2 ถ้าคุณ ... - อยากเป็นผู้ประกอบการ - เกษตรกรมืออาชีพ - นักธุรกิจเกษตร คุณ....ต้องเข้าร่วมงานเสวนากับเรา
3 สถานีเด่นชัย AGri+ Magazine นิตยสาร อะกรี พลัส ฉบับรายเดือน คณะผู้จัดทำ� ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ น.สพ.ยุคล ลิ้มแหลมทอง ศ.น.สพ.ดร.อรรณพ คุณาวงษ์กฤต ดร.อนันต์ ดาโลดม ศ.น.สพ.ดร.รุ่งโรจน์ ธนาวงษ์นุเวช รศ.น.สพ.กิจจา อุไรรงค์ รศ.น.สพ.ดร.เผด็จ ธรรมรักษ์ รศ.น.สพ.ดร.กัมพล แก้วเกษ ผศ.น.สพ.ดร.ปริวรรต พูลเพิ่ม ผศ.น.สพ.คัมภีร์ กอธีระกุล อ.ศักดิ์ชัย โตภานุรักษ์ ผศ.น.สพ.ดร.ดุสิต เลาหสินณรงค์ อ.น.สพ.อุรส จิตติวรรณ น.สพ.อำ พล ชะโยมชัย บรรณาธิการบริหาร Editor in chief เด่นชัย น่วมวงษ์ Denchai Nuamwong Tel. 087-494-7938 ฝ่ายโฆษณา/การตลาด สาริสา น่วมวงษ์ Sarisa Nuamwong Tel. 085-955-5077 ศิลปกรรม ชมพู ภูคา Nation Post Company Limited. จัดจำ�หน่ายโดย เวิลด์ ออฟ ดิสทริบิวชั่น Tel. 0-2744-6856-7 FAHDEN KOHVER Co.,Ltd. AGri+ Magazine 199/32 Park Gallery Wacharaphol Rd. Tharang Bangkhen Bangkok 10220 บริษัท ฟาห์เดน โคห์เวอร์ จำ�กัด นิตยสาร อะกรี พลัส 199/32 หมู่บ้านพาร์ค แกลเลอรี่ ซอยวัชรพล ถ.วัชรพล แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน กรุงเทพฯ 10230 โทร./แฟกซ์: 0-2945-5603, 08-5955-5077 Email: [email protected] ผู้พิมพ์ ผู้โฆษณา: ไม่มีส่วนรับผิดชอบต่อความเสียหาย ที่เกิดจากการใช้ข้อความหรือเนื้อหาของนิตยสาร สงวนลิขสิทธิ์ ห้ามทำ ซ้ำ ดัดแปลงรูปแบบ/เนื้อหานิตยสาร ก่อนได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร หากผู้ใดละเมิดจะดำ เนินการตามกฏหมายสูงสุด สวัสดีครับท่านผู้มีอุปการคุณ อะกรี พลัส ที่เคารพรักทุกท่าน นิตยสารฉบับที่ 3 ยังคงนำ เสนอเรื่องราวเกษตรครบวงจร ภายใต้แนวคิด เปิดแนวคิด มุมมองใหม่ สร้างเสริมปัญญา พัฒนาองค์ความรู้ เพื่อเกษตรกรร่ำรวยอย่างยั่งยืน ต้องขอขอบคุณ ที่วงการได้ให้การตอบรับเราเป็นอย่างดีนะครับ เรายังคงเดินบนเส้นทางคุณภาพใน การนำ เสนอเรื่องราวสาระ ไอเดีย ที่จะสามารถช่วยให้ท่านได้นำ ไปปรับประยุกต์ใช้ ในการดำ เนินชีวิตและประกอบอาชีพได้นะครับ ฉบับนี้เราได้เพิ่มคอลัมน์และนักเขียน คอลัมน์ประจำ นิตยสาร เพิ่มเติมอัดแน่นในเนื้อหาสาระเพิ่มขึ้น ในแบบกึ่งวิชาการ และไลฟ์สไตล์ เกี่ยวข้องกับชีวิต ความเป็นอยู่ นำ เสนอเรื่องราวที่ครอบคลุมมากยิ่ง ขึ้น ติดตามได้ในฉบับ และฉบับนี้ก็พร้อมนำ เสนอในเรื่อง “ธุรกิจเกษตรพันธุ์ใหม่ ก้าว สู่ AEC อย่างมั่นใจ และยั่งยืน” AGri+ Enterpreneurs in AEC Challenge” ซึ่ง สอดคล้องกับหัวข้องานสัมมนาชื่อเดียวกันนี้ ในวันที่ 29 สิงหาที่ผ่านมา ในช่วงเวลา 13.30 น.-16.30 น. ในงาน ISRMAX Asia 2014 และ Thailand Agricultural Expo 2014 งานเกษตรเมืองทอง ณ ห้องฟินิกซ์ อิมแพค เมืองทองธานี หวังว่า ทุกท่านที่เข้าร่วมงานจะได้รับประโยชน์จากงานนี้ได้อย่างเต็มที่นะครับ ขอประชาสัมพันธ์งานเพิ่มเติมความรู้และเปิดกว้างสร้างโอกาสทางการ ตลาดและสร้างสรค์ไอเดีย งาน Thailand LAB 2014 จัดโดย สมาคมการค้า วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และ บริษัท วีเอ็นยู เอ็กซิบิชั่นส์ เอเชีย แปซิฟิค จำกัด กำ หนดจัดงาน THAILAND LAB 2014 งานแสดงสินค้าและงานประชุมนานาชาติ ด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม เครื่องมือและห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ครั้งที่ 4 ระหว่างวันที่ 17-19 กันยายน 2557 ณ ฮอล์ 101-102 ไบเทค บางนา ภายใต้ แนวคิด มิติใหม่แห่งนวัตกรรมห้องแล็บ สู่คุณภาพงานวิจัยและธุรกิจ (Explore the Infinite Dimensions of LAB INNOVATION) ประกอบด้วย ผู้ประกอบการชั้น นำกว่า 200 บริษัท จำ นวนรวมกว่า900 แบรนด์สินค้า จาก 20 ประเทศทั่วโลก และงานประชุมสัมมนาจากผู้ทรงคุณวุฒิ ทั้งในและต่างประเทศ กว่า 100 หัวข้อ พร้อมยกระดับกลุ่มเทคโนโลยีเครื่องมือแล็บเป็นพาวิลเลี่ยนเฉพาะด้าน สนใจชมงาน สามารถลงทะเบียนชมงานล่วงหน้า โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และสำ รองที่นั่งเพื่อร่วมฟัง สัมมนา ได้ที่ www.thailandlab.com ขอเชิญไปร่วมงานกันนะครับ บรรณาธิการบริหาร เด่นชัย น่วมวงษ์
Agriculture Great Rich Idol MagazineContents ใบสมัครสมาชิก นิตยสาร อะกรี พลัส AGri+ Magazine (ใช้สำ�เนาได้) ชื่อ.......................................................................................................นามสกุล............................................................................................................................................ ที่อยู่................................................................................................................................................................................................................................................................. ......................................................................................................................................................................................................................................................................... โทรศัพท์.........................................................................Email.................................................................................................................................................................... สมัครสมาชิก นิตยสาร อะกรี พลัส เริ่มตั้งแต่ฉบับที่.......................................................ถึงฉบับที่............................................................................................ ระยะเวลา................1 ปี (12 ฉบับ) ราคา 720 บาท ระยะเวลา................2 ปี (24 ฉบับ) ราคา 1,400 บาท ชำ ระเงินโดย...........ผ่านบัญชีออมทรัพย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาบิ๊กซีรังสิต ชื่อบัญชี นายเด่นชัย น่วมวงษ์ เลขที่ 401-558634-6 ...........ผ่านธนานัติ สั่งจ่าย ปณ.รามอินทรา ในนาม นายเด่นชัย น่วมวงษ์ ส่งมาที่ คุณสาริสา น่วมวงษ์ นิตยสารอะกรี เลขที่ 199/32 หมู่บ้านพาร์ค แกลเลอร่ี ซอยวัชรพล ถนนวัชรพล แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร 10230 โทร./แฟกซ์: 0-2945-5603, 08-5955-5077, 08-1923-1382, Email: [email protected] สนใจรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อได้ที่ คุณสาริสา โทร. 08-5955-5077, 0-2945-5603 Agricultural Great Rich Idol Magazine Inside-out: ธุรกิจเกษตร พันธุ์ใหม่ ในยุค AEC 6 นักธุรกิจเกษตรพันธุ์ใหม่ ก้าวอย่างไรยั่งยืน 9 พลิกมุมคิด...ยกระดับ “เกษตรกร” สู่ “นักธุรกิจเกษตร” 12 ตะลุยฟาร์มกำ แพงเพชร ชมเกษตรแนวใหม่ 15 Agri+ เกษตรอินทรีย์ By ฌ. ฌาน 16 เชียงใหม่สืบประเพณีล้านนา ฟื้นฟูวัฒนธรรมข้าว 17 บริหารจัดการ กาแฟ รับมือ AEC 18 กลยุทธ์อาหารปลอดภัย หนุนส่งออกพืชเศรษฐกิจ 20 ไข่ออนเซ็น S-Pure ไข่ต้มสไตล์ญี่ปุ่น เบทาโกร 21 กรมฝนหลวง โปรยเมล็ดพันธุ์พืช เพิ่มผืนป่าทั่วประเทศไทย 22 ตราฉัตร เปิดตัวข้าว สีสด 27 หญ้าเนเปียร์หมัก อาหารสัตว์เคี้ยวเอื้องชั้นยอด 28 จอบหมุนสับกลบใบอ้อย รถแทรกเตอร์ขนาดกลาง 31 เครื่องปลูกมันสำ ปะหลังพ่วงท้ายรถแทรกเตอร์ 33 AGri+ มือทำ รวย: SubSandwich 35 บ้านนั้น เมืองโน้น : สิ่งที่พ่อสอน 36 Agri+ Society By Madam rose 38 กาแฟนายูง แบรนด์ดัง อุดรธานี 40 i-AGri+ 42 เก็บตก Horti Asia 2014 44 Thailand Lab 2014 45
5 โดย คุณเทพชู ศรีโพธิ คุณอำ�พล ชะโยมชัย คุณเด่นชัย น่วมวงษ์ ดำ�เนินรายการ วันที่ 29 สิงหาคม 2557 เวลา 13.30–16.30 น. ในงาน ISRMAX Asia 2014 และ Thailand Agriculture Expo 2014 ณ อิมแพคเมืองทองธานี ห้องฟีนิกซ์ 3 เข้าสู่งานเสวนา “ธุรกิจเกษตรพันธุ์ใหม่ ก้าวสู่ AEC อย่างมั่นใจและยั่งยืน” AGri+ Entrepreneurs in AEC Challeng ยินดีต้อนรับ คุณคือ นักธุรกิจเกษตร ผู้ประกอบการเกษตร เกษตรกรมืออาชีพ พิเศษวันนี้ สำ�หรับท่�นที่ร่วมสัมมน� สมัครสมาชิก นิตยสาร อะกรี พลัส ลดราคาพิเศษ ระยะเวลา 1 ปี 12 ฉบับ จากเดิม ราคา 720 บาท เหลือเพียง 600 บาท ระยะเวลา 2 ปี 24 ฉบับ จากเดิมราคา 1,400 บาทเหลือเพียง 1,100 บาท แถมฟรี อะกรี พลัส ฉบับที่ 1-3 พร้อมด้วยสิทธิพิเศษตามมาอีกมากมาย คุณเทพชู ศรีโพธิ คุณอำ�พล ชะโยมชัย คุณเด่นชัย น่วมวงษ์
6 Inside-OUT สำเร็จจากข้างใน โดย: อำ�พล ชะโยมชัย อีกเพียงแค่หนึ่งปีเท่านั้น คนในพื้นที่เอเชียแห่งนี้ จะ มีชีวิตเกี่ยวข้องกันเป็นหนึ่งเดียว ในยุคที่กำ�แพงขวางกั้น ระหว่างประเทศได้สิ้นสุดลง แม้ว่าจะมีประเด็นสำ�คัญอยู่ หลายด้าน แต่ที่พูดถึงกันมากคงหนีไม่พ้นประเด็นด้าน เศรษฐกิจ หรือ AEC ซึ่งเหตุผลก็คงเพราะมันเกี่ยวกับปาก ท้องของคนในแต่ละประเทศโดยตรงนั่นเอง มันเป็นเรื่องที่ ใกล้ตัวที่สุดและจับต้องได้มากที่สุดเมื่อเทียบกับประเด็นทาง ด้านความร่วมมือทางการเมืองและสังคมของเอเชีย เมื่อถึงเวลานั้น ถามว่าภาคเกษตรกรรมจะอยู่อย่างไร หาก ให้เห็นภาพชัดมากขึ้น คำถามคงมีว่า “วันนี้ภาคเกษตร พร้อม แล้วใช่หรือไม่?” และหากให้เดาคำตอบ คนที่ชอบว่า “ใช่” คง มีสัดส่วนที่น้อยกว่า (หรือน้อยมาก) ดังนั้น คำถามถัดไปที่สำคัญ คงเป็น “แล้วภาคเกษตร จะทำ�อะไรได้บ้าง เพิ่มให้มีความพร้อม มากขึ้น?” บทความนี้จึงอยากขอเสนอแนะแนวคิด แนวทางและ วิธีปฏิบัติบางอย่าง เพื่อให้คนที่อยู่ในภาคเกษตรมีความพร้อมมาก ขึ้น และกลายเป็น “พันธุ์ใหม่” ในการเข้าสู่ AEC อย่างมั่นใจ และยั่งยืน(ในที่สุด) กลยุทธ์ในการแข่งขันนั้น แบ่งกว้างๆและให้เข้าใจง่ายๆ แบ่งได้ 2 ชนิด ได้แก่ 1. AEC คืออะไร? ใครได้ ใครเสียประโยชน์? เท่าที่คน ส่วนใหญ่ทราบ คงจะเป็นขนาดที่ใหญ่โต ด้วยประชากรรวม 10 ประเทศ เท่ากับ 600 ล้านคน คงจะไม่อธิบายละเอียดใน ที่นี้ แต่สิ่งที่อยากให้คิดมากกว่าเพียงแค่การเป็น “ประชาคม เศรษฐกิจอาเซียน” หรือ AEC คือ มันมีมุมอื่นๆประกอบที่จะ ส่งผลต่อความก้าวหน้าทางด้านเศรษฐกิจ นั่นคือ ประเด็นทาง ด้านการเมืองและ ด้านสังคม ที่ส่งผลต่อกันและกันตลอดเวลา และอีกเรื่องที่เป็นความความท้าทายของประชาคมอาเซียน ก็คือ พื้นที่แห่ง “ความหลากหลาย” ของ 10 ล้านคนนั่นเอง ดังนั้น คนที่จะได้ประโยชน์คือ คนที่มองเห็นโอกาสทั้งภายใน AEC และนอก AEC เพราะนอกจากจะเป็นตลาดของการผลิต ที่ใหญ่ต่อโลกแล้ว ประชาคมอาเซียนยังเป็น “ตลาดบริโภค” ขนาดใหญ่ด้วย (600 ล้านคน) 2. การเข้าใจในเรื่อง “ห่วงโซ่” การผลิต (หรือห่วงโซ่ อุปทาน) “การผลิต” ไม่ว่าจะเป็นในภาคเกษตรหรือภาคอื่นๆ ธุรกิจเกษตร “พันธุ์ใหม่”ในยุคAEC
7 ก็ล้วนแล้วแต่มี “ห่วงโซ่” การผลิตที่คล้ายๆกัน ได้แก่ ต้นสาย กลางสาย และปลายสายการผลิต (อาจเรียกเป็น ต้นน้ำ กลาง น้ำ และปลายน้ำ ก็ได้) ต้องเข้าใจถึงกระบวนการไหลของแต่ละ ขั้นตอน และต้องคิดและเห็นทั้งหมดของห่วงโซ่การผลิต จะทำ ให้ เราเข้าใจว่า เราเองอยู่ตรง “จุดไหน” ของห่วงโซ่ เพื่อจะสามารถ ประเมินได้ว่าเราจะผลิตและแข่งขันได้อย่างไร 3. การประเมิน “ความเสี่ยง” และจัดการควบคุม หากใช้ รูปแบบของ “ห่วงโซ่การผลิต” มาดู ก็จะรู้ว่า “ความเสี่ยง” มัน เกิดขึ้นได้ทุกจุดของกระบวนการ สิ่งที่ต้องปฏิบัติคือ ต้องประเมิน ความเสี่ยงที่จะเกี่ยวข้องกับการผลิตหรือธุรกิจของเราได้ เพื่อหา แนวทางป้องกันหรือลดผลกระทบของความเสี่ยงนั้นๆ เช่น หาก เราต้องผลิตสิ่งที่ขายสู่ผู้บริโภค อาจจะต้องดูนโยบายหรือระเบียบ กฎหมายที่คุ้มครองผู้บริโภคว่ามีอะไรบ้าง และเรามีส่วนไหนที่มี ความเสี่ยงที่จะถูกควบคุมหรือหยุดการผลิตหรือไม่ หรือหากเรา เป็นคนที่ต้องส่งวัตถุดิบเข้าสู่โรงงานผลิต เราต้องรู้ว่าโรงงาน กำ หนดสเปคหรือระดับคุณภาพในระดับใด เพื่อการผลิตที่เป็น ไปตามกำ หนดของโรงงาน ถือเป็นการบริหารจัดการความเสี่ยง ล่วงหน้า เป็นต้น 4. ความเข้าใจและการจัดการด้าน “การตลาด” แน่นอน ว่า ยุคนี้อะไรๆก็ดูคนจะให้น้ำ หนักไปที่ “การตลาด” กันมาก เพื่อทำ ให้เกิดความสำ เร็จ ไม่ว่าจะเป็นระดับบุคคล ระดับองค์กร ระดับอุตสาหกรรม หรือระดับโลก และแน่นอนว่า “การตลาด” นั้นสำคัญมาก คนที่เข้าใจและ ใช้อย่างถูกต้อง ถูกจังหวะเวลา และถูกกลุ่มลูกค้าคาดหวัง ย่อม สามารถพบความสำ เร็จได้ไม่ยาก แต่ประเด็นสำคัญ คือ “หลัก หรือ แนวคิด” ทางด้านการตลาดนั้น มีมากมายเหลือเกิน และยัง เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แล้วเราจะเลือกใช้หลักไหนที่จะเหมาะ สม เรื่องนี้เป็น “ศิลป์” และ “ความเก๋า หรือ ประสบการณ์” ของคนทำการตลาดเป็นสำคัญ แต่อย่างน้อยๆ เราก็น่าจะเข้าใจ หลักใหญ่ๆอยู่ 2 เรื่อง อันได้แก่ การแบ่งกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย และ หลัก 4P ซึ่งประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์ (Product) ราคา (Price) สถานที่จำ หน่าย (Place) และ การส่งเสริมการตลาด (Promotion) หลังจากนั้น ก็ลองสร้างแผนการตลาดของเราเอง รวมถึงหาที่ปรึกษาที่ช่วยดูว่าแผนการตลาดมีความเป็นไปได้เพียง ไรที่จะสำ เร็จ อันนี้คือเบื้องต้นของการตลาด 5. การปรับปรุงประสิทธิภาพด้วย “เทคโนโลยี” หรือ “นวัตกรรม” หากจะวัดโอกาสของความสำ เร็จแล้ว การวัด “ประสิทธิภาพ” ของการผลิต น่าจะเป็นเกณฑ์ที่สำ คัญที่สุด ซึ่งประเด็นนี้จะเกี่ยวข้องกับหลายเรื่องด้วยกัน เช่น คนงาน กระบวนการ วัตถุดิบ เทคนิค การตรวจสอบคุณภาพ เป็นต้น จำ เป็นที่จะต้องมีความพร้อมและสม่ำ เสมอ เพื่อผลิตให้ได้ ประสิทธิภาพ และมีประสิทธิผลในตอนสุดท้าย วิธีหนึ่งที่จะช่วยให้ประสิทธิภาพดีอยู่เสมอหรือดียิ่งขึ้น นั่น คือ การนำ เทคโนโลยีหรือนวัตกรรมเข้ามาใช้ในกระบวนการ เช่น การใช้เครื่องจักรเพื่อทุ่งแรง การใช้โครงสร้างที่ทำ ให้ผลผลิตมี
8 ความสม่ำ เสมอมากขึ้น การมีระบบตรวจสอบที่ง่ายและคนงาน สามารถใช้ในการเพิ่มผลผลิต เป็นต้น ส่วนประเด็นการได้มาซึ่งเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมนั้น ก็คง มีสองทางหลักๆ ได้แก่ ซื้อหรือรับมาจากภายนอก และสร้าง เองภายใน แน่นอนว่าซื้อเข้ามาย่อมมีค่าใช้จ่าย แต่การสร้าง เองภายในก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้เวลา การเลือกวิธีใดนั้น ก็ต้อง ประเมินเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียกันดู จะทำ ให้ตัดสินใจได้ง่ายและ เหมาะสมกับองค์กร 6. เรื่องของ “คน” เรื่องนี้คงไม่มีใครปฏิเสธว่าเป็นหนึ่ง ในเรื่องที่ “สำ�คัญและยากที่สุด” ในการบริหารจัดการ อย่างใน ช่วงที่ผ่านมา องค์กรจำ นวนมาก พยายามสร้างองค์กรให้เป็น “องค์กรแห่งการเรียนรู้” จริงๆก็คือ การทำ ให้เกิดประสิทธิภาพ และประสิทธิผลในการทำ งานสูงขึ้น ด้วยการที่คนงานสามารถใช้ ศักยภาพของตนเองในแต่ละคนออกมาร่วมกันสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ในองค์กรให้ดีเลิศที่สุด ทั้งด้านผลิตภัณฑ์ กระบวนการทำ งาน และการผลิต การมีนวัตกรรมเพื่อให้องค์กรเติบโต เป็นต้น เอา เข้าจริง เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยากมากและต้องใช้เวลา โดยเฉพาะ กับลักษณะของคนแถบเอเชียเรา ในกรณี AEC ที่เปิดประเทศมากขึ้น การที่มีแรงงานต่างชาติ ข้ามไปทำ งานระหว่างกัน สิ่งที่เป็นอุปสรรคอย่างมากคือ ภาษา และวิถีชีวิตที่ต่างกัน เรื่องภาษาก็จะส่งผลต่อความเรียนรู้ และ ความเข้าใจที่ไม่ตรงกัน ส่งผลต่อประสิทธิภาพงานนี่สุด ส่วน เรื่องวิถีชีวิตที่ต่างกัน จะส่งผลต่อการบริหารงาน เช่น ความ ต้องการของคนงานที่ต่างกัน ฝ่ายบริหารจะต้องวางนโยบายที่ ครอบคลุมเพียงพอที่จะให้คนงานมี “แรงจูงใจ” ในการทำ งาน ให้มีประสิทธิภาพตามคาดหรือสูงกว่าเป้าหมาย เป็นต้น ยังคงมีอีกหลายประเด็นที่จะต้องรู้และปฏิบัติ เพื่อสร้าง ความพร้อมและความได้เปรียบในการแข่งขัน ทั้งการแข่งขันใน และนอกประชาคมอาเซียน เช่น ประเด็นด้านความรับผิดชอบ ต่อสังคม หรือ CSR ประเด็นด้านเปิดการค้าเสรีระหว่างภูมิภาค ประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนและแรงงาน หรือประเด็นด้านความ ปลอดภัยในชีวิตและการกระจายของโรคภัยระหว่างประเทศ เป็นต้น ซึ่งเราอาจจะต้องค่อยๆเรียนรู้และปรับให้สอดคล้อง กันไป หากเราเข้าใจตัวเรา องค์กรเรา อุตสาหกรรมที่เราอยู่ ภูมิภาคที่เรามุ่งจะทำ ตลาด เราก็จะรู้ได้ว่าประเด็นที่เกี่ยวข้อง ต่างๆที่กล่าวมาข้างต้นประเด็นไหนที่ “ใกล้ตัว” มากที่สุด เราก็ มุ่งประเด็นนั้นๆก่อน สิ่งสุดท้ายคือ “ประเทศไทย” ถูกมองว่าเป็น “จุด ยุทธศาสตร์” สำคัญของโลก ไม่ใช่เพียงแค่ประชาคมอาเซียน หากเราเข้าใจและเชื่ออย่างนั้น เราก็จะมุ่งพัฒนาตัวเราเอง และสามารถเลือกใช้ “ข้อดี” ของเรา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความ สามารถของคน ผลิตภัณฑ์คุณภาพ การบริการที่เป็นเลิศ และ ภูมิประเทศที่น่าสนใจ ให้เกิดประโยชน์ได้ไม่ว่าจะเวทีระดับไหน ของโลกได้อย่างแน่นอน
9 เปิดแนวคิด มุมมอง วิสัยทัศน์ ยุคล ลิ้มแหลมทอง ที่ ปรึกษา อะกรี พลัส แนะหลักคิด นักธุรกิจเกษตรพันธุ์ใหม่ อยู่ รอดได้ยั่งยืน ต้องใส่ใจและให้ความสำคัญ การตลาดนำการผลิต ใช้ระบบบริหารจัดการที่มีศักยภาพ บนพื้นฐานหลักเศรษฐกิจพอ เพียง รู้จักวิเคราะห์จุดยืนที่เหมาะสมตัวเอง สร้างจุดเด่น และ เพิ่มมูลค่าสินค้าสู่ตลาด น.สพ.ยุคล ลิ้มแหลมทอง อดีตรองนายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ ที่ปรึกษานิตย สารอะกรี พลัส กล่าวว่า เกษตรกรจะสามารถก้าวเข้าสู่เป็นนัก ธุรกิจเกษตร เป็นผู้ประกอบการเกษตร จะต้องปฏิบัติตัว หรือว่า มุมมองไหน หรือมีวิสัยทัศน์แบบไหนนั้น ถ้าเป็นเกษตรกรที่มีพื้น ฐาน มีที่ดิน มีทุนพอสมควร สามารถใช้ระบบเศรษฐกิจพอเพียง ก็สามารถก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้ประกอบการได้เพียงนำ ระบบบริหาร จัดการมาใช้ ที่สำคัญ คือ การเป็นผู้ประกอบการต้องใช้การตลาด นำการผลิต หากสามารถทำ ได้ก็สามารถขยับตัวเองเป็นนักธุรกิจ ได้ ใช้แนวคิดหลักเศรษฐกิจพอเพียงที่ไม่ทำ ให้เกิดความเสี่ยง ทำ แบบค่อยเป็นค่อยไป ก้าวอย่างมั่นคง แต่ถ้าเป็นเกษตรกรรายย่อย จะพัฒนาตัวเองขึ้นมาเข้าสู่ ระบบธุรกิจได้อย่างไร ตรงนี้จำ เป็นต้องใช้กระบวนการในรูปแบบ สหกรณ์ที่จำ เป็นเข้ามาช่วยเสริม ทำอย่างไรให้เกษตรกรรายย่อย เข้ามารวมตัวกัน ร่วมกันคิด วางแผน ผลิต ร่วมกันซื้อ ร่วมกัน ขาย สร้างความเข้มแข็งให้เกษตรกรโดยใช้ระบบสหกรณ์เป็นฐาน นี่คือ สิ่งที่ต้องพัฒนาต่อไป ซึ่งในแต่ละพื้นที่ถ้าเกษตรกรพอมีพอ กิน พออยู่ได้ เกิดความมั่นคงอาหารในแต่ละหมู่บ้าน แต่ละครัว เรือนก็จะการบริหารจัดการแบบหนึ่ง แต่ถ้าต้องการพัฒนาขยาย ตัวเป็นธุรกิจ เป็นขั้นตอนที่ 2 ของหลักเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งจะ ต้องมีการรวมกลุ่มกันเพื่อจะให้เกิดการผลิตในปริมาณมาก ภาย ใต้การบริหารจัดการการรวมกลุ่มผลิตและจำ หน่ายในรูปแบบ ของสหกรณ์ วันนี้ประเทศไทยต้องการเกษตรกรมืออาชีพ มีมหาวิทยาลัย และสถาบันการศึกษาหลายแห่ง พยายามสร้างเกษตรกรที่เป็นมือ อาชีพเข้าสู่ระบบภาคการเกษตร สร้างเกษตรกรรุ่นใหม่ภายใต้ วิสัยทัศน์ การเป็นผู้ประกอบการเกษตร นักธุรกิจเกษตรโดยตรง ให้เกษตรกรหรือเด็กรุ่นใหม่เข้าใจความสำ คัญของภาคเกษตร ของประเทศว่า นี่คือความยั่งยืนของเศรษฐกิจของประเทศ ถ้า พื้นที่ของประเทศไทยครึ่งหนึ่งเป็นพื้นที่ของการเกษตร แล้วคน ของเราสามารถที่จะบริหารจัดการทางด้านสินค้าเกษตรได้อย่าง มีประสิทธิภาพ บุคลากรของเราก็จะเป็นเกษตรกรมืออาชีพได้ การสนับสนุนของภาครัฐก็ให้ความสำคัญ เพื่อสร้างเกษตรกรมือ อาชีพ หรือที่เรียกว่า สมาร์ท ฟาร์มเมอร์ วันนี้เราทำ ได้และมีทิศทางที่ดี แต่ทั้งนี้ถ้าจะให้มีเข้มแข็งต้อง ขึ้นอยู่กับพื้นฐานของแต่ละคน ต้องมีการคุย รวมกลุ่ม ปรึกษา มีการจัดกลุ่ม จัดความสมดุลกันระหว่างผู้ประกอบการกับตัว เกษตรกร ในกรณีของเกษตรกรที่มีกำลังการผลิต สามารถที่จะคุย กับผู้ประกอบการโดยตรงได้ หรือในกรณีที่เป็นเกษตรกรรายย่อย รวมถึงสหกรณ์ ก็ให้สหกรณ์คุยกับผู้ประกอบการ หรือลักษณะ ของโครงการที่เป็นโครงการคอนแท็กฟาร์มกับทางผู้ประกอบการ ที่ต้องการแปรรูป หรือต้องการสินค้าเกษตร ไปผลิตเป็นสินค้าที่ ก้าวสู่ นักธุรกิจเกษตรพันธุ์ใหม่ อยู่รอดอย่างไรยั่งยืน
10 จะแปรรูปเป็นอาหารที่เพิ่มมูลค่า ตรงนั้นก็เป็นการวางระบบที่จะ เชื่อมโยงกันในสินค้าเกษตร “การที่จะก้าวไปสู่การเป็นผู้ประกอบการ เป็นนักธุรกิจไม่ใช่ เรื่องง่าย มีปัจจัยและตัวแปรเข้ามาเกี่ยวข้องหลายอย่าง เช่น มี ผู้ประกอบการรายเดิมที่มีอยู่แล้วส่วนหนึ่ง การที่จะต้องลงทุน ต้องหาแหล่งเงินทุนสนับสนุน การหาเครือข่ายด้านการผลิต และเทคโนโลยีการผลิต เป็นละเอียดอ่อน เกษตรกรต้องเข้ามา อยู่ในห่วงโซ่การผลิตที่สมบูรณ์ จำ เป็นต้องมีการบริหารจัดการ สินค้าเกษตรแต่ละชนิด แต่ละกลุ่ม ตั้งแต่ตัวเกษตรกรจนถึงผู้ รวบรวมสินค้า ผู้ประกอบการแปรรูป การเพิ่มมูลค่า การตลาด สุดท้ายจนถึงผู้บริโภค เกษตรกรต้องมีความเข้าใจเพราะทุกภาค ส่วนมีความเชื่อมโยงกัน “เราต้องวิเคราะห์สินค้าเกษตรว่าชนิดไหนเข้าสู่ระบบ อุตสาหกรรมได้ เวลานี้เรามีหลายชนิดที่เข้าสู่อุตสาหกรรมได้ อย่างเต็มที่ในส่วนที่มีการผลิตจำ นวนมาก เช่น ข้าว มันสำ ปะหลัง อ้อย ข้าวโพด ยางพารา ปาล์มน้ำ มัน เข้าสู่ระบบอุตสาหกรรม ได้ทันที แต่ว่ากระบวนการบริหารจัดการตั้งแต่ต้นน้ำ ถึงปลาย น้ำ แต่วันนี้เรายังมีปัญหาในเรื่องของความสมดุลของดีมานต์ ซัพพลาย และกระบวนการในการทำธุรกิจยังอยู่ในกลุ่มนักธุรกิจ เพียงไม่กี่ราย แต่ถ้ามีการพูดคุยกันในภาพรวมทั้งหมดของผู้ ประกอบการ เกษตรกร และส่วนการแปรรูป เป็นระบบระบบก็ จะเกิดความมั่นคง แต่สินค้าจำ พวกพืชผักเป็นสินค้าหลักบริโภค ในประเทศ ก็เป็นในส่วนของการสร้างความมั่นคงในด้านอาหาร” น.สพ.ยุคลกล่าว น.สพ.ยุคลกล่าวต่อว่า ความหลากหลายของสินค้าเกษตร เป็นปัจจัยที่มีความสำคัญอย่างมาก ยกตัวอย่างเช่น แหล่งผลิตผล ไม้ ชนิดของผลไม้ที่มีในแต่ละภูมิภาคมีไม่เหมือนกัน และคุณภาพ ก็แตกต่างกัน แต่ละพื้นที่ผลิตสินค้าได้ดีไม่เท่ากัน นี่คือ เหตุผล ว่าทำ ไมเราต้องจัดการเขตพื้นที่เพาะปลูก ความชัดเจนของการทำ โซนนิ่ง เราต้องมาพิจารณาผลผลิต คุณภาพที่มีความเกี่ยวข้อง กับสภาพพื้นที่ ภูมิอากาศ ดิน น้ำ แสงแดด น้ำ และประเมิน ค่าเฉลี่ยทั้งปี สินค้าผลไม้เป็นสินค้าที่มีอายุยืน ไม่ใช่เป็นพืชอายุ สั้น ต้องมีการบริหารจัดการผลิตที่ชัดเจน โซนนิ่งพื้นที่ วันนี้ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญเพราะเป็นมาตรการ แก้ไขปัญหาเกษตรกรได้อย่างยั่งยืน เป็นกระบวนการบริหาร จัดการสินค้าเกษตรให้มีความสมดุล ระหว่างการตลาดและการ ผลิต รวมถึงคุณภาพสินค้า การแปรรูป และการเพิ่มมูลค่า วัน นี้ คสช. สานต่อมาตรการ ถือว่าเป็นนิมิตรหมายที่ดีสำ หรับ เกษตรกร โดยต้องได้รับความร่วมมือทุกภาคส่วน เช่น กระทร วงเกษตรฯ ถือว่าฐานหลักในการดูแลเกษตรกร การตลาดเป็น หน้าที่ของกระทรวงพาณิชย์ ส่วนการเพิ่มมูลค่าสินค้าการแปรรูป และการตลาดก็เกี่ยวข้องกับกระทรวงอุตสาหกรรม การบริหาร จัดการเรื่องการหาแหล่งผลิต รวบรวมสินค้าและการขนส่ง หรือโลจิสติกส์ก็เกี่ยวข้องกับกระทรวงคมนาคม ทุกหน่วยงานมี ความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันทั้งหมด แม้กระทั่งเรื่องของกระทรวง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่จะต้องนำ เทคโนโลยีส่งเสริมการ ผลิต การแปรรูป บรรจุหีบห่อ และการถนอมสินค้า เพราะสินค้า เกษตรมีอายุการเก็บรักษาสั้น ต้องมีเทคโนโลยีจัดการ “นี่คือความเชื่อมโยงที่จะต้องบริหารจัดการนำ พาไปสู่ความ ยั่งยืนของภาคเกษตร ทุกภาคส่วนต้องดำ เนินการพร้อมๆ กัน เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ไม่ใช่เรื่องที่ทำ วันนี้แล้วพรุ่งนี้ได้ ต้องใช้ เวลา ต้องทำความเข้าใจกับคนจำ นวนมาก เป็นการวางรากฐาน ทางด้านการเกษตรทั้งหมดของประเทศ วันนี้เราต้องก้าวเดินต่อ ไป ต้องรีบนับต่อ ตอนนี้ไม่ใช่ความคิดของใครคนใดคนหนึ่ง แต่
11 เป็นความคิดที่ทุกคนเห็นแล้วว่าการจัดการสินค้าเกษตรไม่ว่าจะ ประเทศใด จะให้ความสำคัญกับภาพของแหล่งผลิตสินค้า การ บริหารจัดการให้ผลผลิตสูงสุด ต้นทุนต่ำ สุด การแปรรูปผลิตภัณฑ์ สินค้าเกษตรมีมูลค่าสูง และเชื่อมโยงการตลาด” น.สพ.ยุคลกล่าว น.สพ.ยุคลกล่าวต่อว่า การเป็นนักธุรกิจเกษตร เป็นผู้ ประกอบการเกษตรมืออาชีพ หรือเป็นเกษตรกรที่มีการอยู่รอด ได้อย่างยั่งยืนและปลอดภัย จะเป็นการสร้างให้เกิดความมั่นคง ของอาหารของประเทศ และพัฒนาไปสู่การเป็นครัวของโลก แนวคิดของการเป็นเกษตรกรมืออาชีพ สามารถยึดหลักทฤษฎี ใหม่ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนำ มาใช้ปฏิบัติได้เป็นอย่าง ดี โดยเฉพาะหลักการบริหารจัดการพื้นที่ ภายใต้หลักคิดของ เศรษฐกิจพอเพียง เศรษฐกิจพอเพียง ของแต่ละคนไม่เท่ากัน ภายใต้เงื่อนไข ของการครอบครองพื้นที่ เงื่อนไขขององค์ความรู้ เงื่อนไขของ สิ่งต่างๆ องค์ประกอบที่จำ เป็นและสำ คัญที่ต่างกันไป ฉะนั้น การจัดการเกี่ยวกับเรื่องของเศรษฐกิจพอเพียงของแต่ละคนถึง ต้องมาดูว่า ........ “เรื่องของเศรษฐกิจพอเพียงที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประทานให้ เป็นแนวคิดที่ใช้ในการที่จะบริหารจัดการสินค้า เกษตรและความเป็นอยู่ของพี่น้องเกษตรกรให้มีความกินดีอยู่ดี เป็นหลักคิดให้รู้จักว่า ความพอดีของตัวเองนั้นอยู่ที่ไหน มีความ สามารถ ศักยภาพและมีเอกลักษณ์อย่างไร ปรับแนวคิดเศรษฐกิจ พอเพียงให้สอดคล้องกับตัวเอง พระองค์ท่านยังพระราชทาน แนวทางที่เกี่ยวข้อง นั่นคือ เกษตรทฤษฎีใหม่ เป็นการทำ เกษตร ผสมผสาน เกษตรกรมีอาหาร มีสินค้าสร้างรายได้ครัวเรือน ตลอดทั้งปี แล้วก้าวหน้าไปถึงส่วนที่จะแบ่งปันในชุมชน หรือทำ ธุรกิจได้ นั่นคือ แนวคิดที่พระองค์พระราชทานให้กับเกษตรกร ไทย แล้วก็ไม่ใช่เฉพาะเกษตรกรอย่างเดียว แนวคิดเศรษฐกิจพอ เพียงนั้น สามารถใช้ได้กับทุกชนิดสินค้าในประเทศทั้งหมดด้วย นั่นคือ สิ่งที่เราต้องทำความเข้าใจกับเกษตรกรว่า เศรษฐกิจพอ เพียงของแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับรากฐานของแต่ละคน ขึ้นอยู่กับความเข้าใจของแต่ละคน ขึ้นอยู่กับทุนของแต่ละคน” น.สพ.ยุคลกล่าว
12 จากภาวะเศรษฐกิจโลก รวมถึงสถานการณ์ทางการเมืองใน ช่วงที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อสินค้าเกษตรที่สำคัญหลายชนิดมี ทิศทางที่ไม่สดใสมากนัก ดังเห็นได้จากสินค้าหลักทั้ง ข้าว และ ยางพารา ที่ปริมาณการส่งออกลดลงทั้งปริมาณและมูลค่า ซึ่ง หากนำข้อมูลเชิงสถิติในปี 2556 มาวิเคราะห์ ก็จะพบว่า ด้าน มูลค่าการค้าขายสินค้าเกษตรมวลรวมของไทยกับตลาดส่งออกที่ สำคัญในกลุ่มอาเซียน อย่างบรูไน อินโดนีเซีย ลาว เวียดนาม กัมพูชา ฯลฯ หรือแม้แต่ประเทศคู่ค้าที่สำคัญอย่างจีน ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา ประเทศไทยยังคงได้ดุลการค้าอยู่มาก ถึง แม้ว่าจะได้รับความกดดันจากภาวะเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกา และยุโรปก็ตาม สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของเกษตรกรไทย ศักยภาพของทรัพยากรธรรมชาติของไทยที่เหมาะกับการพัฒนา อุตสาหกรรมเกษตรทั้งการปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ คนไทยเป็น คนที่มีความสามารถ แต่จะทำ อย่างไรให้เกษตรกรไทยอยู่ดีกิน ดี สามารถไปเที่ยวต่างประเทศได้เหมือนเกษตรกรประเทศอื่น อย่างญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน การพัฒนาเกษตรกรไทยจึงเป็นการ สร้างโอกาสให้กับอุตสาหกรรมเกษตรของไทย ยิ่งถ้ามองไปใน อนาคต ก็จะพบว่าอีก 20-30 ปีข้างหน้าประชากรโลกจะเพิ่มขึ้น เป็น 9,000 ล้านคน จากปัจจุบันมีทั้งหมด 7,100 ล้านคน ทำ ให้ ความต้องการซื้อเพิ่มขึ้นมหาศาล ในขณะที่พื้นที่ทำการเกษตรมี จำกัด หากสามารถบริหารจัดการพื้นที่ที่มีจำกัดให้เกิดประโยชน์ สูงสุด อุตสาหกรรมเกษตรก็จะช่วยเสริมศักยภาพการแข่งขันให้ กับประเทศไทยไปอีกนาน ที่สำคัญยังมีโอกาสที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ คือ การรวมกลุ่มของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC) ซึ่งจะทำ ให้ เกิดปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ 2 เรื่อง คือ โอกาสในการแสวงหา พื้นที่ที่เหมาะสมในการทำ เกษตรกรรมได้มากขึ้น เพราะประเทศ เพื่อนบ้านของไทยยังมีพื้นที่ว่างที่เหมาะสมกับการทำ เกษตรกรรม อยู่จำ นวนมาก ทั้งในแง่ของธรรมชาติและค่าแรง เมื่อผลิตแล้ว นำ เข้ามาแปรรูปในประเทศไทยแล้วส่งออกไปขายในต่างประเทศ ก็จะสามารถแข่งขันกับภูมิภาคอื่นได้ และโอกาสที่สอง คือ ประสิทธิภาพที่สูงขึ้น เพราะเมื่อเราต้องผลิตสินค้าและบริการ แข่งในอาเซียนคุณภาพและประสิทธิภาพต้องสูงขึ้นตามไปด้วย แต่เกษตรกร และบุคลากรด้านการเกษตรของไทย ณ วัน นี้ ต้องยอมรับว่า ยังมี “จุดอ่อน” อยู่มาก โดยเฉพาะเรื่องการ บริการบริหารจัดการ ดังนั้น จำ เป็นต้องพัฒนา “เกษตรกร” ให้ กลายเป็น “นักธุรกิจเกษตร” เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจ เกษตรทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย “สมาร์ท ฟาร์มเมอร์” หรือ “เกษตรกรปราดเปรื่อง” ของกระทรวงเกษตร และสหกรณ์ที่มุ่งผลักดันการพัฒนาเกษตรกรให้มีความรู้อย่าง ถ่องแท้ในการประกอบอาชีพ และเน้นการผลิตสินค้าเกษตรที่มี คุณภาพสูง ปลอดภัยต่อผู้บริโภค และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกันต้องมีการวิเคราะห์ข้อมูลรอบด้านเป็นองค์ประกอบ ในการตัดสินใจที่ตั้งอยู่บนหลักการและเหตุผล ตลอดจนรู้จัก ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในการเกษตร และสามารถพึ่งพาตนเอง ได้อย่างยั่งยืน เริ่มจาก “การวางแผนผลิต” และ “การเก็บข้อมูล” ที่ผ่าน พลิกมุมคิด...ยกระดับ “เกษตรกร” สู่ “นักธุรกิจเกษตร” โดย : Anantasaiya
13 และจากการศึกษาโดยเทียบการเฉลี่ยถือครองที่ดินต่อการมีกำ ไรสุทธิ พบว่า มาต้องยอมรับว่า เกษตรกรส่วนใหญ่ทำการเพาะปลูกโดยไม่ได้ วางแผนการผลิตก่อนว่า จะเลือกปลูกอะไร ที่เหมาะกับสภาพ พื้นที่ รวมถึงต้องปลูกปริมาณเท่าใด เพื่อให้คุ้มค่ากับการลงทุน หรือได้ผลตอบแทนดีที่สุด แต่เกษตรกรมักพิจารณาจากราคา พืชเศรษฐกิจแต่ละตัวว่าเป็นอย่างไร แล้วก็ตัดสินใจปลูกพืชที่ ราคาดีที่สุด และทำ ตามกันแบบต่างคนต่างคน โดยลืมคำ นึง ไปว่า ปริมาณผลผลิตจะล้นตลาดหรือไม่ พืชชนิดนั้นเหมาะกับ พื้นที่ของตนหรือไม่ ปลูกแล้วจะได้ประสิทธิภาพการผลิตสูงสุด หรือปลูกแล้วจะมีคุณภาพดีหรือไม่ ยิ่งเป็นพืชที่ทางภาครัฐเข้า มาแทรกแซง ยกตัวอย่าง ข้าว ที่มีนโยบายรับจำ นำด้วยราคาที่ สูงกว่าท้องตลาด เกษตรกรก็มั่นใจว่า อย่างไรก็ขายเข้าโครงการ ได้แน่นอน จึงไม่ได้ใส่ใจว่า ข้าวที่ตนเองปลูกนั้น มีต้นทุนเท่า ไหร่ ได้ผลผลิตคุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่ มองแต่รายได้ที่จะได้ จากราคาที่รัฐรับจำ นำ เท่านั้น จากการขาดการวางแผนผลิตที่ดี รวมถึงไม่มีการเก็บข้อมูล ทำ ให้ไม่ทราบสถานะว่า มีต้นทุนเท่าไหร่ เมื่อหักจากราคาข้าว ที่ได้เหลือเป็นรายได้สุทธิเท่าใด คุ้มค่ากับการลงทุนลงแรงหรือ ไม่ ส่งผลให้จากผลสำ รวจจากศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลวิเคราะห์ข้าวไทยใน ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนว่า ขณะนี้กำ ไรสุทธิต่อไร่ของชาวนา ไทยอยู่ในระดับที่ต่ำ สุดของชาวนาในกลุ่มประเทศอาเซียน โดยผล ศึกษามีดังนี้ ชาวนาไทยมีกำ ไรสุทธิที่ 1,555.97 บาทต่อไร่ ต่ำ กว่าชาวนาพม่าที่มีกำ ไรสุทธิ 3,484.1 บาทต่อไร่ และเวียดนาม มีกำ ไรสุทธิ 3,180.74 บาทต่อไร่ เนื่องจากต้นทุนการผลิตของ ชาวนาไทยสูงกว่าประเทศอื่นๆ อย่างมาก หากต้องการก้าวสู่การเป็น “นักธุรกิจเกษตร” ก็ต้องรู้จักการ บริหารจัดการวางแผนการผลิต โดยประเมินก่อนว่า สภาพพื้นที่ ดิน ของตนเองเป็นอย่างไร เหมาะสมกับการเพาะปลูกพืชชนิดได้ หรือต้องปรับปรุงบำ รุงดินอย่างไร เพื่อให้เหมาะสมกับการปลูก พืชที่ต้องการ จากนั้นต้องศึกษาข้อมูลตลาดของพืชเศรษฐกิจว่า เป็นอย่างไร ในพื้นที่มีตลาดรองรับหรือไม่ หรือมีช่องทางการเพิ่ม มูลค่าให้กับผลผลิตได้อย่างไร ต้องลงทุนเท่าใด ผลตอบแทนเป็น อย่างไร พิจารณาอย่างถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจเลือกปลูกพืชเศรษฐกิจ ที่เหมาะสมจริงๆ ซึ่งอาจไม่ใช่พืชที่มีราคาแพงที่สุด หรือไม่ใช่พืช ที่รัฐบาลเข้ามาแทรกแซงราคา แต่ปลูกแล้วได้ผลตอบแทนสุทธิ คุ้มค่า เพราะให้ผลผลิตได้ดี โดยไม่ต้องจัดการหรือลงทุนมากจน เกินไป ส่งผลให้ต้นทุนต่ำ และได้ผลผลิตดี พร้อมกันนั้น ต้องเก็บข้อมูลต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เพราะ ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้ทราบสถานะที่แท้จริงในการผลิตว่า เป็น อย่างไร รวมทั้งต้องติดตามข่าวสาร โดยเฉพาะข่าวที่มีผลต่อ การผลิตของเกษตรกร เช่น สภาพอากาศ ราคาตลาด ภาวะ เศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ มาตรฐานการผลิตต่างๆ และ กระแสและทิศทางความต้องการของผู้บริโภค สามารถนำ มาใช้ ประกอบการตัดสินใจ ในการวางแผนการผลิตและแก้ไขปัญหา ได้อย่างมีประสิทธิภาพ “รู้จักใช้เทคโนโลยี” ปัจจุบันถือเป็นยุคที่เทคโนโลยีและสิ่ง อำ นวยความสะดวกต่างๆ เข้ามามีบทบาทต่อการดำ เนินชีวิตมาก ขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น ในการทำธุรกิจเกษตร ผู้ประกอบการก็จำ เป็น ต้องรู้จักนำ เทคโนโลยี หรืออุปกรณ์ต่างๆ เข้ามาใช้อย่างเหมาะ สม แม้อาจต้องใช้เงินลงทุนในครั้งแรกค่อนข้างสูง แต่เป็นสิ่งที่มี ความคุ้มค่าในระยะยาว เพราะนอกจาก ช่วยทุ่นแรงและประหยัดเวลาแล้ว ยัง ทำ ให้การผลิตมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เนื่องจากเกษตรกรมีเวลาดูแลได้มากขึ้น เพราะไม่ต้องเสียเวลากับบางขั้นตอน มากจนเกินไป ซึ่ง “นักธุรกิจเกษตร” ต้องรู้จักเลือกใช้เทคโนโลยีต่างๆ ได้ อย่างเหมาะสมกับสภาพพื้นที่และพืชที่ ปลูก เนื่องจากทุกวันนี้จะทำ แบบที่เคย ทำ มาไม่ได้ เพราะมีปัจจัยอื่นๆ ที่เข้า มามีผลกระทบต่อการผลิตมากมาย จึง จำ เป็นต้องนำ เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการผลิต เปลี่ยนจากการทำ เกษตรกรรมแบบเก่า เป็น Smart Agriculture การเกษตรยุคใหม่จะนำ เอาเทคโนโลยีที่ทันสมัยมา ประยุกต์ใช้งาน ซึ่งมีผู้เรียกการเกษตรยุคใหม่นี้ว่า เกษตรอัจฉริยะ (Smart Agriculture) ตัวอย่างเช่น การนำ เทคโนโลยีดาวเทียมที่ รู้จักกันในปัจจุบัน คือ ระบบกำ หนดตำ แหน่งบนโลกหรือ จีพีเอส (GPS: Global Positioning System) มาทำ งานร่วมกับจักรกล เกษตรทันสมัย โดยเริ่มต้นจากการเก็บตัวอย่างดินในแปลงเกษตร ซึ่งจากตัวเลข จะเห็นว่าแม้ว่าชาวนาไทยจะมีรายได้มาก ที่สุดและที่ดินเฉลี่ยก็จะเยอะที่สุดก็ตามแต่ปัญหาคือชาวนาไทย มีต้นทุนสูงสุด ทำ ให้เมื่อหักต้นทุน จะมีเงินเหลือน้อยกว่าชาวนา เพื่อนบ้าน สิ่งนี้ถือเป็นข้อมูลที่ยืนยันได้ว่า เกษตรกรไทยไม่ได้ วางแผนการผลิต และไม่ได้เก็บข้อมูล จึงไม่ทราบสถานะต้นทุน การผลิต เมื่อขายผลผลิตได้เงินมาก็ดีใจกับเงินก้อนที่ได้ โดยอาจ ลืมคำ นึงไปว่า รายได้ที่เข้ามานั้น เมื่อทำ ให้สุทธิแล้วจะมีกำ ไร หรือไม่ และเป็นกำ ไรที่อยู่ในระดับที่คุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่
14 โดยระบุตำ แหน่งที่ทำการเก็บตัวอย่างด้วยระบบจีพีเอส เพื่อนำ ตัวอย่างดินไปทำการวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ จากนั้นเก็บผล วิเคราะห์ดินพร้อมข้อมูลตำ แหน่งจุดพิกัดการเก็บตัวอย่างลงใน ระบบคอมพิวเตอร์และเก็บผลการคำ นวณปริมาณปุ๋ยที่ต้องใส่ลง ไปในแปลงตามจุดพิกัดที่กำ หนดลงในระบบคอมพิวเตอร์ด้วยเช่น กัน กลายเป็นแผนที่ดิน (Soi Map) ข้อมูลจากแผนที่ดินเหล่า นี้จะเชื่อมต่อไปที่ระบบคอมพิวเตอร์ในรถแทรกเตอร์ที่มีอุปกรณ์ ใส่ปุ๋ยที่ควบคุมโดยคอมพิวเตอร์ในตัวรถแทรกเตอร์ และเมื่อ รถแทรกเตอร์เคลื่อนตัวอยู่ในแปลงมาถึงจุดพิกัด ต่างๆ ระบบ จีพีเอสที่อยู่ตัวรถ จะรับสัญญาณระบุพิกัดจานดาวเทียม และ แจ้งให้คอมพิวเตอร์รับรู้เพื่อจะสั่งงานให้อุปกรณ์ใส่ปุ๋ยตามสูตร ในปริมาณที่ได้กำ หนดไว้สำ หรับแปลงในแต่ละพิกัดตามข้อมูลใน แผนที่ดินที่ได้ติดตั้งไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ก่อนหน้านี้แล้วระบบ นี้ในต่างประเทศได้นำ มาใช้แล้วไม่ว่าจะเป็น อเมริกา บราซิล ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย ประเทศไทยก็มีโอกาสพัฒนาไปถึงจุดนั้น เพราะมีหลายธุรกิจที่สามารถทำ ได้หากมีการจัดโซนนิ่งการปลูกที่ ชัดเจน เช่น ไร่อ้อยที่มีพื้นที่ติดกันเป็นหมื่นไร่ หรือการทำ นาข้าว “รู้จักการทำตลาด เพิ่มมูลค่า” ที่ผ่านมามักได้ยินคำกล่าวที่ ว่า “เกษตรกรไทยมีศักยภาพในการผลิตสูง แต่ทำตลาดไม่เป็น” ซึ่งหากต้องการพัฒนาสู่การเป็น “นักธุรกิจเกษตร” สิ่งสำคัญ คือ ต้องรู้จักการทำตลาด และเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ เพราะที่ผ่าน มาปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ส่วนหนึ่งเกิดจากการที่ผลผลิต ออกมาพร้อมกันและเป็นผลผลิตที่เหมือนๆ กัน เมื่อปริมาณ มากกว่าความต้องการราคาจำ หน่ายก็ลดลงตามกลไกตลาด ยิ่ง เกินความต้องการบริโภคมากเท่าใด ก็ยิ่งราคาต่ำ และขาดทุนมาก ขึ้นเท่านั้น เกษตรกรจึงต้องรู้จักการทำตลาด โดยอาจอาศัยการ วางแผนผลิตให้ผลผลิตของตนออกเร็วหรือช้ากว่ารายอื่นๆ เพื่อ ให้ขายได้ในช่วงที่ราคาอยู่ในระดับสูง ไม่ต้องมาเทขายในช่วงที่ ผลผลิตเกินความต้องการ พร้อมกันนั้นต้องสร้างความแตกต่าง ให้กับผลิตภัณฑ์ ด้วยการพัฒนา เช่น การผลิตแบบอินทรีย์ หรือ การผลิตแบบปลอดสารพิษ ไม่ใช้สารเคมี เป็นต้น แล้วใช้บรรจุ ภัณฑ์ สร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักของผู้บริโภค โดยอาศัยคุณภาพ และมาตรฐานการผลิตเป็นเครื่องมือในการทำตลาด พร้อมกัน นั้นต้องรู้จักเพิ่มมูลค่า ด้วยการนำ งานวิจัยต่างๆ มาใช้ในการ สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตร ก็จะทำ ให้อุตสาหกรรมเกษตร ก้าวไกล เช่น วิจัยพันธุ์ที่มีธาตุเหล็ก แคลเซียม เบต้าแคโรทีน เข้าไปในข้าวช่วยเพิ่มคุณค่าทางอาหารและทำ ให้จำ หน่ายได้ใน ราคาที่สูงขึ้นด้วย เกษตรเป็นอุตสาหกรรมที่มีอนาคต แต่ต้องมองอย่างมี ยุทธศาสตร์ วันนี้ประเทศไทยมีพืชเศรษฐกิจที่สำ คัญหลาย อย่าง นอกจากปาล์มแล้วยังมีมันสำ ปะหลังและอ้อย ที่สามารถ พัฒนาเป็นพลังงานทดแทนได้ ประเทศไทยส่งออกมันสำ ปะหลัง เป็นอันดับ 1 ของโลก ส่วนอ้อยหลังจากแปรรูปเป็นน้ำ ตาล ประเทศไทยส่งออกปีละ 7 ล้านตัน เป็นอันดับ 2 ของโลก รอง จากบราซิล ในแถบเอเชียมีหลายประเทศที่นำ เข้าน้ำตาลทราย เฉพาะอินโดนีเซีย จีน มาเลเซีย และอินเดีย นำ เข้าน้ำตาลปี ละ 14.9 ล้านตัน นั่นหมายความว่าส่วนที่เหลือได้นำ เข้าจาก บราซิล ซึ่งถ้ามองในแง่ของโลจิสติกส์ จะเห็นว่าประเทศไทยใกล้ กว่าบราซิลมาก ฉะนั้นจะทำอย่างไรให้ประเทศในแถบเอเชียเป็น ตลาดของเรา ในส่วนของผลไม้ก็เช่นกัน จากสถิติการส่งออกผลไม้ไป ประเทศจีน เฉพาะทุเรียน ในปี 2550 ตัวเลขอยู่ที่ 75,182 ตัน ในปี 2555 ตัวเลขส่งออกเพิ่มขึ้นเป็น 204,500 ตัน เพิ่มขึ้นร้อย ละ 300 สะท้อนให้เห็นว่าจีนมีแนวโน้มในการนำ เข้าทุเรียนจาก ไทยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ฉะนั้นทำอย่างไรประเทศไทยจะสามารถผลิต ทุเรียนที่มีคุณภาพและส่งออกไปขายได้เพียงพอกับความต้องการ ของตลาดที่เพิ่มขึ้น ทั้งหมดนี้จะเห็นว่าสินค้าเกษตรของไทยยังมีโอกาสอีก มากมายในเวทีการค้าโลก สิ่งสำคัญอยู่ที่ยุทธศาสตร์ ทั้งภาครัฐ และเอกชนต้องช่วยกันยกระดับ “เกษตรกร” ให้ก้าวขึ้นมาเป็น “นักธุรกิจเกษตรพันธุ์ใหม่” ด้วยวิธีบริหารจัดการการเกษตรแบบ ทันสมัย นำ เทคโนโลยีมาใช้เพิ่มคุณภาพให้กับสินค้าเกษตร เพื่อ คว้าโอกาสในอุตสาหกรรมเกษตรที่มีแนวโน้มเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี...
15 สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM) สถาบันอุดมศึกษา ภายใต้การสนับสนุนของ บมจ. ซีพี ออลล์ ร่วมกับคณะนวัตกรรมการจัดการเกษตร จัด โครงการสื่อมวลชนสัญจรเยี่ยมชมฟาร์ม กำ แพงเพชร (PIM Press Tour) ครั้งที่ 2 ณ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์เมล็ดพันธุ์ จำกัด จังหวัดกำ แพงเพชร เมื่อเร็วๆ นี้ เข้าชมนวัตกรรมทาง ด้านการเกษตรรูปแบบใหม่ โดยมี อาจารย์มนตรี คงตระกูล เทียน คณบดีคณะนวัตกรรมการจัดการเกษตร PIM และ รอง ประธานกรรมการกลุ่มธุรกิจพืชครบวงจร เครือเจริญโภคภัณฑ์ นำ ทีมเยี่ยมชมหมู่บ้านเกษตรกร โดยมีการสาธิตการปลูกข้าว ด้วยวิธีการดำ นา โดยใช้รถปักดำ ซึ่งเป็นนวัตกรรมสมัยใหม่ทาง ด้านการเกษตร รวมถึงการเพาะต้นกล้าด้วยดินที่มีคุณภาพใน แบบเครือเจริญโภคภัณฑ์ พร้อมด้วย คุณนพดล แสนโพธิ์ รอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์ จำกัด และกลุ่มธุรกิจ พืชครบวงจร เป็นผู้บรรยาย ให้บรรดาสื่อมวลชนได้รับรู้และเกิด ความเข้าใจ ในการทำ เกษตรแนวใหม่มากยิ่งขึ้น ฟาร์มกำ แพงเพชร เป็นสถานที่ตัวอย่างสำ หรับ การบูรณา การในการใช้พื้นที่ทางการเกษตรอย่างคุ้มค่า ด้วยการ ปลูกข้าว เลี้ยงปลา รวมถึงการปลูกต้นปาล์มในพื้นที่เดียวกัน นอกจาก นี้ ได้มีการบรรยายพิเศษจาก บรรดาคณะผู้บริหารที่มีความ เชี่ยวชาญทางด้านการเกษตรมากมายหลายท่าน อาทิ ดร.เอนก ศิลปพันธุ์ รองกรรมการผู้จัดการบริหาร สายงานวิจัยและพัฒนา กลุ่มธุรกิจพืชครบวงจร เครือเจริญโภคภัณฑ์ คุณขุนศรี ทอง ย้อย รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัทเจริญโภคภัณฑ์เมล็ด พันธุ์จำกัด กลุ่มธุรกิจพืชครบวงจร เครือเจริญโภคภัณฑ์ และ คุณเกรียงไกร อังอำ นวยศิริ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ งานวิจัย และปรับปรุงพันธุ์ข้าวลูกผสม บริษัท เจริญโภคภัณฑ์เมล็ดพันธุ์ จำกัด มาร่วมบรรยายเกี่ยวกับการเรียนรู้เกษตรทันสมัย ที่เน้นใน เรื่องของ “ข้าว ปลา ปาล์ม” ซึ่งโดยเนื้อหาส่วนใหญ่เป็นความ รู้ที่มีความแปลกใหม่ ที่เกิดขึ้นทางด้านเกษตรของไทย ตะลุยฟาร์มกำแพงเพชร ชมเกษตรแนวใหม่
16 ปัจจุบันประเทศผู้นำ เข้าทั่วโลกได้หยิบยกมาตรการด้าน ความปลอดภัยอาหารขึ้นมาเป็นเครื่องมือกีดกันทางการค้าเพิ่ม มากขึ้น ระบบ “เกษตรอินทรีย์” เป็นทางเลือกหนึ่งที่จะนำ พา สินค้าเกษตรและอาหารที่มีคุณภาพและมีความปลอดภัยฝ่ากฎ เหล็กของประเทศผู้นำ เข้าที่ต่างพยายามออกกฎระเบียบใหม่ๆ พร้อมตีกรอบเงื่อนไขการนำ เข้าอย่างเข้มงวด โดยส่วนใหญ่มัก อ้างว่า ปกป้องผู้บริโภคภายในประเทศ จากกระแสความห่วงใยในเรื่องสุขภาพของผู้บริโภคทั่วโลก ทำ ให้ความต้องการอาหารที่มีคุณภาพและมีความปลอดภัยเพิ่ม สูงขึ้น ส่งผลให้ตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์หรือสินค้าออร์แกนิก (Organic) เติบโตอย่างต่อเนื่องและมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นทุก ปี โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป (EU) ในส่วน ของการผลิตและตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ไทยก็ขยายตัวเพิ่มขึ้น เช่นกัน ส่วนใหญ่เป็นการผลิตเพื่อการส่งออกโดยมีมูลค่าส่งออก ปีละกว่า 5,000 ล้านบาท การพัฒนาเกษตรอินทรีย์ไทยยังถือว่าอยู่ในระยะเริ่มต้น โดยระบบการผลิตเน้นการใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นและเทคโนโลยี แบบง่ายๆ ไม่มีความซับซ้อน ซึ่งพื้นที่ผลิตสามารถขยายได้อีก มาก แต่จะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่หวือหวา เนื่องจากถูก ควบคุมด้วยเงื่อนไขระยะเวลาที่กำ หนดสำ หรับช่วงปรับเปลี่ยน พื้นที่สู่ระบบเกษตรอินทรีย์ อาจต้องใช้ระยะเวลาตั้งแต่ 1-3 ปี ขึ้นอยู่กับสภาพของแต่ละแหล่งผลิต หากเกษตรกรมีการปรับ เปลี่ยนพื้นที่เป็นเกษตรอินทรีย์มากขึ้น ปริมาณผลผลิตอินทรีย์ ในตลาดจะเพิ่มสูงขึ้น อาจทำ ให้ราคาสินค้าเกษตรอินทรีย์ลดต่ำ กว่าขณะนี้ น่าจะเป็นแรงดึงให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนเข้าสู่การ ผลิตเกษตรอินทรีย์อย่างกว้างขวาง ถึงแม้ทิศทางตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ของไทยจะมีแนว โน้มดี แต่ก็มีปัญหาและอุปสรรค อาทิ เรื่องการจัดทำ มาตรฐาน เกษตรอินทรีย์มากเกินไป ขณะที่การส่งเสริมการผลิตเกษตร อินทรีย์ยังมีน้อย ทั้งยังมีปัญหาความไม่ต่อเนื่องของสินค้า คุณภาพสินค้าไม่สม่ำ เสมอ ชนิดของผลผลิตไม่มีความหลาก หลาย ทำ ให้ผลิตภัณฑ์สินค้าขาดความแข็งแกร่งในการเข้าสู่ ตลาด ขณะเดียวกันเกษตรกรยังประสบปัญหาการเปลี่ยนแปลง สภาพภูมิอากาศ (Climate Change)ที่กระทบต่อผลผลิต การ ขาดแคลนเมล็ดพันธุ์พืชอินทรีย์ ขาดแคลนพันธุ์สัตว์และพันธุ์ สัตว์น้ำอินทรีย์ มีการผลิตกระจุกตัวในบางพื้นที่ และความห่าง ไกลของแหล่งผลิตกับสถานที่จำ หน่าย ทำ ให้การวางแผนการผลิต และกระจายสินค้าประสบปัญหาได้ง่าย เป็นประเด็นที่ต้องเร่ง แก้ไขเพื่อสร้างจุดแข็งให้เกษตรกรผู้ผลิตเกษตรอินทรีย์สามารถ แข่งขันได้ในระยะยาว อนาคตของเกษตรอินทรีย์ไทยโดยรวมยังคงอยู่ภายใต้ “แผน พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ” ซึ่งขณะนี้อยู่ในช่วงแผนฯ ฉบับที่ 11 พ.ศ. 2555-2559 นอกจากนั้น การพัฒนาเกษตร อินทรีย์ไทยยังขึ้นอยู่กับสภาพการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองใน แต่ละช่วง ทั้งยังขึ้นกับนโยบายของรัฐบาลและรัฐมนตรีที่เข้า มานั่งแท่นบริหารกระทรวง ยุคใดที่รัฐมนตรีให้ความสำคัญกับ การพัฒนาเกษตรอินทรีย์ อัตราการขยายตัวจะเติบโตสูงขึ้น แต่ ถ้าเจ้ากระทรวงไม่สนใจและไม่ให้ความสำคัญ เกษตรอินทรีย์ที่ กำลังจะรุ่งเรืองอาจร่วงไม่เป็นท่าหากขาดการสานต่อการพัฒนา เนื่องจากปัจจุบันข้าราชการประจำ บางส่วนทำงานอิงนักการเมือง ดังนั้น เกษตรกรต้องพึ่งพาตนเองให้ได้ อย่างไรก็ตาม การที่จะพัฒนาเกษตรอินทรีย์ให้เป็นการผลิต กระแสหลักคงเป็นไปได้ยาก เพราะตราบใดที่ประเทศไทยยังคง นำ เข้าปุ๋ยเคมีและสารเคมีทางการเกษตรอย่างต่อเนื่อง และคน ยังมีความละโมบโลภมาก ทางที่ดีที่สุด คือ ควรต้องหาวิธีการ ว่า จะบริหารจัดการอย่างไรให้ระบบการผลิตเกษตรอินทรีย์อยู่ ร่วมกับเกษตรเคมีได้อย่างยั่งยืน ถือเป็นเรื่องท้าทายมาก ซึ่งใน ระยะ 40-50 ปีข้างหน้า เกษตรอินทรีย์ไทยอาจบูมสุดขีด เมื่อ ถึงจุดอิ่มตัว เกษตรเคมีก็จะกลับมา สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียน กลายเป็นวัฏจักร..เรื่อยไป มองเกษตรอินทรีย์ไทย Organic ...by ฌ. ฌาน
17 เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2557 ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวเชียงใหม่ ร่วมกับกลุ่มผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวของศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวเชียงใหม่ อ.แม่แตง เทศบาลเมืองเมืองแกนพัฒนา อ.แม่แตง และสำ นัก ส่งเสริมการผลิตข้าว กรมการข้าว จัดงาน “วันรณรงค์ส่งเสริม และฟื้นฟูวัฒนธรรมประเพณีข้าวล้านนา” โดยมีนายชาญพิทยา ฉิมพาลี อธิบดีกรมการข้าว เป็นประธานในพิธีเปิด นายศักดิ์ชัย ถนัดวณิชย์ เกษตรและสหกรณ์จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวต้อนรับ นายวินัย ชมภูแก้ว ผู้อำ นวยการสำ นักเมล็ดพันธุ์ข้าวเชียงใหม่ กล่าวรายงาน พ.อ.ชาตรี ตรีพงษ์ เสนาธิการมณฑลทหารบก ที่33 มาร่วมเป็นเกียรติ ณ ศูนย์การเรียนรู้โครงการสายใย รักแห่งครอบครัว บ้านหนองออน ม.10 ต.อินทขิล อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ ท่ามกลางผู้เข้าร่วมงานทั้งจากเกษตรกร เยาวชน และประชาชนทั่วไป โดยกิจกรรมภายในงานประกอบด้วย พิธีบูชาแม่โพสพ การ สาธิตการไถนาแบบพื้นบ้านด้วยควายไถ การปลูกข้าวด้วยการ ลงแขกปักดำ การเกี่ยวข้าวโดยใช้เคียว การนวดข้าวด้วยคุ พิธี สู่ขวัญควาย พร้อมด้วยนิทรรศการจากหน่วยงานต่างๆ เพื่อ ถ่ายทอดความรู้ตลอดงาน เพื่อสร้างจิตสำ นึกแก่เยาวชน ชาวนา และประชาชนทั่วไป ให้เกิดการเรียนรู้ ภาคภูมิใจในการประกอบ อาชีพการทำ นาซึ่งมีภูมิปัญญา ประเพณี และวัฒนธรรมอัน งดงามสืบทอดมาอย่างยาวนาน และเกิดทัศนคติที่ดีด้านข้าวและ ชาวนา เกิดความรัก ความหวงแหน เข้าใจในหลักการดำ เนินชีวิต ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง เชียงใหม่สืบทอดประเพณีล้านนา ฟื้นฟูวัฒนธรรมด้านข้าว
18 กาแฟ เป็นสินค้าเกษตรชนิดหนึ่งที่ไทยมีศักยภาพการผลิต สูง ขณะเดียวกันประเทศไทยก็มีการนำ เข้าสินค้ากาแฟปีละค่อน ข้างเช่นกัน โดยเฉพาะกาแฟโรบัสต้าในรูปกาแฟดิบและกาแฟ คั่วบด ซึ่งตั้งแต่เดือนมกราคม-มิถุนายน 2557 ไทยได้นำ เข้า กาแฟดิบแล้วกว่า 9,201.80 ตัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 627.80 ล้าน บาท ขณะเดียวกันยังมีการนำ เข้าสินค้ากาแฟคั่ว/บด ปริมาณ 359.12 ตัน มีมูลค่ากว่า 122.52 ล้านบาท และยังมีการนำ เข้า กาแฟสำ เร็จ 3,306.49 ตัน คิดเป็นมูลค่าถึง 985.16 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม กาแฟถือเป็นสินค้าอ่อนไหวซึ่งภายหลังกรอบความ ตกลงประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซี (AEC) มีผลบังคับ ใช้ในปี 2558 คาดว่า จะมีสินค้ากาแฟเข้ามาตีตลาดในประเทศ เพิ่มขึ้น และอาจส่งผลกระทบต่อเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟของไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงได้เร่งเตรียมแผนบริหารจัดการ การนำ เข้าสินค้ากาแฟ เพื่อป้องกันผลกระทบต่อผู้ผลิตกาแฟโร บัสต้าจากการเปิดเสรีทางการค้า นายสุวิทย์ ชัยเกียรติยศ รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยกับ อะกรี พลัส ว่า กาแฟ เป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของ กลุ่มประเทศอาเซียนโดยมีผู้ผลิตหลัก ได้แก่ อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย ไทย และเวียดนาม มีผลผลิตรวมปีละประมาณ 1.7 ล้านตัน คิดเป็น 26 % ของผลผลิตกาแฟของโลก ส่วนใหญ่ เป็นผลผลิตกาแฟโรบัสต้า โดยสินค้ากาแฟที่กลุ่มอาเซียนส่ง ออกมี 2 รูปแบบ คือ เมล็ดกาแฟ คิดเป็น 84.7 % และกาแฟ สำ เร็จรูป 15% ซึ่งประเทศผู้ส่งออกเมล็ดกาแฟของอาเซียน ได้แก่ เวียดนาม ลาว และอินโดนีเซีย ส่วนไทยและมาเลเซีย เป็นผู้ส่งออกหลักกาแฟสำ เร็จรูป อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันพื้นที่ ปลูกกาแฟของไทยมีแนวโน้มลดลงเหลือ ประมาณ 257,200 ไร่ เนื่องจากเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟโรบัสต้าในพื้นที่ภาคใต้บางส่วน โค่นต้นกาแฟทิ้ง แล้วหันไปปลูกพืชเศรษฐกิจอื่นทดแทน เช่น ยางพารา และปาล์มน้ำ มัน ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศ (Climate Change) ส่งผลให้ผลผลิตกาแฟของไทย ลดลงค่อนข้างมาก ปี 2557 นี้ กระทรวงเกษตรฯ คาดการณ์ว่า ประเทศไทย จะมีผลผลิตกาแฟออกสู่ตลาด ประมาณ 38,300 ตัน เป็นผลผลิต กาแฟโรบัสต้า จำ นวน 29,849 ตัน คิดเป็น 77.93 % และ กาแฟอาราบิก้า 8,451 ตัน หรือ 22.07 % ซึ่งไม่เพียงพอต่อ ความต้องการใช้ภายในประเทศ จำ เป็นต้องมีการนำ เข้ากาแฟ เพิ่มสูงขึ้น เพื่อรองรับความต้องการของอุตสาหกรรมแปรรูป ผลิตภัณฑ์กาแฟที่มีถึง 75,000 ตัน โดยเฉพาะกาแฟโรบัสต้า ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลัก บริหารจัดการสินค้า กาแฟ รับมือ AEC คณะกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและ สหกรณ์ และคณะอนุกรรมการพืชสวนจึงได้จัดทำ แผนบริหาร จัดการการนำ เข้าสินค้ากาแฟ เพื่อป้องกันผลกระทบต่อเกษตรกร ผู้ผลิตกาแฟโรบัสต้าของไทย โดยกำ หนดช่วงเวลาการนำ เข้า เมล็ดกาแฟโรบัสต้าในช่วงเดือนสิงหาคม-พฤศจิกายน ทั้งนี้ เพื่อ หลีกเลี่ยงไม่ให้ตรงกับช่วงที่ผลผลิตในประเทศออกสู่ตลาด ขณะ เดียวกันยังได้กำ หนดปริมาณการนำ เข้า โดยให้ผู้ประกอบการค่อย ทยอยนำ เข้าตามขีดความสามารถของโรงงานแปรรูปเพื่อลดผลก ระทบโดยตรงต่อปริมาณสต็อกกาแฟคงเหลือภายในประเทศด้วย
19 รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตรกล่าวอีกว่า ผู้ประกอบการราย เดิมและรายใหม่ที่ต้องการนำ เข้าเมล็ดกาแฟสามารถยื่นความ จำ นงขอนำ เข้าได้ที่กรมวิชาการเกษตร โดยคณะทำ งานพืชกาแฟ จะพิจารณาปริมาณการนำ เข้าตามหลักเกณฑ์ที่กำ หนดอย่าง เหมาะสม โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายใหม่และยังไม่มีโรงงาน แปรรูปของตนเอง คณะทำ งานพืชกาแฟได้กำ หนดหลักเกณฑ์ว่า จะต้องมีส่วนสนับสนุนเกษตรกรในประเทศ เช่น ส่งเสริมการจัด ทำ แปลงต้นแบบและให้องค์ความรู้แก่เกษตรกรในการเพิ่มผลผลิต กาแฟ หรือจัดฝึกอบรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตกาแฟให้กับ เกษตรกร เป็นต้น กระทรวงเกษตรฯได้บริหารจัดการนำ เข้าเมล็ดกาแฟให้ เหมาะสมกับสถานการณ์การผลิตกาแฟของไทย และสอดคล้อง กับความต้องการของอุตสาหกรรม เพื่อไม่ให้กระทบต่อผลผลิต ของเกษตรกร และต้องไม่กระทบหรือหยุดยั้งธุรกิจของภาค อุตสาหกรรมหรือโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์กาแฟด้วย ซึ่งแผนการ บริหารจัดการนำ เข้าเมล็ดกาแฟนี้ เป็นการเตรียมความพร้อม รองรับการเข้าสู่ AEC สำ หรับสินค้าเมล็ดกาแฟ ซึ่งภายหลัง กรอบความตกลง AEC มีผลบังคับใช้ หากพื้นที่ปลูกกาแฟของ ไทยลดลงอีก และปริมาณผลผลิตไม่เพียงพอกับความต้องการ ใช้ อาจมีสินค้าเมล็ดกาแฟจากลาวและเวียดนามทะลักเข้ามาตี ตลาดภายในประเทศเพิ่มขึ้น มาตรการบริหารจัดการการนำ เข้า จะเป็นกลไกสำ คัญช่วยในการควบคุมปริมาณการนำ เข้าสินค้า เมล็ดกาแฟได้ “การนำ เข้าสินค้ากาแฟสำ เร็จรูป กรมวิชาการเกษตรได้ ประสานไปยังสำ นักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เพื่อให้เข้มงวดในการตรวจสอบปริมาณสารพิษตกค้างในกาแฟ สำ เร็จรูปที่นำ เข้า เพื่อปกป้องคุ้มครองผู้บริโภคภายในประเทศให้ ได้รับสินค้าที่มีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น” นายสุวิทย์กล่าว
20 กรมวิชาการเกษตรงัดกลยุทธ์ความปลอดภัยอาหาร หนุนส่ง ออกพืชเศรษฐกิจภาคเหนือ พร้อมใช้เป็นโมเดลขยายผลสู่ภูมิภาค อื่น มุ่งเสริมจุดขายดันสินค้าพืชไทยสู่ตลาดโลกสูงขึ้น นายดำรงค์ จิระสุทัศน์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า ภาคเหนือเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพการผลิตและส่งออกพืชเศรษฐกิจ หลายชนิด อาทิ ลำ ไย มะม่วง กระเจี๊ยบเขียว ลิ้นจี่ ถั่วลันเตา และพริกหวาน แต่ยังมีปัญหาการส่งออกสำคัญ คือ ผลผลิต มีคุณภาพต่ำ และมีสารพิษตกค้างเกินค่ามาตรฐานที่ประเทศคู่ ค้ากำ หนด เนื่องจากปัจจัยการผลิตทางการเกษตรด้อยคุณภาพ และเกษตรกรใช้ปัจจัยการผลิตไม่ถูกต้อง กรมวิชาการเกษตรจึง ได้มอบหมายให้สำ นักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 1 (สวพ. 1) ดำ เนินงานด้านบริการวิชาการเพื่อแก้ไขปัญหาการส่งออก ผลผลิตพืชใน 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน ตามยุทธศาสตร์ความ ปลอดภัยด้านอาหารพืชของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์อย่าง ต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนปัจจัยการผลิตพืชให้มีมาตรฐาน ผลผลิต มีคุณภาพ ช่วยลดปัญหากีดกันทางการค้า และผลักดันปริมาณ และมูลค่าการส่งออกเพิ่มสูงขึ้น เบื้องต้น สวพ.1 ได้ดำ เนินการควบคุมมาตรฐานร้านค้า ปัจจัยการผลิตทางเกษตรในพื้นที่ 4,054 ร้าน ในจำ นวนนี้มีร้าน Q shop จำ นวน 66 ร้าน และออกใบอนุญาตจำ หน่ายปัจจัยการ ผลิตทางการเกษตร จำ นวน 9,297 ฉบับ ทั้งยังสุ่มเก็บตัวอย่าง และวิเคราะห์วัตถุอันตรายทางการเกษตรอย่างสม่ำ เสมอ ขณะ เดียวกันยังได้รับรองแหล่งผลิตพืชตามมาตรฐานจีเอพี (GAP) จำ นวน 79,717 แปลง พื้นที่รวมกว่า 415,047 ไร่ และรับรอง แหล่งผลิตพืชอินทรีย์ 887 แปลง และรับรองโรงคัดบรรจุและ โรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์พืชอินทรีย์ 19 โรง พร้อมให้บริการ วิเคราะห์สารพิษตกค้างในผลิตผลโดยห้องปฏิบัติการของ สวพ. 1 ซึ่งได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO/IEC 17025: 2005 ด้าน วิเคราะห์สารพิษตกค้างกลุ่มออร์กาโนฟอสเฟต 5 ชนิด ได้แก่ ไดอะซินอน พิริมิฟอส-เมทิล มาลาไธออน คลอไพริฟอส และอิ ไทออน รวม 6,009 ตัวอย่าง และออกใบรับรองสุขอนามัยเพื่อ การส่งออกกว่า 18,100 ฉบับ นอกจากนั้น ยังให้บริการวิเคราะห์ปุ๋ยเคมี 3 ชนิด คือ ไนโตรเจนทั้งหมด ฟอสเฟตทั้งหมด และโพแทชที่ละลายน้ำ รวม 1,087 ตัวอย่าง พบว่า เป็นปุ๋ยผิดมาตรฐาน 86 ตัวอย่าง ทั้งยัง ได้รับรองโรงคัดบรรจุผลผลิตตามมาตรฐานจีเอ็มพี (GMP) 85 โรงงาน และโรงรมก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ตามมาตรฐานจีเอฟพี (GFP) 65 โรงงาน ซึ่งการดำ เนินงานของ สวพ.1 ทำ ให้เกษตรกร และผู้ประกอบการในพื้นที่ภาคเหนือมีการปรับปรุงระบบการผลิต สินค้าพืช พัฒนาการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวและการส่งออก และได้ผลผลิตพืชที่มีคุณภาพมาตรฐาน และสามารถช่วยเพิ่ม ศักยภาพการผลิตและส่งออกพืชเศรษฐกิจได้สูง “กรมวิชาการเกษตรใช้กลยุทธ์ความปลอดภัยทางอาหารใน การส่งเสริมการผลิต สร้างจุดแข็งและเสริมจุดขาย สนับสนุน การส่งออกสินค้าพืชของพื้นที่ภาคเหนือตอนบนสู่ตลาดอาเซียน และตลาดโลกได้เพิ่มสูงขึ้น โดยปีที่ผ่านมา มีปริมาณการส่งออก สินค้าพืช 14 ชนิด รวมกว่า 405,077.95 ตัน ซึ่งพื้นที่ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ สามารถ ใช้กลยุทธ์ความปลอดภัยด้านอาหารพืชเป็นต้นแบบ หรือโมเดล ในการส่งเสริมและพัฒนาการผลิตสินค้าพืชผักและผลไม้เพื่อการ ส่งออกได้ ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศคู่ค้าเพิ่มขึ้น คาดว่า จะสามารถผลักดันมูลค่าการส่งออกผักและผลไม้สด แห้ง และแช่แข็งของไทยโดยรวมเพิ่มสูงขึ้นจากปี 2556 ที่มูลค่าส่ง ออกกว่า 41,424 ล้านบาท” นายดำ รงค์กล่าว กลยุทธ์อาหารปลอดภัย หนุนส่งออกพืชเศรษฐกิจภาคเหนือ
21 ออนเซ็น (Onsen) มาจากภาษาญี่ปุ่นที่ใช้เรียกน้ำ พุร้อน และไข่ ที่ต้มในน้ำ พุร้อนนี้ว่า “ไข่ออนเซ็น” (Onsen Eggs) เครือเบทาโกร ดัดแปลงวิธีการต้มไข่ในน้ำ พุร้อน (Low temp, Long time คือการต้ม ในน้ำ ร้อนแต่ไม่เดือด เป็นระยะเวลานาน) มาใช้กับไข่ S-Pure ไข่ไก่ มาตรฐานคุณภาพระดับพรีเมี่ยมจากเบทาโกร ทำ ให้ได้ไข่ S-Pure ที่ ลักษณะเหมือนกับไข่ออนเซ็นที่ต้มในน้ำ พุร้อนของญี่ปุ่น จากไข่ S-Pure ที่มาจากแม่ไก่พันธุ์ดี ผ่านกระบวนการทำความ สะอาดและฆ่าเชื้อด้วยรังสีอัลตราไวโอเล็ต (UV) มาเป็นไข่ออนเซ็น SPure ที่มีไข่ขาวเนียนนุ่ม ลื่นคอ ส่วนไข่แดงจะมีลักษณะเนื้อแน่น แต่ยัง มีสีเหมือนไข่แดงสด รสสัมผัสเข้มข้นและไม่เหม็นคาว เก็บที่อุณหภูมิ 5-8 องศาเซลเซียส สามารถตอกแล้วรับประทานได้เลยทันที หรือรับประทาน ในน้ำ ซุปสไตล์ญี่ปุ่น ตอกใส่ข้าวต้ม โจ๊ก จะช่วยเพิ่มรสชาติของอาหาร ให้อร่อยยิ่งขึ้น ที่สำคัญมั่นใจได้ว่าปลอดภัยจากเชื้อไข้หวัดนก 100% ปลอดภัยจากแบคทีเรียซัลโมเนลลา (Salmonela) ซึ่งก่อให้เกิดพิษใน ระบบทางเดินทางอาหาร และปลอดภัยจากยาปฏิชีวนะ สามารถซื้อหาไข่ออนเซ็น S-Pure ได้แล้ววันนี้ที่ ท็อปส์ ซูเปอร์ มาร์เก็ต ยูเอฟเอ็มฟูจิ (UFM Fuji) และ โฮมเฟรชมาร์ท ห้างสรรพ สินค้าเดอะมอลล์ทุกสาขา นายรุ่งโรจน์ ตันติเวชอภิกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำ นักบริหารทรัพยากรมนุษย์ เครือเบทาโกร (ที่ 5 จากขวา) และนาย เทพชัย ร่มโพธิ์ ผู้อำ นวยการวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีเชียงราย (ที่ 6 จากขวา) ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทาง วิชาการในการจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี ระหว่าง เครือเบทาโกร และวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีเชียงราย เพื่อร่วมพัฒนา องค์ความรู้ ยกระดับการผลิตและพัฒนาบุคลากรด้านอาหารและเกษตรกรรม รองรับอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารของประเทศที่ ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ณ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีเชียงราย เมื่อเร็วๆ นี้ ไข่ออนเซ็น S-Pure ไข่ต้มสไตล์ญี่ปุ่น เบทาโกร เบทาโกร จับมือ วษท.เชียงราย ยกระดับบุคลากรเกษตรและอาหาร
22 กระทรวงเกษตรฯ สนองพระราชเสาวนีย์รุกปฏิบัติการโปรย เมล็ดพันธุ์พืชฯ เฉลิมพระเกียรติฯทางอากาศ หวังกู้วิกฤติปัญหา ป่าไม้ถูกทำลายและสภาพป่าเสื่อมโทรมให้สามารถกลับมาอยู่ใน สภาพสมบูรณ์ พร้อมสร้างผืนป่าให้เกิดความชุ่มชื้นและเพิ่มป่า ต้นน้ำ มากขึ้น นำ ร่องบริเวณพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างและภาค กลางของประเทศ นายชวลิต ชูขจร ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิด เผยกับ อะกรี พลัส หลังพิธีเปิดโครงการ “โปรยเมล็ดพันธุ์พืชเพื่อ ความชุ่มชื้นและเพิ่มฝืนป่าทั่วประเทศเฉลิมพระเกียรติพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ” ซึ่งร่วมกันจัดขึ้นระหว่างกรมฝนหลวงและการบินเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มณฑลทหารบกที่ 31 กรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กรมทรัพยากรน้ำ และ สำ นักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 4 สาขานครสวรรค์และประชาชน ในเขตจังหวัดนครสวรรค์และใกล้เคียง เมื่อวันที่ 3 สิงหาคมที่ ผ่านมา ณ สนามบินจังหวัดนครสวรรค์ ว่า เพื่อเป็นการเพิ่มป่า ต้นน้ำ และเป็นต้นทุนความชื้นสำ หรับการปฏิบัติการฝนหลวงและ เพิ่มแหล่งของอาหารสัตว์ โดยการโปรยเมล็ดพันธุ์พืชที่มีความเห มะสมในแต่ละท้องถิ่นโปรยไปทางอากาศ ควบคู่ไปกับการปฏิบัติ การฝนหลวงในแต่ละวัน เพื่อเร่งฟื้นฟูสภาพป่าเสื่อมโทรมให้ สามารถกลับมาอยู่ในสภาพสมบูรณ์และสร้างฝืนผ่าให้เกิดความ ชุ่มชื้นเพื่อเป็นการเพิ่มป่าต้นน้ำ และเป็นต้นทุนความชื้นสำ หรับ การปฏิบัติการฝนหลวงอีกทางหนึ่งด้วย “โครงการโปรยเมล็ดพันธุ์พืชทางอากาศ เป็นกิจกรรมหนึ่ง ในการสร้างความเข้าใจกับประชาชนเพื่อคืนความสมบูรณ์ให้แก่ ทรัพยากรป่าไม้ซึ่งทุกฝ่ายตระหนักในคุณค่าของป่าต้นน้ำ และ น้อมนำ แนวพระราชดำ ริไปเป็นแนวทางในการสร้างความเข้าใจ และการมีส่วนร่วมของประชาชนเพื่อรักษาระบบนิเวศน์ป่าไม้ และสิ่งแวดล้อม ทำ ให้พื้นที่ป่าไม้ ต้นน้ำ สามารถทำ หน้าที่ได้อย่าง มีประสิทธิภาพและเอื้อประโยชน์ต่อพื้นที่ชุมชนได้อย่างยั่งยืนรวม ถึงเป็นการเร่งขยายพันธุ์กล้าไม้ กลายเป็นสภาพป่าธรรมชาติต่อ ไป” นายชวลิตกล่าว นายสุระสีห์ กิตติมณฑล รองอธิบดีกรมฝนหลวงและ การบินเกษตร กล่าวเพิ่มเติม ระยะแรกของการดำ เนินการคือ บริเวณพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างและภาคกลางของประเทศ ได้แก่ บริเวณเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร เขตรักษาพันธุ์สัตว์ ป่าห้วยขาแข้ง อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ พื้นที่ลุ่มรับน้ำ เขื่อนวชิรา ลงกรณ์และเขื่อนศรีนครินทร์ อุทยานแห่งชาติเขาไทรงาม เทือก เขาค้อ อุทยานแห่งชาติน้ำ หนาว และจะมีการเก็บรวบรวมข้อมูล ผลการปฏิบัติการโปรยเมล็ดพันธุ์ในแต่ละวัน อาทิ ชนิด จำ นวน พื้นที่โปรยและช่วงเวลา จัดทำ ระบบฐานข้อมูล เพื่อวางแผน ดำ เนินการในช่วงระยะเวลาต่อไป “เมล็ดพันธุ์ที่ใช้โปรยจะเน้นเมล็ดพันธุ์ไม้ชนิดที่เหมาะสม เป็นพันธุ์เบิกนำ พันธุ์ไม้บำ รุงดิน พันธุ์ไม้พืชอาหารสัตว์ ตลอด จนไม้ยืนต้นดั้งเดิม อาทิ เมล็ดสัก เมล็ดมะค่าโมง เมล็ดมะค่าแต้ เมล็ดมะกอกป่าเมล็ดมะม่วง ไผ่ซาง จามจุรีประดู่(ตีปีก) พฤกษ์ มะค่าโมง มะค่าแต้ สัก ยมหิน โมกมัน เสียวบ้านและอินทนิล น้ำ เป็นต้น ซึ่งได้รับการสนับสนุนเสม็ดพันธุ์จากกรมป่าไม้และ มณฑลทหารราบที่ 31 จังหวัดนครสวรรค์เจ้าภาพในการดำ เนิน การหุ้มเมล็ดพันธุ์ด้วยดินเหนียว” นายสุระสีห์กล่าว กรมฝนหลวง โปรยเมล็ดพันธุ์พืช เพิ่มผืนป่าทั่วประเทศไทย
23 วันที่ 21 สิงหาคมที่ผ่านมา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรม ราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเทพรัตนราช สุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำ เนินแทนพระองค์ทรง เปิดงาน “ตรานกยูงพระราชทาน สืบสานตำ นานไหมไทย ครั้งที่ 9 ประจำ ปี 2557” ณ อิมแพ็คเมืองทองธานี โดยมี นายชวลิต ชูขจร ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ อธิบดีกรมหม่อนไหม และคณะผู้บริหารกรมหม่อนไหมเฝ้ารับเสด็จฯ และโอกาสนี้ได้ประทานโล่รางวัลของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรม ราชินีนาถ แก่ผู้ชนะเลิศการแข่งขันสาวไหม การประกวดผ้าไหม ไทยตรานกยูงพระราชทาน และการออกแบบชุดผ้าไหม พร้อม ทั้งทอดพระเนตรนิทรรศการต่างๆ งาน “ตรานกยูงพระราชทาน สืบสานตำ นานไหมไทย ครั้ง ที่ 9 ประจำ ปี 2557” ภายใต้แนวคิด “รักไหมไทย ใส่ใจรักษ์โลก” เพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่ ทรงมีพระมหากรุณาต่อวงการหม่อนไหมไทย และเพื่อเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์สัญลักษณ์ตรานกยูงพระราชทานรวมถึงผลิตภัณฑ์ จากหม่อนและไหม แก่เกษตรกรผู้ปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ผู้ทอผ้า เอกชน นักวิจัย นักเรียน นักศึกษา และประชาชนผู้สนใจ ให้ได้ รับรู้ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับหม่อนไหมครบวงจร กรมหม่อนไหมยังได้จัดนิทรรศการภายใต้แนวคิด “รักไหมไทย ใส่ใจรักษ์โลก” เช่น - ผ้าไหม Cool Mode ลดโลกร้อน โดยออกแบบพัฒนา โครงสร้างผ้าไหมให้มีเนื้อผ้ามีคุณสมบัติพิเศษที่ช่วยลดหรือระบาย ความร้อนของผู้สวมใส่ ปัจจุบันผ้าไหมไทยในโครงการ ได้ผ่านการ ทดสอบจากสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอแล้ว และได้รับการขึ้น ทะเบียน Cool Mode จากองค์การบริหารก๊าซเรือนกระจกแล้ว ถือเป็นสิ่งทอหัตถกรรมรายแรกของประเทศไทยที่ได้รับขึ้นทะเบียน ซึ่งภายในงานจะมีการให้ความรู้เกี่ยวกับผ้าไหม Cool Mode และ สาธิตการทำผ้าไหมให้นุ่มขึ้น - Zero Wates แนวคิดสำ หรับของเสียเป็นศูนย์ ประกอบ ด้วยกิจกรรมกระบวนการผลิตผ้าไหมและแปรรูปผลิตภัณฑ์หม่อน ไหมทั้งระบบ ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ที่มีการใช้ทรัพยากรอย่างมี ประสิทธิภาพสูงสุด และไม่มีของเสียจากกระบวนการผลิต โดยแบ่ง เป็นประโยชน์ด้านหม่อน ตั้งแต่รากจนถึงใบ และด้านไหม ตั้งแต่ หนอนไหมจนถึงเส้นไหมและผ้าไหม เครื่องนุ่งห่ม และผลิตภัณฑ์ ต่างๆ และยังแยกการใช้ประโยชน์จากน้ำกาวไหม ผงไหม - การพัฒนากระบวนการผลิตสินค้าหม่อนไหมภายใต้ชุมชน สีเขียว หรือ Green City ที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม โดยจัดแสดง ข้อมูลกระบวนการผลิตสินค้าหม่อนไหมภายใต้มาตรฐานอินทรีย์ - ไหมขัดฟัน งานวิจัยของกรมหม่อนไหม ภายใต้มูลนิธิส่งเส ริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ซึ่งได้ รับการจดสิทธิบัตรแล้ว โดยจะมีการแสดงเส้นใยไหมขัดฟัน เครื่อง ผลิตเส้นไหมขัดฟัน และอุปกรณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง - ผ้าไหม GI หรือสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ ที่ได้รับการขึ้น ทะเบียนแล้ว ได้แก่ ผ้าไหมยกดอก จ.ลำ พูน, ผ้าไหมมัดหมี่ จ.ขอนแก่น, ผ้าไหมแพรวา จ.กาฬสินธุ์ และภูมิปัญญาการอบ สมุนไพรของผ้าไหมเก็บบ้านเมืองหลวง, อ.ห้วยทับทัน จ.ศรีสะเกษ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างดำ เนินการยื่นขอจดทะเบียน GI ร่วมด้วย มหัศจรรย์มัลเบอรี่: ฟื้นฟูป่า พัฒนาชีวิต, ไหมอะไร กินใบจิก ใบมันฯ ใบดาหลา, อาชีพปลูกหม่อนเลียงไหม ใส่ใจสิ่ง แวดล้อม, หม่อน&ไหม: ประโยชน์หลากหลาย คุณค่ามากเหลือ, วิจิตรตระการตา ผ้าไหมลายโบราณ นานกว่า 200 ปี “งานตรา นกยูงพระราชทาน สืบสานตำ นานไหมไทย ถือว่าเป็นงานที่แสดง ผลงานด้านหม่อนไหมและจำ หน่ายผ้าไหมที่ใหญ่ที่สุดแห่งปี ซึ่ง นอกจากจะสนับสนุนผลงานของเกษตรกรไทยเราแล้ว ยังช่วยให้ ประชาชนทั่วไปได้เห็นความสำคัญและมีความภาคภูมิใจในคุณค่า ของเอกลักษณ์หม่อนไหมไทย และอนุรักษ์ภูมิปัญญา หม่อนไหม ไทยต่อไป” อธิบดีกรมหม่อนไหมกล่าว ตรานกยูงพระราชทาน สืบสานตำนานไหมไทย
24 Social CP Tofu Heroes เต้าหู้ผักพิทักษ์โลก นางสาวอังคณา ลิขิตจรรยากุล (ที่ 1 จากซ้าย) รองกรรมการผู้จัดการ ด้านการตลาด บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) และนายกกฤษฎา เตชะมนตรีกุล (ที่ 1 จากขวา) ผู้จัดการฝ่าย การพาณิชย์ ส่วนอาหารพร้อมทาน เทสโก้ โลตัส ร่วมกันจัดกิจกรรมสนุก ๆ ณ จุดขาย เต้าหู้ไข่ไก่ โอเมก้า ผสมผัก ซีพี ผ่านแคมเปญ “CP Tofu Heroes เต้าหู้ผักพิทักษ์โลก” โดยมีคุณแม่ซุปเปอร์มัมคนสวย “พอลล่า เทเลอร์” มาร่วม แชร์ประสบการณ์การดูแลใส่ใจสุขภาพและโภชนาการ จากผลิตภัณฑ์เต้าหู้ไข่ ไก่ โอเมก้า ผสมผัก ซีพี ณ เทสโก้ โลตัส เลียบทางด่วนรามอินทรา กรุงเทพ เปิดตัวเกมส์โชว์เด็กฟอร์แมทอินเตอร์: คุณนพกร ทองมั่น กรรมการผู้ จัดการ บริษัทคอนเทนท์ แล็บ จับมือกับ คุณดวงกมล โชตะนา กรรมการผู้อำ นวยการเนชั่นกรุ๊ป และคุณณัฐวรา แสงวารินทร์ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำ นวยการ ฝ่ายวางแผนและประชาสัมพันธ์เนชั่นกรุ๊ป เปิดตัวรายการใหม่ “Junior Bake Off Thailand” ร่วมด้วยพิธีกรอารมณ์ดี มิค-บรมวุฒิ หิรัณยัษฐิติ และ 2 เชฟผู้ เชี่ยวชาญ แน็ตตี้-นภาวดี พยัคฆโส, ทอดด์-สรดิษ มธุรตรัย พร้อมเชิญสื่อมวลชน เก็บภาพเบื้องหลังการถ่ายทำรายการ ณ สวนสยาม เมื่อวันก่อน ติดตามความ เคลื่อนไหวได้ที่ช่อง NOW26 นายปริญญา เพ็งสมบัติ รองอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ พร้อมด้วยนายสุร พล พงศ์เมธีอภิชัย เลขานุการกรมส่งเสริมสหกรณ์ มอบช่อดอกไม้แสดงความ ยินดี กับ นายเลิศวิโรจน์ โกวัฒนา อธิบดีกรมชลประทาน ในโอกาสวันคล้าย วันสถาปนากรมชลประทาน ครบรอบ 112 ปี ณ กรมชลประทาน ถ.สามเสน กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2557 JICA ร่วมมือพัฒนาสหกรณ์ไทย และกัมพูชา ดร.จุมพล สงวนสิน อธิบดี กรมส่งเสริมสหกรณ์ พร้อมคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับ Mr.Masahiro Matsuda ที่ปรึกษาขององค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น ประจำราช อาณาจักรกัมพูชา และMr.Chea Saintdona ผู้แทนกระทรวงเกษตร ป่าไม้และ ประมง ของกัมพูชา ในโอกาสเข้าพบเพื่อหารือถึงความร่วมมือเพื่อการพัฒนา สหกรณ์ของไทยและกัมพูชา โดยการจัดอบรมและศึกษาดูงานด้านสหกรณ์ ภาย ใต้โครงการ Establishing Business-oriented Agricultural Cooperative Model ณ ห้องประชุมกรมส่งเสริมสหกรณ์ 18 สิงหาคม 2557 ที่ผ่านมา ลงนาม MOU : นายชวลิต ชูขจร ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วม ลงนามสหกรณ์-โมเดิร์นเทรดใช้สหกรณ์กระจายลำ ไยสดช่อหวังกระจายผลผลิต ลำ ไยเกรดAAสู่ผู้บริโภค เพื่อกระตุ้นราคาช่วงผลผลิตออกสู่ตลาด ม.เกษตร จับมือ หอการค้าลาว ตั้งศูนย์เรียนรู้เกษตรและวิชาชีพ เมือง สังข์ทอง สำ นักส่งเสริมและฝึกอบรม สถานีวิทยุมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ สภาหอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งชาติลาว ได้จัดให้มีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลง ความร่วมมือทางวิชาการเพื่อพัฒนาด้านวิชาการ ด้านบริการวิชาการ และด้าน ทรัพยากรบุคคลให้แก่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) โดย มี รศ. วุฒิชัย กปิลกาญจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ลงนามร่วม กับ ดร. สะนั่น จุนละมานี รองประธานสภาหอการค้าและอุตสาหกรรมแห่ง ชาติลาว พร้อมด้วย ผศ.อนุพร สุวรรณวาจกกสิกิจ ผู้อำ นวยการสำ นักส่งเสริม และฝึกอบรม มก. และ คณะกรรมการสภาหอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งชาติ ลาว ร่วมเป็นสักขีพยาน
25 Social นายปริญญา เพ็งสมบัติ รองอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ พร้อมคณะผู้บริหารกรมส่งเสริมสหกรณ์ ตรวจเยี่ยมการดำ เนินงานของสหกรณ์ประมงแม่ กลอง จำกัด จังหวัดสมุทรสงคราม เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2557 โดยมีประธานกรรมการสหกรณ์ และคณะเจ้าหน้าที่สหกรณ์ร่วมให้การต้อนรับ ซึ่งรอง อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ได้เน้นย้ำ ให้สหกรณ์รักษาระบบการผลิตสินค้าประมงให้ได้มาตรฐาน สอดรับกับวิสัยทัศน์ของสหกรณ์ที่มุ่งหวังจะก้าวสู่การเป็น ตลาดกลางสัตว์น้ำคุณภาพดีที่สุดของประเทศ และคำ นึงถึงระบบความปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สำ นักส่งเสริมและฝึกอบรมกำ แพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำ แพงแสน และ สำ นักงานกองทุนสงเคราะห์การทำ สวนยาง (สกย.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้จัดให้มีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการและแถลงข่าวโครงการบริการทางวิชาการเพื่อพัฒนาทรัพยากร บุคคล ของ สกย. โดยมี รศ. วุฒิชัย กปิลกาญจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ลงนามร่วมกับ นายประสิทธิ์ หมีดเส็น รองผู้อำ นวยการ รักษา การแทนผู้อำ นวยการสำ นักงานกองทุนสงเคราะห์การทำ สวนยาง รศ.ดร.สมบัติ ชิณะวงศ์ รองอธิการบดีวิทยาเขตกำ แพงแสน และนายทวีศักดิ์ คงแย้ม ผู้อำ นวยการฝ่ายส่งเสริมการสงเคราะห์ สกย. ร่วมลงนาม ณ ห้องประชุมกำ พล อดุลวิทย์ ชั้น 2 อาคารสารนิเทศ 50 ปี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เมื่อเร็วๆ นี้ กิจกรรมเพรสทัวร์ ในโครงการสร้างเครือข่ายเยาวชนรักษ์น้ำ (Water Gang) และโรงเรียนต้นแบบในการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ เฉลิมพระเกียรติพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๗ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๗ จัดโดย สำ นักงานนโยบายและบริหารจัดการน้ำ และอุทกภัยแห่งชาติ (สบอช.) เมื่อวันที่ 13 สิงหาคมที่ผ่านมา ณ จังหวัดนครสวรรค์ ลงพื้นที่ บ้านมะเกลือ ตำ บลบ้านมะเกลือ อำ เภอเมือง จังหวัด นครสวรรค์ และกิจกรรม ประชาสัมพันธ์งานประกวดโครงงานการสร้างเครือข่ายเยาวชนคนรักษ์น้ำ Water Gang โดยมี เคน ภูภูมิ เข้าร่วมกิจกรรมด้วย
26 สมาคมสื่อมวลชนเกษตร แห่งประเทศไทย จัดเสวนาเรื่อง “แนวทาง ปลดล็อคปัญหาแรงงานทาส...เพื่ออนาคตอุตสาหกรรมอาหารและประมง ไทย” เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและแนวทางในการแก้ปัญหาแรงงาน ทาศอย่างจริงจัง สร้างความเชื่อมั่นในอุตสาหกรรมประมงและอุตสาหกรรม ต่อเนื่อง ณ ห้องประชุมธีระสูตะบุตร อาคารสารนิเทศ 50 ปี ชั้น 1 ม.เกษตรศาสตร์ บางเขน กรุงเทพ เมื่อเร็วๆ นี้ ปัญหาสารตกค้างในสินค้าสัญลักษณ์ Q มกอช. ร่วมกรมวิชาการเกษตร และผู้ประกอบการโมเดิร์นเทรด ประชุมหารือเพื่อหาทางออกและเรียก ความเชื่อมั่น กรณีองค์กรเอกชนตรวจพบปัญหาสารตกค้างในสินค้าสัญลักษณ์ Q ในพืชผักและผลไม้ โดย นายสัตวแพทย์ศักดิ์ชัย ศรีบุญซื่อ เลขาธิการ สำ นักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) และเดินหน้าตรวจสอบข้อเท็จจริงของปัญหาที่เกิดขึ้น เนื่องจากปกติ มกอช.ได้ติดตามเฝ้า ระวังความปลอดภัยสินค้าเกษตรอย่างต่อเนื่อง โดยมีการสุ่มตรวจสินค้า Q ทั้งในตลาดโมเดิร์นเทรด (Modern Trade) และตลาดสด ซึ่งพบว่า สินค้า Q มีการตกค้างของสารเคมีกำจัดศัตรูพืชเกินค่ามาตรฐานเพียงร้อยละ 2-3 เท่านั้น นอกจากนั้น ยังได้ประสานกรมวิชาการเกษตรและผู้ประกอบการโม เดิร์นเทรด เพื่อร่วมหารือเกี่ยวกับกระบวนการตรวจสอบคัดกรองสินค้าพืชผักและผลไม้ที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน Q เข้ามาจำ หน่าย Social งานแถลงข่าว การจัดงาน “โครงการคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ในพระราชานุเคราะห์ฯ เพื่อเทิดพระเกียรติ ระดับประเทศ เนื่องในวันคล้ายวันพระราช สมภพ “สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฏราชกุมาร” วันพฤหัสบดีที่ 10 กรกฎาคม 2557 ณ ห้องประชุมกรมส่งเสริมการเกษตร ชั้น 5 อาคาร 1เพื่อเทิดพระเกียรติ ระดับประเทศ เนื่องในวันคล้ายวันพระราช-สมภพ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฏราชกุมาร
27 “ข้าวตราฉัตร” พลิกโฉมวงการข้าวไทย เปิดตัว New Segment “ข้าวสีสด” เทรนด์ใหม่ของการบริโภคข้าวคุณภาพ รับประกันความสดใหม่ เหมือนเพิ่งเกี่ยวจากทุ่ง นายสุเมธ เหล่าโมราพร ประธานคณะผู้บริหาร กลุ่มธุรกิจ การค้าระหว่างประเทศ (รับผิดชอบธุรกิจข้าวและอาหาร) เครือ เจริญโภคภัณฑ์ เปิดเผย ว่า การเปิดตัวครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกของ วงการข้าวไทย ที่ผู้ผลิต ผู้ประกอบการข้าว คิด New Segment เพื่อเปลี่ยนไลฟ์สไตล์การรับประทานข้าวในแบบเก่าๆ สู่แบบการ รับประทานข้าวแบบใหม่ ที่เปี่ยมด้วยคุณภาพ จาก “ข้าวสีสด หรือ Fresh Milling” โดยตั้งเป้าหมายยอดขายปิดสิ้นปี พ.ศ. 2558 ด้วยมูลค่า 100 ล้านบาท เคล็ดลับของข้าวสีสดจากตราฉัตร เริ่มจากการคัดเลือก แหล่งเพาะปลูกที่ดีที่สุด ในแถบภาคอีสาน จากแปลงนาเกษตรกร สมาชิก ที่เข้าร่วมโครงการส่งเสริมปลูกข้าวหอมมะลิ กับทาง บริษัท ทั้ง 4 พื้นที่นำ ร่อง ใน 4 อำ เภอ 4 จังหวัด ได้แก่ อำ เภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ, อำ เภอม่วงสามสิบ จังหวัด อุบลราชธานี, อำ เภอเสนานิคม จังหวัดอำ นาจเจริญ และอำ เภอ เลิงนกทา จังหวัดยโสธร รวมกว่า 5,000 ไร่ ในปีการผลิต 56/57 บริษัทฯ ได้เข้ามาช่วยดูแลเรื่องของระบบการบริหารจัดการ การเกษตร ตั้งแต่แปลงนา จัดหาเมล็ดพันธุ์ พร้อมทั้งให้ความรู้ ขั้นตอนการปลูกข้าวหอมมะลิให้ได้ผลผลิตดี ราคาสูง ต้นทุนต่ำ อีกทั้งรับซื้อข้าวเปลือกคืนโดยตรงจากเกษตรกรสมาชิก ทำ ให้ ข้าวทุกเมล็ดที่ได้มา เปี่ยมไปด้วยคุณภาพ และสามารถตรวจ สอบย้อนกลับได้ทุกขั้นตอนการผลิต “โครงการส่งเสริมปลูกข้าวหอมมะลิ เป็นความร่วมมือระ หว่างบริษัทฯ กับชาวนาผู้ปลูกข้าวหอมมะลิ เพื่อสร้างความ ยั่งยืนร่วมกัน ประการสำคัญก็คือ บริษัทฯ ต้องการที่จะมีแหล่ง ผลิตข้าวที่มั่นใจในคุณภาพของวัตถุดิบ เพราะจำ เป็นต้องรักษา มาตรฐานของข้าว ขณะเดียวกันก็ตระหนักถึงปัญหาด้านการ ตลาดของเกษตรกรผู้ปลูกข้าว จึงมีแนวคิดที่จะรวมเอาจุดเด่น ของเกษตรกร และความชำ นาญของบริษัทฯ เข้าด้วยกัน บริษัทฯ เข้าไปส่งเสริมเกษตรกร และรับซื้อวัตถุดิบที่เป็นข้าวเปลือก จาก เกษตรกรในราคาที่สูงกว่าราคาท้องตลาด ในปี 57/58 เพิ่มพื้นที่ การเพาะปลูกเป็น 8,696 ไร่ พร้อมกันนี้ มีทีมงานวิชาการขอ งบริษัทฯ ได้เข้าไปส่งเสริมการปลูกข้าวหอมมะลิ ให้คำ แนะนำ ตั้งแต่ การใช้เมล็ดพันธุ์ที่ดีมีคุณภาพ การใช้ปุ๋ย การจัดการพื้นนา การควบคุมวัชพืช การควบคุมน้ำ ในแปลงนา ให้มีความเหมาะ สม จะทำ ให้ได้ข้าวหอมมะลิที่มีคุณภาพดีขึ้น คาดว่าจะช่วยเพิ่ม ผลผลิตได้ราว 10-20%” นายสุเมธฯ กล่าว นายสุเมธฯ กล่าวถึงการผลิต ข้าวสีสด ว่า กระบวนการ เริ่มตั้งแต่ นำข้าวหอมมะลิของเกษตรกรสมาชิก ที่เพิ่งผ่านกระ เทาะเปลือก และขัดสีเอารำข้าวออกสดๆ ใหม่ๆ ทำ ให้ข้าวที่ได้ มีกลิ่นหอมและมีคุณประโยชน์มากกว่าข้าวสารที่อายุเท่ากัน แต่ ผ่านการขัดสีมานาน ข้าวสีสด จึงมีความสดใหม่ เหมือนเพิ่งเก็บ เกี่ยวจากรวง เพราะยังคงมีผิวรำ และจมูกข้าว จึงยังคงมีคุณค่า ทางโภชนาการสูง และมีรสชาติความอร่อยที่แตกต่างจากข้าว หอมมะลิทั่วไปหรือข้าวกล้อง “เอกลักษณ์ของ “ข้าวสีสด” เป็นข้าวที่ผ่านการคัดสดใหม่ไม่ เกิน 3 เดือน ก่อนจะนำ มาผ่านกระบวนการ เพื่อรักษาคุณภาพ ให้คงความสดใหม่ เหมือนเพิ่งเก็บเกี่ยวจากรวง ด้วยเทคโนโลยี เก็บรักษาข้าวเปลือกไว้ใน Grain Cooler ที่อุณหภูมิคงที่ 25 องศาเซลเซียส ก่อนจะนำ มากะเทาะเปลือกให้เป็นข้าวกล้อง เพื่อบรรจุลงถุงภายใน 24 ชั่วโมง จากโรงสีของตราฉัตร แล้ว จัดเก็บในตู้แช่ ณ จุดขายที่อุณหภูมิ 15 องศาเซลเซียส ข้าวสี สด จึงมีความแตกต่างจากข้าวทั่วไป ทันทีที่หุงสุก ข้าวสีสด จะ เผยความหอมละมุน นุ่มเหนียวน่ารับประทาน มีรสชาติความ หวานเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว นายสุเมธฯ กล่าว ตราฉัตร เปิดตัวข้าว สีสด
28 งานวิจัยเรื่อง “การผลิตพืชอาหารสัตว์หมักจากลำต้นเนเปียร์สด เพื่อเป็นอาหารสำหรับสัตว์เคี้ยวเอื้อง” โดย: กัญณภัทร จงสุภางค์กุล Kannapat Jongsupangkul สัตว์เคี้ยวเอื้อง เช่น โค กระบือ และ แพะ ถือว่าเป็นสัตว์ เศรษฐกิจของประเทศไทยเนื่องจากความต้องการบริโภคเนื้อสัตว์เพิ่ม มากขึ้นทั้งจากความต้องการของประชากรในประเทศและนักท่อง เที่ยวจากต่างประเทศตลอดจนความต้องการของตลาดต่างประเทศ จึงทำ ให้ลักษณะการเลี้ยงเป็นการเลี้ยงในรูปแบบฟาร์มเพิ่มมากขึ้น จากข้อมูลของสำ นักงานเศรษฐกิจการเกษตรพบว่าปัจจุบันปริมาณ การส่งออกโคเนื้อที่ผ่านมาในปี 2554, 2555 และ 2556 ลดลงคือ 111,954, 353,757 และ 219,515 กิโล- กรัมตามลำดับ ซึ่งปัญหา การลดลงนี้เกิดจากเกษตรกรขาดพื้นที่ปลูกพืชอาหารสัตว์เพราะ เกษตรกรนําพื้นที่ไปปลูกพืชเศรษฐกิจ เช่น ข้าว อ้อย มันสําปะหลัง และปาล์มน้ำ มัน เป็นต้น (สำ นักงานเศรษฐกิจการเกษตร, 2555) นอกจากนั้น เกษตรกรต้องเลิกเลี้ยงโคและขายโคทิ้งทำ ให้พันธุ์สัตว์ที่ มีอยู่ในท้องถิ่นลดลงอย่างรวดเร็วซึ่งสาเหตุเนื่องจากสัตว์ขาดแคลน หญ้าตามธรรมชาติและพืชอาหารสัตว์คุณภาพดีทำ ให้พืชอาหารสัตว์ มีไม่เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของสัตว์ ตลอดจนเกษตรกรขาด ความรู้และความเข้าใจถึงความจําเป็นในการเก็บถนอมพืชอาหาร สัตว์ไว้ใช้ในยามขาดแคลนหรือในฤดูแล้งนั่นเอง ดังนั้น หากมีการจัดการพืชอาหารสัตว์ที่มีอยู่ให้มีคุณภาพดีขึ้นก็ จะสามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ อย่างไรก็ตามทางกรมปศุสัตว์มีการ พัฒนาและปรับปรุงพันธุ์พืชอาหารสัตว์เพื่อให้เหมาะสมต่อสภาพภูมิ อากาศของประเทศนั่นคือหญ้าเนเปียร์ (Pennisetum purpureum) ซึ่งจัดว่าเป็นพืชอาหารสัตวที่ให้ผลผลิตสูงคือ 80 ตันต่อไร่เป็นหญ้า ที่เติบโตง่ายและทนแล้งทั้งนี้การปลูกหญ้า 1 ไร่จะสามารถตัดมาใช้ เลี้ยงโคได้ประมาณ 5-6 ตัวและการลงทุนปลูกหญ้าเนเปียร์ 1 ครั้ง จะสามารถเก็บเกี่ยวได้นานประมาณ 10 ปี (ธนสิทธิ์, 2556) การ เลี้ยงสัตว์ด้วยหญ้าเนเปียร์มีหลายรูปแบบ เช่น การตัดสดให้กินทั้ง ต้น การสับก่อนนำ ไปเลี้ยงและการทำ พืชอาหารสัตว์หมัก เป็นต้น แต่วิธีการที่ไม่นิยมนำ มาทำคือการทำ หญ้าแห้งเนื่องจากลำต้นของ หญ้าเนเปียร์มีเยื่อใยสูงไม่เหมาะที่จะนำ มาทำ ในรูปแบบแห้ง โดย ในปัจจุบันเกษตรกรนิยมตัดสดให้สัตว์เคี้ยวเอื้องกินทั้งต้นหรือนำ มา สับด้วยเครื่องสับ แต่วิธีการที่เกษตรกรยังนิยมคือตัดสดให้กินทั้งต้น มากกว่าเนื่องจากประหยัดเวลา อย่างไรก็ตาม การตัดสดให้สัตว์กินทั้งต้นอาจส่งผลเสียได้เช่น กัน กล่าวคือส่วนใหญ่สัตว์จะกินยอดของหญ้าจนหมดและเหลือ ส่วนที่เป็นลำต้นไว้เพราะส่วนของลำต้นมีเยื่อใยสูงทำ ให้สัตว์ไม่กิน หรือกินได้น้อยลง เกษตรกรจึงนำลำต้นที่เหลือจากการกินทิ้งไปด้วย การปล่อยทิ้งไว้ให้แห้งหรือเผาทำลาย ด้วยเหตุนี้การลดปัญหาการ ทิ้งลำต้นเนเปียร์อาจทำ ได้โดยการนำ มาหมักร่วมกับสารเสริม เช่น รำ และกากน้ำ ตาลเพื่อปรับปรุงคุณภาพทางโภชนะตลอดจนส่ง เสริมให้เกษตรรู้จักการทำ พืชอาหารสัตว์หมักเก็บไว้ใช้เลี้ยงสัตว์ได้ ทุกฤดูกาลอีกด้วย กากน้ำ ตาล (Molasses) เป็นผลพลอยได้จากโรงงาน อุตสาหกรรมการผลิตน้ำตาลทรายโดยมีลักษณะเป็นของเหลว ข้น เหนียวและมีสีดำ ซึ่งนิยมนำ มาใช้เป็นสารเสริมในอาหารสัตว์อย่าง แพร่หลายโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสัตว์เคี้ยวเอื้องที่สามารถกินกาก น้ำตาลได้มากกว่าสัตว์กระเพาะเดี่ยว นอกจากนั้นยังใช้กากน้ำตาล เป็นแหล่งอาหารให้กับจุลินทรีย์ในการผลิตกรดแลคติคได้เป็นอย่างดี อีกด้วย ซึ่งส่วนประกอบของกากน้ำตาลส่วนใหญ่เป็นคาร์โบไฮเดรตที่ ละลายน้ำ ได้ประมาณ 65 เปอร์เซ็นต์ (Thomas, 1978 และวารุณี, 2548) นอกจากนี้ยังประกอบด้วยน้ำตาลซูโครส 25-60 เปอร์เซ็นต์ ฟรุคโตสและกลูโคสอีกประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์และน้ำตาลชนิดอื่น ประมาณ 12-35 เปอร์เซ็นต์ (Woolford, 1984 และ Church, 1991) ในขณะที่ Allen (1990) และ National Research Council (1988) กล่าวว่ากากน้ำ ตาลมีปริมาณโปรตีนหยาบอยู่ในช่วง 2-5 เปอร์เซ็นต์ของน้ำ หนักแห้ง ดังนั้น คุณสมบัติเฉพาะตัวของกาก น้ำตาลที่มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบหลักจึงทำ ให้มีความนิยมที่ใช้กาก น้ำตาลเป็นสารเสริมในการปรับปรุงคุณภาพของพืชอาหารสัตว์ในรูป แบบต่างๆ ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย สมสุข (2544) เปรียบเทียบกรรมวิธีในการผลิตพืชอาหารหมัก ในถุงพลาสติก 2 ชั้นดูดอากาศออกบรรจุถุงละ 20 กิโลกรัม โดยใช้ หญ้ารูซี่หมักร่วมกับสารช่วยหมักชนิดต่างๆ ได้ แก่ รำละเอียด 16 เปอร์เซ็นต์ มันเส้นบด 16 เปอร์เซ็นต์และกากน้ำตาล 3, 4 และ 5 เปอร์เซ็นต์ของน้ำ หนักสดตามลำดับพบว่าหญ้ารูซี่หมักร่วมกับกาก น้ำตาล 5 เปอร์เซ็นต์มีคุณภาพดีที่สุดเนื่องจากมีการสูญเสียน้ำ หนัก แห้งและมีปริมาณแอมโมเนียไนโตรเจนน้อยที่สุดคือ 4.67 และ 5.02 เปอร์เซ็นต์ของน้ำ หนักแห้งอีกทั้งยังมีค่าพีเอชเท่ากับ 3.99 และมีกรด แลคติคสูงกว่ากลุ่มอื่นๆ อีกด้วย Tosi et al., (1995) ศึกษาพืชอาหารหมักจากหญ้าโดยหมัก ร่วมกับกาก น้ำตาลในปริมาณ 4 เปอร์เซ็นต์ของน้ำ หนักพืชสดพบว่า ค่าพีเอชและปริมาณแอมโมเนียไนโตรเจนลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับ หญ้าเนเปียร์หมัก อาหารสัตว์เคี้ยวเอื้องชั้นยอด
29 กลุ่มควบคุมซึ่งเป็นลักษณะของพืชอาหารหมักคุณภาพดี นอกจาก การทำ พืชอาหารสัตว์หมักที่เสริมด้วยกากน้ำตาลแล้วยังมีการเสริม รำละเอียดเพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนะของพืชหมักอีกด้วย รำละเอียด (Rice bran) เป็นผลพลอยได้จากการสีข้าวซึ่งมี โปรตีนประมาณ 14.26 ไขมัน 18.9 เยื่อใย 6.41และเถ้า 9.15 เปอร์เซ็นต์ (วรรณาและคณะ , 2557) จากการศึกษาคุณภาพของ หญ้าอาลาฟัลหมักโดยใช้สารเสริมที่แตกต่างกันของอาทิตย์ (2555) พบว่าคุณภาพทางเคมีของหญ้าอาลาฟัลหมักที่เสริมรำ ละเอียดมี ปริมาณน้ำ หนักแห้งสูงสุดคือ 20.50 เปอร์ เซ็นต์และรองลงมาคือ เสริมด้วยกากน้ำตาล ปลายข้าวและไม่ใช้สารมีค่าเท่ากับ 19.00 18.56 และ 15.52 เปอร์เซ็นต์ตาม ลำดับ ส่วนโปรตีนของหญ้า อาลาฟัลหมักที่เสริมรำละเอียดมีค่าสูงสุด คือ 11.69 เปอร์เซ็นต์ รองลงมาคือเสริมกากน้ำตาล ไม่ใช้สารเสริมและเสริมปลายข้าว ในส่วนพีเอชของหญ้าอาลาฟัลหมักที่ไม่ใช้สารเสริมมีค่าสูงสุดคือ 4.75 รองลงมาคือ เสริมปลายข้าว รำละเอียดและกากน้ำตาลโดย มีค่าพีเอชเท่ากับ 4.21 3.89 และ 3.45 ตามลำดับ จากคุณค่า ทางโภชนะจะเห็นได้ว่าการเสริมทำ ให้ปริมาณน้ำ แห้งและโปรตีนสูง และมีค่าพีเอชลดลลงดังนั้นการเสริมรำละเอียดจึงสามารถทำ ให้พืช อาหารสัตว์หมักมีคุณภาพได้อีกด้วย จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นได้ว่าสารเสริมแต่ละชนิดมีคุณสมบัติ ที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นการศึกษาชนิดของสารเสริมที่นำ มาใช้ ในการทำ พืชอาหารหมักจึงมีความสำคัญเนื่องจากการใช้สารเสริม จะส่งผลทำ ให้พืชอาหารหมักมีคุณภาพดีนั้นเอง กระบวนการหมัก การทำ พืชอาหารสัตว์หมักเป็นการรักษา คุณภาพพืชอาหารสัตว์ในรูปแบบการหมัก กระบวนการหมักเกิด ขึ้นตามธรรมชาติโดยจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่บนส่วนต่างๆ ของพืช (epiphytic microbial) มีบทบาทในการหมักแต่ในกระบวนการ หมักที่จะให้พืชหมักมีคุณภาพแท้จริงนั้น ขึ้นอยู่กับแบคทีเรียกรด แลคติค (lactic acid bacteria) ที่มีในพืชเอง (epiphytic lactic acid bacteria) ซึ่งเป็นแบคทีเรียกลุ่มที่ผลิตกรดแลคติคภายใต้ สภาพไร้ออกซิเจนทำ ให้ค่าพีเอชในพืชอาหารสัตว์หมักลดลงมีผล ทำ ให้จุลินทรีย์กลุ่มที่ไม่ต้องการ เช่น clostridium ลดจำ นวนลง เนื่องจากไม่สามารถเจริญเติบโตได้ในสภาวะที่มีความเป็นกรดได้ เมื่อพืชอาหารสัตว์หมักเข้าสู่สภาวะคงที่แบคทีเรียจะหยุดการใช้สาร อาหารในพืชเพื่อการเจริญเติบโต ทำ ให้เหลือปริมาณสารอาหารใน พืชอาหารสัตว์หมักมากขึ้น ลดการสูญเสียโภชนะ เช่น โปรตีน ใน รูปของแอมโมเนียไนโตรเจน (McDonald et al., 1991) แบคที เรียกรดแลคติคที่พบในพืชอาหารสัตว์หมักมี 2 กลุ่มตามผลผลิตที่ได้ จากการใช้นํ้าตาลคือกลุ่ม Homofermen-tative เช่น Lactobacillus acidophilus, Lactobacillus casei, Pediococcus pento seceus และกลุ่ม Heterofermentative เช่น Lactobacillus brevis, (McDonald et al., 1991) ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการ ผลิตพืชอาหารสัตว์หมักให้มีคุณภาพดีนั้นขึ้นอยู่กับชนิดของพืชที่ นำ มาหมักควรมีปริมาณน้ำ หนักแห้ง 30-40 เปอร์เซ็นต์ (Alberta Ag-Imdus ties,1986 และ Ohmomo et al., 2002) โดยทั่วไป ปริมาณนํ้าตาลในพืชเขตร้อนมีปริมาณค่อนข้างตํ่าและตํ่ากว่าในเขต หนาว (Catchpole and Henzell, 1971) นอกจาก นั้นจำ นวน แบคทีเรียกรดแลคติคในพืชอาหารสัตว์เขตร้อนยังมีจำ นวนน้อยกว่า จุลินทรีย์ชนิดอื่นๆ ที่อาศัยอยู่ เช่น ยีสต์และเชื้อรา (Cai et al., 1994; Ohmomo et al., 2002; Yahaya et al., 2004a) ทำ ให้ไม่ สามารถแข่งขันกับจุลินทรีย์ชนิดอื่นที่ใช้นํ้าตาลที่มีอยู่ในปริมาณจำกัด ในการผลิตกรดแลคติคได้ ปริมาณกรดแลคติคที่ผลิตได้จึงไม่เพียงพอ ต่อการรักษาสภาพพืชอาหารสัตว์หมัก ดังนั้น จึงมีการใช้สารเสริมในรูปแบบต่างๆ ทั้งสารเคมีและ สารชีวภาพมาเป็นสารเสริมพืชอาหารสัตว์หมักเพื่อกระตุ้นหรือส่ง เสริมกระบวนการหมักนั้นเอง เช่น การใช้กากน้ำตาลและรำละเอียด เป็นต้น จึงเป็นที่นิยมมากกว่าการใช้สารเคมีเนื่องจากมีอยู่ในท้องถิ่น และถือว่าเป็นผลผลิตที่เหลือจากอุตสาหกรรมการเกษตรนั้นเอง การเตรียมพืชอาหารสัตว์หมัก 1.ลำต้นเนเปียร์ที่เหลือจากการ กินของสัตว์ 2.กากน้ำตาล 3.รำละเอียด 4.ถุงดำขนาด 24*28 นิ้ว 5.เชือกฟาง นำ ลำ ต้นของเนเปียร์สดที่เหลือจากที่เกษตรกรเลี้ยงสัตว์เคี้ยว เอื้องนำ มาสับด้วยเครื่องสับให้มีขนาด 3-5 เซนติเมตร จากนั้นจึง นำ เนเปียร์ที่ได้มาทำการหมักแบบต่างๆ ดังนี้ T 1 คือลำต้นเนเปียร์สับหมักอย่างเดียว T 2 คือลำต้นเนเปียร์สับหมักร่วม กับกากน้ำตาล 5 เปอร์เซ็นต์ และรำละเอียด 5 เปอร์เซ็นต์ของน้ำ หนักสด T 3 คือลำต้นเนเปียร์สับหมักร่วม กับกากน้ำตาล 10 เปอร์เซ็นต์ และรำละ เอียด 10 เปอร์เซ็นต์ของน้ำ หนักสด T 4 คือลำต้นเนเปียร์สับหมักร่วม กับกากน้ำตาล 20 เปอร์เซ็นต์ และรำละ เอียด 20 เปอร์เซ็นต์ของน้ำ หนักสด จากนั้นนำ มาผสมคลุกเคล้ากันให้ทั่วสุ่มตัวอย่างประมาณ 500 กรัมวิเคราะห์หาน้ำ หนักแห้งและส่วนประกอบทางเคมี ส่วนที่เหลือ ทำการบรรจุในถุงพลาสติกดำขนาด 28*24 นิ้วซ้อน 2 ชั้นอัดให้แน่น เอาอากาศออกแล้วมัดปากถุงให้แน่นเพื่อไม่ให้อากาศเข้าได้อีกตรวจดู สภาพภายนอกถุงไม่ให้มีรูรั่วหลังจากนั้นทำการหมักเป็นเวลา 21 วัน ลำต้นเนเปียร์ก่อนการหมัก สุ่มตัวอย่างลำต้นเนเปียร์ก่อนการ หมักไปอบที่อุณหภูมิ 60°ซ เป็นเวลา 48 ชั่วโมง เพื่อวิเคราะห์หา องค์ ประกอบทางโภชนะได้แก่ ปริมาณน้ำ หนักแห้ง เถ้า และโปรตีน หยาบตามวิธีการของ AOAC (1990) และปริมาณเยื่อใยที่ไม่ละลาย ในสารฟอกที่เป็นกลาง (Neutral detergent fiber, NDF) ปริมาณ เยื่อใยที่ไม่ละลายในสารฟอกที่เป็นกรด (Acid detergent fiber, ADF) และ ลิกนิน (Acid insoluble lignin, ADL) ตามวิธีการของ Van Soest et al., (1991) ลำต้นเนเปียร์หลังหมัก 1. เปิดถุงหมักหลังจากหมัก 21 วันนำ ตัวอย่างพืชหมักสดจำ นวน 20 กรัมเติมน้ำกลั่นปริมาณ 70 มิลลิลิตร เขย่าให้เข้ากันนำ สารละลายที่ได้มาวัดค่าพีเอชทันที โดยใช้เครื่อง pH temperature meter
30 2. นำตัวอย่างพืชหมักที่เหลือไปอบที่อุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 48 ชั่วโมงเพื่อวิเคราะห์หาองค์ประกอบทางโภชนะได้แก่ ปริมาณน้ำ หนักแห้ง เถ้า โปรตีนหยาบ NDF ADF และ ADL ตาม วิธีการที่กล่าวมาแล้วข้างต้น การวิเคราะห์ข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลความแปรปรวนทางสถิติโดย Analysis of variance (ANOVA) ของ Completely Randomize Design (CRD) เปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยสูตรควบคุม หลังหมักกับสูตรที่ใส่สารเสริมโดยวิธี Duncan’s New Multiple Range Test (DMRT) (Steel and Torrie, 1980) โดยโปรแกรม สำ เร็จรูป SAS 6.12 (มนต์ชัย, 2537) สถานที่ทำ การทดลอง ศูนย์วิจัยและพัฒนาอาหารสัตว์ นครราชสีมา ผลการทดลอง จากการทดสอบทำ การหมักลำต้นหญ้าเนเปียร์ หมักร่วมกับสารเสริมเป็นเวลา 21 วัน จึงได้ทำการเปิดถุงหมักเพื่อ ตรวจสอบคุณทางโภชนะจากตารางที่ 1 พบว่าลำต้นเนเปียร์ก่อนหมักมี โปรตีนหยาบ 2.0 เปอร์เซ็นต์ ปริมาณ ADF, NDF และลิกนินเท่ากับ 56.3, 74.5 และ 11.5 เปอร์เซ็นต์ของน้ำ หนักพืชสดตามลำดับ กาก น้ำตาลมีโปรตีน 2.32 เปอร์เซ็นต์และรำละเอียดมีปริมาณโปรตีนหยาบ เท่ากับ 10.3 เปอร์เซ็นต์ของน้ำ หนักพืชสด จากการวิเคราะห์ปริมาณ NDF (ตารางที่ 2) พบว่าการทรีทเมน ต์ที่ 2 และ ทรีทเมนต์ที่ 3 มีปริมาณ NDF เท่ากับ 63.60 และ 62.26 เปอร์เซ็นต์ของน้ำ หนักแห้ง ซึ่งมีค่าต่ำกว่ากลุ่มควบคุมและทรีทเมนต์ ที่ 1 เท่ากับ 89.63 และ 68.50 เปอร์เซ็นต์ของน้ำ หนักแห้งอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติ (P<0.05) การที่ปริมาณของ NDF ลดลงเป็นการ ดีเนื่องจากทำ ให้สัตว์สามารถย่อยสารอาหารจำ พวกเยื่อใยออกมาใช้ ประโยชน์ได้มากยิ่งขึ้นอีกทั้งจุลินทรีย์จะใช้ NDF ในการเจริญเติบโต จึงทำ ให้ปริมาณของ NDF ลดลงนั่นเอง (Van Soest, 1991) ผลการวิเคราะห์ปริมาณกรดอินทรีย์ (ตารางที่ 3 ) พบว่าการ ใช้กากน้ำตาลและรำละเอียดเป็นสารเสริมในปริมาณ 5, 10, และ 20 เปอร์เซ็นต์ของน้ำ หนักพืชสดมีปริมาณกรดแลคติคเท่ากับ 5.40, 9.33, และ 19.23 ตามลำดับ ซึ่งมีค่าสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัย สำคัญทางสถิติ (P<0.05) ซึ่งเป็นไปตามการรายงานของวารุณีและ คณะ (2547), สายัณห์ (2522) และ Bjorge (1996) ที่กล่าวว่า พืชอาหารหมักคุณภาพดีควรมีปริมาณกรดแลคติคอยู่ในช่วง1.5-14 เปอร์เซ็นต์ของน้ำ หนักแห้ง สรุปผลการทดลอง จากการศึกษาการทำ พืชอาหารหมักจากลำ ต้นเนเปียร์และเสริมกากน้ำตาลและรำละเอียดในปริมาณ 0, 5, 10 และ 20 เปอร์เซ็นต์ของน้ำ หนักพืชสด พบว่าการเสริมกากน้ำตาล และรำละเอียดในปริมาณต่างๆ สามารถทำ ให้ลำต้นเนเปียร์หมักมี คุณค่าทางโภชนะเพิ่มสูงขึ้น ตลอดจนทำ ให้ค่า NDF ADF พีเอช และ ลิกนินในพืชอาหาร หมักต่ำลง ในขณะที่การเสริมกากน้ำตาลและรำละเอียดทำ ให้ปริมาณ กรดแลคติคเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้น ลำต้นเนเปียร์ที่เหลือจากการกินของ สัตว์จะมีคุณภาพดีได้ด้วยการใช้สารเสริมนั้นเอง จากตารางที่ 2 ลำต้นเนเปียร์หมักร่วมกับสารเสริมกากน้ำตาลและ รำละเอียด 5 เปอร์เซ็นต์พบว่าทรีทเมนต์ที่ 1 มีปริมาณร้ำ หนักแห้ง เท่ากับ 85.06 เปอร์เซ็นต์ซึ่งมีค่าสูงกว่าทรีทเมนต์ที่ 2 และ 3 เท่ากับ 88.23 และ 80.36 เปอร์เซ็นต์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P<0.05) การ ลดลงของน้ำ หนักแห้งเนื่องจากจุลินทรีย์ที่มีอยู่ในพืชอาหารหมักจะใช้ คาร์โบไฮเดรตที่มีอยู่ในพืชเพื่อเป็นแหล่งพลังงานในการเติบโตและการ เพิ่มจำ นวนของจุลินทรีย์ตลอดจนการลดลงอาจเกิดจากการ สูญเสียโภชนะไปกับน้ำ ที่ไหลออกจากกองหมักนั้นเอง (Madonal et al. 1995, and Gordon, 1967.) ผลการวิเคราะห์ปริมาณโปรตีน หยาบ (ตารางที่ 2) พบว่าปริมาณโปรตีนหยาบในกลุ่มควบคุมมีค่าน้อย กว่าทรีทเมนต์ที่ 1 และ 2 เท่ากับ 4.33 และ 4.73 เปอร์เซ็นต์ของ น้ำ หนักแห้งแต่มีค่าน้อยกว่าทรีทเมนต์ที่ 3 คือ 5.86 เปอร์เซ็นต์ของ น้ำ หนักแห้งอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P<0.05) ซึ่งจะเห็นได้ว่าการใช้ สารเสริมสามารถทำ ให้ลำต้นเนเปียร์มีปริมาณโปรตีนหยาบเพิ่มสูงขึ้น และทำ ให้คุณค่าทางโภชนะสูงขึ้นอีกด้วย หมายเหตุ: -1Neutral detergent fiber, NDF คือ ส่วนที่เหลือจากการนำตัวอย่างไปย่อย ด้วยสารละลายที่เป็นกลางประกอบด้วยเฮมิเซลลูโลส เซลลูโลสและลิกนิน ซึ่งส่วนนี้สัตว์ทั่วไปไม่ สามารถใช้ประโยชน์ได้ยกเว้นสัตว์เคี้ยวเอื้องที่สามารถใช้เยื่อใยพวกเฮมิเซลลูโลสและเซลลูโลสได้ -2 Acid detergent fiber, ADF คือ ส่วนที่เหลือจากการนำตัวอย่างไปย่อยด้วยสารละลายที่ เป็นกรดประกอบด้วยเซลลูโลสและลิกนิน -3 Not Determine (ND) ไม่มีการวิเคราะห์ หมายเหตุ: ค่าเฉลี่ยที่มีอักษรกำ กับต่างกันในแนวเดียวกันแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติ (P<0.05) ทรีทเมนต์ที่ 1 คือ ลำต้นเนเปียร์หมักร่วมกับกากน้ำตาลและรำละเอียด 5 เปอร์เซ็นต์ ทรีทเมนต์ที่ 2 คือ ลำต้นเนเปียร์หมักร่วมกับกากน้ำตาลและรำละเอียด 10 เปอร์เซ็นต์ ทรีทเมนต์ที่ 3 คือ ลำต้นเนเปียร์หมักร่วมกับกากน้ำตาลและรำละเอียด 20เปอร์เซ็นต์ หมายเหตุ: ค่าเฉลี่ยที่มีอักษรกำ กับต่างกันในแนวเดียวกันแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติ (P<0.05) ทรีทเมนต์ที่ 1 คือ ลำต้นเนเปียร์หมักร่วมกับกากน้ำตาลและรำละเอียด 5 เปอร์เซ็นต์ ทรีทเมนต์ที่ 2 คือ ลำต้นเนเปียร์หมักร่วมกับกากน้ำตาลและรำละเอียด 10 เปอร์เซ็นต์ ทรีทเมนต์ที่ 3 คือ ลำต้นเนเปียร์หมักร่วมกับกากน้ำตาลและรำละเอียด 20เปอร์เซ็นต์
31 อ้อยเป็นพืชเศรษฐกิจที่ไทยมีศักยภาพการผลิตและส่งออก สูง โดยปี 2556/57 นี้ มีเนื้อเพาะปลูก 8.37 ล้านไร่ คาดว่า จะให้ผลผลิตไม่น้อยกว่า 102.98 ล้านตัน ซึ่งคณะกรรมการ อ้อยและน้ำ ตาลทรายได้กำ หนดปริมาณน้ำ ตาลสำ หรับบริโภค ภายในประเทศ ปี 2557 จำ นวน 2.50 ล้านตัน และคาดว่า จะมีการส่งออกน้ำตาล ปริมาณ 8.80 ล้านตัน อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันการผลิตอ้อยของไทยยังมีปัญหาการเผาใบอ้อยก่อนตัด ส่งโรงงาน ทำ ให้ได้อ้อยที่ไม่มีคุณภาพและถูกตัดราคารับซื้อ นอกจากนั้น ยังมีปัญหาไฟไหม้อ้อยตอด้วย สถาบันวิจัยเกษตร วิศวกรรม กรมวิชาการเกษตรเล็งเห็นความสำ คัญของปัญหา ดังกล่าว จึงได้คิดค้นและพัฒนา “จอบหมุนสับกลบใบอ้อยและ พรวนดินกำจัดวัชพืชสำ หรับรถแทรกเตอร์ขนาดกลาง” ขึ้น เพื่อ ให้เหมาะสมกับการใช้งานของเกษตรกรและลดปัญหาไฟไหม้อ้อย ตอ มีประสิทธิภาพแบบทูอินวันแบบนี้ ....ชาวไร่อ้อยไม่ควรพลาด นายยุทธนา เครือหาญชาญพงค์ วิศวกรการเกษตรชำ นาญ การพิเศษ สถาบันวิจัยเกษตรวิศวกรรม กรมวิชาการเกษตร เปิด เผยกับ อะกรี พลัส ว่า ที่ผ่านมา สถาบันวิจัยเกษตรวิศวกรรมได้ วิจัยและพัฒนาเครื่องสับกลบใบอ้อยสำ หรับติดพ่วงรถแทรกเตอร์ ขนาด 80 แรงม้า ซึ่งมีราคาและอัตราการใช้น้ำ มันเชื้อเพลิงสูง ทำ ให้ต้นทุนการผลิตของเกษตรกรเพิ่มขึ้น แต่ปัจจุบันชาวไร่อ้อยมี การใช้งานรถแทรกเตอร์ขนาดกลาง หรือขนาด 50 แรงม้าอย่าง แพร่หลาย ทั้งการเตรียมดิน การพรวนดินกำ จัดวัชพืชพร้อม ใส่ปุ๋ย เป็นต้น สถาบันวิจัยเกษตรวิศวกรรมจึงได้ออกแบบและ พัฒนาจอบหมุนสับกลบใบอ้อยในอ้อยตอ 2 ชนิด คือ จอบหมุน เยื้องข้างสำ หรับทำ งานคร่อมร่องอ้อยติดพ่วงรถแทรกเตอร์ขนาด 34 และ 50 แรงม้า และจอบหมุนสำ หรับรถแทรกเตอร์ขนาด 24 แรงม้า เพื่อเพิ่มทางเลือกสำ หรับเกษตรที่ไม่มีกำลังซื้อ และ ให้มีเครื่องจักรกลที่เหมาะสมในการใช้งานด้วย จอบหมุนเยื้องข้างสำ หรับทำ งานคร่อมร่องอ้อยติดพ่วงกับ รถแทรกเตอร์ขนาด 34 และ 50 แรงม้า สามารถใช้พรวนดิน สับกลบใบอ้อย มีหน้ากว้างในการทำ งาน 80 เซนติเมตร จาก การทดสอบในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรีสำ หรับรถแทรกเตอร์ขนาด 50 แรงม้า พบว่า ความยาวใบอ้อยก่อนการสับกลบ 119.0 เซนติเมตร ที่ความหนาใบอ้อย 18 เซนติเมตร มีความสามารถ ในการทำ งาน 1.85 ไร่/ชั่วโมง มีประสิทธิภาพในการทำ งาน 83.6 % ใช้น้ำ มันเชื้อเพลิง 3.25 ลิตร/ไร่ การทดสอบกับรถ แทรกเตอร์ขนาด 34 แรงม้า พบว่า ความยาวใบอ้อยก่อนการ สับกลบ 132 เซนติเมตร ความหนาของใบอ้อย 14 เซนติเมตร มีความสามารถในการทำ งาน 2.05 ไร่/ชั่วโมง ประสิทธิภาพการ ทำ งาน 93.08 % ใช้น้ำ มันเชื้อเพลิง 3.12 ลิตร/ไร่ ส่วนจอบหมุนสับกลบใบอ้อยสำ หรับรถแทรกเตอร์ขนาด 24 แรงม้า มีหน้ากว้างการทำ งาน 70 เซนติเมตร สามารถวิ่งทำ งาน ในร่องอ้อยได้ ขณะเดียวกันยังมีข้อดี คือ ใช้ได้ทั้งกิจกรรมพรวน ดินสับกลบใบอ้อยและกำจัดวัชพืชด้วย จากการทดสอบ พบว่า จอบหมุนสับกลบใบอ้อย กำจัดวัชพืช รถแทรกเตอร์ขนาดกลาง
32 ความยาวใบอ้อยก่อนการสับกลบ 21.5 เซนติเมตร ความหนา ใบอ้อย 7 เซนติเมตร มีความสามารถในการทำ งาน 1.95 ไร่/ ชั่วโมง ประสิทธิภาพการทำ งาน 91.98 % ใช้น้ำ มันเชื้อเพลิง 1.58 ลิตร/ไร่ เมื่อนำ มากำจัดวัชพืช พบว่า ปริมาณวัชพืชในแปลง 780 กิโลกรัม/ไร่ มีความสามารถในการทำ งาน 1.98 ไร่/ชั่วโมง ประสิทธิภาพในการกำจัดวัชพืช 96.12 % ใช้น้ำ มันเชื้อเพลิง 1.35 ลิตร/ไร่ น้ำ หนักวัชพืชหลังการสับกลบ 19.04 กิโลกรัม/ไร่ ประสิทธิภาพการกำจัดวัชพืช คิดเป็น 97.55 % สำ หรับจุดคุ้มทุนของการใช้จอบหมุนติดพ่วงรถแทรกเตอร์ ขนาด 34 และ 50 แรงม้า กรณีที่เกษตรกรมีรถแทรกเตอร์อยู่ แล้ว หากคิดอายุการใช้งานจอบหมุน 7 ปี จุดคุ้มทุนอยู่ที่ 208.93 ไร่/ปี กรณีจอบหมุนสับกลบใบอ้อยสำ หรับแทรกเตอร์ขนาด 24 แรงม้า ซึ่งสามารถใช้งานทั้งการสับกลบใบอ้อยและกำจัดวัชพืช หากเกษตรกรมีรถแทรกเตอร์อยู่แล้ว พบว่า จุดคุ้มทุนอยู่ที่ 32.74 ไร่/ปี และจากการเปรียบเทียบอัตราการเจริญเติบโตของต้นอ้อย ในแปลงที่ใช้เครื่องสับกลบใบอ้อย และแปลงที่ไม่ใช้เครื่องสับกลบ ใบอ้อย พบว่า ในแปลงที่ใช้เครื่องสับกลบใบอ้อย มีขนาดลำอ้อย ใหญ่กว่าถึง 7.01 % และต้นอ้อยสูงกว่าแปลงที่ไม่ใช้เครื่อง สับกลบ ประมาณ 5.42 % นายยุทธนากล่าวอีกว่า การพัฒนาจอบหมุนสับกลบใบ อ้อยเพื่อพรวนดินและสับใบอ้อยระหว่างร่องอ้อย ติดพ่วงกับรถ แทรกเตอร์ขนาด 34 และ 50 แรงม้า และจอบหมุนเพื่อพรวน ดินสับกลบใบอ้อยและกำ จัดวัชพืชในระหว่างร่องอ้อยใช้ติดพ่วง กับรถแทรกเตอร์ขนาด 24 แรงม้า สามารถลดอัตราเสี่ยงจาก การเกิดไฟไหม้ในแปลงอ้อยตอได้อย่างดี ทั้งยังลดปัญหามลภาวะ จากการเผาใบและเศษซากอ้อย และการพรวนดินยังช่วยเพิ่ม ปริมาณอินทรีย์วัตถุในดิน ช่วยปรับปรุงบำ รุงดินให้ดีขึ้น ขณะ เดียวกันยังเป็นการสนับสนุนการใช้เครื่องจักรกลเกษตรที่ผลิต ภายในประเทศด้วย “จอบหมุนสับกลบใบอ้อยและพรวนดินกำ จัดวัชพืชสำ หรับ รถแทรกเตอร์ขนาดกลางนี้ ได้รับรางวัลนวัตกรรมแห่งชาติจาก สำ นักงานนวัตกรรมแห่งชาติ และปี 2557 ยังได้รับรางวัลสภา วิจัยแห่งชาติ: ผลงานประดิษฐ์คิดค้น สาขาเกษตรศาสตร์และ ชีววิทยา รางวัลระดับดี จากสำ นักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ง ชาติ (วช.) ด้วย ปัจจุบันสถาบันวิจัยเกษตรวิศวกรรมได้ถ่ายทอด เทคโนโลยีต้นแบบจอบหมุนแบบแถวเดี่ยว เพื่อพรวนดินและสับ กลบใบอ้อย และจอบหมุนเพื่อสับกลบใบอ้อยและพรวนดินกำจัด วัชพืชในระหว่างร่องอ้อยให้กับผู้ประกอบการนำ ไปผลิตในเชิง พาณิชย์แล้ว และเกษตรกรชาวไร่อ้อยในหลายพื้นที่เริ่มหันมาใช้ เครื่องมือสับกลบใบอ้อยเพิ่มมากขึ้น เป็นแนวทางหนึ่งที่สามารถ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยได้” นายยุทธนากล่าว ข้อมูล “จอบหมุนสับกลบใบอ้อยและพรวนดินกำจัดวัชพืช สำ หรับรถแทรกเตอร์ขนาดกลาง” สอบถามที่ สถาบันวิจัยเกษตร วิศวกรรม กรมวิชาการเกษตร โทร. 0-2579-2757
33 มันสำ ปะหลังเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญชนิดหนึ่งของไทย ซึ่ง ปีเพาะปลูก 2556/57 นี้ มีเนื้อเพาะปลูก 8.31 ล้านไร่ คาดว่า จะให้ผลผลิต ประมาณ 29.19 ล้านตัน อย่างไรก็ตาม การผลิต มันสำ ปะหลังนั้น ขั้นตอนการเตรียมพันธุ์และการปลูกนับว่ามี ความสำคัญมาก เนื่องจากการปลูกมันสำ ปะหลังของไทยเป็นไป ตามฤดูกาล โดยปลูกในช่วงต้นและปลายฤดูฝน หากปลูกไม่ทัน ตามฤดูกาลอาจเกิดความเสียหายต่อท่อนพันธุ์ และท่อนพันธุ์ อาจไม่งอกหรือตายได้ ขณะเดียวกันการปลูกมันสำ ปะหลังต้องใช้ แรงงานคนจำ นวนมาก ซึ่งทำ งานได้ค่อนข้างช้า และแรงงานที่ ขาดประสบการณ์และขาดความชำ นาญ จะทำ ให้เสียเวลาในการ ปลูก และอาจไม่สามารถปลูกได้ทันเวลาที่เหมาะสม ทั้งยังต้อง เสียค่าจ้างแรงงานและทำ ให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น สถาบันวิจัยเกษตรวิศวกรรม กรมวิชาการเกษตรเล็งเห็น ความสำคัญในเรื่องดังกล่าว จึงได้ออกแบบและพัฒนา “เครื่อง ปลูกมันสำ ปะหลังแบบพ่วงท้ายรถแทรกเตอร์” เพื่อใช้ทดแทน แรงงานคน ช่วยเพิ่มความรวดเร็วในการปลูก และช่วยเพิ่ม ประสิทธิภาพการผลิตมันสำ ปะหลังด้วย นายดำ รงค์ จิระสุทัศน์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า ปัจจุบันภาคเกษตรไทยเริ่มประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานและ นับวันยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น รวมถึงการผลิตมันสำ ปะหลังก็ มีปัญหาขาดแคลนแรงงานด้วย โดยเฉพาะแรงงานในการเตรียม ท่อนพันธุ์และแรงงานปลูกมันสำ ปะหลัง กรมวิชาการเกษตรจึง ได้มอบหมายให้สถาบันวิจัยเกษตรวิศวกรรมดำ เนินการวิจัยและ พัฒนาเครื่องปลูกมันสำ ปะหลังให้สามารถทดแทนการปลูกด้วย แรงงานคน ทั้งยังช่วยลดเวลา ลดขั้นตอนการทำ งาน ที่สำคัญ ยังช่วยลดต้นทุนการผลิตให้กับเกษตรกรด้วย สถาบันวิจัยเกษตรวิศวกรรมได้ออกแบบและพัฒนาเครื่อง ปลูกมันสำ ปะหลังแบบพ่วงท้ายรถแทรกเตอร์ 2 รุ่น คือ แบบ 1 แถว และแบบ 2 แถว มีส่วนประกอบหลัก 4 ส่วน ได้แก่ ส่วนโรยปุ๋ยรองพื้น ส่วนยกร่อง ส่วนป้อนและกำ หนดระยะท่อน พันธุ์ และส่วนปักท่อนพันธุ์ มีหลักการทำ งานโดยเครื่องจะโรย ปุ๋ยรองพื้นและยกร่องกลบ แล้วปักท่อนพันธุ์บนร่องตามระยะ ระหว่างต้นที่กำ หนด ผลการทดสอบปัจจัยที่มีผลต่อความสามารถในการปักท่อน พันธุ์ และความเสียหายของตาท่อนพันธุ์ พบว่า ล้อปักควรอยู่ ใกล้สันร่องปลูก ซึ่งล้อปักแบบยางร่องวีสามารถทำ งานได้ดีกว่า ล้อปักแบบยางเรียบ ความเร็วรอบล้อปัก ประมาณ 450 รอบ/ นาที และแรงกดสปริงของล้อปักต่อท่อนพันธุ์ ประมาณ 3 กิโลกรัม สำ หรับผลการทดสอบสมรรถนะการทำ งานในแปลง ของเครื่องปลูกมันสำ ปะหลังแบบแถวเดียว และแบบ 2 แถว โดยใช้รถแทรกเตอร์ขนาด 37 แรงม้า และ 50 แรงม้าเป็นต้น กำลัง พบว่า เครื่องปลูกมันสำ ปะหลังแบบแถวเดียวพ่วงท้ายรถ แทรกเตอร์ขนาด 37 แรงม้า มีความสามารถในการทำ งาน 1 ไร่/ชั่วโมง ที่ระยะการปลูก50x120 เซนติเมตร มีประสิทธิภาพ การทำ งานเชิงพื้นที่ 80 เปอร์เซ็นต์ และมีอัตราการสิ้นเปลือง น้ำ มันเชื้อเพลิง 2.05 ลิตร/ไร่ เครื่องปลูกมันสำปะหลัง พ่วงท้ายรถแทรกเตอร์
34 ส่วนเครื่องปลูกมันสำ ปะหลังแบบ 2 แถวพ่วงท้ายรถ แทรกเตอร์ขนาด 50 แรงม้า มีความสามารถในการทำ งาน 2 ไร่/ชั่วโมง ที่ระยะการปลูก 50x120เซนติเมตร มีประสิทธิภาพ การทำ งานเชิงพื้นที่ 75 เปอร์เซ็นต์ และมีอัตราการสิ้นเปลือง น้ำ มันเชื้อเพลิง 2.55 ลิตร/ไร่ โดยท่อนพันธุ์ที่ปักได้จากเครื่อง ปลูกมันสำ ปะหลังทั้ง 2 แบบ จะเอียงตามแนวการเคลื่อนที่ของ รถแทรกเตอร์ ประมาณ 60-80 องศา ประสิทธิภาพการปักท่อน พันธุ์ ประมาณ 93-95 เปอร์เซ็นต์ และท่อนพันธุ์มีอัตราการ งอก ประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ ไม่แตกต่างจากการใช้แรงงานคน เมื่อวิเคราะห์เชิงเศรษฐศาสตร์วิศวกรรม พบว่า เครื่อง ปลูกมันสำ ปะหลังแบบแถวเดียวและแบบ 2 แถว มีจุดคุ้มทุน การทำ งานที่ 103 ไร่/ปี และ 149.48 ไร่/ปีตามลำดับ ที่อายุ การใช้งานเครื่อง 5 ปี โดยเปรียบเทียบกับการใช้แรงงานคน ปลูกมันสำ ปะหลัง ทั้งนี้ เครื่องปลูกมันสำ ปะหลังพ่วงท้ายรถ แทรกเตอร์ที่กรมวิชาการเกษตรพัฒนาขึ้น สามารถทำ งานได้ อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังมีข้อจำกัดในการใช้งานด้วยสภาพ ดินและการเตรียมดินปลูก ซึ่งสภาพดินที่เหมาะสมต่อการใช้งาน ควรเป็นดินทราย หรือดินร่วนปนทราย และมีการเตรียมดินไถ พรวนด้วยผาล 5 หรือผาล 7 เพื่อย่อยดินให้ละเอียด ส่วนการ ใช้งานในสภาพดินชนิดอื่นๆ เช่น ดินร่วน หรือดินเหนียว ควร มีการทดสอบและพัฒนาต่อไป เครื่องปลูกมันสำ ปะหลังแบบพ่วงท้ายรถแทรกเตอร์นี้ เป็น ผลงานวิจัยที่ได้รับคัดเลือกเป็นผลงานวิจัยระดับดี ประเภทงาน วิจัยสิ่งประดิษฐ์คิดค้นของกรมวิชาการเกษตร ประจำ ปี 2556 ซึ่งเป็นหนึ่งทางเลือกของเกษตรกรผู้ปลูกมันสำ ปะหลังที่จะนำ ไปใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตได้ อย่างไรก็ตาม หากสนใจ สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สถาบันวิจัยเกษตรวิศวกรรม กรม วิชาการเกษตร โทร. 0-2579-2757, 0-2940-5582
35 คุณทวีทัรพย์ ภูสีฤทธิ์ เจ้าของแบรนด์แซนด์วิช SUB Sandwich เปิด เผยกับ อะกรี พลัส ว่า ก้าวเข้ามาสู่ธุรกิจรผลิตและจำ หน่ายแซนด์วิช ด้วย เหตุผลที่ว่า แซนด์วิช สามารถสร้างรายได้ให้ผู้จำ หน่ายได้อย่างดี ผู้บริโภคให้ ความนิยม ราคาไม่แพง สามารถทานได้ง่าย สะดวก เป็นอาหารที่มีคุณค่า ทางโภชนาการ จึงตัดสินใจทำ และคิดค้นสูตรการทำ แซนด์วิช โดยการเรียน รู้จากผู้เชี่ยวชาญด้านอาหาร ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมทางอินเตอร์เนตและสื่อ ต่างๆ พัฒนาและปรับสูตรเป็นของตัวเอง ได้แซนด์วิซที่มีเอกลักษณ์ รูป ลักษณ์ธรรมดาเหมือนทั่วไปแต่รสชาติอร่อย อร๊อย อร่อย เป็นรสชาติที่ผู้ บริโภคได้ชิมแล้วชอบ ถูกใจ และยกย่อง ว่าเป็นแซนด์วิช ชั้นดี โดยที่ขาย ในราคาเพียงชิ้นละ 15 บาท แต่อัดแน่นด้วยคุณภาพ สะอาด และปลอดภัย “SUB Sandwich เป็นแซนด์วิชที่ผมตั้งใจทำ มีรสชาติที่ลงตัว ไม่ เหมือนใคร วัตถุดิบที่ใช้สด สะอาด น้ำ สลัดกลมกล่อม ซึ่งถือว่าเป็นเคล็ด ลับความอร่อย ต่างจากน้ำ สลัดที่มีอยู่ทั่วไปในท้องตลาด และผมจำ หน่ายใน ราคาย่อมเยา ผู้บริโภครับประทานได้ทุกระดับ หัวใจของการทำธุรกิจแซนด์วิช ของผม คือ ผมอยากให้ลูกค้าได้รับประทานแซนด์วิชที่อร่อย คุ้มค่า สมราคา รับประทานแล้วติดใจ อยากทานแล้วทานอีก และจนเกินความคิดอยากทำ แซนด์วิชได้เอง หรือทำ เป็นอาชีพ สร้างรายได้ ผมอยากให้ทุกคนมีความสุข ไปกับแซนด์วิชที่ผมทำ และผมยินดีบอกเคล็ดลับและสูตรการทำ แซนด์วิช อย่างไม่ปิดบัง หากคุณสนใจมาเรียนกับเรา” คุณทวีทรัพย์ ปัจจุบัน SUB Sandwich เปิดจำ หน่ายทั้งปลีกและส่ง มีหน้าร้าน แบบง่าย ที่ ซอยสุขสวัสดิ์ 76 พระประแดง และสาขาตลาดเขาช่องพราน อำ เภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี รวมถึงทำ ส่งลูกค้าสั่งพิเศษ และเป็นอาหาร ช่วงพักเบรคในงานประชุมสัมมนาอบรมต่างๆ ล่าสุดจากการตอบรับที่ดี มีผู้ สนใจสูตรแซนด์วิช ทางด้านคุณทวีทรัพย์จึงตัดสินใจเปิดสอนอบรมการทำ แซนด์วิช โดยคิดอัตราราคาพิเศษ ราคา 5,000 บาท สอนจนสามารถผลิต และขายแซนด์วิชเป็นสูตรของตัวเองได้ สนใจติดต่อกันได้ที่ คุณทวีทัรพย์ ภู สีฤทธิ์ เลขที่ 419/1347 หมู่บ้านสยามนิเวศน์ ตำ บลในคลองบางกด อำ เภอ พระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ โทร. 08 4384 2768 SUB Sandwich อร๊อย อร่อย ชิ้นเดียวไม่เคยพอ
36 ถือเป็นคอลัมน์ใหม่ที่แทรกเข้ามาใน Agri Plus หนังสือเปิด โลกทัศน์ของเกษตรกรบ้านเราในยุคใหม่นี้ ผมนึกชื่อคอลัมน์อยู่ นานว่าควรจะตั้งชื่ออย่างไรให้มันสอดคล้องกันกับขอบเขตที่ได้ รับมอบหมายมา ที่จะให้ เกษตรกรเราเป็นนักธุรกิจเกษตรย่อมๆ ขายในสิ่งที่เรามี ทั้งทางตรงและทางอ้อมไม่ใช่รอแต่ผลผลิต หลักที่เราลงแรงลงใจไป ในระหว่างที่รอผลผลิตเติบโต เราจะ ทำอย่างไรให้มันมีรายได้เพิ่ม ผมคงไม่ไปหาญเล่าว่าจะปลูกข้าว อย่างไร ทำ ไร่อย่างไร เลี้ยงหมูเลี้ยงวัวอย่างไรให้ได้ผลผลิตดี เพราะไม่มีใครรู้ดีเท่าเกษตรกรเอง แต่ประกอบกับที่เป็นคนเดิน ทางบ่อย ในสายงานที่มันเกี่ยวพันกับการท่องเที่ยว เห็นตัวอย่าง เห็นลู่ทาง จึงอยากจะเอาสิ่งที่ไปเห็นมาบอก มาเล่า เพื่อให้พี่น้อง เกษตรกร เกิดไอเดียขึ้นมา แล้วจะได้นำ มาต่อยอดได้ ซึ่งคงจะ เข้ามาประจำตรงนี้ทุกเดือน ส่วนว่าเดือนไหน จะมีอะไรมาเล่า ก็ค่อยตามไปก็แล้วกันครับ สิ่งที่เป็นปัญหาของเกษตรกรบ้านเราคือ ผลผลิตชนิด เดียวกันมักจะออกมาพร้อมๆกัน พอออกมามาก ราคามันก็ตกลง เป็นธรรมดา เป็นอย่างนี้วนเวียนทุกปี ซึ่งท่านก็รู้ๆอยู่ ทางออก ที่ทำ เรามาคืออะไร บ้าง คือพยายามทำ ให้ผลผลิตมันออกนอก ฤดูกาลบ้าง แปรรูปผลผลิตบ้าง แต่พี่น้องก็รู้อยู่แล้วว่า แล้วมัน แก้ปัญหาได้จริงไหม นั่นเป็นเพราะว่าเราปลูก เราผลิต เพื่อจะ ขายอย่างเดียว คนทำ นา ปีทั้งปีก็ทำ แต่นา คนทำ ไร่ข้าวโพด ก็ วนเวียนทำ แต่ไร่ข้าวโพด ราคาตกก็รู้ ราคาขึ้นก็รู้ แต่ฉันก็จะทำ แต่ข้าว แต่ข้าวโพดอยู่นั่น ยิ่งทำยิ่งเป็นหนี้ ยิ่งทำ ที่ดินที่เคยเป็น ของตัวเองก็หลุดไปเป็นของคนอื่นจนได้ จากเคยมีเป็นสิบไร่ จน เหลือแค่เท่าที่บ้านปลูกอยู่อาศัย นี่มันอะไรกัน ผมอุปมาเหมือน คนที่เขาเอาหญ้าไปผูกไว้ปลายไม้ แล้วแหย่ไปไว้หน้าโค โคมัน ก็เดินจะไปกินหญ้า ขณะเดียวกันมันก็ต้องเดินลากเลื่อนลาก เกวียนไปโดยไม่รู้ตัว หญ้าก็ไม่ได้กินสักที เหนื่อยก็เหนื่อย สิ่งที่ ผมอยากจะบอกพี่น้องเราเริ่มแรกก่อนอื่นเลยก็คือ...เราหยุดนิ่ง สักครู่....แล้วหันมองสิ่งรอบข้างบ้างครับ ดูคนอื่น ดูที่อื่น ดูบ้าน อื่น ว่าเขาทำกันอย่างไร แล้วเขาแก้ปัญหาได้ไหม ผมอยากให้ พี่น้องเกษตรกร ลองพักสัก 2-3 วัน ออกจากไร่นา แล้วออกไป ดูที่ๆเขามีการฝึก อบรม การทำ เกษตรแนวใหม่ต่างๆที่ตอนนี้มี กระจายไปทุกภาค แต่ละแห่ง แต่ละที่ล้วนแล้วแต่เจ้าของศึกษา ทดลองจนสำ เร็จมาแล้วทั้งสิ้น โชคดีที่คนเหล่านี้ ไม่ได้เก็บองค์ ความรู้ทั้งกลายไว้กับตัว กลับพร้อมถ่ายทอด เปิดโอกาสให้คน อื่นเข้าไปดู ไปศึกษา ไปทดลองทำ ได้ ลองเสิร์ชหาในกูเกิลดูก็ได้ ครับ มีเพียบเลย ท่านจะได้ไอเดียใหม่ๆมาเสริมเพิ่มในพื้นที่ของ ท่าน สำ หรับครั้งนี้ เพื่อเป็นมงคลกับคอลัมน์ใหม่ ผมอยากชวน พี่น้องเกษตรรไปดูพื้นที่หนึ่งครับ เป็นโครงการพระราชดำ ริ ชั่ง หัวมัน ที่ บ้านหนองคอไก่ ต.เขากะปุก อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี ในปี พ.ศ.2552 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงจัดซื้อ ที่ดินจากราษฎร ด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ เนื้อที่ประมาณ 250 ไร่ บริเวณอ่างเก็บน้ำ หนองเสือ บ้านหนองคอไก่ ตำ บลเขา ชั่งหัวมัน....สิ่งที่พ่อสอน บ้านนั้นเมืองโน้น คมฉาน ตะวันฉาย...เรื่อง/ภาพ www.facebook.com/tawanyimchangweb
37 กระปุก อำ เภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า โปรดกระหม่อม ให้กองงานส่วนพระองค์ สำ นักพระราชวัง เข้า พัฒนาพื้นที่เพื่อจัดทำ เป็นโครงการทดลองด้านการเกษตรและ ทรงมีรับสั่งว่า เมื่อทำ เสร็จแล้วจะเสด็จไปทอดพระเนตรโครงการ ด้วยพระองค์เอง ซึ่งโครงการนี้มีเพื่อให้เป็นแหล่งรวบรวมพันธุ์พืชเศรษฐกิจ พืชพันธุ์ดีของอำ เภอท่ายาง และของจังหวัดเพชรบุรี เป็นแหล่ง เรียนรู้ด้านการเกษตรแก่เกษตรกรและให้ประชาชนในพื้นที่เข้ามา มีส่วนร่วมในการจัดทำ แปลงหรือมาช่วยงานพระองค์ ต้องบอกว่าโครงการช่างหัวมัน เป็นอีกโครงการพระราชดำ ริห์อีกหนึ่งโครงการที่เข้าไปพลิกฟื้น ทำ พื้นดินที่แห้งแล้ง ให้เป็น แปลงเกษตรต่างๆ พื้นที่โครงการที่มีภูเขาเตี้ยๆอยู่ด้านหนึ่ง มี การปลูกกระถินยักษ์เพื่อฟื้นสภาพป่า บนภูเขา เชิงเขากั้นฝาย เพื่อเป็นแหล่งน้ำ แล้วมีแปลงปลูกพืชต่างๆ เช่น - การผลิตพืชปลอดภัยจากสารพิษ - การสาธิตการปลูกสบู่ดำ - การปลูกข้าวสายพันธุ์ต่างๆ - แปลงศึกษาและส่งเสริมการผลิตชมพู่เพชรสายรุ้ง - แปลงศึกษาและส่งเสริมการผลิตหน่อไม้ฝรั่ง - การทำ ปุ๋ยหมัก - แปลงสาธิตสวนยางพารา - การปลูกไม้ผล พืชไร่ ที่มีทั้ง แก้วมังกร กล้วยน้ำ ว้า กล้วยหักมุก มะละกอ มะนาว ฟักทอง อ้อย มะพร้าวน้ำ หอม มะพร้าวห้าว ฯลฯ - การปลูกพืชผักต่างๆ มันเทศ กระเพรา โหระพา พริก พันธุ์ซูปเปอร์ฮอต มะเขือเทศราชินี กระเจี๊ยบเขียว วอเตอร์เครส มะระขี้นก ผักหวานบ้าน ฯลฯ และในพื้นที่โครงการมีลมโกรกอยู่ ตลอดเวลาจึงกันพื้นที่บางส่วนสร้างเป็นสวนกังหันลมผลิตไฟฟ้า เพื่อเป็นพลังงานทดแทนขนาด 50 Kw ล่าสุดที่ผมไปเยือนเมื่อ สิงหาคม 2557 เห็นว่ามีเนื้อที่ขยายเป็น 360 ไร่ เห็นมีแปลง ปลูกดาวเรือง ฟาร์ม เลี้ยงโค ผลิตน้ำ มันไบโอดีเซลไว้ใช้เองด้วย ส่วนผลิตผลในโครงการฯ เช่นผัก และผลไม้ มีการนำออก จำ หน่ายในสถานที่ต่างๆ เช่น กองงานส่วนพระองค์ (ห้องเครื่อง วังไกลกังวล และสวนจิตรดา),ร้านโกลเด้นเพลสทั้ง 5 สาขา ,ตลาดกลางการเกษตรหนองบ้วย อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี เหนือสิ่งอื่นใดไม่ใช่แค่อยากให้เข้าไปดูหรือเที่ยวชมเท่านั้น แต่เขามีการสาธิต บรรยายเพื่อจะได้เกิดแนวทางการทำ เกษตร แบบใหม่ ไม่ต้องมีพื้นที่ขนาด 250 ไร่ ไม่ต้องทำ เป็นแปลงขนาด ใหญ่ ไม่ต้องมีฝายของตัวเอง หรือไม่ต้องปลูกพืชทุกชนิดที่ใน โครงการปลูก แต่อยากให้ไปดูการจัดการแบบผสมผสาน การใช้ งานที่ดินอย่างไรให้คุ้มค่า แล้วนำ มาปรับใช้ในพื้นที่เรา แม้กระทั่ง การทำ กังหันผลิตไฟฟ้า เราก็สามารถผลิตไฟฟ้าจากลมแล้วใช้ ในฟาร์ม ในนาเราได้ โดยทำกังหันลมง่ายๆ ซึ่งบอกในนี้ท่านไม่ เห็นภาพ ผมถึงเชิญชวนให้ไปดู แล้วพี่น้องจะรู้เองว่าท่านควรทำ อย่างไร กับเหตุปัจจัยที่ท่านมีอยู่แล้ว ไปไม่ยากครับ ไปเริ่มที่ อ.ท่ายาง เพชรบุรี จะ ผ่านโครงการ ส่งน้ำ และบำ รุงรักษาเพชรบุรี ไปทางเส้นทางตำ บลท่าไม้รวก จะ ผ่านที่ทำการเขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขากระปุก-เขาตอหม้อ และผ่าน โรงเรียนบ้านทุ่งโป่ง ก็จะถึงโครงการชั่งหัวมันตามพระราชดำ ริ ระยะทางประมาณ 47 กิโลเมตร ถ้าไปเป็นหมู่คณะเขามีรถพา ดูพร้อมคนบรรยาย แต่ถ้าไป 2-3 คน จะปั่นจักรยานเที่ยว หรือ จะเดินดูก็ได้ สำ หรับการพบเจอกันครั้งแรก ขอจุดประกายแนวคิดแก่ เกษตรกรแค่นี้ก่อน ตั้งแต่เดือนหน้า ผมจะเริ่มการแนะนำ เกษตรกรเต็มรูปแบบตามที่ผมคิดไว้ พบกันครั้งหน้าครับ
38 นับเป็นความโชคดีของคนไทยที่ยังคงได้เห็นความงดงาม ของผืนดินที่ยังคง มีความอุดมสมบูรณ์ของพืชพรรณธัญญาหาร ที่กระจายไปทุกถิ่นที่ทั่วไทย แม้รูปแบบของการผลิตเกษตรจะมี การพัฒนาไปสู่ระบบอุตสาหกรรมมากขึ้น ทำ ให้ผู้ผลิตทั้งหลาย ต่างมีความคิดพัฒนาต่อยอดสิ่งต่างๆให้เกิดประโยชน์กับผู้บริโภค มากที่สุด ไม่เว้นแม้แต่แวดวงศิลปะ ความงาม ที่ไม่สามารถปฎิ เสธได้เลยว่า ผลิตภัณฑ์ต่างๆนั้นได้รับอิทธิพลมาจากสิ่งแวดล้อม รอบตัว นำ มาสร้างสรรค์ก่อให้เกิดงานศิลปะแบบธรรมชาติที่ กำลังได้รับความนิยมจากผู้เสพงานศิลป์มากขึ้น ในช่วงฤดูฝนที่ ตกลงมาอย่างไม่ขาดสาย เป็นช่วงเวลาแห่งการเก็บเกี่ยวความ สุข ความสดชื่นไว้ให้ได้นานที่สุด โดยมีกิจกรรมต่างๆที่น่าสนใจ ให้เลือกทำ มากมาย ชวนเที่ยว The solo exhibition HER Artery Post-Modern Gallery ร่วมเปิดประสบการณ์ใหม่ ในแวดวงศิลปะ ด้วยการจัดแสดงนิทรรศการศิลปะ The solo exhibition HER by Tanasan Kanakasem (ธนสาร คณะ เกษม) โดยภาพที่จัดแสดงเป็นภาพหญิงสาวหลากหลายคาแรก เตอร์กับสัตว์ต่างๆ อาทิเช่น เจ้ากระต่ายดำ เจ้าคิงคองฯลฯ เล่า ผ่านขบวนการทางศิลปะทั้ง painting drawing mini sculpture กว่า 50 ชิ้น สอดแทรกสัญลักษณ์เพื่อสื่อความหมายของ อารมณ์ความรู้สึก สัญชาตญาณ ความปรารถนาและการครอบงำ ระหว่างมนุษย์ หญิง-ชาย The solo exhibition HER by Tanasan จัดแสดงให้ชม ฟรี ถึง วันที่ 31 สิงหาคม นี้ ณ Artery Post-Modern Gallery สีลม ซอย 19 โทรศัพท์ 02 635 3133 เทศกาลล่องแก่งหินเพิง ครั้งที่ 18 ประจำ ปี 2557 ท่องเที่ยวเชิญผจญภัย กิจกรรมยอดนิยมของคนผจญภัย หัวใจสีเขียว ตลอดฤดูฝนนี้ (มิถุนายน–ตุลาคม) ณ แก่งหินเพิง อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ อำ เภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี ล่องแก่ง น้ำ ใสที่แก่งหินเพิง เป็นจุดขายหลักทางการท่องเที่ยวของจังหวัด ปราจีนบุรี ซึ่งในปีนี้กิจกรรมล่องแก่งหินเพิงสามารถเริ่มต้นท่อง เที่ยวได้ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นไป แก่งหินเพิงเป็นแก่งน้ำ ใสที่ท้าทายผู้รักธรรมชาติและการผจญภัยให้เดินทางมาทดสอบ สอบถามข้อมูลและตัวอย่างเส้นทางท่องเที่ยวได้ที่ การท่องเที่ยว แห่งประเทศไทย (ททท.) สำ นักงานนครนายก โทร. 0-3731- 2282, 0-3731-2284 เทศกาลลางสาด ลองกองหวาน จังหวัดอุตรดิตถ์ ชวนเที่ยวงาน “เทศกาลลางสาด ลองกอง หวาน และสินค้า OTOP อุตรดิตถ์ ปี 2557” จัดขึ้นระหว่างวัน ที่ 1-10 กันยายน 2557 ณ บริเวณสนามกีฬาพระยาพิชัยดาบหัก อำ เภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ เพื่อเป็นการเผยแพร่ชื่อเสียงและ ส่งเสริมการผลิตผลไม้มีคุณภาพปลอดภัย ส่งเสริมการท่องเที่ยว เชิงอนุรักษ์ และเชิงเกษตรของจังหวัด ภายในงานมีการจำ หน่าย ลางสาด ลองกอง และผลไม้อื่นๆ เช่น ทุเรียนหลงหลินลับแล สับปะรดห้วยมุ่น สินค้าหนึ่งตำ บลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ของดี จากจังหวัดอุตรดิตถ์ให้นักท่องเที่ยวได้ชมและเลือกซื้อ สอบถาม ข้อมูลเพิ่มเติม สำ นักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดอุตรดิตถ์ โทรศัพท์ 055 441 817, 055 817 713 ชิมกาแฟแก่งซอง ล่องแก่งลำ น้ำ เข็ก 2557 Agri+ Society By Madam rose
39 ขอท้าทายความกล้าของเหล่าผู้รักการผจญภัย มาร่วมค้นหา ประสบการณ์ท่องเที่ยวอันตื่นเต้นเร้าใจไปกับ เทศกาลชิมกาแฟ แก่งซอง ล่องแก่งลำ น้ำ เข็ก ประจำ ปี 2557 กับกิจกรรมล่อง แก่งสุดสนุก ณ ลำ น้ำ เข็ก (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 12 ช่วง กิโลเมตรที่ 45-43) บริเวณบ้านปากยาง อ.วังทอง จ.พิษณุโลก ระหว่างวันที่ 1 มิถุนายน–31 ตุลาคม 2557 นี้ สอบถามราย ละเอียดเพิ่มเติม ททท.สำ นักงานพิษณุโลก โทร.05 525 2742-3 หรือ ชมรมล่องแก่งพิษณุโลก โทร.08 7210 3843 ชวนประกวด ศิลปกรรมกรุงไทย ครั้งที่ 1 ธนาคารกรุงไทย จัด โครงการประกวด ศิลปกรรมกรุงไทย (Krungthai Art Awards) ครั้งที่ 1 ประจำ ปี 2557 เพื่อส่ง เสริมและสนับสนุนการสร้างสรรค์งานศิลปกรรมที่แสดงออกถึง เรื่องราวของความเป็นไทย ในมิติศิลปวัฒนธรรม สถาปัตยกรรม หัตถกรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี และวิถีชีวิตความเป็นอยู่ ภายใต้แนวคิด “กรุงไทย” ที่อุดมสมบูรณ์ด้วยงานสร้างสรรค์อัน ทรงคุณค่าและสุนทรียะ ก่อให้เกิดความสุข ความดีงาม นำ พา สังคมสู่ความเจริญรุ่งเรือง ผู้ที่สนใจ นักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชนทั่วไป ส่งผลงานประเภทจิตรกรรม ประเภทภาพ พิมพ์ และประเภทประติมากรรม เข้าร่วมประกวดได้คนละไม่ เกิน 3 ชิ้น ส่งผลงานเข้าร่วมประกวดได้ระหว่างวันที่ 12-16 พฤศจิกายน 2557 ในเวลา 9.00–16.00 น. ณ หอศิลป์กรุงไทย อาคารธนาคารกรุงไทย สาขาเยาวราช สอบถามรายละเอียดที่ โทร.0-2222-0137 เดอะคอฟฟี่บีนแอนด์ทีลีฟ ฉลองครบรอบ 2 ปี ลุ้นไปเที่ยว ไร่ชาที่ศรีลังกา ร้านกาแฟสัญชาติอเมริกัน เดอะคอฟฟี่บีนแอนด์ทีลีฟ ต้น ตำ รับคุณภาพเมล็ดกาแฟและใบชาคุณภาพพรีเมี่ยมที่ผ่านการ คัดสรรจากแหล่งปลูกกาแฟและชาที่ดีที่สุดจากทั่วทุกมุมโลก จัด งานฉลองครบรอบ 2 ปี ในประเทศไทย ด้วยแคมเปญ “2nd Year Anniversary: Experience the Finest Teas in the World” ร่วมลุ้นได้ตั้งแต่วันนี้ ถึง 15 ตุลาคม 2557 ที่ เดอะ คอฟฟี่บีนแอนด์ทีลีฟ ทุกสาขา ลุ้นสัมผัสประสบการณ์ไร่ชา ที่ เป็นหนึ่งในแหล่งปลูกชาที่ดีที่สุดในโลก “Nildalukanda” เผย เคล็ดลับคุณภาพชาเต็มใบระดับโลก เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำ ด้านชา พร้อมนมัสการพระเขี้ยวแก้ว สิ่งศักดิ์สิทธิ์หนึ่งเดียวใน โลก ณ ประเทศศรีลังกา จำ นวน 2 รางวัล รางวัลละ 2 ที่ นั่ง และ ลุ้นรับเครื่องดื่มกาแฟ และชาฟรีตลอดปี ที่เดอะคอฟ ฟี่บีนแอนด์ทีลีฟ ร่วมแชร์ประสบการณ์กับ The Coffee Bean & Tea Leafกาแฟและชาระดับพรีเมียม เพิ่มเติมได้ที่ www. coffeebeanthailand.com ชวนชิม แพนเค้กผลไม้ เมนูใหม่ที่ต้องลอง แพนเค้กหอมกรุ่นร้อนๆ ราดกับน้ำผึ้งและโยเกิร์ต พร้อมผล ไม้สดอย่าง กีวี สตรอเบอร์รี่ ยั่วยวนทั้งกลิ่นและสีสันที่หอมฉ่ำ ฟรุ้งฟริ้งไปทั่วร้าน อร่อยสุดๆพร้อมเสิร์ฟแล้ววันนี้ ที่บอนคาเฟ่ วีโน่ อาคารเมืองไทยภัทร สุทธิสารโทรศัพท์ 02-693-2212-14 ซี่โครงหมูอบสับปะรดซอสพริกไทยดำ หนึ่งในเมนู Blissful Autumn สไตล์ Audrey ที่คุณไม่ควร พลาด กับเมนูสุดพิเศษ ซี่โครงหมูอบสับปะรดซอสพริกไทยดำ ที่ คุณสามารถไปสัมผัสความอร่อยได้ที่ Kelly by Audrey ทุกสาขา สาขาเซ็นทรัลลาดพร้าว โทรศัพท์ 02 937 1090
40 อำ เภอนายูง สภาภูมิประเทศเป็นภูเขากว่าร้อยละ 80 เป็นต้นกำ เนิดของลำ ห้วยหลายสาย มีสภาพอากาศหนาวเย็น การเกษตรถือเป็นอาชีพหลักของคนที่นี่ โดยปลูกยางพาราถึงร้อย ละ 80 รายได้หลักจึงมาจากการปลูกยางพาราเพียงอย่างเดียว ต้นปี 2557 เกษตรกรชาวอำ เภอนายูงซึ่งทำการเกษตรแบบ เชิงเดี่ยวกำลังประสบปัญหา เนื่องจากราคายางพาราตกต่ำ และ มีแนวโน้มว่าราคาจะลดลงอีกอย่างต่อเนื่อง หัวเรือใหญ่อย่าง คุณ เสนีย์ จิตตเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี จึงใช้ประสบการณ์ ที่เคยปฏิบัติงานในพื้นที่ภาคเหนือมาปรับประยุกต์ แก้ปัญหา ให้คนในพื้นที่ ด้วยมีภูมิประเทศ ภูมิอากาศเหมาะสม และมี การปลูกกาแฟกันอยู่บ้าง จึงคิดหาแนวทางส่งเสริมให้เกษตรกร ปลูกกาแฟ และพืชเมืองหนาว เพื่อลดพื้นที่ปลูกยางพารา และ เป็นการส่งเสริมอาชีพให้แก่ราษฎรในอำ เภอนายูง อีกทั้งยังเป็น อาชีพเสริมรองรับการเปลี่ยนแปลงแก้ไขปัญหาราคายางพารา ตกต่ำ ในอนาคต “เดิมทีในพื้นที่นี้ปลูกกาแฟตากขายให้โรงสีในจังหวัดเลย หรือไม่ก็รวมกันไปขายไกลถึงจังหวัดชุมพร และเป็นที่ทราบกันดี ว่าราคาจำ หน่ายมักหนีไม่พ้นกลไกการตลาด ขึ้น-ลงไม่แน่นอน ถูกกดราคาก็มี เราจึงมีแนวคิดว่าควรทำ การแปรรูปเพื่อเก็บ รักษาหรือจำ หน่าย เนื่องจากมีเสถียรภาพด้านราคาสูงกว่า และ จากการสำ รวจเกษตรกรชาวสวนยางทุกหลังคาเรือนจะมีการดื่ม กาแฟเป็นประจำ จำ นวนมาก เฉลี่ยถึงครอบครัวละ 5 แก้วต่อ วัน” ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานีกล่าว และนับเป็นความโชคดีของราษฎรในพื้นที่นี้ ที่ได้นักพัฒนา บ้านเมืองตัวยงอย่างนายสุวิชาญ ไชยโกมล นายอำ เภอนายูง รวม ทั้งข้าราชการฝีมือดีอย่างนายธวัชชัย บัวทองหลาง นักวิชาการ ส่งเสริมการเกษตรชำ นาญการ ผู้มากด้วยประสบการณ์ในการ ทำ งานร่วมกับเกษตรกรและรู้จักพื้นที่อำ เภอนายูงเป็นอย่างดี ร่วมด้วย เกษตรตำ บลคนขยันของสำ นักงานเกษตรอำ เภอนายูง อย่างนายธงชัย พรหมศร นักวิชาการส่งเสริมการเกษตรปฏิบัติ การ ที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักร่วมกันกับชาวบ้านและผู้นำ ชุมชน ส่งเสริม ฟื้นฟูให้มีการผลิตและแปรรูปกาแฟในพื้นที่ภาคอีสาน แห่งนี้ เพียงแค่เริ่มต้นทำ ความเข้าใจและประชาสัมพันธ์กับ เกษตรกรในพื้นที่ ก็มีเกษตรกรกว่า 200 รายสนใจสมัครมาเข้า ร่วมโครงการปลูกกาแฟ “จึงทำการคัดเลือกเกษตรกร จำ นวน 60 ราย ไปศึกษาดูงานยังจังหวัดน่าน ณ หมู่บ้านมณีพฤกษ์ เรียนรู้ การปลูกกาแฟและการแปรรูปเบื้องต้น กับมิสเตอร์เคเลฟ ชาว อเมริกันที่มาตั้งรกรากพาชาวเขาปลูกกาแฟและแปรรูป(คั่ว) ซึ่ง เคยส่งประกวดระดับประเทศ และระดับโลกจนได้รางวัลมากมาย และไปดูงานวิสาหกิจชุมชนสวนยาหลวง วิสาหกิจชุมชนกาแฟ ของชาวเขาที่ทำ รายได้หลายสิบล้านบาทต่อปี” นายอำ เภอนา ยูงกล่าว ด้วยมิติใหม่ของระบบการทำ งานส่งเสริมการเกษตรใน พื้นที่รูปแบบ MRCF ที่ท่านโอฬาร พิทักษ์ อธิบดีกรมส่งเสริม การเกษตรมอบให้เจ้าหน้าที่ใช้เป็นเครื่องมือในระบบการทำ งาน ทำ ให้นักส่งเสริมการเกษตรสามารถทำ งานได้อย่างมืออาชีพ กาแฟนายูง แบรนด์ดังนายูง
41 “เริ่มตั้งแต่การลงพื้นที่สำ รวจหาพื้นที่แปลงปลูกที่เหมาะสม (Zoning) ร่วมกับชาวบ้าน เก็บตัวอย่างดินมาวิเคราะห์ แล้ว แนะนำ การปลูก ที่ถึงแม้ว่าประสบการณ์เกี่ยวกับกาแฟและ การแปรรูปที่ไปดูงานมาเป็นเพียงในช่วงเวลาอันสั้น แต่ไม่ถือ อุปสรรคสำ หรับนักส่งเสริมการเกษตรที่จะต้องหาข้อมูลเพิ่มเติม ทั้งค้นคว้าจากเอกสารวิชาการ สอบถามผู้รู้ ผ่านช่องทางการ สื่อสารในยุคโลกไร้พรมแดนอย่างคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน และ อินเตอร์เน็ต” นายธวัชชัย บัวทองหลาง นักส่งเสริมการเกษตร คนเก่งของอำ เภอนายูงกล่าว และด้วยความเชื่อมั่นที่มีให้กับนักส่งเสริมการเกษตรในพื้นที่ ที่จะช่วยแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน จึงไม่ยากนัก ที่จะได้รับงบประมาณสนับสนุนจากจังหวัดอุดรธานี ประกอบ กับได้รับการสนับสนุนวิทยากรจากจังหวัดเลย ศูนย์หม่อมไหม เฉลิมพระเกียรติจังหวัดอุดรธานี ปราชญ์ชาวบ้านอำ เภอนายูง เกษตรจังหวัดอุดรธานี เกิดการบูรณาการทำ งานร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรม ส่งเสริม การปลูกกาแฟพันธุ์อาราบิก้า และโรบัสต้า รวมทั้งปลูกมัลเบอรี่ สตรอร์เบอร์รี่ ไม้ดอกไม้ประดับ และพืชเมืองหนาว ผลักดันให้ พื้นที่ภาคอีสานแห่งนี้ กลายเป็นทั้งแหล่งผลิต แปรรูป จำ หน่าย และเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร ครบวงจรอย่างยั่งยืน โดย จัดทำ แปลงสาธิต โรงสี โรงคั่ว ในพื้นที่บริเวณสำ นักงานเกษตร อำ เภอนายูง ให้กลายเป็นแหล่งดูงานของเกษตรกรและผู้สนใจ ทั่วไป การส่งเสริมให้เกษตรกรเกิดการรวมกลุ่มถือเป็นหัวใจสำคัญ ของงานส่งเสริมการเกษตร จากเกษตรกรที่เคยเป็นเพียงผู้ผลิต ถูกกระตุ้นโดยพาไปศึกษาดูงานกับโรงคั่วกาแฟที่จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นที่ปรึกษาสร้างแบรนด์ให้กับธุรกิจกาแฟ ต่างๆ มาแล้วมากมาย ช่วยจุดประกายให้เกิดผลิตภัณฑ์และ แบรนด์สัญลักษณ์ของวิสาหกิจกาแฟนายูงเอง เกิดเป็นกาแฟแบรนด์ไทย ชื่อ “Nayung Coffee” หรือ “กาแฟนายูง” ที่ผลิตกาแฟคั่วทั้งเม็ดและบด มี 4 สูตร คือ Nayung Extra, Nayung Premium, Nayung Special Blend และ Nayung Drip Bag ซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญการผลิตกาแฟระดับ ประเทศเป็นที่ปรึกษาจึงมั่นใจได้ทั้งในเรื่องคุณภาพ และความ ปลอดภัย เกษตรกรผู้สมัครมาร่วมปลูกและผลิตกาแฟ ที่มีความ ชำ นาญในการบริหารจัดการ ทั้งเรื่องบัญชี และระเบียบการจด ทะเบียน จากกลุ่มวิสาหกิจยางพารา ก็ถูกคัดเลือกให้เข้ามาร่วม ดำ เนินการในกลุ่มผู้ปลูกกาแฟอำ เภอนายูง ทำการประชาสัมพันธ์ เปิดรับสมัครสมาชิก ระดมหุ้น และจัดหาแหล่งทุน เพื่อต่อยอด การดำ เนินกิจการจากงบพัฒนาจังหวัดที่ได้ “วิสาหกิจชุมชนกาแฟนายูง” จึงเป็นจุดเริ่มต้นของ ผลิตภัณฑ์ “กาแฟนายูง” เริ่มผลิตและจำ หน่ายให้กับคนใน ชุมชน ตามร้านกาแฟสดในท้องที่ และยังผลิตกาแฟตามสูตรที่ ร้านกาแฟสดต้องการด้วย โดยมีแนวโน้มว่าได้รับความนิยมเพิ่ม ขึ้น มียอดสั่งซื้ออย่างต่อเนื่องจนบางครั้งผลิตไม่ทันตามความ ต้องการของตลาด” แต่เชื่อว่าไม่เกินความสามารถของนักส่งเสริมการเกษตรใน พื้นที่ เพราะขณะนี้มีแผนดำ เนินการเพิ่มขีดความสามารถของ การแปรรูป การบรรจุ การขอรับรองมาตรฐานต่างๆ และผลิต กาแฟชนิด 3 in 1 รวมถึงเข้าไปถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตร ให้เกษตรกรสามารถดำ เนินงานได้เองอย่างครบวงจรตั้งแต่ปลูก ไปจนถึงแปรรูปเพื่อจำ หน่ายในรูปของกลุ่มอย่างยั่งยืน โดยจะใช้มนต์เสน่ห์ความสวยงามของวัดป่าภูก้อน 1 ใน 10 สถานที่ท่องเที่ยวในฝัน ที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวมาสู่อำ เภอนายูง นำ ทางมาสู่การท่องเที่ยวเชิงนิเวศในพื้นที่แห่งนี้ โดยจะปลูกทั้งส ตอร์เบอร์รี่ และดอกไม้เมืองหนาวและพืชอื่นๆ ตามตามฤดูกาล ไว้ต้อนรับการมาเยือนของนักท่องเที่ยว ที่สำ คัญ ทุกภาคส่วนกำ ลังจะร่วมกันผลักดันให้สินค้าที่มี อยู่แล้วในท้องถิ่นถูกพัฒนาให้มาขายเคียงคู่กับกาแฟ ภายใต้ สัญลักษณ์แบรนด์เดียวกัน คือ “Nayung Coffee” ไม่ว่าจะเป็น ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นอย่างกล้วยตาก กล้วยอบ กล้วยทอด งานไม้ แกะสลัก บูธกาแฟ โต๊ะ-เก้าอี้จากไม้ยางพาราอายุมาก หรือจะ เป็นของที่ระลึก เช่น แก้วกาแฟ และเสื้อสกรีนลาย เป็นต้น นำ มาซึ่งอาชีพเสริมสร้างรายได้ให้คนในชุมชนอย่างต่อเนื่อง “Nayung Coffee” หรือ กาแฟนายูง จะกลายเป็นผลิต ภัณธ์แบรนด์อุดรธานี อันเกิดจากความร่วมมือร่วมใจระหว่าง หน่วยงานภาครัฐกับประชาชน ให้ชุมชนอยู่ได้อย่างยั่งยืนในที่สุด ทั้งนี้ผู้สนใจสามารถติดต่อขอทราบข้อมูลเพิ่มเติม หรือศึกษาดู งานได้ที่ สำ นักงานเกษตรอำ เภอนายูง ตำ บลบ้านก้อง อำ เภอนา ยูง จังหวัดอุดรธานี โทร 0-4213-2525 หรือ 08-7215-5757
42 ในขณะที่สังคมเมืองกำ ลังตื่นตัวเรื่องการเปลี่ยนถ่ายของ เทคโนโลยีโทรศัพท์มือถือยุคที่ 3 หรือ 3G และกำลังจะก้าว ผ่านมาสู่ยุค 4G และอีกชื่อหนึ่งที่เรียกกันว่า LTE-Long Term Evolution ที่จะทำ ให้โทรศัพท์มือถือแบบธรรมดาที่เคยใช้ได้เพียง การพูดคุย กลายมาเป็นเครื่องมือในการสื่อสารผ่านการแชท แชร์ และส่งไฟล์รูปภาพและวิดีโอผ่านสังคมเครือข่าย เพื่อแลก เปลี่ยนเรื่องราวระหว่างกันและกัน ทำ ให้อุปกรณ์พกพาชิ้นเล็กๆ สามารถสร้างประโยชน์ได้มากขึ้น แล้วเกษตรกรผู้ผลิตอย่างเราล่ะจะใช้ประโยชน์จาก เทคโนโลยีนี้ได้อย่างไร ...ก่อนอื่นถ้าไม่ถนัดที่จะใช้มือถือเหล่า นี้มาแชท หรือแชร์ ก็ลองหันมาใช้ประโยชน์ในด้านอื่นๆ กันดู เพราะในเทคโนโลยีที่ว่านี้มีสิ่งหนึ่งที่สร้างประโยชน์ให้กับเราโดย คาดไม่ถึงนั่นคือ การใช้แอปพลิเคชันที่บรรจุอยู่ในโทรศัพท์มือถือ เพียงแค่คลิ๊กเดียวก็สามารถเข้าถึงสิ่งที่เราต้องการรู้ หรือต้องการ ที่จะทำ ได้โดยที่ไม่ต้องวุ่นวายกันแล้ว แอปพลิเคชันที่ว่านี้อาจจะต้องเข้าไปดาวน์โหลดกันมาจาก Google Play สำ หรับมือถือที่ใช้ระบบปฏิบัติการณ์แอนดรอย์ หรือคลังแอปของ iOS ของโทรศัพท์แบรนด์แอปเปิล ซึ่งมีแอป พลิเคชันฟรีให้เลือกหลายตัวเลยทีเดียว และแอปส่วนใหญ่นี้จะ ฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายในการดาวน์โหลด ซึ่งสามารถใช้งานได้กับมือ ถือที่เป็นสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต สำ หรับแอปที่กำ ลังจะแนะนำ กันในวันนี้คือ แอปที่ชื่อว่า “Farmer Info” ที่แม้จะจำกัดอยู่แค่ระบบมือถือของดีแทค แต่ ก็นับว่าเป็นแอปดีมีประโยชน์ที่มองข้ามไปไม่ได้เลย เพราะแอป “Farmer Info” นี้เป็นการต่อยอดจากบริการ SMS *1677 บริการทางด่วนข้อมูลการเกษตร ที่นอกจากจะช่วยกระจายความ รู้สู่เครือข่ายเกษตรกรทั่วประเทศแบบเรียลไทม์แล้ว ยังช่วยให้ เกษตรกรที่ไอเดียบรรเจิดนำ ความรู้เหล่านี้มาลดรายจ่ายและ เพิ่มรายได้ อีกด้วย Farmer Info นี้ นอกจากจะใช้เทคโนโลยีการสื่อสารยุค ใหม่ ยังประกอบไปด้วยความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อเกษตรกร โดย มีแหล่งข้อมูลมาจากมูลนิธิร่วมด้วยช่วยกันสำ นึกรักบ้านเกิด และ การสื่อสารจากสถานีวิทยุร่วมด้วยช่วยกัน ซึ่งเนื้อหาที่มีอยู่นั้นจะ รวบรวมมาจากเครือข่ายเกษตรกรระดับภูมิปัญญาทั่วประเทศ ที่ ได้มีการทำวิจัย สำรวจ และประมวลผลข้อมูลที่เกษตรกรต้องการ นำ มาเผยแพร่ให้ได้รับรู้กัน นอกจากนี้ ยังมีการรวบรวมความเคลื่อนไหวของราคาสินค้า ทางการเกษตรแบบวันต่อวัน ช่วยให้เกษตรกรสามารถตรวจสอบ และเปรียบเทียบราคาสินค้าได้ทุกวันจากแหล่งรับซื้อทั่วประเทศ ก่อนนำ ไปขายเพื่อให้ได้ราคาสูงสุดโดยในแอปนี้จะประกอบไป เรียนรู้สู่เกษตรกรยุคใหม่ ทันสมัยด้วยแอปพลิเคชัน
43 มกอช. อินเทรนด์ เปิดแอพลิเคชั่น “Q เรสเตอรองค์” ให้ผู้ บริโภคยุคใหม่ค้นหาที่ตั้งร้านอาหาร Q ผ่านสมาร์ทโฟน-เว็บไซต์ อิ่มอร่อยอาหารปลอดภัยต่อสุขภาพกว่า 1,245 ร้านค้า นางสาวดุจเดือน ศศะนาวิน รองเลขาธิการสำ นักงาน มาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) เปิดเผยกับ อะกรี พลัส ว่า จากการที่ มกอช.ได้บูรณาการร่วมกับสำ นักงาน เกษตรและสหกรณ์จังหวัดขับเคลื่อนโครงการร้านอาหารวัตถุดิบ ปลอดภัยเลือกใช้สินค้า Q หรือ คิวเรสเตอรองค์ (Q Restaurant) มาตั้งแต่ปี 2553 ปัจจุบันมีร้านอาหาร Q Restaurant จำ นวน 1,245 ร้านทั่วประเทศ เป็นร้านอาหารที่ไม่มีสาขา 858 แห่ง และร้านอาหารประเภทหลายสาขา 387 แห่ง ถือเป็นจุดขาย สำคัญของร้านอาหารยุคใหม่ใส่ใจสุขภาพ ขณะนี้ มกอช.ได้จัดทำ แอพลิเคชั่นคิวเรสเตอรองค์ (Q Restaurant Application) เพื่อ ให้ผู้บริโภคสามารถค้นหาสถานที่ตั้งร้านอาหาร Q Restaurant ผ่านสมาร์ทโฟนโดยใช้ Q Restaurant Application หรือผ่าน เว็บไซต์ www.qrestaurant.acfs.go.th เพื่อเพิ่มความสะดวกให้ ผู้บริโภคได้อิ่มอร่อยกับอาหารที่ปลอดภัยต่อสุขภาพ “ยุคข้อมูลข่าวสารมีการแข่งขันสูง และสื่อสังคมออนไลน์ มีบทบาทในชีวิตประจำ วันมากขึ้น มกอช.จึงได้เพิ่มช่องทางใน การเข้าถึงข้อมูลให้กับผู้บริโภค จัดทำ เว็บไซต์และแนะนำ ร้าน อาหารผ่านโปรแกรม Q Restaurant Application บนสมาร์ท โฟน ทั้งในระบบ Android และระบบ ios และยังเชื่อมโยง Q Restaurant กับการท่องเที่ยว และปีนี้คาดว่าจะมีร้านอาหาร Q Restaurant จำ นวน 1,620 ร้านค้า และมีแผนตรวจติดตามเป็น ประจำ ทุกปี” นางสาวดุจเดือนกล่าว แอพฯ “Q เรสเตอรองค์” อิ่มอร่อย ปลอดภัย ด้วยข้อมูลอาทิ ราคารับซื้อ ที่จะทำ ให้เกษตรกรสามารถ ตรวจสอบและ เปรียบเทียบราคาสินค้าได้ทุกวัน จากแหล่งรับซื้อสินค้าทั่ว ประเทศไทย ก่อนที่จะนำ ไปขายเพื่อให้ได้ราคาที่ดีที่สุด และได้ รับผลประโยชน์สูงสุดจากแหล่งรับซื้อนั้นๆ ราคาตลาดสด เป็นราคาตรวจสอบและเปรียบเทียบราคา สินค้า ทั้งอาหารสดและอาหารแห้งได้ทุกวัน จาก 6 ตลาดชั้น นำ ในกรุงเทพ ได้แก่ ตลาดสี่มุมเมือง ตลาดยิ่งเจริญ ตลาดสาม ย่าน ตลาดบางกะปิ ตลาดเยาวราช และตลาดคลองเตย ข่าวสาร รวบรวมข้อมูลข่าวสารและเกร็ดความรู้ที่เป็น ประโยชน์ ได้แก่ ข่าวแวดวงการเกษตร : ผู้ใช้งานได้รับข้อมูล ข่าวสารและเกร็ดความรู้ที่เป็นประโยชน์จาก www.rakbankerd. com ข่าว INN : ผู้ใช้งานได้รับข่าวเด่นประเด็นร้อนแบบฉับไว ทันทุกความเคลื่อนไหว รับรู้ก่อนใครจากสำ นักข่าวไอ.เอ็น.เอ็น. ข่าวศิลปะ : ผู้ใช้งานได้รับข่าวสาร ความรู้ เรื่องราวต่างๆ ใน วงการศิลปะจากศิลปินชื่อดังของประเทศไทย รวมถึงการนำ ภาพ ศิลปะที่สวยงามหาดูได้ยากมาไว้ในแอปพลิเคชันนี้ เกร็ดความรู้ ดูข้อมูลสาระน่ารู้ที่เป็นประโยชน์ผ่านคลิปวิดีโอ ภูมิปัญญาเกษตรกรไทยโดยปราชญ์ชาวบ้าน อาทิ เทคนิคเคล็ด ลับน่ารู้ด้านการเกษตร เป็นต้น คลัง SMS แหล่งสืบค้นข้อมูล-ข่าวเกษตร ข่าวสถานการณ์ ทั่วไป ซึ่งเป็นการรวบรวมข้อมูล SMS จาก *1677 ทางด่วน ข้อมูลการเกษตร เพื่อเพิ่มความสะดวกแก่ผู้ใช้งานในการค้นหา ข้อมูล ข่าวสาร สาระน่ารู้ที่เป็นประโยชน์ และเลือกอ่านย้อน หลังได้ถึง 7 วันตามความสนใจได้ตลอด 24 ชม. พร้อมลิงค์ เชื่อมต่อข้อมูลข่าวสารการเกษตร แต่ทั้งนี้หากเกษตรกรยังไม่ได้มีโทรศัพท์มือถือที่รองรับ 3G แล้วใช้ดีแทคอยู่ก็ขอแนะนำ ให้ลองใช้เทคโนโลยีที่เราคุ้นเคยอย่าง SMS กันไปก่อน โดยสามารถสมัครได้ที่ *1677 ทางด่วนข้อมูล การเกษตรที่ให้บริการฟรีสำ หรับลูกค้าดีแทคและแฮปปี้ ที่จะมี เนื้อหาให้เลือกกันตามสายงานเกษตรที่เกี่ยวข้องกันอยู่ เพื่อให้ ได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารแบบวันต่อวัน นอกจากนี้ยังจะสามารถโทร กลับไปสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้อีกด้วย สำ หรับผู้ที่ต้องการจะใช้งานแอปแบบเต็มตาและคิดว่า สมาร์ทโฟนไม่สามารถตอบสนองได้เพราะหน้าจอเล็กเกินไป ขอ แนะนำ ให้เลือกใช้แท็บเล็ตแทน ซึ่งในปัจจุบันมีให้เลือกมากมาย หลายแบรนด์ และควรเลือกแบรนด์ที่รองรับการใช้งานซิมการ์ด มีศูนย์บริการครอบคลุม มีบริการหลังการขายที่ดี เพราะใน ปัจจุบันมีให้เลือกมากมายหลายแบรนด์ และราคาไม่แพงนัก เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่หลายคนอาจจะมองว่ามันไร้ประโยชน์ ไกลตัวเกินไป แต่ในเมื่อเทคโนโลยีใหม่ๆ มาเคาะประตูถึงหน้า บ้านกันแล้ว หากไม่นำ มาใช้ให้เป็นประโยชน์ก็คงจะเสียดาย โอกาสดีๆ ที่กำลังจะมีเข้ามา ทั้งนี้การจะใช้งานเทคโนโลยีนั้น ในปัจจุบันไม่ใช่เรื่องยากเย็นนัก เพราะนักพัฒนาต่างทำ ให้ง่าย มากขึ้น ใครๆ ก็ใช้ได้ โดยเฉพาะการเข้าใช้งานแอปพลิเคชัน ที่ เพียงกดเข้าไปไม่กี่คลิ๊กก็สามารถเข้าถึงสิ่งที่ต้องการแล้ว ...แล้ว เราจะรออะไรกันอยู่
44 จบไปแล้วกับงาน Horti ASIA 2014 งานแสดงเทคโนโลยี และนวัตกรรมด้านพืชสวน ที่ถูกจัดขึ้น ระหว่างวันที่ 8–10 พฤษภาคม 2557 โดยมีต้นแบบจากงาน Horti Fair ที่ประเทศ เนเธอร์แลนด์ ประกอบด้วยคูหาแสดงวัสดุ อุปกรณ์ และ เทคโนโลยี รวมถึงนวัตกรรม จากนานาประเทศมาจัดแสดง อาทิ เนเธอร์แลนด์ ไต้หวัน จีน แยอรมัน และ เกาหลี โดยเทคโนโลยี ต่างๆ จะเหมาะสมกับการปลูกพืชในเขตเมืองร้อน (Tropical Zone) และมีกลุ่มผู้เข้าชมงาน เช่น เกษตรกร ชาวสวน นัก วิชาการ นักลงทุนด้านการเกษตร ผู้ค้าวัสดุ อุปกรณ์ และเคมี เกษตร รวมถึงเจ้าหน้าที่ภาครัฐ และชาวต่างชาติ รวมแล้ว ทั้งหมดราว 5,000 คนเข้าร่วมงาน นางลัดดา มงคลชัยวิวัฒน์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท วีเอ็นยู เอ็กซิบิชั่นส์ เอเชีย แปซิฟิค จำกัด เปิดเผยกับ อะกรี พลัสว่า งาน Horti ASIA ได้รับการสนับสนุนด้วยดีจากหลายหน่วยงาน ทั้งภาครัฐและเอกชน ด้วยความมุ่งมั่นที่จะผลักดันให้ประเทศไทย เป็นศูนย์กลางด้านพืชพรรณ ผัก ผลไม้ ดอกไม้ และกล้วยไม้ ของอาเซียน และภูมิภาคเอเชียตามลำดับ โดยที่ผ่านมา เรา ได้จัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์เพื่อดึงผู้ประกอบการ และผู้ซื้อ จากกลุ่มเป้าหมายในหลายประเทศ อาทิ ไต้หวัน เวียดนาม อินโดนีเซีย พม่า จีน และเรายังลงพื้นที่จัดกิจกรรมสัญจรตาม ภูมิภาคต่างๆ ของประเทศไทย โดยจัดสัมมนาใน 4 จังหวัด คือ นครศรีธรรมราช ราชบุรี เชียงใหม่ และอุดรธานี เพื่อศึกษาและ ทำความเข้าใจถึงวิธีการจัดการเพาะปลูก ปัญหา อุปสรรค และ ความต้องการของเกษตรกร ชาวสวน ในแต่ละภูมิภาค รวมถึง ผู้ค้าและกลุ่มนักลงทุนในปัจจุบัน และนำ มาพัฒนาการจัดงาน Horti ASIA 2014 ให้เหมาะสม และมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น “ในปีหน้าว่า บริษัทวีเอ็นยูฯ จะจัด AGRI Food Business Week Asia ระหว่างวันที่ 11–19 มีนาคม 2558 ณ ศูนย์ นิทรรศการและการประชุมไบเทค โดยมีงานแสดงเทคโนโลยีและ สัมมนา ถึง 3 งาน คือ VIV Asia งานแสดงสินค้าและสัมมนา ด้านปศุสัตว์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ระหว่างวันที่ 11–13 มีนาคม 2558, Horti ASIA งานแสดงเทคโนโลยี และนวัตกรรม ด้าน พืชพรรณ ผัก ผลไม้ ดอกไม้ และกล้วยไม้ แห่งภูมิภาคเอเชีย และ AGRI – ASIA 2015 งานแสดงเทคโนโลยี และนวัตกรรม ด้านเครื่องจักรกลการเกษตร แห่งภูมิภาคเอเชีย ระหว่างวันที่ 17–19 มีนาคม 2558 โดยบริษัทวีเอ็นยูฯ คาดว่าทั้ง 3 งาน จะเป็นงานแสดงเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านเกษตร – ปศุสัตว์ ที่จะช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมและพัฒนาองค์ความรู้ให้กับนัก ธุรกิจที่เข้าร่วมงานไปจนถึงการยกระดับเกษตรกรไทยสู่สากล ” นางลัดดา กล่าวเสริม เก็บตก Horti ASIA 2014 นวัตกรรมพืชสวนอัจฉริยะ
45 สมาคมการค้าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และ บริษัท วีเอ็น ยู เอ็กซิบิชั่นส์ เอเชีย แปซิฟิค จำกัด กำ หนดจัดงาน THAILAND LAB 2014 งานแสดงสินค้าและงานประชุมนานาชาติ ด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม เครื่องมือและห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ครั้งที่ 4 ระหว่างวันที่ 17-19 กันยายน 2557 ณ ฮอล์ 101-102 ไบเทค บางนา บนพื้นที่แสดงงกว่า 4,000 ตารางเมตร เพื่อนำ เสนอเทคโนโลยีและเครื่องมือและบริการสำ หรับห้อง ปฏิบัติการทางิวทยาศาสตร์ พร้อมเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความรู้และ เทคโนโลยี ด้านเครื่องมือวิเคราะห์ เคมีภัณฑ์ ความปลอดภัยในห้อง ปฏิบัติการ ตลอดจน การลงทุนด้านเครื่องมือเพื่อการปรับปรุงงาน วิเคราะห์ตรวจสอบ วิจัยและพัฒนา สำ หรับห้องปฏิบัติการทุกรูปแบบ เหมาะสำ หรับกลุ่มนักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ อาจารย์ นิสิต นักศึกษา และผู้ปฏิบัติงานด้านการวิคราะห์และตรวจสอบในสาย วิทยาศาสตร์ เภสัชศาสตร์ การแพทย์และสาธารณสุข เทคนิคการ แพทย์ สัตวแพทย์ พันธุศาสตร์ พฤกษศาสตร์ วนศาสตร์ การเกษตร และประมง เคมีปฏิบัติ จุลชีววิทยา ธรณีวิทยา อาชญาวิทยา มาตร วิทยา ฯลฯ ตลอดจน บุคลากรในห้องปฏิบัติการและฝ่ายบริหารจาก ฝ่ายจัดซื้อ การตลาด การผลิตและตรวจสอบคุณภาพสินค้า ในทุกภาค ส่วนอุตสาหกรรม อาทิ อาหารและยา เครื่องสำอางค์ สาธารณสุข พลังงานและสิ่งแวดล้อม เคมีและ เทคโนโลยีชีวภาพ เกษตรกรรมและ เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ อุตสาหกรรมยางและกระดาษ การเคลือบและชุบสี รถยนต์ การทหาร อุตสาหกรรมการผลิตและแปรรูป ฯลฯ โดยคาด ว่าจะมีผู้ชมงานกว่า 6,500 คนจาก 40 ประเทศทั่วโลก ภายใต้แนวคิด มิติใหม่แห่งนวัตกรรมห้องแล็บ สู่คุณภาพงาน วิจัยและธุรกิจ ประกอบด้วย ผู้ประกอบการชั้นนำกว่า 200 บริษัท จำ นวนรวมกว่า 900 แบรนด์สินค้า จาก 20 ประเทศทั่วโลก และ งานประชุมสัมมนาจากผู้ทรงคุณวุฒิ ทั้งในและต่างประเทศ กว่า 100 หัวข้อ พร้อมยกระดับกลุ่มเทคโนโลยีเครื่องมือแล็บเป็นพาวิลเลี่ยน เฉพาะด้าน และกิจกรรมต่างๆ ดังนี้ • LIFE Sciences Asia ส่วนเเสดงเทคโนโลยี นวัตกรรมด้าน เครื่องมือแล็บสำ หรับชีววิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีชีวภาพ ในกลุ่ม อุตสาหกรรมยาและอาหาร เครื่องสำ อางค์ การเกษตร ยางและ ปิโตรเคมี อุตสาหกรรมการผลิตและแปรรูปต่างๆ • LAB Safety Asia ส่วนเเสดงเทคโนโลยี นวัตกรรมด้าน เครื่องมือ บริการและระบบการจัดการและ การก่อสร้างห้องแล็บ เพื่อ สุขภาพและความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงานและสิ่งแวดล้อม • LAB Chem Asia ส่วนเเสดงเทคโนโลยี นวัตกรรมด้าน เครื่องมือ สารเคมีและบริการทางด้านห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ สำ หรับกลุ่มเคมี สารประกอบ สารเลี้ยงเชื้อ ชีวเคมี ฯลฯ • BIO Investment Asia & Biotech Outlet ส่วนเเสดงผล งานวิจัยเพื่อต่อยอดเชิงพาณิชย์ และการเจรจาหาหุ้นส่วนทางธุรกิจ ด้านเทคโนโลยีชีวภาพและชีววิทยาศาสตร์ • International Pavilion ส่วนแสดงเทคโนโลยีและเครื่องมือ แล็บโดยบริษัทชั้นนำจากต่างประเทศ • Metrology Pavilion บริการให้คำ ปรึกษาด้านการวัด วิเคราะห์ ทดสอบ และสอบเทียบ สาขาต่างๆ โดยผู้เชี่ยวชาญจาก สถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ และห้องปฏิบัติการวิเคราะห์ ทดสอบ สอบเทียบ ที่ได้รับการรับรองความสามารถห้องปฏิบัติการตาม มาตรฐาน ISO/IEC 17025 • NFI Pavilion ส่วนแสดงมาตรฐานห้องปฏิบัติการด้านอาหาร โดยสถาบันอาหาร • Product Innovation Zone by NSTDA ส่วนแสดงผล งานวิจัยเชิงพาณิชย์ และเทคโนโลยีพร้อมถ่ายทอดเพื่อต่อยอดทาง ธุรกิจ โดย สวทช • Chemical Safety LAB-Green Laboratory ส่วนสาธิตและ การจำลองห้องปฏิบัติการสีเขียว พร้อมการออกแบบอาคารและห้อง ปฏิบัติการเพื่อสุขภาพและความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงานในห้องแล็บ • Business Matching Program การนัดหมายทางธุรกิจเพื่อ อำ นวยความสะดวกให้ฝ่ายจัดซื้อ หรือฝ่ายจัดการโครงการ ตลอดจน หน่วยงานธุรกิจต่างๆ สามารถเจรจาสอบเทียบราคาและเทคโนโลยี จากผู้ประกอบการทั้งในและต่างประเทศได้โดยตรง พร้อมสร้าง โอกาสทางการค้าในรูปแบบต่างๆ ผ่านระบบนัดหมายออนไลน์ล่วง หน้าก่อน 7 กันยายน 2557 ที่ www.thailandlab.com • LAB Conferences & Symposium เปิดมุมมองทางวิชาการ สู่ห้องปฏิบัติการเชิงประยุกต์และต่อยอดทางธุรกิจ โดยผู้เชี่ยวชาญ ชั้นนำ ทั้งในและต่างประเทศ อาทิ การประชุมนานาชาติด้าน เทคโนโลยีชีวภาพครั้งที่ 2 การสัมมนานานาชาติด้านชีววิทยาศาสตร์ การประชุมนานาชาติด้านเทคนิคการแพทย์และระบบคุณภาพ การ ประชุมด้านไวรัสวิทยาและโรคระบาดตามฤดูกาล การประชุม ระหว่างประเทศด้านความปลอดภัยในห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ การสัมมนาเชิงปฏิบัติการมาตรวิทยา การสัมมนาเชิงปฏิบัติการด้าน การพัฒนาเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ เชิงยั่งยืน การประชุมนานาชาติด้านห้อง ปฏิบัติการอ้างอิงอาเซียนด้านวัสดุสัมผัสอาหาร การสัมมนาด้านการ เพิ่มมูลค่าและการเสริมสร้างความปลอดภัยในอาหาร ฯลฯ ผู้สนใจชมงาน สามารถลงทะเบียนชมงานล่วงหน้า โดยไม่เสีย ค่าใช้จ่าย และสำ รองที่นั่งร่วมฟังสัมมนา www.thailandlab.com คุณวันวิสาข์ วงศ์กาสิทธิ์ โทร. 026700900 ต่อ 209 โทรสาร 026700908 อีเมล์ [email protected] Thailand LAB 2014
46 Wednesday September 17, 2014 Thursday September 18, 2014 Friday September 19, 2014 MR 213 (Max. 70 Seats) Conference sponsored by Science Tech (Invited Only) Conference sponsored by Science Tech (Invited Only) The Virology Association & The Biosafety Association สมาคมไวรัสวิทยา & สมาคมชีวนิรภัย (ประเทศไทย) MR 214 (Max. 70 Seats) Laboratory Safety Institute (USA) Conference Fee Apply / Contact: [email protected] Institute of Food Research and Product Development (IFRPD) สถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ MR 215 (Max. 70 Seats) Department of Science Service (DSS) กรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.) Laboratory Safety Institute (USA) Conference Fee Apply / Contact: [email protected] Thailand Institute of Scientific and Technological Research (TISTR) สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) MR 216-217 (Max. 140 Seats) National Institute of Metrology (Thailand) NIMT สถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ ลงทะเบียนเข้าฟังสัมมนาฟรีที� www.nimt.or.th เท่านั�น! หรือโทร 02-577-5100 ต่อ 4206, 4213 (เวลาราชการ) National Institute of Metrology (Thailand) NIMT สถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ ลงทะเบียนเข้าฟังสัมมนาฟรีที� www.nimt.or.th เท่านั�น! หรือโทร 02-577-5100 ต่อ 4206, 4213 (เวลาราชการ) National Institute of Metrology (Thailand) NIMT สถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ ลงทะเบียนเข้าฟังสัมมนาฟรีที� www.nimt.or.th เท่านั�น! หรือโทร 02-577-5100 ต่อ 4206, 4213 (เวลาราชการ) MR 218-219 (Max. 120 Seats) Association of Medical Technologists of Thailand (AMTT) สมาคมเทคนิคการแพทย์แห่งประเทศไทย Association of Medical Technologists of Thailand (AMTT) สมาคมเทคนิคการแพทย์แห่งประเทศไทย Thailand Center of Excellence for Life Sciences (TCELS) ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์(องค์การมหาชน) Thailand LAB 2014 : Conference & Seminar Sessions (MR) "การประมาณค่าความไม่แน่นอนในงานทดสอบทางฟิสิกส์" - ข้อกําหนดใน มอก.17025 เกี�ยวกับการประมาณค่าความไม่แน่นอน - การประมาณค่าความไม่แน่นอนโดยหาค่า Sensitivity Coefficient - การประมาณค่าความไม่แน่นอนแบบ Relative 09.30 - 10.20 hrs. "การใช้สถิติในงานทดสอบทางฟิสิกส์" - ข้อกําหนดใน มอก.17025 เกี�ยวกับคุณภาพผลการทดสอบ - สถิติที�ใช้ในการประกันคุณภาพ 10.20 - 11.20 hrs. "ตอบข้อซักถาม" 11.20 - 12.00 hrs. "แหล่งความไม่แน่นอนของการสอบเทียบเครื�องมือวัดทางไฟฟ้า" แรงดันไฟฟ้า / กระแสไฟฟ้า / ความต้านทาน / กําลังไฟฟ้า 13.00 - 15.30 hrs. Morning "Laboratory Safety Program: How & Why" โดย Dr. James A Kaufman, CEO of LSI และ ดร.ประไพพิศ แจ่มสุกใส เทอร์ไน 09.00 - 16.30 hrs. Afternoon Morning "Laboratory Safety Program: How & Why" โดย Dr. James A Kaufman, CEO of LSI และ ดร.ประไพพิศ แจ่มสุกใส เทอร์ไน 09.00 - 16.30 hrs. Afternoon Science Tech Morning Afternoon Science Tech "ห้องปฏิบัติการรับมือกับจุลินทรีย์ที�สงสัยโรคอุบัติใหม่อย่างไร" โดย รศ.ดร.สุดา ลุยศิริโรจนกุล, อ.บุญช่วย เอี�ยมโภคลาภ และ ผศ.ดร.ชลภัทร สุขเกษม 10.00 - 12.00 hrs. "Update on Emerging Viral Diseases: MERS and Influenza H5N1 and H7N9 Viruses" โดย ศ.นพ. ยง ภู่วรวรรณ 13.30 -14.30 hrs. "Update on Ebola and Marburg Viruses" โดย ศ.นพ. ประเสริฐ เอื�อวรากุล 14.30 - 15.30 hrs. "Chemical Management in Laboratory" โดย ดร.วันดีลือสายวงศ์และ นางจันทรัตน์วรสรรพวิทย์ 10.00 - 12.00 hrs. "ASEAN Reference LAB for Food Contact Materials" โดย นางสุมาลีทังพิทยกุล และ ดร.ชินวัฒน์ทองชัช 13.30 - 16.00 hrs. "Food Allergen Detection by Elisa Technique" "Nutraceutical" การใช้อาหารเป็นยา และการใช้ยาเป็นอาหาร Morning Afternoon "Roadshow: Quality in Clinical Laboratory" Roadshow 1: Quality in Clinical Laboratory: Good Practice from Singapore 09.35 - 10.35 hrs. Roadshow 2: Quality in Clinical Laboratory: Good Practice from Hong Kong 10.45 - 11.45 hrs. Roadshow 3: Quality of Clinical Laboratory Service: Accuracy, Precision and Efficiency 13.30 - 14.30 hrs. Roadshow 4: Quality of Clinical Laboratory Personnel: Competency and Development 14.30 - 15.30 hrs. "Roadshow: Quality in Clinical Laboratory" Roadshow 5: IQC Concept and Tools: Westgard's Multirule 09.30 - 10.30 hrs. Roadshow 6: IQC Concept and Tools: Six Sigma Metric 10.45 - 11.45 hrs. Roadshow 7: Tips for IQC Corrective Action 13.30 - 14.30 hrs. Roadshow 8: Usefulness of EQA/PT/ Inter Laboratory Comparison, and a How to Corrective Action 14.30 - 15.30 hrs. "Cell and Gene Therapy Confernece" Cell therapy and gene therapy technologies have opened up the new and exciting era of future medicine. Stem cell therapy in particular, is the hope for many serious ailments and incurable conditions. "Robotics and Automation for Life Science Laboratories" Robotic and automation technologies have played an increasing role in accelerating life science research. In particular, they have been utilized in laboratory setting to improve laboratory services, decrease operational costs and enable new and improved processes. Afternoon "การประกันคุณภาพและการควบคุมคุณภาพของผลการวัดทาง เคมีสู่การสอบกลับได้ทางมาตรวิทยา" และ "การถ่ายทอดเทคโนโลยีการวัดโดยสารอ้างอิงมาตรฐาน บริการ สอบเทียบและหลักสูตรฝึกอบรม" โดย ดร.จรัญ ยะฝา 09.30 - 11.00 hrs. "การวัด pH" โดย นส.นงลักษณ์ตั�งไพศาลกุล และ "การวัดค่าความหวานในนํ�าตาล" โดย นส.ศรกฤษณ์มาบํารุง 11.00 - 12.00 hrs. การประชุมเชิงปฏิบัติการเพื�อให้คําปรึกษาทางเทคนิค หัวข้อ "อุตสาหกรรมเครื�องสําอางค์" 13.00 - 16.00 hrs. ความรู้ความเข้าใจด้านมาตรวิทยาและระบบคุณภาพ "บทบาทของมาตรวิทยาต่อภาคอุตสาหกรรมและการสาธารณสุข" "หลักการมาตรวิทยาสากล" "การสอบกลับได้ของการวัดสู่หน่วยวัดสากล" "ระบบคุณภาพ" 09.30 - 12.00 hrs. การประชุมเชิงปฏิบัติการเพื�อให้คําปรึกษาทางเทคนิค หัวข้อ "ผลิตภัณฑ์แผงเซลล์แสงอาทิตย์" 13.00 - 16.00 hrs. การประชุมเชิงปฏิบัติการเพื�อให้คําปรึกษาทางเทคนิค หัวข้อ "ผลิตภัณฑ์หมวกนิรภัยสําหรับผู้ใช้ยานพาหนะ" 09.30 - 12.00 hrs. หัวข้อ "ผลิตภัณฑ์เครื�องใช้ไฟฟ้า" 13.00 - 16.00 hrs. Morning
48 Agriculture Great Rich Idol เปิดแนวคิด มุมมองใหม่ สร้างเสริมปัญญา เพื่อเกษตรกรร่ำรวยยั่งยืน