The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

2. นวัตกรรมกระบวนการนิเทศแบบ APDEAR ดอกลักษ์ วรยศ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ดอกลักษ์ วรยศ, 2023-08-31 03:32:08

2. นวัตกรรมกระบวนการนิเทศแบบ APDEAR ดอกลักษ์ วรยศ

2. นวัตกรรมกระบวนการนิเทศแบบ APDEAR ดอกลักษ์ วรยศ

การพัฒนาการนิเทศโดยใช้กระบวนการแบบ APDEAR ส่งเสริมความสามารถการจัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ 2 ชื่อเรื่อง การพัฒนากระบวนการนิเทศโดยใช้กระบวนการแบบ APDEAR เพื่อส่งเสริมความสามารถ การจัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ ของครูผู้สอนในกลุ่มสาระ การเรียนรู้ภาษาไทย ด้านที่ 1 การวิเคราะห์บริบทเพื่อการพัฒนานวัตกรรมการนิเทศการศึกษา 1.1 การวิเคราะห์ข้อมูล ความต้องการจ าเป็นและบริบท โดยพิจารณาจาก 1.2 การใช้สารสนเทศ 1. ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหา การเปลี่ยนแปลงของกระแสสังคมโลกที่ก าลังก้าวเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 ซึ่งเป็นโลกที่ความก้าวหน้า ของเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสารได้เข้ามามีอิทธิพลต่อสังคม เศรษฐกิจและวัฒนธรรม ท าให้มนุษย์ จ าเป็นต้องปรับตัว เพื่อการด ารงชีวิตอยู่อย่างมีคุณภาพ การศึกษาซึ่งเป็นเครื่องมือส าคัญใน การพัฒนา ประชากรของประเทศ จึงจ าเป็นต้องพัฒนาทักษะการเรียนรู้ที่มีความเหมาะสม กับบริบทที่เปลี่ยนแปลงไป โดย ทักษะที่จ าเป็นในศตวรรษที่ 21 นั้น ประกอบด้วย ทักษะหลัก 3 ทักษะ คือ 1) ทักษะด้านการเรียนรู้และ นวัตกรรม (learning and innovation skill) ซึ่งประกอบด้วยทักษะย่อย ได้แก่ การคิดวิจารณญาณและ การแก้ปัญหา ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และการพัฒนานวัตกรรม การสื่อสาร การท างานเป็นทีม 2) ทักษะ ด้านการรู้โลกในระบบดิจิตอล (digital literacy) ซึ่งประกอบด้วยทักษะย่อย ได้แก่ การรู้สารสนเทศ การรู้เท่า ทันสื่อ การรู้เทคโนโลยีและสารสนเทศ และ 3) ทักษะชีวิตและการประกอบอาชีพ (career and life skill) ซึ่งประกอบด้วยทักษะย่อย ได้แก่ ความยืดหยุ่นและการปรับตัว การน าตนเอง ปฏิสัมพันธ์ทางสังคมและข้าม วัฒนธรรม การสร้างผลผลิต/ผลงาน และภาวะผู้น า/ความรับผิดชอบ (P21, 2015: online) ซึ่งเป็นความรู้และ ทักษะส าคัญที่จะช่วยเตรียมพร้อม ให้ผู้เรียนสามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้อง ตามนโยบายเร่งด่วน สพฐ. QUICK POLICY 2565 จุดเน้นการพัฒนาการเรียนการสอน Active Learning ในส่วนของครู ผู้ซึ่งมีความส าคัญต่อการจัดการเรียนการสอน จะต้องมุ่งมั่นในการจัดและ พัฒนาการเรียนรู้ให้มีคุณภาพ และมีประสิทธิภาพ เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ความสามารถ เต็มตาม ศักยภาพ ซึ่งจะต้องให้เทคนิค วิธีการจัดการเรียนรู้ในรูปแบบต่าง ๆ อย่างหลากหลาย และต้องมี การปรับเปลี่ยนมโนทัศน์ (concept) เกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้ใหม่ ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมาการก ากับ ดูแลการเรียนการสอนและการพัฒนาวิชาชีพถือเป็นวิธีการเพิ่มประสิทธิภาพการสอนของครู ดังนั้น จึงจ าเป็น อย่างยิ่งที่จะต้องมีผู้คอยแนะน า ช่วยเหลือ ส่งเสริม สนับสนุนครูโดยผู้มีส่วนรับผิดชอบในการด าเนินการจัด การศึกษา บทบาทดังกล่าวเป็นบทบาทของการนิเทศ ซึ่งการนิเทศนั้นไม่ใช่ เรื่องใหม่แต่ประการใด แต่ได้มี วิวัฒนาการมาอย่างยาวนาน บทบาทเดิม ๆ ของการนิเทศ คือ การติดตาม ตรวจสอบว่า การด าเนินงานเป็นไป ตามวัตถุประสงค์ และเป้าหมายเพียงไร ต่อมาการนิเทศเพิ่มบทบาทในเรื่องของการส่งเสริม สนับสนุน การด าเนินงานคอยช่วยเหลือ แนะน า แก้ไขส่วนที่บกพร่องเป็นต้น การนิเทศในปัจจุบัน เน้นความส าคัญของ ความพยายามร่วมกันจากผู้มีส่วนร่วมทั้งหมดในขั้นตอนการนิเทศ ปฏิสัมพันธ์ทางการนิเทศระหว่างผู้บริหาร โรงเรียน ศึกษานิเทศก์ และครูต้องใช้กระบวนการนิเทศที่มุ่งแก้ปัญหาและพัฒนาการเรียนการสอนอย่างเป็น ระบบ โดยใช้เทคนิคการนิเทศการสอนเป็นปัจจัยหลัก บนพื้นฐานของสัมพันธภาพแห่งการร่วมคิด ร่วมท า พึ่งพา ช่วยเหลือ ยอมรับซึ่งกันและกันให้เกียรติและจริงใจต่อกันระหว่างผู้นิเทศ ผู้สอน เพื่อร่วมกันพัฒนา ทักษะวิชาชีพอันส่งผลโดยตรงต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษา เพื่อยกระดับคุณภาพการเรียนของนักเรียน โดย การปรับปรุงการปฏิบัติงานของครูให้เกิด ประสิทธิภาพ ดังนั้น การนิเทศจึงเป็นกระบวนการส าคัญที่จะช่วยใน การพัฒนาครู เพื่อเพิ่มคุณภาพในการจัดการเรียนการสอน และจุดเน้นการคิดวิเคราะห์ตามรูปแบบ Active


การพัฒนาการนิเทศโดยใช้กระบวนการแบบ APDEAR ส่งเสริมความสามารถการจัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ 3 Learning ซึ่งเป็นงานหลักของครูให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด สามารถพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ความสามารถ อันเป็นประสิทธิผลของกระบวนการ การสอนเพื่อพัฒนาความสามารถด้านการคิด เป็นการค้นพบทางการศึกษาที่ยิ่งใหญ่ใน ศตวรรษที่ 21 เพราะเป็นการสอนที่พัฒนาผู้เรียนให้คิดเป็น ท าเป็น แก้ปัญหาได้ด้วยตนเองและในระบบกลุ่ม เนื่องจากเป็นองค์ประกอบที่ส าคัญส าหรับการปรับตัวของผู้เรียนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาเกี่ยวข้องมากมาย เพราะว่าสิ่งที่ผู้เรียนได้รับการถ่ายทอดจากครูนั้น อาจใช้การไม่ได้ กระบวนการคิดเป็นเครื่องมือในการสร้างองค์ความรู้ ซึ่งถือเป็นขั้นตอนส าคัญ ในกระบวนการ เรียนรู้ของผู้เรียน การคิดเชิงวิเคราะห์ช่วยให้เรารู้ข้อเท็จจริง รู้เหตุผลเบื้องหลังของสิ่งที่เกิดขึ้น เข้าใจความ เป็นมาเป็นไปของเหตุการณ์ต่างๆ รู้ว่า เรื่องนั้นมีองค์ประกอบอะไรบ้าง รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ท าให้เราได้ ข้อเท็จจริงที่เป็นฐานความรู้ในการน าไปใช้ในการตัดสินใจแก้ปัญหาการประเมินและการตัดสินใจเรื่องต่างๆได้ อย่างถูกต้อง (เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์,2549 : 30) ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า กระบวนการคิดวิเคราะห์มี ความส าคัญอย่างยิ่งส าหรับการแก้ปัญหาต่างๆ ของมนุษย์การคิดวิเคราะห์จะช่วยให้เรามองเห็นปัญหา ท า ความเข้าใจปัญหา รู้จักปัญหาอย่างแท้จริง และ สุดท้ายจะสามารถแก้ปัญหาที่พบเจอได้ (น้องนาง ปรืองาม, 2554 : 38) ซึ่งการจัดการเรียนรูของครูที่เนนการจัดการเรียนรูเชิงรุก (Active Learning) ผานกระบวนการคิด และปฏิบัติจริง และสามารถน าไปประยุกตใชในชีวิตได้ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2561) การจัดการเรียนรูเชิงรุก จึงมีบทบาทชวยพัฒนาคุณภาพผูเรียนใหผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผูเรียนสูงขึ้น ผูเรียนจะเกิดความพึงพอใจ ในรูปแบบการเรียนการสอนที่เปดโอกาสใหผูเรียนไดมีสวนรวม ในการกิจกรรมการเรียนการสอน ไดลงมือ กระท า (active learning) มากกวาการที่ผูเรียน เปนฝายรับความรูเพียงอยางเดียว (passive learning) (Sweller, 2006) ผูเรียนสามารถรวมกิจกรรมการแสวงหาความรูที่ผูสอนก าหนด อีกทั้งใหผูเรียนไดใช กระบวนการคิดขั้นสูง ไดแก การวิเคราะห การสังเคราะห และการประเมินคา ทั้งนี้กระทรวงศึกษาธิการมี นโยบายใหน ากระบวนการจัดการเรียนรูเชิงรุก (Active Learning) มาเปนสวนหนึ่งในการจัดกิจกรรมการเรียน การสอน เพื่อสงเสริมใหผูเรียนเกิดกระบวนการคิดวิเคราะหขั้นสูง และมีพัฒนาการใหเกิดทักษะวิชาการ และ ทักษะการแสวงหาความรูดวยตนเอง รักการเรียนรูและพัฒนาตนเองอยางตอเนื่อง การนิเทศการศึกษาจะประสบความส าเร็จหรือไม่ย่อมขึ้นอยู่กับกระบวนการนิเทศการศึกษา ในโรงเรียนเป็นส าคัญ ผู้บริหาร ผู้นิเทศ ผู้ได้รับการนิเทศ และบุคคลที่เกี่ยวข้อง จะต้องมีความรู้ใน ด้านการนิเทศการศึกษา ต้องมีการวิเคราะห์สภาพปัญหา มีแบบแผนขั้นตอนที่ชัดเจน มีแนวทาง การ ด าเนินการอย่างเป็นระบบ ตลอดจนมีการติดตามประเมิลผล และให้ค าแนะน า ช่วยเหลือครูเพื่อให้ การจัดการเรียนการสอนดีขึ้น ท าให้ครูผู้สอนพัฒนาตนเอง และมุ่งพัฒนาวิชาชีพครูไปให้ถึง จุดมุ่งหมาย ดังนั้น กระบวนการนิเทศการศึกษาต้องอาศัยผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ และทักษะการ สื่อสาร เพราะบางครั้งหาก ผู้นิเทศให้ค าแนะน าหรือมีทัศนคติในเชิงลบ อาทิ การนิเทศแบบจ้องจับผิด อาจท าให้เกิดความขัดแย้ง ดังนั้น กระบวนการนิเทศการจัดการศึกษา ถือเป็นสิ่งที่ส าคัญและจ าเป็นอย่างยิ่งในการพัฒนาการจัดการเรียน การสอนของครู ทั้งนี้เพื่อให้ครูได้รับผลการสะท้อนกลับจากการปฏิบัติหน้าที่จัดการเรียนการสอนเพื่อน าไปใช้ ในการปรับปรุงและพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ซึ่งการนิเทศการศึกษาเป็น ความร่วมมือและประสานงานของบุคลากรทางการศึกษาใน การพัฒนาเพื่อปรับปรุงคุณภาพการจัดการเรียน การสอนของครู อันจะท าให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ (ชารี มณีศรี. 2552 : 16) กระบวนการ นิเทศการศึกษาช่วยท าให้เกิดการพัฒนาคน พัฒนางาน สร้างการประสานสัมพันธ์และสร้างขวัญก าลังใจ สอดคล้องกับ วันชัย อยู่ตรง (2557, หน้า 17) ที่กล่าวถึงการนิเทศการศึกษาว่าเป็น กระบวนการซึ่ง ประกอบด้วยกิจกรรมที่ปฏิบัติในโรงเรียน โดยความร่วมมือของทั้งสองฝ่าย คือ ผู้นิเทศและผู้รับการนิเทศ และ เป็นวิธีการที่มีการจัดการอย่างเป็นระบบของผู้เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุง


การพัฒนาการนิเทศโดยใช้กระบวนการแบบ APDEAR ส่งเสริมความสามารถการจัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ 4 การเรียนการสอนและการท างานของครูให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งมีความส าคัญอย่างยิ่งต่อการเพิ่มประสิทธิภาพให้ สถานศึกษา โดยเฉพาะครูผู้สอนซึ่งเป็นหลักในระบบการศึกษา ในการขับเคลื่อนตามนโยบายและจุดเน้น การจัดการเรียนการสอน การคิดวิเคราะห์ตามรูปแบบ Active Learning จากการประเมินผลการอ่านคิดวิเคราะห์ และเขียนสื่อความของผู้เรียนในสังกัดส านักงานเขต พื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 2 ในปีการศึกษา 2564 พบว่า นักเรียนในระดับประถมศึกษาปีที่ 6 มีผลการประเมิน ระดับผ่านร้อยละ 10.35 ระดับดีร้อยละ 34.05 และระดับดีเยี่ยม 56.17 ความพึงพอใจ ผู้เรียนที่มีผลการประเมินระดับดีขึ้นไป 90.21 ซึ่งต่ ากว่าเป้าหมายของเขตพื้นที่การศึกษาที่ตั้งไว้ ร้อยละ 91.00 ตารางที่1 แสดงจ านวนผู้เรียนชั้น ป.6 ที่จบการศึกษา จ าแนกตามระดับผลการประเมิน ปีการศึกษา 2564 ระดับชั้น จ านวนผู้เรียน ทั้งหมด (คน) จ านวนผู้เรียนที่จบ การศึกษา (คน) ผู้เรียนที่จบการศึกษา จ าแนกตามระดับผลการประเมิน ความสามารถในการอ่าน การคิด วิเคราะห์และการเขียน (คน) ผู้เรียนที่มีผลการประเมิน ระดับดีขึ้นไป (คน) ผ่าน ดี ดีเยี่ยม จ านวน ร้อยละ ป.6 3059 3025 313 1030 1699 2729 90.21 ดังนั้นกระบวนการนิเทศจึงมีความส าคัญและจ าเป็นอย่างยิ่งต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้มี ประสิทธิภาพและประสิทธิผล ซึ่งจากการสังเคราะห์กระบวนการนิเทศ ของ แฮริส (Ben M. Harris) กระบวนการนิเทศแบบ PIDRE ของ สงัด อุทรานันท์และ กระบวนการ PDCA ของ หนวยศึกษานิเทศก กรมสามัญศึกษา จึงได้กระบวนการนิเทศแบบ APDEAR ขึ้น ประกอบด้วย ขั้น A: Analysis (วิเคราะห์บริบท) ขั้น P: Plan (วางแผนการนิเทศ) ขั้น D: Do (ด าเนินการนิเทศการศึกษาโดยใช้รูปแบบ ICSR ดังนี้ I : Inspire (ให้ความรู้ก่อนการนิเทศ) , C: Coaching (ช่วยเหลือชี้แนะ), S: Sharing (แลกเปลี่ยน เรียนรู้), R : Reflect (สะท้อนคิด) ขั้น E: Evaluation (ตรวจสอบประเมิน) ขั้น A: Act (น าผลการประเมินมาปรับปรุงงาน) และ ขั้น R: Report (สรุปรายงานผล) จากความส าคัญในข้างต้นที่กล่าวมาทั้งหมดดังกล่าว การพัฒนากระบวนการนิเทศโดยใช้ กระบวนการแบบ APDEAR เพื่อส่งเสริมความสามารถการจัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิด วิเคราะห์ ของครูผู้สอนในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ปทุมธานี เขต 2 เป็นกระบวนการส าคัญที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของกระบวนการนิเทศในการพัฒนาทักษะ การคิดวิเคราะห์ของผู้เรียน เพื่อให้ครูมีแนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ภาษาไทยพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะ การคิดวิเคราะห์และมีประสิทธิภาพมากขึ้น และส่งผลถึงผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนสูงขึ้นด้วย 2. วัตถุประสงค์ 1. เพื่อพัฒนากระบวนการนิเทศแบบ APDEAR ส่งเสริมความสามารถการจัดการเรียนรู้เชิงรุก พัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ ของครูผู้สอนในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย 2. ประเมินกระบวนการนิเทศแบบ APDEAR เพื่อส่งเสริมความสามารถการจัดการเรียนรู้เชิงรุก พัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ ของครูผู้สอนในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย 3. เพื่อประเมินความพึงพอใจของผูรับการนิเทศที่มีต่อกระบวนการนิเทศแบบ APDEAR ส่งเสริม ความสามารถการจัดการเรียนรู้เชิงรุก พัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์


การพัฒนาการนิเทศโดยใช้กระบวนการแบบ APDEAR ส่งเสริมความสามารถการจัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ 5 ขอบเขตของเนื้อหา ขั้นตอนที่ 1 การศึกษาข้อมูลพื้นฐาน ทฤษฎี หลักการ/แนวคิดและเอกสาร ที่เกี่ยวข้องกับ การพัฒนากระบวนการนิเทศแบบ APDEAR เพื่อส่งเสริมความสามารถการจัดการเรียนรู้เชิงรุก พัฒนาผู้เรียน ให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ โดยศึกษาแนวคิดที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ 1. ศึกษาแนวคิดการพัฒนากระบวนการนิเทศ 2. ศึกษาแนวคิดการนิเทศการศึกษา 3. ศึกษาแนวคิดการจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุกพัฒนาทักษะการคิดเคราะห์ ขั้นตอนที่ 2 การสร้างและพัฒนากระบวนการนิเทศแบบ APDEAR เพื่อส่งเสริมความสามารถ การจัดการเรียนรู้เชิงรุก พัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ 1. การสร้างกระบวนการนิเทศแบบ APDEAR เพื่อส่งเสริมความสามารถการจัดการเรียนรู้ เชิงรุก พัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ 2. การตรวจสอบคุณภาพของรูปแบบการนิเทศ คู่มือการใช้รูปแบบ การนิเทศและเอกสาร ประกอบรูปแบบการนิเทศ ขั้นตอนที่ 3 การสร้างและพัฒนาเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล 1. แบบทดสอบความรู้เกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ 2. แบบประเมินความสามารถด้านการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาทักษะการคิด วิเคราะห์ 3. แบบประเมินความสามารถทักษะการคิดวิเคราะห์ของผู้เรียน ขั้นตอนที่ 4 การน ากระบวนนิเทศการจัดการเรียนรู้ไปใช้และการนิเทศติดตามการด าเนินงาน 1. น ากระบวนการนิเทศการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ไปใช้กับ สถานศึกษากลุ่มเป้าหมาย 20 โรงเรียน 2. นิเทศติดตามการด าเนินการพัฒนาความสามารถในการจัดการเรียนรู้เชิงรุก พัฒนาผู้เรียน ให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ ตามกระบวนการนิเทศการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ขั้นตอนที่ 5 ประเมินความพึงพอใจกระบวนการนิเทศแบบ APDEAR และประเมินคุณภาพ ผู้รับการนิเทศและคุณภาพผู้เรียน ในการพัฒนาความสามารถในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มี ทักษะการคิดวิเคราะห์ 1. ประเมินความพึงพอใจกระบวนการนิเทศแบบ APDEAR 2. ประเมินคุณภาพผู้รับการนิเทศและคุณภาพผู้เรียน 3. ครูผู้สอนรายวิชาภาษาไทย ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ออกแบบและจัดท าแผน การจัดการเรียนรู้เชิงรุก เพื่อพัฒนาความสามารถในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ 4. ประเมินคุณภาพผู้รับการนิเทศและคุณภาพผู้เรียน สร้างแบบประเมินความสามารถทักษะการคิดวิเคราะห์ของผู้เรียน สร้างแบบประเมินการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้เชิงรุก พัฒนาทักษะการคิด วิเคราะห์


การพัฒนาการนิเทศโดยใช้กระบวนการแบบ APDEAR ส่งเสริมความสามารถการจัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ 6 ขอบเขตของการด าเนินงาน 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1.1 ประชากร คือ โรงเรียนกลุ่มเป้าหมายในศตวรรษที่ 21 สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาปทุมธานี เขต 2 ปีการศึกษา 2565 จ านวน 20 โรงเรียน จ านวนครู 356 คน 1.2 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ โรงเรียนกลุ่มเป้าหมายในศตวรรษที่ 21 สังกัดส านักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 2 ปีการศึกษา 2565 มีความสนใจพัฒนาตนเอง ด้านการจัดการเรียนรู้ เชิงรุก (Active Learning) พัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ และมีความพร้อมที่จะเข้ารับการนิเทศ ตาม กระบวนการนิเทศแบบ APDEAR เพื่อส่งเสริมความสามารถการจัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะ การคิดวิเคราะห์ ของครูผู้สอนในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาปทุมธานี เขต 2 ปีการศึกษา 2565 จ านวน 20 โรงเรียน จ านวน 20 คน ได้มาโดยการเลือก แบบเจาะจง (purposive sampling) 2. ตัวแปรที่ศึกษา ประกอบด้วย 2.1 ตัวแปรต้น ได้แก่ กระบวนการนิเทศแบบ APDEAR 2.2 ตัวแปรตาม ได้แก่ คุณภาพกระบวนการนิเทศแบบ APDEAR ในด้านต่อไปนี้ 2.2.1 ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้เชิงรุก พัฒนาทักษะการคิด วิเคราะห์ ของครูผู้สอนรายวิชาภาษาไทยระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 2.2.2 ความสามารถในการออกแบบการจัดการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับแนวคิด การเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ของครูผู้สอนรายวิชาภาษาไทยระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 2.2.3 ความสามารถด้านการด าเนินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุก พัฒนาทักษะการคิด วิเคราะห์ ของครูผู้สอนรายวิชาภาษาไทยระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 2.2.4 ความพึงพอใจที่มีต่อกระบวนการนิเทศแบบ APDEAR ส่งเสริมความสามารถ การจัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ ของครูผู้สอนรายวิชาภาษาไทยระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 2.2.5 ทักษะการคิดวิเคราะห์ของผู้เรียน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 3. เป้าหมาย 1. ครูผู้สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ระดับประถมศึกษาปีที่ 6 ในโรงเรียนกลุ่มเป้าหมาย ร้อยละ 100 ได้รับการนิเทศโดยใช้กระบวนการนิเทศ APDEAR ส่งเสริมความสามารถในการจัดการเรียนรู้เชิงรุก 2. ครูผู้สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ระดับประถมศึกษาปีที่ 6 ในโรงเรียนกลุ่มเป้าหมาย ร้อยละ 80 ที่ได้รับการพัฒนาด้วยกระบวนการนิเทศโดยใช้กระบวนการแบบ APDEAR เพื่อส่งเสริม ความสามารถการจัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ ในระดับดี-ดีมาก 3. ครูผู้สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ระดับประถมศึกษาปีที่ 6 ในโรงเรียนกลุ่มเป้าหมาย ร้อยละ 80 มีความพึงพอใจต่อกระบวนการนิเทศโดยใช้กระบวนการแบบ APDEAR เพื่อส่งเสริมความสามารถ การจัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ในระดับมาก-มากที่สุด 4. ผู้เรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้เชิงรุกให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์จากครูผู้สอนกลุ่มสาระ การเรียนรู้ภาษาไทย ระดับประถมศึกษาปีที่ 6 ร้อยละ 80 มีทักษะการคิดวิเคราะห์ สูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ร้อยละ 70 ของคะแนนเต็ม 5. ผู้เรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้เชิงรุกให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์จากครูผู้สอนกลุ่มสาระ การเรียนรู้ภาษาไทย ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ร้อยละ 80 มีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด การเรียนรู้ให้ผู้เรียนมีทักษะการคิดวิเคราะห์ในระดับมาก – มากที่สุด


การพัฒนาการนิเทศโดยใช้กระบวนการแบบ APDEAR ส่งเสริมความสามารถการจัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ 7 ด้านที่ 2 หลักการ กรอบแนวคิดในการสร้างและพัฒนานวัตกรรมการนิเทศการศึกษา กรอบแนวคิดในการวิจัย การนิเทศโดยกระบวนการแบบ APDEAR เพื่อส่งเสริมความสามารถการจัดการเรียนรู้เชิงรุก พัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ ของครูผู้สอนในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย มีกรอบแนวคิดดังภาพที่ 1 กระบวนการนิเทศแบบ APDEAR มีรายละเอียด ดังนี้ 1) ขั้น A : Analysis วิเคราะห์บริบท 2) ขั้น P : Plan วางแผนการนิเทศ 3) ขั้น D : Do ด าเนินการนิเทศการศึกษาโดยใช้ กระบวนการแบบ ICSR ดังนี้ - I : Inspire การให้ความรู้ก่อนการนิเทศ - C : Coaching ช่วยเหลือ ชี้แนะ โดยใช้เทคนิค การนิเทศแบบสอนแนะ (Coaching) - S : Sharing แลกเปลี่ยนเรียนรู้ - R : Reflect การสะท้อนคิด เป็นการสะท้อน คิดหลังการสิ้นสุดการนิเทศ 4) ขั้น E: Evaluation ตรวจสอบ ประเมิน 5) ขั้น A: Act น าผลการประเมินมาปรับปรุงงาน 6) ขั้น R : Report สรุปผล รายงานผล คุณภาพผู้รับการนิเทศ (1) ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้ เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ (2) ความสามารถในการออกแบบการจัดการเรียนรู้ที่ สอดคล้องกับแนวคิดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มี ทักษะการคิดวิเคราะห์ (3) ความสามารถในการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด การเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ (4) ความพึงพอใจที่มีต่อกระบวนการนิเทศ แบบ APDEAR ส่งเสริมความสามารถการจัดการเรียนรู้ เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ 2. คุณภาพผู้เรียน - ทักษะการคิดวิเคราะห์ ความพึงพอใจการนิเทศแบบ APDEAR ในการพัฒนา ความสามารถในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียน ให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์


การพัฒนาการนิเทศโดยใช้กระบวนการแบบ APDEAR ส่งเสริมความสามารถการจัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ 8 เครื่องมือที่ใช้ในการนิเทศ แบบบันทึกการนิเทศ แบบประเมินความสามารถการจัดการเรียนรู้เชิงรุก แบบสอบถามความพึงพอใจ แบบประเมินทักษะการคิดวิเคราะห์ การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือ ผู้นิเทศได้ด าเนินการพัฒนาแบบประเมิน โดยแบ่งขั้นตอนการสร้างแบบประเมินเป็น 7 ขั้น ดังนี้ ขั้นที่ 1 ก าหนดเป้าหมายที่ต้องการประเมิน ขั้นที่ 2 ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี ผลการวิจัยที่เกี่ยวกับการประเมิน ขั้นที่ 3 ก าหนดตัวชี้วัดและพฤติกรรมที่บ่งชี้ ขั้นที่ 4 ออกแบบวิธีการประเมิน ขั้นที่ 5 สร้างแบบประเมิน ขั้นที่ 6 ตรวจสอบคุณภาพแบบประเมิน ขั้นที่ 7 จัดท าแบบประเมินฉบับสมบูรณ์ส าหรับรายละเอียด มีดังนี้ ขั้นที่ 1 ก าหนดเป้าหมายที่ต้องการวัด ผู้นิเทศได้ก าหนดจุดมุ่งหมายของการพัฒนาแบบวัดไว้ เพื่อใช้ประเมินผลการนิเทศติดตาม ขั้นที่ 2 ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี ผลการวิจัยที่เกี่ยวกับการประเมิน ผู้นิเทศศึกษาเอกสารที่ เกี่ยวข้องประกอบด้วย หลักสูตร กระบวนการนิเทศ การวัดและประเมินผล การศึกษาการสร้างและตรวจสอบ คุณภาพเครื่องมือ และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อน ามาก าหนดกรอบการประเมินผลการนิเทศ ขั้นที่ 3 ก าหนดตัวชี้วัดและพฤติกรรมที่บ่งชี้ผู้นิเทศได้ก าหนดนิยามเชิงปฏิบัติการตัวชี้วัดและ พฤติกรรมที่บ่งชี้จัดการเรียนรู้และแบบประเมิน พฤติกรรมการสอนของครู ขั้นที่ 4 ออกแบบวิธีการประเมิน ผู้นิเทศได้ออกแบบวิธีการประเมินโดยใช้แบบมาตรประมาณ ค่าแบบลิเคิร์ท 5 ระดับ ได้แก่ ระดับ มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อยและน้อยที่สุด โดยก าหนดเกณฑ์ในการให้ คะแนน ดังนี้ ค่าเฉลี่ย 1.00 – 1.50 หมายถึง ระดับน้อยที่สุด ค่าเฉลี่ย 1.51 – 2.50 หมายถึง ระดับน้อย ค่าเฉลี่ย 2.51 – 3.00 หมายถึง ระดับปานกลาง ค่าเฉลี่ย 3.51 – 4.50 หมายถึง ระดับมาก ค่าเฉลี่ย 4.51 – 5.00 หมายถึง มากที่สุด ขั้นที่ 5 สร้างแบบประเมิน ผู้วิจัยได้เขียนข้อค าถามซึ่งมีลักษณะเป็นค าถามปลายเปิดและปลายปิดโดย ใช้แบบมาตรประมาณค่า แบบลิเคิร์ท 5 ระดับ ที่ผู้นิเทศสร้างขึ้นเพื่อใช้ประเมินในประเด็นเนื้อหาสาระ การน าเสนอ การน าไปใช้ประโยชน์ และความเหมาะสมของแบบสอบถามความพึงพอใจโดยภาพรวมซึ่งมี ลักษณะเป็นมาตราประมาณค่า 5 ระดับ ได้แก่ มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย และน้อยที่สุด


การพัฒนาการนิเทศโดยใช้กระบวนการแบบ APDEAR ส่งเสริมความสามารถการจัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ 9 ขั้นที่ 6 ตรวจสอบคุณภาพแบบวัด หลังจากผู้นิเทศสร้างแบบประเมินเสร็จแล้ว ผู้นิเทศได้ท า การตรวจสอบ คุณภาพด้านความตรงเชิงเนื้อหา (content validity) เพื่อตรวจสอบว่าข้อค าถามครอบคลุม เนื้อหา โดยให้ผู้ทรงคุณวุฒิ จ านวน 3 คน ผลการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา ได้ข้อค าถามที่มีค่าดัชนี ความสอดคล้องตั้งแต่ .50 ขึ้นไป หลังจากนั้น ได้น าไปทดลองใช้จ านวน 30 คน เพื่อตรวจสอบความเชื่อมั่นโดย การค านวณค่าสัมประสิทธ์แอลฟา ของครอนบัค ( - coefficient) แบบประเมินมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .92 สรุปได้ว่าว่าเป็นแบบประเมิน มีคุณภาพใช้ได้ในการวิจัยครั้งนี้ ขั้นที่ 7 จัดท าแบบประเมินฉบับสมบูรณ์ปรับปรุงเครื่องมือนิเทศให้มีคุณภาพ และจัดท าแบบประเมิน ฉบับสมบูรณ์ ประโยชน์ที่ได้รับจากการสร้างและพัฒนานวัตกรรมการนิเทศ 1. เพื่อเป็นข้อสนเทศที่เกี่ยวกับการนิเทศโดยใช้กระบวนการนิเทศแบบ APDEAR เพื่อส่งเสริม ความสามารถการจัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ ของครูผู้สอนในกลุ่มสาระ การเรียนรู้ภาษาไทย 2. เพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้บริหาร ครูและผู้เกี่ยวข้อง สามารถก าหนดนโยบายมาตรการและ การวางแผน พัฒนาการนิเทศการนิเทศโดยใช้กระบวนการนิเทศ แบบ APDEAR เพื่อส่งเสริมความสามารถ การจัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ ของครูผู้สอนในกลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทยให้มีประสิทธิภาพต่อไป 3. กระบวนการนิเทศแบบ APDEAR ส่งเสริมให้ครูผู้สอนในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย มีความสามารถในการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ ครูผู้สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ระดับประถมศึกษาปีที่ 6 ในโรงเรียนกลุ่มเป้าหมาย เข้าร่วม กระบวนการนิเทศแบบ APDEAR เพื่อส่งเสริมความสามารถการจัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะ การคิดวิเคราะห์ ที่เป็นกระบวนการปฏิบัติงานร่วมกันระหว่างผู้นิเทศกับผู้รับการนิเทศที่มีการวางแผน ขั้นตอนการท างานอย่างต่อเนื่องโดยใช้ยุทธวิธีและเทคนิคในการปรับปรุงการจัดการเรียนรู้ของครูและ การเรียนรู้ของผู้เรียนที่ช่วยท าให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ของการนิเทศ โดยจะมีกิจกรรมส าคัญในการพัฒนา คุณภาพการจัดการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับแนวคิดการจัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิด วิเคราะห์ผ่านกระบวนการนิเทศ


การพัฒนาการนิเทศโดยใช้กระบวนการแบบ APDEAR ส่งเสริมความสามารถการจัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ 10 ด้านที่ 2 หลักการ กรอบแนวคิดในการสร้างและพัฒนานวัตกรรมการนิเทศการศึกษา 2.1 การก าหนดหลักการและกรอบแนวคิดที่การเชื่อมโยงนโยบาย 2.2 ความสอดคล้องของนวัตกรรมการนิเทศการศึกษา ผู้นิเทศ ได้ด าเนินการศึกษาแนวคิดทฤษฎีและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับหลักการและกรอบแนวคิด ที่การเชื่อมโยงนโยบายเพื่อให้มีความสอดคล้องของนวัตกรรมการนิเทศการศึกษา ดังนี้ หลักการทฤษฎี แนวคิดในการพัฒนา 1. แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวกับกระบวนการนิเทศการศึกษา 2. แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวกับการนิเทศการศึกษา 3. แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวกับการจัดการเรียนรูเชิงรุก 4. แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวกับทักษะการคิดวิเคราะห์ 5. แนวคิดเกี่ยวกับความพึงพอใจ 6. งานวิจัยที่เกี่ยวของในประเทศและตางประเทศ กระบวนการนิเทศการศึกษา การนิเทศการศึกษาเพื่อให้เกิดผลส าเร็จมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล จ าเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อง ด าเนินการตามล าดับขั้นตอนอย่างต่อเนื่องกัน ซึ่งนักการศึกษา ได้น าเสนอกระบวนการ นิเทศ ดังนี้ นพพงษ์ บุญจิตราดุล (2527, อ้างถึงใน จันทร์พิมพ์ วงศ์ประชารัตน์, 2556 : 55-56) ได้อธิบาย ว่าขั้นตอนการนิเทศมี 5 ขั้นตอน ดังนี้ 1. ขั้นวางแผน เพื่อท าความกระจ่างเกี่ยวกับโครงสร้างของ องค์ประกอบ คือ 1) ตั้งเป้าหมายหรือหลักการ 2) ก าหนดความจ าเป็นหรือความต้องการ 3) วางวัตถุประสงค์ให้ชัดเจน และ 4) ก าหนดบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบ 2. ขั้นจัดการออกแบบรูปแบบองค์ประกอบของโครงการ มีขั้นตอนย่อย ดังนี้ 1) คัดเลือกผู้เข้ารับการนิเทศ 2) นิเทศหรือสรรหาผู้ท าหน้าที่นิเทศ 3) ก าหนดเนื้อหาการนิเทศ 4) จัดสรร งบประมาณ 5) เลือกวิธีการ กิจกรรมและเครื่องมือที่จะด าเนินการ และ 6) มอบหมายงานด้านอ านวย ความสะดวกและก าหนดสถานที่ 3. ขั้นด าเนินการตามโครงการ ประกอบด้วยขั้นตอนย่อย ดังนี้1) แก้ปัญหา ที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด 2) จัดกิจกรรมประกอบเมื่อเห็นว่าเกิดความเครียด ความล้า หรือเบื่อหน่าย และ 3) สร้างมนุษยสัมพันธ์ที่ดีให้เกิดขึ้นในกลุ่ม 4. ขั้นประเมิน ประกอบด้วยขั้นตอนย่อย ดังนี้ 1) ใช้เครื่องมือ ประเมินผลให้ถูก 2) วิเคราะห์ผลและตีความหมายให้เห็นชัด และ 3) สรุปผลหาข้อบกพร่อง เพื่อแก้ไขในการด าเนินงานครั้งต่อไป 5. ขั้นวางแผนใหม่ ถ้ามีโครงการต่อเนื่อง ชัด บุญญา (2550 : 20) ได้กล่าวถึง กระบวนการนิเทศการศึกษาไว้ 8 ขั้น ดังนี้ 1. การก าหนดปัญหาและความต้องการจ าเป็น 2. การก าหนดจุดประสงค์ที่วัดได้ 3. ก าหนดอุปสรรคและข้อจ ากัดต่าง ๆ 4. การก าหนดวิธีการที่เป็นทางเลือกในการแก้ปัญหา 5. การเลือกทางเลือกใน ขั้นที่ 4 มาปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหาทั้งหมดเป็นขั้นวางแผน (Plan, P) 6. การน าทางเลือก ที่เลือกไว้ไปทดลองใช้ (Implementation) เป็นขั้นด าเนินการ (Doing, D)


การพัฒนาการนิเทศโดยใช้กระบวนการแบบ APDEAR ส่งเสริมความสามารถการจัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ 11 7. การประเมินผลการทดลองเพื่อพิจารณาดูว่าได้ผลตามวัตถุประสงค์หรือไม่ เป็นขั้นตอนการตรวจสอบ (Check, C) 8. การปรับปรุงแก้ไขส่วนที่บกพร่องหลังจากทดลองดูแล้ว กระบวนการของเดมิ่ง เป็นขั้นพัฒนา (Action, A) สุภาภรณ์ กิตติรัชดานนท์ (2550 : 140) สรุปกระบวนการนิเทศ มี 6 ขั้นตอน คือ 1) การสร้างความตระหนัก 2) การวางแผนการนิเทศ 3) การสร้างเครื่องมือ สื่อการนิเทศ 4) การนิเทศ การเรียนการสอน 5) การประเมิน ติดตามผล 6) การขยายผล สร้างวัฒนธรรมคุณภาพ เกรียงศักดิ์ สังข์ชัย (2552 : 77) ได้สรุปกระบวนการนิเทศการสอน ประกอบด้วยขั้นตอนที่ ส าคัญๆ 3 ขั้นตอน คือ ขั้นการวางแผน ขั้นด าเนินการนิเทศ และขั้นการวัดประเมินผลการนิเทศ วชิรา เครือค าอ้าย (2552 : 355) สรุปรูปแบบการนิเทศนักศึกษา ฝึกประสบการณ์ วิชาชีพครู มีกระบวนการ 4 ขั้นตอน คือ 1) เตรียมความรู้/เทคนิคการจัด การเรียนรู้2) เตรียมวางแผน การนิเทศ 3) ด าเนินการนิเทศ และ 4) ประเมินผลการนิเทศ ยุพิน ยืนยง (2553 : 249-250) สรุปรูปแบบการนิเทศแบบ หลากหลาย วิธีการเพื่อ ส่งเสริมสมรรถภาพการวิจัยในชั้นเรียนของครู มีกระบวนการนิเทศ มี 4 ขั้นตอน คือ 1) การคัดกรองระดับ ความรู้ความสามารถ ทักษะที่ส าคัญเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้และการวิจัยในชั้นเรียน 2) การให้ความรู้ก่อน การนิเทศ 3) การด าเนินการนิเทศ และ 4) การประเมินผลการนิเทศ วัชรา เล่าเรียนดี (2553 : 27-28) สรุปกระบวนการนิเทศการศึกษา มี7 ขั้นตอน คือ 1) การวางแผนร่วมกันระหว่างผู้นิเทศและผู้รับการนิเทศ 2) เลือกประเด็น หรือเรื่องที่ สนใจจะปรับปรุง และพัฒนา 3) น าเสนอโครงการพัฒนาและขั้นตอนการปฏิบัติ4) ให้ความรู้หรือ แสวงหาความรู้จากเอกสาร ต่างๆ และจัดการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับเทคนิคการสังเกตการ สอนในชั้นเรียนและความรู้เกี่ยวกับวิธี สอนและนวัตกรรม ใหม่ๆ ที่สนใจ 5) จัดท าแผนการนิเทศ ก าหนดวัน เวลาที่จะสังเกตการสอน ประชุม ปรึกษาหารือเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์ 6) ด าเนินการตามแผน โดยครูและผู้นิเทศ และ 7) สรุปและประเมินผลการปรับปรุงและพัฒนา รายงานผลส าเร็จ ชญากาญจธ์ ศรีเนตร (2558 : 124-125) สรุปรูปแบบการนิเทศ ภายใน สถานศึกษาสังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 25 มีกระบวนการ 5 ขั้น ประกอบด้วย 1) การส ารวจความต้องการและความจ าเป็น 2) การวางแผนการนิเทศ 3) การด าเนินการนิเทศ 4) การประเมินผลและรายงานผลการนิเทศ และ 5) การขยายผลยกย่องและเชิดชูเกียรติ Harris (1985, อ้างถึงใน ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, 2555 : 17) ได้ก าหนดขั้นตอนของกระบวนการนิเทศการศึกษาไว้ 5 ขั้น ดังนี้ 1. การวางแผน (Planning) ได้แก่ การคิด การตั้งวัตถุประสงค์ การคาดการณ์ล่วงหน้า การก าหนดตารางงาน การค้นหาวิธีปฏิบัติงานและการวาง โปรแกรมงาน 2. การจัดโครงการ (Organizing) ได้แก่ การตั้งเกณฑ์มาตรฐาน การรวบรวม ทรัพยากรที่มีอยู่ทั้งหมดและวัสดุอุปกรณ์ ความสัมพันธ์แต่ละขั้นการมอบหมายงานการประสานงาน การกระจายอ านาจตามหน้าที่โครงสร้างขององค์กรและการพัฒนานโยบาย 3. การน าเข้าสู่การปฏิบัติ (Leading) ได้แก่ การตัดสินใจ การเลือกสรร บุคลากร การเร้าจูงใจให้มีก าลังใจคิดริเริ่มอะไรใหม่ๆ การสาธิต การจูงใจ ให้ค าแนะน า การสื่อสาร การกระตุ้น ส่งเสริมก าลังใจ การแนะน านวัตกรรมใหม่ๆ และให้ความสะดวก ในการท างาน 4. การควบคุม (Controlling) ได้แก่ การสั่งการ การให้รางวัล การลงโทษ การให้โอกาส การต าหนิการไล่ออกและการบังคับให้กระท าตาม


การพัฒนาการนิเทศโดยใช้กระบวนการแบบ APDEAR ส่งเสริมความสามารถการจัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ 12 5. การประเมินผล (Appraising) ได้แก่ การตัดสินการปฏิบัติงาน การวิจัย และการวัดผลการปฏิบัติงาน กิจกรรมที่ส าคัญ คือ พิจารณาผลงานในเชิงปฏิบัติว่าได้ผลมากน้อยเพียงใดและ วัดผลด้วยการประเมินอย่างมีแบบแผน มีความเที่ยงตรง จากการกระบวนการนิเทศการศึกษาตามแนวคิดของนักการศึกษา ผู้นิเทศได้วิเคราะห์แยกแยะ รายละเอียดเพื่อหาความสัมพันธ์ที่สอดคล้องกัน แสดงรายละเอียด ดังตาราง 1 กระบวนการนิเทศ แนวคิดของนักการศึกษา นพพงษ์ บุญจิตราดุล (2527 ชัดบุญญา(2550) สุภาภรณ์ กิตติรัชดานนท์ (2550) เกรียงไกร สังข์ชัย (2552) วชิรา เครือค าอ้าย (2558) วัชรา เล่าเรียนดี (2553) ยุพิน ยืนยง (2553) ชญากาญจธ์ ศรีเนตร (2558) ความเห็นที่สอดคล้องกัน 1. การสร้างความตระหนัก √ √ 2 2. ศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการ √ √ √ 3 3. การคัดกรองระดับความรู้ความสามารถ √ 1 4. การให้ความรู้ก่อนการนิเทศ √ √ √ √ 4 5. การวางแผน/การจัดท าแผนการนิเทศ √ √ √ √ √ √ √ 7 6. การสร้างเครื่องมือ/สื่อ/พัฒนาวิธีการ √ √ √ 3 7. เลือกประเด็นหรือเรื่องที่สนใจจะปรับปรุงและพัฒนา √ 1 8. น าเสนอโครงการพัฒนาและขั้นตอนการปฏิบัติ √ 1 9. เตรียมความรู้เทคนิคการจัดการเรียนรู้ √ 1 10. การปฏิบัติการนิเทศ √ √ √ √ √ √ √ √ 8 11. การสร้างเสริมก าลังใจในการนิเทศ √ √ 2 12. การประเมินผลและรายงานผลการนิเทศ √ √ √ √ √ √ √ √ 8 13. การขยายผลการนิเทศ √ 1 จากการวิเคราะห์แนวคิดของนักการศึกษา จ านวน 8 ท่าน ผู้นิเทศได้คัดเลือกความเห็นของ นักการศึกษาที่มีความเห็นความสอดคล้องกันร้อยละ 50 ขึ้นไป (ตั้งแต่ 4 คนขึ้นไป) ซึ่งสรุปกระบวนการนิเทศ มี 5 ขั้น คือ 1) การวางแผนการนิเทศ 2) การเตรียมการนิเทศ 3) การปฏิบัติการนิเทศ 4) การวัดและประเมิน การนิเทศ และ 5) การรายงานผลการนิเทศ ดังแผนภาพ กระบวนการนิเทศมี 5 ขั้น 1. การวางแผน การนิเทศ 2. การเตรียมการนิเทศ 3. การปฏิบัติการนิเทศ 4. การวัดและประเมิน การนิเทศ 5. การรายงานผล การนิเทศ การวางแผนการนิเทศ ทั้งหมด ออกแบบ แผนการนิเทศ จัดท า เครื่องมือที่ใช้การนิเทศ และก าหนดปฏิทิน การนิเทศอย่างเป็นระบบ เป็นการให้ความรู้ก่อน การนิเทศ เป็นขั้นตอน ของการท าความเข้าใจ กระบวนการนิเทศทั้ง ร ะ บ บ แ ล ะ วิ ธี ก า ร ด าเนินงานในแต่ละขั้น ของการนิเทศ การปฏิบัติการนิเทศ ด าเนินการนิเทศตาม กระบวนการ วิธีการ การนิเทศและกิจกรรม การนิเทศที่ก าหนด เป็นการประเมิน กระบวนการนิเทศทุกมิติ เพื่อประเมินผลการนิเทศ รวบรวมผล ปัญหา อุปสรรค การรายงานผลการนิเทศ


การพัฒนาการนิเทศโดยใช้กระบวนการแบบ APDEAR ส่งเสริมความสามารถการจัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ 13 จากการวิเคราะห์แนวคิดของนักการศึกษา จะเห็นว่า กระบวนการนิเทศการศึกษาเป็น การท างานอย่างมีแบบแผน โดยเริ่มจากการวิเคราะห์งานการเรียนการสอนของครู เพื่อจะได้ทราบปัญหา ระบุ ปัญหาที่จะต้องรีบแก้ไขปรับปรุง ก่อนหลังแล้วจึงวางแผนที่จะด าเนินการโดยหาทางเลือกที่จะแก้ปัญหาที่ดีที่สุด ต่อจากนั้นก็ด าเนินการตามแนวขั้นตอนตามล าดับจนถึงขั้นการประเมินผลการปฏิบัติงานแล้วจึงน าผล การปฏิบัติไปปรับปรุงแก้ไขต่อไป กระบวนการที่ใช้การด าเนินการนิเทศที่นิยมใช้อย่างแพร่หลายในประเทศไทยมี 3 ลักษณะ ประกอบด้วย 1. กระบวนการนิเทศการศึกษาของแอลเลน (Allen) (อางถึงใน สงัด อุทรานันท 2530: 76 – 79) ประกอบดวยกระบวนการหลัก 5 กระบวนการ ที่เรียกวา “POLCA” คือ 1. กระบวนการวางแผน (Planning Processes) เปนกระบวนการในวางแผนโดย คิดถึงสิ่งที่จะท าวามีอะไรบาง ก าหนดแผนงานวาจะท าสิ่งไหน เมื่อไหร ก าหนดจุดประสงคในการท างาน คาดคะเน ผลที่จะเกิดจากการท างาน พัฒนากระบวนการท างาน และวางแผนในการท างาน 2. กระบวนการจัดสายงาน (Organizing Processes) เปนกระบวนการจัดสายงาน หรือ จัดบุคลากรตางๆ เพื่อท างานตามแผนงานที่วางไว โดยก าหนดเกณฑมาตรฐานในการท างาน ประสานงาน กับบุคลากรตางๆ ที่จะปฏิบัติงาน จัดสรรทรัพยากรตางๆ ส าหรับการด าเนินงาน มอบหมายงานให บุคลากรฝ ายตางๆ จัดใหมีการประสานงานสัมพันธกันระหวางผูท างาน จัดท าโครงสรางในการปฏิบัติงาน จัดท าภาระ หนาที่ของบุคลากรและพัฒนานโยบายในการท างาน 3. กระบวนการน า (Leading Processes) เปนกระบวนการน าบุคลากรตางๆ ใหท างานนั้น ประกอบดวยการตัดสินใจเกี่ยวกับสิ่งตางๆ ใหค าปรึกษาแนะน า สรางนวัตกรรมในการท างาน ท าการสื่อสาร เพื่อความเขาใจในคณะท างาน สรางแรงจูงใจในการท างาน เราความสนใจในการท างาน อ านวย ความสะดวก ในการท างาน ริเริ่มการท างาน แนะน าการท างาน แสดงตัวอยางในการท างาน บอกขั้นตอน การท างาน และสาธิตการท างาน 4. กระบวนการควบคุม (Controlling Processes) เปนกระบวนการในการควบคุม ประกอบดวย การชวยแกไขการท างานที่ไมถูกตอง การวากลาวตักเตือนในสิ่งที่ผิดพลาดการกระตุนใหท างาน การปลดคนที่ไมมีคุณภาพใหออกจากงาน การสรางกฎเกณฑในการท างาน และการลงโทษผูกระท าผิด 5. กระบวนการประเมินผลการท างาน (Assessing Processes) ประกอบดวย การพิจารณา ตัดสินเกี่ยวกับการปฏิบัติงาน การวัดและประเมินพฤติกรรมในการท างาน และการวิจัย ผลการปฏิบัติงาน สรุปกระบวนการบริหารงานของแอลเลน (Louis A. Allen) ประกอบด้วยกระบวนการ หลัก 5 กระบวนการซึ่งนิยมเรียกกันว่า “POLCA” โดยย่อมาจาก P: Planning Processes (กระบวนการ วางแผน), O: Organizing Processes (กระบวนการจัดสายงาน), L: Leading Processes (กระบวนการน า), C: Controlling Processes (กระบวนการควบคุม) และ A: Assessing Processes (กระบวนการประเมินผล) 2. กระบวนการนิเทศ ของ แฮริส (Ben M. Harris) ได้เสนอกระบวนการนิเทศไว้6 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นที่ 1 ประเมินสภาพการท างาน (Assessing) ขั้นที่ 2 จัดล าดับความส าคัญของงาน (Prioritizing) ขั้นที่ 3 ออกแบบวิธีก ารท างาน (Designing) ขั้นที่ 4 จัดส รรท รัพย าก ร (Allocating Resources) ขั้นที่ 5 ประสานงาน (Coordinating) และขั้นที่ 6 น าการท างาน (Directing) 1. ประเมินสภาพการท างาน (Assessing) เปนกระบวนการศึกษาถึงสถานภาพตางๆ รวมทั้ง ขอมูลที่จ าเปนเพื่อจะน ามาเปนตัวก าหนดถึงความตองการจ าเปนเพื่อกอใหเกิดความเปลี่ยนแปลง ซึ่งประกอบ ดวยงานตอไปนี้ คือ


การพัฒนาการนิเทศโดยใช้กระบวนการแบบ APDEAR ส่งเสริมความสามารถการจัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ 14 1.1 วิเคราะหขอมูลโดยการศึกษาหรือพิจารณาธรรมชาติ และความสัมพันธของสิ่งตางๆ 1.2 สังเกตสิ่งตางๆ ดวยความรอบคอบถี่ถวน 1.3 ทบทวนและตรวจสอบสิ่งตางๆ ดวยความระมัดระวัง 1.4 วัดพฤติกรรมการท างาน 1.5 เปรียบเทียบพฤติกรรมการท างาน 2. จัดล าดับความส าคัญของงาน (Prioritizing) เปนกระบวนการก าหนดเปาหมาย จุดประสงค และกิจกรรมตางๆ ตามล าดับความส าคัญจะประกอบดวยงานตอไปนี้ คือ 2.1 ก าหนดเปาหมาย 2.2 ระบุจุดประสงคในการท างาน 2.3 ก าหนดทางเลือก 2.4 จัดล าดับความส าคัญ 3. ออกแบบการท างาน (Designing) เปนกระบวนการวางแผนหรือก าหนดโครงการตางๆ เพื่อกอใหเกิดการเปลี่ยนแปลงโดยประกอบดวยงานตอไปนี้ คือ 3.1 จัดสายงานใหสวนประกอบตางๆ มีความสัมพันธกัน 3.2 หาวิธีการน าเอาทฤษฎีหรือแนวคิดไปสูการปฏิบัติ 3.3 เตรียมการตางๆ ใหพรอมที่จะท างาน 3.4 จัดระบบการท างาน 3.5 ก าหนดแผนในการท างาน 4. จัดสรรทรัพยากร (Allocating Resources) เปนกระบวนการก าหนดทรัพยากร ตางๆ ให เกิดประโยชนสูงสุดในการท างาน ซึ่งประกอบดวยงานตอไปนี้ คือ 4.1 ก าหนดทรัพยากรที่ตองใชตามความตองการของหนวยงานตางๆ 4.2 จัดสรรทรัพยากรไปใหหนวยงานตางๆ 4.3 ก าหนดทรัพยากรที่จ าเปนจะตองใชส าหรับจุดมุงหมายบางประการ 4.4 มอบหมายบุคลากรใหท างานในแตละโครงการหรือแตละเปาหมาย 5. ประสานงาน (Coordinating) เปนกระบวนการที่เกี่ยวของกับคน เวลา วัสดุอุปกรณ และ สิ่งอ านวยความสะดวกทุกๆ อยาง เพื่อจะใหการเปลี่ยนแปลงบรรลุผลส าเร็จงานในกระบวนการ ประสานงาน ไดแก 5.1 ประสานการปฏิบัติงานในฝายตางๆ ใหด าเนินงานไปดวยกันดวยความราบรื่น 5.2 สรางความกลมกลืนและความพรอมเพียงกัน 5.3 ปรับการท างานในสวนตางๆ ใหมีประสิทธิภาพใหมากที่สุด 5.4 ก าหนดเวลาในการท างานในแตละชวง 5.5 สรางความสัมพันธใหเกิดขึ้น 6. น าการท างาน (Directing) เปนกระบวนการทีมีอิทธิพลตอการปฏิบัติงาน เพื่อใหเกิดสภาพ ที่เหมาะสมอันจะสามารถบรรลุผลแหงการเปลี่ยนแปลงใหมากที่สุด ซึ่งไดแก 6.1 การแตงตั้งบุคลากร 6.2 ก าหนดแนวทางหรือกฎเกณฑในการท างาน 6.3 ก าหนดระเบียบแบบแผนเกี่ยวกับเวลา ปริมาณหรืออัตราเร็วในการท างาน 6.4 แนะน าและปฏิบัติงาน 6.5 ชี้แจงกระบวนการท างาน 6.6 ตัดสินใจเกี่ยวกับทางเลือกในการปฏิบัติงาน (ปรียาพร วงศอนุตรโรจน, 2548: 41 –43)


การพัฒนาการนิเทศโดยใช้กระบวนการแบบ APDEAR ส่งเสริมความสามารถการจัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ 15 สรุปกระบวนการนิเทศ ของ แฮริส (Ben M. Harris) ได้เสนอกระบวนการนิเทศไว้6 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นที่ 1 ประเมินสภาพการท างาน (Assessing) ขั้นที่ 2 จัดล าดับความส าคัญของงาน (Prioritizing) ขั้นที่ 3 ออกแบบ วิธีก ารท างาน (Designing) ขั้นที่ 4 จัดส รรท รัพย าก ร (Allocating Resources) ขั้นที่ 5 ประสานงาน (Coordinating) และขั้นที่ 6 น าการท างาน (Directing) 3. กระบวนการนิเทศแบบ PIDRE ของ สงัด อุทรานันท์ ประกอบด้วย ขั้นที่ 1 วางแผน การนิเทศ (Planning-P) ขั้นที่ 2 ให้ความรู้ความเข้าใจในการท างาน (Informing-I), ขั้นที่ 3 ลงมือปฏิบัติงาน (Doing-D) ขั้นที่ 4 สร้างเสริมก าลังใจ (Reinforcing-R) และขั้นที่ 5 ประเมินการนิเทศ (Evaluating-E) (อัญชลี ธรรมะวิธีกุล, 2554) ขั้นที่ 1 วางแผนการนิเทศ (Planning-P) เปนขั้นที่ผูบริหารผูนิเทศและผูรับการนิเทศ จะท าการประชุมปรึกษาหารือเพื่อใหไดมาซึ่งปญหาและความตองการจ าเปนที่จะตองมีการนิเทศ รวมทั้ง วางแผนถึงขั้นตอนการปฏิบัติงานเกี่ยวกับการนิเทศที่จะจัดขึ้นอีกดวย ขั้นที่ 2 ใหความรูในสิ่งที่จะท า (Informing-I) เปนขั้นตอนของการใหความรูความเข าใจถึงสิ่งที่จะด าเนินงานวาจะตองอาศัยความรูความสามารถอยางไรบาง จะมีขั้นตอนในการด าเนินการอยางไร และจะท าอยางไรจึงจะท าใหไดผลงานออกมาอยางมีคุณภาพ ขั้นนี้จ าเปนทุกครั้งส าหรับการเริ่มการนิเทศ ที่จัด ขึ้นใหมไมวาจะเปนเรื่องใดก็ตาม และก็มีความจ าเปนส าหรับงานนิเทศที่ยังไมไดผล หรือไดผลไมถึงขั้นที่พอใจ ซึ่งจ าเปนจะตองท าการทบทวนใหความรูในการปฏิบัติงานที่ถูกตองอีกครั้งหนึ่ง ขั้นที่ 3 การปฏิบัติงาน (Doing -D) ประกอบดวยงานใน 3 ลักษณะ คือ 3.1 การปฏิบัติงานของผูรับนิเทศเปนขั้นที่ผูรับการนิเทศลงมือปฏิบัติงาน ตาม ความรูความสามารถที่ไดรับมาจากด าเนินการในขั้นที่ 2 3.2 การปฏิบัติงานของผูใหการนิเทศ ขั้นนี้ผูใหการนิเทศจะท าการนิเทศ และ ควบคุมคุณภาพใหงานส าเร็จออกมาทันตามก าหนดเวลาและมีคุณภาพสูง 3.3 การปฏิบัติงานของผูสนับสนุนการนิเทศ ผูบริหารก็จะใหบริการสนับสนุน ใน เรื่องวัสดุ อุปกรณ ตลอดจนเครื่องใชตางๆ ที่จะชวยใหการปฏิบัติงานเปนไปอยางไดผล ขั้นที่ 4 การสรางขวัญและก าลังใจ (Reinforcing-R) ขั้นนี้เปนขั้นของการเสริม ก าลังใจ ของผูบริหารเพื่อใหผูรับการนิเทศมีความมั่นใจและบังเกิดความพึงพอใจในการปฏิบัติงานขั้นนี้ อาจจะ ด าเนินการไปพรอมๆ กันกับผูที่รับการนิเทศก าลังปฏิบัติงานหรือการปฏิบัติงานไดเสร็จสิ้นลงไปแลวก็ได กระบวนการนิเทศแบบ PDCA กระบวนการนิเทศการศึกษาของหนวยศึกษานิเทศก กรมสามัญศึกษา (หนวยศึกษานิเทศก กรม สามัญศึกษา จังหวัดสุราษฎรธานี, 2545: 15 – 16) ไดใชกระบวนการ PDCA ในการด าเนินการ มีขั้นตอนของ การวางแผนการนิเทศที่ส าคัญ ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 ด าเนินการวางแผน เปนขั้นเตรียมการนิเทศโดยศึกษาขอมูลสารสนเทศ ประมวล สภาพปญหาและความตองการในการพัฒนาการศึกษา ก าหนดจุดมุงหมายการนิเทศ จัดท าแผน การนิเทศ ก าหนดเนื้อหาการนิเทศ ออกแบบการนิเทศ สื่อนิเทศ จัดเตรียมเครื่องมือนิเทศ ก าหนดกรอบ การประเมิน วิธีการติดตามและการรายงานผลการนิเทศ และขออนุมัติโครงการ งบประมาณ ขั้นตอนที่ 2 ด าเนินการตามแผนนิเทศ โดยประชุมเพื่อทบทวนจุดมุงหมายการนิเทศ แบงหนาที่ภารงานในการนิเทศ ประสานงานบุคคลที่เกี่ยวของ และนิเทศตามแผนดวยรูปแบบ เทคนิค วิธีการที่ ก าหนด


การพัฒนาการนิเทศโดยใช้กระบวนการแบบ APDEAR ส่งเสริมความสามารถการจัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ 16 ขั้นตอนที่ 3 ด าเนินการตรวจสอบและประเมินผล เพื่อประเมินผลการปฏิบัติงานวาเปนไปตาม จุดมุงหมายหรือไม และมีสภาพการจัดการเรียนการสอนที่ครูปฏิบัติจริง ปญหา อุปสรรค ที่เปนขอมูล สารสนเทศที่ตองตรวจสอบดูใหม แลวปรับปรุงการนิเทศตอไป ขั้นตอนที่ 4 การน าผลการประเมินมาปรับปรุง เมื่อสิ้นสุดแผนการนิเทศแต่ละครั้ง ควร รายงานผล ให้ผู้บังคับบัญชาทราบโดยท าเป็นบันทึกข้อความ หรือแบบรายงานที่ก าหนดไว้ในหัวข้อประเด็น ต่างๆ เช่น ผู้นิเทศ ผู้รับการนิเทศ วันเดือนปีที่นิเทศ กิจกรรมที่นิเทศ เนื้อหาสาระที่นิเทศ การประเมินผลของ ผู้รับการนิเทศและข้อควรพัฒนา นอกจากนี้สุจินต์ ภิญญานิล และคณะศึกษานิเทศก์ กลุ่ม 2/3 ภาคใต้ รุ่น 11/2561 (2561) ได้กล่าวถึงกระบวนการนิเทศแบบ PDCA หรือวงจรเดมมิ่ง (Deming Circle) โดยมี4 ขั้นตอน คือ ขั้นที่ 1 การ วางแผน (P: Plan) ขั้นที่ 2 การปฏิบัติงานตามแผน (D: Do) ขั้นที่ 3 การตรวจสอบและประเมินผล (C: Check) ขั้นที่ 4 การน าผลการประเมินมาปรับปรุงงาน (A: Act) จากที่ได้สังเคราะห์กระบวนการนิเทศ ของ แฮริส (Ben M. Harris) การะบวนการนิเทศ แบบ PIDRE ของ สงัด อุทรานันท์และ กระบวนการ PDCA ของ หนวยศึกษานิเทศก กรมสามัญศึกษา จึงได้ กระบวนการนิเทศแบบ APDEAR ขึ้น ประกอบด้วย ขั้น A: Analysis (วิเคราะห์บริบท) ขั้น P: Plan (วาง แผนการนิเทศ) ขั้น D: Do (ด าเนินการนิเทศการศึกษาโดยใช้รูปแบบ ICSR ดังนี้ I : Inspire (ให้ความรู้ก่อน การนิเทศ) , C: Coaching (ช่วยเหลือชี้แนะ), S: Sharing (แลกเปลี่ยน เรียนรู้), R : Reflect (สะท้อนคิด) ขั้น E: Evaluation (ตรวจสอบประเมิน) ขั้น A: Act (น าผลการประเมินมาปรับปรุงงาน) และขั้น R: Report (สรุปรายงานผล) ดังตาราง


การสังเคราะห์กระบวนกกระบวนการบริหารงานของ แอลเลน (Louis A. Allen) กระบวนการนิเทศของแฮริส (Ben M. Harris) กระบวนการนิเทศแบบ PIของสงัด อุทรานันท์กระบวนการหลัก 5 กระบวนการซึ่งนิยมเรียกกันว่า “POLCA” โดยย่อมาจาก P: Planning Processes (กระบวนการวางแผน), O: Organizing Processes (กระบวนการจัดสายงาน), L: Leading Processes (กระบวนการน า), C: Controlling Processes (กระบวนการควบคุม) และ A: Assessing Processes (กระบวนการประเมินผล) ก ร ะ บ ว น ก า ร นิ เท ศ ไ ว้ 6 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นที่ 1 ประเมินสภาพการ ท างาน (Assessing) ขั้นที่ 2 จัดล าดับความส าคัญ ของงาน (Prioritizing) ขั้นที่ 3 ออกแบบวิธีการท างาน (Designing) ขั้นที่ 4 จัดสรรทรัพยากร (Allocating Resources) ขั้นที่ 5 ประสานงาน (Coordinating) และ ขั้นที่ 6 น าการท างาน (Directing) ประกอบด้วย ขั้นที่ 1 วางแผนการนิเทศ(Planning-P) ขั้นที่ 2 ให้ความรู้ความเข้าการท างาน (Informing-I) ขั้นที่ 3 ลงมือปฏิบัติงาน (Doing-D) ขั้นที่ 4 สร้างเสริมก าลังใจ (Reinforcing-R) และ ขั้นที่ 5 ประเมินการนิเทศ (Evaluating-E)


การนิเทศแบบ APDEAR IDRE กระบวนการนิเทศแบบ PDCA สุจินต์ ภิญญานิล และคณะศึกษานิเทศก์ สังเคราะห์กระบวนการ นิเทศแบบ APDEAR ศ าใจใน ขั้นตอนที่ 1 ด าเนินการ วางแผน ขั้นตอนที่ 2 ด าเนินการตาม แผนนิเทศ ขั้นตอนที่ 3 ด าเนินการ ตรวจสอบและประเมินผล ขั้นตอนที่ 4 การน าผลการ ประเมินมาปรับปรุง 4 ขั้นตอน คือ ขั้นที่ 1 การวางแผน (P: Plan) ขั้นที่ 2 การปฏิบัติงาน ตามแผน (D: Do) ขั้นที่ 3 การตรวจสอบ และประเมินผล (C: Check) และ ขั้นที่ 4 การน าผลการ ประเมินมาปรับปรุงงาน (A: Act) ประกอบด้วย ขั้น A: Analysis (วิเคราะห์ บริบท) ขั้น P: Plan (วางแผนการ นิเทศ) ขั้น D: Do (ด าเนินการ นิเทศการศึกษาโดยใช้ กระบวนการแบบ ICSR ดังนี้ I : Inspire (ให้ความรู้ ก่อนการนิเทศ) C: Coaching (ช่วยเหลือ ชี้แนะ) S: Sharing (แลกเปลี่ยน เรียนรู้) R : Reflect (สะท้อนคิด) ขั้น E: Evaluation (ตรวจสอบประเมิน) ขั้น A: Act (น าผลการ ประเมินมาปรับปรุงงาน) และขั้น R: Report (สรุป รายงานผล)


การพัฒนาการนิเทศโดยใช้กระบวนการแบบ APDEAR ส่งเสริมความสามารถการจัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ 18 จากกระบวนการนิเทศการศึกษาที่ได้กล่าวมาทั้งหมด สามารถแบ่งกระบวนการหรือ ขั้นตอน การนิเทศการศึกษาโดยรวมออกเป็น 6 ขั้นตอนคล้ายกับกระบวนการนิเทศแบบ APDEAR แต่จะมีการรวมบาง ขั้นตอนไว้ด้วยกัน ดังนี้ ขั้น A: Analysis เป็นการวิเคราะห์บริบทต่าง ๆ ทางสังคม นโยบายและข้อมูล พื้นฐานของสถานศึกษารวมทั้งความต้องการจ าเป็นต้อง (Need Assessment) เพื่อจะได้ก าหนดจุดมุ่งหมาย ของการนิเทศการศึกษา ขั้น P: Planning เป็นการวางแผนการนิเทศทั้งหมด ตั้งแต่จัดท าโครงการนิเทศจัดท าหรือ ออกแบบแผนการนิเทศ จัดท าเครื่องมือที่ใช้การนิเทศ และก าหนดปฏิทินการนิเทศที่แน่นอนชัดเจน เพื่อจะได้ ด าเนินการอย่างเป็นระบบ ขั้น D: Doing เป็นการปฏิบัติการนิเทศซึ่งในขั้นนี้ผู้นิเทศน าเทคนิควิธีการนิเทศมา ประยุกต์ใช้จริง เช่น การนิเทศแบบชี้แนะ (Coaching) โดยนิเทศให้ค าแนะน าในเชิงบวก ให้ผู้รับการนิเทศ รู้สึกดีเกิดความต้องการพัฒนา โดยใช้กระบวนการนิเทศแบบ ICSR ดังนี้ I : Inspire การให้ความรู้ก่อนการนิเทศ เป็นการจัดกลุ่มครู เลือกวิธีการนิเทศที่ เหมาะสมกับ กลุ่มครูและสร้างแรงจูงใจ ให้ความรู้เรื่องการพัฒนาความสามารถในการจัดการเรียนรู้เชิงรุก พัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ C : Coaching ช่วยเหลือ ชี้แนะครูผู้สอน ในการพัฒนาความสามารถในการจัด การเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ การปฏิบัติงานตามแผน (D-Do) ในขั้นการปฏิบัติงาน ผู้นิเทศใช้เทคนิคการนิเทศ แบบสอนแนะ (Coaching) ซึ่งมีขั้นตอนการนิเทศ ดังนี้ 1. เตรียมการก่อนโค้ช (1) ประสานนัดหมายผู้บริหารโรงเรียนและครู (2) แจ้งวัตถุประสงค์การไปโค้ช และแนวทางการพัฒนาครูผู้สอน ดังนี้ - การพัฒนาเทคนิค/วิธีการจัดการเรียนรู้ Active Learning สู่ระดับห้องเรียน - การพัฒนาสื่อ นวัตกรรม เทคนิค/วิธีการจัดการเรียนรู้ที่ครอบคลุมด้านทักษะ คุณลักษณะ ความสามารถตามบริบทของโรงเรียน (3) วางแผนก าหนดค าถามส าคัญ ทบทวนประเด็นปัญหา จุดพัฒนาครูจุดเน้น เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ (4) เตรียมเครื่องมือในการนิเทศ ต ารา CD และสร้างเครื่องมือการนิเทศ แบบบันทึก การนิเทศ แบบบันทึกการสังเกต 2. ขณะโค้ช (1) พบผู้บริหารโรงเรียนตามนัดหมาย (2) พบคณะครูก่อนนิเทศในห้องเรียน เพื่อสนทนาสร้างความคุ้นเคยและสร้าง เจตคติที่ดีในการนิเทศแก่ครูและนักเรียน (3) สร้างข้อตกลงในการนิเทศห้องเรียน และทบทวนแผนการสอน (4) สังเกตกระบวนการจัดการเรียนรู้ ดังนี้ – การจัดห้องเรียนและบรรยากาศทั้งภายใน และภายนอกห้องเรียน -กระบวนการสอนและกระบวนการเรียนรู้ การใช้สื่อเทคโนโลยี - สัมพันธภาพระหว่างครูกับนักเรียน - การวัดและประเมินผล (5) ทบทวนหลังการจัดการเรียนรู้AAR: After Action Review บันทึกการสังเกต (6) สะท้อนผลการนิเทศ ให้ข้อมูลย้อนกลับเชิงสร้างสรรค์ ชี้จุดที่ควรพัฒนา/จุดแข็ง


การพัฒนาการนิเทศโดยใช้กระบวนการแบบ APDEAR ส่งเสริมความสามารถการจัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ 19 ก าหนดค าถามเพื่อการปรับปรุงพัฒนา ระบุปัญหา แนวทางแก้ปัญหา และสิ่งที่จะด าเนินการในขั้นต่อไป (7) สรุปวางแผนการนิเทศร่วมกับครูเพื่อน าไปพัฒนาต่อยอด และนัดหมายการ นิเทศในครั้งต่อไป 3. หลังการโค้ช (1) ครูน าผลการนิเทศชั้นเรียนมาปรับปรุงพัฒนาแก้ไขการท างานและออกแบบ กระบวนการจัดการเรียนรู้และเครื่องมือวัดและประเมินผล (2) ผู้นิเทศน าผลการนิเทศชั้นเรียนมาวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงกระบวนการจัดการ เรียนรู้ ของครู ทบทวนกาปฏิบัติการโค้ช เพื่อปรับปรุงพัฒนาแก้ไขเทคนิควิธีการ/นวัตกรรมการนิเทศ และ บันทึก รายงานผลการนิเทศ เตรียมการนิเทศในครั้งต่อไป S : Sharing แลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันในการพัฒนาความสามารถในการจัดการ เรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ของโรงเรียนในกลุ่มเป้าหมาย 20 โรงเรียนและส่งเสริม ให้ครูส่งผลงานเข้ารับการคัดเลือกนวัตกรรมที่ใช้แก้ปัญหาในการจัดการเรียนการสอนเชิงรุกที่ประสบผลส าเร็จ เพื่อให้รางวัลและเผยแพร่ให้กับกลุ่มเครือข่ายในสังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 2 R : Reflect การสะท้อนคิด เป็นการสะท้อนคิดหลังการสิ้นสุดการนิเทศ เพื่อหา แนวทาง ปรับปรุง พัฒนาต่อไป ระหว่างผู้นิเทศและผู้รับการนิเทศในที่ประชุม AAR โดยมีผู้บริหารและคณะ ศึกษานิเทศก์จากส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 2 เข้าร่วมประชุมด้วย ขั้น E: Evaluation ตรวจสอบ ประเมิน เป็นการประเมินผลระหว่างการนิเทศ และ หลังการสิ้นสุดการนิเทศ โดยมุ่งเน้นผลของการนิเทศการสอนของครูด้วยการการก ากับติดตาม (Mentoring) เป็นการประเมินกระบวนการนิเทศทุกมิติ ทั้งกระบวนการนิเทศ เครื่องมือที่ใช้ในนิเทศ ประเมินผู้รับ การนิเทศและประเมินตัวผู้นิเทศ ดังนี้ 1. ผู้นิเทศรวบรวมและวิเคราะห์ผลจากแบบการนิเทศ และแบบสังเกตชั้นเรียน เพื่อสรุปผล การนิเทศ และน าไปผลไปปรับปรุงพัฒนา และวางแผนนิเทศในครั้งต่อไป 2. รายงานผลการนิเทศให้โรงเรียนทราบ เพื่อน าข้อมูลที่ได้ไปแก้ไขปรับปรุง และพัฒนาใน การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ภาษาไทย การใช้สื่อ/ นวัตกรรม เพื่อพัฒนาการคิดวิเคราะห์ต่อไป ขั้น A: Act น าผลการประเมินมาปรับปรุงงาน เป็นการน าผลการประเมินมาปรับปรุง เมื่อสิ้นสุดแผนการนิเทศแต่ละครั้ง ควรรายงานผล ให้ผู้บังคับบัญชาทราบโดยท าเป็นบันทึกข้อความ หรือ แบบรายงานที่ก าหนดไว้ในหัวข้อประเด็นต่างๆ เช่น ผู้นิเทศ ผู้รับการนิเทศ วันเดือนปีที่นิเทศ กิจกรรมที่ นิเทศ เนื้อหาสาระที่นิเทศ การประเมินผลของ ผู้รับการนิเทศและข้อควรพัฒนา เพื่อตรวจสอบสิ่งที่ได้ท าตาม แผนว่ามีความผิดพลาด หรือข้อบกพร่องที่ ต้องท าการแก้ไข และปรับปรุง อย่างไร ได้แก่ 1. การแก้ไขที่ต้นเหตุของปัญหา 2. การค้นหาสาเหตุ แล้วท าการป้องกัน เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดขึ้นอีก 3. การหาแนวทางพัฒนารูปแบบ หรือ ปรับปรุงวิธีการท างานนั้น ๆ โดยตรง 4. การจัดท ารายงานเพื่อใช้ในการศึกษาผลการด าเนินงานในการด าเนินการในครั้งต่อไป ขั้น R : Report สรุปผล รายงานผล


การพัฒนาการนิเทศโดยใช้กระบวนการแบบ APDEAR ส่งเสริมความสามารถการจัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ 20 แนวทางการจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) แคนซัส (Center for Teaching Excellence, University of Kansas.2000 : 1 - 3; Drake. 2000 : 1 - 3) ได้ก าหนดแนวการเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) หรือการสอนแบบยึดผู้เรียน เป็นศูนย์กลางในชั้นเรียน ไว้ดังนี้ 1. ผู้สอนเป็นผู้ชี้น าผู้เรียนการเรียนเริ่มต้นจากความรู้เดิมของผู้เรียน ไม่ใช่ความรู้ของ ผู้สอน ผู้สอนมีหน้าที่รับผิดชอบในการส่งเสริมและกระตุ้นแรงจูงใจของผู้เรียน สนับสนุนและวินิจฉัย การเรียนรู้ของผู้เรียน โดยต้องปฏิบัติต่อผู้เรียนอย่างให้เกียรติและเท่าเทียมกัน ให้การยอมรับและ สนับสนุน ความแตกต่างระหว่างบุคคล 2. ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการก าหนดจุดมุ่งหมาย ผู้สอนเป็นผู้จัดหาจุดมุ่งหมายที่ส าคัญให้แก่ ผู้เรียน โดยเปิดโอกาสให้ผู้เรียนสร้างหรือเลือกจุดมุ่งหมายเพิ่มเติม 3. บรรยากาศในชั้นเรียนมีลักษณะเป็นการเรียนรู้ร่วมกัน และสนับสนุนช่วยเหลือกันอย่าง ต่อเนื่องผู้เรียนทุกคนรู้ จักกันเป็นอย่างดีและเคารพในภูมิหลัง สถานภาพความสนใจ และจุดมุ่งหมาย ของกัน และกัน ผู้สอนจะใช้การสอนที่ส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้เรียนอภิปราย ท างานกลุ่มและร่วมมือกันปฏิบัติงาน อย่างกระตือรือร้น 4. กิจกรรมการสอนยึดปัญหาเป็นส าคัญ และแรงขับเคลื่อนในการเรียนรู้เกิดจากผู้เรียน การเรียนเริ่มจากปัญหาที่แท้จริงซึ่งเกี่ยวข้องกับจุดหมายและความสนใจของผู้เรียนผู้เรียนมีความ ยืดหยุ่นใน การเลือกปัญหาจัดระบบการปฏิบัติงานและตารางเวลาเพื่อความก้าวหน้าด้วยตนเอง ผู้สอนจะเริ่มสอนตั้งแต่ ปัญหาง่ายๆ เพื่อให้เกิดมโนทัศน์รูปแบบของกิจกรรมต้องลดความซ้ าซ้อนของ ภาระงานที่ไม่จ าเป็นให้อยู่ใน ระดับต่ าสุด ส่งเสริมและก าหนดให้ผู้เรียนปฏิบัติงานร่วมกันเป็นกลุ่ม 5. สนับสนุนให้มีการประเมินผลอย่างต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาผู้เรียนในด้านการประเมินผลนั้น ควรท าการประเมินผลอย่างต่อเนื่องระหว่างการเรียนการสอนโดยเน้นที่การป้อนข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) การประเมินผลทั้งหมดควรอิงเกณฑ์ (Criterion - referenced) มากกว่าอิงกลุ่ม (Norm) และ ให้ครอบคลุมข้อเท็จจริง มโนทัศน์และการประยุกต์ใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เป็นการประเมินตามสภาพจริง (Authentic) อย่างสม่ าเสมอ ผู้เรียนได้รับอนุญาตให้แก้ไขงาน ปรับปรุงงานใหม่หากการปฏิบัติงานนั้นไม่ได้ มาตรฐาน โดยระดับผลการเรียนพิจารณาจากงานที่มีการปรับปรุง แก้ไขแล้วผู้สอนเป็นผู้มีบทบาทในการช่วย ให้ผู้เรียนประสบผลส าเร็จ เกิดความภาคภูมิใจใน ความส าเร็จและความสามารถของตนเองให้ค าแนะน าโดย เน้นให้ผู้เรียนปรับปรุงงานให้ดีขึ้นมากกว่าระบุข้อผิดพลาดเพื่อกล่าวโทษ 6. การสอนพัฒนามากกว่าชี้น า หรือการน าเสนอการสอนเน้นที่ความเข้าใจและการประยุกต์ ใช้ความรู้มากกว่าการจดจ าและการท าซ้ าโดยให้ความส าคัญกับวิธีวิทยาศาสตร์ยอมรับ ค าตอบที่หลากหลาย มากกว่าค าตอบที่ถูกต้องเพียงข้อเดียว เน้นการใช้เทคโนโลยีสื่อและวิธีการใหม่ๆ ส่งเสริมและสนับสนุนให้ ผู้เรียนชี้น าตนเอง และมีความยืดหยุ่นในการปฏิบัติงานผู้เรียนเป็นผู้มีความกระตือรือร้นในการเสริมสร้าง ความรู้รวบรวมข้อมูลและน าข้อมูลจากการเรียนรู้ ไปใช้ประโยชน์ช่วย ให้ผู้เรียนเข้าใจรูปแบบและวิธีเรียนและ ช่วยผู้เรียนแก้ปัญหาด้านการเรียนรู้ของแต่ละบุคคล ผู้สอนจึงเป็นผู้แนะแนวทางไม่ใช่ผู้ก าหนดขั้นตอน กิจกรรมให้ผู้เรียนปฏิบัติตามทุกขั้นแต่ต้องเน้นและสอนให้ผู้เรียนเกิดความคิดเชิงวิเคราะห์(metacognition) ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่จะท าให้เกิดการเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) ไผท สิทธิสุนทร (2543 : 24 -27) ได้กล่าวถึง บทบาทของผู้เรียนและผู้สอนที่จะส่งเสริม การเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) ให้ด าเนินไปด้วยดีไว้ดังนี้ผู้สอนต้องยอมรับฟังความ คิดเห็นของ ผู้เรียนและค้นหาสิ่งที่ผู้เรียนสนใจเรียนรู้ส่วนผู้เรียนต้องมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ใน กระบวนการเรียนรู้การเผชิญ ปัญหาจากประสบการณ์จริง และร่วมประเมินตนเอง นอกจากนี้พฤติกรรมของผู้เรียนที่สามารถ ตรวจสอบได้ ว่าเป็นผู้มีส่วนร่วมในการเรียนรู้อย่างกระตือรือร้น และสร้างการเรียนรู้ของตนเอง


การพัฒนาการนิเทศโดยใช้กระบวนการแบบ APDEAR ส่งเสริมความสามารถการจัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ 21 ความส าคัญของการเรียนรู้เชิงรุก การเรียนรู้เชิงรุก (Active Leaning) คือ กระบวนการจัดการเรียนรู้ที่ผู้เรียนได้ลงมือกระท าและ ได้ใช้กระบวนการคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เขาได้กระท าลงไป ซึ่งการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ภายใต้สมมติฐานพื้นฐาน 2 ประการคือ 1) การเรียนรู้เป็นความพยายามโดยธรรมชาติของมนุษย์และ 2) แต่ละบุคคลมีแนวทางในการ เรียนรู้ที่แตกต่างกัน (Meyers and Jones, 1993) โดยผู้เรียนจะถูกเปลี่ยนบทบาทจากผู้รับความรู้ (Receive) ไปสู่การมีส่วนร่วมในการสร้างความรู้(Co-Creators) (Fedler and Brent, 1996) ซึ่งลักษณะส าคัญของ การเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) Bonwell and Eison (1991) ได้อธิบายไว้ว่า การเรียนรู้เชิงรุก (Active Leaning) เป็นการเรียนรู้ ที่มุ่งลดกระบวนการสื่อสาร และการถ่ายทอดเนื้อหาให้กับนักเรียนเพียงอย่างเดียว เน้นการพัฒนาการคิดระดับสูง เน้นให้นักเรียนลงมือปฏิบัติมากกว่าฟังบรรยาย ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรม ต่าง ๆ เช่น อ่าน เขียน และอภิปราย เสริมสร้างเจตคติและคุณค่าที่มีอยู่ในตัวผู้เรียน เพิ่มทักษะด้านการคิด ใน ระดับสูง ผู้สอนและผู้เรียนได้รับข้อมูลย้อนกลับจากการสะท้อนความคิดอย่างรวดเร็ว Shenker, Goss and Bernstein (1996) ได้กล่าวถึงความส าคัญของการจัดการเรียนรู้เชิงรุก ไว้ว่า การเรียนรู้เชิงรุกต้องการให้ ผู้เรียนมีส่วนร่วมในบทบาทการเรียนรู้ของตนเองมากกว่าการรับความรู้หรือ ทักษะใหม่ ๆจากผู้สอน ที่เป็น เพียงผู้รับฝ่ายเดียว ซึ่งการเรียนรู้เชิงรุก ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง น าไปสู่การเรียนรู้ที่มีคุณค่า น่าตื่นเต้น สนุกสนาน สอดคล้องกับความรู้ความสามารถ และความสนใจของผู้เรียน Silberman (1996) ได้กล่าวถึงลักษณะส าคัญของการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ไว้ว่า การเรียนรู้เชิงรุกท าให้ผู้เรียนมี ปฏิสัมพันธ์ มีการพูดคุยกับเพื่อนร่วมชั้นเรียน และยังเป็นการร่วมมือกัน และมีการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ต่าง ๆ ในการจัดการเรียนการสอน ดังนั้น ความส าคัญของการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Leaning) เป็นการจัดการเรียนรู้ที่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้เรียน และผู้สอน ดังนี้ นนทลี พรธาด าวิทย์ (2561) ; ศักดา ไชกิจภิญโญ, (2548) 1. เกิดประโยชน์ต่อผู้เรียน กล่าวคือ การจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning ผู้เรียนมี ส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ เพื่อให้เกิดประสบการณ์ตรงกับการแก้ปัญหาตามสภาพจริง ช่วยเป็นพลัง ส าหรับผู้เรียน ท าให้มีความสนใจอยากเรียนรู้ เกิดความสนุกสนาน สามารถพัฒนาทักษะการคิดชั้นสูง คือ วิเคราะห์สังเคราะห์และประเมินผล ผู้เรียนได้ก าหนดแนวคิด การวางแผน การยอมรับ การประเมินผล และ การน าเสนอผลงานเกิดการท างานเป็นทีม ตลอดจนสร้างองค์ความรู้ใหม่ ๆ ผู้เรียนมีทัศนคติ อยากรู้อยากเรียน เช่น กระตือรือร้นในการเข้าร่วมกิจกรรม 2. เกิดประโยชน์ต่อผู้สอน กล่าวคือ การจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning สามารถน า เนื้อหาการเรียนไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติจริง ผู้สอนสามารถรับรู้ถึงความเข้าใจของผู้เรียนได้อย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม การจัดการการเรียนรู้ทุกรูปแบบย่อมมีข้อจ ากัด ท าให้การจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning มีข้อจ ากัดต่าง ๆ เช่น เวลาในการเตรียมการ พื้นที่ในการจัดการเรียนการสอน ความพร้อมของวัสดุอุปกรณ์ ส าหรับการเรียนรู้ เป็นต้น จากความส าคัญของการจัดการเรียนรู้เชิงรุก ดังกล่าว สรุปได้ ดังนี้ 1. Active Learning ส่งเสริมการมีอิสระทางด้านความคิดและการกระท าของผู้เรียน การมีวิจารณญาณ และการคิดสร้างสรรค์ผู้เรียนจะมีโอกาส มีส่วนร่วมในการปฏิบัติจริงและมีการใช้ วิจารณญาณในการคิดและตัดสินใจในการปฏิบัติกิจกรรมนั้น มุ่งสร้างให้ผู้เรียนเป็นผู้ก ากับทิศทาง การเรียนรู้ ค้นหาสไตล์การเรียนรู้ของตนเอง สู่การเป็นผู้รู้คิด รู้ตัดสินใจด้วยตนเอง (Metacognition) เพราะฉะนั้น Active Learning จึงเป็นแนวทางการจัดการเรียนรู้ที่มุ่งให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาความคิดขั้นสูง (Higher order thinking) ในการมีวิจารณญาณ การวิเคราะห์ การคิดแก้ปัญหา การประเมิน ตัดสินใจ และ การสร้างสรรค์ 2. Active Leaning สนับสนุนส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือกันอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่ง ความร่วมมือในการ ปฏิบัติงานกลุ่มจะน าไปสู่ความส าเร็จในภาพรวม


การพัฒนาการนิเทศโดยใช้กระบวนการแบบ APDEAR ส่งเสริมความสามารถการจัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ 22 3. Active Learning ท าให้ผู้เรียนทุ่มเทในการเรียน จูงใจในการเรียน และท าให้ผู้เรียน แสดงออก ถึงความรู้ความสามารถ เมื่อผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในการปฏิบัติกิจกรรมอย่างกระตือรือร้นใน สภาพแวดล้อม ที่เอื้ออ านวย ผ่านการใช้กิจกรรมที่ครูจัดเตรียมไว้ให้อย่างหลากหลาย ผู้เรียนเลือกเรียนรู้ กิจกรรมต่าง ๆ ตามความ สนใจและความถนัดของตนเอง เกิดความรับผิดชอบและทุ่มเทเพื่อมุ่งสู่ความส าเร็จ 4. Active Learning ส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ที่ก่อให้เกิดการพัฒนาเชิงบวกทั้งตัว ผู้เรียนและตัวครู เป็นการปรับ การเรียนเปลี่ยนการสอน ผู้เรียนจะมีโอกาสได้เลือกใช้ความถนัด ความสนใจ ความสามารถที่เป็นความแตกต่างระหว่างบุคคล (Individual Different) สอดรับกับแนวคิดพหุปัญญา (Multiple Intelligence) เพื่อแสดงออกถึง ตัวตนและศักยภาพของตัวเอง ส่วนครูผู้สอนต้องมีความตระหนัก ทักษะการคิดวิเคราะห์ ความหมายของทักษะการคิดวิเคราะห์ทักษะการคิดวิเคราะห์เป็นทักษะหนึ่งของทักษะการคิด ที่ถือว่าเป็นพื้นฐานส าคัญท าให้เกิดทักษะการคิดอื่นๆ ตามมา ทั้งนี้มีผู้ที่ให้ความหมายของทักษะการคิดวิเคราะห์ไว้ ดังนี้ ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (2548) ได้ให้ความหมายทักษะการคิด วิเคราะห์ คือ การระบุเรื่องหรือปัญหา การจ าแนกแยกแยะ การเปรียบเทียบข้อมูลอื่นๆ และตรวจสอบข้อมูลอย่าง ช านาญหรือหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อให้และแม่นย าเพียงพอแก่การตัดสินใจ ราชบัณฑิตยสถาน (2546, อ้างในการคิดวิเคราะห์, ออนไลน์) กล่าวไว้ว่าทักษะการคิด วิเคราะห์ หมายถึงความช านาญในการคิดใคร่ครวญอย่างละเอียดรอบคอบในเรื่องราวต่าง ๆ อย่างมีเหตุผล โดยหาส่วนดี ส่วนบกพร่อง หรือจุดเด่นจุดด้อยของเรื่องนั้นๆ แล้ว เสนอแนะสิ่งที่ดีสิ่งที่เหมาะสมนั้นอย่าง ยุติธรรม วนิช สุธารัตน์ (2547) กล่าวว่าการคิดวิเคราะห์เป็นกระบวนการที่ใช้ปัญญา หรือใช้ความคิด น าพฤติกรรม ผู้ที่คิดวิเคราะห์เป็น จึงสามารถใช้ปัญญาน าชีวิตได้ในทุกๆ สถานการณ์ เป็น บุคคลที่ไม่โลภไม่ เห็นแก่ตัวไม่ยึดเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง มีเหตุผล ไม่มีอคติ มีความยุติธรรม และ พร้อมที่จะสร้างสันติสุขในทุก โอกาส การคิดวิเคราะห์จะต้องอาศัยองค์ประกอบที่ส าคัญสองเรื่อง คือ เรื่องความสามารถในการให้เหตุผล อย่างถูกต้องกับเทคนิคการตั้งค าถามเพื่อใช้ในการคิดวิเคราะห์ ซึ่ง ทั้งสองเรื่องมีความส าคัญต่อการคิด วิเคราะห์เป็นอย่างยิ่ง ฆนัท ธาตุทอง (2554) กล่าวว่า การคิดวิเคราะห์ (Analytical thinking) หมายถึง ความสามารถในการจ าแนกแยกแยะองค์ประกอบต่างๆ ของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งอาจจะเป็นวัตถุประสงค์ของ สิ่งของ เรื่องราว หรือเหตุการณ์ และหาความสัมพันธ์เชิงเหตุผลระหว่างองค์ประกอบเหล่านั้น เพื่อค้นหา สภาพความเป็นจริงหรือสิ่งส าคัญของสิ่งที่ก าหนดให้ Clark (1991) อธิบายว่า การคิดวิเคราะห์ คือการแยกส่วนต่าง ๆ และสร้างความสัมพันธ์ กับส่วนนั้น ๆ ว่ามีความสัมพันธ์กันอย่างไร Marzano (2001) กล่าวว่า การคิดวิเคราะห์คือการขยายความคิดอย่างมีเหตุผล เป็นการคิด อย่างลุ่มลึกและหลากหลาย มีการคิดพิจารณาข้อมูลอย่างละเอียดถี่ถ้วนรอบด้านและมีเหตุผล สามารถระบุ ความเหมือนความแตกต่างระหว่างสิ่งต่าง ๆ ได้ ระบุข้อผิดพลาดในการน าเสนอข้อมูล ของสิ่งต่าง ๆ และบอก เหตุผลได้สามารถตีความหรือบอกหลักเกณฑ์พื้นฐานของความรู้นั้นได้สามารถ ระบุ เจาะจงหรือสรุปอย่างมี เหตุผลในความรู้นั้นได้ สามารถสรุปลักษณะเฉพาะที่จ าเป็นและไม่จ าเป็น ของข้อมูลจนตกผลึกเป็นความรู้ใหม่ได้ Bloom (1976 อ้างใน ปรีดาวรรณ อ่อนนางใย, 2555) กล่าวว่า การคิดวิเคราะห์เป็น การตรึกตรองและมีเหตุผลของบุคคล เป็นขั้นตอนโดยการเรียนรู้จากการรู้ การจ า การเข้าใจ การประยุกต์ใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมินค่า จากความหมายดังกล่าวข้างต้นสามารถ สรุปได้ว่า ทักษะการคิดวิเคราะห์ หมายถึง ความสามารถในการแสดงออกหรือพฤติกรรมของการคิดอย่าง ช านาญในการสังเกต จ าแนกแยกแยะ เปรียบเทียบ จัดหมวดหมู่ ของสิ่งของ เรื่องราวหรือเหตุการณ์ และหา


การพัฒนาการนิเทศโดยใช้กระบวนการแบบ APDEAR ส่งเสริมความสามารถการจัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ 23 ความสัมพันธ์ของ องค์ประกอบเหล่านั้นอย่างมีเหตุผลเพื่อใช้ในการตัดสินใจอย่างถูกต้องเหมาะสม ลักษณะ ของการคิดวิเคราะห์ เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ (2546) กล่าวถึง ลักษณะของการคิดวิเคราะห์และกิจกรรมที่ เกี่ยวข้องกับการคิดวิเคราะห์ไว้ว่า การจัดกิจกรรมต่างๆ ที่ประกอบเป็นการคิดวิเคราะห์แตกต่างไป ตามทฤษฎี การเรียนรู้ โดยทั่วไปสามารถแยกแยะกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการคิดวิเคราะห์ ได้ดังนี้ 1. การสังเกต จากการสังเกตข้อมูลมากๆ สามารถสร้างเป็นข้อเท็จจริงได้ 2. ข้อเท็จจริง จากกการรวบรวมข้อเท็จจริง และการเชื่อมโยงข้อเท็จจริงบางอย่างที่ขาด หายไป สามารถท าให้มีการตีความได้ 3. การตีความ เป็นการทดสอบความเที่ยงตรงของการอ้างอิง จึงท าให้เกิดการตั้งข้อตกลงเบื้องต้น 4. การตั้งข้อตกลงเบื้องต้น ท าให้สามารถมีความคิดเห็น 5. ความคิดเห็น เป็นการแสดงความคิดจะต้องมีหลักและเหตุผลเพื่อพัฒนาข้อวิเคราะห์ นอกจากนั้น เป็นกระบวนการที่อาศัยองค์ประกอบเบื้องต้นทุกอย่างร่วมกัน โดยทั่วไปนักเรียนจะไม่ เห็นความ แตกต่างระหว่างการสังเกตและข้อเท็จจริง หากนักเรียนเข้าใจถึงความแตกต่างก็จะท าให้นักเรียนเริ่มพัฒนา ทักษะการคิดวิเคราะห์ได้ สุวิทย์ มูลค า (2548) ได้จ าแนกลักษณะของการคิดวิเคราะห์ ไว้เป็น 3 ด้าน คือ 1. การวิเคราะห์ส่วนประกอบ เป็นความสามารถในการแยกแยะค้นหาส่วนประกอบที่ ส าคัญของสิ่งหรือเรื่องราวต่างๆ เช่น การวิเคราะห์ส่วนประกอบของพืช หรือเหตุการณ์ต่างๆตัวอย่าง ค าถาม เช่น อะไรเป็นสาเหตุส าคัญของการระบาดไข้หวัดนกในประเทศไทย 2. การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ เป็นความสามารถในการหาความสัมพันธ์ของส่วนส าคัญ ต่างๆ โดยระบุความสัมพันธ์ระหว่างความคิด ความสัมพันธ์ในเชิงเหตุผล หรือความแตกต่างระหว่าง ข้อโต้แย้ง ที่เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้อง ตัวอย่างค าถาม เช่น การพัฒนาประเทศกับการศึกษามีความสัมพันธ์กันอย่างไร 3. การวิเคราะห์หลักการ เป็นความสามารถในการหาหลักความสัมพันธ์ส่วนส าคัญในเรื่อง นั้นๆ ว่าสัมพันธ์กันอยู่โดยอาศัยหลักการใด ตัวอย่างค าถาม เช่น หลักการส าคัญของศาสนาพุทธ ได้แก่อะไร Bloom (อ้างใน ศิริกัญญา วงศ์ภาค า, 2558) ได้แบ่งลักษณะของการคิดวิเคราะห์เป็น 3 ส่วน ดังนี้ 1. การคิดวิเคราะห์ความส าคัญของเนื้อหา ข้อมูลต่างๆ ที่ได้มานั้นสามารถแยกเป็นส่วนย่อย ได้ ข้อความบางข้อความอาจเป็นจริง บางข้อความอาจเป็นค่านิยม และบางข้อความเป็นความคิดของ ผู้เขียน ซึ่งการคิดวิเคราะห์เนื้อหาประกอบด้วย 1.1 ความสามารถในการค้นหาประเด็นต่างๆ ในข้อมูล 1.2 ความสามารถในการแยกแยะความจริงออกจากสมมติฐาน 1.3 ความสามารถในการแยกข้อเท็จจริงออกจากข้อมูลอื่นๆ 1.4 ความสามารถในการบอกถึงสิ่งจูงใจและการพิจารณาพฤติกรรมของบุคคลและกลุ่ม 1.5 ความสามารถในการแยกแยะข้อมูลสรุปจากข้อความปลีกย่อย 2. การคิดวิเคราะห์ความสัมพันธ์ ผู้อ่านจะต้องมีทักษะในการตัดสินความสัมพันธ์ระหว่าง ข้อมูลหลักๆได้ทั้งความสัมพันธ์ของสมมติฐานและความสัมพันธ์ระหว่างข้อสรุปและยังรวมไปถึง ความสัมพันธ์ ในชนิดของหลักฐานที่น ามาแสดงด้วยในการคิดวิเคราะห์ความสัมพันธ์สามารถแยกได้ดังนี้ 2.1 ความสามารถในการเข้าใจความสัมพันธ์ของแนวคิดในบทความและข้อความต่างๆ 2.2 ความสามารถในการระลึกได้ว่าสิ่งใดเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจนั้น 2.3 ความสามารถในการแยกความจริงหรือสมมติฐานที่เป็นความส าคัญหรือ ข้อโต้แย้งที่น ามาสนับสนุนข้อสมมติฐานนั้น 2.4 ความสามารถในการตรวจสอบข้อสมมติฐานที่ได้มา 2.5 ความสามารถในการแบ่งแยกความสัมพันธ์ของสาเหตุและผลจากความสัมพันธ์อื่นๆ


การพัฒนาการนิเทศโดยใช้กระบวนการแบบ APDEAR ส่งเสริมความสามารถการจัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ 24 2.6 ความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลที่ขัดแย้งแบ่งแยกสิ่งที่ตรงและไม่ตรงกับข้อมูล 2.7 ความสามารถในการสืบหาความจริงของข้อมูล 2.8 ความสามารถในการสร้างความสัมพันธ์และแยกรายละเอียดที่ส าคัญและไม่ส าคัญได้ 3. การคิดวิเคราะห์หลักการ เป็นการวิเคราะห์โครงสร้างและหลักการในการคิดวิเคราะห์ หลักการนี้จะต้องวิเคราะห์แนวคิด จุดประสงค์ และมโนทัศน์ซึ่งการวิเคราะห์หลักการสามารถแยกได้ดังนี้ 3.1 ความสามารถในการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของข้อความและความหมายขององค์ประกอบต่างๆ 3.2 ความสามารถในการวิเคราะห์รูปแบบในการเขียน 3.3 ความสามารถในการวิเคราะห์จุดประสงค์ความเห็นหรือลักษณะการคิด ความรู้สึกที่มีในงานของผู้เขียน 3.4 ความสามารถในการวิเคราะห์ทัศนคติของผู้เขียนในด้านต่างๆ 3.5 ความสามารถในการวิเคราะห์เทคนิคโฆษณาชวนเชื่อ 3.6 ความสามารถในการรู้แง่คิดและทัศนคติของผู้เขียน ดังนั้นการวิเคราะห์จะต้อง ก าหนดสิ่งที่จะต้องวิเคราะห์ ก าหนดจุดประสงค์ที่ต้องการจะ วิเคราะห์ แล้วจึงวิเคราะห์อย่างมีหลักเกณฑ์ โดยใช้วิธีการพิจารณาแยกแยะ เทคนิควิธีการในการ วิเคราะห์ เพื่อรวบรวมประเด็นส าคัญหาค าตอบให้กับ ค าถาม โดยมีลักษณะของการคิดวิเคราะห์ความสัมพันธ์ วิเคราะห์ความส าคัญและวิเคราะห์หลักการของ เรื่องราวหรือเหตุการณ์ต่างๆ 1. การคิดวิเคราะห์ความสัมพันธ์ได้แก่ การเชื่อมโยงข้อมูล ตรวจสอบแนวคิดส าคัญ และความเป็นเหตุเป็นผล แล้วน ามาหาความสัมพันธ์และข้อขัดแย้งในแต่ละสถานการณ์ได้ 2. การคิดวิเคราะห์ความส าคัญ ได้แก่ การจ าแนกแยกแยะความแตกต่างระหว่าง ข้อเท็จจริง เนื้อหา ส่วนประกอบ และสมมติฐานแล้วน ามาสรุปความได้ 3. การคิดวิเคราะห์หลักการ ได้แก่ การวิเคราะห์รูปแบบ โครงสร้าง เทคนิค วิธีการ และการเชื่อมโยงความคิดรวบยอด โดยสามารถแยกความแตกต่างระหว่างข้อเท็จจริงและทัศนคติของ ผู้เขียนได้ การวัดและประเมินผลการคิดวิเคราะห์การวัดและประเมินผลการคิดวิเคราะห์ สุวิทย์ มูลค า (2547 : 157) กล่าวว่า การประเมินผลเป็นสิ่งจ าเป็นในการจัดกระบวนการ เรียนรู้เพราะผลที่ได้จากการประเมินจะท าให้ผู้สอนและผู้ที่เกี่ยวข้องทราบถึงพัฒนาการหรือ ความก้าวหน้าใน การเรียนรู้ของผู้เรียน เพื่อใช้เป็นแนวทางในการจัดเตรียมกิจกรรมสภาพแวดล้อมให้สอดคล้องกับ ความสามารถ ความต้องการและความสนใจของผู้เรียน แนวทางในการประเมินผล กระบวนการคิด สามารถ จ าแนกได้เป็น 2 แนวทางใหญ่ๆ ดังนี้ 1. การประเมินผลด้วยการใช้แบบทดสอบ 1.1 การใช้แบบทดสอบมาตรฐาน เป็นลักษณะแบบทดสอบมาตรฐานที่มีผู้สร้างไว้แล้ว ส าหรับใช้วัดความสามารถในการคิด สามารถจัดกลุ่มได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ แบบทดสอบการคิดทั่วไป และแบบทดสอบการคิดเฉพาะด้าน 1.2 การสร้างแบบวัดการคิดขึ้นใช้เอง แบบทดสอบมาตรฐานส าหรับการคิดที่นิยมใช้กัน ทั่วไปนั้น บางครั้งอาจไม่สอดคล้องกับเป้าหมายในการวัดของท่าน ซึ่งท่านเองก็สามารถสร้าง แบบทดสอบการ คิดขึ้นใช้เอง เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการในการวัดของท่าน 2. การประเมินผลตามสภาพจริง การประเมินผลและการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนากระบวนการคิดนั้นมี ความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันอย่างแยกกันไม่ได้ เพราะผู้สอนจะต้องท าหน้าที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้และ ประเมินผลควบคู่กันไปด้วย


การพัฒนาการนิเทศโดยใช้กระบวนการแบบ APDEAR ส่งเสริมความสามารถการจัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ 25 ลักขณา สริวัฒน์ (2549 : 85) กล่าวว่า การวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์เป็น การศึกษาหาระดับความสามารถในการแยกแยะส่วนย่อยๆของเหตุการณ์ เรื่องราว หรือเนื้อหาต่างๆ ว่า มีจุดมุ่งหมายอะไร แต่ละเหตุการณ์เกี่ยวข้องกันอย่างไร โดยแบ่งออกตามประเภทเนื้อหาที่วัด ได้แก่ การวิเคราะห์ความส าคัญ การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ และการวิเคราะห์หลักการ อชิรกาญณ์ ดอกไม้ (2557 : 76) กล่าวว่า การวัดความสามารถทักษะการคิดวิเคราะห์ท าได้ ด้วยการใช้แบบสอบมาตรฐานวัดผลสัมฤทธิ์บุคลิกภาพ ความถนัด และความสามารถในด้านต่างๆ หรือใช้การ สังเกตภาระงานที่ปฏิบัติจากการเขียนเรียงความ การแก้ปัญหาในสถานการณ์เหมือนจริง และการรวบรวมใน แฟ้มสะสมงาน อีกทั้งมีขั้นตอนในการ ด าเนินกิจกรรมการระบุปัญหา การตั้งสมมติฐานการตรวจสอบ สมมติฐาน การสรุปอ้างอิงโดยใช้ตรรกศาสตร์และการประเมินสรุป อ้างอิง ซึ่งจะบ่งชี้ถึงความสามารถ ด้านทักษะการคิดวิเคราะห์ จากแนวคิดของนักการศึกษาดังกล่าว ผู้วิจัยสรุปได้ว่า การวัดและประเมินผลการคิด วิเคราะห์สามารถท าได้ด้วยการใช้แบบทดสอบและการประเมินผลตามสภาพจริง และการประเมินทักษะ การคิดวิเคราะห์นั้นจะต้องประเมินทั้ง 3 ด้าน คือ 1) การวิเคราะห์เนื้อหา 2) การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ และ 3) การวิเคราะห์หลักการ ด้านที่ 3 กระบวนการสร้างและพัฒนานวัตกรรมการนิเทศการศึกษา 3.1 การออกแบบนวัตกรรมการนิเทศการศึกษา 3.2 การน านวัตกรรมการนิเทศการศึกษา ไปใช้ปฏิบัติการนิเทศ 3.3 การรายงานผลการใช้นวัตกรรมการนิเทศการศึกษา วิธีด าเนินการ ขั้นตอน การด าเนินงาน การด าเนินการ วิธีการ ด าเนินการ แหล่งข้อมูล ผลที่ได้ ขั้นตอนที่1 ศึกษาข้อมูล พื้นฐาน ทฤษฎี หลักการ/ แนวคิดและ เอกสาร ที่ เกี่ยวข้องกับ การพัฒนา กระบวนการ นิเทศแบบ APDEAR เพื่อส่งเสริม ความสามารถ การจัดการ เรียนรู้เชิงรุก พัฒนาผู้เรียนให้ มีทักษะการคิด วิเคราะห์ 1. ศึกษาความคิดเห็นของ ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับองค์ประกอบ และนิยาม เชิงปฏิบัติการความสามารถ ในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนา ผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ สัมภาษณ์เชิง ลึก ผู้เชี่ยวชาญด้านการ จัดการเรียนรู้เชิงรุก พัฒนาผู้เรียนให้มี ทักษะการคิด วิเคราะห์และการ พัฒนาตัวบ่งชี้ จ านวน 5 คน องค์ประกอบและ นิยามเชิงปฏิบัติการ ความสามารถในการ จัดการเรียนรู้เชิงรุก พัฒนาผู้เรียนให้มี ทักษะการคิดวิเคราะห์ 2. ศึกษาความคิดเห็นของ ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับความ สอดคล้องของตัวชี้วัด ความสามารถในการจัด การเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้ มีทักษะการคิดวิเคราะห์กับนิยาม เชิงปฏิบัติการในแต่ละ องค์ประกอบ สอบถาม ความคิดเห็น ผู้เชี่ยวชาญด้านการ จัดการเรียนรู้เชิงรุก พัฒนาผู้เรียนให้มี ทักษะการคิด วิเคราะห์และการ พัฒนาตัวชี้วัด จ านวน 5 คน ค่าความสอดคล้องของ ตัวชี้วัดความสามารถ ในการจัดการเรียนรู้ เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้ มีทักษะการคิด วิเคราะห์ กับนิยามเชิง ปฏิบัติการ ในแต่ละองค์ประกอบ


การพัฒนาการนิเทศโดยใช้กระบวนการแบบ APDEAR ส่งเสริมความสามารถการจัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ 26 ขั้นตอน การด าเนินงาน การด าเนินการ วิธีการ ด าเนินการ แหล่งข้อมูล ผลที่ได้ ขั้นตอนที่ 2 การสร้างและ พัฒนา กระบวนการ นิเทศแบบ APDEAR เพื่อ ส่งเสริม ความสามารถ การจัดการ เรียนรู้เชิงรุก พัฒนาผู้เรียนให้ มีทักษะการคิด วิเคราะห์ 3.ตรวจสอบคุณภาพของตัวชี้วัด ความสามารถในการจัดการ เรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มี ทักษะการคิดวิเคราะห์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย วิจัยเชิงส ารวจ ครูผู้สอนภาษาไทย ของโรงเรียนในสังกัด ตัวชี้วัดที่มีคุณภาพ ในการวัด ความสามารถใน การจัดการเรียนรู้ เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้ มีทักษะการคิด วิเคราะห์กลุ่มสาระ การเรียนรู้ภาษาไทย ขั้นตอนที่ 3 การพัฒนา กระบวนการ นิเทศแบบ APDEAR การจัดการ เรียนรู้ กลุ่มสาระ การเรียนรู้ ภาษาไทย ตาม แนวคิด การศึกษา การเรียนรู้ เชิงรุก เสริมสร้าง ความสามารถ ในการจัดการ เรียนรู้เชิงรุก พัฒนาผู้เรียนให้ มีทักษะการคิด วิเคราะห์ ส าหรับครู ประถมศึกษา ปีที่ 6 1.สังเคราะห์กระบวนการนิเทศ การจัดการเรียนรู้ การนิเทศแบบ APDEAR และ แนวคิดการศึกษาการเรียนรู้ เชิงรุก ส าหรับ พัฒนา กระบวนการนิเทศการจัด การเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย สังเคราะห์ เอกสาร เอ ก ส า ร เกี่ ย ว กั บ กระบวนการนิเทศ การจัดการเรียนรู้ แนวคิด การนิเทศ แบบ APDEAR และ แนวคิดการศึกษา การเรียนรู้เชิงรุก ส าหรับ พัฒนา กระบวนการนิเทศ การจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย ข้อสรุปของ กระบวนการนิเทศการ จัดการเรียนรู้ การ นิเทศแบบ APDEAR และแนวคิดการจัดการ เรียนรู้เชิงรุก ส าหรับ พัฒนากระบวนการ นิเทศการจัดการ เรียนรู้กลุ่มสาระ การเรียนรู้ภาษาไทย 2.ออกแบบกระบวนการนิเทศ แบบ APDEAR การจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ที่ ประกอบด้วย 2.1 กระบวนการนิเทศ แบบ APDEAR 2.2 คู่มือการใช้กระบวนการ นิเทศแบบ APDEAR 2.3 กิจกรรมการนิเทศ แบบ APDEAR เขียน (ร่าง) กระบวนการ นิเทศการจัด การเรียนรู้ กลุ่มสาระการ เรียนรู้ ภาษาไทย ผลการศึกษาข้อสรุป ของกระบวนการ นิเทศการจัดการ เรียนรู้ และการศึกษา การเรียนรู้ (ร่าง) กระบวนการ นิเทศการจัดการ เรียนรู้กลุ่มสาระ การเรียนรู้ภาษาไทย 3. ศึกษาความเป็นไปได้ของ กระบวนการนิเทศการจัด การเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย ในการเสริมสร้าง ความสามารถการจัดการเรียนรู้ เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะ การคิดวิเคราะห์ ส าหรับครู สอบถาม ความคิดเห็น ผู้เชี่ยวชาญด้านการ นิเทศ และการจัดการ เรียนรู้เชิงรุกพัฒนา ผู้เรียนให้มีทักษะการ คิดวิเคราะห์ จ านวน 5 คน กระบวนการนิเทศ การจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย โดย ประยุกต์ใช้แนวคิด การศึกษา การเรียนรู้เชิงรุกที่ผ่าน


การพัฒนาการนิเทศโดยใช้กระบวนการแบบ APDEAR ส่งเสริมความสามารถการจัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ 27 ขั้นตอน การด าเนินงาน การด าเนินการ วิธีการ ด าเนินการ แหล่งข้อมูล ผลที่ได้ ประถมศึกษา การศึกษาความเป็นไป ได้ในการเสริมสร้าง ความสามารถใน การจัดการเรียนรู้ เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้ มีทักษะการคิด วิเคราะห์ ขั้นตอนที่ 4 การน ากระบวน นิเทศการ จัดการเรียนรู้ไป ใช้และการ นิเทศติดตาม การด าเนินงาน 1. น ากระบวนการนิเทศการจัด การเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย ไปใช้กับสถานศึกษา กลุ่มเป้าหมาย 20 โรงเรียน กระบวนการนิเทศแบบ APDEAR โดยสังเคราะห์จากกระบวนการ นิเทศแบบ PIDRE ของ สงัด อุทรานันท์(2530) และ กระบวนการนิเทศแบบ PDCA หรือวงจรเดมมิ่ง (Demming Circle) กระบวนการบริหารงาน ของ แอลเลน (Louis A. Allen) กระบวนการนิเทศของแฮริส (Ben M. Harris) สุจินต์ ภิญญา นิล และคณะศึกษานิเทศก์ โดย กระบวนการนิเทศแบบ APDEAR มีรายละเอียด ดังนี้ 1) ขั้น A : Analysis วิเคราะห์บริบท 2) ขั้น P : Plan วางแผน การนิเทศ 3) ขั้น D : Do ด าเนินการ นิเทศการศึกษาโดยใช้รูปแบบ ICSR ดังนี้ - I : Inspire การให้ความรู้ ก่อนการนิเทศ - C : Coaching ช่วยเหลือ ชี้แนะ โดยใช้เทคนิคการนิเทศ แบบสอนแนะ (Coaching) - S : Sharing แลกเปลี่ยน เรียนรู้ - R : Reflect การสะท้อน คิด เป็นการสะท้อนคิดหลังการ สิ้นสุดการนิเทศ 4) ขั้น E: Evaluation ตรวจสอบ ประเมิน ด าเนินการใช้ กระบวนการ นิเทศการจัด การเรียนรู้ ครูผู้สอนกลุ่มสาระ การเรียนรู้ภาษาไทย ระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 1. คุณภาพผู้รับ การนิเทศ (1) ความรู้ความ เข้าใจเกี่ยวกับการ จัดการเรียนรู้เชิงรุก พัฒนาผู้เรียนให้มี ทักษะการคิด วิเคราะห์ (2) ความสามารถ ในการออกแบบ การ จัดการเรียนรู้ที่ สอดคล้องกับแนวคิด การเรียนรู้เชิงรุก พัฒนาผู้เรียนให้มี ทักษะการคิด วิเคราะห์ (3) ความสามารถ ในการจัดการเรียนรู้ ตามแนวคิดการ เรียนรู้เชิงรุกพัฒนา ผู้เรียนให้มีทักษะการ คิดวิเคราะห์ (4) ความพึงพอใจที่ มีต่อกระบวนการ นิเทศแบบ APDEAR 2. คุณภาพผู้เรียน - ทักษะการคิด วิเคราะห์


การพัฒนาการนิเทศโดยใช้กระบวนการแบบ APDEAR ส่งเสริมความสามารถการจัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ 28 ขั้นตอน การด าเนินงาน การด าเนินการ วิธีการ ด าเนินการ แหล่งข้อมูล ผลที่ได้ 5) ขั้น A: Act น าผล การประเมินมาปรับปรุงงาน 6) ขั้น R : Report สรุปผล รายงานผล 2. นิเทศติดตามการด าเนินการ พัฒนาความสามารถในการ จัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียน ให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ ตาม กระบวนการนิเทศการจัดการ เรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย กระบวนการนิเทศ แบบ APDEAR ขั้น A : Analysis ศึกษาและ วิเคราะห์ข้อมูล 1. ศึกษาและวิเคราะห์ หลักสูตร 2. ศึกษาและวิเคราะห์ บริบทของโรงเรียนในการพัฒนา ความสามารถในการจัดการ เรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มี ทักษะการคิดวิเคราะห์ ขั้น P : Plan วางแผน 1. วางแผนการนิเทศ จัดท า ปฏิทินการนิเทศ 2. จัดท าเครื่องมือการนิเทศ 3. ประชุมคณะท างานเพื่อ เตรียมความพร้อมในการนิเทศ ขั้น D : Do ด าเนินการ นิเทศการศึกษาโดยใช้รูปแบบ ICSR I : Inspire การให้ความรู้ ก่อนการนิเทศ ให้ความรู้เรื่อง การพัฒนาความสามารถในการ จัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียน ให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ C : Coaching ช่วยเหลือ ชี้แนะครูผู้สอนรายวิชาภาษาไทย ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ของ โรงเรียนในกลุ่มเป้าหมาย 20 โรงเรียน ในการพัฒนา ความสามารถในการจัดการ เรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มี นิเทศติดตาม ด้วยระบวนการ นิเทศการ จัดการเรียนรู้ ประยุกต์ใช้ แนวคิด การศึกษา การเรียนรู้ เชิงรุก ครูผู้สอนกลุ่มสาระ การเรียนรู้ภาษาไทย ระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6


การพัฒนาการนิเทศโดยใช้กระบวนการแบบ APDEAR ส่งเสริมความสามารถการจัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ 29 ขั้นตอน การด าเนินงาน การด าเนินการ วิธีการ ด าเนินการ แหล่งข้อมูล ผลที่ได้ ทักษะการคิดวิเคราะห์ S : Sharing แลกเปลี่ยน เรียนรู้ร่วมกันในการพัฒนา ความสามารถในการจัดการ เรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มี ทักษะการคิดวิเคราะห์ ของโรงเรียนในกลุ่มเป้าหมาย 20 โรงเรียน R : Reinforcing สร้างเสริม ก าลังใจ ขั้น A: Act น าผลการประเมิน มาปรับปรุงงาน ขั้น E: Evaluation ตรวจสอบ ปรับปรุง 1. ตรวจการออกแบบ แผนการจัดการเรียนรู้เชิงรุก พัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิด วิเคราะห์ ของครูผู้สอนรายวิชา ภาษาไทย ระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 ของโรงเรียน ในกลุ่มเป้าหมาย 20 โรงเรียน 2. ตรวจสอบทักษะ การคิดวิเคราะห์ ของผู้เรียน ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในด้านการคิดวิเคราะห์ คุณภาพผู้รับการนิเทศ (1) ความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้เชิงรุก พัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิด วิเคราะห์ (2) ความสามารถใน การออกแบบการจัดการเรียนรู้ที่ สอดคล้องกับแนวคิดการเรียนรู้ เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะ การคิดวิเคราะห์ (3) ความสามารถใน การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด การเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้ มีทักษะการคิดวิเคราะห์ (4) ความพึงพอใจที่มีต่อ กระบวนการนิเทศ แบบ APDEAR ส่งเสริม ความสามารถการจัดการเรียนรู้ เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะ การคิดวิเคราะห์


การพัฒนาการนิเทศโดยใช้กระบวนการแบบ APDEAR ส่งเสริมความสามารถการจัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ 30 ขั้นตอน การด าเนินงาน การด าเนินการ วิธีการ ด าเนินการ แหล่งข้อมูล ผลที่ได้ 2. คุณภาพผู้เรียน ทักษะการคิดวิเคราะห์ 1. คุณภาพผู้รับ การนิเทศ (1) ความรู้ความ เข้าใจเกี่ยวกับการ จัดการเรียนรู้เชิงรุก พัฒนาผู้เรียนให้มี ทักษะการคิด วิเคราะห์ (2) ความสามารถ ในการออกแบบ การ จัดการเรียนรู้ที่ สอดคล้องกับแนวคิด การเรียนรู้เชิงรุก พัฒนาผู้เรียนให้มี ทักษะการคิด วิเคราะห์ (3) ความสามารถ ในการจัดการเรียนรู้ ตามแนวคิดการ เรียนรู้เชิงรุกพัฒนา ผู้เรียนให้มีทักษะการ คิดวิเคราะห์ (4) ความพึงพอใจที่ มีต่อกระบวนการ นิเทศแบบ APDEAR 2. คุณภาพผู้เรียน - ทักษะการคิด วิเคราะห์ ขั้นตอนที่ 5 ประเมินความ พึงพอใจการ นิเทศแบบ APDEAR และ ประเมิน คุณภาพผู้รับ การนิเทศและ คุณภาพผู้เรียน ในการพัฒนา ความสามารถ ในการจัดการ เรียนรู้เชิงรุก พัฒนาผู้เรียนให้ มีทักษะการคิด วิเคราะห์ 1. ประเมินความพึงพอใจ การนิเทศแบบ APDEAR ใน การพัฒนาความสามารถใน การจัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนา ผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ ขั้น A : Act น าผลการ ประเมินมาปรับปรุงงาน ขั้น R : Report สรุปผล รายงานผล 1. ครูผู้สอนรายวิชา ภาษาไทยระดับชั้นประถมศึกษา ปีที่ 6 ออกแบบและจัดท า แผนการจัดการเรียนรู้เชิงรุก เพื่อพัฒนาความสามารถในการ จัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียน ให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ 2. ประเมินคุณภาพผู้รับ การนิเทศและคุณภาพผู้เรียน 3. รายงานผลการนิเทศ ติดตาม การพัฒนา โดยใช้ กระบวนการนิเทศ แบบ APDEAR ประเมินความรู้ และทักษะ 1.ครูผู้สอนกลุ่มสาระ การเรียนรู้ภาษาไทย ระดับชั้น ประถมศึกษา 2.ผู้เรียนที่ได้รับการ เรียนรู้จากครู กลุ่มเป้าหมาย 3.2 การน านวัตกรรมการนิเทศการศึกษา ไปใช้ปฏิบัติการนิเทศ


การพัฒนาการนิเทศโดยใช้กระบวนการแบบ APDEAR ส่งเสริมความสามารถการจัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ 31 ด าเนินงานนิเทศ ติดตามโดยมีแผนงานโครงการและกิจกรรมที่สอดคลองตามกระบวนการนิเทศแบบ APDEAR ดังนี้ ที่ กระบวนการนิเทศ แบบ APDEAR กิจกรรม ระยะเวลา ด าเนินงาน 1 ขั้น A : Analysis ศึกษาและวิเคราะห์ ข้อมูล 1. วิเคราะห์บริบทต่าง ๆ ทางสังคม นโยบายและข้อมูล พื้นฐานของสถานศึกษารวมทั้งความต้องการจ าเป็นต้อง (Need Assessment) เพื่อจะได้ก าหนดจุดมุ่งหมายของ การนิเทศการศึกษา 2. ศึกษาและวิเคราะห์บริบทของโรงเรียนในการพัฒนา ความสามารถในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มี ทักษะการคิดวิเคราะห์ 3. ส ารวจสภาพปจจุบันและปญหา ตลอดจนความตอง การของครูผูสอน เพื่อน าขอมูลที่ไดมาใชในการวาง แผนการพัฒนา นิเทศ ติดตามและประเมินผลอยาง เปนระบบ ผานการมีสวน รวมของทุกภาคสวน โดย จัดท าเปนโครงการกิจกรรมที่มีเปาหมายที่ส าคัญใน การสงเสริม สนับสนุนและพัฒ นาใหครูผูสอนเนน การจัดการเรียนรูเชิงรุก ดวยการจัดกิจกรรมการนิเทศและใช สื่อการนิเทศที่หลากหลาย เนนผูรับการนิเทศเปนส าคัญ ตุลาคม 2564 2 ขั้น P : Plan วางแผน 1. วางแผนการนิเทศ จัดท าปฏิทินการนิเทศ 2. จัดท าเครื่องมือการนิเทศ 3. ประชุมคณะท างานเพื่อเตรียมความพร้อมในการนิเทศ พ ฤศ จิก ายน – ธันวาคม 2564 3 ขั้น D : Do ด าเนินการ นิเทศ การศึกษาโดยใช้ รูปแบบ ICSR เป็นการปฏิบัติการนิเทศซึ่งในขั้นนี้ผู้นิเทศน าเทคนิค วิธีการนิเทศมาประยุกต์ใช้จริง เช่น การนิเทศแบบชี้แนะ (Coaching) โดยนิเทศให้ค าแนะน าในเชิงบวก ให้ผู้รับ ก ารนิ เท ศ รู้สึกดีเกิดค ว ามต้องก ารพัฒ น า โด ยใช้ กระบวนการนิเทศแบบ ICSR ดังนี้ I : Inspire การให้ความรู้ก่อนการนิเทศ ให้ความรู้ เรื่องการพัฒนาความสามารถในการจัดการเรียนรู้เชิงรุก พัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ C : Coaching ช่วยเหลือ ชี้แนะครูผู้สอนรายวิชา ภาษาไทยระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ของโรงเรียนใน กลุ่มเป้าหมาย 20 โรงเรียน ในการพัฒนาความสามารถ ในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิด วิเคราะห์ S : Sharing แลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันในการพัฒนา ความสามารถในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มี ทักษะการคิดวิเคราะห์ของโรงเรียนในกลุ่มเป้าหมาย 20 โรงเรียน R : Reinforcing สร้างเสริม ก าลังใจ มกราคม – สิงหาคม 2565


การพัฒนาการนิเทศโดยใช้กระบวนการแบบ APDEAR ส่งเสริมความสามารถการจัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ 32 ที่ กระบวนการนิเทศ แบบ APDEAR กิจกรรม ระยะเวลา ด าเนินงาน 4 ขั้น A: Act น าผลการ ประเมินมาปรับปรุง งาน น าผลการประเมินมาปรับปรุงงาน เป็นการน าผลการ ประเมินมาปรับปรุง เมื่อสิ้นสุดแผนการนิเทศแต่ละครั้ง และรายงานผลให้ผู้บังคับบัญชาทราบโดยท าเป็นบันทึก ข้อความ หรือ แบบรายงานที่ก าหนดไว้ในหัวข้อประเด็น ต่างๆ เช่น ผู้นิเทศ ผู้รับการนิเทศ วันเดือนปีที่นิเทศ กิจกรรมที่ นิเทศ เนื้อหาสาระที่นิเทศ การประเมินผลของ ผู้รับการนิเทศและข้อควรพัฒนา เพื่อตรวจสอบสิ่งที่ได้ท า ตามแผนว่ามีความผิดพลาด หรือข้อบกพร่องที่ต้องท า การแก้ไข และปรับปรุง อย่างไร ได้แก่ 1. การแก้ไขที่ต้นเหตุของปัญหา 2. การค้นหาสาเหตุ แล้วท าการป้องกัน เพื่อไม่ให้เกิด ความผิดพลาดขึ้นอีก 3. การหาแนวทางพัฒนารูปแบบ หรือ ปรับปรุง วิธีการท างานนั้น ๆ โดยตรง 4. การจัดท ารายงานเพื่อใช้ในการศึกษาผลการ ด าเนินงานในการด าเนินการในครั้งต่อไป ก รก ฎ า ค ม – สิงหาคม 2565 5 ขั้น E: Evaluation ตรวจสอบ ปรับปรุง ประเมินผลระหว่างการนิเทศ และหลังการสิ้นสุดการ นิเทศ โดยมุ่งเน้นผลของการนิเทศการสอนของครูด้วย การการก ากับติดตาม (Mentoring) เป็นการประเมิน กระบ วนก ารนิเทศทุกมิติ ทั้งกระบ วน ก ารนิเทศ เครื่องมือที่ใช้ในนิเทศ ประเมินผู้รับ การนิเทศและ ประเมินตัวผู้นิเทศ ดังนี้ 1. ผู้นิเทศรวบรวมและวิเคราะห์ผลจากแบบการนิเทศ และแบบสังเกตชั้นเรียน เพื่อสรุปผลการนิเทศ และน าไป ผลไปปรับปรุงพัฒนา และวางแผนนิเทศในครั้งต่อไป 2. รายงานผลการนิเทศให้โรงเรียนทราบ เพื่อน า ข้อมูลที่ได้ไปแก้ไขปรับปรุง และพัฒนาในการจัดกิจกรรม การเรียนรู้ภาษาไทย การใช้สื่อ/ นวัตกรรม เพื่อ พัฒนาการคิดวิเคราะห์ต่อไป โดย 1) ตรวจการออกแบบแผนการจัดการเรียนรู้เชิงรุก พัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ ของครูผู้สอน รายวิชาภาษาไทย ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ของ โรงเรียนในกลุ่มเป้าหมาย 20 โรงเรียน 2) ตรวจสอบทักษะการคิดวิเคราะห์ ของผู้เรียน ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในด้านการคิดวิเคราะห์ กันยายน 2565 6 ขั้น R : Report สรุปผล รายงานผล 1. ครูผู้สอนรายวิชาภาษาไทยระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ออกแบบและจัดท าแผนการจัดการเรียนรู้เชิงรุก เพื่อ พัฒนาความสามารถในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนา กันยายน 2565


การพัฒนาการนิเทศโดยใช้กระบวนการแบบ APDEAR ส่งเสริมความสามารถการจัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ 33 ที่ กระบวนการนิเทศ แบบ APDEAR กิจกรรม ระยะเวลา ด าเนินงาน ผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ 2. ทักษะการคิดวิเคราะห์ของผู้เรียน 3. ความพึงพอใจต่อกระบวนการนิเทศ I : Inspire การให้ความรู้ก่อนการนิเทศ C : Coaching ช่วยเหลือ ชี้แนะครูผู้สอนรายวิชาภาษาไทยระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 S : Sharing แลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันในการพัฒนาความสามารถในการจัดการเรียนรู้เชิงรุก


การพัฒนาการนิเทศโดยใช้กระบวนการแบบ APDEAR ส่งเสริมความสามารถการจัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ 34 ด้านที่ 4 การน าไปใช้ในการนิทศและผลที่เกิดจากการใช้นวัตกรรมการนิเทศการศึกษา 4.1 ผลที่เกิดตามกลุ่มเป้าหมาย สถานศึกษา/ผู้อ านวยการ/ครู 4.2 ผลที่เกิดต่อการพัฒนาผู้เรียน 4.3 ผลที่เกิดต่อการพัฒนาวิชาชีพ ผลการศึกษากระบวนการจัดการเรียนรู้ของครูผู้สอนภาษาไทย หลังจากได้รับการนิเทศแบบ APDEAR เพื่อส่งเสริมความสามารถการจัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ ดังนี้ ตารางที่ 2 ผลการศึกษากระบวนการจัดการเรียนรู้ของครูผู้สอนภาษาไทย หลังจากได้รับการนิเทศ แบบ APDEAR เพื่อส่งเสริมความสามารถการจัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ (N =20) รายการ ระดับความคิดเห็น ค่าเฉลี่ย S.D. แปลความ 1. การเตรียมความพร้อมก่อนสอน 1.1 จัดท าแผนการจัดการเรียนรู้ที่มีองค์ประกอบถูกต้องครบถ้วน 4.69 0.98 มากที่สุด 1.2 จัดสื่ออุปกรณ์การสอนครบถ้วน สอดคล้องกับกิจกรรมการเรียนการสอน 4.59 0.84 มากที่สุด 1.3 จัดท าแบบประเมินผลการจัดการเรียนรู้สอดคล้องกับตัวชี้วัด/ผล การเรียนรู้ 4.83 0.41 มากที่สุด 1.4 มีการเชื่อมโยงประสบการณ์เดิมของผู้เรียนกับความรู้ใหม่ 4.69 0.55 มากที่สุด ค่าเฉลี่ย 4.70 0.70 มากที่สุด 2. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 2.1 จัดกิจกรรมสอดคล้องกับตัวชี้วัด/ผลการเรียนรู้ 4.63 0.82 มากที่สุด 2.2 จัดกิจกรรมตามขั้นตอนที่ก าหนดไว้ในแผนการจัดการเรียนรู้ 4.56 0.63 มากที่สุด 2.3 เปิดโอกาสให้นักเรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมอย่างทั่วถึง 4.59 0.89 มากที่สุด 2.4 จัดกิจกรรมให้นักเรียนฝึกปฏิบัติจนเกิดทักษะต่างๆ 4.58 0.89 มากที่สุด 2.5 ใช้เทคนิคการตั้งค าถาม นักเรียนมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็น 4.59 1.21 มากที่สุด 2.6 เลือกใช้เทคนิคการสอนที่ตอบสนองกับความต้องการของนักเรียน 4.67 1.37 มากที่สุด 2.7 จัดกิจกรรมส่งเสริมนักเรียนที่เป็นกลุ่มเก่ง 4.18 1.33 มากที่สุด 2.8 เลือกใช้กิจกรรมซ่อมเสริมนักเรียนที่เป็นกลุ่มอ่อนเพื่อทันเพื่อน 4.16 1.17 มาก 2.9 ใช้การเสริมแรงตลอดการจัดการเรียนรู้ 4.50 1.38 มาก 2.10 ตรวจสอบความเข้าใจของนักเรียนระหว่างเรียนอย่างต่อเนื่อง 4.67 1.21 มากที่สุด ค่าเฉลี่ย 4.51 1.09 มากที่สุด


การพัฒนาการนิเทศโดยใช้กระบวนการแบบ APDEAR ส่งเสริมความสามารถการจัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ 35 ตารางที่ 2 (ต่อ) ตารางที่ 2 พบว่า กระบวนการจัดการเรียนรู้ของผู้ถูกนิเทศหลังจากได้รับการนิเทศแบบ APDEAR เพื่อส่งเสริมความสามารถการจัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ เมื่อพิจารณาโดย ภาพรวมพบว่า มีค่าเฉลี่ยอยู่ใน ระดับมากที่สุด (x̅= 4.58) เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า 1. ด้านการเตรียมความ พร้อมก่อนสอน มีการจัดท าแบบประเมินผลการจัดการเรียนรู้สอดคล้องกับตัวชี้วัด/ผลการเรียนรู้ มีค่าเฉลี่ยสูง ที่สุด (x̅= 4.83) และจัดสื่ออุปกรณ์การสอนครบถ้วน สอดคล้องกับกิจกรรมการเรียนการสอน มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด (x̅= 4.59) 2. ด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้มีการจัดกิจกรรมสอดคล้องกับตัวชี้วัด/ ผลการเรียนรู้มีค่าเฉลี่ย สูงที่สุด (x̅= 4.83) และมีการเลือกใช้กิจกรรมซ่อมเสริมนักเรียนที่เป็นกลุ่มอ่อนเพื่อทันเพื่อน มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด (x̅= 4.16) 3. ด้านการใช้สื่อเทคโนโลยีมีการใช้สื่อเทคโนโลยีสอดคล้องกับกิจกรรมการเรียนรู้มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด (x̅= 4.57) และมีการสื่อเร้าใจและกระตุ้นความสนใจในการเรียนรู้และครูใช้สื่อการสอนเหมาะสมถูกต้อง คุ้มค่า มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด (x̅= 4.50) 4. ด้านการจัดบรรยากาศให้เอื้อต่อการเรียนการสอน มีการจัดบรรยากาศให้เอื้อ ต่อการเรียนการสอน มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด (x̅= 4.83) และมีการใช้เทคนิคหลากหลายในการควบคุมชั้นเรียนมี ค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด (x̅= 4.33) และ 5. ด้านการประเมินผล ใช้เทคนิคการประเมินผล ตามสภาพจริง มีค่าเฉลี่ยสูง ที่สุด (x̅= 4.83) และมีการประเมินศักยภาพนักเรียนระหว่างเรียน มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด (x̅= 4.49) รายการ ระดับความคิดเห็น ค่าเฉลี่ย S.D. แปลความ 3. การใช้สื่อเทคโนโลยี 3.1 สื่อเทคโนโลยีสอดคล้องกับกิจกรรมการเรียนรู้ 4.57 1.17 มากที่สุด 3.2 สื่อเร้าใจและกระตุ้นความสนใจในการเรียนรู้ 4.50 1.26 มาก 3.3 ครูใช้สื่อการสอนเหมาะสมถูกต้อง คุ้มค่า 4.40 1.26 มาก ค่าเฉลี่ย 4.52 1.23 มากที่สุด 4. การจัดบรรยากาศให้เอื้อต่อการเรียนการสอน 4.1 การจัดบรรยากาศให้เอื้อต่อการเรียนการสอน 4.83 0.82 มากที่สุด 4.2 กระตุ้นให้เกิดความสนใจในการเรียนรู้ผ่านสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศ 4.67 1.17 มากที่สุด 4.3 ครูให้ค าแนะน าและแก้ไขปัญหาแก่ผู้เรียน 4.50 1.10 มาก 4.4 ใช้เทคนิคหลากหลายในการควบคุมชั้นเรียน 4.33 1.63 มาก ค่าเฉลี่ย 4.58 1.18 มากที่สุด 5. การประเมินผล 5.1 ประเมินศักยภาพนักเรียนก่อนเรียน 4.50 1.41 มาก 5.2 ประเมินศักยภาพนักเรียนระหว่างเรียน 4.49 1.26 มาก 5.3 ประเมินศักยภาพนักเรียนหลังเรียน 4.59 1.23 มากที่สุด 5.4 ใช้เทคนิคการประเมินผลตามสภาพจริง 4.83 0.42 มากที่สุด 5.5 ผลการเรียนท าให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ ทักษะ และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ 4.51 0.41 มากที่สุด ค่าเฉลี่ย 4.58 0.95 มากที่สุด ค่าเฉลี่ยรวม 4.58 1.03 มากที่สุด


การพัฒนาการนิเทศโดยใช้กระบวนการแบบ APDEAR ส่งเสริมความสามารถการจัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ 36 ตารางที่3 ความพึงพอใจที่มีต่อกระบวนการนิเทศแบบ APDEAR เพื่อส่งเสริมวามสามารถการจัด การเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ ของครูผู้สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย (N =20) รายการ ระดับความคิดเห็น ค่าเฉลี่ย S.D. แปลความ ความพึงพอใจต่อการด าเนินการนิเทศ 1. การก าหนดวัน เวลาและสถานที่ ที่ใช้ในการนิเทศอย่างเหมาะสม 4.50 0.84 มาก 2. ความเป็นกันเองระหว่างผู้นิเทศกับผู้รับการนิเทศ 4.83 0.41 มากที่สุด 3. การให้ค าปรึกษา แนะน าเป็นรายบุคคลที่มุ่งเจาะลึกถึงปัญหาและความต้องการ ของผู้รับการนิเทศแต่ละคน 4.59 0.55 มากที่สุด 4. ความเชี่ยวชาญและความมั่นใจในเทคนิควิธีการนิเทศและเรื่องที่นิเทศของผู้นิเทศ 4.85 0.63 มากที่สุด 5. การแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการนิเทศให้ส าเร็จลุล่วงด้วยดี 4.69 0.98 มากที่สุด ค่าเฉลี่ย 4.69 0.68 มากที่สุด ความพึงพอใจต่อผลการนิเทศที่เกิดขึ้นกับผู้รับการนิเทศ 6. การเสริมแรงให้ผู้รับการนิเทศมีขวัญก าลังใจในการมุมานะปฏิบัติงานที่รับ การนิเทศให้ส าเร็จ 4.69 0.63 มากที่สุด 7. ผลส าเร็จจากการจัดการเรียนรู้ของครูโดยใช้การจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active leaning) กระบวนการนิเทศแบบ APDEAR เพื่อส่งเสริมความสามารถการจัด การเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ ด าเนินการไปด้วยดี ตามแนวทางที่ได้รับการนิเทศหลังเสร็จสิ้นการรับการนิเทศ 4.82 0.98 มากที่สุด ค่าเฉลี่ย 4.76 0.81 มากที่สุด ความพึงพอใจต่อการด าเนินการนิเทศ 8. ความประทับใจที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรมการนิเทศตลอดระยะเวลาของ การเข้ารับการนิเทศ 4.82 0.89 มากที่สุด 9. ความรู้ทักษะและประสบการณ์หลังพัฒนาตนเอง โดยใช้การจัดการเรียนรู้ เชิงรุก (Active leaning) ที่ได้รับจากการเข้ารับการนิเทศ 4.83 0.82 มากที่สุด 10. กระบวนการนิเทศและแนวทางการศึกษาด้วยตนเองที่ได้รับจากการนิเทศ 4.80 1.17 มากที่สุด ค่าเฉลี่ย 4.82 0.96 มากที่สุด ความพึงพอใจต่อผลการนิเทศที่ส่งผลต่อนักเรียน 11. ความรู้ที่ได้รับน าไปใช้แก้ปัญหาและพัฒนาการเรียนการสอนได้ตรงจุด 4.86 1.10 มากที่สุด 12. นักเรียนสนใจเรียนมากขึ้น 4.59 0.89 มากที่สุด ค่าเฉลี่ย 4.73 1.00 มากที่สุด ค่าเฉลี่ยรวม 4.80 0.90 มากที่สุด


การพัฒนาการนิเทศโดยใช้กระบวนการแบบ APDEAR ส่งเสริมความสามารถการจัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ 37 จากตารางที่ 3 พบว่า ความพึงพอใจที่มีต่อกระบวนการนิเทศแบบ APDEAR เพื่อส่งเสริมวามสามารถ การจัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ ของครูผู้สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย (N =20) เมื่อพิจารณาโดยภาพรวมพบว่า มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด (x̅= 4.80) เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า 1. ด้านความพึงพอใจต่อการด าเนินการนิเทศ ความเชี่ยวชาญและความมั่นใจในเทคนิควิธีการนิเทศและเรื่องที่ นิเทศของผู้นิเทศ มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด (x̅= 4.85) และการก าหนดวัน เวลาและสถานที่ ที่ใช้ในการนิเทศอย่าง เหมาะสม มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด (x̅= 4.50) 2. ความพึงพอใจต่อผลการนิเทศที่เกิดขึ้นกับผู้รับการนิเทศ มีผลส าเร็จจากการจัดการเรียนรู้ ของครูโดยใช้การจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active leaning) กระบวนการนิเทศ แบบ APDEAR เพื่อส่งเสริมความสามารถการจัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ ด าเนินการไปด้วยดีตามแนวทางที่ได้รับการนิเทศหลังเสร็จสิ้นการรับการนิเทศ มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด (x̅= 4.82) มีการเสริมแรงให้ผู้รับการนิเทศมีขวัญก าลังใจในการมุมานะปฏิบัติงานที่รับการนิเทศให้ส าเร็จ มีค่าเฉลี่ยน้อย ที่สุด (x̅= 4.82) 3. ความพึงพอใจต่อการด าเนินการนิเทศ มีความรู้ทักษะและประสบการณ์หลังพัฒนาตนเอง โดยใช้การจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active leaning) ที่ได้รับจากการ เข้ารับการนิเทศ มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด (x̅= 4.83) และมีรูปแบบ และแนวทางการศึกษาด้วยตนเองที่ได้รับจากการนิเทศ มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด (x̅= 4.80) และ 4. ด้านความพึงพอใจต่อผลการนิเทศที่ส่งผลต่อนักเรียนมีความรู้ที่ได้รับน าไปใช้แก้ปัญหาและพัฒนาการเรียน การสอนได้ตรงจุด มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด (x̅= 4.86) และนักเรียนสนใจเรียนมากขึ้น มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด (x̅= 4.59) 4.1 ผลที่เกิดตามกลุ่มเป้าหมาย 1. ผลที่เกิดขึ้นกับผู้นิเทศ 1.. ครูผู้สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ระดับประถมศึกษาปีที่ 6 ในโรงเรียนกลุ่มเป้าหมาย ร้อยละ 80 ที่ได้รับการพัฒนาด้วยกระบวนการนิเทศโดยใช้กระบวนการแบบ APDEAR มีความสามารถการจัด การเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ อยู่ในระดับมากที่สุด 2. ครูผู้สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ระดับประถมศึกษาปีที่ 6 ในโรงเรียนกลุ่มเป้าหมาย ร้อยละ 80 มีความพึงพอใจต่อกระบวนการนิเทศโดยใช้กระบวนการแบบ APDEAR เพื่อส่งเสริมความสามารถ การจัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ในระดับมากที่สุด 3. ครูผู้สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ระดับประถมศึกษาปีที่ 6 ในโรงเรียนกลุ่มเป้าหมายมี ความสามารถในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ โดยมีคุณภาพใน 3 องค์ประกอบ คือ 1) การออกแบบการจัดการเรียนรู้ 2) การจัดการเรียนรู้ และ 3) คุณลักษณะของครู การออกแบบแผนการจัดการเรียนรู้ การจัดการเรียนรู้


การพัฒนาการนิเทศโดยใช้กระบวนการแบบ APDEAR ส่งเสริมความสามารถการจัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ 38 1. ผู้เรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้เชิงรุกให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์จากครูผู้สอนกลุ่มสาระ การเรียนรู้ภาษาไทย ระดับประถมศึกษาปีที่ 6 ร้อยละ 80 มีทักษะการคิดวิเคราะห์ สูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ร้อยละ 70 ของคะแนนเต็ม 2. ผู้เรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้เชิงรุกให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์จากครูผู้สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ร้อยละ 80 มีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดการเรียนรู้ให้ ผู้เรียนมีทักษะการคิดวิเคราะห์ในระดับมากที่สุด ตารางที่3 แสดงจ านวนผู้เรียนชั้น ป.6 ที่จบการศึกษา จ าแนกตามระดับผลการประเมิน ปีการศึกษา 2565 กลุ่มเป้าหมาย 20 โรงเรียน ระดับชั้น จ านวนผู้เรียน ทั้งหมด (คน) จ านวนผู้เรียนที่จบ การศึกษา (คน) ผู้เรียนที่จบการศึกษา จ าแนกตามระดับผลการประเมิน ความสามารถในการอ่าน การคิด วิเคราะห์และการเขียน (คน) ผู้เรียนที่มีผลการประเมิน ระดับดีขึ้นไป (คน) ผ่าน ดี ดีเยี่ยม จ านวน ร้อยละ ป.6 1819 1802 176 569 1058 1627 90.28 คุณลักษณะของครู 4.2 ผลที่เกิดต่อการพัฒนาผู้เรียน


การพัฒนาการนิเทศโดยใช้กระบวนการแบบ APDEAR ส่งเสริมความสามารถการจัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ 39 ตารางที่4 แสดงจ านวนผู้เรียนชั้น ป.6 ที่จบการศึกษา จ าแนกตามระดับผลการประเมิน ปีการศึกษา 2565รายโรงเรียน ที่ โรงเรียน จ านวนผู้เรียน ทั้งหมด (คน) จ านวนผู้เรียน ที่จบการศึกษา (คน) ผู้เรียนที่จบการศึกษา จ าแนกตามระดับผลการประเมิน ความสามารถในการอ่าน การคิด วิเคราะห์และการเขียน (คน) ผู้เรียนที่มีผลการ ประเมินระดับดีขึ้นไป (คน) ผ่าน ดี ดีเยี่ยม จ านวน ร้อยละ 1 ชุมชนวัดพิชิตปิตยาราม 61 58 0 0 58 58 100 2 วัดอัยยิการาม 182 182 20 33 130 163 89.56 3 วัดนาบุญ 47 44 8 18 18 36 76.6 4 ธัญญสิทธิศิลป์ 269 267 6 72 189 261 97.75 5 วัดมูลจินดาราม 58 54 5 26 23 49 84.48 6 วัดเขียนเขต 244 244 6 31 207 238 97.54 7 วัดแสงสรรค์ 130 123 36 40 47 87 66.92 8 ทองพูลอุทิศ 43 43 3 15 25 40 93.02 9 วัดลาดสนุ่น 158 157 1 66 90 156 99.36 10 วัดโพสพผลเจริญ 47 47 26 7 14 21 44.68 11 วัดคลองชัน 88 88 21 30 37 67 76.14 12 วัดปัญจทายิกาวาส 46 46 2 15 29 44 95.65 13 วัดเกตุประภา 85 85 10 39 36 75 88.24 14 สหราษฎร์บ ารุง 60 60 2 36 22 58 96.67 15 เจริญดีวิทยา 113 113 19 20 74 94 83.19 16 วัดสุวรรณ 24 27 5 14 8 22 81.48 17 ร่วมจิตประสาท 10 10 0 5 5 10 100.00 18 วัดปทุมนายก 14 14 0 5 9 14 100.00 19 ชุมชนบึงบา 101 101 6 71 24 95 94.05 20 วัดศรีสโมสร 39 39 0 26 13 39 100 1819 1802 176 569 1058 1627 90.28 4.3 ผลที่เกิดต่อการพัฒนาวิชาชีพ ประโยชน์ที่ได้รับจากการสร้างและพัฒนานวัตกรรมการนิเทศ 1. เป็นข้อสนเทศที่เกี่ยวกับการนิเทศโดยใช้กระบวนการนิเทศแบบ APDEAR เพื่อส่งเสริมความสามารถ การจัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ ของครูผู้สอนในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย 2. ผู้บริหาร ครูและผู้เกี่ยวข้อง สามารถก าหนดนโยบายมาตรการและการวางแผน พัฒนาการนิเทศ การนิเทศโดยใช้กระบวนการนิเทศ แบบ APDEAR เพื่อส่งเสริมความสามารถการจัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้ มีทักษะการคิดวิเคราะห์ ของครูผู้สอนในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยให้มีประสิทธิภาพต่อไป 3. กระบวนการนิเทศแบบ APDEAR ส่งเสริมให้ครูผู้สอนในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย มีความสามารถในการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์


การพัฒนาการนิเทศโดยใช้กระบวนการแบบ APDEAR ส่งเสริมความสามารถการจัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ 40 ด้านที่ 5 การเผยแพร่และการพัฒนาต่อยอดวัตกรรมการนิเทศการศึกษา 1. การเผยแพร่นวัตกรรมการ นิเทศการศึกษา เผยแพร่ทาง ห้องนิเทศออนไลน์ ศน.ดอกลักษ์ วรยศ (google.com) ทางเว็ปของกลุ่มนิเทศ ติดตามฯ สพป.ปทุมธานี เขต 2 และทางกลุ่มไลน์ 2. การขยายผล การต่อยอด นวัตกรรมการนิเทศ การศึกษา 3. ร่องรอยการเผยแพร่และการพัฒนาต่อยอด นวัตกรรมการนิเทศการศึกษา ขยายผลในการประชุมครูวิชาการ และ ผู้บริหารสถานศึกษา สพป. ปทุมธานี เขต 2


การพัฒนาการนิเทศโดยใช้กระบวนการแบบ APDEAR ส่งเสริมความสามารถการจัดการเรียนรู้เชิงรุกพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ 41 กระบวนการนิเทศ แบบ APDEAR - Google ไดรฟ์


Click to View FlipBook Version