ไกลไม่มองเฉพาะหน้า มีวิสัยทัศน์มุ่งอนาคต ๙. ยืนหยัด กล้าทําในสิ่งที่ถูกต้อง กล้าพูด กล้าชี้แนะหากมีการกระทําที่ไม่ถูกต้องเกิดขึ้น ๑๐.ตรงไปตรงมาและดูแลผลประโยชน์ขององค์กรอย่างเต็มที่สังคมไทยเป็นสังคมญาติมิตรผู้นํา จําเป็นจะต้องเข้าใจลึกซึ้งกับคํานี้และจัดการกับสถานการณ์“Conflict of interest” ซึ่งเกี่ยวข้องกับ ก) การเอื้อประโยชน์ต่อญาติพี่น้อง ด้วยการอนุมัติอนุญาต ข) ปฏิบัติหน้าที่โดยมุ่งรับของตอบแทน รู้วิธีการจัดการกับผลประโยชน์ทับซ้อน ซึ่งขึ้นอยู่ กับกําลังใจและการฝึกฝนที่ได้รับการปลูกฝังมา * ตัวอย่างข้อมูลได้จากการสัมภาษณ์ศ.ดร.ปิยนาถ บุนนาค เมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๖๕ 196 รายงานการดำเนินงาน สมาคมสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๕
๑๑. มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีสุภาพ อ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ก้าวร้าว มีความจริงใจ รู้จักเลือกใช้บุคคลตามความ สามารถที่เหมาะสม ซึ่งไม่จําเป็นจะต้องมีจํานวนมาก มีกติกา มารยาทในการบริหารใช้อํานาจอย่างถูกต้อง ไม่หยาบคาย ๑๒. เป็นผู้ที่ยืดหยุ่นเป็น ไม่ยึดมั่นถือมั่น – ผ่อนปรนเป็น รู้จักบูรณาการเชื่อมโยงเรื่องต่าง ๆ เข้าด้วยกันไม่ทํางานแบบ “ฉายเดี่ยว” หรือ “Stand Alone” ๑๓. มีความสามารถในการจูงใจบุคคลอื่นให้เกิดความเลื่อมใส ร่วมใจกันปฏิบัติงาน สร้างให้ คนทํางานเกิดความภาคภูมิใจในงานที่รับผิดชอบ มีมุมมองที่ถูกต้องในการทํางาน มีกลยุทธ์ในการทํางาน. เอกสารอ้างอิง ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔. กรุงเทพฯ : ศิริวัฒนา อินเตอร์พริ้นท์, ๒๕๕๔. โสภา ชปีลมันน์. จิตวิทยาสังคมประยุกต์. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช, ๒๕๒๒. . “ผู้นำกับพลังการเป็นผู้นำ”. บทความประกอบการบรรยายนักศึกษาสถาบันพระปกเกล้า. Bernard, Chester I.. (1968) (1938). The function of the executive. Cambridge: Harvard University Press. Coleman, John C. (2011) The Nature of Adolescence, 4th edition. Abingdon, Oxon: Routledge. Cooper, H. (2010). Synthesizing research: A guide for literature reviews. (4th ed.). Beverly Hills, CA: Sage. DeNeve, K. M., & Cooper, H. (1998). The happy personality: A metaanalysis of 137 personality traits and subjective well-being. psychological Bulletin, 124(2), 197–229. https://doi.org/10.1037/0033-2909.124.2. 197. Eysenck, H. J. (1994). Personality: Biological foundations. In P. A. Vernon (Ed.), The neuropsychology of individual differences (pp. 151–207), Academic Press. https://doi.org/10.1016/B978-0-12-718670-2.50011-6 McCleland, David C.. (1987). Human Motivation. New York: University of Cambridge Press. Northause, Peter Guy. (2016) Leadership: Theory and Practice. (7th ed.) London : Sage Publication. Pearson, Hesketh, Bernard Shaw: his Life and Personality. London: Methuen. (1942, 1950, 1961). Wagner, R. K. (1987). “Tacit Knowledge in Everyday Intelligent Behavior”. Journal of personality and social psychology, 52, 1236-1247. https://doi.org/10.1037/0022-3514.52.6.1236 สัมภาษณ์ ศ. ดร. ปิยนาถ บุนนาค สัมภาษณ์เมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๖๕. รายงานการดำเนินงาน สมาคมสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย 197 ในพระบรมราชูปถัมภ์ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๕
ภาคผนวก ๓ ประกาศแต่งตั้งคณะกรรมการจัดท�ำหนังสือรายงานด�ำเนินงาน สมาคมสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ประจ�ำปี พ.ศ. ๒๕๖๕ 198 รายงานการดำเนินงาน สมาคมสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๕
ประกาศที่ ๒๑๕ / ๒๕๖๖ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการจัดท�ำหนังสือรายงานการด�ำเนินงาน สมาคมสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ประจ�ำปีพ.ศ. ๒๕๖๕ * * * * * * * * * * * * * อาศัยอ�ำนาจตามข้อบังคับสมาคมสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์พ.ศ. ๒๕๖๑ ข้อ ๒๔ แต่งตั้งคณะกรรมการจัดท�ำหนังสือรายงานการด�ำเนินงานสมาคมสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ประจ�ำปี๒๕๖๕ ดังนี้ ประธานที่ปรึกษา พลตรีหญิง คุณหญิงอัสนีย์ เสาวภาพ ประธานสมาคมสภาสังคมสงเคราะห์ฯ ประธาน ดร.โสภา ชูพิกุลชัย ชปีลมันน์ ราชบัณฑิต กรรมการ ดร.รัตนา บรรณาธรรม ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร. อาภาศิริ สุวรรณานนท์ ผู้ช่วยเลขาธิการ สมาคมสภาสังคมสงเคราะห์ฯ (นางศิริพร คัมภีรยส) ผู้อ�ำนวยการบริหาร สมาคมสภาสังคมสงเคราะห์ฯ (นางสาวนงลักษณ์ รอมไธสง) หัวหน้าส�ำนักบริหารงานกลาง สมาคมสภาสังคมสงเคราะห์ฯ (นางสาวยุพเยาว์ เขม่นกิจ) หัวหน้าส�ำนักสงเคราะห์และสวัสดิการสังคม สมาคมสภาสังคมสงเคราะห์ฯ (นางวิมล บุญช่วยสุข) รายงานการดำเนินงาน สมาคมสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย 199 ในพระบรมราชูปถัมภ์ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๕
หัวหน้าส�ำนักส่งเสริมอาชีพและพัฒนาคนพิการ สมาคมสภาสังคมสงเคราะห์ฯ (นายสมบูรณ์ ประชุมพันธ์) หัวหน้าส�ำนักจัดสรรสลากกินแบ่งรัฐบาลและสลากการกุศลสมาคมสภาสังคมสงเคราะห์ฯ (นางลดาวัลย์ ไชยปัญหา) หัวหน้าส�ำนักหารายได้และประชาสัมพันธ์สมาคมสภาสังคมสงเคราะห์ฯ (นางสลักจิต อุบลวิรัตนา) หัวหน้าส�ำนักการเงิน บัญชีและงบประมาณ สมาคมสภาสังคมสงเคราะห์ฯ (นางสาวศิริรัตน์ ศิริไชยพงษ์เทพ) หัวหน้าฝ่ายเทคโนโลยีและการสื่อสาร ส�ำนักหารายได้และประชาสัมพันธ์ สมาคมสภาสังคมสงเคราะห์ฯ (นายภูมิ จิตรกร รักษาการ) เลขานุการ หัวหน้าฝ่ายวิชาการและวิเทศสัมพันธ์ ส�ำนักหารายได้และประชาสัมพันธ์ สมาคมสภาสังคมสงเคราะห์ฯ (นางสาวขวัญเนตร สุขใจ) ผู้ช่วยเลขานุการ นางสาวสิรินันท ญาณะ เจ้าหน้าที่วิเทศสัมพันธ์ ส�ำนักหารายได้และประชาสัมพันธ์ สมาคมสภาสังคมสงเคราะห์ฯ นางสาวชัญปภา ยุกตานนท์ เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ ส�ำนักหารายได้และประชาสัมพันธ์ สมาคมสภาสังคมสงเคราะห์ฯ นางสาวเกื้อกูล จุลเสวก เจ้าหน้าที่บริหาร ส�ำนักหารายได้และประชาสัมพันธ์ สมาคมสภาสังคมสงเคราะห์ฯ 200 รายงานการดำเนินงาน สมาคมสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๕
นางสาวนภสร ศุภกิจ เจ้าหน้าที่บริหาร ส�ำนักหารายได้และประชาสัมพันธ์ สมาคมสภาสังคมสงเคราะห์ฯ ผู้ช่วยเลขานุการ นางสาวศศิธร วัฒนะชาญ ผู้ช�ำนาญการด้านต่างประเทศ ส�ำนักหารายได้และประชาสัมพันธ์ สมาคมสภาสังคมสงเคราะห์ฯ นายอธิป จิตผ่องธรรม เจ้าหน้าที่คอมพิวเตอร์ ส�ำนักหารายได้และประชาสัมพันธ์ สมาคมสภาสังคมสงเคราะห์ฯ นางสาวสุดถนอม ดงราษี เจ้าหน้าที่ธุรการ ส�ำนักหารายได้และประชาสัมพันธ์ สมาคมสภาสังคมสงเคราะห์ฯ ให้คณะกรรมการฯ มีหน้าที่ในการรวบรวมการด�ำเนินงานของคณะกรรมการฝ่ายต่าง ๆ เพื่อเผยแพร่ โครงการและกิจกรรมในหนังสือรายงานการด�ำเนินงาน สมาคมสภาสังคมสงเคราะห์ฯ ประจ�ำปีพ.ศ. ๒๕๖๕ ให้ได้มาตรฐาน เป็นที่รู้จัก และเป็นที่ประจักษ์แก่หน่วยงานต่าง ๆ ในสังคม ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๖๖ พลตรีหญิง (คุณหญิงอัสนีย์ เสาวภาพ) ประธานสมาคมสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ รายงานการดำเนินงาน สมาคมสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย 201 ในพระบรมราชูปถัมภ์ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๕
รายงานการดำเนินงาน สมาคมสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย 203 ในพระบรมราชูปถัมภ์ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๕ แผนที่สมาคมสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์