2 ส่งิ ทจ่ี ะเป็นเหมอื นวคั ซนี ปอ้ งกันโรคทางวญิ ญาณ
พุ ท ธ ท า ส ภิ ก ขุ 1
๑๑๕จดั พิมพเ์ ปน็ อาจริยบชู า โดย กัลยาณมติ รและคณะศิษยานุศษิ ย์
ในวาระ ปี ชาตกาล พระธรรมโกศาจารย์ พทุ ธทาสภกิ ขุ
ยา2 ระงบั สรรพโรค
พุ ท ธ ท า ส ภิ ก ขุ 3
ยาระงบั สรรพโรค
พุ ท ธ ท า ส ภิ ก ขุ
ข้อแนะนำ�เบอ้ื งต้นเมื่อทราบว่าติด Covid-19
มลู นิธธิ รรมสภา บนั ลือธรรม และกลั ยาณมิตร
จดั พิมพแ์ จกเพือ่ ร่วมมือกันเผยแพร่ธรรมะเปน็ ภมู ิต้านทานทง้ั ทางโลก-ทางธรรม
ยา4 ระงบั สรรพโรค
คำ�อนุโมทนา
พทุ ธศาสนสุภาษติ บทหนึง่ กลา่ ววา่ ...
“อโรคยา ปรมา ลาภา”
ความไมม่ ีโรคเป็นลาภอนั ประเสริฐ”
ความไมม่ ีโรค ในท่ีนีห้ มายถงึ ไม่มีโรคทางกาย และไมม่ ีโรคทาง
จิต ทางวิญญาณ ท่านเจ้าคุณพุทธทาสภิกขุได้แสดงพระธรรมเทศนา
เรอื่ ง วัคซีนปอ้ งกันโรคทางวญิ ญาณ ไวเ้ มอื่ ปี พ.ศ. ๒๕๑๔ เวลาผ่านมา
กว่า ๕๐ ปี คำ�สอนของท่านยังมีคุณค่า ช่วยเหลือประชาชนให้พ้นจาก
โรคทางวญิ ญาณไดอ้ ยา่ งนา่ อศั จรรย์
มลู นธิ ิ ธรรมสภา บนั ลอื ธรรม ขออนโุ มทนากัลยาณมิตร ที่รว่ ม
จดั พมิ พห์ นงั สอื เลม่ นข้ี น้ึ ในวาระ ๑๑๕ ปชี าตกาล หลวงพอ่ พทุ ธทาสภกิ ขุ
เพ่ือแจกเป็นธรรมทานในวาระดังกล่าวที่โลกต้องการธรรมะเพ่ือปอ้ งกนั
และแก้ปัญหาในยคุ น้ี ดังทเ่ี ราเห็นกนั อยใู่ นปัจจุบัน
ดว้ ยเมตตาและปรารถนาดี
มลู นธิ ิ ธรรมสภา บนั ลือธรรม
พุ ท ธ ท า ส ภิ ก ขุ 5
อาจรยิ บูชา
พระธรรมโกศาจารย์ (พทุ ธทาสภกิ ข)ุ
มลู นธิ ิธรรมสภา บนั ลอื ธรรม ตระหนกั ถึงสถานการณใ์ น
ปัจจุบัน อันได้แก่ มหันตภัยโรคระบาด Covid-19 และวิกฤต
การณ์ทางเศรษฐกิจสังคมของประเทศ จึงมีมติร่วมกันจัดพิมพ์
หนงั สอื ๒ เลม่ คอื ...เรอื่ ง วคั ซนี ปอ้ งกนั โรคทางวญิ ญาณ และ
ยาระงบั สรรพโรค ของทา่ นอาจารยพ์ ทุ ธทาสภกิ ขุ พรอ้ มจดั พมิ พ์
วธิ ดี แู ลปอ้ งกนั Covid-19 เผยแพรแ่ กป่ ระชาชน เพอื่ เปน็ อาจรยิ บชู า
แกท่ า่ นอาจารย์ และชว่ ยเหลอื เพอ่ื นมนษุ ยใ์ นยามน้ี เพราะถอื วา่
มลู นธิ ธิ รรมสภา บนั ลอื ธรรมเปน็ สว่ นหนง่ึ ของสงั คมในชว่ งวกิ ฤต
น้ี ควรมีหน้าท่ีดูแลรักษาเยียวยาทางด้านจิตใจให้แก่ประชาชน
เพอ่ื ใหม้ กี �ำ ลงั ใจพรอ้ มทจี่ ะตอ่ สกู้ บั สงครามโรคระบาด Covid-19
ในครง้ั นี้ มลู นธิ ธิ รรมสภา บนั ลอื ธรรม จดั พมิ พห์ นงั สอื จ�ำ นวน
๑๐๐,๐๐๐ เล่ม ท่านท่ีสนใจร่วมบุญจัดพิมพ์หนังสือแจกเป็น
ธรรมทานเพอื่ เปน็ ก�ำ ลังใจให้เพ่ือนมนุษย์ ขอเชญิ ร่วมสมทบทนุ
ไดท้ มี่ ลู นธิ ธิ รรมสภา บนั ลอื ธรรม เลขท่ี ๑/๔-๕ ถนนบรมราชชนนี
๑๑๙ เขตทววี ฒั นา กทม. ๑๐๑๗๐ โทร. 098-667-8915
ดว้ ยความสจุ รติ หวงั ดี
ธรรมสภาปรารถนาใหโ้ ลกพบความสงบสุข
ยา6 ระงบั สรรพโรค
ยาระงับสรรพโรค 9
10
◙ โรคมสี ามอย่าง 11
◙ โรคทางจิตวิญญาณ ส�ำ คัญและเป็นมาก 11
◙ โรคทางจติ วิญญาณ เปน็ เหตใุ หเ้ กดิ โรคทางกาย 12
◙ ตัวอย่างโรคทางจติ วิญญาณ 13
◙ ๑. ความรัก 14
◙ ๒. ความโกรธ 14
◙ ๓. ความเกลยี ด 15
◙ ๔. ความกลัว 17
◙ ๕. ความตืน่ เต้น 17
◙ ๖.-๗. ความวติ กกังวลและอาลัยอาวรณ ์ 18
◙ ๘. ความอจิ ฉาริษยา 19
◙ ๙. ความหวง 19
◙ ๑๐. ความหงึ 21
◙ ๑๑. ความยดึ ตดิ ของคู่ 22
◙ ๑๒. ความสงสัย
◙ เป็นโรคทางวิญญาณเพราะขาดธรรมะ
พุ ท ธ ท า ส ภิ ก ขุ 7
◙ ยาแกโ้ รคทางวญิ ญาณ 23
◙ เครือ่ งยาทาได้ทใี่ นตวั เอง 24
๑. ไมร่ ไู้ ม่ชี ้ 24
๒. ช่างหัวมัน 25
๓. เชน่ นัน้ เอง 27
๔. ไมม่ ีตวั กู-ของก ู 28
๕. ไม่น่าเอา ไม่น่าเปน็ 30
๖. ตายกอ่ นตาย 33
๗. ดับไมเ่ หลอื 35
◙ ตกกระไดพลอยกระโจน 35
◙ เสกคาถา 37
◙ สรรพคณุ ของยาคือเย็น 37
◙ ทำ�ใหอ้ ยเู่ หนอื โลก 38
◙ ทบทวนฉลากยาใหจ้ �ำ ไดข้ ้นึ ใจ 39
42
ข้อแนะน�ำ เบอื้ งต้นเมื่อทราบว่าติด Covid-19 43
44
◙ ระหว่างรอผลตรวจควรท�ำ อย่างไร 45
◙ หากทราบผลตรวจตดิ โควิด-19 ควรท�ำ อย่างไร? 46
◙ ข้อปฏิบัตสิ �ำ หรับคนรว่ มบา้ น 47
◙ ค�ำ แนะนำ�ส�ำ หรบั ประชาชน
◙ การปฏิบัติตนเมอ่ื ออกจากโรงพยาบาลไปพักฟื้นที่บา้ น
◙ ฉดี วัคซีน “ไมไ่ ด้แปลว่าไมต่ ิดเชื้อ”
ยา8 ระงบั สรรพโรค
พุ ท ธ ท า ส ภิ ก ขุ 9
ยาระงับสรรพโรค
พุ ท ธ ท า ส ภิ ก ขุ
ทา่ นสาธชุ นผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย
การบรรยายประจำ�วันเสาร์ แห่งภาคมาฆบูชา ในวันนี้ อาตมาจะ
บรรยายโดยหวั ขอ้ วา่ ยาระงบั สรรพโรค เปน็ อนั วา่ ในภาคมาฆบชู าน้ี จะพดู
ด้วยเรอื่ งปกณิ กะแตล่ ะเรอ่ื ง ๆ เป็นเร่ือง ๆ ไป ไม่ตอ้ งตดิ ต่อเปน็ ชุดเปน็ พวก
อะไร กไ็ ดบ้ รรยายมาเชน่ น้นั หลายครงั้ แล้ว
วันนี้ก็จะได้พูดเร่ือง ยาระงับสรรพโรค เพราะว่าได้แจกฉลากยา
ไปมากแลว้ นานแล้ว กจ็ ะตดิ ตาม อธิบายให้สำ�เรจ็ ประโยชน์
โรคมสี ามอยา่ ง
ส่ิงแรกคอื เร่อื ง โรค เรื่องการเป็นโรค บางคนอาจจะคิดว่าตวั เอง
ไม่มีโรค ข้าพเจ้าไม่มีโรค ไม่เป็นโรค ไม่มีโรคท่ีน่ากลัวอะไร ขอให้สังเกต
พจิ ารณาดูกนั เสียใหมว่ ่า โรคทางจติ น่ีแหละสำ�คัญมาก
พระพทุ ธเจ้าท่านไดต้ รสั ว่า โรคมี ๒ ชนิด คอื
กายกิ โรค...โรคทเ่ี กดิ เก่ยี วกบั ทางกาย น่พี วกหน่งึ และ
เจตสิกโรค...โรคที่เกิดเกี่ยวกับทางจิต นี่ก็อีกโรคหน่ึงเป็น ๒ โรค
แต่อาตมาเคยเอามาแยกออกเป็น ๓ โรค คือว่าโรคทางจิตนั่นแยกออก
ยา10 ระงบั สรรพโรค
เปน็ ๒ คอื เป็นโรคทางสตปิ ญั ญา อีกโรคหนึง่ เรยี กวา่ โรคทางวญิ ญาณ
โรคทางกาย เจบ็ ปว่ ยทางกาย กไ็ ปหาโรงพยาบาลตามธรรมดา โรคทางจติ
จิตไม่สมประกอบ บ้าบอเป็นโรคประสาทรบกวนอะไรเหล่าน้ี ก็เป็นโรค
ทางจิต ก็ต้องจัดการไปอีกอย่างหน่ึง หรือไปหาโรงพยาบาลประสาท
โรงพยาบาลโรคจิต แต่ถ้าเป็นโรคทางวิญญาณ คือโรคทางสติปัญญาแล้ว
ต้องไปหาโรงพยาบาลของพระพุทธเจ้า คือธรรมะที่จะช่วยขจัดโรคทาง
วิญญาณ เหน็ ชดั เป็น ๓ อยา่ ง ๓ ประการด้วยกัน ดังนี้
โรคทางจติ วญิ ญาณ สำ�คญั และเปน็ กันมาก
ตอ่ ไปกจ็ ะได้พดู ถงึ สงิ่ ท่ีจะระงับโรคเหลา่ น้ี ใชค้ ำ�ว่า สรรพโรค คอื
โรคท้ังปวง ก็เป็นโรคทางวิญญาณนั่นแหละ แต่ต้องสังเกตดูให้ดีว่า โรค
ทางวิญญาณนั้นมันเป็นปัญหามากที่สุด เพราะว่าโรคทางกายนั้นมันไม่มี
ความหมายอะไรนกั มนั ไมไ่ ด้ท�ำ อนั ตรายอะไรนัก มันเป็นแตท่ างกาย แลว้
อีกอย่างหนึ่งโรคทางกายนี่ไม่ค่อยจะเป็นกัน นาน ๆ จะปวดหัวตัวร้อน
สักทหี น่ึง นาน ๆ จะเจบ็ ดว้ ยโรคนั้นโรคน้ีสกั ทีหน่ึง
แต่ว่าโรคทางจิต ทางวิญญาณนี่ ดูจะเป็นกันตลอดเวลา จนเรียก
ว่าแทบจะทุกลมหายใจเขา้ ออกกไ็ ด้ เกิดเร็ว มันดบั เรว็ คดิ ดใู หด้ ีเถอะ โรค
ทางจติ นะ่ มนั เกดิ เรว็ ดบั เรว็ วนั เดยี วเปน็ สกั รอ้ ยโรคกไ็ ด้ แลว้ มนั กไ็ มแ่ สดง
อะไรให้เอะอะตึงตัง ไม่ค่อยแสดงในทางกาย แสดงแต่ในทางจิต คนก็คิด
ไปเสียอย่างอ่ืนก็ได้ จึงคล้าย ๆ กับว่าไม่ได้เป็นโรคอะไรที่จริงจะเป็นอยู่
แทบตลอดเวลา นง่ั อยตู่ รงนด้ี ใู หด้ เี ถอะ กม็ โี รคทางจติ อยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ อยู่
รบกวนอยู่ ถ้าไมส่ งั เกตดูให้ดกี จ็ ะไม่เห็น เพราะฉะนน้ั เราจะต้องจาระไน
พุ ท ธ ท า ส ภิ ก ขุ 11
แจกแจงในเร่ืองโรคทางจติ น่ีกนั ใหเ้ หน็ ได้ว่ามันเปน็ อยู่เกือบจะตลอดเวลา
เลย วันหนง่ึ ไมร่ ู้ก่คี ร้งั กส่ี บิ ครง้ั หรือรอ้ ยครงั้ ก็ได้ ถ้ามนั เป็น เปน็ เกง่ พูด
กำ�ป้ันทุบดินก็พูดว่า เกิดกิเลสทีหน่ึง ก็เป็นโรคทางจิตทีหนึ่ง เกิดกิเลส
วนั ละกีค่ รง้ั มนั ก็เป็นเท่านัน้ ครัง้
โรคทางจติ วญิ ญาณ เปน็ เหตุให้เกดิ โรคทางกาย
ถา้ งนั้ ใหฟ้ งั ใหด้ วี า่ โรคทางจติ นะ่ มนั มอี าการอยา่ งไร ถา้ รจู้ กั อาการ
ของมนั แลว้ กจ็ ะเขา้ ใจได้ มนั เปน็ อยแู่ ทบจะทกุ ลมหายใจเขา้ ออก เกอื บทกุ
ลมหายใจเข้าออก แล้วเม่อื เป็นโรคทางจติ แลว้ มันจะพาลเปน็ โรคทางกาย
เอาด้วย เชน่ เปน็ โรควิตกกงั วล นอนไม่หลบั เดย๋ี วมนั กป็ วดหวั เปน็ โรค
ทางกาย มคี วามรบกวนทางจติ มาก มนั กเ็ ปน็ โรคกระเพาะอาหาร เปน็ โรค
ล�ำ ไส้ เปน็ โรครา้ ย ๆ ตา่ ง ๆ สารพดั อยา่ งขน้ึ มา เพราะวา่ มนั มโี รคทางจติ
เป็นตน้ เหตุอยู่ภายใน โรคทางจติ เปน็ เหตุให้เกิดโรคทางกาย
ตัวอยา่ งโรคทางจิตวญิ ญาณ
จะยกตวั อยา่ งโรคทางจติ ใหเ้ ปน็ เครอ่ื งสงั เกตไดง้ า่ ย ๆ วา่ ความรกั
...เปน็ โรคทางจติ ความโกรธ...เปน็ โรคทางจติ ความเกลยี ด...เปน็ โรคทางจติ
ความกลัว...เป็นโรคทางจิต ความต่ืนเต้น...เป็นโรคทางจิต ความอิจฉา
ริษยา...เป็นโรคทางจิต ความหวง...เป็นโรคทางจิต ความยึดมั่นเป็นคู่ ๆ
...บวกลบ ดชี วั่ บญุ บาป ยดึ มน่ั เปน็ คู่ ๆ แลว้ กด็ ใี จเสยี ใจ นเี่ รยี กวา่ ความยดึ
ของเปน็ คู่ นกี่ เ็ รยี กวา่ เปน็ โรคทางจติ ความสงสยั ...ไมแ่ นใ่ จไปเสยี ทกุ อยา่ ง
กระทง่ั วา่ ไมแ่ นใ่ จวา่ ไดส้ ่ิงท่ีควรจะได้แล้ว
ยา12 ระงบั สรรพโรค
ทนี จี้ ะขอถามทกุ คนทนี่ งั่ อยตู่ รงทน่ี วี้ า่ ใครไมม่ คี วามสงสยั ขอ้ นบ้ี า้ ง
ใครมีความแน่ใจว่าได้ส่ิงที่ควรได้โดยแน่นอนแล้ว หรือใครยังมีปัญหาว่า
เรายงั ไมไ่ ด้สิ่งที่ควรจะได้ ถา้ ยังมีความสงสัยอยู่ ลังเลอยู่อย่างนี้ ก็น่ังอยู่
ทน่ี ตี่ รงนแ้ี หละ ฟงั บรรยายอยนู่ แี่ หละเปน็ โรคจติ เปน็ โรคสงสยั อยเู่ สมอวา่
มันยังไม่ได้ส่ิงท่ีควรจะได้ ยังดับทุกข์ไม่ได้ ยังไม่ได้ดับทุกข์ ยังไม่มีพระ
นพิ พานปน็ ท่ีหวังอันแนน่ อน มนั วิตกกังวล สงสัย อาลยั อาวรณ์ นี่กเ็ ป็น
โรคจิตทางวิญญาณ จึงว่าไมย่ กเว้นใครทงั้ น้นั ...ไมย่ กเว้น มนั เปน็ ได้ทกุ หน
ทกุ แห่ง เมอ่ื ไรกไ็ ด้ เทา่ ไรกไ็ ด้ อยา่ งไรกไ็ ด้ ขอใหล้ องคิดดู
โรคทางจิตทางวิญญาณ จึงเป็นโรคท่ีมหาศาล น่ากลัวยิ่งกว่าโรค
ใด ๆ เลยเสยี อกี ถา้ เราไมม่ โี รคทางจติ แลว้ เรากไ็ มม่ คี วามทกุ ข์ คดิ ดใู หด้ ี ๆ
ถา้ เราไมม่ ีโรคทางจติ แล้ว เรากไ็ มม่ ีความทกุ ข์ แล้วเราก็ไมต่ อ้ งมาศึกษา
พุทธศาสนาให้ลำ�บากหรอก ถ้าเราไม่มีโรคทางวิญญาณ คือโรคที่เป็นไป
ทางจติ เดยี๋ วนม้ี นั มโี รคเปน็ ไปทางจติ มคี วามทกุ ข์ จงึ ตอ้ งพยายามอยา่ งยงิ่
ทจี่ ะศึกษา ท่จี ะต่อสู้ ที่จะรักษาโรคทางจติ
๑. ความรกั
ทีน้ีก็จะขอให้ดูให้ดี อย่างท่ีว่ามาแล้วคือ ความรัก ถ้ารักเรื่อง
กามารมณก์ ็เปน็ เร่อื งเสยี บแทงอยา่ งยิ่ง บ้า ๆ บอ ๆ แม้จะรกั อย่างพ่อรัก
ลูก ลูกรักพ่อ นี่มันเป็นความสุขอยู่เม่ือไร มันเป็นความเป็นปัญหายุ่งยาก
ลำ�บากใจสักเท่าไร แม้แต่ว่ามันเป็นความรักและเมตตากรุณา แม้ว่ารัก
เพื่อนบ้าน รักผู้อ่ืน รักที่จะช่วยเขาให้พ้นทุกข์ มันก็มีปัญหา มันเนื่องมา
จากความรกั
พุ ท ธ ท า ส ภิ ก ขุ 13
แล้วใครบ้างที่มันไม่มีความรัก มันก็มีความรักตามสัญชาตญาณ
มีความรักในสันดานของส่ิงที่มีชีวิต อย่างแม่ไก่มันก็รักลูกย่ิงกว่าชีวิตของ
มนั เอง ลูกไก่มันก็รักแมไ่ ก่เหมือนกนั น่ีก็เป็นปัญหา แม้วา่ ความรักทเ่ี รียก
ว่าด้วยเมตตากรุณาที่ยังต่ําอยู่ ยังเป็นเมตตากรุณาท่ีมาจากความยึดมั่น
ถอื มน่ั วา่ ตวั ตน นฟ่ี งั ดใู หด้ ี เมตตากรณุ านน่ั มาจากตวั ตนกม็ ี มาจากอวชิ ชา
น้อย ๆ ก็มี เมตตากรุณาที่มาจากปัญญาอันสูงสุด ไม่เก่ียวกับตัวตน เช่น
เมตตากรณุ าของพระพทุ ธองค์ พระพุทธองค์ไมม่ ีตวั ตน ไมม่ อี วชิ ชา อะไร
กม็ เี มตตา กเ็ รยี กวา่ เมตตาเหมอื นกนั แตเ่ มตตาอยา่ งนไ้ี มเ่ ปน็ ปญั หา ไมร่ วม
อย่ใู นข้อน้ที วี่ ่า มีความรกั แลว้ ก็จะเปน็ ทุกข์ ถ้ามันเป็นเมตตากรณุ าทีย่ ังมี
ตัวตนมันยังมีอวิชชาที่ทำ�ให้เห็นว่าตัวตน แล้วก็เห็นแก่ตัวตน แล้วก็รัก
เพราะเหตุความเหน็ แกต่ วั ตน อยา่ งนี้ยงั เป็นทุกข์
แมแ้ ตแ่ มจ่ ะรักลกู ลกู จะรักแม่ รักเพ่อื รกั อะไรตา่ ง ๆ ผูม้ ีพระคณุ
อะไรก็ตาม มันยังเป็นความรกั แลว้ ก็ยงั เป็นโรคทางวญิ ญาณอยูด่ ว้ ยกนั
ท้ังนั้น แล้วมันสบายก่มี ากนอ้ ยเป็นทุกข์กี่มากน้อย ขอให้ลองคดิ ดู มันเกิด
เมอ่ื ไรกไ็ ด้ ทีไ่ หนก็ได้ เทา่ ไหรก่ ็ได้ อยา่ งไรกไ็ ด้
๒. ความโกรธ
ทีน้ีในทางตรงกันข้าม พอเกิดโกรธขึ้นมาก็เป็นไฟละ แล้วมันไป
เก็บ ๆ เอาความโกรธไวเ้ ป็นความอาฆาตพยาบาท แลว้ มันกย็ ่ิงยดื เย้ือ มนั
กเ็ ปน็ โรคฝา่ ยไฟโทสะ (อา่ นรายละเอยี ดเรอ่ื งนใ้ี น เกบ็ ความโกรธใสย่ งุ้ ฉาง)
ยา14 ระงับสรรพโรค
๓. ความเกลยี ด
ทีน้ี ความเกลียด น่ีก็ลำ�บาก ถ้าไม่ถูกใจมันก็เกลียด บางทีมันก็
ไม่ใช่เร่ืองอะไรของเรา แต่ว่ามันไม่ถูกใจ ไม่ถูกแก่ความรู้สึกก็เกลียด มัน
อาจจะโง่มาก ไปเกลียดอย่างไม่มีเหตุผล มีตัวมีตนอะไร ถ้าไปดูยี่เก ไปดู
หนังตะลุงอะไรก็ได้ มันเกิดมีทะเลาะวิวาทกันระหว่างพวกมนุษย์กับยักษ์
พอมกี ารทะเลาะวิวาทกันระหวา่ งมนุษย์กบั ยกั ษ์ เรามนั กพ็ ลอยเกลยี ดยกั ษ์
เขา้ ขา้ งมนษุ ย์ นค่ี วามเกลยี ดมนั เกดิ ไดง้ า่ ย ๆ อยา่ งน้ี หรอื แมค้ วามเกลยี ด
ของนา่ เกลยี ดน่าชังอย่างน้ี ของสกปรก เนา่ เหมน็ ซากศพ นี่มนั ก็มคี วาม
ทุกข์
มีความเกลียดท่ีไหน มันก็มีความทุกข์เสียบแทงจิตใจท่ีน่ัน ไม่มี
ความเกลยี ดอะไรสบายกว่า ไม่รู้สกึ วา่ น่าเกลียด ร้สู ึกวา่ มันเช่นน้นั เอง มัน
ธรรมดาเช่นน้ันเอง ไม่ใช่ซากผีซากศพเน่าเหม็นอะไร มันก็เช่นน้ันเอง
ไมต่ อ้ งไปเกลยี ดมนั ใหล้ �ำ บาก มนั กอ็ ดไมไ่ ด้ เหน็ เขาทะเลาะกนั อยา่ งนี้ มนั
ก็มักจะเข้าข้างอีกฝ่ายหนึ่งแหละ มันก็เกลียดฝ่ายที่เราไม่ชอบ ไม่พอใจ
เพียงแตไ่ มถ่ ูกหถู กู ตากเ็ กลียดเสียแลว้ ไม่อยากจะให้เห็นหนา้ แล้วมนั ก็
เกลยี ดเสียแลว้ มนั ก็เปน็ โรคทางวิญญาณ
๔. ความกลวั
ทีนี้ ความกลัว มันก็เป็นสัญชาตญาณอันหน่ึงที่กลัว สิ่งที่น่ากลัว
ติดมาแต่ในท้อง แต่พอเกิดมาจากท้องแม่แล้วมันก็ถูกสอนให้กลัวย่ิงขึ้น
ไปอกี ใหโ้ งย่ ง่ิ ขน้ึ ไปอกี เพราะมนั เปน็ อบุ ายอนั หนงึ่ ทจี่ ะควบคมุ เดก็ กห็ ลอก
ใหเ้ ด็กกลวั นัน่ กลวั น่ี กลัวจิ้งจก กลวั ต๊กุ แก กลวั ผี กลวั อะไรต่าง ๆ ซึ่ง
พุ ท ธ ท า ส ภิ ก ขุ 15
เป็นเรอ่ื งไม่จรงิ ทั้งน้นั แหละ มนั กเ็ ลยกลวั มากเกนิ กว่าเหตุกระท่งั กลวั ผี
ถ้าพูดถึงกลัวผีแล้ว คนก็สู้หมาก็ไม่ได้ เพราะว่าหมามันไม่กลัวผี
ไม่มีปัญหาเร่ืองกลัวผี แต่ว่าคนเรานี่มันถูกหลอกให้กลัวผี กลัวอะไรเสีย
อย่างแน่นแฟ้น หนาแน่นช่วยไม่ได้ มันก็มีปัญหา ถ้าเด็ก ๆ อย่าถูกสอน
ให้กลวั มากเหมอื นทีส่ อน ๆ กันอยู่ ปญั หากจ็ ะไมค่ ่อยมี เดี๋ยวน้ีพอเด็กมนั
รปู้ ระสปี ระสา ผใู้ หญก่ ท็ �ำ ทา่ กลวั นน่ั กลวั น่ี ท�ำ ทา่ ใหด้ กู ลวั นน่ั กลวั นี่ มนั กม็ ี
ประโยชน์อยู่เหมือนกันนะที่กลัวน่ะ มันจะได้ไม่ไปทำ�สิ่งท่ีอันตราย แต่ว่า
มันกลัวเกินกว่าเหตุ แล้วมันก็เป็นเรื่องทำ�ลายความสงบสุข ว่าไงดี มัน
ทำ�ลายความสงบสุขเรื่องความกลัว สู้ความกล้าท่ีถูกต้องไม่ได้ ความกลัว
นี่มันเป็นความไม่รู้มากกว่า ความกล้าน่ีบางทีก็บ้าบิ่น กล้าเพราะไม่รู้ก็มี
เหมอื นกนั แตย่ งั ดกี วา่ ความกลวั เปน็ โรคทางวญิ ญาณ เดย๋ี วนก้ี ม็ คี วามกลวั
กันอยู่ท่ัวโลก กลัวระเบิดปรมาณู กลัวโลกจะวินาศ กลัวอะไรหลายอย่าง
ที่วา่ กนั ไปทง้ั โลกเลย
๕. ความตนื่ เต้น
ทีน้ี ความต่ืนเต้น คืออยู่ปกติไม่ได้ ต้องตื่นเต้น ถ้าเขามาทำ�ตลก
ใหด้ กู อ็ ดหวั เราะไมไ่ ด้ ทงั้ ทรี่ วู้ า่ เขาแกลง้ ท�ำ ตลก คนทดี่ ตู ลกมนั กอ็ ดหวั เราะ
ไม่ได้ เพราะมันโง่ มันมีความต่ืนเต้น ๆ ยิ่งสิ่งนั้นมันประหลาดด้วยแล้ว
มนั กย็ ง่ิ อดไมไ่ ด้ มนั ยง่ิ ตอ้ งตน่ื เตน้ ไปดกู ฬี าทนี่ า่ ตนื่ เตน้ กต็ อ้ งดดู ว้ ยความโง่
คอื ต้องมีความตน่ื เต้นจึงจะสนุก ถ้าไม่ต่นื เตน้ มนั ก็ไม่สนุก
ไปดขู องทนี่ า่ ตนื่ เตน้ เชน่ กายกรรมมาจากเมอื งจนี เรยี กวา่ กายกรรม
กวางเจา นด่ี ูเขา้ แลว้ มนั กน็ า่ ตน่ื เต้นจริงเหมอื นกัน ใครเคยไปดแู ล้วกร็ ้เู อา
ยา16 ระงบั สรรพโรค
เองวา่ มนั นา่ ตน่ื เตน้ เพราะความโงข่ องเราวา่ มนั เชน่ นน้ั เอง เมอื่ มนั ฝกึ เขา้ ๆ
มนั กแ็ สดงไดเ้ ชน่ นน้ั เอง ไมต่ อ้ งตนื่ เตน้ แตม่ นั กอ็ ดไมไ่ ด้ แลว้ ไปดขู องแปลก
ทท่ี ำ�ใหเ้ กดิ ความตน่ื เตน้
มคี นไปเท่ียวกนั เที่ยวทีน่ ่ัน เที่ยวทน่ี ่ี ไปเกาะสมุย ไปเกาะพพี ี ไป
เกาะอะไรต่าง ๆ และทนี่ ้ีดว้ ย มาแวะท่ีนกี่ ็ถามไปไหนมา กไ็ ปดู ไปดูทน่ี นั่
น่ีเป็นผลของความโง่ท่ีมันต่ืนเต้น ทำ�ให้ต้องไปดู ไปดูแล้วมันก็ตื่นเต้น ๆ
กลับมากไ็ ด้แต่ความตื่นเต้น ๆ มนั จะปกตไิ มไ่ ด้ มันตอ้ งต่ืนเตน้ นกี่ เ็ ป็นโรค
ทางวญิ ญาณ ตน่ื เต้นเวลามเี พลงหรือมจี �ำ อวด มียเี่ กอะไรมาแสดงทต่ี ลาด
นี่คนกไ็ ปกันทั้งบ้าน ใหล้ กู กญุ แจอยู่เฝ้าเรือน ไปดเู พลงทต่ี ลาดได้ แตถ่ า้ วา่
ออกมาฟงั เทศน์ทีว่ ัดก็ไมม่ ีคน อยู่เรอื นหมด คนอยเู่ รอื นหมด...เฝา้ บ้าน ถ้า
ไปดูสิ่งที่น่าตื่นเต้น มีลูกกุญแจอยู่เรือน ไม่มีคนอยู่เรือน คิดดูเถอะความ
ตน่ื เตน้ นม่ี นั มอี ทิ ธพิ ล มอี �ำ นาจมากมายเหลอื เกนิ ทจี่ ะดงึ ใหค้ นไปทไี่ หน ๆ กไ็ ด้
ต้องขออวดดสี กั หนอ่ ยว่า เดี๋ยวนี้อาตมาไม่สจู้ ะตืน่ เต้นแลว้ ตวั เอง
น่ะ ก่อนน้ีอยากจะไปเมืองนอกเมืองนา ไปดูที่แปลกประหลาด ท่ีได้อ่าน
ไดย้ ินไดฟ้ งั อยากจะไปดู อยากจะไปเห็น พอมาศึกษาธรรมะนาน ๆ เข้า
บอก...โอ!้ ไอค้ วามโง่โวย้ มนั มอี ะไรทไี่ หนแปลกประหลาดละ่ มนั ไมม่ ีอะไร
แปลกประหลาด มันเปน็ อทิ ปั ปจั จยตาทงั้ น้นั เลย ไมว่ ่าชนิดไหน ตอ่ ใหไ้ ป
เมอื งเทวดามนั กไ็ มแ่ ปลกประหลาด มนั กเ็ ปน็ อทิ ปั ปจั จยตา มนั เลยไมต่ นื่ เตน้
เดี๋ยวนี้ใครจะมาออกเงินให้หมด พาไปเท่ียวเมืองนอก ไปดูของ
แปลกประหลาด ก็บอกว่าไม่ไปหรอก ขอทีเถอะอย่าต้องไป ไม่อยากจะท่ี
เรยี กวา่ ยกั กระดกู ไมอ่ ยากจะยกั กระดกู ไมต่ อ้ งไป ไมต่ อ้ งไปทไ่ี หน ขอนอน
อยทู่ น่ี ่ี ไมต่ อ้ งไปหรอก นเ่ี พราะวา่ ความตนื่ เตน้ มนั ลดลงไป ถา้ ความตน่ื เตน้
มันมีมาก ใครพดู อะไรทไ่ี หนก็ไปแหละ เสยี สตางค์เองแหละ ไมต่ ้องมีใคร
พุ ท ธ ท า ส ภิ ก ขุ 17
มาเสยี สตางคใ์ ห้ ใหม้ นั ไปดขู องแปลกไปเมอื งนอกเมอื งนา เดย๋ี วนไี้ มม่ อี ะไร
หรอก ตอ่ ใหใ้ ครมาชวนไปโลกพระจนั ทรก์ ไ็ มไ่ ป ออกคา่ รถ คา่ เรอื คา่ พาหนะ
ใหห้ มดกไ็ มไ่ ปหรอก มนั บา้ น่ี มนั โงน่ ี่ มนั โรคตน่ื เตน้ แลว้ กเ็ ปน็ โรคชนดิ หนง่ึ
๖.- ๗. ความวติ กกงั วลและอาลยั อาวรณ์
ทีนี้มันกม็ ีโรควิตกกังวล นม่ี นั เปน็ เร่อื งอนาคต วติ กไปวา่ จะเป็น
อยา่ งน้ัน จะเป็นอยา่ งนี้ ใครไมว่ ิตกกังวล ใครนอนหลบั สนิททันที ไมว่ ิตก
เกย่ี วกับอนาคตบา้ ง
ความวิตกน้ีคู่กันกับอาลัยอาวรณ์ นี้ เป็นเร่ืองอดีตท่ีผ่านมาแล้ว
มนั ยงั อาลยั อาวรณ์ วติ กกงั วลมนั กเ็ ปน็ เรอื่ งอนาคตขา้ งหนา้ อาลยั อาวรณก์ ็
เป็นเรอื่ งอดตี ขา้ งหลัง ใครบ้างไม่เป็นโรคนี้ ใครนอนลงแล้วหลับสนิททันที
บ้าง มันก็ต้องมีอาลัยท่ีนั่นท่ีนี่ อาวรณ์ท่ีนั่นท่ีนี่ แล้วโดยเฉพาะถ้ามันเป็น
เร่ืองรุนแรงแล้วมันจะเป็นจะตาย ลูกมันจะตกนํ้าตายลูกมันจะถูกรถทับ
ตาย นี่พ่อแม่มันก็หายใจไม่เป็นสุขอยู่ท่ีบ้าน หรือว่าถ้าลูกมันได้ตายไป
จริง ๆ มันก็อาลัยอาวรณ์ร้องห่มร้องไห้อยู่หลายวันหลายเดือน นี่มันเป็น
โรคอาลยั อาวรณ์ โรคทางจิต โรคทางวิญญาณ
๘. ความอิจฉารษิ ยา
ทีน้มี ันโรคอจิ ฉาริษยา นอี่ ย่าเข้าใจวา่ เป็นเร่ืองง่าย ๆ อจิ ฉารษิ ยา
น่ีมันโรคลึกในวิญญาณเหมือนกัน เป็นโรคทางสัญชาตญาณเหมือนกัน
ไม่อย่างนั้นแล้วเด็กเล็ก ๆ มันก็ไม่อิจฉาพ่ีอิจฉาน้องมันไปได้หรอก ตัว
เล็ก ๆ น่ะมันอิจฉาเป็นแล้ว เพราะมันติดมาแต่ในสันดาน อิจฉาริษยา
ยา18 ระงบั สรรพโรค
เป็นโรคของสัญชาตญาณ เพียงเขาดีกว่าเราเท่าน่ันแหละ ถ้าใครสวย
กว่าตัวแล้วอิจฉาท้ังน้ันแหละ ไม่ต้องมีเรื่องอะไรเพียงแต่เขาสวยกว่า
ตัวมันก็อิจฉา โรคอิจฉาริษยามันไม่มีเหตุผลอะไรมากมาย แล้วมันก็
กดั หัวใจกมี่ ากนอ้ ย
โรคอิจฉาริษยานี่มันกัดหัวใจก่ีมากน้อย ขอให้ลองคิดดู ถ้าเป็น
เรื่องรํ่ารวย สวยกว่า ดีกว่า มีอำ�นาจวาสนากว่า แล้วมันก็อิจฉาริษยา ๆ
เด๋ียวน้ีมนั กเ็ ป็นเรื่องอิจฉากนั ระหว่างประเทศตา่ ง ๆ นานา มนั จะแยง่ กนั
ครองโลก มนั อจิ ฉารษิ ยากนั มนั กค็ ดิ จะลา้ งผลาญกนั โรคอจิ ฉารษิ ยานแี่ หละ
มันจะทำ�ให้โลกาวินาศ “อิจฺฉา โลกนาสิยา...ความริษยา เป็นเคร่ืองทำ�
โลกใหฉ้ บิ หาย”
คอยดู ถ้ามนั ระงบั ความอิจฉาไม่ได้แล้ว มันก็ใชอ้ าวุธมหาประลัย
นิวเคลียร์อะไรกันขึ้นมา มนั กว็ ินาศเทา่ นนั้ เพราะโรคอิจฉารษิ ยา แตเ่ ดย๋ี วนี้
อจิ ฉากนั ทว่ั ไป อยทู่ บี่ า้ นทเ่ี รอื นนม่ี นั กอ็ จิ ฉาเสยี แลว้ ถา้ เหน็ วา่ พรกิ มะเขอื
มะละกอ หมาก ส้ม ของเขาเปน็ ลูกดกกว่าของเรา ก็อิจฉาเสยี แล้ว เพียง
เท่านั้นมันก็อิจฉาเสียแล้ว เป็นเร่ืองธรรมดาสามัญที่สุด บางทีไม่ได้เป็น
เร่อื งอะไรกันกอ็ ยากให้เพือ่ นฉิบหาย เพราะมันเป็นคเู่ คยี งคูแ่ ขง่ กัน อยาก
ใหไ้ ฟไหม้บา้ นเพ่อื น นํ้าทว่ มบ้านเพื่อน อยา่ มาท่วมบ้านกู นคี่ อยอิจฉา
รษิ ยา เปน็ โรคทางวญิ ญาณอย่างนี้ ถ้าไมม่ ีจะดไี หม
๙. ความหวง
ความหวง นี่ก็เปน็ เรื่องเปน็ ไปได้ กระทั่งชนิดวติ กกงั วล คอื หวง
ลว่ งหน้า ไม่ทนั มีเร่อื งมีราวกห็ วงไว้ลว่ งหนา้ ยงิ่ กวา่ มดแดง มดแดงมนั หวง
เพราะมสี งิ่ ทจ่ี ะหวง แตค่ นนไ่ี มต่ อ้ งมวี ตั ถขุ า้ วของมนั กห็ วงไวล้ ว่ งหนา้ ตงั้ แต่
พุ ท ธ ท า ส ภิ ก ขุ 19
วา่ มะมว่ งยงั ไมอ่ อกลกู มนั กห็ วงไวล้ ว่ งหนา้ วา่ มนั ออกมากจู ะไมใ่ หใ้ ครหรอก
มันก็หวงไว้ล่วงหนา้ อย่างน้กี ไ็ ด้ เป็นความหวง หวงแหน มจั ฉรยิ ะ แปลว่า
หวงแหน หวงเงินหวงทอง หวงข้าวหวงของ หวงความดี กลัวว่าคนอ่ืน
จะดีเท่าตัว ก็ไม่อยากจะให้คนอื่นดีข้ึนมา ก็หวงความดี ก็ปิดความรู้ มี
ความร้อู ะไรกไ็ ม่อยากใหเ้ พือ่ นรู้ หวงเสียนี่
๑๐. ความหงึ
ถา้ มันเป็นในวงแคบเขา้ มา เขม้ ขน้ เขา้ มา มนั ก็เปน็ ความหึง ความ
หึงน่ีรู้กันแล้วไม่ต้องอธิบายหรอก ความหึงนี่มันกัดหัวใจเท่าไร คนหึงรู้ดี
ไม่ต้องพูดก็ได้...กัดหัวใจกี่มากน้อย คนที่หึงเป็นหรือหึงอยู่มันรู้ดี ความ
หวง ความหึงอันน้กี เ็ ปน็ โรคทางวญิ ญาณ
๑๑. ความตดิ ยดึ ของคู่
ความยึดในของคู่ อันน้ีลึกละเอียด ติดยึดในของเป็นคู่ ๆ ทำ�ให้
เกดิ ความอยากขนึ้ มาสองทาง คอื ทางบวก และทางลบ ทางบวก อยากจะ
ได้ อยากจะเอา อยากจะมี อยากจะเป็น อยากจะยดึ ครอง ทางลบ ก็ตรง
กนั ข้าม อยากไมม่ ีไม่เป็น อยากจะฆา่ เสีย อยากจะทำ�ลายเสีย อยากจะไป
ใหพ้ น้ เสยี คอื ยนิ รา้ ย มสี ง่ิ ทนี่ า่ ยนิ ดกี ย็ นิ ดี หลงใหล มสี งิ่ ทน่ี า่ ยนิ รา้ ยกย็ นิ รา้ ย
มันปกติอยู่ไม่ได้ อย่างน้ีก็เรียกว่า บวกหรือลบ เป็นภาษาวิทยาศาสตร์
บวกน่ะคือต้องการ ลบน่ะคือไม่ต้องการ มีบวก มีลบ เม่ือมีส่ิงมากระทบ
ทางตา หู จมกู ล้นิ กาย ใจ ฟงั ใหด้ ี ถ้ามีสิง่ มากระทบตา หู จมูก ล้ิน กาย
ใจ เกิดเวทนาขนึ้ มาแล้ว จะมคี วามรูส้ ึกไม่เปน็ บวกกเ็ ป็นลบ ถ้าเวทนาน้ัน
ยา20 ระงับสรรพโรค
ถูกใจก็รับเอา ยินดี หวงแหน...เป็นบวก ถ้าไม่ถูกใจมันก็เป็นลบ เกลียด
โกรธ อยากจะฆ่า อยากจะทำ�ลาย นีเ่ รอื่ งเปน็ บวกเป็นลบ ยินดยี ินร้าย ฟู ๆ
แฟบ ๆ น้เี ป็นเรือ่ งเปน็ ของคู่ ๆ เป็นธรรมดา ก�ำ ไรกช็ อบ ขาดทนุ กไ็ มช่ อบ
ไดเ้ ปรียบกช็ อบ เสยี เปรียบกไ็ มช่ อบ ชนะก็ชอบ แพ้ก็ไม่ชอบ มันกเ็ ปน็ คู่ ๆ
ไมร่ ้จู ักกี่รอ้ ยคู่ เปน็ คนท่ีติดอยู่ในความหมายของสิ่งทีเ่ ป็นคู่ มจี ติ ใจไมป่ กติ
ไม่เป็นอุเบกขา มันก็เป็นทุกข์ มันก็หวังด้วย ความเป็นบวกก็หวัง หวังย่ิง
กว่าหวังส่ิงใด เหมือนกับคนหวังสวรรค์ ก็หวังจนหมดหัวใจ หวังจนตาย
หรอื วา่ ถา้ เกลยี ดนรก กเ็ อามาเกลยี ดกลวั จนไมม่ คี วามสขุ ถา้ ไมต่ อ้ งเกลยี ด
ไมต่ อ้ งรกั ไมต่ ้องหวงั อะไร มันไมด่ ีกวา่ หรอื
ทจ่ี รงิ ความเปน็ คนู่ เี่ ปน็ เหตใุ หเ้ กดิ ความเหน็ แกต่ วั ทม่ี นั นา่ รกั กเ็ กดิ
ตวั กทู จี่ ะรกั ขนึ้ มาทนั ที ทม่ี นั นา่ โกรธ ไมน่ า่ รกั กเ็ กดิ ตวั กทู ไี่ มร่ กั ขน้ึ มาทนั ที
ตัวกูไม่ได้เกิดอยู่ตลอดเวลาหรอก แต่เม่ือมีสิ่งที่มาครอบงำ�ใจรุนแรง เช่น
ความอรอ่ ย สวยงามอะไรครอบง�ำ ใจ กเ็ กดิ ตวั กทู น่ี า่ รกั ทจี่ ะเอาขน้ึ มา ถา้ วา่
มนั ไมอ่ รอ่ ย ไม่สวย ไมง่ าม ไม่นา่ ปรารถนา ก็เกดิ ตัวกูท่ีเกลยี ดโกรธขนึ้ มา
ตัวกูมันเพิ่งเกิดเมื่อมีอารมณ์อย่างนี้เข้ามา ถ้าไม่มีอารมณ์อย่างน้ีจิตมันก็
ปกติ มันก็นอนหลบั พอมีอารมณ์แรง ๆ เขา้ มาทางบวก กเ็ กิดเปน็ ตวั กู
ฝา่ ยบวก อารมณ์แรง ๆ ฝ่ายลบเข้ามา กเ็ กดิ ตวั กูฝ่ายลบ นกี้ ็เรยี กเปน็ ของ
คู่ ๆ เป็นดีเป็นช่ัวก็ได้ แต่ว่าดีชนิดท่ีมันบ้าได้ หลงได้ เมาได้ บ้าดี เมาดี
หลงดี นี่มันก็คือไฟชนิดหน่ึง ชั่วก็เหมือนกัน หลงเข้ามันก็วินาศท้ังนั้น
สขุ ก็เถอะ บ้าสขุ เมาสุข หลงสขุ กไ็ ม่มคี วามสุขหรอก
ทีนี้ ความติดยึดนมี้ ันกส็ ูงขึ้นมาถงึ บญุ : ลองบา้ บุญซี บา้ บญุ
เมาบญุ หลงบุญ จะไมม่ แี ผ่นดนิ อยู่ ฉะนัน้ อย่าหลงของเปน็ คู่เลย อย่เู ป็น
พุ ท ธ ท า ส ภิ ก ขุ 21
ปกติตรงกลางดีกว่า พูดแล้วมันจะไม่มีใครชอบหรอก เม่ือไม่เอานรกแล้ว
ก็อย่าเอาสวรรค์เลย มนั บ้าเทา่ ๆ กนั แหละ เมือ่ ไมอ่ ยากไดน้ รกแล้ว ก็อยา่
อยากไดส้ วรรคเ์ ลย มนั บ้า ๆ บอ ๆ พอ ๆ กันแหละ ตอ้ งการพระนิพพาน
เถิด ไม่บวกไม่ลบ สวรรค์เป็นบวก นรกเป็นลบ พระนิพพานไม่เป็นบวก
ไม่เป็นลบ เพราะมันไม่อยู่เป็นคู่ มันอยู่นอกคู่หรือเหนือคู่ แต่คนเราก็มี
จติ ใจติดอยูใ่ นของเป็นคู่ ๆ อยา่ งนเ้ี รียกวา่ เปน็ โรคทางวญิ ญาณ
โรคร้ายกาจทางวิญญาณ ทรมานจิตใจท่ีสุด ที่รักก็ทำ�ให้ลำ�บาก
เพราะรัก ที่เกลียด ท่ีน่าเกลียด ท่ีน่าชัง ก็ทำ�ให้ลำ�บากเพราะเกลียด ท่ี
นา่ เกลียด ท่นี า่ ชัง อยู่ในกองเพลิงแหละ อย่ามีรัก อย่ามีชัง ไมม่ บี วก ไมม่ ี
ลบ นั่นแหละก็จะสบาย นี่เรียกว่าเป็นโรคหลงในของท่ีเป็นคู่ ได้หรือเสีย
นีม่ นั ก็เป็นค่หู นึ่ง ตรงกนั ข้ามบา้ ได้ หลงได้ กลัวเสยี กลวั อะไรกันอยู่ตลอด
เวลา ทรมานจิตใจด้วย เรื่องได้เร่ืองเสียตลอดเวลา ขยายออกไปเป็นวิตก
กังวล วติ กกังวลนอนไม่หลบั วติ กกังวลนาน ๆ เขา้ ก็เปน็ โรคกระเพาะ โรค
มีแผลในกระเพาะใหญโ่ ตไปเลย
ขอใหเ้ รารวู้ า่ เรอ่ื งความรสู้ กึ ทเ่ี ปน็ บวกเปน็ ลบนมี่ นั รา้ ยกาจทส่ี ดุ เลย
อย่าไปบวกไปลบกันมัน ปกติ ๆ น่ะหมายความว่าไม่เป็นบวกไม่เป็นลบ
ถา้ วา่ มนั มคี วามเปน็ บวกข้ึนมาแลว้ มนั ก็หลอกให้รักแหละ ถ้ามคี วามเปน็
ลบข้นึ มามันก็หลอกใหเ้ กลยี ดใหก้ ลัวแหละ ขอใหเ้ ข้าใจไวอ้ ยา่ งน้ี
๑๒. ความสงสัย
ทีน้ีตัวอย่างข้อสุดท้ายอีกสักข้อหน่ึงก็ว่า ความสงสัย คำ�ว่าความ
สงสัยนกี่ ค็ อื ความไม่แน่ใจ หรอื ความไม่มีศรัทธากไ็ ด้ ไมม่ ศี รทั ธา มนั ก็
ไม่แน่ใจ มันก็สงสัย ถ้าไม่แน่ใจว่าเราได้ทำ�ถูกต้องแล้ว ครบถ้วนแล้ว
ยา22 ระงับสรรพโรค
ปลอดภัยแล้ว มันก็ตอ้ งเปน็ วติ กกังวลอยู่อย่างนั้นแหละ เรื่องละกิเลสเป็น
พระนพิ พานกเ็ หมอื นกนั มนั ยงั ไมแ่ นใ่ จ มนั ยงั สงสยั อยวู่ า่ เรายงั ท�ำ ไวไ้ มพ่ อ
ยังจะต้องไปตกนรกเล่นสักพักหนึ่ง ใครบ้างละท่ีมันแน่ใจได้ก็มีบุญมาก
ใครที่แน่ใจได้ไม่มีความสงสัยในข้อนี้แล้วก็นับว่ามีบุญมาก ถ้ายังสงสัย
ไม่แน่ใจอยู่ ก็ยังเป็นโรคทางวิญญาณ
เปน็ โรคทางวิญญาณเพราะขาดธรรมะ
ขอใหจ้ �ำ ไว้ดี ๆ เถอะ น่มี ันเปน็ เร่อื งทดสอบ ทดสอบว่ามีธรรมะ
หรือไม่มี มีธรรมะเคร่ืองดับทุกข์เพียงพอแล้วหรือยัง อาการของโรคทาง
วญิ ญาณนน้ั มมี ากละ ถา้ จะแจกกนั แลว้ มมี ากหลายสบิ อยา่ ง แตเ่ อาอยา่ งท่ี
เข้ม ๆ ขน้ ๆ เห็นได้งา่ ยมาพดู ใหฟ้ งั พอเป็นตวั อย่างสำ�หรับศกึ ษาตอ่ ไปว่า
ความรกั กเ็ ปน็ โรคทางวญิ ญาณ ความโกรธ กเ็ ปน็ โรคทางวญิ ญาณ
ความเกลียด ก็เป็นโรคทางวิญญาณ ความกลัว ก็เป็นโรคทางวิญญาณ
ความต่ืนเต้นสงบอารมณ์ไว้ไม่ได้ ก็เป็นโรคทางวิญญาณ ความวิตกกังวล
ในอนาคต กเ็ ปน็ โรคทางวญิ ญาณ ความอาลยั อาวรณใ์ นอดตี กเ็ ปน็ โรคทาง
วญิ ญาณ ความอจิ ฉารษิ ยา กเ็ ปน็ โรคทางวญิ ญาณ ความหวง กเ็ ปน็ โรคทาง
วญิ ญาณ ความหงึ ก็เปน็ โรคทางวญิ ญาณ ความหลงใหลในของเป็นคู่ ดึง
ซ้ายดึงขวาอยู่ไม่หยุดหย่อน น่ีก็เป็นโรคทางวิญญาณ ความสงสัย ไม่มี
ความแนใ่ จวา่ ปลอดภยั แลว้ แนใ่ จวา่ หลดุ พน้ ไดแ้ ลว้ กเ็ ปน็ โรคทางวญิ ญาณ
ทรมานใจ เห็นได้หรือยังว่ามันเป็นโรคทางวิญญาณ เป็นได้ติดต่อกันทุก
ลมหายใจเข้าออกได้ ส่วนโรคทางกายน่ะ บางทีตั้งเดือนหนึ่งก็ไม่ได้เป็น
อะไรเลย แต่โรคทางวิญญาณน้ีในวันหน่ึงเท่านั้น จะเป็นเสียตั้งสิบอย่าง
ยสี่ บิ อย่างรอ้ ยอยา่ งก็ได้ ถ้ามันเกง่ ความคิดทีม่ ันผดิ ปกติไปผิดหลักธรรมะ
พุ ท ธ ท า ส ภิ ก ขุ 23
ไปเทา่ นั้นแหละ มนั กเ็ ปน็ โรคทางวิญญาณ เรามารกั ษาโรคทางวิญญาณ
นนั่ แหละ มนั จงึ จะหมดโรค หรือจงึ จะปลอดโรค
ยาแกโ้ รคทางวญิ ญาณ
ทีน้ีก็จะพูดกันถึงยาแก้โรคทางวิญญาณ พิมพ์แจกกันไปหลายพัน
หลายหมน่ื ฉบับแลว้ จะได้ผลคุม้ คา่ หรอื ยงั กไ็ มท่ ราบ จะบอกชือ่ ตวั ยาหรือ
เครอื่ งยาเสยี ก่อน
ตน้ “ไม่รู้ - ไมช่ ้ี” นเี่ อาเปลอื ก
ตน้ “ช่างหัวมนั ” น้นั เลือก เอาแกน่ แขง็
“อย่างน้นั เอง” เอาแตร่ าก ฤทธ์มิ นั แรง
ต้น “ไม่มกี ู – ของก”ู น้แี สวง เอาแตใ่ บ
ตน้ “ไมน่ า่ เอา - ไมน่ า่ เป็น” เฟ้นเอาดอก
“ตายกอ่ นตาย” เลอื กออก ลูกใหญ่ ๆ
หกอยา่ งน้ ี อยา่ งละชง่ั ต้งั เกณฑไ์ ว้
“ดบั ไมเ่ หลือ” สงิ่ สุดทา้ ย ใช้เมล็ดมัน
หนกั หกช่งั เทา่ กบั ยาทงั้ หลาย
เคลา้ กันไป เสกคาถา ทอ่ี าถรรพ์
“สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย” อัน
เป็นธรรมชั้น หฤทัย ในพทุ ธนาม
จดั ลงหมอ้ ใสน่ าํ้ พอทว่ มยา
เคี่ยวไฟกลา้ เหลือได้ หน่ึงในสาม
หน่ึงชอ้ นชา สามเวลา พยายาม
กนิ เพ่ือความ หมดสรรพโรค เปน็ โลกอดุ ร ฯ
ยา24 ระงบั สรรพโรค
ยาน้ตี อ้ งการเคร่อื งยา ๗ อย่าง คือ
เปลือกตน้ “ไมร่ ไู้ มช่ ”้ี แลว้ ก็แกน่ ต้น “ช่างหวั มัน” แล้วกร็ ากต้น
“อยา่ งนน้ั เอง” แลว้ กใ็ บตน้ ทวี่ า่ “ไมม่ ตี วั กขู องก”ู แลว้ กด็ อกตน้ “ไมน่ า่ เอา
นา่ เปน็ ” แลว้ กล็ กู ตน้ ของ “ตายเสยี กอ่ นตาย” แลว้ กเ็ มลด็ ตน้ “ดบั ไมเ่ หลอื ”
๖ อยา่ งแรกเอาอยา่ งละ ๑ ชั่ง อย่างสุดท้าย “ดับไม่เหลอื ” นส่ี �ำ คัญมาก
เอา ๖ ช่ัง เท่ากับส่ิงอ่ืนรวมกัน เรียกว่าเท่ายาทั้งหลายรวมกันแล้วก็เป็น
๑๒ ชั่ง ก็ใสห่ มอ้ ใส่น้าํ ต้มให้เหลอื ๑ ใน ๓ กนิ ๓ เวลา ครง้ั ละหนงึ่ ช้อนชา
เรอื่ ย ๆ ไป ก็จะหมดโรค หมดสรรพโรค เป็นโลกอดุ ร อยเู่ หนอื โลก เหนือ
โลกซึ่งเป็นโรค
เครอ่ื งยาทาไดท้ ่ใี นตวั เอง
จะตอ้ งรจู้ กั เครอ่ื งยา มคี นมาถามเหมอื นกนั ถามอาตมาวา่ เครอื่ งยา
นจ่ี ะไปซ้ือที่ไหน ไปซ้อื ทีร่ า้ นไหน อาตมากต็ อบไมถ่ ูก งงเหมอื นกนั เครือ่ งยา
เหล่าน้ีมันคงไม่มีท่ีร้านไหนขายหรอก แล้วท่ีในป่าในทุ่งในนานี่มันก็คงจะ
ไม่มี มันก็ต้องหาในตัวคน ในตัวคุณเอง ท่ีกาย วาจา ใจของคุณ ในชีวิต
ของคุณ ก็หาเครื่องยานด้ี สู ิ
๑. ไม่รไู้ มช่ ี้
ไมร่ ไู้ มช่ ี้ ๆ กอ็ ย่าไปจจู้ ้ีอะไรใหม้ นั มากนกั อยา่ ไปจ้จู อี้ ะไรใหม้ นั
เกินไป อยา่ จจู้ ีพ้ ถิ พี ถิ นั นั่นน่มี ากเกนิ ไป ไมม่ เี รอ่ื งก็ท�ำ ให้มันมีเร่อื ง เรือ่ ง
มันนอ้ ยกไ็ ปทำ�ให้เรื่องมันมาก นน่ั น่ะเรียกว่ามันรู้มันช้มี ากเกนิ ไป
พุ ท ธ ท า ส ภิ ก ขุ 25
มันวิตกกังวลไม่เข้าเรื่อง อาลัยอาวรณ์ไม่เข้าเร่ือง น่ีรู้จักไม่รู้ไม่ช้ี
เสียบ้าง ท่ีมันควรจะไม่รู้ไม่ชี้ได้ก็อย่าไปรู้ไปช้ีกะมัน คนแก่ ๆ เขาว่า จู้จ้ี
พิถีพิถันมากจะเป็นโรค นี่ต้องรู้จักไม่รู้ไม่ชี้กันเสียบ้าง บางอย่างแกล้งทำ�
หหู นวกตาบอดเสียดกี ว่า นไ่ี ม่รไู้ มช่ ี้
๒. ชา่ งหัวมนั
แลว้ ก็ ชา่ งหวั มนั ชา่ งหัวมนั คอื รวู้ า่ ทกุ อย่างมนั ต้องเปน็ ไปตามกฎ
อิทัปปัจจยตา กฎอิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาท มันมีของมันอย่างนั้น เรา
จะไมใ่ หม้ นั เปน็ อยา่ งนน้ั ใหม้ นั ไปตามความตอ้ งการของเรานมี้ นั กไ็ มไ่ ด้ เมอ่ื
มนั ต้องเปน็ ไปตามกรรม หรอื ตอ้ งเปน็ ไปตามกฏอทิ ปั ปจั จยตา กช็ า่ งหัวมนั
ก็ได้ในท่ี ๆ ควรจะช่างหัวมัน
แต่มีขอ้ ยกเวน้ บางเรอ่ื งช่างหัวมันไมไ่ ด้ ชีกระจ่างเขาเอาเครือ่ งช่ัง
มาวาง แล้วเอาหัวมันมาวางไว้บนเคร่ืองช่ังเพ่ือจะให้เกิดความหมายว่า
“ชง่ั หวั มนั ” ชง่ั หวั มนั อยา่ งนค้ี ณุ เอาไปท�ำ ยาไมไ่ ดห้ รอก เครอ่ื งชง่ั กบั หวั มนั
น้ีคุณเอาไปทำ�ยาไมไ่ ด้ จะต้องรู้จกั ทำ�จติ ใจอย่าใหม้ นั เป็นทกุ ข์ มนั รู้ มนั ชี้
มันจู้จี้ มันจรงิ จงั ไปเสยี หมด
ชา่ งหัวมนั นม่ี ีคำ�กลอนท่ีเขยี นไวน้ านแล้วว่า :
จงยนื กราน สลดั ท่วั ชา่ งหัวมัน
ถา้ เรื่องนนั้ น้ันเปน็ เหต ุ แห่งทุกข์หนา
อยา่ สำ�ออย ตะบอยจัด ไวอ้ ัตรา
ตวั กกู ลา้ ข้ึนเร่อื ยไป อดั ใจตาย
ยา26 ระงบั สรรพโรค
เรือ่ งนน้ั นดิ เร่อื งนี้หน่อย ลอยมาเอง
ไปบวกเบง่ ให้เห็นวา่ จะฉิบหาย
เรอื่ งเลก็ นอ้ ย ตะบอยเห็น เปน็ มากมาย
แต่ละราย รบี เขวี้ยงขว้าง ช่างหวั มัน
เมื่อตัวกู ลหู่ ลบุ ลงเทา่ ไร
จะเยอื กเย็น ลงไป ได้เท่าน้นั
รอดตัวได้ เพราะรใู้ ช้ “ชา่ งหวั มนั ”
จงพากนั หัดใช ้ ไวท้ กุ คน ฯ
หดั ใชค้ วามคดิ เรอื่ งชา่ งหวั มนั นไี้ วพ้ อสมควร ใหร้ จู้ กั ชา่ งหวั มนั ชา่ ง
หัวมันน่ีตัดออกไปเสียได้ตามสมควร ถ้ามันเป็นเร่ืองที่ว่า มันเป็นไปตาม
ธรรมดาตามกฎอทิ ัปปจั จยตา
ทนี ี้อกี ทางหนง่ึ ตรงกนั ข้าม อยา่ ชา่ งหวั มนั ๆ ถา้ มันเป็นเรอื่ งท่ีจะ
ต้องช่วย จะต้องแก้ไขแล้วน่ี อย่าช่างหัวมันก็เลยมีคำ�กลอนที่ตรงข้ามว่า
อยา่ บา้ บิน่ มัวแตอ่ ้าง ช่างหวั มนั
ถา้ เรอื่ งนน้ั เกย่ี วกบั เพอื่ น มนษุ ย์หนา
ต้องเอ้อื เฟอ้ื ปฏิบัติ เต็มอตั รา
โดยถอื วา่ เปน็ เพื่อนเกดิ แก่เจบ็ ตาย
การช่วยเพอ่ื น เหมือนชว่ ย ตวั เราเอง
เมือ่ จิตเพง่ เล็งช่วย ทวยสหาย
ยอ่ มลดความ เหน็ แก่ตัว ลงมากมาย
ทุกทุกราย อย่าเขวยี้ งขว้าง ชา่ งหวั มัน
พุ ท ธ ท า ส ภิ ก ขุ 27
เหน็ แก่ตัว บางเบา ลงเท่าไร
ยงิ่ เขา้ ใกล้ พระนพิ พาน เห็นปานนนั้
รอดตัวได ้ เพราะไม่มัว ช่างหัวมัน
จงพากนั ใคร่ครวญ ถ้วนทุกคน ฯ
ชา่ งหวั มนั นะ่ มนั ตอ้ งใชใ้ นกรณที ค่ี วรชา่ งหวั มนั แตถ่ า้ ในการบ�ำ เพญ็
ประโยชน์ผู้อ่ืน ช่วยเหลือผู้อื่นอย่างนี้แล้วก็ไม่ช่างหัวมัน นี่มันจะมาท�ำ ให้
เราเป็นทุกข์ยุ่งยากลำ�บากรำ�คาญหยุมหยิม ๆ ไปเสียหมดนี่ ช่างหัวมัน
เสียบา้ ง ร้จู ักช่างหวั มนั ท้งิ ไปเสียบ้าง กไ็ ดเ้ คร่ืองยามา
๓. เชน่ นนั้ เอง
ท่นี ีก้ ็มาถงึ เชน่ นน้ั เอง ความเจบ็ ไข้มันก็มีตามธรรมชาติ ความเกดิ
ความแก่ ความเจ็บ ความตาย มันก็มตี ามธรรมชาติ ความวิบัติทีเ่ ราไมค่ ดิ
ไมห่ วงั มนั กต็ ามธรรมชาติ เราจงเหน็ วา่ มนั เปน็ เรอื่ งเชน่ นน้ั เอง อยา่ งทกี่ ลา่ ว
มาแลว้ วา่ ดชี วั่ บญุ บาป บวกลบ นกี่ เ็ ปน็ เชน่ นน้ั เอง บญุ มนั กท็ �ำ ใหเ้ วยี นวา่ ย
บาปมันกท็ ำ�ให้เวียนว่าย ให้เวียนว่ายไปในวฏั ฏสงสาร ตอ้ งพน้ บุญพน้ บาป
ใหเ้ หน็ วา่ มันเชน่ น้นั เอง ไม่บญุ ไม่บาปมันกอ็ ยา่ งนี้ มนั จงึ จะหยดุ เวียนวา่ ย
ใหเ้ ห็นเช่นนน้ั อง
คำ�นี้มันสูงสุดในพระพุทธศาสนาคำ�หนึ่งด้วยเหมือนกัน จำ�ไว้ว่า
“ตถตา” หรอื “ตถาตา” ก็ไดเ้ หมอื นกัน แปลวา่ “เชน่ น้ันเอง” ยง่ิ อายุมากๆ
แกช่ ราแลว้ กย็ งิ่ เกง่ ท่จี ะใชเ้ ชน่ น้นั เอง ๆ เพราะความเจบ็ ไข้มันมารบกวน
มากข้ึน แก่ชราแล้วอะไร ๆ โดยรอบข้างมันจะรบกวนมากขึ้น ลูกหลาน
มนั ก็มากขึน้ มันกร็ บกวนมากขึ้น ร้จู กั เช่นนัน้ เอง
ยา28 ระงบั สรรพโรค
เหน็ ว่ามนั เป็นอนัตตา มันไม่ใช่ตวั ตน คือทแี รกมันเห็นเป็นอนจิ จงั
มันเปล่ียนแปลงเร่ือย เพราะเปลี่ยนแปลงเร่ือยจึงลำ�บากยุ่งยาก เลยเป็น
ทุกข์ มันเปลี่ยนแปลงเร่อื ยนัน่ แหละ เปน็ ทุกข์แลว้ ไมม่ ใี ครตา้ นทานได้ นัน้
มันเป็นอนัตตา มันเป็นอนัตตาคือมันเป็นเช่นน้ันเอง มันเป็นไปตามกฎ
อิทัปปัจจยตา แล้วก็เห็นว่าเช่นนั้นเองก็เห็นสุญญตา ว่างจากตัวตน ๆ ๆ
นก่ี จ็ ะเหน็ เช่นน้นั เองถึงทสี่ ดุ เหน็ ตถาตาในทีส่ ุดไมห่ วนั่ ไหว ไมบ่ วก ไม่ลบ
ไม่ดี ไม่ช่ัว ไม่เกลียด ไม่กลัว ไม่รัก ไม่โกรธ ไม่อะไรหมดหรอก ถ้าเป็น
เช่นน้นั เอง คือ ตถาตา
ตถา แปลว่า เชน่ น้นั เอง คตะ แปลวา่ ถึง ตถาคตะ คอื พระตถาคต
แปลว่า ผูถ้ ึงซึง่ เช่นนนั้ เอง คอื เป็นพระอรหนั ต์ ผู้ใดมีเชน่ นัน้ เองเตม็ ที่ ไม่มี
หว่ันไหว ไม่มีบวก ไม่มีลบ ไม่มีข้ึน ไม่มีลง ไม่มีดีใจเสียใจ ไม่มีอะไรอีก
ตอ่ ไป นเ่ี รยี กวา่ พระตถาคต ถงึ ซงึ่ ความเปน็ เชน่ นน้ั เอง คอื ความคงทท่ี อี่ ะไร
ปรุงแต่งไม่ได้อีกต่อไป ถ้าเห็นเช่นน้ันเองเสียแล้ว มันไม่มีอะไรมาย่ัวได้
อะไรมาก็ “เช่นนั้นเอง” น่ารักมาก็เช่นนั้นเอง น่าเกลียดมาก็เช่นนั้นเอง
น่ากลวั มาก็เช่นน้นั เอง อะไรกป็ รุงแตง่ ไมไ่ ด้ น่นั ละคอื วา่ เห็นเชน่ นน้ั เอง
กค็ งท่ี กเ็ ปน็ พระตถาคต คอื เปน็ พระอรหนั ต์
๔. ไม่มีตวั กู – ของกู
ทีน้ีเครื่องยาที่สี่ก็ “ไม่มีตัวกู-ของกู” ไม่มีตัวกู ไม่มีของกู นี่คือ
สติปัญญาสงู สุด จะเหน็ ว่ามนั เป็นตามธรรมดา ตามธรรมชาติ มเี หตุปัจจยั
ปรงุ แต่งมนั กเ็ ป็นไปตามเหตุ ตามปจั จยั ตามอิทัปปจั จยตา ตามปฏิจจ-
สมุปบาท ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไปตามกฎของไตรลักษณ์ ไม่มี
อะไรที่จะดึงเอามาเป็นตัวกูของกู ที่จะต่อสู้กับกฎของธรรมชาติได้ แต่ว่า
พุ ท ธ ท า ส ภิ ก ขุ 29
ตวั กขู องกนู มี่ นั เกดิ มาในใจเพราะความไมร่ ู้ เพราะอวชิ ชา เพราะสญั ชาตญาณ
ตามธรรมดาของสงิ่ ทม่ี ชี วี ติ มนั ตอ้ งรสู้ กึ เปน็ ตวั กขู องกู เปน็ รากฐานส�ำ หรบั
จะได้หากิน สำ�หรับจะได้ต่อสู้ สำ�หรับจะได้ว่ิงหนีอันตราย สำ�หรับจะได้
สืบพันธ์ุไว้อย่าให้สูญพันธ์ุ น่ีละมันเป็นความรู้สึกของสัญชาตญาณในสิ่งท่ี
มีชีวิตท้ังหลาย ของมนุษย์ก็มี ของสัตว์เดรัจฉานก็มี ของต้นไม้ต้นไร่ก็มี
ความรู้สึกว่าตัวกูแม้แต่ต้นหญ้าไมยราบ เอามือไปถูกเข้ายังหุบเลย แล้ว
มันหนีภยั มันรูจ้ กั สงวนตัวกู ความรู้สกึ เปน็ ตวั กูมันมีในสง่ิ ทม่ี ชี วี ิต
แต่แล้วมันทำ�ให้เกิดปัญหา เกิดความเป็นทุกข์ เกิดความหนักอก
หนกั ใจ อยา่ มตี วั กขู องกกู นั ใหม้ นั ถงึ ขนาดนนั้ เลย ใหม้ ี “ตวั กซู ง่ึ มใิ ชต่ วั ก”ู
ฟังเหมือนกับบ้า มีตัวกูซ่ึงมิใช่ตัวกูน่ันแหละถูกต้อง มีตัวกูท่ีมันมิใช่ตัวกู
เราเรียกว่าตัวกู เราพูดว่าตัวกู เราเห็นว่าเป็นตัวกู จะรักมันอย่างตัวกู แต่
อย่าไปถือว่ามันเป็นตัวกูที่แท้จริง มันเป็นความคิดผิด เข้าใจผิดท่ีเกิดข้ึน
มาเอง นตี่ ัวกูซึ่งมใิ ชต่ ัวกู
พูดอกี อยา่ งหน่งึ ว่า ตัวตนซ่งึ มใิ ชต่ วั ตนน่ันแหละคือ ความจรงิ มนั
ไม่ได้เป็นตัวตนท่ีแท้จริง แต่จิตโง่ มันไปเอามาเป็นตัวตนท่ีแท้จริงของมัน
มันจึงมีตัวตนที่มิใช่ตัวตน ไม่มีตัวกูที่แท้จริง มันมีความโง่ทำ�ให้เกิดเป็น
ความคดิ ขน้ึ มาวา่ “ตวั ก”ู แลว้ เรากร็ กั สงิ่ ทนี่ า่ รกั แกต่ วั กนู ่ี แลว้ กเ็ กลยี ดโกรธ
สิง่ ทีน่ ่าเกลยี ดน่าโกรธแก่ตัวกู ตวั กูมนั จงึ กระโดดข้นึ กระโดดลง กระโดดขน้ึ
กระโดดลงตามความรู้สกึ ชอบหรอื ไมช่ อบอยอู่ ยา่ งน้ี มันก็เป็นทุกขเ์ ท่านนั้
เอง
ทม่ี ันมาพบกนั เขา้ อยา่ งน้ี มนั ก็เหมือนกบั ว่าบังเอิญมีธาตุ คอื ธาตุ
ทง้ั ๔ ดิน น้าํ ลม ไฟ ลอยมากระทบกันเข้าอาศยั อากาศธาตุ วญิ ญาณธาตุ
เป็นเคร่ืองผูกพันกันเข้า ก็เกิดเป็นสังขารร่างกายน้ีขึ้นมา เป็นร่างกายนี้
ยา30 ระงบั สรรพโรค
ขึ้นมา มชี วี ิตอย่ไู ม่เกนิ ๑๐๐ ปี กจ็ ะลาจากกันไปอกี มันเป็นเพยี งเทา่ น้ี
ตวั กซู งึ่ มใิ ชต่ วั กู เหมอื นกบั ของบงั เอญิ มาพบกนั เขา้ รวมกลมุ่ กนั อยู่
ชั่วคราว แล้วมันไม่เท่าไรก็จะจากกันไป หรือว่าเหมือนกับของยืม ยืมมา
ไมเ่ ท่าไหร่ก็ต้องส่งคนื เจา้ ของ ดิน น้ํา ลม ไฟ อากาศ วญิ ญาณ นีย่ มื มาท�ำ
เป็นตัวกู สักพักหน่ึง แล้วไมเ่ ทา่ ไรมันก็คืนเจา้ ของไป นไี้ มม่ ีตัวกไู ม่มีของกู
มคี วามรูใ้ นขอ้ น้ีกจ็ ะไดเ้ คร่ืองยา เครอื่ งยาชือ่ “ไม่มีตวั ก-ู ของกู” มาทำ�ยา
เราจะรู้เรื่องตวั กูของกูไวใ้ หเ้ พยี งพอ อย่าไปยดึ ม่ันถอื มน่ั ในเร่ืองนเี้ ลย
๕. ไม่นา่ เอา ไมน่ ่าเปน็
ทนี ท้ี วี่ า่ ไมน่ า่ เอาไมน่ า่ เปน็ คอื ไมม่ อี ะไรทนี่ า่ เอา ไมม่ อี ะไรทน่ี า่ เปน็
คำ�ว่า “เอา” น่ีเอาด้วยความโง่ ด้วยอุปทานความยึดม่ันถือม่ันว่า
กเู อา แลว้ กไู ดม้ าเปน็ ของกู อยา่ งนเ้ี รยี กวา่ เอา ถา้ เอาอยา่ งนแ้ี ลว้ ไมม่ อี ะไร
ทนี่ ่าเอาหรอก เอาแลว้ กัด กัดท้งั นนั้ แหละ ไปเอาเขา้ แลว้ กดั ทั้งนั้นแหละ
“เป็น” ก็เหมือนกัน ด้วยความหมายมั่นอุปาทานว่า กูเป็น กูเป็น
อย่างนั้น กูเปน็ อย่างนี้ ก็เปน็ สามีเปน็ ภรรยา เปน็ พอ่ แม่ เป็นลูก เป็นอะไร
เป็นด้วยอุปาทานนี้มนั กัดเอาท้งั น้ันแหละ
ถ้าเป็นก็เป็นตามความรู้สึกว่ามันสมมติ มันชั่วคราว มันทำ�หน้าท่ี
ชั่วคราว อย่าหมายมน่ั ให้มนั มากมายไปกวา่ น้ัน
มคี �ำ กลอนเขียนไว้วา่
ถา้ จะอย ู่ ในโลกน้ี อยา่ งมีสุข
อย่าประยุกต์ สง่ิ ทงั้ ผอง เป็นของฉัน
มนั จะสุม เผากบาล ทา่ นทงั้ วนั
ต้องปล่อยมัน เป็นของมัน อยา่ ผนั มา
พุ ท ธ ท า ส ภิ ก ขุ 31
เปน็ ของกู ในอำ�นาจ แหง่ ตวั กู
มันจะด ู วนุ่ วาย คลา้ ยคนบ้า
อย่างนอ้ ยก็ เปน็ นกเขา เขา้ ต�ำ รา
มนั ดกี วา่ กูของกู อยู่ร่ําไป
จะหามา จะมีไว ้ ใช้หรือกิน
ตามระบิล อย่างอิม่ หนำ� ก็ทำ�ได้
โดยไมต่ ้อง มนั่ หมาย ใหอ้ ะไร ๆ
ถูกยึดไว้ วา่ ตัวกู หรอื ของกู
ถ้าจะมีอะไร จะหาอะไร จะเก็บอะไร จะกินอะไร จะใช้อะไร ใน
จิตใจอย่าหมายม่ันว่าเป็นตัวกู เพราะมันจะรู้สึกหนักข้ึนมาในจิตใจ แล้ว
มนั จะมคี วามไมไ่ ดต้ ามตอ้ งการแทรกแซงอยเู่ สมอ มนั จะเกดิ เปน็ ทกุ ขข์ น้ึ มา
จงึ วา่ ถา้ จะอยใู่ นโลกนอี้ ยา่ งมคี วามสขุ แลว้ อยา่ ไปเอาอะไรมายดึ ถอื วา่ เปน็
ของฉัน มันจะสมุ เผากบาลทา่ นท้งั วัน พูดกนั ลืม พดู ให้มันแรง ๆ ให้มนั กัน
ลืมวา่ ถ้าเอามาเปน็ ของฉันของกู แลว้ มันกจ็ ะสมุ กบาลใหร้ ้อน เหมอื นกับ
เอาหม้อไฟมาทูนไว้บนศรีษะทั้งวันเลย ปล่อยให้มันเป็นของธรรมชาติไป
ตามเหตุตามปัจจยั ตามอทิ ัปปจั จยตา ตามปฏิจจสมปุ บาท ถา้ เอามาไว้ใน
อำ�นาจแห่งตัวกู มันก็ต้องต่อสู้กัน เพราะมันไม่อยู่ในอำ�นาจน่ี มันก็ต้อง
ต่อสู้กันเอะอะตึงตังเหมือนกับบ้านเรือนของคนบ้า มีแต่ความทะลึ่งตึงตัง
ทะเลาะววิ าท
หรือจะโง่เป็นนกเขา นกเขาก็แปลความว่านกเขาน่ีเป็นนกที่ขันว่า
กู ของกู ๆ ๆ ภาษาบาลกี ็เรียกนกเขาว่ากูของกู ๆ เหมอื นกนั มยั หก ๆ พูด
เปน็ ภาษาบาลไี วใ้ นบาลวี า่ “มยั หก ๆ ๆ” นกเขามนั ขนั วา่ “มยั หก” แปลวา่
กขู องกู ๆ เพราะฉะนน้ั คนที่จะไมเ่ ปน็ นกเขา ก็อยา่ ไปหมายม่นั อะไรวา่
ยา32 ระงับสรรพโรค
เป็นของกู จะหามาก็หามาอย่างธรรมชาติอย่างนั้น เก็บไว้อย่างธรรมชาติ
กินกก็ ินอย่างธรรมชาติ ถา่ ยก็ถ่ายอย่างธรรมชาตนิ ้ัน อย่าให้มคี วามหมาย
ในสิ่งใดสิ่งหนงึ่ ใหว้ ่าเป็นของกูขึ้นมาเลย
ทีนี้อีกบทหน่ึงว่า มีโดยไม่ต้องมีผู้มี ให้มีการมีตามกฎหมาย เรามี
บา้ นมเี รอื น มเี งินมที องตามกฎหมาย มไี ดโ้ ดยสมมตนิ น่ั มแี ตว่ า่ โดยไมต่ อ้ ง
มีผูม้ ี คือจิตใจอยา่ ไปมีเข้า ถ้ามีแลว้ มนั จะกดั เอา มีค�ำ กลอนเขยี นไว้ว่า :
ถ้ามอี ะไร แลว้ ใจ ร้สู กึ เหน่ือย
สำ�นกึ เร่ือย ว่ากมู ี อย่างนีห้ นา
มที ัง้ ก ู ท้ังของก ู อยู่อัตรา
นั่นอัตตา มาผุดข้ึน ในการมี
ถา้ มอี ะไร มไี ป ตามสมมติ
ไม่จับยุด ว่าของกู รวู้ ถิ ี
แห่งจติ ใจ ไมว่ ปิ ริต ผิดวิธี
มีอยา่ งนี้ ย่อมไมเ่ กดิ ตวั อัตตา
ฉะน้ันมีอะไร อยา่ ให้ม ี อัตตาเกิด
เพราะสต ิ อนั ประเสริฐ คอยกันทา่
สมบรู ณด์ ว้ ย สมั ปชัญญ ์ และปัญญา
นี้เรยี กวา่ รูจ้ ักม ี ท่เี กง่ เกนิ
เปน็ ศิลปะ แห่งการมี ทชี่ ้ันยอด
ไมต่ ้องกอด ไฟนรก ระหกระเหิน
มอี ย่างว่าง วา่ งอยา่ งม ี มไี ด้เพลนิ
ขอชวนเชิญ ใหร้ มู้ ี อยา่ งนแี้ ล
พุ ท ธ ท า ส ภิ ก ขุ 33
“มอี ย่างว่าง วา่ งอย่างมี” ค�ำ นลี้ กึ มาก ถ้าเขา้ ใจกว็ เิ ศษมีอย่างว่าง
แลว้ กว็ ่างอย่างมี มอี ยา่ งว่างไม่ต้องมีตวั ผมู้ กี ม็ ไี ปตามสมมติอยา่ งวา่ ง แลว้
ก็ว่างอย่างมี คือว่าง เรียกว่า ว่าง แต่มันก็มีการมี มีการมี เราไม่มีอะไร
ไม่ถืออะไรเป็นของเรา แต่มันก็มีการมีตามสมมติ มีตามสมมติ กฎหมาย
ช่วยคุ้มครองให้ เงินทอง บ้านเรือน ข้าวของไร่นาอะไรของเรา เราไม่ได้
ยึดถือว่ามี แต่มันก็มีโดยตามสมมติ มีตามสมมติกฎหมายช่วยคุ้มครองให้
นี่ละมอี ย่างว่าง วา่ งอยา่ งมี สองคำ�นจี้ ำ�ไวใ้ หด้ ี แลว้ มนั ก็จะไมม่ อี ะไรกัด
๖. ตายก่อนตาย
ไอ้เคร่ืองยาที่ ๖ คือ ตายก่อนตาย นี่ฟังยาก แต่ถ้าเข้าใจได้ก็จะ
วเิ ศษ ทจี่ ริงมนั ไม่ได้มบี คุ คล ตัวตน เรา เขา เราคิดวา่ เรามีเราอยู่ แล้วพอ
รา่ งกายแตกดบั เรากว็ า่ เราตาย แตถ่ า้ เหน็ วา่ มนั ไมไ่ ดม้ เี รา มนั กไ็ มม่ อี ะไรตาย
มนั กเ็ ท่ากบั ตายตัง้ แต่แรกเร่มิ เดมิ ที ตายตลอดเวลา นีเ่ รียกวา่ “ตายก่อน
ตาย” มีคำ�กลอนเขียนไว้สำ�หรบั เรื่องน้วี า่ :
ตายเมอ่ื ตาย ย่อมกลาย ไปเปน็ ผี
ตายไมด่ ี ไดเ้ ป็นที่ ผตี ายโหง
ตายทำ�ไม เพียงให้ เขาใส่โลง
ตายโอโ่ ถง นัน้ คอื ตาย เสียก่อนตาย
ตายก่อนตาย มใิ ช่กลาย ไปเป็นผี
แตก่ ลายเป็น สงิ่ ท่ี ไมส่ ญู หาย
ที่แทค้ ือ ความตาย ท่ีไม่ตาย
มีความหมาย ไมม่ ใี คร ได้เกดิ แล
ยา34 ระงบั สรรพโรค
คำ�พดู น ี้ ผันผวน ชวนฉงน
เหมอื นเลน่ ลนิ้ กะลาวน คนตอแหล
แตเ่ ป็นความ จริงอนั ไม่ผนั แปร
ใครคิดแก้ อรรถได ้ ไม่ตายเอย
“ตายกอ่ นตาย” เปน็ ปรญิ ญาของสวนโมกข์ ใครเรยี นจบ ศกึ ษาจบ
ได้ปริญญา “ตายกอ่ นตาย” คือไม่มีตวั ตลอดเวลา ถา้ ตายเมอ่ื ตาย มันตาย
ของคนมีตัว มีตัวกู แล้วมันตายก็กลายไปเป็นผี ตายไม่ดีก็ได้ตำ�แหน่งผี
ตายโหง ตายเม่ือตายก็กลายไปเป็นผี ตายไมด่ ีไดเ้ ป็นท่ผี ตี ายโหง ตายกอ่ น
ตายไมใ่ ช่กลายไปเป็นผี...ยงั อยู่ ไมร่ ู้จกั ตายนแี่ หละตายเสยี กอ่ นตาย หมด
ตัวกูเสยี ก่อนตาย จิตเข้าถงึ สง่ิ ท่ไี มร่ ู้จกั ตาย เข้าถงึ อมตธรรม อสงั ขตธรรม
แลว้ มันกไ็ ม่ร้จู กั ตายอกี ต่อไป เปน็ ความตายที่ไม่ตาย คนทไ่ี มร่ ู้ความหมาย
ฟังไม่ถูก หาว่าเป็นเร่ืองเล่นล้ินตลบตะแลง ใช้ไม่ได้ แต่มันกลับเป็นความ
จรงิ ทยี่ งิ่ วา่ มนั เปน็ สงิ่ ทแ่ี ทจ้ รงิ วา่ ทแี่ ทม้ นั ไมไ่ ดม้ อี ะไรเกดิ ไมไ่ ดม้ อี ะไรตาย
มันมีแต่กระแสแห่งอิทัปปัจจยตา ธาตุทั้งหลายปรุงแต่งกันข้ึนเป็นไปตาม
กฎแหง่ อิทัปปจั จยตา ไมต่ ้องมตี วั ตน ไมต่ อ้ งมขี องตน
นี่เราจะต้องดูให้รู้ความจริงที่มีอยู่ท่ีเน้ือที่ตัว ตา หู จมูก ลิ้น กาย
ใจ ผม ขน เลบ็ ฟนั หนงั อะไรดูใหด้ ี ดใู หท้ ว่ั วา่ มันไมไ่ ด้เปน็ ตัวตน มันเปน็
ธรรมชาติ เป็นไปตามธรรมชาติ มันทำ�หน้าท่ขี องมัน ตามเหตุ ตามหน้าท่ี
ตาทำ�หน้าท่ีตา หูทำ�หน้าท่ีหู จมูกทำ�หน้าที่จมูก ล้ินทำ�หน้าที่ล้ิน ผม ขน
เล็บ ฟัน หนัง อะไรก็ทำ�หน้าที่ไปตามน้ัน แล้วมันก็หมดปัจจัย มันก็หยุด
ท�ำ หนา้ ที่ นเี่ ปน็ เคลด็ ทลี่ กึ ถา้ เขา้ ถงึ ไดม้ นั กพ็ น้ ตาย ถา้ เขา้ ถงึ ไดม้ นั กไ็ มต่ าย
คือไม่มีตัวกูอยู่ตั้งแต่เกิดจนดับ เกิดดับ ๆ ก็เป็นธรรมชาติ เป็นธาตุตาม
ธรรมชาติ แต่ว่าเป็นทุกข์ทั้งน้ัน ที่เกิดดับ ๆ เราเห็นความไม่ตาย เพราะ
พุ ท ธ ท า ส ภิ ก ขุ 35
มนั ไมม่ ีตวั ตนทจ่ี ะตาย มนั มีแต่การไหลไป ๆ เปน็ กระแสแห่งการปรุงแต่ง
ของธาตุตามธรรมชาติ ตามกฎของอิทัปปัจจยตา ถ้าเห็นอย่างน้ีเรียกว่า
เห็นความตายก่อนตาย ไดต้ ายเสียแต่กอ่ นตาย นี่หกอย่างแล้ว อย่างละชงั่
อย่างละช่ัง
๗. ดบั ไม่เหลือ
ทีน้ีอย่างท่ี ๗ “ดับไม่เหลือ” เรื่องน้ีก็เคยพิมพ์แจกไปแล้ว เร่ือง
ดับไมเ่ หลือ เราเหน็ วา่ ต่อสู้ด้นิ รนอยู่นี่เป็นความทรมาน แล้วเป็นทุกข์ คอื
ตวั กู มีตัวกตู ่อสู้ มีตวั กอู ยู่เท่าไรมนั กม็ ีความทุกข์เท่านน้ั ดับตัวกเู สียมนั จะ
ไมเ่ ปน็ ทกุ ข์ ดบั เหตุ ดบั ปจั จยั เขา้ ถงึ ความไมม่ เี หตุ ไมม่ ปี จั จยั กด็ บั ไมเ่ หลอื
เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ดับอย่างนิพพาน ดับความร้อน ดับกิเลส ดับตัวกู
ไมเ่ ก่ียวกับร่างกายตายหรือไม่ตาย ร่างกายไมต่ ้องตายกด็ บั ได้ ดบั ไมเ่ หลือ
นี่ร่างกายยังไม่ตาย...ยังอยู่ ยังเดินไปเดินมาอยู่นี่ ถ้าดับตัวกูเสียได้นั่นคือ
ดับไมเ่ หลือ ไมม่ ตี ัวกเู หลอื ไมม่ ตี ัวกูเหลือก็ไมเ่ กิดความเหน็ แกต่ วั กไ็ ม่เกิด
โลภะ โทสะ โมหะ ไม่เกดิ ไฟคือกเิ ลส ไม่เกิดไฟคอื ความทุกข์ ดบั ตัวตนเสยี
ดับกิเลสเสีย ดบั ทกุ ขเ์ สีย นคี่ อื ดับไมเ่ หลือ เรายินดที จี่ ะดบั ไม่เหลอื พร้อม
จะดับไมเ่ หลอื
ตกกระไดพลอยกระโจน
ท่นี เี้ ก็พูดประสมโรงเสียเลยว่า รา่ งกายนม้ี นั ก็ขนึ้ อยูก่ บั สงิ่ นี้ ถา้ มัน
ดับไม่เหลอื มนั ถึงคราวทจ่ี ะดับไม่เหลือกด็ ีแลว้ มันจะจบ จบบทเสียที คอื
ไม่ตอ้ งมเี ครือ่ งรองรบั อยอู่ ีก แลว้ ดับเสียทง้ั เครอื่ งรองรับ กายน่ีเหมอื นกบั
ยา36 ระงบั สรรพโรค
เปลอื ก จติ ใจเหมอื นกบั เนอ้ื ใน ถา้ จติ ใจมนั ดบั รา่ งกายมนั กห็ มดความหมาย
ไปเอง แต่ถา้ ว่าความตายมนั มาตดั บทก็ปลอ่ ยสมคั รดับไมเ่ หลอื ถา้ มันเกดิ
โรคภยั ไข้เจ็บจะตายข้นึ มาจะตายอยูแ่ หมบ ๆ นแ้ี ล้ว โรคภัยไข้เจบ็ รบกวน
นี่ก็สมัครดับไม่เหลือ ไม่ต้องต่อสู้ ไม่ต้องดิ้นรนให้มันลำ�บากยุ่งยาก เคย
ยกตัวอย่างว่า แม้เดินไปควายมาข้างหลังขวิดปิ๊บให้แล้วก็สมัครตายเถอะ
ไมต่ อ้ งดน้ิ รนให้เป็นทกุ ข์ ไมต่ ้องเป็นทุกข์ ไมต่ อ้ งอะไร ไมต่ ้องเป็นทุกขใ์ น
การตาย ไม่ต้องตายให้เป็นทุกข์ น่ีสมัครดับไม่เหลือ หรือว่าเดินอยู่กลาง
ถนนรถยนต์ทับแป๊บเข้าไป แล้วก็พอใจสมัครดับไม่เหลือคำ�เดียวแล้วก็
เลกิ กัน
นี่เรียกว่าสมัครท่ีจะกระโจน ตกกระไดพลอยกระโจน ดับไม่เหลือ
เลยไม่มีคนทุกข์ ถ้าว่ามันไม่ตาย มีคนเก็บมารักษาให้หาย มันก็ไม่เป็นไร
แต่เราก็ไม่เป็นทุกข์ก็แล้วกัน ยาศักด์ิสิทธ์ิน้ันก็คือ ความสมัครดับไม่เหลือ
สมัครดบั ไม่เหลอื ท�ำ ให้ไมเ่ ป็นทุกข์
เด๋ียวน้ีก็เตรียมพร้อม เตรียมพร้อมก็แล้วกัน เด๋ียวน้ียังไม่มีอะไร
เกิดขึน้ ยงั ไม่ตาย ข้เี กยี จว่นุ วาย ขเ้ี กียจเวียนว่าย ข้ีเกียจเป็นไปตามกรรม
ข้ีเกียจที่จะยุ่งยากลำ�บาก สมัครดับไม่เหลือ ข้าพเจ้าพร้อมที่จะสมัครดับ
ไมเ่ หลอื กไ็ มม่ ปี ญั หา ไมม่ คี วามกลวั ไมม่ วี ติ กกงั วล อาลยั อาวรณอ์ ะไรทไ่ี หน
เมื่อสมัครดับไม่เหลือแล้วมันก็จะไม่มีความกลัวว่าจะต้องตาย เพราะมัน
สมัครดับไม่เหลืออยู่แล้ว จะไปกลัวอะไรอีกที่จะต้องตาย เป็นยาแก้กลัว
ยาแกท้ กุ ขอ์ นั สดุ ทา้ ย เรยี กวา่ สมคั รดบั ไมเ่ หลอื อนั นสี้ �ำ คญั มาก อยา่ งที่ ๗
น่ี จึงตอ้ งเอา ๖ เทา่
พุ ท ธ ท า ส ภิ ก ขุ 37
เสกคาถา
อย่างอื่นเอาอย่างละหนึ่งส่วน ๆ อย่างสุดท้ายเอา ๖ ส่วน ให้มัน
มากเขา้ ไว้ รวมกัน นีก้ ็เสกคาถา สพเฺ พ ธมมฺ านาลํ อภินิเวสาย เป็นหวั ใจ
ของพระพทุ ธศาสนาวา่ “สงิ่ ท้งั หลายทัง้ ปวง อนั ใคร ๆ ไมค่ วรยดึ มน่ั ถอื มั่น
ว่าเป็นตัวตนหรือของตน” คาถาน้ันว่าอย่างน้ัน สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเป็น
สังขตะกด็ ี เป็นอสังขตะก็ดี เปน็ สังขารกด็ ี เป็นวิสงั ขารกด็ ี เปน็ อะไรกต็ าม
เถิด ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ส่ิงท่ีใคร ๆ จะควรยึดมั่นถือม่ันว่าตัวตน นี่ละคาถา
สูงสดุ หวั ใจพทุ ธศาสนาเอามาเสกยา
ยาของเรา ๗ อย่างน่ี มาเคลา้ กนั ใสห่ ม้อเสกคาถา สพเฺ พ ธมฺมานาลํ
อภินิเวสาย แต่ว่าคนเสกต้องไม่โง่นะ คนเสกต้องรู้ด้วยว่าหมายความว่า
อะไร คนเสกยานต่ี ้องรู้ดว้ ยวา่ มนั หมายความว่าอะไร อย่าเพยี งวา่ พึมพำ� ๆ
ไปเฉย ๆ “สิ่งทงั้ ปวง หรอื ธรรมทัง้ ปวง อนั ใคร ๆ ไมค่ วรฝังตวั เข้าไปด้วย
ความโง่ วา่ มนั เปน็ ตวั กู มนั เปน็ ของก”ู วา่ อยา่ งนก้ี ไ็ ด้ วา่ เปน็ ไทย ๆ อยา่ งน้ี
กไ็ ด้
ใส่นํ้าต้มยาให้เหลือหน่ึงในสาม ให้มันเข้มข้น แล้วกินทุกวัน
หมายความว่า ทกุ วนั ๆ มีความรู้สึกคิดนกึ ทงั้ ๗ ประการน้ีอยู่ทุกวนั ๆ
ต้น ไม่รู้ไม่ชี้ แล้วก็ ช่างหัวมัน เช่นนั้นเอง ไม่มีตัวกู-ของกู ไม่มีอะไรท่ี
น่าเอานา่ เป็น ตายก่อนตาย ดบั ไม่เหลอื
สรรพคณุ ของยาคือเยน็
น้เี รยี กวา่ ยาแก้สรรพโรค หายเปน็ นพิ พตุ ิ คือ เย็น ชวี ติ เยน็ เป็น
พระนพิ พาน...เยน็ ตลอดกาล นพิ พตุ .ิ ..เยน็ ชั่วคราว เยน็ ยังไม่ถงึ ท่สี ดุ เป็น
นพิ พาน เยน็ ถงึ ทส่ี ดุ ไมม่ อี ะไรทจ่ี ะตอ้ งใหเ้ ปน็ ปญั หายงุ่ ยาก ไมม่ คี วามเปน็
ยา38 ระงับสรรพโรค
บวก ไมม่ คี วามเปน็ ลบ ไมม่ ไี ด้ ไมม่ เี สยี ไมม่ แี พ้ ไมม่ ชี นะ ไมม่ บี ญุ ไมม่ บี าป
ไม่มีสุข ไม่มีทุกข์ ไม่มีกุศล ไม่มีอกุศล ไม่มีอะไรหมด น่ีสรรพคุณของยา
สรรพคุณของยาท�ำ ให้เยน็ คอื นิพพาน
นพิ พาน แปลวา่ เยน็ ไมไ่ ดแ้ ปลวา่ ตาย หรอก เลกิ เขา้ ใจผดิ กนั เสยี ที
เถอะ นิพพานแปลว่าตายน่ะมันผิด พระบาลีคำ�นี้มันแปลว่าเย็น เย็นคือ
มนั ไมร่ อ้ น ไมร่ อ้ นเพราะมนั ไมท่ กุ ข์ เพราะไมท่ กุ ข์ มนั ไมม่ กี เิ ลส มนั ไมร่ อ้ น
มนั ดบั เย็นเป็นนพิ พาน ยาน้ีกนิ เขา้ ไปแลว้ มีสรรพคณุ เยน็ อย่างนี้ แก้สรรพ
โรค คอื โรคตัวกูของกูในช้ันกามาวจร เป็นมนุษย์หรือเป็นเทวดากามาวจร
แก้โรคน้ีได้ ไม่เป็นคนบ้า กามาวจรชั้นรูปาวจร...พรหมโลกที่มีรูปก็มันบ้า
ที่จะเป็นรูปพรหม ในอรูปาวจรก็มันจะเป็นบ้า...เป็นพรหมท่ีเป็นอรูปน่ี
ไมห่ ลงใหลมวั เมาในกามาวจร รปู าวจร อรปู าวจร กเ็ รยี กวา่ หมดสรรพโรค
ทำ�ใหอ้ ยู่เหนือโลก
เป็นโลกอุดร คือ อยู่เหนือโลก เหนือโลกเป็นโลกอุดร ไม่ใช่ต้อง
ไปอยใู่ นฟา้ ในอะไรทไ่ี หน อยกู่ ลางโลก แตว่ า่ โลกไมท่ ว่ มทบั โลกนไี้ มท่ �ำ อะไร
ได้ โลกน้ไี ม่ท�ำ ให้เป็นปญั หา ส่งิ ต่าง ๆ ที่เปน็ ความทกุ ข์ในโลกมันท�ำ อะไร
เราไมไ่ ด้ ความเกดิ แก่ เจ็บ ตาย ในโลกมันก็ท�ำ อะไรไมไ่ ด้ ความดใี จเสยี ใจ
ในโลกก็ทำ�อันตรายเราไม่ได้ บุญ บาป สุข ทุกข์ก็ทำ�อะไรเราไม่ได้ กุศล
หรอื อกศุ ลกป็ รงุ แตง่ อกี ไมไ่ ด้ อยเู่ หนอื ความปรงุ แตง่ ของสง่ิ ทง้ั ปวง เหนอื บญุ
เหนอื บาป เหนอื สขุ เหนือทุกข์ เหนือดี เหนือชัว่ เหนอื ทกุ อยา่ ง ไมม่ ีอะไร
ปรงุ แต่งได้อกี ต่อไป น่ีเรียกวา่ “อยู่เหนอื โลก” อทิ ธพิ ลใด ๆ ฤทธเ์ิ ดชใด ๆ
ในโลกนี้ ครอบงำ�จิตใจของเราไมไ่ ด้ จิตใจน้มี นั อยูเ่ หนือโลกอยา่ งนี้ นี่เรียก
วา่ โลกอุดร
พุ ท ธ ท า ส ภิ ก ขุ 39
ร่างกายมันก็อยู่ในโลกนี้ กินข้าวกินปลาไปตามแบบคนธรรมดา
สามญั นี้ หรอื วา่ จะครองบ้านครองเรือนอะไรตามมีตามไดน้ ี้ แตอ่ ย่าใหต้ ก
อยใู่ ตอ้ �ำ นาจของของทเ่ี ปน็ คู่ ๆ เปน็ บวกเปน็ ลบ เปน็ ดเี ปน็ ชว่ั นน้ั ถงึ จะเปน็
พระอรหันต์ ตอนแรกก็เดินตามรอยพระอรหันต์ให้มันปกติ ให้มากเข้าไว้
กเ็ รยี กวา่ อย่เู หนือโลกได้ตามสว่ นเหมือนกัน
คำ�วา่ โลกอดุ ร โลกตุ ตรธรรม นีเ่ ขาลดลงมาถึงพระโสดาบัน แม้เป็น
พระโสดาบนั ก็เรยี กว่าเรม่ิ อยูเ่ หนือโลกแล้ว สกิทาคา อนาคา อรหันต์ ก็สงู
ขน้ึ ไปจนถงึ ทสี่ ดุ กนิ ยานแ้ี ลว้ หมดสรรพโรค แลว้ จติ ใจกอ็ ยเู่ หนอื โลก เหนอื
โลกไปตามลำ�ดับจนถงึ ท่สี ดุ
ทบทวนฉลากยาให้จำ�ไดข้ ึน้ ใจ
ขอให้ท่านทั้งหลายสนใจกันใหม่ เอาฉลากยาไปเหน็บไว้ข้างฝา...
มอดกินหมดแล้วก็ไม่รู้ ไปดึงเอามาอ่านดูใหม่ว่ามันหมายความว่าอย่างนี้
แจกไปนานแล้ว คงมีคนได้รบั ประโยชน์ กม็ าบอกมาติดต่ออยูบ่ ้างเหมือน
กัน แต่เกรงยังน้อยนัก ยังไม่พอ จึงเอามาเตือนอีก เอามาปลุกเป่าอีก
ว่า ให้หามาตามฉลากยา ค้นหาเคร่ืองยาจากที่ไหน หาที่เนื้อท่ีตัว ที่กาย
วาจา ใจ หาใหพ้ บเครอ่ื งยาทงั้ ๗ อยา่ งน้ี แลว้ มาพจิ ารณา คอื ตม้ กนิ ตม้ กนิ
คือพิจารณาให้เกิดญาณมองเห็นตามท่ีเป็นจริงว่า มันเป็นอย่างนี้ มัน
เป็นอย่างน้ีอยู่ทุกวัน อย่างน้อยวันละสามหน ๑ ช้อนชา ๓ เวลา จิบนะ
อยา่ งนอ้ ยวนั ละ ๓ หน
เมอ่ื มองเหน็ ความจรงิ เหลา่ นอ้ี ยู่ เรยี กวา่ “กนิ ยาแกส้ รรพโรค” อา่ น
ดูอีกที แล้วก็จะจบว่า
ยา40 ระงบั สรรพโรค
ตน้ “ไมร่ ู้ – ไม่ช”ี้ น่เี อาเปลอื ก
ตน้ “ชา่ งหวั มนั ” น้ันเลือก เอาแกน่ แข็ง
“อยา่ งน้ันเอง” เอาแต่ราก ฤทธ์ิมันแรง
“ไม่มกี -ู ของกู” นี้แสวง เอาแตใ่ บ
“ไม่นา่ เอา - ไม่นา่ เปน็ ” เฟ้นเอาดอก
“ตายกอ่ นตาย” เลอื กออก ลูกใหญ่ ๆ
หกอย่างน ี้ อย่างละช่ัง ต้งั เกณฑ์ไว้
“ดับไม่เหลอื ” สิง่ สดุ ท้าย ใชเ้ มลด็ มัน
หนกั หกชง่ั เท่ากบั ยกท้ังหลาย
เคล้ากนั ไป เสกคาถา ที่อาถรรพ์
“สพฺเพ ธมมฺ า นาลํ อภินเิ วสาย” อัน
เปน็ ธรรมชัน้ หฤทยั ในพทุ ธนาม
จัดลงหม้อ ใส่นํ้า พอทว่ มยา
เค่ียวไฟกล้า เหลอื ได้ หนึ่งในสาม
หน่ึงชอ้ นชา สามเวลา พยายาม
กนิ เพ่ือความ หมดสรรพโรค เปน็ โลกอุดรฯ
รอ้ งเพลงเลน่ กไ็ ด้ ให้เด็ก ๆ ร้องเพลงเลน่ ก็ได้ จะได้เตือนสตคิ นแก่
ๆ ใหไ้ มล่ ืม เปน็ อันวา่ วนั นเ้ี ราพูดกนั ถงึ เร่ืองยาแกส้ รรพโรคเป็นโลกอดุ รอีก
ครง้ั หนงึ่ หลงั จากทไ่ี ดเ้ คยพมิ พฉ์ ลากยาแจกไปแลว้ แลว้ คนกพ็ มิ พแ์ จกตอ่ ๆ
ไปเปน็ อนั มาก ทนี ก้ี ม็ าอธบิ ายใหช้ ดั เจนเสยี อกี ทหี นงึ่ กนิ หมากพลู ท�ำ ไมกนิ
ได้ทกุ วนั ละ่ กินยาแก้โรคทางจติ กนั บา้ ง เหมอื นกับกนิ หมากกนิ พลูนะ่ กิน
กนั บอ่ ย ๆ ทง้ั วนั ไมเ่ ป็นโรคทางวญิ ญาณ แลว้ โรคจิตกไ็ ม่เกิด โรคกายก็ไม่
เกดิ จติ วปิ รติ เพราะวา่ ความรู้ สตปิ ญั ญามนั วปิ รติ รา่ งกายวปิ รติ กเ็ พราะจติ
พุ ท ธ ท า ส ภิ ก ขุ 41
มันวิปริต ฉะน้ันตัดต้นเหตุเสียมาแต่ต้นตอว่า โรคทางวิญญาณก็ไม่มี โรค
ทางจติ จงึ ไมม่ ี โรคทางจิตไม่มี โรคทางกายก็ไม่มี มนั ไม่โงม่ ันไม่เขลา มนั ไม่
ท�ำ อะไรผดิ พลาดใหเ้ กดิ โรคขน้ึ มา หวงั วา่ เราจะเปน็ ผพู้ น้ จากโรคหรอื ทกุ ข์
สมตามความมุ่งหมายในพระพุทธศาสนาว่า จะอยู่เหนือทุกข์ท้ังปวง คือ
เหนอื โลกทง้ั ปวง การเหนอื โลกทง้ั ปวงน้ันเองเป็นโลกอดุ ร
การบรรยายก็สมควรแก่เวลาแล้ว ขอยุติการบรรยายนี้ไว้แต่เพียง
เท่าน้ี เปิดโอกาสให้พระคุณเจ้าท้ังหลายสวดพระธรรมคณะสาธยาย ส่ง
เสริมกำ�ลังใจให้เข้มแข็งในการท่ีจะประพฤติปฏิบัติธรรมให้ก้าวหน้าย่ิง ๆ
ขน้ึ ไป สบื ต่อไป ณ กาลบัดนี้
Covid-19ข้อแนะน�ำ เบอ้ื งตน้ เมอ่ื ทราบวา่ ติด
ยา42 ระงบั สรรพโรค
พุ ท ธ ท า ส ภิ ก ขุ 43
ยา44 ระงบั สรรพโรค
พุ ท ธ ท า ส ภิ ก ขุ 45
ยา46 ระงบั สรรพโรค
พุ ท ธ ท า ส ภิ ก ขุ 47
ยา48 ระงบั สรรพโรค