วรรณคดีสำหรบั งำนนำฏยศิลป์ เร่อื ง พระมะเหลเถไถ
นำงสำว ณัฏฐญิ ำภรณ์ นำเรือง
รหสั ประจำตวั นักศกึ ษำ 6181163018 ชัน้ ปที ่ี 3
รำยงำนนี้เป็นส่วนหนง่ึ ของกำรศึกษำหลักสตู รครุศำสตรบณั ฑติ
สำขำวิชำนำฏยศิลปศ์ ึกษำ คณะมนษุ ยศำสตร์และสังคมศำสตร์
มหำวิทยำลัยรำชภัฏบำ้ นสมเดจ็ เจ้ำพระยำ
ภำคเรียนที่ 1 ปีกำรศกึ ษำ 2563
คำนำ
รายงาน ฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา วรรณกรรมสาหรับนาฏยศิลป์ศึกษา โดยมีจุดประสงค์ เพื่อ
การศกึ ษาความรู้ที่ได้จากเร่ือง พระมเหลเถไถ ทั้งนี้ ในรายงานน้ีมีเน้ือหาประกอบด้วยความรู้เก่ียวกับ ลักษณะตัว
ละคร แก่นเรื่อง บทสรุปและการแต่งการที่แตกต่างไปจากบทละครทั่วไป ผู้จัดทาได้เลือกเร่ืองน้ีในการทารายงาน
เน่ืองมาจากเป็นเร่ืองที่น่าสนใจและแปลกใหม่ ผู้จัดทาต้องขอขอบคุณ อาจารย์รณกฤต เพรชเกล้ียง ผู้ให้ความรู้
และแนวทางการศึกษาและแก้ไข้ปัญญา หวังว่ารายงานฉบับนี้จะให้ความรู้ และเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านทุก ๆ ท่าน
หากมีข้อเสนอแนะประการใด ผจู้ ัดทาขอรับไวด้ ้วยความขอบพระคณุ ยิง่
นางสาวณฏั ฐญิ าภรณ์ นาเรอื ง
ผจู้ ัดทา
สำรบญั
หัวขอ้ หนำ้
คานา ก
สารบญั ข
เรื่อง พระมะเหลเถไถ 1–2
ประวตั ผิ ู้แต่ง 3-4
เรอื่ งยอ่ พระมะเหลเถไถ 4
บทประพนั ธ์ 5 - 16
ตัวละคร 17 - 20
แกน่ เรื่อง 21
คุณคา่ ของวรรณคดี 21
อา้ งอิง 21
ประวตั กิ ารศกึ ษา 22
เร่ือง พระมะเหลเถไถ
พระมะเหลเถไถ เป็นกลอนบทละครที่ประพันธ์โดยคุณสุวรรณ ท่ีประพันธ์ขึ้นตามจินตนาการและแต่งข้ึน
ในสมัยรชั กาลท่ี 4 มคี วามแปลกทีแ่ ต่งขึ้นเป็นภาษาบ้าง ไม่เป็นภาษาบ้างปะปนกันไปแต่ต้นจนปลาย แต่ใครอ่านก็
เขา้ ใจความได้ตลอดเรอื่ ง ถกู กล่าวหาในสมยั นนั้ ว่าแต่งเม่อื “เสยี จรติ ” หรอื “มสี ตฟิ งุ้ ซา่ นผิดปกติ” เป็นเรื่องแปลก
ในวงการกวียุคนั้น ส่วนสาเหตุท่ีคุณสุวรรณใช้คาที่แปลกประหลาดในการประพันธ์นั้น มีความเห็นของบุคคล
บางส่วนเช่ือว่าเป็นเพราะผู้แต่งนั้นเกิดการเสียจริต ฟุ้งไปในกระบวนการแต่งกลอน จึงทาให้แต่งออกมามี
ความหมายบ้างไมม่ ีความหมายบ้าง แตม่ คี วามไพเราะจากสัมผัสท้ังสัมผัสนอกและสัมผัสใน ซึ่งการที่ใช้คาที่ไม่เป็น
ภาษาแต่ยังสามารถอ่านได้รู้เร่ืองน้ีเอง ทาให้ผู้อ่านน้ันเกิดความขบขันเม่ืออ่านเร่ืองพระมะเหลเถไถ ในอีกแง่หน่ึง
น้นั ก็มีความเป็นไปได้เช่นกันว่า การที่คุณสุวรรณประพันธ์งานโดยใช้คาท่ีเป็นภาษาและไม่เป็นภาษานี้ เป็นไปเพ่ือ
การเสียดสีงานของกวีที่เกิดข้ึนใหม่เป็นจานวนมากในยุคสมัยนั้นช่วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลท่ี ๓ ทรงให้ความสาคัญกับบทบาทของกวีในราชสานักลดลง กวีจานานมากจึงต้องออกไปพึ่งเจ้านาย
ข้าราชการอื่นๆ บ้างก็ออกไปอาศัยพ่ึงบุญของเจ้านายตามหัวเมืองต่างๆ บ้างก็ใช้ความสามารถทางการประพันธ์
ของตนในการหารายได้เล้ียงชีพ เป็นผลให้กลวิธีการประพันธ์ท่ีแต่เดิมถูกจากัดอยู่ในราชสานักน้ันลงไปสู่ชาวบ้าน
เมื่อชาวบ้านได้เรียนรู้กลวิธีการประพันธ์เหล่านั้นจึงได้นามาแต่งกวีเองบ้าง ก่อให้เกิดกวีและผลงานที่มาจากกวี
ชาวบ้านเฟื่องฟูเป็นอย่างยิ่ง แต่ทว่างานเหล่านั้นก็ไม่ได้มีความเข้มขลังหรือไพเราะมากนัก ประกอบกับในช่วง
รชั กาลที่ ๓ เปน็ ช่วงที่มกี ารสง่ เสริมการศึกษา ให้ความรู้แก่ราษฎร์มากข้ึน ตามพระราชโซบายของพระบาทสมเด็จ
พระนงั่ เกลา้ เจา้ อย่หู วั ผ่านการซอ่ มแซมบารุง การสรา้ งวดั ทั่วพระนคร ดังตัวอย่างเช่น “วัดพระเชตุพนวิมลมังคลา
ราม” ที่ได้มีการจารึกองค์ความรไู้ วต้ ามส่วนตา่ งๆ ภายในวดั ทาให้ชาวบ้านมีโอกาสได้รับการศึกษาให้สามารถอ่าน
ออกเขียนได้ เพราะวัดนั้นก็เปรียบได้กับโรงเรียนในปัจจุบัน ผลงานท่ีเฟื่องฟูมากในช่วงสมัยนั้น โดยมากมักจะมี
การเลยี นแบบคาประพันธ์ของ สนุ ทรภู่ เป็นจานวนมาก เนือ่ งจากมคี วามไพเราะทงั้ ในด้านของจานวนคาที่ค่อนข้าง
สม่าเสมอและการมีสัมผัสนอก สัมผัสในจึงทาให้กระบวนกลอนมีความล่ืนไหล เป็นจังหวะ คุณสุวรรณท่ีเคยได้มี
โอกาสศึกษางานของสุนทรภู่ ประกอบกับเป็นผู้มีอุปนิสัยรักในการแต่งกลอนอยู่แล้ว จึงแต่ง พระมะเหลเถไถขึ้น
เพ่ือเสียดสีกลุ่มงานท่ีเกิดจากกวีชาวบ้านเหล่าน้ัน โดยเป็นการเสียดสีว่า แม้จะสามารถสรรคามาใส่เพ่ือให้เกิด
สัมผัสภายในวรรคน้ันๆ ได้ แต่คาที่นามาใช้เหล่าน้ันก็มิได้มีความหมายหรือความเหมาะส มจนก่อให้เกิด
สนุ ทรยี ภาพแกผ่ ู้อ่านได้ พระมะเหลเถไถจงึ เปน็ ผลงานการประพนั ธ์ท่ีเกดิ ข้ึนเพ่ือเสียดสีผลงานที่มีอยู่มากแต่ไม่ค่อย
มีคุณภาพเหล่านั้นว่าสามารถทาได้เพียงแค่นาคาท่ีมีสัมผัสคล้องจองมาแต่งเพียงเท่านั้น หากแต่ไม่ค่อยมีคุณค่าใน
แงข่ องความหมายหรอื ความเข้มขลังดงั เชน่ ผลงานของกวใี นราชสานัก
สรปุ
เปน็ บทละครทม่ี มี ายาวนานแต่ไมค่ ่อยมีคนนิยมทาข้นึ มาใหมเ่ ปน็ กลอนบทละครทป่ี ระพันธ์โดยคุณสุวรรณ
ทปี่ ระพนั ธข์ ึ้นตามจินตนาการและแตง่ ข้ึนในสมยั รชั กาลที่ 4 มีความแปลกท่แี ต่งข้ึนเปน็ ภาษาบ้าง ไม่เปน็ ภาษาบา้ ง
ปะปนกนั ไปแต่ต้นจนปลาย และถกู กลา่ วหาในสมัยนัน้ ว่าแต่งเมื่อ “เสยี จริต” หรือ “มสี ตฟิ ุ้งซา่ นผดิ ปกติ” เป็น
เรื่องแปลกในวงการกวยี ุคนั้น
จากทกี่ ล่าวมาและความสาคัญข้างต้นทาให้ผู้อา่ นมีแรงบนั ดาลใจจากวรรณคดเี ปน็ เร่ืองทห่ี นา้ ค้นหาและ
สอนใจคนจากหลายอย่างของตัวละครสอ่ื ถึงความรักและความห่วงใยทม่ี ีให้กนั และได้ทาความร้จู ักกนั เป็นอย่างดีมี
แกน่ เรื่อง และมีคณุ คา่ ทางวรรคดี
ประวตั ผิ ู้แตง่
ช่ือผ้แู ต่ง คุณสุวรรณ เกิด พ.ศ. 2351
เสยี ชวี ติ วนั ท่ี 12 มีนาคม พ.ศ. 2418 อายไุ ด้ 67 ปี
ประวัติ
คุณสุวรรณเป็นธิดาพระยาอุไทยธรรม (กลาง) ราชินิกุลบางช้าง มีชีวิตอยู่ตั้งแต่รัชกาลท่ี 3 ถึงต้น
รชั กาลท่ี 5 ในสมัยรัชกาลที่ 3 พ.ศ. 2384 ได้ถวายตัวทาราชการฝ่ายในตามเหล่าสกุลอยู่ท่ีพระตาหนักพระเจ้า
ลูกเธอ กรมหม่นื อัปสรสดุ าเทพ ทาหนา้ ท่ีเปน็ พนักงานพระแสง
คุณสุวรรณมีช่ือเสียงโดง่ ดงั ในสมยั รชั กาลท่ี 4 จากผลงานกลอนบทละคร 2 เรื่อง คือ บทละครเรื่องพระ
มะเหลเถไถ* และบทละครเรื่องอุณรุทร้อยเรื่อง* ภายหลังเม่ือพบต้นฉบับตัวเขียน หอพระสมุดวชิรญาณจึงได้
นามาจัดพมิ พ์ในพ.ศ. 2463 คุณสุวรรณเป็นกวีท่ีมีสานวนกลอนดี และมีความคิดท่ีแปลกไปจากกวีอ่ืน กล่าวคือ
สามารถเลือกใช้เสียงของคาท้ังท่ีเป็นภาษาและไม่เป็นภาษาเพื่อส่ือความหมายและสร้างความขบขันแก่ผู้อ่านได้
นอกจากนยี้ งั มีความร้อู ย่างกว้างขวางในเร่ืองวรรณคดี ดังเห็นได้จากการประมวลช่ือตัวละครสาคัญไว้ในวรรณคดี
เรอ่ื งอุณรทุ รอ้ ยเร่ือง*
ผลงำน / งำนประพันธ์
1. กลอนเพลงยาวเรือ่ งหม่อมเป็ดสวรรค์
2. กลอนเพลงยาวเรื่องพระอาการประชวรของกรมหม่นื อปั สรสดุ าเทพ
3. บทละครเรอ่ื งพระมะเหลเถไถ
4. บทละครเร่อื งอณุ รุทรอ้ ยเรอ่ื ง
ผู้เรียบเรียง
วันเพ็ญ เซ็นตระกลู
เอกสำรอ้ำงอิง
บทละคอนเรอ่ื งพระมะเหลเถไถ เร่ืองอุณรทุ ร้อยเรอื่ ง เรื่องระเดน่ ลันได กลอนเพลงยาวเรอื่ งหม่อมเป็ด
สวรรค์ เรอ่ื งพระอาการประชวรของกรมหมน่ื อปั สรสุดาเทพ. กรุงเทพฯ : บรรณาคาร, 2514. ราชกจิ จานุเบกษา
จ.ศ. 1238 เล่ม 3.
คำสำคัญ
คณุ สวุ รรณ , ฝ่ายใน , บางชา้ ง
เรอ่ื งยอ่ พระมะเหลเถไถ
พระมะเหลเถไถอยากไปเท่ียวป่าจึงไปเข้าเฝ้าพระราช บิดาเม่ือไปถึงก็ทูลขอท้าวโปลากับนางตาลากะปา
ลนั ซึ่งทัง้ สองพระองคก์ ็รับส่ังวา่ ไม่อยากให้ไปเพราะอันตราย แต่ก็ทรงอนญุ าตพระมะเหลเถไถจึงสั่งให้ทหารเตรียม
พลเพื่อจะเสดจ็ ประพาสป่า เหล่าทหารท้ังหลายก็จัดเตรียมม้า เสบียงเพ่ือที่จะออกเดินทาง จากน้ันพระมะเหลเถ
ไถจึงไปสรง และแต่งองค์เม่ือแต่งองค์ เสร็จก็เดินทางออกจากเมืองไป ระหว่างทางก็ได้ชมนก ชมไม้ ชม ป่า ซึ่งมี
มากมายหลายชนิด เช่น ต้นประยงค์ มลิวัน มะยม กาหลง กุหลาบ นกลุ้ม นกแอ่น ชะนี แรด พระมะเหลเถไถ
เดินชมป่าจนเพลินเม่ือเห็นว่าจะเย็นมากเลยรับสั่งให้ สร้างพลับพลา เม่ือทหารได้รับคาสั่งก็เร่งสร้างจนเสร็จ
เรียบรอ้ ย พระมะเหลเถไถจงึ เข้าประทับในพลับพลาแลว้ พักผอ่ น กล่าวถึงพระอินทร์ นามว่า ท้าวหัศไนยซ่ึงอยู่บน
สวรรค์ รู้สึกร้อนบัลลังก์จึงมาตรวจดูบนโลกมนุษย์ก็พบว่าพระมะเหลเถไถอยู่คนเดียว มาประพาสป่าอย่าง
เดยี วดายไรค้ ู่จึงคิดว่าจะต้องหาคู่ใหพ้ ระมะเหลเถไถ จงึ ไปอมุ้ สมนางตะแลงแกง ธิดาจากเมอื ง โกสีย์นางตะแลงแกง
เป็นผู้หญิงท่ีสวยงามท้ังกาย และกิริยาสมกับที่เป็นธิดากษัตริย์ เมื่อพระอินทร์อุ้มนางตะแลงแกงมาไว้ในพลับพลา
ของพระมะเหลเถไถแล้ว ก็กลับสวรรค์ไป เม่ือพระมะเหลเถไถต่ืนบรรทมจึงเห็นนางตะแลงแกง ก็ตะลึงในความ
งามว่าเหมือนนางฟ้า แต่ใจหน่ึงก็คิดว่าอาจเป็นนางไม้ หรือยักษ์แปลงกายมาหลอกจึงค่อยๆปลุกนางให้ต่ืน เมื่อ
นางตะแลงแกงตื่นข้ึนก็ตกใจ ปัดป้องพระมะเหลเถไถ แล้วตัดพ้อต่อว่าลักพาตัวนางมาพระมะเหลเถไถเมื่อได้ฟัง
ดังน้ันก็ตรัสว่าพระองค์มาประพาสป่าพอค่าก็บรรทมหลับต่ืนมาก็พบนางนอนอยู่แล้วบอกว่าอาจเป็นเพระมีพระ
อนิ ท์อ้มุ สมนางมาใหอ้ ยา่ กลวั ไปเลย ซง่ึ นางตะแลงแกงกบ็ อกว่าพระมะเหลโกหกนางหรือเปล่า พระมะเหลเถไถจึง
บอกวา่ ก็เหมือนอณุ รุทท่มี พี ระอินทร์อุ้มสมไปเจอนางอุษา ซึ่งทาให้นางตะแลงแกงเข้าใจ พอรุ่งเช้าพระมะเหลเถไถ
จึงชวนนางตะแลงแกงไปสรงน้าแล้วขึ้นช้างออกจากพลับพลา กล่าวถึงยักษ์ตน หน่ึงชื่อท้าวไอสุราออกล่าสัตว์แล้ว
มาเจอพระมะเหลเถไถก็เกิดการสูร้ บกันขึ้น
บทประพันธ์ พระมะเหลเถไถมะไหลถา
เรือ่ งพระมะเหลเถไถ ศขุ าปาลากะเปเล
ผแู้ ตง่ คณุ สวุ รรณ มะเหลไถไพรพรึกมะรึกเข
มะโลโตโปเปมะลตู ู
๏ ชำ้ ปี่ มะเลไตไคลคละมะหรูจู๋
เม่ือนั้น ไปสู่ปราสาทท้าวโปลา
สถติ ยังแทน่ ทองกะโปลา
วนั หน่งึ พระจึงมะหลึกตึก กม้ เกลา้ เคา้ คุดกะหลาต๋า
แลว้ จะไปเทยี่ วชมมะลมเต จงึ แจง้ กิจจามะเลาเตา
ตรแิ ลว้ พระมะเหลจึงเปป๋ ะ ไม่สบายถ่ายเทกะเหงาเกา๋
จรจรัลตนั ตดั พลัดพลู เท่ียวมะไลไปเป่าพนาวัน
ฯ๖คาฯ เพลงช้า
๏ ร่ำย
คร้นั ถึงจึงเขา้ ตะหลดุ ตุด
มะเหลไถกราบไหวท้ ง้ั สองรา
ดว้ ยบัดนตี้ วั ข้ามะเหลเถ
จะขอลาสองราหน้าเงา้ เคา้
ฯ๔คาฯ
๏ เม่อื น้ัน ท่านท้าวโปลากะปาหงนั
กับนางตาลากะปาลนั ไดส้ ดบุ ตรบุ หนั มะเลเท
มะลอกทอกบอกว่าจะลาไป พนาปาทาไมจะไพล่เผล
มะเลอเตอเป๋อเป้ือนเที่ยวเชือนแช จงึ ตรัสหา้ มมะเหลเถมะเลทา
เจา้ อยา่ ไปไชเชกะเปลู จงเอ็นดูพ่อเถดิ มะไหลถา
พระมะเหลไถเฝา้ มะเลาชา ก็จาใหล้ ูกยามะลาปอง
ฯ๖คาฯ
๏ เมื่อนัน้ มะเหลไถทูลลามาหงองก๋อง
จึงตรสั สง่ั เสนากะจารอง ให้ผูกม้าปาป๋องกะงงึ กึง
ฯ๒คาฯ
๏ บัดนนั้ เสนารบั สงั่ กะงังก่ึง
ไม่นงั่ นิ่งว่งิ ไปมะลึงตงึ มะลันตันครั้นถึงจงึ บอกกนั
วา่ บัดนมี้ ีรบั ส่ังมะเหลเถ ใหผ้ ูกม้าปาเปกะหงนั ก๋นั
จะเสด็จเตรจ็ เตร่มะเลตัน ว่าแลว้ ชวนกนั มะแลงแตง
ฯ๔คาฯ
๏ ยำนี
ผูกเบาะอานพานหน้ามะเหลาะเตาะ เข็มสลกั ปักเปาะกะแงง๋ แกง๋
เตรียมทั้งพหลพลแปงแมง แลว้ ไปทลู แถลงมะแรงตา
ฯ๒คาฯ
๏ รำ่ ย พระมเหลเถไถมะไหลถา
เมอื่ น้ัน เสด็จมาที่สรงมะลงโช
ได้ฟังเสนาทะเลาปา
ฯ๒คาฯ เสมอ ลบู ไลไ้ ปป่ ีกกะโง๋โก๋
ภษู าสสี ะโรกะโปลัน
๏ โทน ปน้ั เหนง่ เพชรสายสอดจรอดฉัน
สระสรงทรงสุคนธป์ นตลกึ มะลวงชวงปวงปันคัน่ ทองกร
สนับเพลาเชิงไชกะไรโจ กรรเจยี กจันปนั กับมะหลอนฉอน
เจยี รบาดปักทองกะลองเต็ด ตลุดฉุดอรชรมะลอนชัน
ฉลององค์อย่างน้อยกะปอยลัน งามดงั ปังโปงกางน๋ั ก๋ัน
มงกุฎแกว้ แวววาบมาราบรบั มอระตอก็รันขึน้ อาชา
ธามรงคจ์ ินดากะราชอน
ดเู ลอื บเชอื บเหลือบแลกะโปงโลง พลาหับนบั แสนแน่นหนา
กะงวยกวยฉวยพระแสงมะแรงตนั ออกจากภารากะปาโล
ฯ๘คาฯ เชิดฉง่ิ
๏ ร่ำย
พร้อมหมู่โยธาพะลาแหน
ไดฤ้ กษ์เลิกพหลมะลนทา
ฯ๒คาฯ กราว
๏ ชมดง
พระชมเขาเนาเนินกะหรกกก รุกขชาตดิ าษดกมะโหลโต๋
มะลาตันสาระพันกะลันโป กะลาปยี โ่ี ถมะโยตัน
มะโยติงปริงปรางลางสาบ ลางสาดหาดหาบมะหลันป๋ัน
มะลันปีสเี สียดประเหยยี ดกัน ประยงค์แุ กว้ แถวพันมะลนั ดา
มาลีดวงพวงช่อมะลอชร มาลชี าดมาดซ้อมมะรอนฉา
มะรินชงิ จงิ จ้อมะยอตา มะยมเต็มเข็มลามะกาโล
มะกาลิงปิงปุ่มกะทุ่มท้อน กะทิงถินกลน่ิ ขจรมะลอนโหว
มลิวันมันโมกกะโหลกโก กหุ ลาบแกมแนมโยทกาลี
กาหลงชงโคมะโยแป๋ว มะโยปมนมแมวมะแลวฉี
มะไลยฉาวสาวหยดุ มะลุดลี มลิลาสารภมี ะลีโช
พระชมปักษากาลาชอน กะลาฉนิ บินว่อนกะลอ่ นโฉ
กะลิงเฉียบเหยียบแตว้ เคา้ แมวโม เค้าเมงหมิ่นผินโผพะโวตา
พะวาติบจบิ จาบคาบไข่ ขาบเคยี งเขาไฟไถลถา
ถลาโถมโจมจับมารบั กา รบั กันจาพนั จากะสาลม
กะสาเลน่ เบญจวันมะลนั ปี มะลนั โปโนรมี ะลสี ม
มะลาโสนโกญจากะทาทม กะทาเทืองเง่ืองงมมะลมปา
มะลาปิงคลิง้ โคลงอโี ลงแลน่ อลี มุ้ ลอี้ แี อ่นกะแรนฉา
กะเรยี นฉาบคาบคน้ั มะรันบา มารอ่ นบนิ กินหว้ามะลาแชง
มะลาชดั สัตวากระสาสูง กระแสเสียงเถยี งยงู กะรูงแฉง่
กะรอกฉวยกล้วยไม้ดูไวแวง ดเุ หว่าหวานขานแข่งระแวงวงั
ระเวงแว่วแจ้วเจอ้ื ยระเรื่อยรอ้ ง ระเรอ่ื ยรม่ี ี่ก้องมะลองกง๋ั
มะเลยี บก่ิงทง้ิ ถ่อนมะลอนกงั มะเลน่ กิง่ ชงิ รงั มะลังโต
มาโลดเต้นเมน่ หมีชะนบี ่าง ชะนแี บดแรดชา้ งกะงางโก๋
กะแหงนเกยเสยแทงทะโยงโย ทยานโยกโศกโสทะโลเป
ทลายปน่ กล่นเกล่ือนทะเลือนเท่า ถลาโถมถล่มเทา้ ทะเลาเส
ถลันสาถลาสวบระยวบเย ระยาทับเทมะเลทอน
มะไลโทโคถกึ มรึกคี มรกึ คาพาชีมะหลอนฉอน
มาลบเชือเสอื สงิ หม์ ะหิงษ์จร มหาใจไกรสรมะลอนชา
ฯ๒๘คาฯ เชดิ
๏ สมงิ ทอง
เมอื่ น้ัน พระมะเหลเถไถมะไหลถา
เพลดิ เพลินฤทัยมะไลทา ลมื ทกุ ข์ศขุ ามะลาจี
ละเลงิ จนสนธยาหัศดง หัสดบั ลบั ลงคิรศี รี
พระจึงมีสงิ หนาทประภาษพี สง่ั พวกเสนมี ะลที า
ให้ยบั ยง้ั พหลกะรนจง กะรอ้ มชอมล้อมวงมะรงฉา
แล้วใหช้ ว่ ยกันมะรนั ทา มะเรทับพลบั พลาพนาลี
ฯ๖คาฯ
๏ รำ่ ย สนารับสงั่ มาลังป๋ี
บัดนั้น มะรนั ทงั ดังมีมะลที า
มะลุกปุกคุกเขา่ มะเลาตี คัดขุดลุดแชงมาแลงฉา
เกณฑ์กนั ฟนั แฝกมะแลกแจง สาเรจ็ ตามบัญชามะลาเท
กะรบั ชบั สรรพเสรจ็ มะเร็จตา
ฯ๔คาฯ เจรจา พระมเหลเถไถมะไหลเถ
๏ เม่อื น้นั มะไหลถอนนอนเอ้ทะเวกา
เสด็จขน้ึ พลบั พลามะลาเท
ฯ๒คาฯ ร้อนใจใคร่ครวญหวนหา
วญิ ญากจากปรามะราโท
๏ ชำ้ พนาแดนศิงขรมะยอนโฉ
ทะเวศกายคายคันรัญจวน น้าคา้ งพรมลมโวมะโรตอน
หวนโหยโดยดิ้นในวิญญา ราเพยเพียงเคียงรัตนป์ ัจฐรณ์
มาแรมทางกลางป่าพนาดอน จนหลบั ชดิ สนิทนอนมะลอนชา
มาเยน็ เฉื่อยเรื่อยร้างน้าคา้ งโพร
มารน่ื ตา่ งนางในราไพพดั
ปธมทีศ่ รีใสจะไลชอน
ฯ๘คาฯ ตระ
๏ ยำนี มาจะกลา่ วบทไป ถงึ ทา้ วหัสไนยมะไหลถา
๏ รำ่ ย สถิตทวี่ ิมานมะลานชา กายาร่มุ ร้อนมะลอนจี
จึงเลง็ ทพิ เนตรมะเลดปา่ ในชมพแู ผ่นหลา้ มะลาถี
เห็นพระมะเหลเถทะเวที มาแรมร้างคา้ งท่ีมะลีไช
เพราะไม่มีคูจ่ รสู ม เสวยรมย์ราชามะลาไส
ผู้เดยี วเปลี่ยวองค์มะลงไต จาเราจะใหม้ ะไลทา
อันลูกทา้ วไทมะไลที เลศิ ล้านารมี ะลถี า
ช่อื นางตะแลงแกงมะแลงกา วาสนาควรคู่มะลตู อง
อัมรินทร์จินตนาแลว้ ลาเชด เหาะระเหจ็ จากวมิ านมะลานถอง
มายงั กรงุ ไกรมะไลทอง โดยจติ คิดปองมะรองแทง
ฯ๑๐คาฯ เหาะ โกสียล์ งยังมะลังแต๋ง
อ้มุ องคต์ ะแลงแกงตะแลงมา
ครั้นถงึ ซึง่ ภารามะลาตั๋ง ฯ๒คาฯ เชิด
เข้าไปในปรางค์มะรางแชง ฯ๒คาฯ ถงึ พลับพลาสุวรรณมะลนั ถา
อมั ราพินิจมะลิดจู
๏ เหำะลว่ิ ปลวิ ฟา้ มาฉบั พลัน
วางองคล์ งใกล้มะไลชา
๏ ชมโฉม งามดงั สุรยิ นั มะลนั ตอน เคยี งดวงศศิธรมะลอนฉู
จะดไู หนวไิ ลกะไรตู สมสองครองคจู่ ะลเู จ
๏ รำ่ ย ดโู ฉมตะแลงแกงแมลงกัด งามดงั เพชรรตั นม์ ะลดั เถ
๏ ชมโฉม งามพระมเหลไถมะไลเท ดังสุวรรณอันเอละเลทา
สมวงศ์ทรงศักดจ์ิ กั รพรรดิ สมเช้ือเนอ้ื กษตั รยิ ม์ ะลัดถา
สมทรงคงครองกะรองปา เปน็ มหาจรรโลงมะโรงกี
แลว้ ทา้ วหัสไนยมะไลถา ก็ออกจากพลับพลาพนาศรี
สาแดงแผลงอิทธ์ิฤทธี ไปสู่ทวี่ ิมานมะลานทา
ฯ๘คาฯ เชดิ พระมะเหลเถไถมะไหลถา
เหน็ นางกัลยามะลาที
เมอ่ื นัน้
ผวาตน่ื ฟ้ืนจากมะรากปา ประไพพักตรเ์ พียงจันทร์มะลันถี
เลิศลา้ นารมี ะลที า
ฯ๒คาฯ พระไพรพฤกษ์พระไทรมะไลตา๋
มาหลอกเลน่ เหน็ มามะลาตม
พระเพง่ พินจิ มะลิดตัก มาคดิ ปองลองใจมะไลถม
อรชรอ้อนแอน้ มะแรนจี จาจะปลกุ ชวนชมข้ึนลมปู
ฤาหน่ึงนางในมะไลจกึ
แกลง้ จาแลงแปลงกายมะไลทา
ฤาหนึ่งยักษ์ขนิ ีผีไพร
จึงทรงโฉมโสภามะลางม
๏ รำ่ ย ค่อยประคองปลุกนางมะลางฉู
คิดพลางทางองิ มะลงิ ออง แล้วเล้าโลมโฉมตรมู ะลูเตา
เจ้างามชนื่ ตืน่ เถดิ มะเลิศตู
โฉมนางตะแลงแกงมะแลงเก๋า
๏ เมื่อนัน้ ฯ๒คาฯ นงเยาว์เคืองขัดปดั กร
ลมื เนตรเห็นองค์มะลงเทา ฯ๔คาฯ มาหาญหักไมเ่ กรงมะเลงฉอน
เออไฉนไยทากะลากัก ฯ๒คาฯ ไปลกั พามาชอนมะลอนไชย
ข้าอยู่ถึงภารากะลาตอน
ฯ๖คาฯ พระมะไหลไถเถมะเหลไถ
๏ เม่อื นน้ั ภูวไนยจงึ มีมะลที า
ไดฟ้ งั พจนามะลาไท
พ่จี ะเล่าให้แจ้งมะแลงกา๋
๏ โอโ้ ลม มาเทยี่ วเลน่ ป่ามะลาไช
พีด่ ะหลุดหยุดนอนมะลอนไฉ
โฉมเฉลา เคยี งได้เคียงคู่มะลูทอง
เดิมทพี ่จี ากมะรากกา อุ้มองค์มารศรมี าสมสอง
พอค่าย่าแสงมะแลงชอน นวลน้องเจา้ อยา่ เขนิ มะเลินใจ
เป็นกศุ ลดลจิตมะลิดไท
ชะรอยว่าเทวญั มะลันที
จงึ ได้ประสบมะลบออง
๏ ร่ำย เมือ่ น้ัน ฯ๖คาฯ โฉมนางตะแลงแกงมะแลงไก๋
๏ ชำตรี ไดฟ้ งั ถอ้ ยคามะลาไท ฯ๒คาฯ ทรามวัยจึงตอบมะลอบที
ไปว่าเอาเทวัญมะลันตู เหมอื นหนึง่ ใครไม่รมู้ ะลูถี
เมอ่ื คร้ังไรใครพามะลาชี ภูมีเกบ็ เอามาเลาตา
แล้วนางแค้นขดั มะลดั ตอน เคอื งคอ้ นภูวไนยมะไหลถา
นอ้ ยฤานั่นนา่ เช่ือมะเรือปา มาเศกแสรง้ แกลง้ วา่ กะลาเกา
๏ เมือ่ น้นั พระมะไหลไถเถมะเหลเถา
เห็นนางกลั ยามะลาเตา จึงตรัสโลมเล้ามะเลาปอน
ดูกอ่ นโฉมตรูมะลูถี เวทมี เิ ช่ือมะเหลอื ถอน
อนั พระอุณรทุ มะลดู ชอน เทวาก็พาจรมะลอนเกา
ไปสมสร้อยอษุ ามะลาตึก โฉมยงจงนึกมะลกึ เก๋า
นี่บุญของพี่ยามะลาเตา จึงพาเจ้ามาสมมะลมเต
วา่ พลางทางถดมะหลดติด อย่าอายเอียงเบ่ียงบิดมะลิดเป๋
นางปอ้ งปดั หัตถามะลาเท มะโลโตโปเปมะเลตงุ
สองภิรมยช์ มเชยมะเลยปม สาราญรมย์รื่นเรงิ มะเลิงต๋งุ
สพั ยอกหยอกเยา้ มะเลาชงุ สมสวาดมิ์ าดมุง่ มะลุงแชง
ฯ๘คาฯ โลม
๏ รำ่ ย สกุณารา่ ร้องมะรองแฉ่ง
ครน้ั รุ่งรางส่างแสงมแลงทอง ชวนองคต์ ะแลงแกงมะแลงกง
พระต่ืนจากไสยาศน์นลาตแทง สรรพเสรจ็ ออกจากมะลากกง๋
สระสรงภักตรามะลาเตด็ กม้ เกล้าเค้าคงมะลงแตง
พรอ้ มหมู่ทหารมะลานปง เหวยหม่ทู หารมะลานแฉง
พระจงึ มสี งิ หนาทมะลาดจู ตามตาแหน่งของใครมะไลที
จงตรวจเตรยี มโยธามะลาแกง
ฯ๖คาฯ เสนารบั ส่ังมะลังปี๋
๏ บดั น้ัน พาทเี บีย้ วบ้ยุ มะลยุ ตุง
ต่างชะแงแ้ ลดูมะลูจี พร้อมพรงั่ ดังเกา่ มะเลาปงุ๋
แล้วมาเร่งรัดจดั เจา ตา่ งนายหมายมุ่งจะลูงทา
คอยพระมะเหลไถมะไลทุง
ฯ๔คาฯ พระมเหลไถมะไหลถา
๏ เม่ือน้นั ขน้ึ ทรงคชามะลากุย
ชวนนางตะแลงแกงมะแลงกา ทวยหาญขานโห่ตะลุย๋ ปุ๋ย
ออกจากพลับพลามะลาโท อีหลกุ ขลุกขลยุ มะลยุ ปอย
ดัดด้ันบัน่ บุกปุกปุย
ฯ๔คาฯ เชิด
๏ มำจะกลำ่ วบทไป ถึงท้าวไทอสุรามะลาก๋อย
มรายกาดชาดเช้ือสะเรือดอย สรุ าต้องกองกอยพะลอยไช
เพราะลอบชมนางฟา้ สลาโสด ศลุ ีซา้ ทาโทษมะโดดไข
มาตัวขาดอาจองทะลงใจ เท่ียวไล่จับสัตว์ไพรสะไรกุง
สรุ ากินส้ินซากมายากทุกข์ กาลังอยากบากบุกมะลกุ ปุ๋ง
มาแลปะมะเหลไถสะไรชงุ สรุ าชาติมาดมุ่งมะรงุ แชง
มราชกั ยกั ษย์ ่องมาลองดู มาลอบด้อมค้อมอยู่พะดูแถง
พอไดท้ ลี ีลามมะหามแทง มะฮึกทาสาแดงแทลงกี
ถลากายหมายมัน่ มะลนั จ้อง มะเหลจับรับรองสะรองก้ี
สุราก๋อยถอยท่ามะลารี มะเหลรุกคลกุ คลปี ระชไี ช
ประชดิ ชิงอาวุธยทุ ธนา ยกั ษท์ นงทรงคทาตะลาไป๋
ตลบปอ้ งคล่องแคล่วมะแลวไท มะลวงทหี นีไล่มะไลทอง
ฯ๑๒คาฯ เชิด
ตวั ละคร
พระมะเหลเถไถ
ลกั ษณะทำงกำยภำพ
เป็นหนุ่มท่ีมีรูปร่างดี หน้าตางามตามแบบพระเอกในวรรณคดีเป็นคนใจเย็นและขี้เล่นฟังเหตุฟังผลมีจิตใจดี
ชอบช่วยเหลอื ผอู้ นื่ เสมอ
ลกั ษณะทำงจิตวิทยำ
มใี จกลา้ หาญในการตอ่ สู้ รักสตั ว์ รกั ธรรมชาติและชอบการเดินทางอยู่ในป่า
ภูมิหลงั
เปน็ พระโอรสของของท้าวโปลาและนางตาลากะปาลัน
นำงตะแลงแกง
ลักษณะทำงกำยภำพ
เปน็ หญงิ สาวทีม่ หี น้าตางดงามดง่ั นางฟา้ ผิวขาว ผมยาวเงาดาและชอบเดนิ ทาง
ลักษณะทำงจติ วิทยำ
มีกรยิ างดงามเรยี บรอ้ ยอ่อนชอ้ ยพดู นอ้ ยและมีจิตใจดีมเี มตตาและพดู จาไพเราะ
ภูมหิ ลงั
เปน็ พระราชธดิ ามาจากเมอื งไกสีย์
พระอนิ ทร์
ลกั ษณะทำงกำยภำพ
เปน็ ผู้วเิ ศษที่มอี านาจมากมาย มีรปู รา่ งท่ีงดงาม
ลักษณะทำงจติ วทิ ยำ
มีจติ ใจทง่ี ดงามมีความเมตตาและเป็นผูใ้ ห้ และมีความคดิ ทีด่ แี ละจดั แจงเก่ง
ภูมหิ ลัง
ทา้ วหัศไนยซง่ึ อยูบ่ นสวรรค์
ยักษ์
ลักษณะทำงกำยภำพ
เปน็ ผทู้ ชี่ อบต่อสู้ มีรปู ร่างท่ีหนา้ กลัวร่างใหญ่แขง็ แรงชอบออกล่าสัตว์
ลักษณะทำงจติ วิทยำ
มจี ิตใจทีโ่ หดหลายไมฟ่ ังใครชอบอยู่คนเดยี วในป่า
ภูมหิ ลัง
ท้าวไอสุราออกล่าสัตว์
แก่นเร่ือง
ผแู้ ตง่ เลอื กใชค้ าทไี่ มม่ คี วามหมายในภาษาไทยมาใส่ในบทละครเป็นจานวนมาก
แต่ผอู้ า่ นยังสามารถเขา้ ใจเนอ้ื เร่ืองจากบริบทแวดล้อมและธรรมชาติ
คณุ คำ่ ของวรรณคดี
1. คุณคา่ ในด้านวรรณศลิ ป์ บทละครเรอ่ื งพระมะเหลเถไถ มีคุณค่าในด้านวรรณศิลป์ในด้านการใช้ถ้อยคา
ทีแ่ ปลกไปจากคาในภาษาไทย มีการเปรยี บเทียบใชถ้ อ้ ยคาที่ทาใหผ้ ูอ้ า่ นเข้าใจเนื้อเร่อื งได้
2. คุณค่าในด้านสังคม บทละครเร่ืองพระมะเหลเถไถแต่งขึ้นเพื่อเสียดสีกวีท่านอ่ืนๆ การแต่งบทละคร
สามารถใช้คาที่ไม่เป็นความหมายมาใช้สัมผัสได้หากแต่ไม่ค่อยมีคุณค่าในแง่ของความหมายหรือความเข้มขลัง
ดังเช่นผลงานของกวใี นราชสานัก
เอกสำรอำ้ งอิง
บทละครเรอื่ งพระมะเหลเถไถ. กลอนเพลงยาวเร่อื งหม่อมเป็ดสวรรค์ เร่ืองพระอาการประชวรของกรมหม่ืนอัปสร
สุดาเทพ. กรงุ เทพฯ : บรรณาคาร, 2514. ราชกิจจานเุ บกษา จ.ศ. 1238 เลม่ 3.
นริ าศหนองคาย หลวงพฒั นพงศภ์ กั ดี(ทิม สุขยางค์) และวรรคดี 5.(2562) พระมะเหลเถไถ พิมพ์คร้ังที่ 1 นนทบุรี :
ศรีปญั ญา, 2561 208 หน้า.
ประวตั ยิ อ่ นักศึกษำ
ชอ่ื นางสาวณฏั ฐิญาภรณ์ นาเรอื ง ปที ่ี 3 รหสั นิสติ 6181163018
วันเกดิ 15 เดือน สงิ หาคม พ.ศ. 2542 อายุ 21 สูง 162 ชม. นา้ หนัก 52 ก.ก
สญั ญาติ ไทย เช้อื ชาติ ไทย ศาสนา พุทธ
ความสามารถพเิ ศษ รานาฏศิลปไ์ ทย ดนตรีไทย วา่ ยน้า
งานอดเิ รก ขายของออนไลน์
โรคประจาตัว ไม่มี กลมุ่ เลือด B
ภมู ลิ าเนา 78/1 หมู่ 11 ต. ดูน ซ. 22 ถ. ไทยานนท์ อ. กันทรารมย์ จ. ศรสี ะเกษ ปณ. 33130
ที่อย่ปู จั จุบัน 511/38 ตรอกวดั จนั ทร์ใน แขวงบางโคล่ เขต บางคอแหลม กรงุ เทพมหานคร
เพ่อื นสนิท ชอื่ องั ศมุ าลนิ แนมขุนทด
ชอ่ื พศิ สมยั สดุ ภา
ชื่อ อนุวรรณ ทพั ซา้ ย
ช่ือบิดา นายสมศกั ด์ิ นาเรอื ง อายุ 52 ปี อาชีพ รับราชการ (ครู)
ชอ่ื มารดา นางพรทิพย์ นาเรือง อายุ 55 ปี อาชพี รับราชการ (คร)ู
ชื่อ ผู้ปกครองในขณะศึกษา นายสมศกั ดิ์ นาเรือง
เก่ยี วขอ้ งเปน็ บิดา ที่อยู่ 78/1 หมู่ 11 ต. ดนู ซ. 22 ถ. ไทยานนท์ อ. กันทรารมย์ จ. ศรสี ะเกษ ปณ. 33130
บุคคลทีส่ ามารถใหข้ อ้ มลู เกย่ี วกบั นักศกึ ษาได้ อาชพี รับราชการ (คร)ู