หนา้ 1
กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์
ผังภาพที่ 1 ผงั การวเิ คราะห์หนว่ ยการเรียนรู้ “พอเพยี ง”
หน่วยการเรยี นรู้ “สมบตั ิของสารและการจาแนกสาร” ชัน้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 1 เวลา 13 ช่ัวโมง
หน่วยพอเพียง “สมบตั ิของสารและการจาแนกสาร” (13 ชว่ั โมง)
สาร หมายถงึ ส่ิงทมี่ ีตวั ตน มมี วลหรือน้าหนกั ต้องการทอี่ ยแู่ ละสามารถสมั ผสั ได้ สารแตล่ ะชนดิ มสี มบตั ิของสาร
แตกต่างกนั เราสามารถจาแนกสารโดยใช้เนอื้ สารเป็นเกณฑไ์ ด้ดงั น้ี ได้แก่ สารเน้อื เดยี ว สารเน้อื ผสม สารเนอ้ื เดียว
นอกจากน้ันสารละลายบางชนดิ มีสมบตั เิ ปน็ กรด บางชนิดมสี มบัติเปน็ เบส ซึง่ หากเรารูจ้ ักสมบัตขิ องสารต่างๆ จะทาให้
สามารถนาสารมาใช้ในชีวติ ประจาวนั ได้อยา่ งเหมาะสม
แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 1 แผนการจดั การเรียนรูท้ ่ี 2 แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 3
เรอ่ื ง สมบตั ิของสารและการจาแนกสาร เรือ่ ง สารเน้อื เดียว เรอื่ ง สารเน้ือผสม
(3 ช่ัวโมง) (3 ชัว่ โมง)
(4 ชวั่ โมง)
ว 3.1 ม.1/1 - ม.1/-4 ว 3.1 ม.1/1 - ม.1/-4 ว 3.1 ม.1/1 ว 8.1 ม.1-3/1 - ม.1-3/9
สาระการเรยี นรู้ : สาร หมายถงึ สง่ิ ทีม่ ี สาระการเรยี นรู้ : สารเนอื เดียว หมายถงึ สาระการเรยี นรู้ : สารเนอื ผสม คอื สารท่ี
ตวั ตน มมี วลหรือนาหนัก ต้องการท่ีอย่แู ละ สารท่ีอาจมเี พียงชนิดเดยี ว หรืออาจมี เกดิ จากการผสมกันของสารตังแต่ 2 ชนิด
สามารถสัมผัสได้ เชน่ หิน นา อากาศ พืช มากกว่า 2 ชนิดขึนไปผสมกันอยอู่ ยา่ ง ขนึ ไป โดยเนอื สารไมก่ ลมกลืนเปน็ เนือ
เปน็ ตน้ สารแตล่ ะชนดิ จะมสี มบตั ขิ องสาร กลมกลนื มองเหน็ เป็นเนือเดยี วกนั ตลอด เดียวกัน จึงสามารถมองเห็นไดว้ า่ มสี าร
ซึง่ เป็นลักษณะเฉพาะของสารชนดิ นันๆท่ี และจะแสดงสมบัตเิ หมอื นกันทกุ ประการ เป็นองคป์ ระกอบมากกวา่ 1 ชนดิ สารเนอื
แตกต่างกนั ไป ดังนัน จึงมกี ารใช้เกณฑ์การ สารเนอื เดียวอาจมหี ลายสถานะ โดย ผสมแบ่งออกเปน็ สารแขวนลอย และสาร
พิจารณาและอธิบายสมบตั มิ าจดั จาแนก สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ คอลลอยด์
สาร และมกี ารทดสอบสมบัตขิ องสารใน สารบริสทุ ธิ์และสารละลาย
การพิสจู นว์ ่า สารนนั เปน็ สารชนิดใด
แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 4
เรื่อง สมบตั ิของสารละลายกรด – เบส (3 ชว่ั โมง)
ว 3.1 ม.1/3 ม.1/4 ว 8.1 ม.1-3/1 - ม.1-3/9
สาระการเรียนรู้ : สารละลายในชวี ิตประจาวันมสี มบัติแตกต่างกนั บางชนิดมสี มบตั ิเป็นกรด ซ่งึ สามารถแตกตวั ใหไ้ ฮโดรเจนไอออนได้เม่อื
ละลายนา สารบางชนดิ มสี มบตั เิ ปน็ เบส ซง่ึ เมอื่ ทาปฏกิ ริ ยิ ากบั กรดจะใหเ้ กลือกบั นา และเบสที่ละลายนาจะแตกตัวให้ ไฮดรอกไซด์ไอออน
การรจู้ กั สมบัตคิ วามเป็นกรด-เบสของสาร และวธิ ีการตรวจสอบ จะทาใหส้ ามารถเลือกใชส้ ารในชีวติ ประจาวันไดอ้ ย่างถกู ตอ้ งและเหมาะสม
สมรรถนะสาคญั ของนักเรยี น คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ ภาระงาน/ชน้ิ งาน
1. รายงานการสืบค้นข้อมลู และการ
1. ความสามารถในการสือ่ สาร 1. มวี นิ ยั ทดลอง
2. ความสามารถในการคดิ 2. ใฝเ่ รยี นรู้
3. ความสามารถในการแกป้ ัญหา 3. อยอู่ ย่างพอเพียง
4. ความสามารถในการใชท้ ักษะชีวติ 4. มุ่งม่นั ในการทางาน
5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
หนา้ 2
กลุม่ สาระการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์
ผงั ภาพที่ 2 ผงั การออกแบบการเรยี นร้แู บบยอ้ นกลับ (BwD)
แผนการเรยี นรู้ “สมบตั ขิ องสารและการจาแนกสาร” ชนั้ มัธยมศึกษาปที ี่ 1 เวลา 4 ชว่ั โมง
1. เปา้ หมายการเรยี นรู้
มาตรฐาน/ตัวชี้วดั
ว 3.1 ม. 1/1 ทดลองและจาแนกสารเปน็ กล่มุ โดยใช้เนอื สารหรอื ขนาดอนุภาคเปน็ เกณฑ์ ละอธิบายสมบตั ขิ องสารในแต่ละกลุ่ม
ม. 1/2 อธบิ ายสมบตั ิและการเปลีย่ นสถานะของสารโดยใชแ้ บบจาลองการจดั เรยี งอนภุ าคของสาร
ม. 1/3 ทดลองและอธบิ ายสมบตั คิ วามเปน็ กรด-เบสของสารละลาย
ม. 1/4 ตรวจสอบคา่ pH ของสารละลายและนาความรไู้ ปใช้ประโยชน์
สาระสาคญั
สาร หมายถึง สงิ่ ทีม่ ีตวั ตน มีมวลหรือนาหนัก ต้องการที่อยแู่ ละสามารถสมั ผสั ได้ เช่น หิน นา อากาศ พืช เป็นตน้
สารแต่ละชนิดจะมีสมบตั ขิ องสาร ซ่งึ เปน็ ลักษณะเฉพาะของสารชนดิ นนั ๆที่แตกต่างกันไป ดงั นนั จึงมีการใชเ้ กณฑก์ าร
พจิ ารณาและอธบิ ายสมบัตมิ าจัดจาแนกสาร และมีการทดสอบสมบตั ขิ องสารในการพิสูจนว์ ่า สารนันเป็นสารชนดิ ใด
จุดประสงค์การเรียนรู้
1. อธบิ ายความแตกต่างของสารในสถานะต่างๆได้ (K)
2. จาแนกประเภทของสารตามสมบัติและลักษณะเนือสารได้ (P)
3. มีความตระหนักและเห็นคุณคา่ ของการเรียนวทิ ยาศาสตรแ์ ละมีความรับผดิ ชอบ (A)
สาระการเรยี นรู้
1. การจาแนกสาร
2. สมบัติสาร
สมรรถนะสาคัญ
ความสามารถในการส่ือสาร : อธิบาย เขยี น นาเสนอ หนา้ ชนั เรียน
ความสามารถในการคดิ : คิดวเิ คราะห์ แปลความหมาย อภปิ ราย สรปุ ผล
ความสามารถในการแก้ปัญหา : แกป้ ัญหาเชิงวิทยาศาสตร์
ความสามารถในการใชท้ ักษะชีวิต : ใช้กระบวนการกลุ่มปฏิบตั กิ ิจกรรมการเรยี นรู้
ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี : ใชจ้ ดั เกบ็ รวบรวมข้อมลู จดั พิมพ์เอกสารและสรุปรปู เลม่ รายงาน
คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์
อย่อู ยา่ งพอเพยี ง : คิดตัดสินใจในการปฏิบัตกิ จิ กรรมท่ีไดร้ ับมอบหมายเหมาะสมกบั ศักยภาพตนเอง/กลุ่ม เลือกใช้
วสั ดุอุปกรณใ์ นการปฏิบตั กิ จิ กรรมอยา่ งประหยดั
มีวนิ ยั : ปฏิบตั กิ ิจกรรมเป็นระบบระเบยี บ รอบคอบ
ใฝ่เรยี นรู้ : ตงั ใจเรียน แสวงหาความรูใ้ หม่แลว้ สรปุ เป็นความรู้
มงุ่ ม่ันในการทางาน : ทางานด้วยความขยัน และพยายามให้งานสาเรจ็ ตามเปา้ หมาย และนาเสนอผลงานดว้ ยความ
ภาคภมู ิใจ
หนา้ 3
2. หลกั ฐานการเรียนรู้
ภาระงาน/ช้ินงาน
- รายงานการสบื ค้นข้อมูลและการทดลอง
การวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้
ประเด็น วิธีการ เคร่ืองมอื เกณฑ์
ผา่ นร้อยละ 60 ขึนไป
ด้าน K ตรวจแบบทดสอบกอ่ นและ แบบทดสอบกอ่ นและหลังเรยี น
ร้อยละ 60 ผา่ นเกณฑ์
หลังเรยี น ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์
รอ้ ยละ 60 ผา่ นเกณฑ์
ดา้ น P นักเรยี นทาใบงานที่ 1 ใบงานที่ 1 ระดบั 2 ขึนไปผ่านเกณฑ์
นักเรยี นทาใบงานท่ี 2 ใบงานที่ 2
นักเรียนทาใบงานท่ี 3 ใบงานที่ 3
ด้าน A สังเกตพฤติกรรมการทดลอง แบบประเมนิ พฤติกรรม
- เห็นคณุ ค่าของการเรียน - ชดุ คาถามเก่ยี วกับความ สาคญั
วิทยาศาสตร์ ระบบฯ
3. กจิ กรรมการเรยี นรู้
กิจกรรมการเรียนรู้ : ดว้ ยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ กระบวนการกลุม่ และกระบวนการแก้ปัญหา
สื่อการเรยี นรู้ :
ใบงานท่ี 1 สมบัติของสาร
ใบงานท่ี 2 กจิ กรรมฐานการเรียนรู้ เรื่อง การจาแนกสาร
ใบงานท่ี 3 กจิ กรรมพฒั นาทักษะ เร่อื ง สารและการจาแนกสาร
แหล่งเรยี นรู้ : หอ้ งปฏบิ ตั ิการวทิ ยาศาสตร์ หมู่บ้าน ชุมชน
เวลา : 4 ชัว่ โมง
หนา้ 4
กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์
แผ่นที่ 3 กจิ กรรมการเรยี นรู้
แผนการเรยี นรู้ “สมบตั ขิ องสารและการจาแนกสาร” ชนั มัธยมศึกษาปีที่ 1 เวลา 4 ช่วั โมง
1.ครูสารวจรายชือ่ นักเรียนแจง้ จดุ ประสงคก์ ารเรยี นร้ขู องบทเรยี นนใี หน้ ักเรยี นทราบ(ครู : มีภมู คิ มุ้ กนั )
2.ครเู ปิดประเด็นการสนทนาร่วมกับนักเรียนว่า ดว้ ยชุดคาถาม Q1 จากนันนักเรียนชว่ ยกนั วิเคราะห์ และ
ตอบคาถาม โดยครยู ังไมเ่ ฉลย แต่กระต้นุ ให้นักเรยี นอยากค้นควา้ หาคาตอบ เพ่ือนาไปสู่กิจกรรมการสืบคน้ ข้อมูล
เรอ่ื ง สารและสมบัตขิ องสาร
3. นักเรียนแบง่ กลมุ่ กลมุ่ ละ 3-4 คน คน (ครู:พอประมาณ) คละนักเรียนเกง่ ปานกลาง และอ่อน (ครู:
คณุ ธรรม และมีภูมคิ มุ้ กนั ในการสอนของครู) สบื คน้ ขอ้ มลู เร่อื ง สารและสมบัติของสาร โดยใหเ้ วลาในการสบื ค้น 1
คาบ พร้อมตอบคาถาม ดว้ ยชุดคาถาม Q2 – Q3 และบันทึกข้อมูลท่ีสืบค้นไดล้ งในใบงานที่ 1 สมบัติของสาร
4. นักเรียนและครรู ่วมกันสรุปเรอื่ ง สารและสมบัตขิ องสาร (สมบัติทางกายภาพ และสมบตั ทิ างเคมี)
จากนันนักเรียน ตอบคาถาม ด้วยชดุ คาถาม Q4
5. นกั เรียนทากิจกรรมฐานการเรยี นรู้ เร่อื ง การจาแนกสาร โดยนักเรียนแบ่งกลุม่ เปน็ 5 กลมุ่ กลุ่มละ
เทา่ ๆ กัน จากนนั ใหแ้ ต่ละกลุ่มเข้าทากิจกรรมประจาฐาน ดว้ ยชดุ คาถาม Q5 ดงั นี
- กลมุ่ ที่ 1 ทากิจกรรมฐานการเรยี นรู้ที่ 1 เร่ือง การจาแนกสารโดยใชส้ มบัตทิ างกายภาพ
- กลุ่มที่ 2 ทากิจกรรมฐานการเรยี นรทู้ ่ี 2 เรอ่ื ง การจาแนกสารโดยใชส้ มบตั ิทางกายภาพ
- กลุ่มที่ 3 ทากิจกรรมฐานการเรียนรทู้ ี่ 3 เร่ือง การจาแนกสารโดยใช้สมบัติทางกายภาพ
- กลุ่มที่ 4 ทากจิ กรรมฐานการเรยี นรทู้ ่ี 4 เรอ่ื ง การจาแนกสารโดยใชส้ มบัตทิ างเคมี
- กลุม่ ท่ี 5 ทากิจกรรมฐานการเรยี นรู้ท่ี 5 เรอ่ื ง การเปลย่ี นแปลงสถานะของสาร
นักเรียนแต่ละกล่มุ ศึกษาใบความรเู้ รื่อง การจาแนกสาร และตวั อย่าง พร้อมทาใบงานที่ 2 กิจกรรมฐาน
การเรียนรู้ เรื่อง การจาแนกสาร ดว้ ยชดุ คาถาม Q6
6. นกั เรยี นและครรู ว่ มกนั สรุป เร่ือง การจาแนกสาร ดว้ ยชุดคาถาม Q7– Q10
7. นกั เรยี นแต่ละกลุ่มร่วมกนั วิเคราะหถ์ อดบทเรียนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง (ปศพพ.)แลว้
บันทึกผลการวิเคราะห์ในใบกิจกรรม เร่ืองการวิเคราะห์หลกั คิดและหลกั ปฏิบัติ ปศพพ. ทน่ี ามาใช้ในกระบวนการ
เรยี นรู้ ครูและนักเรยี นรว่ มกันสรุปเชื่อมโยงคาตอบคาถามทีละข้อใหส้ อดคล้องกบั หลัก ปศพพ. (พอประมาณ
เหตผุ ล ภมู ิคุ้มกัน และ4 มิต)ิ ดว้ ยชุดคาถาม Q11 – Q12
หนา้ 5
กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์
แผน่ ที่ 4 ชดุ คาถามกระตนุ้ คดิ เพอ่ื ปลกู ฝังหลักคิดพอเพยี ง
แผนการเรยี นรู้ “สมบัติของสารและการจาแนกสาร” ช้นั มัธยมศึกษาปที ี่ 1 เวลา 4 ช่ัวโมง
คาถามกระตุ้นคิดเพือ่ ปลกู ฝังหลักคดิ พอเพียงก่อนเรียน
Q1 นกั เรยี นเคยได้ยินคาวา่ สสาร หรอื ไม่ สสาร แตกต่างจาก สาร อย่างไร
คาถามกระต้นุ คิดเพือ่ ปลกู ฝังหลักคิดพอเพียงระหวา่ งเรยี น
Q2 นกั เรยี นมกี ารวางแผนการสืบคน้ อยา่ งไรใหเ้ หมาะสมกับศักยภาพของสมาชิกและให้งานที่ได้รบั
มอบหมายสาเรจ็ ตามเปา้ หมายและตามเวลาท่ีกาหนด (ภมู ิคุม้ กัน, พอประมาณ)
Q3 นักเรียนคิดวา่ การท่นี กั เรียนทุกกลมุ่ สามารถสบื ค้นได้สาเรจ็ ตามเวลาท่กี าหนดเกดิ จากอะไรบ้าง
(ความร้,ู ภูมิคุ้มกนั )
Q4 หากสารแต่ละชนดิ มสี มบตั ิตา่ งกัน เราสามารถจาแนกสารออกเป็นกล่มุ ๆ ได้หรือไม่ อย่างไร
Q5 นักเรียนควรปฏิบตั ิตัวอย่างไรจงึ จะทาให้หนา้ ที่ทีไ่ ดร้ บั หมายหมายจากกล่มุ สาเรจ็ ลลุ ่วงด้วยดี
(คุณธรรม)
Q6 นักเรยี นไดค้ ณุ ธรรมอะไรบ้างในการปฏิบัติกจิ กรรมการเรียน และการทาใบงานในครังนี
Q7 สาร (Substance) หมายถงึ
Q8 สสาร และสาร เหมอื นหรอื ตา่ งกันอย่างไร จงอธบิ าย
Q9 สมบัตขิ องสารถกู จาแนกออกเป็น 2 กลมุ่ ใหญๆ่ ได้แก่อะไรบ้าง
คาถามกระตนุ้ คดิ เพ่ือปลูกฝังหลกั คดิ พอเพียงหลงั เรียน
Q10 การเปลย่ี นแปลงของสาร แบง่ เป็นกี่ประเภท ไดแ้ ก่อะไรบา้ ง
Q11 ทาอยา่ งไรอุปกรณ์การทดลองจะใชไ้ ดน้ านและคุ้มคา่ มากทีส่ ุด (วตั ถุ, เหตุผล)
Q12 นักเรียนควรปฏบิ ัติตนอย่างไรหลงั จากการทดลองและเรียนเสร็จ เพือ่ รักษาความสะอาดเรียบร้อย
ของห้องเรียน ใหส้ ะอาดอยเู่ สมอ (วัตถุ,ส่งิ แวดล้อม)
หนา้ 6
กล่มุ สาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตร์
แผน่ ที่ 5 แนวทางการนาหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการจัดการเรยี นรู้
แผนการเรยี นรู้ “สมบตั ขิ องสารและการจาแนกสาร” ชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 1 เวลา 4 ช่ัวโมง
5.1 ครูผู้สอนนาหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี งมาออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ ดงั นี้
ความรู้ท่คี รตู ้องมีก่อนสอน คุณธรรมของครู
1. ความแตกต่างของสารในสถานะตา่ งๆได้ มคี วามรักและเมตตาต่อศษิ ย์
2. จาแนกประเภทของสารตามสมบตั แิ ละลักษณะเนือสารได้ มคี วามรบั ผิดชอบ
3. หลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง มีความตรงต่อเวลา
4. จติ วิทยาในการสอน มคี วามยุตธิ รรม
หลักพอเพียง พอประมาณ มีเหตผุ ล มภี ูมคิ มุ้ กันในตัวทีด่ ี
ประเดน็
- เนอื หาสารและสมบตั ขิ อง - ต้องการให้นักเรยี นเข้าใจเนือหาสารและ - สรปุ เนือหาให้อา่ นเข้าใจง่าย มีภาพ
สาร สอดคลอ้ งกับมาตรฐาน สมบัติของสารตามมาตรฐานและตวั ชีวดั และใบความรู้ ประกอบการสอน
เนือ้ หา ตัวชีวัด - รวู้ ิธีการจาแนกประเภทของสารตามสมบตั ิ - ลาดบั เนือหาการสอนและมีการทดลอง
เหมาะสมกบั เวลาท่กี าหนด และลกั ษณะเนือสาร ประกอบการเรียน
และวัยของผูเ้ รยี น
-กาหนดเวลาในแตล่ ะ -จัดการเรยี นรไู้ ดค้ รบถ้วนทนั เวลาตามท่ี - กาหนดเวลาในแตล่ ะกิจกรรมไว้เกนิ
เวลา กิจกรรมเหมาะสมกบั ออกแบบไว้ จริงเล็กน้อยเพ่ือรองรบั การเปลีย่ น
กิจกรรมและวัยของนกั เรยี น แปลงทอ่ี าจเกดิ ขึนระหว่างจดั กจิ กรรม
- แบ่งกลมุ่ ไดพ้ อดกี บั จานวน - ต้องการใหน้ ักเรยี นได้ทดลองจาแนก -แบง่ กลมุ่ คละความสามารถของนกั เรียน
นกั เรียน ประเภทของสารตามสมบตั แิ ละลกั ษณะเนอื -ครูดูแลการทดลองอย่างใกลช้ ิดปอ้ งกนั
- มอบหมายภาระงาน/ สาร การเกิดอนั ตราย
การจัดกจิ กรรม ชินงานเหมาะสมกับ - ให้นกั เรียนนาความรู้ไปประยกุ ตใ์ ช้กบั
ความสามารถของนกั เรียน ภาระงาน
และสอดคล้องกบั เปา้ หมาย
การเรยี นรู้
- จานวนใบความรู้ วสั ดุ -ตอ้ งการใหน้ ักเรยี นปฏิบัตกิ ิจกรรมได้ - เตรยี มสอ่ื อปุ กรณใ์ ห้พร้อมก่อนการ
อปุ กรณ์ เหมาะสมกับ ทดลองจรงิ ตามจดุ ประสงค์ทกี่ าหนดไว้ จัดกิจกรรมครเู ตรียมอุปกรณท์ ดลอง
ส่อื /อุปกรณ์ กิจกรรมและมีปรมิ าณ สารเคมีให้พรอ้ ม
เพยี งพอกับจานวนนักเรียน - ครูเตอื นให้นักเรยี นใชอ้ ปุ กรณอ์ ยา่ ง
ระมัดระวัง เพอ่ื ปอ้ งกนั การเกดิ อบุ ตั เิ หตุ
แหลง่ เรยี นรู้/ -เหมาะสมกับกิจกรรมท่ี - มีองค์ประกอบของระบบนเิ วศครบ - ตรวจสอบความปลอดภัย
ฐานการเรียนรู้ กาหนด สถานทปี่ ลอดภัย
-จดั ทาแบบบนั ทกึ การทดลอง -ต้องการประเมินผลการเรียนรูต้ าม -วางแผนการวดั /ประเมนิ ผลตามขนั ตอน
การประเมนิ ผล และประเมินพฤตกิ รรมได้ เปา้ หมายที่กาหนด ของกิจกรรมอย่างชดั เจนเทีย่ งตรงใน
เหมาะสมกับเปา้ หมายการ การวดั ตามตวั ชวี ัด
เรยี นรู้
หนา้ 7
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
แผน่ ที่ 6 ผลท่เี กดิ ขึน้ กบั ผเู้ รียนสอดคล้องกบั หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงจากการจัดการเรยี นรู้
แผนการเรียนรู้ “สมบตั ิของสารและการจาแนกสาร” ชัน้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 1 เวลา 4 ชั่วโมง
6.1 ผ้เู รยี นได้เรียนรหู้ ลักคิดและฝึกปฏบิ ัติตามหลัก ปศพพ. ดังนี้
ความรู้ คณุ ธรรม
1. ความแตกตา่ งของสารในสถานะต่างๆได้ 1. ความสามคั คีในกลุ่ม
2. จาแนกประเภทของสารตามสมบตั ิและลักษณะเนือสารได้ 2. ความรับผดิ ชอบ
3. วิธกี ารใช้วัสดุ /อุปกรณใ์ นการสารวจ 3. ความซอื่ สัตย์
4. ความอดทน
พอประมาณ มเี หตุผล มภี มู ิคุ้มกัน
1. นักเรียนกาหนดหน้าทข่ี องสมาชกิ 1. นกั เรียนไดร้ ู้องคป์ ระกอบของสาร 1. วางแผนการทางานกลุม่ อย่าง
ภายในกลุ่มไดเ้ หมาะสมกบั ความ และสสาร ละเอยี ด เป็นขนั ตอนเพ่ือใหก้ ารสารวจ
สามารถของแตล่ ะคน 2. นักเรียนได้ได้ทดลองจาแนก บรรลวุ ตั ถปุ ระสงค์
2. นักเรียนใชว้ สั ดุอุปกรณ์ในการ ประเภทของสารตามสมบตั ิและ 2. ศึกษาการใชเ้ คร่ืองมือและเตรยี มวัสดุ
ทดลองได้เหมาะสมกบั กจิ กรรมการ ลักษณะเนือสาร อปุ กรณ์ใหพ้ ร้อมก่อนทดลองเพอ่ื
ทดลอง ปอ้ งกนั ความผดิ พลาดในการใชอ้ ปุ กรณ์
6.2 ผ้เู รยี นได้เรยี นรู้การใชช้ ีวติ ที่สมดุลและพร้อมรับการเปล่ยี นแปลง 4 มิติตามหลกั ปศพพ. ดังน้ี
ดา้ น สมดุลและพร้อมรบั การเปลย่ี นแปลงในด้านต่าง ๆ
องค์ประกอบ วตั ถุ สงั คม ส่ิงแวดล้อม วัฒนธรรม
-ความรูใ้ นการใชว้ ัสดุ -มีความรูใ้ นการแบง่ - มีความรใู้ นการดูแล มีความรใู้ นการ
อปุ กรณ์ในการทดลอง หน้าทภ่ี ายในกลุ่มได้ รักษาความสะอาด เลือกใช้ผลิตภณั ฑ์ท่ี
ความรู้ ได้อยา่ งถูกตอ้ งและ อย่างเหมาะสม อปุ กรณ์การทดลองและ ผลิตภายในประเทศ
ประหยดั
-มีความร้ใู นการปฏิบัติ สารเคมีอย่างถูกตอ้ ง และมใี นท้องถนิ่
ตนในการทางาน
รว่ มกับผู้อื่น
-มีทกั ษะในการใช้วสั ดุ -ทางานรว่ มกนั ภายใน -มีทกั ษะในการรักษา มีสัมมาคาราวะต่อ
ทักษะ อปุ กรณอ์ ย่างปลอด ภัย กลมุ่ ทไ่ี ดร้ ับมอบหมาย ความสะอาดอปุ กรณก์ าร ครผู สู้ อน
และประหยดั จนสาเร็จ ทดลองและสารเคมี
ค่านิยม -เหน็ ความสาคญั ของ -มคี วามรบั ผิดชอบต่อ -มจี ติ สานกึ ในการรักษา นยิ มใช้อุปกรณ์การ
การใชว้ สั ดอุ ปุ กรณ์ใน การทางานของกล่มุ ความสะอาดห้องเรยี น ทดลองทผ่ี ลิต
การทดลองอย่าง -ยอมรบั ความคดิ เห็น ห้องทดลองท่ีใชร้ ว่ มกนั ภายในประเทศและ
ประหยัดและคุ้มคา่ ซึ่งกนั และกนั ในทอ้ งถ่ิน
หนา้ 8
ใบความรทู้ ่ี 14.1 การจาแนกสาร
การจาแนกสารโดยใช้สมบัติทางกายภาพ (ใช้เนือสารเปน็ เกณฑ์)
สมบัตทิ างกายภาพ หมายถึง สมบตั ิทแ่ี สดงถึงลกั ษณะภายนอกของสาร สามารถสงั เกตเหน็ ได้ เชน่
สถานะ รูปร่าง สี กลน่ิ รส การละลาย จุดเดือด จดุ เหลอมเหลว การนาความรอ้ น การนาไฟฟ้า ความร้อนแฝง
ความหนาแนน่
เนอื สาร เปน็ สมบัตทิ างกายภาพอย่างหนึ่งของสาร การจาแนกสารโดยใชเ้ นือสารเป็นเกณฑ์
เป็นวิธกี ารที่นิยมกนั มากเน่ืองจากสามารถแสดงรายละเอียดเกีย่ วกบั สารตา่ งๆไดม้ ากกวา่ วธิ อี ่ืนๆ
โดยสามารถแยกสารออกได้เปน็ 2 กลมุ่ ใหญ่ๆ คือ
1. สารเนือเดียว คอื สารท่ีมองเห็นเป็นเนือเดยี วกันตลอด อาจมีเพยี งชนดิ เดยี ว หรือมากกว่าสองชนดิ ผสม
อยู่อยา่ งกลมกลนื อาจมหี ลายสถานะ และจะแสดงสมบตั ิเหมือนกนั ทกุ ประการ เชน่ จดุ เดอื ด
จุดเยอื กแขง็ จุดหลอมเหลว แบง่ เป็นสองชนิด คือ สารบริสทุ ธ์ิ กับ สารละลาย
สารบรสิ ทุ ธิ์ คอื สารเนอื เดียวทปี่ ระกอบไปดว้ ยสารเพียงชนิดเดียว แบ่งออกเป็น ธาตุและสารประกอบ
สารบริสทุ ธ์ิมีสมบัติ คอื มจี ุดหลอมเหลว และจดุ เดือดคงที่ เชน่ ทองคา ไฮโดรเจน เกลอื (NaCl) เปน็ ตน้
สารละลาย คือ สารเนือเดยี วทเ่ี กิดจากสารบรสิ ทุ ธิส์ องชนดิ ขึนไปผสมกัน โดยไม่เกิดปฏิกิรยิ าเคมี ทาให้จดุ
เดือดและจุดหลอมเหลวไมค่ งท่ี ตัวอย่างเช่น นาเกลอื นาเช่อื ม อากาศ (กา๊ ซออกซิเจน รวมกบั ก๊าซ
คาร์บอนไดออกไซด์ และกา๊ ซอ่นื ๆ) เปน็ ต้น
2. สารเนือผสม วัสดุผสม หรือ ของผสม (composite) คอื สารทปี่ ระกอบขนึ จากสาร 2 ชนดิ ขนึ ไปผสมกนั โดย
เนอื ไม่สามารถผสมเข้ากนั ได้ตลอด แต่บางครงั อาจมองเหน็ ไม่ชดั ในการจาแนกชนดิ ของสารเนอื ผสมจะพิจารณา
จากขนาดของอนภุ าค ที่ปนอยู่ในสารเนือผสมนนั (โดยนักเรียนจะได้ศกึ ษาในกจิ กรรมฐานการเรียนรู้ที่ 2)
หนา้ 9
การจาแนกสารโดยใช้สมบตั ิทางกายภาพ (ใชข้ นาดอนภุ าคเป็นเกณฑ)์
หากใชอ้ นุภาคของสารเปน็ เกณฑ์ จะสามารถแยกสารออกเปน็ 3 ประเภท คอื สารคอลลอยด์
สารแขวนลอย และสารละลาย
สารคอลลอยด์ (Colloid) คือ สารท่เี กดิ จากอนุภาคทีม่ ขี นาดเส้นผ่าศนู ยก์ ลางระหวา่ ง 10-7 - 10-4 ซม. ลอย
กระจายในตวั กลางหนง่ึ ซึ่งตวั กลางอาจเปน็ ของแขง็ ของเหลว หรือก๊าซ กไ็ ด้ เราสามารถพบคอลลอยด์ทัว่ ไปได้ใน
ชวี ิตประจาวัน เช่น ฝุ่นละอองในอากาศ เมฆ หมอก ควันไฟ ก๊าชพิษต่างๆ จากท่อไอเสีย
บางชนดิ มีลักษณะเหนยี วหนืด เนอ่ื งจากอนุภาคถกู ยดึ อย่ใู นตัวการที่เปน็ ของเหลวอย่างเหนียวแนน่ เมอ่ื ระเหย
ตัวกลางออกไปบางส่วนหรือทาให้เยน็ ลง สารจงึ เข้มขน้ มากขึนจนเป็นของแข็ง เชน่ วุน้ เจลลี่ แป้งเปยี กเปน็ ต้น
สารแขวนลอย (Suspension) คอื สารที่มีอนุภาคทีม่ ขี นาดเสน้ ผ่านศนู ย์กลางใหญ่กวา่ 10-4 ซม. (100
ไมครอน) ลอยกระจดั กระจายอยู่ โดยทอ่ี นุภาคอยู่ในของผสมนันมีขนาดใหญ่ จึงมองเหน็ อนภุ าคในของผสมได้อยา่ ง
ชัดเจน เม่ือตังทิงไวอ้ นุภาคจะตกตะกอน และสามารถแยกอนุภาคออกจากของผสมได้โดยการกรอง ตวั อยา่ งเชน่
นาปูนใส นาแปง้ พริกนาส้ม เปน็ ต้น
สารละลาย คือ สารเนอื เดียวทเี่ กิดจากสารบรสิ ุทธ์สิ องชนิดขึนไปผสมกนั โดยไมเ่ กิดปฏกิ ิรยิ าเคมี ทาให้
จุดเดือดและจุดหลอมเหลวไม่คงที่ มีอนภุ าคทีม่ ีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางน้อยกวา่ 10-7 ซม. ตวั อย่างเช่น นาเกลอื
นาเชือ่ ม อากาศ เปน็ ตน้
ตาราง เปรยี บเทยี บของผสม
ขนาดอนุภาค น้อยกวา่ 10-7 cm 10-7 - 10-4 cm มากวา่ 10-4 cm
ชนดิ สารละลาย คอลลอยด์ สารแขวนลอย
ผา่ นกระดาษกรอง ผ่านได้เฉพาะกระดาษ ผ่านไมไ่ ด้ทงั กระดาษ
การกรอง และกระดาษเซล กรอง กรอง และกระดาษ
โลเฟน เซลโลเฟน
หนา้ 10
การจาแนกสารโดยใชส้ มบตั ิทางกายภาพ (ใช้สถานะของสารเป็นเกณฑ)์
สถานะของสาร มี 3 สถานะ โดยใชแ้ รงยึดเหน่ียวเกาะกันของโมเลกุลเปน็ เกณฑ์ ดังนี
1.ของแข็ง (solid ; s) หมายถึง สารหรือสสารท่ีมีขนาดและรูปร่างแนน่ อน เน่ืองจากโมเลกุล
ยดึ เหน่ยี วกนั อย่างแนน่ หนา เปลยี่ นแปลงรูปร่างได้ยาก ปริมาตรไม่เปลย่ี นแปลงเม่ือได้รับแรงกดดันสูง ไม่มีการแพร่
เช่น เหล็ก หนิ
2.ของเหลว (liquid ; l) หมายถงึ สารหรือสสารทม่ี ีขนาดและรปู รา่ งไม่แนน่ อน เน่ืองจากโมเลกุล ยึด
เหนีย่ วกนั อย่างหลวมๆ เปล่ยี นแปลงรปู รา่ งตามภาชนะ ปริมาตรเปลย่ี นแปลงเม่ือไดร้ บั แรงกดดนั และอุณหภูมิ มี
การแพร่ เช่น ปรอท นา ฯลฯ
3.ก๊าซ (gas ; g) หมายถึง สารหรอื สสารทมี่ ขี นาดและรปู ร่างไม่แนน่ อน เนื่องจากโมเลกุล
ยดึ เหน่ียวกันนอ้ ยมาก และฟุ้งกระจายอย่อู ย่างอสิ ระ เปลีย่ นแปลงรปู ร่างตามภาชนะ ปริมาตรสามารถเปลยี่ นแปลง
เม่ือไดร้ ับแรงกดดันและอุณหภมู สิ งู มกี ารแพร่ เชน่ ไฮโดรเจน ฮีเลยี ม ฯลฯ
ภาพแสดงอนุภาคของสารในสถานะต่างๆ
หนา้ 11
การจาแนกสารโดยใชส้ มบตั ทิ างเคมี
สมบตั ทิ างเคมี หมายถึง สมบัตทิ แี่ สดงลักษณะภายในองคป์ ระกอบของสาร เชน่ องค์ประกอบภายใน
อะตอม โมเลกลุ การเกดิ ปฏิกิริยาเคมี เช่น การเกดิ สารใหม่ การเผาไหม้ การสลายตวั ของสารให้
สารใหม่ การเกดิ สนิมของโลหะ
การเปลี่ยนแปลงสถานะของสาร
การเปลยี่ นแปลงสถานะของสาร แบ่งเป็น 2 ประเภท
1.การเปลย่ี นแปลงทางเคมี หมายถึง การเปลีย่ นแปลงสมบัติทางเคมี และภายหลงั กาเปลี่ยนแปลงจะไดส้ าร
ใหม่เกิดขนึ เสมอ เช่น การเผาไหม้ การเกดิ สารประกอบ การสลายตวั ของสารประกอบ การยอ่ ยอาหาร การเกดิ สนิม
เหล็ก
2.การเปลยี่ นแปลงทางกายภาพ หมายถึง การเปล่ยี นแปลงสมบัตทิ างกายภาพของสาร เชน่ การเปล่ียน
สถานะ การละลาย การเดือด การหลอมเหลว ภายหลงั การเปล่ียนแปลงยังคงไดส้ ารเดมิ การเปลี่ยนสถานะของสาร
การเปลีย่ นสถานะของสารจากของแข็งเป็นของเหลว เนอ่ื งจากได้รับความร้อนทาให้อนภุ าคมพี ลงั งานจลน์
(ได้จากการเคลือ่ นที่) เกดิ การเคล่ือนไหวเร็วขึนมีการถ่ายเทพลงั งานจลนใ์ หก้ นั และกันเม่ือถึงจดุ จุดหนงึ่ โมเลกุลก็จะ
เคลอื่ นท่ีหา่ งออกจากกนั แรงยดึ เหนย่ี วน้อยลง เรยี กวา่ การละลาย การหลอมเหลว หรือ การหลอมละลายการ
เปลีย่ นสถานะจากของเหลวเปน็ กา๊ ซ เกดิ จากอนุภาคได้รบั ความรอ้ นพลังงานจลนเ์ พิ่มขึนอนภุ าคหา่ งกันจนไม่มีแรง
ยึดเหนย่ี วระหวา่ งกนั เรียกว่า การระเหยการเปลีย่ นสถานะจากของแข็งเป็นก๊าซ เกิดจากอนภุ าคไดร้ ับความร้อนสูง
จนแรงยึดเหนี่ยวหลุดจากกัน เรยี กวา่ การระเหิด
หนา้ 12
ใบงานท่ี 14.1 สมบัติของสาร
ตอนที่ 1
คาชแี จง : ให้นักเรยี นสืบคน้ ข้อมูลเรอ่ื ง สารและสมบตั ิของสาร พร้อมเติมคาในช่องวา่ งให้สมบรู ณ์
1. สาร (Substance) หมายถงึ
2. สสาร (Matter) หมายถึง
3. สสาร และสาร เหมือนหรือตา่ งกันอยา่ งไร จงอธบิ าย
4. สมบัติของสารถูกจาแนกออกเปน็ 2 กลุ่มใหญๆ่ ไดแ้ ก่อะไรบา้ ง
หนา้ 13
ตอนท่ี 2
คาชแี จง : ใหน้ กั เรยี นโยงเส้นจบั คสู่ มบัติของสารและความหมาย / คาอธิบายถึงสมบัตินันๆ ให้ถกู ต้อง
ความแขง็ อตั ราสว่ นระหว่างมวล (Mass)
ต่อ ปริมาตร (Volume)
การนาไฟฟ้า จดุ ท่ีสารเปลย่ี นสถานะจากของเหลวเปน็ ก๊าซ ซง่ึ มคี ่า
จุดเดือด เทา่ กับ จดุ ควบแนน่
จุดหลอมเหลว คา่ ทแ่ี สดงถงึ ความเข้มขน้ ของ
ความหนาแน่น ไฮโดรเจนไอออน (H+) หรอื
ไฮโดรเนยี มไอออน (H 3O+)
คุณสมบตั ิของวัสดทุ สี่ ามารถทนตอ่
การเสยี รปู หรอื ตา้ นทานตอ่ การดดั
การขีด การขดั และการตัด
จุดทีส่ ารเปลย่ี นสถานะจากของแข็ง
เปน็ ของเหลว ซ่งึ มีคา่ เทา่ กับจดุ เยอื กแข็ง
ความเปน็ กรด-เบส การท่ีไฟฟ้าสามารถเคลือ่ นที่
ผ่านตวั กลางไปได้
ใบงานท่ี 14.2 กจิ กรรมฐานการเรียนรู้ เรื่อง การจาแนกสาร
หนา้ 14
ฐานการเรียนรทู้ ี่ 1
ตอนท่ี 1
คาชแี จง : ตอบคาถามจากฐานการเรยี นรตู้ อ่ ไปนี
การจาแนกสารโดยใช้สมบตั ิทางกายภาพ (ใช้เนือสารเป็นเกณฑ์)
สมบัตทิ างภาพ หมายถึง
การจาแนกสารโดยใช้เนือสารเปน็ เกณฑ์ เป็นวธิ กี ารทน่ี ยิ มกนั มาก เพราะ
ให้นักเรียนเขียนแผนภาพตน้ ไม้แสดงประเภทสารทไ่ี ด้จากการจาแนกโดยใชเ้ นอื สารเปน็ เกณฑ์ พรอ้ มยกตวั อยา่ ง
ประกอบ
การจาแนกโดยใชเ้ นือ้ สารเป็นเกณฑ์
1.สารเนอื เดียว คอื สารท่ีมองเห็นเป็นเนอื เดยี วกนั ตลอด อาจมเี พียงชนดิ เดียว หรอื
หนา้ 15
ตอนที่ 2
คาชแี จง : ให้นักเรยี นโยงเส้นจับคู่ สาร และลกั ษณะของสารใหถ้ ูกต้อง
ฐานการเรยี นรู้ที่ 2
คาชีแจง : ใหน้ กั เรียนเติมชนิดของสารท่ีได้จากการจาแนกโดยใชอ้ นุภาคเปน็ เกณฑ์ใหส้ อดคลอ้ งกบั ลกั ษณะ
ทกี่ าหนดให้ในตาราง พรอ้ มยกตัวอยา่ งประกอบ
สารเน้ือเดียว สารมากกวา่ สองชนิดผสมอยู่อย่างกลมกลนื
และแสดงสมบัติเหมอื นกนั ทุกประการ
สาร
[ibl6 สารบริสุทธส์ิ องชนิดขนึ ไปผสมกนั
โดยไมเ่ กิดปฏิกริ ิยาเคมี
สารละลาย
สารเนือเดียวที่ประกอบไปด้วยสารเพยี งชนดิ เดยี วมี
จุดหลอมเหลว และจุดเดือดคงที่
การจาแนกสารโดยใช้สมบตั ิทางกายภาพ (ใชข้ นาดอนภุ าคเป็นเกณฑ์)
ขนาดอนุภาค น้อยกว่า 10-7cm. 10-7 - 10-4 cm. มากกว่า 10-4 cm.
ชนดิ
การกรอง
ตวั อยา่ ง
หนา้ 16
แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทางานรายบุคคล
ลาดั ช่อื – สกลุ มีความ มีความ ตรงต่อ ความ ผลสาเร็จ รวม
บที่ ตัง้ ใจ รบั ผิดชอบ เวลา สะอาด ของงาน 20
ในการ เรยี บร้อย
ทางาน คะแนน
43214321432143214321
เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏบิ ตั ิหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสมา่ เสมอ = ดมี าก ให้ 4 คะแนน
ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัตหิ รอื แสดงพฤติกรรมบ่อยครัง = ดี ให้ 2 คะแนน
ให้ 1 คะแนน
ปฏบิ ัตหิ รอื แสดงพฤตกิ รรมบางครัง = พอใช้
ปฏิบตั หิ รอื แสดงพฤตกิ รรมน้อยครงั = ปรับปรงุ
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดบั คุณภาพ
18 - 20 ดีมาก
14 - 17 ดี
10 - 13 พอใช้
ต่ากวา่ 10 ปรับปรงุ
ลงช่อื .................................................................ผ้ปู ระเมิน
......................./.........................../........................
หนา้ 17
แบบสงั เกตพฤติกรรมการทางานกลมุ่
สมาชกิ ของกลมุ่ 1. กลุ่มที.่ .................................................
2. ..............................................................................
3. ..............................................................................
4. ..............................................................................
5. ..............................................................................
6. ..............................................................................
..............................................................................
ลาดับ พฤติกรรม คณุ ภาพการปฏิบตั ิ
ท่ี 4 321
1 มีสว่ นรว่ มในการแสดงความคิดเหน็
2 มคี วามกระตือรือรน้ ในการทางาน
3 รบั ผดิ ชอบในงานที่ได้รับมอบหมาย
4 มขี ันตอนในการทางานอยา่ งเปน็ ระบบ
5 ใชเ้ วลาในการทางานอย่างเหมาะสม
รวม
ลงช่ือ.................................................................ผู้ประเมนิ
......................./.........................../........................
เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบตั ิหรอื แสดงพฤติกรรมอย่างสมา่ เสมอ = ดีมาก ให้ 4 คะแนน
ปฏิบัติหรอื แสดงพฤติกรรมบ่อยครัง = ดี ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรอื แสดงพฤตกิ รรมบางครงั = พอใช้ ให้ 2 คะแนน
ปฏิบตั ิหรือแสดงพฤตกิ รรมน้อยครงั = ปรบั ปรงุ ให้ 1 คะแนน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
18 - 20 ดีมาก
14 - 17 ดี
10 - 13 พอใช้
ตา่ กว่า 10 ปรบั ปรงุ